The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เที่ยวกรรมฐานในกายนคร โดย หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2022-02-08 20:58:22

เที่ยวกรรมฐานในกายนคร โดย หลวงตามหาบัว

เที่ยวกรรมฐานในกายนคร โดย หลวงตามหาบัว

Keywords: เที่ยวกรรมฐานในกายนคร,หลวงตามหาบัว

เทยี่ วกรรมฐานในกายนคร
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน
เทศนอ์ บรมฆราวาส ณ วดั ป่ าบา้ นตาด

(๑๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๑๙)
ในหลกั ธรรมทา่ นวา่ “ความยินดใี นธรรม ชนะซง่ึ ความยนิ ดี
ทงั้ ปวง รสแหง่ ธรรมชนะซง่ึ รสทงั้ ปวง” คาํ นีอ้ อกมาจากทา่ นผทู้ ่ี
เคยไดย้ นิ ดมี าแลว้ เคยไดล้ มิ้ รสพระสทั ธรรมมาแลว้ คือ
พระพทุ ธเจา้ ของเรา เพราะฉะนนั้ ผทู้ ่ีสนใจฟังตามท่ีท่านส่งั สอน
ไมว่ า่ จะเป็นธรรมบทใด ยอ่ มซาบซงึ้ ถงึ ใจทกุ บททกุ บาทไป
นอกจากจะฟังสกั แตว่ า่ เป็นกิรยิ า โดยจติ ไม่ไดจ้ ดจอ่ และเพลนิ
ไปกบั สงิ่ ตา่ งๆ ตามวิสยั ของจติ ท่ีเคยเป็นมาดงั้ เดมิ เท่านนั้ โดย
หาสารคณุ อะไรไมไ่ ด้
ศาสนธรรมก็ไม่มีความหมายในจติ ประเภทนนั้ จนกวา่ จติ
ประเภทนนั้ จะหนั เขา้ สหู่ ลกั ธรรม เกิดความสนใจขนึ้ ภายใน
ตวั เอง แลว้ ประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม รสแห่งธรรมท่ีกลา่ วนนั้ จงึ จะ
ซาบซงึ้ และเป็นเคร่อื งสนบั สนนุ จิตใจ และเกิดความเช่ือไปโดย

1

ลาํ ดบั เพราะมี “ฐานแหง่ ธรรม” สบื เน่ืองเป็นเครอ่ื งรองรบั กนั
โดยลาํ ดบั อยแู่ ลว้ ภายในใจ

เฉพาะอยา่ งย่งิ การฟังธรรมในภาคปฏิบตั ิ ถา้ จติ ไม่มีพนื้ เพ
ทางดา้ นจติ ตภาวนาอย่บู า้ งเลย และไมเ่ คยสนใจกบั อรรถกบั
ธรรม ไม่เคยสนใจประพฤติปฏบิ ตั ธิ รรม ไม่ปรากฏธรรมแมบ้ ท
ใดเป็นท่ีสะดดุ ใจบา้ งเลย เวลาฟังเทศนท์ างดา้ นปฏบิ ตั ิ ท่ีทา่ น
แสดงเร่อื งวิถีจิต การดาํ เนินของจิต การแกไ้ ขจติ ระหวา่ งจติ กบั
กิเลส หรอื ระหวา่ งจติ กบั มรรค คอื สตปิ ัญญาหรอื ความเพียร
ดงั นี้ ผฟู้ ังจะไม่เขา้ ใจ เม่ือไม่เขา้ ใจก็เกิดความทอ้ ใจ จติ ใจจงึ
เบนความสนใจไปทางอ่นื เสยี บางทกี ็งว่ งเหงาหาวนอน อยาก
หลบั อยากนอนอะไรไปเสยี การเทศนก์ ็รูส้ กึ วา่ เป็นเวลานาน
เพราะเป็นการกดถ่วงกิเลส ไม่ใหอ้ อกมาพลกุ พลา่ นตามความ
สะดวกสบาย ฉะนนั้ ในขณะฟังธรรม จาํ ตอ้ งระมดั ระวงั จิตใจ
ความระมดั ระวงั จิตใจนี้ เป็นเหมือนกบั ถกู กกั ถกู ขงั ไวใ้ นขอบเขต
อนั เป็นท่ีทรมานโดยเฉพาะใจ เลยเกิดความราํ คาญขนึ้ มา และ

2

เกิดความอดิ หนาระอาใจไมอ่ ยากฟัง นอกจากหาเร่อื งกวนใจมา
ย่งุ ตวั เองเปลา่ ๆ โดยไม่เกิดประโยชนอ์ ะไรในการฟังธรรม

ตอ่ เม่ือไดฟ้ ังไปเรอ่ื ย ๆ ดว้ ยความสนใจ แมข้ ณะฟังก็ยงั มี
ภาคปฏบิ ตั ไิ ปดว้ ย จิตมีความจดจอ่ ตอ่ เน่อื งกนั ไปกบั กระแสแห่ง
ธรรมท่ีทา่ นแสดงไป จิตเกิดมีความสงบขนึ้ มาเพราะความรูท้ ่ี
สมั ผสั กบั ธรรมนนั้ สืบเน่ืองกนั ไปโดยลาํ ดบั ไมข่ าดวรรคขาด
ตอน ใจไมม่ ีโอกาสเลด็ ลอดออกไปสอู่ ารมณต์ า่ งๆ ท่เี ป็นขา้ ศกึ
ในขณะท่ีฟัง เลยทาํ จติ สงบตวั ลงได้

การท่ีจติ สงบตวั ลงไดบ้ า้ ง น่นั แหละเป็นการเรม่ิ สรา้ งฐาน
หรอื ขดั เกลาภาชนะคอื ใจ ใหส้ ะอาดขนึ้ โดยลาํ ดบั สมควรแก่
การรบั “ธรรม” จิตใจจะเรม่ิ สงบเยือกเยน็ ขนึ้ มา และเหน็ คณุ คา่
แห่งการฟังธรรม ดงั ท่ีทา่ นแสดงไวว้ า่

“การฟังธรรม มีอานิสงส์ ๕ ประการ ซง่ึ ขอ้ ท่ี ๕ เป็นขอ้
สาํ คญั คอื จติ ผฟู้ ังยอ่ มสงบผอ่ งใส น่ีสาํ คญั มาก แตก่ ็ตอ้ งเป็น
แนวทางสืบตอ่ กนั ไปแตเ่ บอื้ งตน้ ท่ีวา่ “ผฟู้ ังธรรมย่อมจะไดย้ ินได้
ฟังสงิ่ ท่ยี งั ไมเ่ คยไดย้ ินไดฟ้ ัง” ซง่ึ เป็นบาทฐานไปตงั้ แตน่ ี้ คือไม่

3

เคยไดฟ้ ังทางภาคปฏิบตั ิ หรอื ทางใดก็ตาม เม่ือไดฟ้ ังขณะท่ีทา่ น
เทศนน์ นั้ ก็เกิดความเขา้ ใจขนึ้ มา ในสงิ่ ท่ีเราไม่เคยไดย้ ินไดฟ้ ัง
มาเลยเราก็ไดฟ้ ัง ไมเ่ คยเขา้ ใจอย่างนนั้ เราก็ไดเ้ ขา้ ใจขนึ้ มา สง่ิ ท่ี
ไดเ้ คยไดย้ ินไดฟ้ ังมาแลว้ แตย่ งั ไม่เขา้ ใจแจ่มแจง้ ก็เขา้ ใจแจ่ม
แจง้ เขา้ ไปโดยลาํ ดบั และทาํ ความรูค้ วามเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งไปตาม
แนวทางได้ สดุ ทา้ ยก็ไปถงึ ขนั้ ท่วี า่ “จติ ผฟู้ ังยอ่ มผ่องใส และสงบ
เยน็ ” เม่ือปรากฏผลขนึ้ มาเชน่ นีแ้ ลว้ ความยนิ ดใี นธรรมกเ็ รม่ิ
ปรากฏขนึ้ มาเอง รสของธรรมก็เรม่ิ ปรากฏขนึ้ มาในขณะฟัง และ
ขณะจิตสงบตวั ฟัง แมจ้ ะยงั ไม่ชนะรสอ่นื ใดก็ตาม แตก่ ็เป็นรสท่ี
ด่มื ด่าํ ทาํ ใหส้ ะดดุ จิตสะดดุ ใจ เป็นความจาํ ไวไ้ ดน้ านๆ ไมล่ บ
เลือนไปอยา่ งง่ายดายภายในใจของผนู้ นั้

ฉะนนั้ นกั ปฏบิ ตั ิธรรมทงั้ หลายจงึ ถือการฟังธรรมเป็นสาํ คญั
จะเรยี กวา่ “ตดิ ครูตดิ อาจารย”์ ก็ไดไ้ มค่ ดั คา้ น พระปฏบิ ตั ิ
ทงั้ หลายชอบไดย้ นิ ไดฟ้ ังเสมอ จากครูจากอาจารย์ อาจารยอ์ งค์
ใดเป็นท่ีเคารพนบั ถือเล่ือมใสในดา้ นปฏบิ ตั ิ ทงั้ ในดา้ นจิตใจ
อาจารยอ์ งคน์ นั้ ไปอย่ใู นสถานท่ีใด ลกู ศิษยล์ กู หาจะทยอยไปหา

4

เรอ่ื ยๆ จนแทบไม่มีท่ีพกั อาศยั เพียงพอกนั ยกตวั อยา่ งเชน่ ท่าน
อาจารยม์ ่นั เป็นตน้

ท่านไปอยใู่ นสถานท่ีใด ลกู ศษิ ยล์ กู หาอยใู่ กลอ้ ยไู่ กล ทยอย
ไปหาทา่ นเสมอมไิ ดข้ าด แมจ้ ะอยกู่ บั ท่านโดยเฉพาะในท่แี หง่
เดียวกนั ไม่ได้ เพราะสถานท่ไี มเ่ พียงพอกบั การอย่กู ็ตาม ก็
จะตอ้ งไปหาพกั อย่ใู นบรเิ วณใกลเ้ คยี ง ๒-๓-๔ กิโล หรอื ๗-๘
กิโล ท่านก็ยอมไปอยู่ ทงั้ นเี้ พ่ือมาฟังโอวาททา่ นไดส้ ะดวก ในวนั
ทาํ อโุ บสถ และวนั ประชมุ ธรรม

ในวนั อโุ บสถ ฟังปาฏโิ มกข์ และฟังโอวาททา่ นหลงั ปาฏิ
โมกขแ์ ลว้ เวลาสงสยั อรรถธรรมก็มาเลา่ ถวายใหท้ า่ นแกป้ ัญหา
ให้ พระ เณร จงึ มีมากจนเตม็ ไปหมดในตาํ บลนนั้ ๆ ในขณะท่ี
ท่านพกั อยู่ มแี ตพ่ ระกรรมฐาน ถึงวนั อโุ บสถฉนั จงั หนั แลว้ ตา่ ง
องคต์ า่ งมา พอบา่ ยโมงทา่ นก็เรม่ิ ลงอโุ บสถ พออโุ บสถแลว้ ทา่ น
จะใหโ้ อวาท สว่ นมากท่านใหโ้ อวาทหลงั จากอโุ บสถแลว้ น่ีเป็น
ภาคปฏบิ ตั อิ นั สาํ คญั กบั ผทู้ ่ีอย่กู บั ทา่ น ในพรรษาก็ปฏบิ ตั ิเชน่ นี้
เจ็ดวนั ประชมุ ตอ่ ครงั้ นอกพรรษาก็ไมใ่ ครแ่ นน่ อนนกั แตใ่ นพวก

5

เราท่ีอยกู่ บั ทา่ น สว่ นมากทา่ นทาํ อยา่ งนนั้ พระกรรมฐานจงึ ตดิ
ครูติดอาจารย์ ดว้ ยเหตนุ ีเ้ องขณะท่ีฟังทา่ นใหโ้ อวาทเป็นสาํ คญั
มาก ไดส้ ติ ไดป้ ัญญา ทางดา้ นจติ ใจขนึ้ มาเป็นระยะๆ ไมเ่ คย
พลาด!

ในการฟังครงั้ หนง่ึ ๆ องคท์ า่ นเองก็เป็นเหมือน “แมเ่ หลก็ ”
เป็นเคร่อื งดงึ ดดู จติ ใจของพระเณรใหเ้ กิดความสนใจ ทกุ สิ่งทกุ
อย่างอนั เป็นอรรถเป็นธรรมแลว้ จะมที ่านเป็นแรงดงึ ดดู อนั
สาํ คญั เป็นเครอ่ื งดดู ด่มื ใหม้ ีความเพลิดเพลนิ ร่นื เรงิ ในธรรม
ไดพ้ บไดเ้ หน็ ทา่ นช่วั ระยะหนง่ึ ระยะหนง่ึ กเ็ ป็นเคร่อื งดงึ ดดู
จติ ใจใหเ้ กิดความปีตยิ นิ ดี แถมยงั ไดย้ นิ ไดฟ้ ังทา่ นพดู เรอ่ื ย ๆ จะ
เป็นการเทศนท์ ่วั ๆ ไปในเวลาอบรมก็ตาม พดู ธรรมดาก็ตาม
พดู ทีเลน่ ทีจรงิ ก็ตาม เพราะท่านเป็น “ธรรม” หมดทงั้ องคแ์ ลว้
การแสดงออกในแง่ตา่ งๆ ยอ่ มมีธรรม มีเหตมุ ีผลท่ีจะยดึ เป็นคติ
แทรกออกมาเรอ่ื ยๆ ใหผ้ ฟู้ ังท่ีมีความสนใจไดย้ ดึ เป็นคตติ ลอดไป
ทกุ ๆ ครงั้ ท่ีไดย้ ินไดฟ้ ังจากท่าน เพราะฉะนนั้ การอยกู่ บั ครูกบั

6

อาจารยข์ องพระกรรมฐาน จงึ เป็นความสนกุ รน่ื เรงิ ในธรรมมาก
ท่านไปดว้ ยอธั ยาศยั ของท่านเอง

เวลาหา่ งครูหา่ งอาจารยอ์ อกไป จิตใจท่ียงั ไม่สามารถรกั ษา
ตนได้ ก็ย่อมมีความวา้ เหว่ หรอื เกิดขอ้ ขดั ขอ้ งอะไรขนึ้ มาก็ไม่
สามารถแกไ้ ขได้ จะตอ้ งคดิ ถงึ ครู คิดถงึ อาจารย์ ถา้ หากไม่
สามารถจะคดิ คน้ แกไ้ ขไดโ้ ดยลาํ พงั ตนเอง ก็ตอ้ งรบี มาหาทา่ น
ใหช้ ีแ้ จงแนะนาํ ซง่ึ ตดั ลดั เวลาท่ียืดเยือ้ เพราะการแกไ้ ขดว้ ย
ตนเองนนั้ ออกไปไดม้ ากมาย เพราะทา่ นรูแ้ ลว้ เหน็ แลว้ ทกุ สง่ิ ทกุ
อย่าง เวลาเราเกิดขอ้ ขอ้ งใจอะไรมาหาทา่ น เพียงแตเ่ ลา่ ถวาย
ท่านจบประโยคลงเทา่ นนั้ ทา่ นจะแกไ้ ขในทนั ทีแลว้ เขา้ ใจใน
ขณะนนั้

น่ีแหละการอย่กู บั ครูกบั อาจารยท์ ่ีท่านรูจ้ รงิ เหน็ จรงิ แลว้ ไม่
เน่ินชา้ ไมเ่ สยี เวลาในปัญหาแตล่ ะขอ้ ละขอ้ ทงั้ เป็นประโยชน์
แกผ่ มู้ าศกึ ษามากมายไมผ่ ดิ หวงั ความท่ที า่ นผรู้ ูจ้ รงิ เหน็ จรงิ
แสดงใหฟ้ ังผดิ กนั มากอยา่ งนี้

7

เม่ือตะกีน้ ีไ้ ดย้ กเร่อื งความยนิ ดีในธรรมขนึ้ แสดงในเบอื้ งตน้
ก็เหมือนกบั ท่ีกลา่ วมานีแ้ หละ ความยนิ ดีในธรรมยินดไี ปเรอ่ื ยๆ
ดว้ ยอาํ นาจแหง่ การไดย้ ินไดฟ้ ังเสมอ และการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตนอย่โู ดยสม่าํ เสมอเชน่ เดียวกนั ผล คอื รสชาตทิ ่ีปรากฏจาก
การปฏบิ ตั ิ จะเพ่มิ ปรมิ าณขนึ้ เรอ่ื ยๆ มีความแน่นหนาม่นั คงขนึ้
ภายในจิตใจเรอ่ื ย ๆ

เฉพาะอย่างย่งิ คือ สมาธิ มีความสงบ รม่ เยน็ เป็นสขุ
สะดวกสบาย ไมค่ ดิ สา่ ยแสไ่ ปกบั เร่อื งอะไรภายนอก ประหนง่ึ
โลกธาตนุ ีไ้ มม่ ี เพราะไม่มีความรูส้ กึ ไปเก่ียวขอ้ ง มีแตอ่ รรถแต่
ธรรมท่ีจะพงึ พนิ ิจพจิ ารณา และปฏบิ ตั ิใหม้ คี วามเขม้ แขง็
เหนียวแน่นขนึ้ ไปโดยลาํ ดบั เท่านนั้

ถา้ เป็นขนั้ ปัญญา จะพิจารณาไปกวา้ งแคบเพียงไร ใน
บรรดาสภาวธรรมท่ีมีอย่ใู นโลกนี้ ก็เพ่ืออรรถเพ่ือธรรม เพ่ือถอด
ถอนตนโดยถา่ ยเดยี วเทา่ นนั้ จงึ เป็นความเพลดิ เพลนิ ไปทงั้ วนั
ทงั้ คนื จิตใจของเราเม่ือมงุ่ ตอ่ อรรถตอ่ ธรรมอย่างแรงกลา้
เพียงไร ย่อมมีความเขม้ แข็งอาจหาญเพยี งนนั้ ไมม่ ีเย่ือใยใน

8

ชีวิตจติ ใจ ตลอดถึงความเป็นอยปู่ วู ายอะไรทงั้ สนิ้ ไม่มีความ
กงั วลวนุ่ วายกบั อะไรภายนอก มีแตเ่ ข็มทิศทางเดนิ แหง่ ธรรม
เทา่ นนั้ เป็นเครอ่ื งพยงุ ใหจ้ ติ ใจเป็นไปโดยลาํ ดบั น่งั อย่กู เ็ พลิน
นอนอยกู่ ็เพลนิ เพลินดว้ ยความพากเพยี รในการประพฤตปิ ฏิบตั ิ
ธรรม ถา้ เป็นสมาธิก็เพลนิ ในความสงบเยน็ ใจ ถา้ เป็นภาค
ปัญญาก็เพลนิ ในการคิดคน้ อรรถธรรมในแงต่ า่ งๆ เพ่ือการถอด
ถอนกิเลสเป็นลาํ ดบั ในขณะท่ีพจิ ารณา

ความผาสกุ เยน็ ใจจงึ มีไดท้ กุ ระยะของการประกอบความ
เพียร อย่ใู นท่สี งบเงยี บเทา่ ไร ความรูน้ ยี้ ่งิ เดน่ ดวง แมค้ วามรู้
ทางดา้ นสมาธิก็เดน่ ในความรูส้ กึ ตวั เอง และเดน่ ดว้ ยความสงบ
ทางดา้ นปัญญาก็เดน่ ทางความเฉลยี วฉลาด ความแยบคาย
ของจิต คดิ คน้ ไม่มีเวลาหยดุ นอกจากพกั สงบในสมาธิเทา่ นนั้
เหมือนกบั นา้ํ ซบั นา้ํ ซมึ ไหลรนิ อย่ทู งั้ หนา้ แลง้ หนา้ ฝน

ตามสภาวธรรมแง่ตา่ งๆ ท่ีจะมาสมั ผสั สมั พนั ธ์ หรอื สงิ่
เหลา่ นนั้ ไมม่ าสมั ผสั สมั พนั ธ์ จิตใจท่ีมนี ิสยั ไปทางดา้ นปัญญา
อยแู่ ลว้ ยอ่ มพจิ ารณาสอดแทรกไปทกุ แงท่ กุ มมุ และเกิดความ

9

เขา้ อกเขา้ ใจไปโดยลาํ ดบั ดงั ท่ีทา่ นวา่ “กายคตาสต”ิ อยา่ งนี้
พดู อยา่ งหนง่ึ ก็รูส้ กึ เผนิ ๆ เพราะจติ มนั เผนิ จติ ไมม่ ีหลกั จิตไมม่ ี
สติ ไมม่ ีปัญญา ไมม่ ีหลกั เกณฑ์ คือธรรมเป็นหลกั เกณฑข์ องจิต
พดู อะไรก็ไม่คอ่ ยถงึ ใจ เพราะใจอย่ลู กึ ใตท้ อ้ งกิเลสโนน่ แตพ่ อ
จติ มีหลกั มีเกณฑ์ มีเหตมุ ีผลขนึ้ ภายในตวั แลว้ เอา้ เฉพาะอย่าง
ย่ิงเราอยใู่ นท่สี งบๆ กาํ หนดพจิ ารณาดรู า่ งกายขณะท่ีน่งั ภาวนา
น่ะ มนั ทะลปุ รุโปรง่ โลง่ ไปหมดทงั้ รา่ งกาย เป็นอย่างนนั้ จรงิ ๆ ใน
ความรูส้ กึ ของผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมขนั้ นี้ มนั ซาบซงึ้ ด่ืมด่าํ มาก จะ
พิจารณาดผู วิ หนงั ขา้ งนอก พิจารณาใหเ้ หน็ เป็น “อสุภะ อสุ
ภงั ” ก็ดี มนั ก็เห็นอยา่ งชดั ๆ เพราะธรรมชาตอิ นั นีเ้ ป็นอยแู่ ลว้
เป็นแตจ่ ิตของเราไมเ่ ดนิ ตามความจรงิ นนั้ เทา่ นนั้ เป็นเหตใุ ห้
ขดั แยง้ กนั อยเู่ สมอ

เม่ือจิตใจมีความสงบ และพจิ ารณาดว้ ยปัญญาไดแ้ ลว้ เอา้
เราเดินกมั มฏั ฐาน คือพาจิตเดินกมั มฏั ฐาน ทอ่ งเท่ียวในสกล
กาย คอื ขนั ธห์ า้ นี้ เดนิ ขนึ้ เบอื้ งบนถงึ ศรี ษะ เดนิ ลงเบือ้ งลา่ ง
เบอื้ งต่าํ ถงึ พนื้ เทา้ เดินออกมาขา้ งนอก ถงึ ผิวหนงั เดินเขา้ ไปขา้ ง

10

ในหนงั ในเนือ้ ในเอน็ ในกระดกู ทกุ ชนิ้ ทกุ อนั มีความสืบตอ่
เก่ียวเน่ืองกนั อยา่ งไรบา้ งตามธรรมชาติของมนั

จติ คอ่ ยไตรต่ รองไปตามนนั้ โดยลาํ ดบั ๆ จติ ก็เพลนิ ไปดว้ ย
การพจิ ารณานนั้ สดุ ทา้ ยทงั้ ๆ ท่ีเราพจิ ารณารา่ งกายอยนู่ นั้ แล
แตใ่ นความรูส้ กึ นนั้ ปรากฏเหมือนไมม่ ีกายเลย จติ มนั เบาหววิ ไป
หมด กายเนือ้ นีห้ ายไป แตภ่ าพท่ีพจิ ารณานนั้ กพ็ จิ ารณาไปโดย
ลาํ ดบั เชน่ เดียวกนั ทงั้ ๆ ท่ีอาศยั ภาพแหง่ รา่ งกายท่ีมีอย่นู แี้ ลเป็น
เคร่อื งพจิ ารณา แตส่ ว่ นท่ีปรากฏรา่ งอนั นี้ เหมือนเรม่ิ แรกนนั้ ไม่
ปรากฏ หายไปหมดนนั้ อยา่ งหน่งึ พิจารณาจนกระท่งั มีความ
ละเอียดลออ ในความรูส้ กึ ของจิต จนกระท่งั รา่ งกายนี้ เราจะ
พจิ ารณาใหเ้ ป็นความแตก ความสลายลงไปก็เป็นไปโดยลาํ ดบั
มีความรูส้ กึ อยกู่ บั “ภาพ” ท่ปี รากฏภายในจิตใจโดยทางปัญญา
ท่ีพิจารณาอยเู่ ท่านนั้ และเหน็ อย่างชดั เจนเพราะไมม่ ีอะไรเขา้
มาเก่ียวขอ้ งวนุ่ วาย

จติ ก็ไมห่ ิวโหยอยากว่งิ เตน้ ออกไปสภู่ ายนอกเพลนิ กบั งาน
คือ การพจิ ารณานนั้ เทา่ นนั้ ความเขา้ ใจก็ชดั ขนึ้ มา ชดั ขนึ้ มา

11

ความเขา้ ใจชดั มากเพียงไร ย่ิงทาํ ใหเ้ กิดความสนใจยง่ิ ขนึ้ เป็น
ลาํ ดบั สดุ ทา้ ยก็มีแตภ่ าพ หรอื ธรรมารมณอ์ นั นนั้ กบั ใจ หรอื
ปัญญานีเ้ ทา่ นนั้ สว่ นรา่ งกายอนั แทจ้ รงิ นีก้ ็เลยหายไป ไม่ทราบ
หายไปไหน มนั ไมร่ ูส้ กึ วา่ กายมีเวลานนั้ ทงั้ ๆ ท่พี ิจารณารา่ งกาย
อย่นู นั้ แล จนกระท่งั สภาพนสี้ ลายลงไป เหน็ อยา่ งประจกั ษ์
ภายในจติ สลายลงไปจนกระท่งั กลายเป็นสภาพเดิมของธาตดุ นิ
นา้ํ ลม ไฟ สลายลงไปสธู่ าตเุ ดมิ ของเขา จติ หดตวั เขา้ มาเหลือ
แตค่ วามรูล้ ว้ น ๆ

ท่ีวา่ “เวทนา” ก็หายหมดในระยะนนั้ สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณ ไม่ไดเ้ ขา้ ไปเก่ียวขอ้ งเลย เพียงแต่ “รู”้ อยา่ งเดยี ว
เท่านนั้ มนั พอกบั ความเป็นอยขู่ องจิตใจในขณะนนั้ แลว้ เขา้ สู่
ความสงบแนว่ ไปเลย เหลอื แตค่ วามรูล้ ว้ นๆ อยา่ งเดียว รา่ งกาย
ท่ีเราน่งั อยนู่ หี้ ายหมดอย่างนีก้ ็มีในการพจิ ารณา แตก่ รุณาอยา่
คาด เป็นแตเ่ พียง “ฟัง” ใหเ้ ป็นความเพลดิ เพลินรน่ื เรงิ ในขณะท่ี
ฟัง อนั จะเกิดผลประโยชนใ์ นการฟัง ดว้ ยความเหน็ จรงิ ของ
ตวั เอง

12

เวลาเราพิจารณาตามจรติ นิสยั ของเราแลว้ จะเป็นอยา่ งไร
นนั้ เป็นเรอ่ื งของตวั เอง ท่ีจะปรากฏขนึ้ มาตามจรติ นิสยั ของตวั
เรอ่ื งของคนอ่นื ถา้ จะใหเ้ ราเป็นอย่างนนั้ คือ ใหต้ วั ของเราเป็น
อย่างนนั้ รูอ้ ยา่ งนนั้ เหน็ อยา่ งทา่ นนนั้ ไมไ่ ด้ แลว้ แตจ่ รติ นิสยั ของ
แตล่ ะคน ละคน ใหเ้ ป็นไปตามหลกั ธรรมชาตขิ องตนเอง ท่ีได้
พจิ ารณารูเ้ ห็นอยา่ งใด น่ีเป็นประการหน่งึ ท่ีอธิบายมานี้

ประการท่ีสอง เวลาพิจารณา กาย เก่ียวกบั เร่อื ง อนิจจงั
ทุกขัง อนัตตา นนั้ เราจะวา่ อนจิ จงั หรอื ทกุ ขงั อนตั ตา ก็ตาม
เม่ือปัญญาไดส้ มั ผสั สมั พนั ธก์ บั รูปขนั ธน์ โี้ ดยชดั เจนแลว้ มนั หาก
รูไ้ ดภ้ ายในตวั ของมนั เอง เพราะ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เป็นสิง่ ท่ี
จะพงึ ปลอ่ ยวาง เป็นสงิ่ ท่พี งึ เบ่ือหนา่ ยคลายความยนิ ดีไปโดย
ลาํ ดบั ๆ แลว้ ปลอ่ ยวาง เม่ือจติ พิจารณาเขา้ ใจเต็มท่ีแลว้ ก็ปลอ่ ย
วางเองโดยไมต่ อ้ งบงั คบั เพราะเป็นความจรงิ อนั หนง่ึ ๆ เท่านนั้
ในกาย ในขนั ธ์ แตล่ ะสว่ น แตล่ ะชิน้ ท่ีพิจารณานี้ เวลาพจิ ารณา
ลงไปอยา่ งชดั เจนเชน่ นนั้ แลว้ จติ ก็แยกตวั ออกไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ
เพราะความจรงิ ถงึ ความจรงิ คอื จติ เป็นจติ อาการเหลา่ นนั้ แต่

13

ละอาการก็เป็นอาการของตวั โดยลาํ พงั ไมไ่ ดม้ าเก่ียวขอ้ งกบั จิต
เลย แมจ้ ิตก็ยอ้ นมาเหน็ โทษของจิตเอง ท่ีไปยดึ ไปถือไวน้ นั้ วา่ “น่ี
มนั หลงจรงิ ๆ ความจรงิ มนั เป็นอยา่ งนี้ อยา่ งนี”้ น่นั ! น่ีเป็นวาระ
หนง่ึ เม่ือยงั ไมข่ าดจากกนั คอื จิตยงั ไม่มกี าํ ลงั พอตวั มนั รูเ้ ป็น
ระยะอย่างนีไ้ ปกอ่ น

การพจิ ารณาคราวหนา้ ก็รูอ้ ย่างนี้ ซมึ ซาบ ซมึ ซาบเขา้ ไป
เรอ่ื ย ๆ จนความรูช้ นั้ นีพ้ อตวั ก็ปลอ่ ยวาง เหมือนจอกแหนท่ีมนั
หมุ้ เขา้ มา หมุ้ เขา้ มาปิดนา้ํ น่นั เอง เราเบกิ เราแหวก จอกแหน ก็
หมุ้ เขา้ มาอกี แหวกมนั ออกไปอกี ปัญญาเวลาพจิ ารณาบกุ เบิก
สง่ิ เหลา่ นี้ หรอื คล่ีคลายสง่ิ เหลา่ นีม้ นั ก็เป็นอย่างนนั้ พอถอย
ปัญญาออกมา กิเลสสว่ นละเอียดมนั ก็หบุ เขา้ มา แตพ่ จิ ารณา
หลายครงั้ หลายหนเขา้ เรอ่ื งจอกเร่อื งแหน คือ กิเลสชนิดตา่ งๆ ก็
เบาบางไป บางไป การพจิ ารณาในอาการเหลา่ นี้ คอ่ ยสะดวก
ขนึ้ สะดวกขนึ้ คลอ่ งแคลว่ ขนึ้ ไปเรอ่ื ยๆ และมีความละเอยี ดไป
เป็นลาํ ดบั ๆ จนกระท่งั ถงึ ความพอตวั แลว้ ก็ถอนตนออกโดย
อตั โนมตั ิ ดงั ท่ีอธิบายผา่ นมาแลว้ น่นั แล

14

จติ เม่ือมีกาํ ลงั สตปิ ัญญาพอตวั แลว้ มนั ถอนไดอ้ ยา่ ง
เด็ดขาด รูป้ ระจกั ษใ์ จ โดยไม่ตอ้ งไปถามใครอีกแลว้ ใจมีความ
เพียงพอในตวั เอง เหน็ ประจกั ษเ์ ป็น “สนฺทฏิ ฺ ฐิโก” อยา่ งเต็มภมู ิ
ตามธรรมประกาศไว้ ไมม่ ีปัญหาใดๆ มาขดั แยง้

ประการท่ีสาม เวลาพิจารณารา่ งกาย บางทีจิตมีความ
สมั ผสั กบั เวทนาก็แยกไปพจิ ารณาเรอ่ื ง “เวทนา” อกี แลว้ แตจ่ รติ
ของจติ เวลาจะแยกไปพจิ ารณาเวทนา ใจมนั ก็สง่ เขา้ มาหากาย
อกี เช่นเดยี วกนั เพราะกายกบั เวทนาเก่ียวโยงกนั ท่ีจาํ ตอ้ ง
พิจารณาประสานกนั ไปในขณะเดียวกนั ตามแตถ่ นดั ในโอกาส
ใด เวทนาใด และอาการของกายใด พิจารณาเวทนา คาํ วา่
“ทกุ ข”์ ก็สกั แตว่ า่ ทกุ ขม์ นั ดู มนั กาํ หนด มนั ซกั ซอ้ ม มนั ปลอ่ ยวาง
อย่ตู รงนนั้ แลว้ ก็ยอ้ นเขา้ มาหากาย กายก็เป็นกาย เวทนาก็เป็น
เวทนา แลว้ ยอ้ นเขา้ มาหาจติ จิตก็เป็นจติ พิจารณาทดสอบหา
ความจรงิ ทงั้ กาย ทงั้ เวทนา ทงั้ จติ ซง่ึ เป็นตวั การทงั้ สามน่นั แล
จนเป็นท่ีเขา้ ใจเป็นชนิ้ เป็นอนั วา่ ตา่ งอนั ก็เป็นความจรงิ ดว้ ยกนั

15

เม่ือ “จติ ” ถอยออกมาจาก “กาย” และ “เวทนา” เสีย กาย
กบั เวทนา ก็ไมป่ รากฏ ปรากฏแตค่ วามรูล้ ว้ น ๆ เม่ือกระแสจติ
“แยบ็ ” ออกไปรู้ เวทนาก็ปรากฏเป็นเวทนาขนึ้ มา อาการนนั้ ๆ ก็
เป็นเครอ่ื งสอ่ ใหเ้ หน็ วา่ อาการใดท่ีจะปรากฏ ก็เพราะความรูอ้ นั
นีไ้ ปใหค้ วามหมายสงิ่ นนั้ วา่ เป็นอย่างนนั้ เป็นอย่างนี้

ถา้ จะคิดไปในทางผกู มดั วา่ “ตนเอง” คอื ไปในทาง “สมทุ ยั ”
ก็ตอ้ งอาศยั ความหมายนีพ้ าไป พายดึ พาถือ พาไปสาํ คญั ม่นั
หมายตา่ งๆ ถา้ เป็นไปในทางปัญญาก็อาศยั “ปัญญา” ซง่ึ เป็น
กระแสของจติ น่ีเอง ใชพ้ ิจารณาไตรต่ รองจนเหน็ ชดั ดว้ ยปัญญา
แลว้ ถอนตวั เขา้ มาอยา่ งมีเหตมุ ีผลเตม็ ตวั ไมใ่ ชถ่ อยเขา้ มาหา
แบบขีเ้ กียจออ่ นแอ หรอื แบบยอมแพ้ ชนิดหมอบราบคาบหญา้
หาทางตอ่ สไู้ มไ่ ด้

การพิจารณาเวทนา สญั ญาแยบ็ ออกมา สติก็รู้ ถา้ พจิ ารณา
เวทนาอยา่ งละเอียดลออเขา้ ไปแลว้ เพียงสญั ญามนั แยบ็ ออกไป
ก็รู้ สงั ขารปรุงก็เหมือนกบั หง่ิ หอ้ ยน่นั เอง แยบ็ ๆ ถา้ สญั ญาไม่ไป
หมาย หรอื รบั ชว่ งตอ่ สงั ขารก็เพียงปรุงแยบ็ ๆ แลว้ ดบั ไป ดบั ไป

16

ไมว่ า่ จะปรุงเร่อื งใด เร่อื งดี เรอ่ื งช่วั เรอ่ื งหยาบ เรอ่ื งละเอียด
เรอ่ื งกลางๆ หรอื เร่อื งอะไรๆ ก็ตาม มนั เป็นเพียงความกระเพ่ือม
ของจิตเอง และในขณะท่ีมีอะไรมาสมั ผสั เท่านนั้ ถา้ หากไม่มี
อะไรมาสมั ผสั โดยลาํ พงั ตนเอง ทา่ นเรยี กวา่ “สงั ขาร” ถา้ มีอะไร
มาสมั ผสั ทา่ นเรยี กวา่ “วิญญาณ”

น่ีเราหมายถงึ “สงั ขาร” ท่ีปรุงอย่โู ดยลาํ พงั ตนเอง ไมม่ ีอะไร
มาเก่ียวขอ้ งกป็ รุงขนึ้ แย็บๆ และดบั ไปพรอ้ ม ปรุงขนึ้ แยบ็ ดบั ไป
พรอ้ ม เราจะเหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน ขณะท่ีจติ รวมตวั อยา่ งสนิทใน
ขนั้ สมาธิ และขนั้ ปัญญาอนั ละเอียด

ความสนิทแหง่ การรวมตวั ของจิตนีจ้ ะไมม่ ีอะไรมาเก่ียวขอ้ ง
เลย เหลอื แตค่ วามรูล้ ว้ นๆ ขณะท่ีความรูล้ ว้ นๆ ทรงตวั อยอู่ ยา่ ง
นนั้ เราเหน็ ประจกั ษ์ ไมม่ ีสองกบั อะไร? ขณะท่ีจิตจะถอนตวั
ออกมาสสู่ ภาวธรรมทงั้ หลาย จะกลายมาเป็นจติ ธรรมดา คือ
คดิ ปรุงไดน้ ีจ้ ะมีความกระเพ่ือมตวั เอง แยบ็ ทีหนง่ึ แลว้ ดบั ทนั ที
วา่ งอยเู่ ชน่ เดมิ อีก ประเด๋ียวแย็บขนึ้ อีก คือจติ ปรุง เพียงแย็บปรุง
ยงั ไม่ทนั ไดเ้ ร่อื งไดร้ าวอะไรเวลานนั้ เพียงกระเพ่ือมเท่านนั้ มนั ก็

17

รูแ้ ละดบั ไปพรอ้ ม พอกระเพ่อื มพบั มนั รูท้ นั เสยี เพราะอาํ นาจ
ของ “สติ ท่ีควบคมุ อย่ใู นขณะนนั้ หรอื พลงั ของสมาธิยงั ไมค่ ลาย
ตวั ก็ได้ ทีนีพ้ อปรุงสกั สองสามครงั้ แลว้ จะถ่ีขนึ้ เรอ่ื ยๆ ประเด๋ียว
ก็รูส้ กึ ตวั ขนึ้ เหมือนเดก็ ต่นื นอน

ทีแรกเด็กก็กระดกุ กระดกิ หลายครงั้ หลายหนประเด๋ยี วก็ลืม
ตาขนึ้ มา จิตกเ็ หมือนกนั มีความสงบ น่ีพดู ถงึ ขนั้ สมาธิ ปัญญาก็
อย่ดู ว้ ยกนั การพจิ ารณาตา่ งๆ ดงั ท่ีกลา่ วมานีท้ า่ นเรยี กวา่
“ปัญญา” เม่ือพิจารณาพอตวั แลว้ จติ จะกา้ วเขา้ สคู่ วามสงบ
และปราศจากความปรุง ความแตง่ ความกอ่ กวนอะไรทงั้ หมด
ปรากฏอยแู่ ตค่ วามรู้ เพียงเทา่ นีก้ ็มีรสมีชาติเตม็ ภมู แิ หง่ สมาธิ ท่ี
ควรจะชนะรสทงั้ หลายไดอ้ ย่แู ลว้ ความยนิ ดีในความสงบนีก้ ็ไม่
เคยอ่มิ ตวั เลย มีความดดู ด่มื ในความสงบเย็นใจอย่เู สมอ ไปท่ี
ไหน อยทู่ ่ีใด จติ ก็เป็นรากเป็นฐานกบั ตวั เองอย่แู ลว้ ใจสบาย
สงบ เยน็ จงึ ตอ้ งใชป้ ัญญา พจิ ารณาเร่อื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ์

สาํ คญั ท่ีความปรุงของจติ ปรุงขนึ้ มาแลว้ สญั ญาจะหมาย
ทนั ที เหมือนวา่ สงั ขารนีป้ รุงขนึ้ มาย่นื ใหส้ ญั ญา สญั ญาเป็นผรู้ บั

18

ชว่ งแลว้ ตคี วามหมายออกไปในแง่ตา่ งๆ จนไมม่ ีสิน้ สดุ น่นั แหละ
ท่ีเราหลง เราหลงความสาํ คญั ม่นั หมายของตวั เอง หลง “เงา”
ของตวั เอง ท่ีออกวาดภาพไปเป็นเรอ่ื งตา่ ง ๆ เพลนิ อยทู่ งั้ วนั ทงั้
คืน เพลินเพราะอะไร? โศกเพราะอะไร?

เพลนิ ก็ดี โศกก็ดี เพราะ “เงา” ของจิตท่ีแสดงตวั ออกเป็น
เร่อื งเป็นราว เร่อื งนนั้ เรอ่ื งนี้ เรอ่ื งอดีต เร่อื งอนาคต ท่ีเคยผา่ น
มาแลว้ ก็ดี ท่ียงั ไมม่ าถงึ ก็ดี ยงั ไม่มีก็ดี มีแตเ่ รอ่ื งของจติ ออ
กวาดภาพหลอกตวั เองทงั้ สนิ้ เราอยดู่ ว้ ยความคดิ ความปรุง
ความวาดภาพตา่ งๆ ของตวั เอง เพลนิ และโศกดว้ ยความคดิ ปรุง
ดว้ ยความวาดภาพของตวั เองทงั้ นนั้ ในวนั เวลาหนง่ึ ๆ ไมม่ ีเวลา
วา่ งจากการวาดมโนภาพหลอกกวนตวั เองเลย ปราชญท์ ่านรูท้ นั
กลมารยาของขนั ธท์ า่ นจงึ ไมห่ ลง

เวลา “สตปิ ัญญา” หย่งั ลงไปจรงิ ๆ แลว้ ยอ่ มทราบไดใ้ น
ขณะนนั้ ปกตจิ ิตเป็นอย่างนนั้ จรงิ ๆ ดงั คนไมเ่ คยภาวนา พอเรม่ิ
ภาวนาก็สง่ จิตออกไปนอกลนู่ อกทาง ไม่มีหลกั ยดึ เช่น คาํ
บรกิ รรม มี “พทุ โธ” เป็นตน้ น่งั อยนู่ ่ี บางทีตาเหมอ่ มองอะไรก็ไม่

19

รู้ แตจ่ ิตนนั้ คิดและวาดภาพรอ้ ยแปดพรรณนาไมจ่ บสนิ้ ลงได้ ใจ
ก็หลงเพลนิ ไปตามนนั้ หรอื เหมอ่ ไปตามอารมณข์ องตวั ท่ีปรุง
แตง่ ขนึ้ มา หลงอารมณข์ องตวั เองนนั้ แล มากกวา่ จะตงั้ ใจ
ภาวนา ฉะนนั้ จติ จงึ หาความสงบไดย้ าก เพราะไม่มีสตคิ วบคมุ
งานภาวนาพอใหจ้ ิตสงบไดบ้ า้ ง

เม่ือไดใ้ ชส้ ติปัญญาในดา้ นสมาธิ ในดา้ นปัญญานีแ้ ลว้ ถึง
จะทราบชดั วา่ อาการเหลา่ นนั้ เป็นอาการท่ีออกไปจากจิตแลว้
หลอกจติ ผไู้ มม่ ีสตปิ ัญญาทนั กบั เหตกุ ารณ์ หรอื ทนั กบั สภาพ
เหลา่ นนั้ ใจใหม้ ีความลมุ่ หลงไปตาม จนหาความสงบเยน็ ใจ
ไมไ่ ด้ ทงั้ ท่ีความม่งุ หมายเดมิ ตงั้ ใจภาวนาเพ่ือใจสงบ อารมณ์
เคร่อื งหลอกนนั้ ๆ จงึ ทาํ ใหเ้ กิดความดีใจ เสยี ใจ เกิดความรกั
ความชงั เกิดความโกรธ ความหงดุ หงดิ อยไู่ มถ่ อย ไมว่ า่ ผู้
ภาวนา หรอื ผไู้ ม่สนใจภาวนาเลย ทงั้ นีเ้ พราะผภู้ าวนาก็ไม่ตงั้ สติ
รกั ษาใจตวั เอง ผลจงึ เป็นบา้ ไปตามอารมณพ์ อๆ กนั นขี้ รวั ตาบวั
เคยเป็นมาแลว้ ไม่แกลง้ คยุ อวดบา้ ของตวั กบั ทา่ นผใู้ ด

20

บางทีเร่อื งราวผ่านมาแลว้ ตงั้ ก่ีปีก็ตาม แตเ่ ผอิญใจดวงท่ี
เหม่อลอยเท่ียวเสาะไปเจอเขา้ ก็คิดปรุงเรอ่ื งนนั้ ขนึ้ มาอกี ถา้
เป็นเร่อื งท่ีเคยเสียใจ ก็มาเกดิ ความเสียใจในเร่อื งนนั้ เอง กรุน่
ขนึ้ มาคดิ ฟื้นขนึ้ มา ทงั้ ๆ ท่ีเรอ่ื งนนั้ ไมท่ ราบมนั หายไปไหนแลว้
น่ีก็คือเงาของจิตหลอกจติ จนเป็นตนเป็นตวั ขนึ้ มา เป็นอะไร ก็
ตวั โกรธ ตวั โลภ ตวั ทกุ ข์ ตวั รอ้ น ตวั บา้ ขนึ้ มาจาก “เงา” นนั้ แล
จะเป็นตวั มรรค ตวั ผล มาจากไหนกนั มรรคผลแบบนีม้ ีเกล่อื น
โลก จนจะหาทางไปไม่ไดโ้ น่น

เพราะฉะนนั้ การพิจารณาอาการของจิต จงึ เป็นเรอ่ื งสาํ คญั
ท่ีปัญญาจะตอ้ งสอดแทรกตามใหท้ นั เม่ือสติปัญญาตามทนั
แลว้ จิตคิดปรุงเร่อื งอะไรก็ทราบวา่ ไปจากจิต ซง่ึ กาํ ลงั จะออกไป
วาดภาพหลอกตวั เอง กาํ ลงั จะไปสาํ คญั ม่นั หมายกบั รูป เสยี ง
กลิ่น รส นานาชนิด ใจก็รูท้ นั เม่ือรูท้ นั อารมณน์ นั้ ก็ดบั ไปทนั ที
ไม่เกิดเป็นตนเป็นตวั เป็นรูปเป็นรา่ ง เป็นเรอ่ื งเป็นราวอะไร
ขนึ้ มา เพราะสตปิ ัญญาทนั มนั เรอ่ื งก็สงบไป

21

สดุ ทา้ ยก็มาเหน็ โทษซง่ึ เกิดมาจากจิตนีเ้ ป็นตน้ เหตโุ ดย
ถ่ายเดยี ว ไมไ่ ดไ้ ปตาํ หนิติ ชม รูป เสยี ง กล่นิ รส เคร่อื งสมั ผสั
อะไรทงั้ สนิ้ ใจยอ้ นมาเหน็ โทษท่ีเกิดขนึ้ ภายในจติ นี้ ท่ีไปหลอก
ตวั เองวา่ “นา่ ชมบา้ ง นา่ ตาํ หนิบา้ ง นา่ ดใี จ นา่ เสียใจบา้ ง” วา่
มนั เกิดขนึ้ จากจติ ทงั้ นนั้ จิตนเี้ ป็นตวั ขีโ้ กง ตวั มายา ตวั
หลอกลวงมากทีเดยี ว ถา้ ตามเรยี นตามดดู ว้ ยจติ ตภาวนา จะ
ทราบเร่อื งดี เร่อื งช่วั ตา่ งๆ ของจิตไดด้ ี จนอยใู่ นเงือ้ มมือเราหนี
ไม่พน้ แนน่ อน

น่ีแหละ วธิ ีพิจารณา “จิต” พจิ ารณาอย่างนี้
สดุ ทา้ ยสงิ่ เหลา่ นนั้ ก็ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรสาํ คญั มนั
สาํ คญั อยทู่ ่ีจติ ตวั หลอก ลวงนีเ้ ทา่ นนั้ จงึ ตอ้ งพิจารณาตวั หลอก
นีใ้ หท้ นั กลมารยาของมนั ดว้ ยสตปิ ัญญา
การกาํ หนดตอ้ งทาํ เหมือนจติ ดวงนีเ้ ป็นนกั โทษทีเดยี ว ไป
ไหนตอ้ งถกู ควบคมุ ดว้ ยสตปิ ัญญา จะคิดปรุงเร่อื งอะไรขนึ้ มา
สติปัญญาตอ้ งควบคมุ ใหท้ นั กบั เหตกุ ารณ์ อาการนนั้ ๆ ก็ดบั ไป

22

เร่อื ยๆ หนกั เบา ใจก็รูอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ “ตวั จติ นีแ้ ล เป็นตวั
นกั โทษ” ไม่ใช่ส่ิงอ่นื ใดทงั้ นนั้

รูป ไม่ใชโ่ ทษ และไม่ใชส่ ่งิ ท่ใี หค้ ณุ ไม่ใช่สิง่ ท่ีใหโ้ ทษ เสยี ง
กลน่ิ รส เคร่อื งสมั ผสั ไมใ่ ชผ่ ใู้ หโ้ ทษ ไม่ใชผ่ ใู้ หค้ ณุ เพราะไม่ใช่
ตวั โทษ ไม่ใชต่ วั คณุ จิตนีเ้ ทา่ นนั้ เป็นผไู้ ปปรุง เป็นผไู้ ปแตง่ ไป
หลอกลวงตวั เองใหเ้ กิดความดีใจ เสียใจ ใหเ้ กิดความสขุ ความ
ทกุ ขข์ นึ้ มา ดว้ ยอาํ นาจแหง่ อารมณท์ ่ีเกิดขนึ้ จากใจนีเ้ ท่านนั้
สตปิ ัญญาเหน็ แจง้ เขา้ ไปโดยลาํ ดบั ๆ แลว้ ก็ยอ้ นเขา้ มาเหน็ โทษ
ของใจโดยถา่ ยเดียว ไม่ตาํ หนิตชิ มสิง่ อ่นื ๆ ดงั ท่ีเคยเป็นมาอีก
แลว้ สติปัญญาจดจอ่ อย่กู บั จติ ท่ีกาํ ลงั เป็นนกั โทษอยา่ งเดยี ว ไม่
นานเกนิ กาล ตอ้ งจบั ตวั นกั โทษ คอื จติ ได้ และหายหว่ งโดย
ประการทงั้ ปวง

เอา้ จะคิดปรุงเร่อื งอะไรขนึ้ มาก็ตาม นนั้ เป็นเรอ่ื งของใจท่วี า่
ปรุงเสอื ปรุงชา้ ง มนั เป็น “สงั ขาร” ออกไปหลอกตวั เองทงั้ มวล
สติปัญญาก็รูท้ นั ทกุ ระยะ ท่ีน่ีกระแสแหง่ “วฏั ฏะ” นบั วนั เวลา
แคบเขา้ มา สดุ ทา้ ยก็จบั ตวั นกั โทษได้ แตย่ งั ลงโทษมนั ไมไ่ ด้

23

กาํ ลงั อย่ใู นขนั้ วินิจฉยั ใครค่ รวญเพ่ือโทษของมนั จนกวา่ จะมี
หลกั ฐานเหตผุ ลเป็นท่ีแนน่ อน จงึ จะลงโทษประหารมนั ไดต้ าม
กระบลิ “ธรรมาภิสมยั ” น่ีถงึ ขนั้ ของสตปิ ัญญาอนั สาํ คญั แลว้

ทีแรก อาศยั ธาตขุ นั ธเ์ ป็นท่พี จิ ารณาซกั ฟอกจิตใจดว้ ยธาตุ
ดว้ ยขนั ธ์ เป็นหนิ ลบั สติปัญญา ซกั ฟอกจติ ใจดว้ ยรูป เสยี ง กลิน่
รส เครอ่ื งสมั ผสั เป็นหนิ ลบั ปัญญา และซกั ฟอกจติ ใจโดยเฉพาะ
ดว้ ย “สตปิ ัญญาอตั โนมัต”ิ ขนั้ นีต้ ามตอ้ นกนั เฉพาะจติ อย่าง
เดียว ไมอ่ อกไปเรอ่ื งรูป เสียง กลน่ิ รส เพราะรูเ้ ร่อื งรูร้ าว และ
ปลอ่ ยวางหมดแลว้ วา่ น่นั ไมใ่ ชต่ วั เหตตุ วั ผล ไม่ใช่ตวั สาํ คญั ย่ิง
ไปกวา่ จติ ใจดวงนีท้ ่ีเป็นตวั การสาํ คญั มาก เป็นนกั โทษท่ีลอื นาม
ในวง “วฏั ฏะ” นกั กอ่ กวน นกั ย่งุ เหยงิ วนุ่ วายตวั เองอยทู่ ่นี แี้ หง่
เดยี ว

สติปัญญาคน้ เขา้ มา แลว้ จดจอ้ งท่ีตรงนนั้ ไปท่ีไหนก็มีแต่
จิตดวงนีแ้ หละเป็นผกู้ อ่ โทษขนึ้ มา คอยดแู ตน่ กั โทษคนนจี้ ะ
แสดงตวั อะไรออกมา นอกจากจะระวงั นกั โทษตวั นีจ้ ะแสดงตวั
อะไรออกมาแลว้ ยงั ตอ้ งมีปัญญาสอดแทรกเขา้ ไปวา่ “อะไรเป็น

24

เครอ่ื งเสยี้ มสอน อะไรเป็นฉากหนา้ ฉากหลงั ของนกั โทษนี้ จงึ
ตอ้ งทาํ โทษ ทจุ รติ อย่ตู ลอดเวลา คดิ ปรุงแตเ่ ร่อื งราวหลอกลวง
อยไู่ ม่ขาดวรรคขาดตอน เป็นเพราะอะไร

สตปิ ัญญาขดุ คน้ เขา้ ไปท่ีตรงนนั้ ไม่เพียงแตจ่ ะตะครุบ หรอื
ตตี อ้ น เฉพาะอาการของมนั ท่ีแสดงออกมาเทา่ นนั้ ยงั คน้ เขา้ ไป
ในรวงรงั ของมนั อกี มีอะไรเป็นเครอ่ื งผลกั ดนั อยภู่ ายใน? ตวั การ
สาํ คญั คืออะไร? ตอ้ งมีสาเหตุ ถา้ ไมม่ ีสาเหตุ ไมม่ ีปัจจยั เป็น
เครอ่ื งหนนุ ใหจ้ ิตแสดงออกมา จิตจะออกมาเฉย ๆ ไม่ได้

ถา้ แสดงอาการออกมาเฉย ๆ ก็ตอ้ งเป็นขนั ธล์ ว้ น ๆ แตน่ ่มี นั
ไม่เฉย ๆ น่ี จติ แสดงอาการอะไรออกมา? ปรุงเร่อื งอะไรออกมา
มนั ทาํ ใหเ้ กิดความดใี จ เสียใจ ทงั้ นนั้ แสดงวา่ มนั ไมใ่ ชอ่ าการ
ออกมาเฉย ๆ มนั มีเหตมุ ีปัจจยั พาใหอ้ อก ใหเ้ ป็นเหตเุ ป็นผล
เป็นสขุ เป็นทกุ ข์ ไดจ้ รงิ ๆ ในเม่ือหลงมนั

คน้ เขา้ ไป ระยะนีเ้ ราเหน็ จติ เป็นนกั โทษแลว้ เราตอ้ ง
พิจารณาปลอ่ ยวางสงิ่ ภายนอกทงั้ หมด ภาระนอ้ ยลงไป นอ้ ยลง
ไป มีแตเ่ ร่อื งจิตกบั เรอ่ื งความปรุง ความสาํ คญั ม่นั หมายท่ี

25

เกิดขนึ้ จากจติ โดยถ่ายเดยี วเทา่ นนั้ สติปัญญาหมนุ ติว้ ๆ อยใู่ น
นนั้ สดุ ทา้ ยก็รูว้ า่ มีอะไรเป็นสาเหตทุ ่ีใหจ้ ิตคดิ ปรุงขนึ้ มา ใหเ้ กิด
ความรกั ความชงั ความโกรธ ความเกลยี ด เม่ือมีอะไรมา
ปรากฏใจก็รูอ้ นั นนั้ พอรูอ้ นั นนั้ แลว้ “จอมสมมตุ ”ิ ท่ีกลมกลนื กนั
กบั จติ ก็สลายไป ทีนที้ าํ ลาย “วฎั ฎะ” ไดแ้ ลว้ ดว้ ยสติปัญญา จติ
ก็หมดโทษ กลายเป็นจติ ท่ีบรสิ ทุ ธิ์ลว้ นๆ ขนึ้ มา เม่ือปัญหา “วฏั
จกั ร” สนิ้ สดุ ลงแลว้ จะตาํ หนิโทษจติ ไม่ไดแ้ ลว้ ท่ีตาํ หนิไดเ้ พราะ
โทษยงั มีอยใู่ นจติ มนั ซอ่ นอยใู่ นจติ เหมือนกบั โจรผรู้ า้ ยหรอื
ขา้ ศกึ เขา้ ไปหลบซอ่ นอยใู่ นอโุ มงคใ์ ด ตอ้ งทาํ ลายอโุ มงคน์ นั้ ดว้ ย
จะสงวนอโุ มงคเ์ อาไว้ เพราะความเสยี ดายนนั้ ไมไ่ ด้

“อวิชชา” นีเ้ ป็นจอมแหง่ ไตรภพท่ีเขา้ ไปแทรกอย่ใู นจิต
ฉะนนั้ จะตอ้ งพิจารณาทาํ ลายลงใหห้ มด ถา้ จติ ไม่เป็นของจรงิ
แลว้ จิตจะสลายไปพรอ้ ม “อวิชชา” สลายตวั ถา้ เป็นของจรงิ ตาม
ธรรมชาตแิ ลว้ จิตนนั้ จะกลายเป็นจิต “บรสิ ทุ ธิ์” ขนึ้ มา เป็นของ
ประเสรฐิ ขนึ้ มา เพราะสง่ิ ท่ีจอมปลอมทงั้ หลายไดห้ ลดุ ลอยไป
แลว้ ดว้ ยสตปิ ัญญา

26

เม่ือส่ิงจอมปลอมอนั เป็นสนมิ เกาะแนน่ อยภู่ ายในจิต ได้
สลายตวั ลงไปดว้ ยอาํ นาจของสติปัญญาแลว้ “จิตดวงนนั้ แล
เป็นธรรมแท”้ จะเรยี กวา่ “จติ แท”้ “ธรรมแท”้ ก็ไม่ขดั กนั เพราะ
หมดเรอ่ื งท่ีจะมาคอยขดั ซง่ึ เป็นเรอ่ื งของกเิ ลสแลว้ จะเรยี กวา่
“รสแห่งธรรมชาํ นะซง่ึ รสทงั้ ปวง” ก็ได้ ๑๐๐% เม่ือจิตเป็นธรรม
ลว้ นๆ แลว้ ยอ่ มมีความ “อ่มิ พอ”กบั สง่ิ ทงั้ หลาย ไม่เก่ียวขอ้ งกนั
อะไรทงั้ สิน้ แลว้ เป็น “เอกจติ เอกธรรม” มีอนั เดียวเทา่ นนั้ ธรรม
แทม้ ีอนั เดยี ว จติ เป็นธรรม ธรรมเป็นจติ พดู ไดเ้ ท่านนั้

ขอใหท้ กุ ท่านนาํ ไปพนิ ิจพิจารณา น่ีแหละหลกั ความจรงิ
ของศาสนธรรม ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงส่งั สอนมาตงั้ แตต่ น้ จนถึง
วาระสดุ ทา้ ยแหง่ การปรนิ ิพพาน ความบรสิ ทุ ธิ์ของพระจติ เป็น
ธรรมท่ีซาบซงึ้ ทรงรูท้ รงเหน็ มาอย่างเตม็ พระทยั แลว้ ทรง
ประกาศธรรมนนั้ สอนโลก ดว้ ยพระเมตตาอยา่ งเต็มพระทยั
เรอ่ื ยมาจนถึงสมยั ปัจจบุ นั

ศาสนธรรมนนั้ จะเรยี กวา่ “พระเมตตาธรรมของ
พระพทุ ธเจา้ ” ก็ไม่น่าจะผิด เพราะทรงส่งั สอนโลกดว้ ยพระ

27

เมตตาจรงิ ๆ เม่ือพวกเรานาํ ธรรมท่ีพระองคท์ รงส่งั สอนนีไ้ ป
ประพฤตปิ ฏิบตั อิ ย่างถงึ ใจแลว้ จะไดเ้ หน็ สง่ิ ท่ีไมเ่ คยเหน็ สง่ิ ท่ีไม่
เคยรู้ ซง่ึ มีอยภู่ ายในใจนโี้ ดยลาํ ดบั ๆ จนเตม็ ภมู ขิ องการปฏิบตั ิ
และรูอ้ ยา่ งเตม็ ภมู ิ พน้ ทกุ ขอ์ ยา่ งเต็มใจ ไมม่ ีอะไรเป็นเคร่อื ง
เกาะเก่ียว เรยี กวา่ “ลา้ งป่าชา้ ” คอื ความเกิด ตายของจติ ของ
กายโดยสนิ้ เชงิ หายหว่ ง!

เม่ือถงึ ขนั้ นีแ้ ลว้ ก็ไมท่ ราบจะพดู อะไรตอ่ ไปอีก เพราะหมด
สติปัญญาจะพดู ตอ่ ไปไดอ้ ีก ทา่ นนกั ปฏบิ ตั กิ ็กรุณาปฏบิ ตั ฝิ ึกหดั
คดิ คน้ ธรรมทงั้ หลายจนหมดสติปัญญา เหมือนผแู้ สดงท่ีจน
ตรอกนี้ แมโ้ งแ่ สนโง่กจ็ ะขอชม และอนโุ มทนาดว้ ยอย่างถงึ ใจ เอ
วงั ฯ

(ถอดเสียงธรรมโดย www.luangta.com)
ท่ีมา: https://youtu.be/gdePzmo0b4c

28


Click to View FlipBook Version