เอกสารประกอบการสัมมนา ภายใต้โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 จัดทำโดย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หมู่ที่ 2 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ___________________________________________________________________________________ 1. หลักการและเหตุผล เมื่อสังคมโลกยุคใหม่ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจำวัน ครูในศตวรรษที่ 21 จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับการเรียนรู้ให้เท่าทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทั้งนี้ ต้องพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ใน วงการศึกษาทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้สามารถชี้แนะและส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลา นอกจากนี้ครูไทยในอนาคตยังต้องมีความรู้จริงในเรื่องที่สอน และต้องมีเทคนิควิธีการให้นักเรียนสร้างองค์ ความรู้จากประสบการณ์ รวมทั้งจัดกิจกรรมเชื่อมโยงความรู้จากแหล่งเรียนรู้ภายนอก ฝึกให้นักเรียนทำงานเป็นทีม เป็นนักออกแบบกิจกรรมเรียนรู้ที่เหมาะสม จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้และแสดงออกซึ่งความรักความ ห่วงใยต่อนักเรียน ทั้งนี้กระบวนการเรียนการสอนดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ผลได้ถ้าทุกภาคส่วนมีความร่วมมือ หาทางลด ปัญหาและอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนาครู ซึ่งแนวทางและความเป็นไปได้ในการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 นั้น ต้องดำเนินการทั้งด้านนโยบาย การบริหารและด้านการพัฒนาของครูทั้งนี้ครูยุคใหม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ตระหนักในด้านช่องว่างระหว่างวัย ความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนการใช้สื่อเทคโนโลยี กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนไปถึงประเด็นทางสังคมที่น่าสนใจที่ครูยุคใหม่ต้องมีความรู้ เข้าใจและตระหนัก เพื่อนำไปปรับใช้ให้เข้ากับ ยุคสมัยตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม
2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อเตรียมความพร้อมผู้เข้าร่วมอบรมให้พร้อมสู่การเป็นครูในศตวรรษที่ 21 2.2 เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการสอนและบทบาทของครูในยุคปัจจุบัน 2.3 เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาตนเองของผู้เข้าร่วมอบรม 3. ระยะเวลา/สถานที่ ดำเนินการ 3.1 ระยะเวลา วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. 3.2 สถานที่ ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 4. ขั้นตอนการดำเนินโครงการ กิจกรรม ระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ แต่งตั้งคณะกรรมการ 25 ธันวาคม 2565 ดร.นิยม อานไมล์ ประชุมคณะกรรมการจัดโครงการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนด ขอบเขตการจัดโครงการ 28 ธันวาคม 2565 ชนิสร สุวรรณเขตร์ ฐิติมา รุ่งเรือง ณัฐวดี ศรีคุณ นิชาภา เอี่ยมศิริ ติดต่อวิทยากร 5 มกราคม 2566 นิชาภา เอี่ยมศิริ จัดเตรียมสถานที่ 28 มกราคม 2566 ชนิสร สุวรรณเขตร์ ณัฐวดี ศรีคุณ จัดเตรียมข้อมูล รายละเอียดและ เอกสารประกอบการสัมมนา 25 มกราคม 2566 ชนิสร สุวรรณเขตร์ ฐิติมา รุ่งเรือง ณัฐวดี ศรีคุณ นิชาภา เอี่ยมศิริ ทำหนังสือเชิญเข้าร่วมโครงการ 28 มกราคม 2566 ฐิติมา รุ่งเรือง ณัฐวดี ศรีคุณ จัดสัมมนา 31 มกราคม 2566 ชนิสร สุวรรณเขตร์ ฐิติมา รุ่งเรือง
ณัฐวดี ศรีคุณ นิชาภา เอี่ยมศิริ ประเมินผลการจัดโครงการ 3 กุมภาพันธ์2566 ฐิติมา รุ่งเรือง นิชาภา เอี่ยมศิริ 5. ผู้เข้าร่วมโครงการ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หมู่ที่ 2 คณะครุศาสตร์สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 24 คน 6. ตัวชี้วัด 6.1 เชิงคุณภาพ 6.1.1. ผู้เข้าร่วมสัมมนา มีความรู้เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 6.1.2. ผู้เข้าร่วมสัมมนาทำแบบทดสอบหลังเรียนเรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ไม่ ต่ำกว่าร้อยละ 70% ของแบบทดสอบ 6.1.3 ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้ (สำรวจหลังจากดำเนิน โครงการแล้ว 60 วัน) 6.2 เชิงปริมาณ 6.2.1. มีผู้เข้าร่วมสัมมนา อย่างน้อย 80% หรือคิดเป็น 19 คน 7. งบดำเนินงาน งบประมาณเงินกองทุนพัฒนามหาวิทยาลัย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการตามยุทธศาสตร์ รายการโครงการประกันคุณภาพการศึกษาของฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา 7.1. ค่าวิทยากร 1.1 ค่าวิทยากร จํานวน 4 คน (เรทราชการ ชม.ละ 600) 7,200 บาท 2. ค่าอาหาร 2.1 ค่าอาหารกลางวัน จํานวน 24 คน (1 มื้อ 100 บาท) 2,400 บาท 2.2 ค่าอาหารว่าง จํานวน 24 คน (2 มื้อ 20 บาท) 480 บาท รวมค่าอาหาร 2,480 บาท 3. ค่าวัสดุจัดทำเอกสาร (ชุดละ 100 บาท) 2,400 บาท 4. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 5,000 บาท
รวมเป็นเงิน 17,480 บาท หมายเหตุ * ถัวเฉลี่ยทุกรายการ 8. ผู้รับผิดชอบโครงการ นางสาวชนิสร สุวรรณเขตร์ นางสาวฐิติมา รุ่งเรือง นางสาวณัฐวดี ศรีคุณ นางสาวนิชาภา เอี่ยมศิริ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 9.1 ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสเตรียมความพร้อมสู่การเป็นครูในศตวรรษที่ 21 9.2 ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการสอนและบทบาทของครูในยุคปัจจุบัน 9.3 ผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันเสนอแนวทางในการพัฒนาตนเอง
กำหนดการ โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 12.40 - 13.00 ลงทะเบียน 13.05 – 13.20 พิธีเปิดโครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยดร. นิยม อานไมล์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์ 13.25 – 13.40 เริ่มการบรรยาย เรื่อง ลักษณะสำคัญและแนวทางการพัฒนาตนเอง ของครูในศตวรรษที่ 21 โดย อ. ฐิติมา รุ่งเรือง อาจารย์คณะคึกษา ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 13.40 – 13.50 พักเบรก 13.50 – 14.20 บรรยาย เรื่อง ช่องว่างระหว่างวัยและความสัมพันธ์ของครูกับ นักเรียนบนพื้นฐานทางจริยธรรม โดย คุณนิชาภา เอี่ยมศิริ นักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น 14.20 – 14.30 พักเบรก 14.30 – 15.00 บรรยาย เรื่อง การใช้สื่อเทคโนโลยีกฎหมาย PDPA และข้อควร ระวังในการใช้สื่อฉบับในโรงเรียน โดย คุณณัฐวดี ศรีคุณ นักวิชาการ คอมพิวเตอร์ 15.00 – 15.30 บรรยาย เรื่อง ประเด็นทางสังคมที่ครูควรรู้ โดย คุณชนิสร สุวรรณเขตร์นักวิชาการการศึกษา 15.30 – 16.00 แลกเปลี่ยนความรู้ ตอบข้อซักถาม และสรุปการสัมมนา หมายเหตุ : กําหนดการนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
เอกสารประกอบการสัมมนา โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ลักษณะสำคัญและแนวทางการพัฒนาตนเองของครูในศตวรรษที่ 21 โดย อ. ฐิติมา รุ่งเรือง อาจารย์คณะคึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้บรรยาย วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ลักษณะสำคัญและแนวทางการพัฒนาตนเองของครูในศตวรรษที่ 21 ลักษณะสำคัญของครูในศตวรรษที่ 21 ครูที่ดีต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอย่างสม่ำเสมอ หากครูขาดการพัฒนาตนเอง ไม่ค้นคว้าหาความรู้ที่ ปรับเปลี่ยน ไม่แสวงหาวิธีการจัดการเรียนรู้ให้เท่าทันกับยุคสมัย ก็จะพลอยทำให้ครูตกยุคของเรียนรู้ได้ ครูใน ศตวรรษที่ 21 จึงต้องปรับตัวเร็วและยืดหยุ่นกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งครูควรมีการเรียนรู้ในลักษณะต่างๆที่ หลากหลายให้เหมาะสมกับยุคสมัย 1. การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของห้องเรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนทุกคนล้วนมีความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างกัน การเรียนการสอนจึงไม่ใช่เป็นไปตาม ความต้องการของครูเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีส่วนร่วมสร้างเสริมบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย เอื้อประโยชน์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเต็มตามศักยภาพ ซึ่งสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีจะช่วย กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียน 2. ผู้เรียนคือผู้ผลิตความรู้ด้วยตนเอง เมื่อสังคมก้าวผ่านสู่การเรียนรู้ในยุคใหม่โดยใช้ความรู้ที่สั่งสมในยุคที่ผ่านมาเพื่อพัฒนานวัตกรรม และ นำไปสู่การสร้างคุณค่าต่อการดำรงชีวิต เทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ อันมหาศาลที่สามารถเข้าถึง ได้แบบไม่จำกัดเวลาจำกัดสถานที่ ดังนั้น การติดต่อสื่อสารและการเชื่อมโยงข้อมูลสะดวก ประหยัด รวดเร็ว ความรู้ จึงไม่ควรเป็นการเรียนเพื่อสอบและประเมินผลการเรียน แต่หากเป็นการประเมินการเรียนรู้ที่เป็นไปตามศักยภาพ รู้จักนำข้อมูลสารสนเทศที่หลากหลายมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าต่อการตัดสินใจในการสร้าง นวัตกรรมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต 3. บูรณาการความรู้ต่างๆที่มีมาใช้ในการสร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ความรู้มีอย่างมหาศาล แต่การนำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตและการทำงานจำเป็น ต้องมี วิธีการนำมาใช้อย่างฉลาดรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศได้เปลี่ยนแปลง วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ความรู้ต่างๆ ล้วนได้รับการพัฒนาและต่อยอดจากผลงานวิจัยที่มาแต่ก่อนและผ่านการ ยอมรับโดยแวดวงทางวิชาการ การนำความรู้มาบูรณาการจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบข้ามศาสตร์จนนำไปสู่การ สร้างนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลายรูปแบบ อาทิ การข้ามศาสตร์ระหว่างดนตรี ศึกษากับฟิสิกส์ ซึ่งเป็นศาสตร์ของมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ การเล่นดนตรีต้องมีความรู้เรื่อง
เสียง ความถี่ รูปทรง รูปร่าง การออกแบบเครื่องดนตรี ในขณะที่ทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เกี่ยวพันกับ สุนทรียะ วัฒนธรรม การจรรโลงใจ การเชื่อมโยงความเป็นชุมชน หากครูทำความเข้าใจข้ามศาสตร์ก็จะสร้างมูลค่า ทางความคิดและเกิดคุณค่าในการสร้างสรรค์นวัตกรรม 4. แบบอย่างทางสังคม มีจรรยาบรรณ คุณธรรม จริยธรรม ครูก็เปรียบดังผู้ที่ออกแบบสังคมในโลกปัจจุบันและอนาคต สามารถชี้นำความคิดและวิธีการดำรงชีวิตของ คนในสังคมโดยใช้ กระบวนการทางการศึกษาเป็นเครื่องมือนำพาผู้เรียนสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การเป็น แบบอย่างที่ดีโดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม และ จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ จะเป็นหนทางนำไปสู่การสร้างตัวแบบ ที่ดี ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข รวมทั้งการเป็นต้นแบบในจริยวัตรการครองตน ครอง คน ครองงาน มีจรรยาบรรณในวิชาชีพครู มีคุณธรรม และจริยธรรม ซึ่งการเป็นต้นแบบที่ดีก็จะสร้างสังคมคุณภาพ ในการเป็นตัวแบบนั้นต้องเป็นผู้ที่มีลักษณะของการเป็นนักคิด นักแก้ปัญหา นักปฏิบัติและลงมือทำอย่างมุ่งมั่นเพื่อ ก่อให้เกิดผลิตผลของงานอย่างสร้างสรรค์ ครูต้องสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้แก่ผู้เรียน โดยที่ครูเป็น ต้นแบบทางการเรียนรู้ (Learning idol) ที่ผู้เรียนสามารถยึดมั่นและนำไปเป็นกรอบแนวคิดในการเรียน การทำงาน และการดำรงชีวิตได้ 5. พัฒนาทักษะกระบวนการคิดขั้นสูง การคิดเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง หากวิธีการคิดนั้นผิดพลาดหรือ คลาดเคลื่อนย่อมนำไปสู่ความสำเร็จของงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การมีทักษะการคิดขั้นสูงสามารถทำได้ หลากหลายวิธี ทั้งนี้ ขึ้นกับสภาพแวดล้อมและสภาพปัญหาที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการหาแนวทางแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์การคิดตัดสินในอย่างมีเหตุผล ทำให้เกิดสังคมแห่ง การเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตย 6. ส่งเสริมการเรียนรู้ตามวัยและเต็มตามศักยภาพ การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดและดำรงชีวิต ผู้ที่เรียนรู้ตลอดเวลาย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น สามารถปรับตัว และดำรงชีพอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข สามารถพัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างเต็มที่ การอ่านหนังสือหรือค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิจัย การค้นคว้าวิทยาการใหม่ในประเด็นที่ร่วมสมัยย่อมสร้าง มูลค่าทางวิชาการแก่ตัวครู การเข้าร่วมเวทีประชุมวิชาการ การทำวิจัยในชั้นเรียนและการเผยแพร่ผลการวิจัยย่อม ช่วยให้ครูสร้างชุมชน วิชาชีพและชุมชนวิชาการได้อย่างดี ครูจะค้นพบศักยภาพแห่งตนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เกิดความ ภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตนเอง พร้อมที่จะเรียนรู้และรับสิ่งใหม่ๆ ในการพัฒนาตนเองได้อย่างมีความสุข อาจ
กล่าวได้ว่าการเรียนรู้ในยุคใหม่นั้นมีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ ซึ่งครูจะต้องเข้าร่วมชุมชนทางวิชาการและ ชุมชนวิชาชีพที่จะดึงศักยภาพของตนเองให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆได้ การปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธี ทำงานและประเมินตนเองในการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ก็จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนด้วย 7. มีวิสัยทัศน์และตกผลึกทางความคิด การตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ การกำหนดวิสัยทัศน์ เป็นการสร้างแรงจูงใจที่จะบรรลุความสำเร็จตามที่ คาดหวัง แต่การจะบรรลุซึ่งวิสัยทัศน์นั้นครูต้องเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจในบางมิติของการทำงาน รู้จักวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานของการทำงานอย่างสร้างสรรค์ การเป็นนักคิดก็จะช่วยให้มองโลกอย่างรอบด้าน ไม่มี อคติต่อบุคคลหรือระบบการทำงาน หากแต่มองไปที่เป้าหมายว่าจะทำอย่างไรให้ผู้เรียนบรรลุศักยภาพในการ เรียนรู้อย่างแท้จริง การเรียนรู้ที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจ (Motivation) ก็ย่อมเกิดจากแรงบันดาลใจที่เป็นตัวขับให้เกิด การเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตใจ และแสวงหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาหรือทำให้งานนั้นบรรลุซึ่งความสำเร็จ ทั้งนี้ก็ ต้องมีหลักคุณธรรม จริยธรรม ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจและกรอบนำทางที่จะให้งานนั้นมีประสิทธิภาพ ครูทำงานอย่างมี ความสุขบนพื้นฐานของหลักคิดที่เหมาะสม 8. ฉลาดรู้ในการใช้เทคโนโลยี โลกแห่งข้อมูลข่าวสารและความก้าวหน้าของวิทยาการสารสนเทศได้เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆที่หลากหลาย ไว้ ด้วยกัน การรับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลที่นาเชื่อถือจนสามารถนำไปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญที่ จะต้องมีการทำความเข้าใจ ครูควรพัฒนาตนเองโดยการค้นคว้าต่อยอดความรู้ต่างๆจากแหล่งเรียนรู้ เรียนรู้ผ่าน เทคโนโลยีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมทั้งรู้จักนำเทคโนโลยี สื่อ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆมาบูรณาการร่วมกับการ เรียนการสอน 9. มองโลกแบบองค์รวม ความรู้ต่างๆ ในชีวิตไม่ได้แยกส่วน หากแต่ระบบการศึกษาต่างหากที่แยกความรู้เป็นส่วนๆ เพื่อให้ง่ายและ สะดวกต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น การเรียนในสถานศึกษาจึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เข้าใจทฤษฎีที่เหมาะสม แต่ผู้เรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ที่แยกย่อยสู่องค์รวมในการนำไปใช้แก้ปัญหาและดำรงชีวิต ครูยุคใหม่จึง พยายามเหนี่ยวนำให้ผู้เรียนได้มองเห็นภาพของการทำงานและดำรงชีวิตในลักษณะองค์รวม รู้จักบูรณาการความรู้ รู้จัก ทำความเข้าใจในศาสตร์อื่นๆ ทำความเข้าใจในความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่ามุมมองของความรู้มีหลายมิติใน การนำไปใช้ ทั้งนี้ขึ้นกับบริบทและสภาพแวดล้อมในช่วงเวลานั้น
10. ปฏิรูปตนเองอย่างสม่ำเสมอ ครูที่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคือครูที่มีชีวิต หากหยุดการเรียนรู้และครูปล่อยให้ตนเองลอยไปกระแสของ ความรู้ ย่อมอาจไม่ดีแน่ เนื่องจากวิทยาการต่างๆมีพลวัตและขับเคลื่อนสังคมอย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนก็มีพัฒนาการ ร่วมกับความทันสมัยของเทคโนโลยี และองค์ความรู้ใหม่ๆที่ได้รับการผลิตจากทั่วโลกความรู้ทุกวันนี้สามารถ เชื่อมโยงถึงกันอย่างฉับไว และสะดวกต่อการนำความรู้มาต่อยอด ครูจึงต้องปฏิรูปตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้ ปรับตัวให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงและเป็นต้นแบบที่ดีในการเรียนรู้ ปรับบทบาทในการทำงานได้อย่าง ยืดหยุ่น มีทักษะชีวิตและทักษะในการทำงาน ครูต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน ที่ปรึกษาในการพัฒนาตนเอง ต้นแบบของการดำรงชีวิต นักคิด ออกแบบการเรียนรู้และการประเมินการเรียนรู้นัก สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นนักเรียนรู้ โดยที่แต่ละบทบาทนั้นล้วนใช้หลักการเรียนการสอนผนวกเทคโนโลยีที่ เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้แต่ละบทบาทของครูนั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่สังคมได้ แนวทางในการพัฒนาตนเองของครูในศตวรรษที่ 21 ครูที่ดีสร้างผู้เรียนที่ยิ่งใหญ่ได้ (Good teacher makes great students) ครูที่ดีจึงมีบทบาทสำคัญในการ สร้างแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองซึ่งควรมีลักษณะอย่างน้อย 10 ประการ ได้แก่ มีความรู้ เนื้อหาสาระที่ทันสมัย ถูกต้องและครบถ้วน (Content) สามารถใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนได้ (Computer & ICT) มีความสามารถทางการคำนวณ (Computing) ในการคาดคะเนที่นำไปสู่การพยากรณ์ได้ ยึด มั่นในอาชีพและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพครู (Career) ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงในการครองตน ครองคน และครอง งาน สามารถติดต่อสื่อสาร(Communication) ประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการสร้างเครือข่าย (Connection) การทำงานทั้งในและนอกสถาบันได้ และเรียนรู้ร่วมกันผ่านเครือข่ายออนไลน์ (Collaboration) ได้ อย่างเท่าทัน การสร้างสรรค์ (Creativity) นวัตกรรมทางความคิด และต่อยอดสู่การพัฒนาการเรียนการสอนได้ อย่างเหมาะสมตามธรรมชาติและศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ขณะเดียวกันต้องทำงานอย่างมีวิจารณญาณ ใช้ สติ มีความภูมิต้านทางทางความคิด ซึ่งการมีสติย่อมเกิดจากจิตวิพากษ์วิจารณ์ รู้จักไตร่ตรองมองสภาพปัญหาอย่าง ลึกซึ้ง (Critical mind) จนนำไปสู่ปัญญาในการทำงานอย่างมีความสุข (Contemplation) โดยแนวคิดหลัก 10 ประการ หรือ 10C จะช่วยพัฒนาลักษณะของ การเป็นครูในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างปกติสุข พร้อมที่จะปฏิรูปตนเอง สู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตามลำดับการพัฒนาตนเองนั้นมีแก่นสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มให้เป็นครูมืออาชีพ
เอกสารประกอบการสัมมนา โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ช่องว่างระหว่างวัยและความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนบนพื้นฐานทางจริยธรรม โดย คุณนิชาภา เอี่ยมศิริ นักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น ผู้บรรยาย วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ช่องว่างระหว่างวัยและความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนบนพื้นฐานทางจริยธรรม ช่องว่างระหว่างวัย การทำงานร่วมกันกับผู้ร่วมงานที่มีช่วงอายุต่างกัน ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ถึงเบื้องหลัง (Background) ของแต่ละช่วงอายุคนในแต่ละยุค ซึ่งสามารถแบ่งช่วงอายุในแต่ละยุคออกได้เป็น 4 ยุค คือ 1. ยุค Baby Boom เป็นกลุ่มคนที่เกิดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ พ.ศ. 2489-2504 เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา และฟื้นฟูประเทศหลังเหตุการณ์สงครามโลกยุติจะเป็นกลุ่มที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์มีกติกา มีวินัย มีความทุ่มเทและความอดทน ให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้ง ยังมีแนวคิดที่จะต้องทำงานหนัก เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานให้กับองค์การมาก คนกลุ่มนี้ มักจะไม่เปลี่ยนงานบ่อย เนื่องจากมีความจงรักภักดีต่อองค์การอย่างมาก คนกลุ่มนี้จึงเป็นพวกที่ทำงานหนัก ทุ่มเท การทำงานด้วยจิตวิญญาณ (Monozukuri) หามรุ่งหามค่ำ เมื่อใดก็ตามที่คนกลุ่มนี้เคลื่อนตัวไปที่ไหน ก็จะส่งผลให้ เกิดการขับเคลื่อนทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้นๆ 2. ยุค Generation X เป็นกลุ่มลูกหลานจากกลุ่ม Baby Boom ประมาณ พ.ศ. 2505-2520 เป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลการทำงาน ถ่ายทอดมาจากกลุ่ม Baby Boom ซึ่งได้วางรากฐานไว้แล้วเพื่อการต่อยอด แต่คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนที่ทำงาน โดยมีความใฝ่ฝันที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง มีความทะเยอทะยานสูง มีความตั้งใจ ทุ่มเท และทำงานอย่าง จริงจัง เป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องความ สมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance) มีแนวคิดการทำงานในลักษณะ “รู้ทุกอย่างทำทุกอย่าง” ได้ เพียงลำพัง ไม่ต้องพึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง ความคิดเห็นที่แตกต่างเพื่อการปรับปรุงและ พัฒนาตนเอง ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังจะก้าวไปสู่ผู้บริหารระดับสูง 3. ยุค Generation Y เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วง 2521-2536 คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกกินบุญเก่าที่ได้รับจากกลุ่มคนในยุค Baby Boom และ Generation X ที่ได้ปูพื้นฐานและสร้างทางไว้ให้แล้ว คนกลุ่มนี้จึงมีความต้องการอยากได้ที่ทำงาน สบายๆ มีความเป็นส่วนตัวสูง มีความสมดุลในชีวิต เป็นยุคอาหารชีวจิตบริโภค เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมา พร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบ
และไม่ชอบเงื่อนไขที่ผูกพันมากนัก โดยทั่วไปคนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเอง และองค์การอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารและยังสามารถทำงาน หลายๆอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่า มีไฟแรงพร้อมที่จะลุยงานได้ทุกเรื่อง 4. ยุค Generation Z เป็นกลุ่มคนที่เกิดช่วง 2537-2552 ปัจจุบันจะเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถหลากหลาย มีทักษะ ความสามารถหลายด้านคนกลุ่มนี้จึงชอบการทำงานแบบอิสระ (Freelance) เป็นกลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรงแต่ ยังอ่อนต่อประสบการณ์สนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำหรือบาง คนมีแผนที่จะเรียนต่อ แต่ไม่ชอบเงื่อนไขการทำงานที่มีการผูกมัดตัวเอง เนื่องจากมีความรู้สึกที่ว่าองค์การจะเอารัด เอาเปรียบตน คนกลุ่มนี้จึงชอบการแสดงออกมีความเป็นตัวของตัวเองสูงสำหรับกลุ่มคนที่เกิดช่วง 2553 เป็นต้นไป จะเป็นกลุ่มที่อยู่ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง อนาคตจึง เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน การแก้ไขช่องว่างระว่างวัย การแก้ไขช่องว่างระหว่างวัย ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างในพื้นฐาน (Background) ของแต่ละกลุ่มบุคคล และต้องยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน การพิจารณาคนที่มีความเชื่อหรือมีทัศนคติต่อชีวิตที่ไม่ เหมือนกันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดีเสมอไป ทุกคนย่อมมีจุดแข็ง จุดอ่อน จุดที่เป็นโอกาสและจุดที่เป็น อุปสรรคไม่มากก็น้อย จึงต้องให้โอกาสคนๆนั้นแสดงผลงานแทนที่จะต่อต้านไม่ยอมรับทุกกรณี ดังนั้น จึงต้อง พิจารณาหาจุดแข็ง จุดอ่อน จุดที่เป็นโอกาสและจุดที่เป็นอุปสรรคของแต่ละคนในแต่ละกลุ่มให้พบ จากนั้นต้อง ใช้ทักษะในการบริหารความแตกต่างและเปลี่ยนวิธีในการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องร่วมทำงานด้วย ก็ จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความราบรื่น เข้าใจกันและทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ในสังคมไทยการมีสัมมาคาราวะเป็นสิ่งที่สำคัญในวัฒนธรรมไทย การให้เกียรติและให้ความเคารพต่อ ผู้ใหญ่จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อเราให้เกียรติผู้ใหญ่ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติเรา หากบังเอิญเรามีตำแหน่งสูงกว่า ผู้สูง วัยกว่าเรา ก็จงแสดงความชื่นชมต่อผู้สูงวัยในฐานะที่มีวัยวุฒิสูงกว่าหรือในด้านการเป็นเสาหลักขององค์การและจง รับฟังเมื่อกลุ่มผู้สูงวัยถ่ายทอดประสบการณ์ถึงในอดีตของการต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจนผ่านพ้นความ ยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือสิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มีและไม่รู้จัก อย่าได้มีมุมมองอย่างเด็ดขาดว่ากลุ่มผู้สูงอายุ คือ หมาล่าเนื้อที่ไม่มีที่ไป แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณหรือเลยวัยเกษียณได้นั้น เป็นเพราะกลุ่มผู้สูงวัย
เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด เพื่อให้การร่วมงานเกิดอุปสรรค ช่องว่างระหว่างวัยให้ น้อยที่สุด สามารถสรุปแนวทางในการทำงานร่วมกับคนในยุคต่างๆ ได้ดังนี้ เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนกลุ่ม Baby Boom การร่วมทำงานกับคนกลุ่ม Baby Boom นั้น จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ คนกลุ่มนี้แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าตัวเราจะเก่งกาจหรือจะประสบความสำเร็จเพียงใด เราก็ยัง ต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าได้ทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้วรินเท่าไรก็ล้นออกมาหมด อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนักคือ การถูกเอาเปรียบ เพราะคนกลุ่ม Baby Boom จะให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน เห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่าง ทุ่มเท (Monozukuri) และยึดถือวัฒนธรรมองค์การ หากต้องทำงานในองค์การใหญ่ๆที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่ง บริหารงานโดยคนกลุ่มนี้ควรพยายามเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมองค์การเสียก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีการ เจริญเติบโตอย่างไรก่อนที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนกลุ่ม Generation-X การทำงานกับคนกลุ่ม Generation–X จะต้องพูดให้กระชับชัดเจนและไม่อ้อมค้อม เพราะคนกลุ่มนี้จะ ชอบความตรงไปตรงมา หากเราสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย เราสามารถใช้ E-mail กับคนกลุ่มนี้ได้ แต่หากเป็นเรื่องใหญ่จริงๆควรพูดต่อหน้า เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ชอบการถูกบงการ เพียงให้นโยบายกว้างๆเปิดโอกาส ให้คนกลุ่มนี้ได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด สำหรับผู้บริหารกลุ่ม Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อคนกลุ่ม Generation–X ในการทำงานหนักโดยไม่มีวันหยุดหรือก้าวไปอย่างช้าๆอย่างรุ่นตนเอง เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการ ชีวิตที่สมดุลและไม่ชอบการอยู่ติดที่ เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนกลุ่ม Generation-Y ปัจจุบันเนื่องจากคนกลุ่มนี้กำลังเป็นวัยทำงาน ดังนั้น กุญแจสำคัญในการทำงานร่วมกับคนกลุ่ม Generation–Y คือ การให้ความรัก ให้กำลังใจ และให้รางวัล ซึ่งในบริบทขององค์การก็คือจะต้องมีกลุ่มคนที่คอย ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลการทำงานของคนกลุ่มนี้ การจัดให้มีพี่เลี้ยงและมอบหมายงานที่ท้าทายไม่น่าเบื่อ ซึ่งความ จงรักภักดีของกลุ่มคนนี้จะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้บริหารที่อยู่เหนือโดยตรง ซึ่งจะต้องทำให้คนกลุ่มนี้มี ความรู้สึกว่า ได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากผู้บริหาร โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การจัดทำนามบัตรให้ การ ให้โอกาสได้แสดงความคิดเห็นในการเข้าร่วมประชุมในระดับบริหาร เป็นต้น ซึ่งจะทำให้คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่า ตัวเองมีค่า จะเป็นการผูกใจให้อยู่ร่วมกับองค์การนานๆ สิ่งที่ผู้บริหารควรคำนึงในการร่วมงานกับคนกลุ่มนี้ คือ การ ยืดหยุ่นเรื่องสถานที่ทำงาน สามารถทำงานทางอินเทอร์เน็ตหรือทำงานอยู่ที่บ้านได้ โดยผลงานยังคงยอดเยี่ยม
เหมือนเดิม การจัดอบรมให้พนักงานอย่างสม่ำเสมอจากผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงเพื่อเพิ่มเติมความรู้และทักษะ ใหม่ๆ ต้องมีความชัดเจนในการจัดการจากผู้บริหารระดับสูงหรือผู้มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาได้จริงและรวดเร็ว ต้องให้ความชัดเจนในขอบเขตหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบดำเนินการในการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ ผลงานออกมาตามที่องค์การต้องการ โดยพร้อมที่จะให้หัวหน้าตรวจสอบได้ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้บริหารระดับสูง ไม่ ควรปล่อยให้คนกลุ่ม Generation–Y ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงหลุดออกจากองค์การไป ควรหาช่องทางหรือ โอกาสใหม่ๆในการทำงาน เพื่อดึงดูดคนกลุ่มนี้ไว้ จะเป็นการเพิ่มผลประโยชน์ให้แก่องค์การทั้งยังเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพให้แก่พนักงานในองค์การอีกด้วย เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนกลุ่ม Generation-Z คนกลุ่ม Generation-Z จะมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทันสมัย การเข้าร่วมทำงานกับคนกลุ่มนี้ต้องลอง ท้าทายคนกลุ่มนี้ด้วยภารกิจใหม่ๆคนกลุ่มนี้จะชอบ การเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบเป็นเสมือนการให้ คำชม จงเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับ ความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้ก็จะได้รับการยอมรับผู้ใหญ่จากคนกลุ่มนี้เช่นกัน คนกลุ่มนี้จึงชอบให้ผู้บริหารหรือ หัวหน้าแสดงออกต่อสิ่งที่ตนเองกำลังทำเพราะความรู้สึกและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานมีผลต่อคนกลุ่มนี้มาก ความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียน ในสภาพที่นักเรียนรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่ รับฟัง เห็นอกเห็นใจจากครู นักเรียนจะรู้สึกอบอุ่นและมี กำลังใจที่จะเรียน ยิ่งกว่านั้นในหลักการของ relational mindset ครูมีความเชื่อว่า ชีวิตของคนเรามีความเชื่อมโยง ถึงกัน ครูจะมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นสิ่งแรก ส่วนความสัมพันธ์ในฐานะครูกับศิษย์เป็น ที่สอง สิ่งสำคัญที่สุด คือ ครูต้องเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของศิษย์ในทุกด้านทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เอาใจใส่ ศิษย์เป็นรายคน แสดงความรักความเอาใจใส่ให้ศิษย์รู้สึก ข้อมูลหลักฐานที่บอกว่าปฏิสัมพันธ์ที่ดีช่วยการเรียนรู้ของศิษย์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยสามารถมีปฏิสัมพันธ์ห่างออกไปจากตัวได้ถึง 6 ชั้น นักเรียนมีความต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับครูเพื่อให้ช่วยตีความประสบการณ์ส่วนตัวของนักเรียนเข้ากับ บทเรียน และเพื่อนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยน รวมทั้งร่วมกิจกรรมการทำงานเป็นทีม
ความสัมพันธ์ที่ดีกับครูจะช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน ผลงานวิจัยชี้ชัดว่า นักเรียนจากครอบครัวยากจน ขาดแคลนหรือไม่มั่นคง ต้องการความสัมพันธ์นี้มากกว่านักเรียนจากครอบครัวที่ฐานะและสภาพสังคมดี โดยที่ effect size* ของปฏิสัมพันธ์ที่ดีของครูต่อนักเรียนที่มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เท่ากับ 0.72 สำหรับนักเรียน ทั้งหมด ตัวเลขนี้ของนักเรียนชั้นมัธยมสูงถึง 0.87 และมีหลักฐานจากงานวิจัยว่า เมื่อครูสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีอย่าง ได้ผล นักเรียนจากครอบครัวรายได้ตํ่า มีผลการเรียนรู้เท่าเทียมกันกับนักเรียนกลุ่มรายได้สูง ผลงานวิจัยบอกว่าปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชั้นเรียน ช่วยเพิ่มความเอาใจใส่การเรียนของนักเรียนจากหลายกลไก ได้แก่ 1. ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างศิษย์กับครู 2. ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยในชั้นเรียน ซึ่งจะเพิ่มการแสดงบทบาทในชั้นเรียน 3. ช่วยให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้น ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ และครู ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าระดับปฏิสัมพันธ์เชิงบวกหรือลบในชั้นเรียนนี้ใช้ทำนายได้ว่านักเรียนแต่ละคนมีโอกาส สูงตํ่าแค่ไหนในการออกจากการเรียนกลางคัน มีความแม่นยำพอๆ กันกับระดับไอคิว และพอๆ กันกับระดับผลการ เรียน จำชื่อศิษย์และเรียกชื่อ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนเริ่มจากการรู้จักชื่อ ครูต้องจำชื่อศิษย์และรู้จักศิษย์เป็นรายคน เมื่อครูเรียกชื่อ ศิษย์ต้องยิ้มให้และมองตา วิธีช่วยให้จำหน้าและชื่อศิษย์ได้มีหลากหลายวิธี เช่น - แนะนำตัว ในช่วงต้นของปีการศึกษา ให้นักเรียนแนะนำชื่อของตนเองทุกครั้งที่พูด หากมีนักเรียนในชั้น 30 คน การแนะนำตัวนี้ทำใน 30 วันแรกของชั้นเรียน หากมีนักเรียน 20 คน ก็ให้แนะนำตัวใน 20 วันแรก - ป้ายชื่อประจำโต๊ะ ให้นักเรียนทำป้ายชื่อตนเองวางบนโต๊ะ โดยทำจากกระดาษดัชนี (index card) พับ สองตามยาว มีกล่องใส่ป้ายชื่อให้นักเรียนไปหยิบมาตั้งที่โต๊ะทุกเช้า และเก็บในตอนเย็น หลัง 2 สัปดาห์ครูซ้อมเอา ป้ายชื่อไปวางที่โต๊ะนักเรียนเอง - ทดสอบตนเอง เมื่อนักเรียนเข้ามาในห้อง ขานชื่อนักเรียน บอกนักเรียนว่า นักเรียนแต่ละคนจะเข้าห้อง ได้เมื่อครูขานชื่ออย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น การขานชื่อต้องทำพร้อมกับยิ้มและสบตา ‘สมชาย ครูดีใจที่พบเธอวันนี้’ -ขานชื่อเมื่อคืนกระดาษคำตอบ ‘สมศรี หนูเขียนตัวสะกดการันต์ถูกทั้งหมด’
- สัมภาษณ์ จับคู่นักเรียน ให้ใช้เวลา 2-3 นาที สัมภาษณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่คาดคิด แล้วให้ แนะนำเพื่อนต่อชั้นเรียน โดยใช้เวลาแนะนำคู่ละ 1 นาที ปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชั้นเรียนช่วยยกระดับการเรียนรู้ ปฏิสัมพันธ์นี้มีทั้งระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่าง เพื่อนนักเรียนด้วยกัน ครูต้องมีวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเคารพนับถือ และความไว้ เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน แนะนำให้นักเรียนเรียกชื่อเพื่อน แนะนำต่อนักเรียนว่า เมื่อมีกิจกรรมจับคู่ในชั้นเรียน ให้ แนะนำชื่อตนเองโดยสบตาเพื่อน แล้วกล่าวคำทักทายและจับมือ สร้าง “กระเป๋าตัวฉัน” นี่คือเครื่องมือให้นักเรียนรู้จักครู ในหลากหลายแง่มุมของชีวิต และนำไปสะท้อนคิดเชื่อมโยงกับชีวิตของ ตนเอง ทำโดยครูหาสิ่งของพื้นๆ เช่น ตั๋ว ภาพถ่าย ใบเสร็จ กุญแจ บันทึก และอื่นๆ ที่บอกเรื่องราวของตัวครู ใส่ใน ถุงผ้าหรือถุงกระดาษ เอามาใช้เวลา 7-10 นาที เล่าเรื่องของตนเอง เมื่อนักเรียนที่มีชีวิตยากลำบากได้ฟัง ประสบการณ์ความยากลำบากของคนอื่น ก็จะใจชื้นว่าตนไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญความยากลำบาก การแชร์ เรื่องราวชีวิตส่วนตัวช่วยทะลายกำแพงกั้นระหว่างบุคคล สิ่งที่ครูแชร์ต้องเป็นเรื่องจริง นักเรียนต้องการครูที่ซื่อสัตย์ และจริงใจแลกเปลี่ยนปัญหาประจำวัน นี่คือกระบวนการไปสู่การทำหน้าที่แบบอย่าง (role model) ให้แก่นักเรียน เด็กๆ ต้องการคนที่ตนนับถือและเชื่อถือ นำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ครูควรแชร์ประสบการณ์ชีวิตของตนสั้นๆ ราวๆ 3 นาที สัปดาห์ละครั้ง ตามด้วยการให้นักเรียนสะท้อนคิด ว่ามันสะท้อนภาพชีวิตของผู้ใหญ่อย่างไร หากเป็นตัวนักเรียนเองจะเผชิญสภาพเช่นนั้นอย่างไร หากเป็นเรื่องที่ เชื่อมโยงสู่บทเรียนของชั้นเรียนได้ยิ่งดีกิจกรรมนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ 3 ประการ สำหรับนักเรียน หนึ่ง – ชีวิตของคนเราย่อมต้องมีปัญหา เล็กบ้างใหญ่บ้าง สอง – ไม่ว่าปัญหาใหญ่แต่ไหน ย่อมแก้ไขได้เสมอขึ้นอยู่กับ วิธีการแก้ปัญหา สาม – ในกระบวนการเล่าวิธีแก้ปัญหาของครู ครูได้แชร์ค่านิยม เจตคติ และวิธีการบรรลุ ความสำเร็จแลกเปลี่ยนเป้าหมายและความก้าวหน้า การแลกเปลี่ยนเป้าหมายชีวิต เป็นเครื่องมือสร้าง ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครูกับศิษย์ ครูจำนวนมากพยายามแยกความสัมพันธ์กับศิษย์ ในฐานะครู-ศิษย์ ออก จากความสัมพันธ์แบบมนุษย์-มนุษย์ แต่นักเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนจากครอบครัวที่ขาดแคลนชอบเรื่องราว ของเป้าหมาย การที่ครูแชร์เป้าหมายชีวิตของตนจึงเป็นวิธีการที่ทรงพลังมากในการพัฒนาชุดความคิดเชิง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (relational mindset) ทั้งของครูและของศิษย์ แนะนำให้ครูเขียนเป้าหมายชีวิตส่วนตัวของตนและติดประกาศไว้ในชั้นเรียนโดยที่นักเรียนทุกคนก็ทำ เช่นเดียวกัน ครูแชร์ความก้าวหน้าสู่เป้าหมายนั้นอย่างสม่ำเสมอทั้งปีหรือทั้งเทอม และในขณะเดียวกันครูก็ติด
ประกาศเป้าหมายของชั้นเรียนด้วย ตัวอย่างของเป้าหมาย ได้แก่ เข้าร่วมโครงการของชุมชน เริ่มกินอาหารถูก สุขลักษณะ และออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ดำเนินการให้ครบตามรายการพัฒนาการสอน วิ่งออกกำลังให้ได้ 5 กิโลเมตร การให้คำแนะนำ ทำสวน ฝึกเล่นกีฬา ช่วยเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของโรงเรียน เมื่อเวลาผ่านไป ครูแชร์ เรื่องราวความสำเร็จตามเป้าหมายรายทาง ก็เฉลิมฉลองความสำเร็จและแชร์วิธีดำเนินการสู่ความสำเร็จนั้นเพื่อให้ นักเรียนได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมมีปัญหาหรืออุปสรรคเสมอ คนเราต้องมุ่งมั่นเผชิญปัญหาและหาทาง เอาชนะเพื่อบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กิจกรรมนี้จะเป็นตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่าครูก็กำลังเรียนรู้และ เติบโตเช่นเดียวกันกับนักเรียน
เอกสารประกอบการสัมมนา โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 การใช้สื่อเทคโนโลยีกฎหมาย PDPA และข้อควรระวังในการใช้สื่อฉบับในโรงเรียน โดย คุณณัฐวดี ศรีคุณ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ ผู้บรรยาย วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
การใช้สื่อเทคโนโลยีกฎหมาย PDPA และข้อควรระวังในการใช้สื่อฉบับในโรงเรียน การใช้สื่อเทคโนโลยีSocial Network เครือข่ายสังคมออนไลน์ ความหมาย “เครือข่ายสังคมออนไลน์” แนวคิดเรื่อง (Social Network) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ มัก ปรากฏให้เห็นในลักษณะของการนำมาใช้เพื่อดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ โดยมีตัวบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันแลกเปลี่ยนแบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ แต่ ปัจจุบันคำว่า (Social Network) จะหมายถึงระบบเครือข่ายบนโลกออนไลน์หรือการติดต่อสื่อสารถึงกันผ่าน อินเทอร์เน็ต นั่นเอง Wikipedia (2009) ให้ความหมาย (Social Network) ว่าเป็นโครงสร้างสังคมที่ประกอบด้วย โหนด (Node) ต่างๆเชื่อมต่อกัน ซึ่งแต่ละโหนดที่เชื่อมโยงกันก็อาจมีความสัมพันธ์กับโหนดอื่นๆด้วย โดยอาจมี ระดับของความสัมพันธ์กัน มีความซับซ้อน มีเป้าหมาย(Social Network) จึงหมายถึงการที่มนุษย์สามารถเชื่อมโยง ถึงกัน ทำความรู้จักกัน สื่อสารถึงกันได้ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่า เป็นเว็บ (Social Network) ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่งเอง โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะมีพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามารู้จักกัน มีการให้ พื้นที่ บริการเครื่องมือต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างเครือข่าย สร้างเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้ ปัจจุบันมีเว็บไซต์ประเภท (Social Network) เกิดขึ้นจำนวนมากทั้งที่มีเป้าหมายเชิงพาณิชย์และไม่แสวงหากำไร นอกจะใช้ในการติดต่อสื่อสารเพื่อความสนุก เพลิดเพลิน บันเทิงแล้วเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อการศึกษาได้ การใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา เฟซบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ที่ยังคงเฟื่องฟูและได้รับความนิยม อย่างต่อเนื่องจึงส่งผลให้สถานศึกษาต่างๆนำเฟซบุ๊กไปประยุกต์ใช้เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาเพื่อ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแบ่งปันข้อมูลด้านวิชาการในการเรียนการสอนรวมถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี ต่อกันระหว่างครูผู้สอนกับครูผู้สอน ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้เรียน จากการค้น “เฟซบุ๊กเพื่อ การศึกษา (Facebook for Education) ” ในกูเกิล จะพบแหล่งข้อมูล 922 ล้านรายการและจากการค้น “ ศูนย์ แห่งการเรียนรู้บนเฟซบุ๊ก ( Learning Center on Facebook) ” ในกูเกิล จะพบแหล่งข้อมูล 173 ล้านรายการ จะ เห็นได้ว่ามีการนำเฟซบุ๊กไปประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาและเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ มากมาย ยิ่ง กว่าไปนั้นเฟซบุ๊กได้เป็นสื่อสังคมยอดนิยมสำหรับครูผู้สอน ซึ่งเหตุผล 4 ประการที่ครูผู้สอน ควรพิจารณาเลือกใช้เฟ ซบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา
1. การพัฒนาด้านภาษาซึ่งครูผู้สอนและผู้เรียนจำเป็นต้องใช้เฟซบุ๊กในการติดต่อสื่อสารและแสดงความเห็น ต่างๆเกี่ยวกับวิชาที่เรียนบนเฟซบุ๊ก ทั้งนี้การใช้เฟซบุ๊กเป็นประจำในการเขียนและอ่านข้อความต่างๆ จะช่วยให้ ผู้เรียนได้ฝึกการเขียน การสะกดคำ และการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง 2. การสื่อสารระหว่างบุคคลซึ่งเป็นสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูผู้สอนกับครูผู้สอน ระหว่างครูผู้สอนกับ ผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้เรียนในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน รวมถึงสนับสนุนให้ผู้เรียน กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่างๆ มากยิ่งขึ้น 3. การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเฟซบุ๊กเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนผู้ใดผู้หนึ่งจะต้อง รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายร่วมกับผู้เรียนผู้อื่นเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตาม 4. เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารซึ่งการใช้เฟซบุ๊กในการเรียนการสอน จะช่วยผู้เรียน มีความสนใจและมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ แนวทางให้ครูผู้สอนใช้เฟซบุ๊กได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 7 ประการ - ห้ามครูผู้สอนระบายอารมณ์และความรู้สึกต่างๆที่มีต่อผู้เรียนในเชิงลบผ่านเฟซบุ๊ก - ควรกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการใช้สื่อสังคมร่วมกันระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียน ให้ชัดเจน - ในกรณีที่ยกเลิกการเรียนการสอนในห้องเรียนเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ครูผู้สอนสามารถใช้เฟ ซบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียนโดยการกำหนดหัวข้อเกี่ยวกับวิชาที่สอนเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันแสดงความ คิดเห็น - ไม่ควรใช้ข้อความที่รุนแรงในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้เรียนและสถานศึกษา - หลีกเลี่ยงการแสดงข้อความที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งที่รุนแรง - ควรตั้งค่าการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าไปอ่านได้ - ควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้เรียนในเชิงบวกเท่านั้น เฟซบุ๊กเป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ใช้หรือแอพพลิเค ชัน หรือ (Apps = Applications) เพื่อการศึกษามากมายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ครูผู้สอนในการเตรียม เนื้อหาการสอนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น file สำหรับอัพโหลดแฟ้มข้อมูลให้กับผู้เรียน “Make a Quiz ”สำหรับสร้างคำถามออนไลน์เพื่อทดสอบความรู้ของผู้เรียน “Calendar” สำหรับสร้างปฏิทินแจ้ง เตือนกำหนดการต่างๆ “(Course)” สำหรับจัดการเนื้อหาการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังมีแอพที่จะช่วยอำนวย
ความสะดวกในการเรียนและแบ่งปันเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ ในการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน ตัวอย่างเช่น (we Read)” สำหรับจัดการรายชื่อหนังสือให้ผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็น (Class Notes)” สำหรับถ่ายภาพในขณะที่ ครูผู้สอนเขียนเนื้อหาบนกระดานหรือคัดลอกเนื้อหาที่เรียน แล้วนำไปโพสต่อเพื่อแบ่งปันผู้อื่น สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตแล้วค้นหา ข้อมูลแอพของเฟซบุ๊กเพื่อการศึกษาได้จะเห็นได้ว่า เฟซบุ๊กเป็นศูนย์แห่งการ เรียนรู้และเป็นห่วงโซ่การศึกษาขนาดใหญ่ที่ทรงประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งครูผู้สอนและผู้เรียน สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกเวลา ตลอดวันละ24 ชั่วโมงสัปดาห์ละ 7 วัน ฉะนั้น ผู้บริหารการศึกษาจึงควรกำหนด แนวปฏิบัติในการใช้เฟซบุ๊กอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านการใช้เฟซบุ๊กไปในทางที่ผิดหรือด้านการ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่สถานศึกษา ยิ่งกว่านั้นผู้บริหารการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนานโยบายการใช้เฟ ซบุ๊กที่มีอยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ข้อดีของการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอน 1. สื่อสารถึงผู้เรียนได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้อีเมลล์หรืออีเลิร์นนิ่ง 2. ส่งเสริมการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้แลกเปลี่ยนความคิดได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว 3. ผู้เรียนมีความสะดวกในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเสียของการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอน 1. อาจมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ 2. อาจารย์หรือนักศึกษาไม่เป็นส่วนตัวในการข้อความหรือรูปภาพต่างๆ 3. นักเรียนใช้งานเพื่อความบันเทิง เกมมากกว่าการศึกษาค้นคว้า
กฎหมาย PDPA PDPA คือ กฎหมาย (Personal Data Protection Act) เป็นพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถูก กำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้ถูกจัดเก็บหรือนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้เราทราบและ/หรือ ได้รับความยินยอมจากเราในฐานะเจ้าของข้อมูลก่อน ใครควรรู้เรื่อง PDPA บ้างในสถานศึกษา? ผู้ควบคุมข้อมูล = ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรืออธิการบดีในกรณีของมหาวิทยาลัยคือคนที่รับบทหนัก ที่สุดในการดำเนินการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเวลารับโทษจาก PDPA ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการควบคุม ข้อมูลของทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและบุคลากรในโรงเรียนจะโดนโทษก่อนคนอื่น ๆ ผู้ประมวลผลข้อมูล = ครูอาจารย์ทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลทั้งหมด เพราะแต่ละคนต่างมี หน้าที่ประมวลผลคะแนนนักเรียน เช็กชื่อนักเรียนในห้องเรียน เช็กชื่อนักเรียนเพื่อทำกิจกรรม เป็นต้น นอกจากนั้น หากมีความรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูล เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (Data Protection Officer – DPO) = ตำแหน่งนี้ไม่ว่าใครในสถานศึกษาก็ สามารถเป็นได้ ยังไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมา แต่ในเบื้องต้นองค์กรที่มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก จำเป็นต้องมี DPO ดังนั้น เชื่อว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ต้องมีตำแหน่งนี้ หรือแม้แต่โรงเรียนเล็กก็ควร ต้องมี DPO แต่อาจจะเป็นการแชร์ Resource ร่วมกันหลาย ๆ โรงเรียน นักการภารโรง แม่ค้าในโรงเรียน หรือตัวผู้ปกครองเอง ก็ควรทราบเรื่อง PDPA และแนวทางการคุ้มครอง ข้อมูลเอาไว้ เพราะไม่ว่าใครก็มีโอกาสเห็นข้อมูลส่วนบุคคลของนักเรียนได้ บทลงโทษของ PDPA รุนแรงขนาดไหน? เมื่อเกิดการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา (หรือวงการใด ๆ ก็ตาม) ผู้เสียหายจะต้องร้องเรียนไปที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีโทษแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ ทางปกครอง ค่าปรับสูงสุด 5 ล้านบาท ผู้ถูกฟ้องละเมิดเป็นผู้จ่ายค่าปรับ สำนักงานเป็นผู้รับค่าปรับเพื่อ นำไปจัดการเยียวยาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทางอาญา ผู้ละเมิดอาจถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท ทางแพ่ง ผู้ละเมิดต้องชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็น 2 เท่าของความเสียหายจริง
จุดที่สำคัญของการเก็บข้อมูลอ่อนไหวก็คือ การเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูล จะต้องบอกให้ได้ว่าเอา ไปทำอะไร และไม่สามารถนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ได้โรงเรียนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บข้อมูลส่วน ใหญ่มีฐานะเป็น “ผู้เยาว์” การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจะมีความซับซ้อน กรณีของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบต้อง ให้ผู้ปกครองให้ความยินยอม ส่วนเด็กที่มีอายุ 10-19 ปี (ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) จะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งตัว นักเรียนเองและผู้ปกครอง ข้อควรระวังในการใช้โทรศัพท์มือถือในห้องเรียน ข้อเสียหลักประการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ อาการวอกแวก ใจไม่อยู่กับบทเรียน ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการจัดการชั้นเรียนของครูว่าจะผสานเอาโทรศัพท์มือถือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชั้นเรียนอย่างมี ประสิทธิภาพได้อย่างไร นักเรียนอาจสับสนจากการใช้โทรศัพท์สืบค้นข้อมูลในหัวข้อนั้นๆ เพราะอาจเป็นหัวข้อที่ ใหม่หรือซับซ้อนเกินไปสำหรับนักเรียน เช่น ประวัติศาสตร์สากล เศรษฐศาสตร์จุลภาค หรืออ่านบทความ ภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นเคย ประกอบกับนักเรียนอาจใช้โทรศัพท์ไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องขณะที่เรียนก็เป็นได้ ดังนั้น การที่ให้นักเรียนใช้โทรศัพท์สืบค้นข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้ โดยครูสามารถรับบทเป็นผู้สนับสนุน การเรียนรู้นักเรียนให้นักเรียนใช้โทรศัพท์เพื่อสืบหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในห้องเรียนแทนที่จะรับบทครูฝ่าย ปกครองคอยยึดโทรศัพท์ของนักเรียน และไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เลย เพื่อให้การสืบค้นข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การคอยเดินตรวจตรารอบห้องเรียนขณะที่นักเรียนกำลัง สืบค้นและให้ความช่วยเหลือ ถ้ามีนักเรียนต้องการความช่วยเหลือ เทคโนโลยีปัจจุบันล้ำหน้าขึ้นทุกวันทำให้การเรียนรู้ในห้องเรียนนั้นทันสมัยมากขึ้นด้วย หากครูสามารถใช้ ประโยชน์ของเทคโนโลยีทำลายขีดจำกัดการเรียนออฟไลน์แบบเดิม ๆ ได้จะเปิดโลกให้นักเรียนและครูพบเจอกับ สิ่งที่ห้องเรียนออนไลน์ช่วยให้เกิดขึ้นได้ เช่น แหล่งเรียนรู้จากอีกฟากหนึ่งของโลก หรือนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันครูจำเป็นต้องลดโอกาสที่นักเรียนจะ ใช้โทรศัพท์ไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน เพื่อดึงให้นักเรียนยังอยู่ในชั้นเรียนและการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ จริง
เอกสารประกอบการสัมมนา โครงการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรื่อง บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ประเด็นทางสังคมที่ครูควรรู้ โดย คุณชนิสร สุวรรณเขตร์ นักวิชาการการศึกษา ผู้บรรยาย วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 150905 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ประเด็นทางสังคมที่ครูควรรู้ Beauty Privilege คืออะไร Beauty Privilege หมายถึง การที่คนหน้าตาดีจะมีสิทธิพิเศษหรือได้รับโอกาสเหนือผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น ในการคัดเลือกพิธีกรสำหรับงานโรงเรียน A พูดไม่เก่งเท่า B แต่ A กลับถูกเลือกให้เป็นพิธีกร เพราะ B บุคลิกไม่ดี หน้าตาไม่ดี หุ่นไม่ดีเท่า A เป็นต้น ‘Beauty Privileges’ (แปลเป็นไทยได้ว่า ‘สิทธิพิเศษของความสวยงาม’) ผู้คนเริ่มตั้งคำถามและกังขาในประเด็นการให้สิทธิพิเศษกับคนที่มีรูปร่างหน้าตาที่เป็นไปตาม ‘Beauty Standard’ หรือ ‘มาตรฐานความงาม’ ของสังคมกันมากขึ้น ซึ่ง Beauty Privileges และ Beauty Standard เป็น คำที่มักจะถูกพูดถึงร่วมกันอยู่เสมอ เพราะมันคือการสร้างมาตรฐานที่บ่งบอกว่า ‘ความสวยงาม’ ตามแบบฉบับ มหาชนนิยมนั้นควรเป็นอย่างไร และคนที่มีลักษณะตามมาตรฐานนี้ก็ควรจะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างจากสังคม ซึ่ง พวกเราเองอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นตอนไหนหรือใครเป็นคนตั้งมันขึ้นมา ทว่ามันได้กลายมาเป็นแนวทางให้ คนในสังคมเดินตามความสวยงามในอุดมคตินั้นไปเสียแล้ว และหลายคนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้กำลังผลักดันในเกิดความ เหลื่อมล้ำ สร้างความแตกต่างให้คน ‘หน้าตาดี’ ได้รับผลโยชน์และโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น แม้ว่าการรณรงค์ต่อต้าน เรื่อง Beauty Privileges มักจะวนเวียนมาให้เห็นทุกปี แต่ก็ดูเหมือนเป็นแค่เสียงเบาๆ ที่ลอยมาแล้วก็หายไป เพราะเราก็ยังเห็นว่ามีการจัดเวทีประกวดคนสวย/หล่อ ไปจนถึงการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการยกย่องคนหน้าตาดี ตามสื่อต่าง ๆ ในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ในสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะระดับมหาวิทยาลัยที่มาใน รูปแบบของสิ่งที่เรียกว่าการประกวด ‘ดาว/เดือน’ นอกเหนือจากการเป็นสถานศึกษา มหาวิทยาลัยยังถือเป็นสังคมจำลองให้เหล่าบัณฑิตได้ทดลองใช้ชีวิต ด้วยตนเอง เตรียมตัวเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรม ทัศนคติ หรือค่านิยมใด ๆ ก็ ตามที่ได้รับการปลูกฝังมาในรั้วมหาวิทยาลัย ก็จะถูกนำไปใช้กับสังคมภายนอกเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในค่านิยมเกี่ยวกับ Beauty Privileges ที่ถูกผลิตซ้ำมาอย่างยาวนาน คือ ‘การประกวดดาว/เดือน (และอาจมีดาวเทียมด้วย)’ คือการ จัดเวทีประกวดนักศึกษาปีหนึ่งในแต่ละปี โดยคนที่ชนะจะได้รับตำแหน่ง ‘ดาว’ สำหรับผู้หญิง และ ‘เดือน’ สำหรับ ผู้ชาย โดยหนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับตำแหน่ง คือ ‘รูปร่าง’ และ ‘หน้าตา’ ที่ดี แม้ว่าจะมีการตัดสินจากเกณฑ์ อื่น ๆ บ้าง เช่น ทักษะการพูด การตอบคำถาม การแสดง ฯลฯ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะให้ความสำคัญกับ ‘หน้าตา’ หรือ ‘รูปลักษณ์ภายนอก’ เป็นอันดับแรก สังเกตได้จากการที่แทบทุกเวทีจะให้รอบการแสดงความสามารถพิเศษ และรอบตอบคำถามอยู่ในช่วงท้ายสุดที่ผู้เข้าประกวดบางส่วนถูกคัดให้ตกรอบไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ตำแหน่งนี้มัก
ตกไปอยู่กับนักศึกษาหล่อ สวย น่ารัก ตามแบบฉบับพิมพ์นิยม ส่วนตำแหน่ง ‘ดาวเทียม’ ก็สร้างขึ้นมาเพื่อบ่งบอก ว่ามีการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศของกลุ่ม LGBTQIA+ แต่ก็ยังยืนอยู่บนรากฐานความไม่เท่าเทียมกันจาก รูปลักษณ์ภายนอกอยู่ดี และนอกจากเวทีประกวดดาวเดือนแล้ว ยังมีเรื่องของสื่อต่าง ๆ ที่นำเสนอเนื้อหามีส่วนใน การผลิตซ้ำค่านิยมที่ยกย่องเชิดชูคนหน้าตาดี ทำให้นักศึกษาที่รูปร่างหน้าตาไม่พิมพ์นิยมค่อย ๆ ถูกผลักให้ กลายเป็น ‘บุคคลชายขอบ’ ไปโดยปริยาย เช่น Facebook Page ที่เนื้อหาเกี่ยวกับการรวบรวมนักศึกษาหน้าตาดี ซึ่งมักจะใช้ชื่อแนว Cute Boys หรือ Cute Girls เป็นต้น แต่การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วในช่วง 3 - 4 ปีนี้ มหาวิทยาลัยในไทยเริ่มมีการยกเลิกกิจกรรมที่ ส่งเสริมความไม่เท่าเทียม หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบให้แตกต่างไปจากเดิม ในด้านมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2562 ก็ได้ปรับรูปแบบกิจกรรมให้มุ่งเน้นเรื่องศักยภาพ ความสามารถ หรือทัศนคติมากขึ้น เปลี่ยนจากการประกวด ดาวเดือนมาเป็นรูปแบบการตามหา ‘Ambassadors’ ของคณะและมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยกเลิกกิจกรรมดังกล่าวแล้ว เพื่อหยุดการผลิตซ้ำค่านิยมเหล่านี้ ในเมื่อมีการพูดถึงประเด็น Beauty Privileges กันมากขนาดนี้ ทำไมมันยังไม่หมดไปเสียที? เพราะเป็นเรื่องยากที่จะมองผู้คนจากภายในก่อนภายนอก และค่านิยมเหล่านี้ก็ได้รับการปลูกฝังในสังคม มานานนับร้อยปี แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ แม้จะมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอก ทว่าก็ มองโดยปราศจากการ ‘ตัดสิน’ ว่าใครสวยหรือไม่สวย ลดอคติในการใช้หน้าตาเป็นตัวตั้ง ไม่เหยียดหยามหรือดูถูก ใครเพียงเพราะเขาหน้าตาไม่พิมพ์นิยม เข้าใจในรูปลักษณ์ตามธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ทุกคนเพราะ สุดท้ายธรรมชาติของมนุษย์คือความแตกต่างนั่นเอง
Patriarchy คืออะไร ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือที่เรามักจะได้ยินคนพูดทั่วๆ ไปว่า “ระบบชายเป็นใหญ่” นั่นก็คือ ระบบที่เพศชายมีอำนาจหน้าที่ทางศีลธรรม มีเอกสิทธิ์ทางสังคม มีบทบาทในด้านการเป็นผู้นำรวมถึงการควบคุม ทรัพย์สิน ซึ่งในยุคสมัยก่อน เราสามารถพบเห็นสังคมปิตาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด หากพูดให้เห็นภาพ คงต้องอ้างอิง ถึงซีรีย์ที่เป็นกระแสทาง Netflix ในปัจจุบัน นั่นก็คือ Bridgerton ซึ่งในซีรีย์ได้นำเสนอเรื่องราวของสังคมในยุครีเจน ซี่ (Regency era) ที่ผู้หญิงมีหน้าที่เพียงแค่แต่งงานและมีบุตร หญิงใดที่เป็นโสดก็ถือว่าโชคร้าย ไม่มีสิทธิออกเสียง ไม่มีสิทธิในสมบัติของตนเอง ในอีกทางหนึ่งคือ ผู้ชายก็จะมีหน้าที่ในการทำงาน และมีสิทธิมีเสียงที่มากกว่า แต่ใน ขณะเดียวกันปิตาธิปไตยก็ทำร้ายผู้ชายเช่นกัน ซึ่งสะท้อนสังคมในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ หายไปพร้อมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อีกทั้งยังเป็นค่านิยม ความเชื่อ ที่ถูกส่งต่อมาหลายยุคหลายสมัยที่เกิดขึ้นทั่ว โลกไม่ใช่เพียงประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น ค่านิยมในประเทศจีนที่มักจะกล่าวกันว่า “มีลูกผู้หญิงเหมือนมีส้วมอยู่ที่ หน้าบ้าน” หรือแม้กระทั่งประเทศไทยที่มีค่านิยมว่า งานบ้านเป็นเรื่องของผู้หญิง หรือผู้ชายต้องเข้มแข็งอดทน ต้อง เป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ยังคงมีอยู่อย่างเห็นได้ชัด Homophobia คืออะไร? Homophobia หรือเรียกอีกอย่างคือ อาการเกลียดหรือหวาดกลัว LGBTQ+ อย่างไม่มีเหตุผล มีการ แสดงออกต่างๆ ที่มาจากความรู้สึกเกลียดหรือความรู้สึกกลัว เช่น การกีดกันไม่ให้เข้าสังคม การคุกคามทางวาจา การสบประมาท ล้อเลียน กลั่นแกล้ง ดูถูก หรือ ด่าทอ ทั้งในชีวิตจริงและใน Social Media หรือจะเป็นการใช้คำ เหยียดเพศ (Sexist Language) เช่น ตีฉิ่ง , ขุดทอง ,สายเหลือง, ฟักทองบด เป็นต้น หรืออีกหนึ่งระดับความรุนแรง นั่นก็คือการทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะคนเหล่านั้นเป็น LGBTQ+ โดยกลุ่มอาการ Homophobia มักพบในกลุ่ม ผู้ชายและผู้หญิง (straight) แต่อีกกรณีก็สามารถพบในกลุ่ม LGBTQ+ เช่นกัน อันเนื่องมาจากทัศนคติเชิงลบต่อ กลุ่ม LGBTQ+ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกเกลียด หรือไม่ชอบตัวเอง โดยนักวิจัยได้กล่าวไว้ว่า Homophobia ไม่ใช่โรคจึง ไม่ได้มีวิธีการรักษาที่แน่ชัด แต่ถ้ากลุ่มอาการ Homophobia เข้าขั้นทำร้ายร่างกาย นั้นก็จะนับได้ว่ามีความผิดปกติ ทางจิตและควรได้รับการรักษาต่อไป สังคมปิตาธิปไตยกับเรื่องเพศ ภัยร้ายที่นำไปสู่ Homophobia ในกลุ่มอาการ Homophobia นักจิตวิทยาเชื่อว่ามีผลมาจากความเชื่อฝังใจของการสร้างครอบครัว คือ หญิงแท้ต้องคู่กับชายแท้และต้องมีสามีเป็นใหญ่ในบ้าน โดยผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลสามีและลูก รวมถึงงานบ้านและงาน ในครัว ซึ่งเป็นผลมาจากสังคมแบบปิตาธิปไตยที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ทำให้ผู้ที่ยึดติดรู้สึกว่า ความรักแบบ LGBTQ+
เป็นความรักที่ผิดกับธรรมชาติ ทั้งในเรื่องเพศ การมีลูก รวมไปถึงรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์นอกจากนี้ Homophobia ยังเป็นผลมาจากสิ่งที่ปฏิบัติต่างๆ ในสังคมปิตาธิปไตย เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย - ผู้ชายไม่ควรทาเล็บ แต่งหน้า ใช้สกินแคร์ จนไปถึงการที่ผู้ชายต้องใส่กางเกงหรือเป็นผู้หญิงต้องใส่ กระโปรง ห้ามแต่งตัวโชว์เรือนร่าง ทั้งที่จริงแล้วเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายต่างๆนั้นไม่ได้จำกัดเพศ (Unisex) และจะ แต่งกายอย่างไรขึ้นอยู่กับกาลเทศะ ความเชื่อเรื่องศาสนา - การเป็น LGBTQ+ นั้นเป็นบาป หรือผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทุกๆศาสนาสอนให้คน เป็นคนดี แต่ไม่ได้สอนว่าต้องเป็นชายจริงหญิงแท้หมายความว่าเป็นคนดีและไม่ได้หมายความว่าการที่เป็น LGBTQ+ คือการเป็นคนไม่ดี แต่การเป็นคนดีหรือคนไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำมากกว่า ความเชื่อที่ปลูกฝังเด็กในแต่ละครอบครัว - เกิดเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง อดทนตลอดเวลา มีความหนักแน่น จนไปถึงเรื่องเล็กๆ เช่น ผู้ชายห้ามชอบสี ชมพู เพราะเป็นสีของผู้หญิง หรือเป็นผู้หญิงต้องเป็นแม่ศรีเรือน ห้ามทำอะไรที่ห้าวเหมือนเด็กผู้ชาย หรือบาง ครอบครัว แม้กระทั่งการกินอาหารบางชนิด เช่น ยำ หากเด็กผู้ชายกินก็จะโดนบอกในทำนองว่านั่นคืออาหารของ ผู้หญิง การเลือกที่จะรับประทานอาหารจะต้องจำกัดเพศด้วยหรือ? ปลูกฝังความคิดจากการศึกษา - ในแบบหนังสือเรียนที่มักบอกว่า LGBTQ+ คือ 1 ในพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรืออีกคำที่ใช้ก็คือ “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” หรือคิดว่าเป็น “ความผิดปกติทางจิต” และใช้เนื้อหาเช่นนี้ต่อๆ มาจากรุ่นสู่รุ่น หรือค่านิยม หญิงข้าวเปลือกชายข้าวสาร ในอิศรญาณภาษิต ที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดปิตาธิปไตยอย่างชัดเจนและยังคงไม่พ้น เรื่องการปลูกฝังให้ฝ่ายชายต้องมีอำนาจ มีหน้ามีตาและต้องเป็นผู้นำครอบครัว การล้อเลียนด้วยคำเหยียดเพศ - เมื่อเวลาที่เด็กผู้ชายแสดงท่าทางหรือทำสิ่งใดที่ไม่ถูกใจผู้พูด ก็จะมีคำด่าทอ เช่น “โอ๊ย ตุ๊ดว่ะ” “เป็นตุ๊ด ปะเนี่ย” หรือแม้กระทั่งเด็กผู้หญิงห้าวๆ ก็จะโดนล้อเลียน เช่น “ทำตัวห้าวแบบนี้ เป็นทอมใช่มั้ย” “ตีฉิ่งหรอ” การ เอาคำศัพท์เรียกเพศ มาใช้ในทางที่ผิด จึงทำให้เกิดความเชื่อฝังใจว่าคำเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ดี และนำไปสู่การมีอคติต่อ เพศต่างๆ ได้
การสร้างความเชื่อว่า LGBTQ+เป็นตัวตลกและน่ากลัว - ไม่ว่าจะจากละคร หนัง หรือซีรีย์ที่มักจะมีตัวละครที่เป็น LGBTQ+ และถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของ การนำตัวละครมาล้อเลียนหรือสร้างภาพจำผิดๆ ให้แก่ตัวละคร LGBTQ+ อยู่บ่อยครั้ง ว่าทั้งน่ากลัว เสียงดัง และ ไม่มีมารยาทในสังคม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเพศใดก็มีบุคลิกเช่นนั้นได้เหมือนกัน ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ ความเชื่อผิดๆ และสิ่งที่ปลูกฝังกันมาจนทำให้เกิดความเกลียดชัง หรือความหวาดกลัวและนำไปสู่อาการ Homophobia ได้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้ทั่วไป Patriarchy & Homophobia แก้ไขอย่างไร? ต้องยอมรับว่า Patriarchy & Homophobia คือสิ่งที่แก้ไขได้ยากในสังคมที่มีคนหลากหลายความคิด ทัศนคติอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก สิ่งที่พึงกระทำได้คือเริ่มจากตัวเอง ในการ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” รับฟังและ เปิดใจให้กว้าง ยอมรับผู้อื่น ตนเองและสังคมปัจจุบันอย่างแท้จริง เพราะในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สังคมไทยเปิดกว้าง แต่ไม่ได้เปิดใจอย่างเป็นธรรม เราจึงควรเลิกยึกติดความคิดแบบเก่าๆ และมองว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน ไม่ แบ่งแยกหน้าที่ของเพศใดเพศหนึ่ง นอกจากนี้สิ่งที่พึงกระทำได้คือการให้ความรู้ ให้ข้อมูลแก่คนรอบข้าง ที่เรา สามารถพูดคุยด้วยได้ด้วยเหตุผล และไม่ใช้อารมณ์ ให้เพียงแต่คิดว่าเรากำลังแลกเปลี่ยนความรู้กับคนที่คิดต่างกับ เราเท่านั้น สุดท้ายนี้การให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าเพศไหน ทุกคนพึงมีความเท่าเทียมกันทางเพศ (Gender Equality) และมีสิทธิเสรีภาพในการเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมีใครทำร้ายหรือเหยียดหยามกัน และ มากไปกว่านั้น การปลูกฝังความคิดต่างๆ ในรุ่นต่อๆ ไปเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าคนในสังคมรู้จักปลูกฝังแต่ค่านิยมทางเพศ ที่ดี และตระหนักถึงปัญหาของ patriarchy มากขึ้น ปัญหา homophobia ก็จะลดลงตามกาลเวลา Bullying คืออะไร การบูลลี่หรือการรังแกนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด จากการสำรวจของเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและ เยาวชน เมื่อปี 2563 กล่าวว่า เครือข่ายฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “บลูลี่ กลั่นแกล้ง ความรุนแรง ใน สถานศึกษา” ในกลุ่มเด็ก อายุ 10-15 ปี จาก 15 โรงเรียน พบว่า ร้อยละ 91.79 เคยถูกบูลลี่ ซึ่งจากตัวเลขนี้จะ เห็นได้ว่าเด็กวัยรุ่นในไทยนั้นมีกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการบูลลี่ นับได้เป็นสัดส่วนที่สูงจนน่าใจ
การบูลลี่ คือ พฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย หากเกิดในชีวิตจริงมักเป็น การล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สถานะทางสังคม รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ซึ่งในส่วนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดจากการ ประจานกันทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้งการบูลลี่สร้างผลกระทบทางด้านความรู้สึกมากมายจนอาจเกิดเป็นแผล ทางใจฝังลึกจนยากเยียวยา หรืออาจลุกลามไปจนเกิดการปะทะและสร้างบาดแผลทางกายได้ โดยทั่วไปนั้นเราจะ แบ่งการบูลลี่ออกมาเป็น 3 ประเภท คือ บูลลี่ทางร่างกาย: เทียบได้กับการทำร้ายร่างกาย เช่นการตบหัว ชกต่อย ซึ่งอาจส่งผลเสียได้ทั้งกายและใจ ของเหยื่อ บูลลี่ทางวาจา : เป็นการทำร้ายเหยื่อด้วยวาจา ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาหยาบคาย ส่อเสียด หรือการว่าร้าย เหยื่อให้เกิดความรู้สึกอับอายต่างๆ ซึ่งไม่ว่าผู้กระทำจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เหยื่อนั้นย่อมได้รับความเสียหายทาง จิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาได้เช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น บูลลี่ทางสังคม : เป็นการกระทำที่ทำให้เหยื่อเกิดความรู้สึกอับอายหรือเกิดชื่อเสียงที่ไม่ดีกระจายไปเป็นวง กว้าง เช่น การว่าร้าย ปล่อยข่าวลือ หรือนำคลิป หรือเรื่องราวที่เหยื่ออับอายเปิดเผยสู่ผู้คนแวดล้อมของเหยื่อ ซึ่ง การกระทำนี้อาจส่งผลให้เหยื่อเกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ รู้สึกไร้ที่ยืนในสังคม ขาดที่พึ่งพิง ซึ่งหากปล่อยให้ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหยื่ออาจจะเกิดความคิดที่จะทำร้ายตนเองได้ การบูลลี่กับสัญชาตญาณ การบูลลี่โดยส่วนใหญ่ย่อมต้องมีที่มาที่ไปที่สามารถอธิบายได้ เด็กที่ไปบูลลี่คนอื่นส่วนมากมักจะมาจาก การที่ตัวเด็กเองรู้สึกขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป หรือเขาอาจโหยหาหรือมีแรงจูงใจอะไรบางอย่าง ซึ่งการรู้สึกว่า ขาดอะไรบางอย่างไปนั้นก็มีหลายกรณี ยกตัวอย่างเช่น 1. ขาดความรัก ขาดความผูกพันในครอบครัว อาจทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความรักที่เพียงพอ ภายใน ใจก็อาจเปราะบาง และอาจพยามแสดงออกในลักษณะที่แข็งแกร่งออกมาจากภายนอก เช่น แสดงตัวเป็นหัวโจก ซึ่ง การบูลลี่คนอื่นก็นับได้ว่าเป็นการแสดงความเหนือกว่า , แข็งแกร่งกว่าผู้อื่น เป็นต้น 2. เป็นลักษณะของสังคม เช่น การไม่ยอมรับหรือบอยคอตคนที่แตกต่าง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เด็ก ไม่ได้ถูกปลูกฝังมาให้ยอมรับความแตกต่าง แต่อาจคิดไปเองว่า ต้องเป็นแบบที่เราคิดถึงจะถูกต้อง ถ้าต่างไปจากนั้น แปลว่าแย่ ซึ่งหากเป็นไปตามกรณีนี้เมื่อเด็กมาเจอคนแตกต่างในสังคมเขาก็จะรู้สึกไม่โอเค จึงทำให้เกิดการไม่ ยอมรับคนที่แตกต่างและอาจจะชักจูงให้คนรอบข้างให้ต่อต้านคนๆ นั้นไปด้วย อาจจะไม่ถึงขั้นด่าทอทำร้ายร่างกาย แต่เป็นการบอยคอตและไม่ยอมรับคนคนนั้น ซึ่งตามหลักแล้วก็ยังนับว่าเป็นการบูลลี่ทางสังคมได้เช่นกัน
แนวทางการจัดการการบูลลี่ในโรงเรียน การจัดการการกลั่นแกล้งในห้องเรียนนั้นสิ่งสำคัญคือการจับสังเกต รับรู้และจัดการให้อยู่หมัด หนึ่งคือการ ค้นหาสาเหตุว่าทำไมการกลั่นแกล้งนี้ถึงเกิดขึ้นและให้แสดงให้นักเรียนเห็นว่าโรงเรียนพร้อมจะปกป้องนักเรียนที่ เป็นเหยื่อ และหยุดนิสัยการกลั่นแกล้งขอนักเรียนที่กลั่นแกล้งผู้อื่น และรับฟังเหตุผลต่าง ๆ ของพวกเขา การจัดการ สถานการณ์กลั่นแกล้งกันที่ดีที่สุด คือการดับเชื้อไฟ ไม่ให้มีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นอีก แต่ไม่ใช่การบังคับให้นักเรียนที่ กลั่นแกล้งและถูกกลั่นแกล้งกลับมาเป็นเพื่อนกัน และสิ่งสำคัญคือการกันไว้ดีกว่าแก้ การที่ต้องจัดการปัญหาการกลั่นแกล้งกันหมายความว่า ได้มีเหยื่อในเหตุการณ์นั้นไปแล้ว ดังนั้น คุณครูย่อมไม่ต้องการให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเหล่าลูกศิษย์และโรงเรียน การป้องกันการ Bullying ในโรงเรียนนั้น ทำได้ด้วยการสร้างโรงเรียนให้เป็นสถานที่ ๆ นักเรียนรู้สึกปลอดภัย โดยสามารถทำได้ดังนี้ - ให้นักเรียนมีโอกาสได้พัฒนาทักษาะด้านอารมณ์และสังคม การมุ่งเน้นสอนให้นักเรียนเข้าใจตัวเอง มีสติ กับสิ่งรอบตัว และรู้จักเข้าอกเข้าใจคนอื่น - แสดงให้นักเรียนเห็นว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยการสื่อสารที่ดี และสนับสนุนให้นักเรียนแต่ละคน เปิดเผยสิ่งที่คิดให้กับคนอื่น ๆ ได้ และสามารถพึ่งพากันและกันได้ - ปลูกฝังความมั่นใจในตัวเอง และการเคารพในความแตกต่างให้กับนักเรียน - ทำให้นักเรียนมั่นใจว่า หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นพวกเขาสามารถเข้าหาคนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนหรือบุคลากรในโรงเรียน ให้นักเรียนรู้ว่าหากมีเรื่องการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือ ได้จากที่ไหน - ให้การศึกษานักเรียน บุคลากร รวมทั้งผู้ปกครอง เรื่องการ Bully และการกลั่นแกล้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ทุกคนนั้นต้องเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งภายในหมู่นักเรียนคืออะไรและเข้าใจความรุนแรงของมัน ทำให้ พวกเขารู้สึกว่าต้องร่วมมือกันป้องกันไม่ให้การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นนั่นเอง”