รายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่อง เพลงบอกและเพลงตันหยง เสนอ คุณครู ปาริชาต นวลวิจิตร จัดทำ โดย ๑.นางสาวเพชรชมพู เดชเจริญ เลขที่๑๒ ๒.นางสาวพรพรรณ รอดกูล เลขที่๑๔ ๓.นางสาวอรนัดดา ประวงษ์ เลขที่๑๖ ๔.นางสาวณัฎฐณิชา อภัยรัตน์ เลขที่๑๙ ๕.นางสาวชนากานต์ เพ็ชรฉวาง เลขที่๒๕ ๖.นางสาวกัญญาณัฐ วงศ์สนิท เลขที่๓๔ โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กระบี่
คำ นำ รายงานเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา ภาษาไทยเพิ่มเติม วรรณกรรมท้องถิ่น เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้และ แหล่งหาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงบอกและเพลงตันหยง ผู้จัดทำ หวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน และ สามารถนำ ไปศึกษาค้นคว้าได้ หากมีข้อแนะนำ และข้อผิดพลาด ประการใด ผู้จัดทำ ขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ เรื่อง หน้า คำ นำ ก สารบัญ ข ประวัติความเป็นมา ๔ การละเล่น ๕ ประเภทเพลง ๖ เครื่องดนตรี ๗ การแต่งกาย ๘ อ้างอิง ๙
บทที่1 บทนำ ประวัติความเป็นมา เพลงบอก (นาย ณัฐวุฒิ พุทธรักษา, ร.ร.สวนศรีวิทยา, วันที่ 30 มกราคม 2547) เพลงบอก เป็นเพลงพื้นเมืองที่นิยมเล่นแพร่หลายที่สุดในสมัยก่อน การแสดงชนิดหนึ่งของไทย เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของชาวปักษ์ใต้ บริเวณจังหวัดภาคใต้ตอนบนและตอนล่าง อันได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และสงขลา นิยมเล่นในวันตรุษสงกรานต์ ปัจจุบันนี้เพลงบอกนอกจากจะนิยมเล่นกันในวันสงกรานต์แล้วยังนิยม เล่นในงานสำ คัญต่าง ๆ เช่น งานศพ งานผูกพัทสีมา งานบวชนาค งานทำ บุญขึ้นบ้านใหม่ งานแห่พระ งานประจำ ปีของวัด งานทอดกฐินผ้าป่าต่าง ๆ และได้มีการจัดการแข่งขันประชันเพลงบอกขึ้น เพลงตันหยง (นายบุญเสริม แก่นประกอบ ครูโรงเรียนบ้านชงโค) ตันหยง หรือ เพลง ตันหยง หมายถึง การละเล่นที่พัฒนามาจาก รองแง็ง ได้รับแบบอย่างดังเดิมจากรองแง็งของชาวไทยมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดน ใต้ ซึ่งชาวบ้านภาคใต้แถบฝั่ง ทะเลตะวันตก เช่น กระบี่พังงา ภูเก็ต นิยม เล่นกันทั้งชาวไทยมุสลิมและไทยพุทธ
การละเล่น การละเล่นเพลงบอก ในอดีตการละเล่นเพลงบอกนิยมเล่นเพื่อป่าวประกาศข่าวต่าง ๆ แก่ชาวบ้าน เช่น บอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานสงกรานต์ภายหลัง จึงมีการเล่นเพื่อความครึกครื้นหรือร้องโต้ประชันเพื่ออวดฝีปากกัน เพลงบอกคณะหนึ่ง ๆ จะมีแม่เพลง ๑ คน ลูกคู่ ๒-๓ คน กลอนที่ ใช้ในเพลงบอกจะเป็นกลอนด้น ซึ่งต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ รูปแบบ ค่อนข้างซับซ้อน ยืดหยุ่นได้ทั้งสัมผัสและจำ นวนคำ
การละเล่น การละเล่นเพลงตันหยง เพลงตันหยงเป็นการแสดงที่พัฒนามาจาก การแสดงรองเง็ง ความหมายของบทเพลงส่วนใหญ่ เน้นเรื่องความรัก รูปแบบ ของบทเพลงมีความคล้ายคลึง กับรองเง็ง แต่ต่างกันในด้าน คำ ร้องที่เป็นการด้นสด ตามอารมณ์ของผู้ร้อง โดยขึ้นต้น ด้วยคำ ว่า “ตันหยง” เสมอ
ประเภทเพลง ประเภทเพลงบอก ๑.เพลงบอกบอกสงกรานต์ ๒.เพลงบอกข่าวทั่วๆไป ๓.เพลงบอกประชัน ๔.เพลงบอกร้องชา ประเภทเพลงตันหยง ๑.รองเง๊ง ๒.ระบำ ตันหยง ๓.ตันหยงดอกจำ ปี ๔.ตันหยงดอกบานชื่น ๕.ตันหยงดอกบุหงา ๖.ตันหยงคืนแผ่นดิน
เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีเพลงบอก เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการขับร้องเพลงบอกมี ๒ ชนิด คือ ฉิ่ง ๑ คู่ และกรับ ๑ คู่ เครื่องดนตรีเพลงตันหยง ดนตรีตันหยง หมายถึง ดนตรีที่บรรลงประกอบบทร้องเพลง ตันหยง ซึ่งมีไวโอลินและกลอง รามะนาเป็นเครื่องดนตรีหลัก
การแต่งกาย การแต่งกายเพลงบอก แบบที่ ๑ แต่งกายตามสบาย มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใส่ในชีวิตประจํา วันอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น ไม่ประดิษฐ์ตกแต่งให้ยุ่งยาก เสียเวลา อาจจะนุ่งกางเกงบ้าง ผ้าโสร่งพื้นเมืองบ้าง มีผ้าขาวม้าพาดบ่า หรือเคียนพุงผืนหนึ่งเสื้อจะสวมหรือไม่ก็ได้ กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือแต่งกายตามที่ตัวเองมีอยู่นั่นเอง หรือตาม ที่ชาวบ้านชาวเมืองเขานิยมใช้นั่นเอง การแต่งกายของเพลงบอก แบบตามสบายนี้น่าจะเป็นการแต่งกายแบบเก่า ทั้งนี้เพราะว่า สอดคล้องกับพื้นฐานของการเล่นชนิดนี้ คือเล่นสนุกแบบสมัคร เล่น จึงไม่ได้หวังผลอะไรจากการเล่นสนุก เว้นเสียแต่ในบางคราว มีผู้มาหาให้ไปเล่นใน งานใดงานหนึ่ง จึงต้องแต่งกายดี ๆ ให้ สวยงามและมีระเบียบแบบแผนขึ้น
แบบที่ ๒ เป็นแบบแผนขึ้นกว่าแบบแรกเพราะมีเงื่อนไขของผู้ชม และสถานที่ที่แสดงมาเกี่ยวข้อง กล่าวคือเมื่อการเล่นเพลงบอกได้รับ ความนิยม มากขึ้นก็มี ผู้ไปหาให้ไปว่าในงานต่าง ๆ หรือว่าประชันกันหรือ ไปว่าที่บ้านเจ้านายในตัวเมือง จึงแต่งกายแบบตามสบายหรือซอมซ่อจนเกินไปไม่ได้ เพลงบอก บางคนจะนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็น ผ้ายกทอ พื้นเมือง ผ้าม่วง ผ้าไหม หรือผ้าโสร่ง สวมเสื้อสี มีผ้าขาวผ้าพาดบ่าผืนหนึ่ง หรืออาจจะ ใช้ผ้าแพรเพลาะ พาดบ่าคลุมไหล่ และมือจะถือพัดด้ามจิ๋วด้วย การแต่งกายแบบที่ ๒เป็นการแต่งกายที่พัฒนาขึ้นมาตามสภาพสังคมที่นิยมกันใน สมัยหลัง ทั้งนี้เพราะมีเงื่อนไขของผู้ชมและ สถานที่ที่แสดงมา เกี่ยวข้องดังที่ได้กล่าวแล้ว
การแต่งกายเพลงตันหยง เครื่องแต่งกายผลการศึกษาพบว่าการแสดง เพลงตันหยง ของคณะไทยพุทธและไทยมุสลิมมีความแตกต่างกัน คือ คณะไทยพุทธ เครื่องแต่งกายมีไม่มี ผ้าคลุมศีรษะศีรษะแต่ใช้การรวบผมขึ้นมาแล้วติด ดอกไม้ ประดับศีรษะแทน มีสร้อยคอมุกและต่างหูมุก มีผ้า คล้องคอนุ่ง ผ้าปาเต๊ะซึ่งได้รับอิทธิพลจากการแต่งกาย ของนักแสดงรองเง็งที่มีการ แต่งกายแบบชาวมลายู
อ้างอิง https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/createweb/10000/sociology/10000-13107.html https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/2/c7f436bf https://oer.learn.in.th/search_detail/result/290344 https://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/1358/1/M anod_Y.pdf