95 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก นายสุดจินดาหุ้มแพรได้ไปสมัครเป็ นทหารของพระเจ้าตากที่เมือง จนัทบุรีและไดร้ับการแต่งต้งัเป็นพระมหามนตรีช่วยทาํสงครามขบัไล่พม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชทรงต้งักรุงธนบุรีแลว้พระมหามนตรีก็ไดต้ิดตามมารับราชการที่ กรุงธนบุรีความสามารถทางการทหารของพระมหามนตรีก็ได้ติดตามมารับราชการก้าวหน้า เรื่อยมา ต่อมาพระมหามนตรีได้เป็นแม่ทพั ปราบชุมนุมเจ้าพิมายร่วมกบั สมเด็จเจ้าพระยามหา กษัตริย์ศึก(ดาํรงตาํแหน่งพระราชวรินทร์ในขณะน้นั )และไดร้ับการเลื่อนบรรดาศกัด์ิเป็นพระยา อนุชิตราชาต่อมาใน พ.ศ. 2313 ไดเ้ลื่อนบรรดาศกัด์ิเป็นพระยายมราชแทนพระยายมราชคนเดิมที่ เสียชีวิตไป หลงัจากปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ไดท้ ้งัหมด พระยายมราชก็ได้รับเลื่อนบรรดาศกัด์ิ เป็ นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช หรือเจ้าพระยาสุรสีห์ ครองเมืองพิษณุโลกดูแลควบคุมหัวเมือง ผ่ายเหนือ แสดงให้เห็นถึงความไวว้างพระราชาหฤทยัของสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชที่มีต่อ พระยาสุรสีห์ เจา้พระยาสุรสีห์มีบทบาทสําคญั ในสงครามอีกหลายคร้ังตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช เช่น ศึกเมืองพิชยัศึกอะแซหวุ่นก้ีศึกตีเมืองเวียงจนัทน์จนเมื่อสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชสวรรคต สมเด็จเจ้าพระยามหากษตัริยศ์ึกปราบดาภิเษกข้ึนเป็นปฐมกษตัริยแ์ห่ง ราชวงศ์จักรีทรงแต่งต้ังเจ้าพระยาสุรสีห์ข้ึนเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหา สุรสิงหนาท ตาํแหน่งกรมพระราชวงับวรสถานมงคล(วงัหนา้) เจ้าพระยาสุรสีห์ยงัมีสมญาณนามว่า “พระยาเสือ” แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความเขม้แขง็เด็ดขาด และความเป็นนกัรบคู่พระทยัของกษตัริยท์ ้งัสองรัชกาล พระบรมราชานุสาวรีย์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (เจ้าพระยาสุรสีห์)
96 กิจกรรมท้ายเรื่อง ใหผ้เู้รียนตอบคาํถามต่อไปน้ีใหถู้กตอ้ง 1.) บุคคลสําคัญในธนบุรีไดแ้ก่ใครบา้ง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 2.) สมเด็จเจา้พระยามหากษตัริยศ์ึกมีความสาํคญัต่ออาณาจกัรธนบุรีอยา่งไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 3.) พระยาเสือเป็นสมญานามของใคร เหตุใดจึงมีสมญานามเช่นน้นั ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………… ------*------
97 เรื่องการเสื่อมของอาณาจักรธนบุรี ในปลายสมยัธนบุรีคนร้ายกลุ่มหน่ึงที่กรุงเก่า (กรุงศรีอยุธยา) ถือโอกาสคบคิดกนั ปลุก ปั่นยุยงราษฎรให้ก่อการกบฏเขา้ปลน้จวนเจา้เมืองกรุงเก่า จบัเจา้เมืองและกรมการเมืองประหาร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีรับสั่งให้พระยาสรรค์ข้ึนไปสอบสวน แต่พระยาสวรรค์ กลบัไปเขา้กบัพวกกบฏและยกพวกมายึดพระราชวงัที่กรุงธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2324 บังคับ ให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระผนวช และคุมพระองค์ไว้ที่อุโบสถ์วัดแจ้ง แล้วพระยา สรรค์ก็ต้งัตนเป็นผูส้ ําเร็จราชการแผน่ดิน นาํเงินในพระคลงัออกมาแจกจ่ายพวกพอ้งของตน ใน ระหวา่งน้นัขนุนางช้นัผูใ้หญ่คือ สมเด็จเจา้พระยามหากษตัริยศ์ึกและเจา้พระยาสุรสีห์ยกกองทพั ไปตีเขมรพระยาสรรค์จึงยึดอํานาจได้สําเร็จ พระยาสุริยาอภัย (ทองอินทร์) เจ้าเมืองนครราชสีมารู้ข่าวกบฏ จึงยกกําลังมาระงับ เหตุการณ์ที่กรุงธนบุรี ขณะน้นักรมขุนอนุรักษส์งครามที่ทาํความผิดและถูกสมเด็จพระเจา้ตากสิน มหาราชสั่งใหก้กัขงัไว้ไดร้ับการปล่อยตวัจากพระยาสรรค์จึงเขา้ขา้งกบฏสู้รบกบัฝ่ายพระยา สุริยอภยัปรากฏวา่กรมขนุอนุรักษส์งครามเป็นฝ่ายพา่ยแพ้พระยาสุริยอภัยควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษตัริยศ์ึกไดข้่าวเกิดการจลาจลในกรุงธนบุรีจึงยกทพักลบัมาถึงกรุง ธนบุรีในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อมาถึงก็ไดส้อบสวนเรื่องราวความยุง่ยากที่เกิดข้ึนและที่ ประชุมขนุนางไดล้งความเห็นวา่ ให้สําเร็จโทษพระเจา้ตากสินมหาราชเสีย วนัรุ่งข้ึนสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชก็ถูกสาํเร็จโทษ เป็นอนัสิ้นสุดสมยัธนบุรี
98 กิจกรรมท้ายเรื่อง ใหผ้เู้รียนตอบคาํถามต่อไปน้ีใหถู้กตอ้ง การสิ้นสุดของสมยักรุงธนบุรีเกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ------*------
99 แบบทดสอบท้ายบทที่ 4 ให้ผู้เรียนทําเครื่องหมาย ( X ) ลงในคําตอบข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว 1. บุคลใดเป็ นผู้สถาปนากรุงธนบุรี ก. เจ้าพระยาจักรี ข. สมเด็จพระเจา้อู่ทอง ค. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ง. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 2. กรุงธนบุรีมีพระมหากษตัริยก์ี่พระองค์ ก. 1 พระองค์ ข. 2 พระองค์ ค. 3 พระองค์ ง. 4 พระองค์ 3. อาณาจักรกรุงธนบุรีมีอายุรวมกี่ปี ก. 10 ปี ข. 15 ปี ค. 20 ปี ง. 25 ปี 4. พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็ นเมืองหลวงแทนกรุงศรีอยุธยาเนื่องจากสาเหตุใด ก. ที่ต้งักรุงธนบุรีอยใู่กลท้ะเลมีประโยชน์ดา้นความปลอดภยั ข.กรุงศรีอยธุยาไดร้ับความเสียหายเกินจะซ่อมแซมได้ ค. สภาพแวดล้อมกรุงธนบุรีคล้ายกรุงศรีอยุธยา ง. ถูกทุกข้อ 5. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมวา่อยา่งไร ก. สิน ข. แขก ค. ทองด้วง ง. ทองเหม็น 6. บุคลคลใดที่ไม่ใช่ บุคคลสําคัญในสมัยกรุงธนบุรี ก. พระยาพิชัยดาบหัก ข. สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ค. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ง. สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
100 7. ระบบการปกครองสมัยกรุงธนบุรีเป็ นการปกครองแบบใด ก. ยกเลิกจตุสดมภ์ ข.ไม่มีการปกครองหวัเมือง ค. รับรูปแบบการปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น ง. รับรูปแบบการปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย 8. ชนชาติมีการคา้ขายกบักรุงธนบุรีมากที่สุด ก. ชาวจีน ข. ชาวญี่ปุ่ น ค. ชาวฮอลันดา ง. ชาวโปรตุเกส 9. พระเจ้าตากสินตีชุมนมไหนเป็ นชุมนุมแรก ก. ชุมนุมเจ้าพิมาย ข. ชุมนุมเจ้าพระฝาง ค. ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ง. ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช 10. สภาพความวนุ่วายในสมยัตอนปลายกรุงธนบุรีเกิดจากอะไร ก. ชุนนางบางคนก่อกบฏ ข.ถูกพม่าบุกโจมตีอยา่งหนกั ค. ราษฎรประสบภาวะอดอยาก ง. พระมหากษัตริย์ถูกรอบปลงพระชนม์
101
102 บทที่ 5 พัฒนาการของชาติไทยสมัยรัตนโกสินทร์ การสถาปนาอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อคร้ังยังดํารงพระยศเป็น สมเด็จเจา้พระยามหากษตัริยศ์ึกภายหลงัที่ไดท้รงเลิกทพักลบัจากกรุงกมัพูชาเพราะในกรุงธนบุรี เกิดการจลาจลเมื่อถึงกรุงธนบุรีบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ท้งัหลายก็พากนัอ่อนน้อมยอมสวามิภกัด์ิ เรียกร้องให้แกไ้ขวิกฤติการณ์พร้อมกนัน้นัก็พากนัอนัเชิญให้พระองค์เสด็จข้ึนครองราชยส์มบตัิ เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยสืบต่อไป เมื่อวนัที่6 เมษายน พ.ศ.2325 รัชกาลที่1 แห่งราชวงศ์จกัรี (นบัเป็นวนัเริ่มตน้แห่งราชวงศจ์กัรีทางราชการจึงกาํหนดให้วนัที่6 เมษายน ของทุกปี เป็ นวันจักรี เพื่อระลึกถึงวนัแห่งการสถาปนาราชวงศจ์กัรี) ภายหลังเมื่อเหตุการณ์เขา้สู่ภาวะปกติแล้ว รัชกาลที่1 ทรงเห็นว่าก่อนจะประกอบพิธี ปราบดาภิเษกเป็นกษตัริย์เห็นว่าควรจะยา้ยราชธานีไปอยู่ฟากตะวนัออกของแม่น้ําเจ้าพระยา เสียก่อน โดยบริเวณที่ทรงเลือกที่จะสร้างพระราชวงัน้ัน เคยเป็นสถานีการค้าขายกับชาว ต่างประเทศในแผน่ดินสมเด็จพระนารายณ์-มหาราช มีนามเดิมวา่“บางกอก” ซ่ึงในขณะน้นัเป็นที่ อยอู่าศยัของชาวจีนเมื่อไดท้รงชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควรแลว้ทรงให้ชาวจีนยา้ยไปอยูต่าํบลสํา เพ็ง แล้วโปรดเกล้าฯให้สร้างร้ัวไมแ้ทนกาํแพงข้ึนและสร้างพลบัพลาไมข้้ึนชวั่คราว หลงัจากน้นั ใน เดือนมิถุนายน พ.ศ.2325 ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา ได้ทรงประกอบพิธี ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นปฐมกษตัริย์แห่งราชวงศ์จกัรีทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระบรม ราชาธิราชรามาธิบดีฯ” แต่ในสมยัปัจจุบนัผูค้นนิยมเรียกพระนามวา่“พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”และทรงสถาปนาตาํแหน่งวงัหนา้ (กรมพระราชวงับวรสถานมงคล)และ ตาํแหน่งวงัหลงั (กรมพระราชวงับวรสถานพิมุข) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงไดร้ับอญัเชิญข้ึนครองราชยใ์นวนัที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325แต่ในขณะน้นัยงัไม่ไดส้ร้างพระราชวงัใหม่จึงทรงประทบั ในพระราชวงัเดิม ไปก่อน ต่อมาเมื่อก่อสร้างพระบรมมหาราชวงัและราชธานีแห่งใหม่ทางฝั่งตะวนัออกของแม่น้าํ เจา้พระยาเสร็จในปีพ.ศ. 2328ก็โปรดฯ ให้มีการสมโภชน์พระนครและกระทาํพิธีปราบดาภิเษก ข้ึนเป็นพระมหากษัตริย์อีกคร้ัง และพระราชทานนามพระนครใหม่น้ีว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิต สักกทิตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” หรือที่คนยุคปัจจุบันนิยมเรียกว่า “กรุงรัตนโกสินทร์” นนั่เอง (คร้ันในสมยัแผน่ดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยูห่วั (รัชกาลที่ 4) ทรงเปลี่ยนสร้อยที่ว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็ น “อมรรัตนโกสินทร์” นอกน้นัคงเดิม) และใน บริเวณพระบรมมหาราชวงั ไดส้ร้างวดัพระแกว้ (วดัพระศรีรัตนศาสดาราม) เป็นวดัที่ใชประกอบ ้
103 พระราชพิธีทางศาสนา เป็นวดัที่ไม่มีพระสงฆจ์าํพรรษาอยูแ่ละเมื่อสร้างพระนครเสร็จสมบูรณ์ไดม้ี การอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วัดน้ีและได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เพื่อใหส้อดคลอ้งกบันามของพระนครใหม่ สาเหตุการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาตั้งที่กรุงรัตนโกสินทร์ กรุงธนบุรีเป็นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไวท้้งัสองฝั่งแม่น้าํ โดยเอาแม่น้าํผา่กลาง (เรียกวา่เมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลกมีประโยชน์ตรงที่อาจเอกเรือรบไวใ้นเมืองเมื่อเวลาถูก ขา้ศึกมาต้งัประชิดแต่การรักษาเมืองคนขา้งในจะถ่ายเทกาํลงัเขา้รบพุ่งรักษาหน้าที่ไดไ้ม่ทนัท่วงที เพราะตอ้งขา้มแม่น้าํแต่แม่น้าํเจา้พระยาท้งักวา้งและลึกจะทาํสะพานขา้มก็ไม่ไดท้าํให้ยากแก่การ รักษาพระนครเวลาข้าศึกบุกกรุงธนบุรีอยู่ในท้องคุ้งน้ํา ทาํให้น้ํากัดเซาะตลิ่งพงัได้ง่ายบริเวณ พระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคับแคบ มีวดัขนาบท้งัสองข้าง คือ วดัแจ้ง (วดัอรุณราชวราราม) กบัวดัทา้ยตลาด (วดัโมฬีโลกยาราม) ทาํให้ยากแก่การขยายพระราชวงัให้ กว้างออกไป เหตุผลของการเลือกทา เลทตี่ ้ังฝั่งตะวนัออกของแม่น า้เจ้าพระยา 1. ทางฝั่งกรุงเทพฯเป็นที่ชยัภูมิเหมาะสมเพราะเป็นหวัแหลมถา้สร้างเมืองแต่เพียงฟากเดียว จะไดแ้ม่น้าํใหญ่เป็นคูเมืองท้งัดา้นตะวนัตกและดา้นใต้เพียงแต่ขุดคลองเป็นคูเมืองแต่ดา้นเหนือ และดา้นตะวนัออกเท่าน้นัถึงแมว้า่ขา้ศึกจะเขา้มาโจมตีก็พอต่อสู้ได้ 2. เนื่องด้วยทางฝั่งตะวนัออกน้ีพ้ืนที่นอกคูเมืองเดิมเป็นพ้ืนที่ลุ่มที่เกิดจากการต้ืนเขิน ของทะเล ขา้ศึกจะยกทพัมาทางน้ีคงทาํได้ยาก ฉะน้ันการป้องกนัพระนครจะไดมุ้่งป้องกนัเพียง ฝั่งตะวนัตกแต่เพียงดา้นเดียว 3.ฝั่งตะวนัออกเป็นพ้ืนที่ใหม่สันนิษฐานวา่ชุมชนใหญ่ในขณะน้นัคงจะมีแต่ชาวจีนที่เกาะ กลุ่มกนัอยจู่ ึงสามารถขยายออกไปไดอ้ยา่งกวา้งขวางและขยายเมืองไดเ้รื่อยๆ
104 กิจกรรมท้ายเรื่อง ใหผ้เู้รียนตอบคาํถามตามหวัขอ้ที่กาํหนดให้ต่อไปน้ี 1. ให้ผู้เรียนวิเคราะห์พัฒนาการการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์มาพอสังเขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงไดย้า้ยราชธานีมาอยบู่ริเวณฝั่ง ตะวนัออกของแม่น้าํเจา้พระยา ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
105 พัฒนาการด้านต่างๆ สมัยรัตนโกสินทร์ 1. พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง การปกครองของไทยได้มีพัฒนาการมาเป็ นลําดับ โดยจัดระเบียบการปกครอง เพื่อเสถียรภาพของบา้นเมืองและประโยชน์ของประชาชน โดยแบ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ออกเป็ น 2 สมัย คือ สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลที่ 1-5) และ สมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลที่ 5-7) ระบอบการปกครองในสมยัรัตนโกสินทร์ได้มีการพฒันารูปแบบตามสถานการณ์ท้ัง ภายในและภายนอกประเทศ ดงัน้ี 1. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัตนโกสิ นทร์ ตอนต้นยังคงปกครองโดยระบอบราชาธิ ปไตยหรื อระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์พระมหากษัตริย์เปรียบประดุจองค์สมมุติเทพที่สูงส่ง และศักด์ิสิทธ์ิ ในรูปแบบของพระราชพิธีขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสํานัก พระองค์จะทรงไว้ซึ่ งอํานาจ สูงสุดทางการเมืองการปกครอง พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นเจา้ของแผ่นดินเป็ นเจ้าชีวิตของ ปวงประชาราษฎรอย่างไรก็ตามพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอํานาจในกรอบของ ทศพิธราชธรรมทรงปกครองตามหลักจักรวรรดิวัตร พระองค์ยังทรงทํานุบํารุงสนับสนุนการสร้าง ความเจริญต่างๆโดยมีพระราชวงศ์และขุนนางเป็นผูด้าํเนินการจนถึงสมยัรัชกาลที่5ได้ทรงปฏิรูป การปกครองท้งัส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยดึงอาํนาจบริหารเขา้สู่ศูนยก์ลาง ทาํให้ฐานะของ พระมหากษตัริยม์ ีความมนั่คงข้ึนการปกครองระบอบราชาธิปไตยของไทยมีการพฒันาสืบต่อมา จนถึงสมัยรัชกาลที่ 7จนได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็ นระบอบประชาธิปไตย 2. ระบอบประชาธิปไตย ในสมัยรัชกาลที่ 7 พ. ศ. 2475คณะราษฎรได้ยึดอํานาจเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยอ้าง ถึงสาเหตุความไม่ยุติธรรมและไม่เสมอภาคจากระบบการปกครองแบบเดิม พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจา้อยู่หัวไดพ้ระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบัแรกเพื่อใช้เป็นหลกัในการปกครอง เมื่อ วันที่ 10ธันวาคม พ. ศ. 2475 ประเทศไทยจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็ นระบอบประชาธิปไตย แบบมีพระมหากษตัริยท์รงอยู่ภายใตร้ัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษตัริยท์รงใช้อาํนาจอธิปไตยฐาน องค์กร 3ฝ่ายคือ บริหารผา่นทางรัฐบาล นิติบญัญตัิผา่นทางรัฐสภาและตุลาการผา่นทางศาลแต่ ยังคงมีการแยง่ชิงอาํนาจทางการเมืองมาโดยตลอดเป็นผลให้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบบัเก่าและ จดัร่างฉบบัใหม่ทดแทนเรื่อยมา ใน พ.ศ. 2550 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วเป็ น จํานวน 18 ฉบับ
106 สมเด็จพระยาบรมมหาศรี สุริยาวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เป็ น ผู้ส าเร็จราชการแผ่นดินใน สมัยต้นรัชกาลที่ 5 1. สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนปฏิรูปการปกครอง(รัชกาลที่1-5) การบริหารปกครองยังคงลกัษณะเดียวกบัสมยัอยุธยา แต่มีการปรับให้สอดคลอ้งกบัสถานการณ์ คือ 1.1 การปกครองส่ วนกลาง การจดัการปกครองท้งัฝ่ายทหารและพลเรือน อยู่ในความ รับผิดชอบของอัครมหาเสนาบดี 2 ตาํแหน่งคือ สมุหพระกลาโหม (เจา้พระยามหาเสนา)และสมุ หนายก (เจ้าพระยาจักรี) โดยมีกรมจตุสดมภ์ท้งั 4 คือ เวียง วัง คลัง และนา ซึ่ งมีเสนาบดีเป็ นผู้ ควบคุมการบริหารราชการแผน่ดิน ดงัน้ี กรมเวียงหรือกลมเมืองมีหน้าที่ปกครองท้องที่ภายในเขตราชธานี และเมืองใกล้เคียงดูแล ปราบปรามโจรผูร้้าย และพิจารณาตดัสินคดีความที่เป็นมหันตโทษ และดูแลกลมเล็กๆ ในสังกดั เสนาบดีกรมเวียงคือ พระนครบาล กรมวังมีหน้าที่รับผิดชอบกิจการของราชสํานกัและแบ่งเบาพระราชภาระต่างๆ ขององค์ พระมหากษตัริย์รวมท้งัการตดัสินคดีความที่เกี่ยวขอ้งกบัคนในสังกดัด้วย เสนาบดีกรมวัง คือ พระธรรมาธิกรณ์ กรมคลัง หรือ กรมพระคลัง มีหน้าที่รับผิดชอบพระราชทรัพย์ที่ได้มาจากภาษีอากรการค้า ต่างประเทศการติดต่อกบัคณะทูต รวมท้งัการพิจารณาตดัสินคดีความของชุมชนชาวต่างชาติกรม ยอ่ยในสังกดักรมพระคลงัที่สาํคญัคือกรมพระคลงัสินคา้กรมท่าซ้ายกรมท่าขวาและกรมท่ากลาง เสนาบดีกรมคลัง คือ พระโกษาธิบดี กรมนา มีหน้าที่ตรวจสอบและส่งเสริมการทาํไร่นาของราษฎรการเก็บรวบรวม ขา้วไว้ ในฉางหลวง เพื่อใชเ้ป็นเสบียงอาหารเมื่อเกิดสงคราม การออกกรรมสิทธ์ิที่นาแก่ราษฎร รวมท้งัการ พิจารณาตดัสินคดีความของราษฎรที่มีกรณีพิพาทเกี่ยวกบัที่นา พระโคกระบือเสนาบดีกรมนาคือ พระเกษตรธิบดี สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงแต่งต้งัเจา้นายที่ไวว้างพระทยัให้กบัราชการ กรมต่างๆอีกช้ันหน่ึง เช่น กรมหลวงพิทกัษ์มนตรีกาํกบัมหาดไทย กรม หมื่นเจษฎาบดินทร์กาํกบกรมคลัง และกลมหมื่นศักดิพลเสพ ั กาํกบักรม พระกลาโหมเท่ากับเป็นการรักษาสมดุลระหว่างเจ้านายกับขุนนาง ขณะเดียวกันเป็นการมอบหมายให้เจ้านายช่วยปฏิบัติราชการสร้าง คุณประโยชน์ให้แก่บา้นเมืองดว้ย ในรัชกาลที่3 ก็ไดท้รงแต่งต้งัเจา้นาย ให้กาํกบัราชการสืบต่อมาเหมือนกบัสมยัรัชกาลที่2 เช่น เจา้ฟ้ากรมขุนอิศ รานุรักษ์กาํกบัมหาดไทยกรมหมื่นสุรินทรรักษ์กาํกบักรมพระนครบาล (กรมเมือง) 1.2 การปกครองหัวเมือง การปกครองแบ่งตามลาํดบัข้นัเริ่มจาก หมู่บา้น ตาํบล แขวง และเมืองซ่ึงแบ่งเป็นช้ันจตัวา ตรีโท เอกและราช
107 ธานี พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายให้เสนาบดีสําคัญ คือ สมุหพระกลาโหม ดูแลหัวเมืองฝ่ ายใต้ และภาคตะวันตก สมุหนายก ดูแลหัวเมืองฝ่ ายเหนือและอีสาน เสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลหัวเมือง ชายทะเลตะวนัออกท้งัน้ีเสนาบดีท้งั 3 ตาํแหน่งคือสมุหพระกลาโหมสมุหนายกและเสนาบดีกรม คลงัจะทาํหนา้ที่บงัคบับญัชาหัวเมืองที่ไดร้ับมอบหมายท้งัการเกณฑ์และทาํทะเบียนไพร่พล การ จดัเก็บภาษีอากรส่งมายงัเมืองหลวงการปราบปรามโจรผูร้้ายและการตดัสินคดีความ ส่วนเจา้เมือง ต่างๆ จะบริหารในระบบกินเมืองคือเจา้เมืองมีอาํนาจในการควบคุมท้งัไพร่พลและผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจ 1.3 การปกครองส่วนประเทศราช สมยัน้ียงัคงยึดระเบียบปฏิบตัิเช่นเดียวกบัสมยัอยุธยา คือ ประเทศต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ตามกาํหนดเวลาและตามขนาดน้ําหนักที่กาํหนดไว้ พระมหากษตัริยไ์ทยทรงไวซ้่ึงพระราชอาํนาจในการแต่งต้งัและถอดถอนเจา้ประเทศราช ตลอดจน การเกณฑ์แรงงานและส่วยบรรณาการมาช่วยราชการถา้เมืองใดขดัขืนถือวา่เป็นกบฏประเทศราช ในสมยัรัตนโกสินทร์ได้แก่ล้านนา หลวงพระบาง เวียงจนัทน์จาํ ปาศกัด์ิเขมร และรัฐมลายู (ไทรบุรี กลันตัง ตรังกานู และปะลิส) 2. สมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลที่5-7) เมื่อรัชกาลที่ 4 เสด็จข้ึนครองราชย์อิทธิพลของชาติตะวนัตกได้แผ่ขยายอาํนาจคุกคาม ภูมิภาคเอเชียตะวนัออกเฉียงใต้พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัจึงทรงปรับปรุงบ้านเมืองให้ ทนัสมยัเพื่อป้องกนัมิให้ชาติตะวนัตกดูถูกไทย และถือเป็นขอ้อา้งในการยึดครองได้โดยทรง เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่ล้าสมยัเช่น ให้ขุนนางที่จะเขา้เฝ้าตอ้งสวมเส้ือให้ เรียบร้อย เมื่อเสด็จเลียบพระนครโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรเข้าเฝ้าถวายพระพรได้ใกล้ชิด ให้ราษฎร ถวายฎีการ้องทุกขไ์ดทุ้กวนัโกน (ก่อนวนัพระ) เดือนละ 4คร้ัง เปลี่ยนแปลงวิธีการแต่งต้งัพระมหา ราชครูซ่ึงทาํหน้าที่ด้านการพิจารณาคดีความในศาลโดยให้เลือกต้งักนัเอง ที่สําคญัคือ ทรงออก หนงัสือราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้หนงัสือราชการต่างๆ มีความถูกตอ้งชดัเจนการประกาศข่าวสาร ราชการต่างๆ แก่ราชการจะไดไ้ม่คลาดเคลื่อนและทบทวนได้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 การบริหารราชการที่ใช้ปฏิบัติสืบต่อกันมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนตน้เริ่มก่อปัญหาโดยเฉพาะความไม่คล่องตวัในราชการ ในช่วงเวลาที่ไทยตอ้งปรับตนเองให้ ทันสมัย และเข้มแข็งเมื่อเผชิญหนา้กบัการคุกคามของมหาอาํนาจตะวนัตก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินคร้ังใหญ่ เพื่อสร้างเสถียรภาพแห่งราชบลัลงัก์และราชอาณาจกัร โดยพระองคท์รงดาํเนินการปฏิรูปแบ่งเป็น 2ระยะและมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในสมยัรัชกาลที่6 และรัชกาลที่ 7 มีประเด็นสาํคญัดงัน้ี 2.1 ช่วง พ.ศ. 2411 - พ. ศ. 2430 เป็ นระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงมีฐานะทางการเมืองไม่มั่นคง เพราะมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
108 (ช่วง บุนนาค) เป็นผูส้ ําเร็จราชการแทนพระองคอ์ยู่รัชกาลที่5 เริ่มพยายามดึงอาํนาจการบริหาร คืนจากกรมขนุนางท้งัน้ีเพื่อสร้างความเป็นอนัหน่ึงอนัเดียวกนัของรัฐขจดัความแตกแยกในกลุ่มชน ช้นั ปกครองและระหวา่งราชธานีกบัหวัเมืองการวางพ้ืนฐานการดาํเนินงานแบบเดียวกนัทวั่ประเทศ ไดแ้ก่ การปกครองส่ วนกลาง รัชกาลที่ 5 ทรงต้งัสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) สมาชิก เป็ นขุนนางระดับพระยา รวม 12คน มีหนา้ที่ถวายคาํปรึกษาราชการที่สําคญัรวมท้งั พิพากษาคดีพิเศษ และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์(Privy Council) สมาชิกประกอบด้วย พระบรม วงศานุวงศ์และขุนนางระดบัต่างๆ รวม 49 นาย มีหน้าที่ถวายคาํแนะนาํขอปรึกษาส่วนพระองค์ นอกจากน้ีทรงริเริ่มการปฏิรูปดา้นเศรษฐกิจคือ ต้งัหอรัษฎากรพิพฒัน์เป็นหน่วยงานเดียวในการ รวบรวมรายได้จากภาษีอากร และจัดระเบียบการรับ-จ่ายเงินที่เป็นรายไดข้องประเทศรายจ่ายที่เป็น เบ้ียหวดัเงินเดือนขา้ราชการและการทาํนุบาํรุงประเทศใหช้ดัเจน นอกจากน้ียงัไดม้ีการยกเลิกธรรม เนียมหมอบคลานเปลี่ยนเป็ นยืนหรือเดินแทนธรรมเนียมการถวายบังคมและกราบไหว้ เปลี่ยนเป็ น โคง้ศีรษะ และจดัระเบียบการแต่งกายของพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางเมื่อเขา้เฝ้าฯในโอกาส ต่างๆ การปกครองหัวเมือง รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครองหวัเมืองต่างๆที่เดิมมีลกัษณะกิน เมืองที่เจา้เมืองมีอาํนาจมากและมกัสืบทอดการปกครองต่อไปยงัลูกหลานโดยเฉพาะเมืองประเทศ ราชบางเมืองมีลกัษณะเป็นเมืองที่ยอมรับอาํนาจของอาณาจกัรที่เขม้แข็งกว่า 2 หรือ 3อาณาจักร พร้อมๆ กนัทาํใหจ้กัรวรรดินิยมตะวนัตกใชเ้ป็นขอ้อา้งยึดครองได้พระองคจ์ึงโปรดเกลา้ฯ แต่งต้งั ขา้หลวงไปประจาํหวัเมืองเริ่มตน้ที่เมืองเชียงใหม่นบัเป็นการเริ่มตน้ควบคุมหวัเมืองจากส่วนกลาง และลดอํานาจเจ้าเมืองลง 2.2 ช่วง พ.ศ. 2430 - พ.ศ. 2453 ระยะน้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยูห่วัทรงมี พระราชอํานาจโดยสมบูรณ์ดงัน้นัจึงมีการนาํมาตรการต่างๆ มาปฏิรูปการปกครองอย่างเร่งด่วน พร้อมกบัการปรับปรุงดา้นเศรษฐกิจและสังคม การปกครองส่ วนกลาง พ. ศ. 2430 มีการจดัเพิ่มกลุ่มราชการอีก 6กรมจาก 6กรมเดิม บริหารประเทศร่วมกนั ในรูปของเสนาบดีสภา กระทรวงท้งั 12กระทรวงโดยมีรัชกาลที่5 ทรงเป็ น องค์ประธานใน พ.ศ. 2435มีการยกฐานะของกรมเหล่าน้ีข้ึนเป็นกระทรวงรวม 12กระทรวง กระทรวงคือมหาดไทย กลาโหม ต่างประเทศ วงันครบาล พระคลงัมหาสมบตัิเกษตรพานิชการ โยธาธิการ ธรรมการ ยุทธนาธิการ ยุติธรรมและมุรธาธรการปฏิรูประยะน้ีแบ่งกิจการพลเรือนและ ทหารออกจากกันโดยเด็ดขาด ยกเลิกตาํแหน่งอัครมหาเสนาบดีและตาํแหน่งจตุสดมภ์ท้ัง 4 นอกจากน้ียงัปรับปรุงสภาที่ปรึกษาในพระองค์เป็นองคมนตรีสภา โดยส่งมอบหมายให้สอบสวน งานราชการต่างๆ เช่น ชาํระความถวายฎีกาและทรงปรับปรุงลูกขุน ณ ศาลหลวง เป็นรัฐมนตรีสภา สําหรับเป็ นที่ปรึกษาราชการแผน่ดินในส่วนเกี่ยวกบักฎหมายและการตีความราชประเพณี
109 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งเมืองจ าลอง “ดุสิตธานี” ขึ้น เพื่อเป็ นการทดลองก่อนที่จะเป็ น ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริ ง การปกครองหัวเมืองเป็ นแบบมณฑลเทศาภิบาล ในพ.ศ.2437 ได้จัดระบบเทศาภิบาล อยา่งเป็นทางการโดยรวมหวัเมืองหลายหวัเมืองเป็นมณฑลมีสมุทเทศาภิบาลเป็นผูป้กครองข้ึนกบั กระทรวงมหาดไทยเพียงแห่งเดียวเช่น มณฑลลาวเฉียง (ที่บญัชาการมณฑลอยูท่ ี่เชียงใหม่) มณฑล ลาวพวน (ที่บญัชาการมณฑลอยทู่ ี่อุดรธานี) มณฑลลาวกาว(ที่บญัชาการมณฑลอยทู่ ี่อุบลราชธานี) การปกครองแบบระบอบเทศาภิบาลเป็นการปกครองแบบรวมอาํนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยยกเลิกระบบกินเมืองแบบเก่าแต่ละมณฑลจะแบ่งแยกออกเป็นเมืองอาํเภอ ตาํบลและหมู่บา้น เป็ นผลให้การปกครองเป็ นเอกภาพและมีขอบเขตการปกครองชัดเจน การปกครองส่วนท้องถิ่นแบบสุขาภิบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้อยหู่วัโปรดเกลา้ฯ ใหจ้ดัต้งัการปกครองส่วนทอ้งถิ่นเป็นแบบสุขาภิบาล ตามพระราชบญัญตัิการ ปกครองทอ้งถิ่น ร.ศ. 116 ไดใ้ห้สิทธ์ิแก่ราษฎรที่จะเลือกผูป้กครองของตนเองในระดบัหมู่บา้น และตาํบล เพื่อให้ช่วยกันดูแลท้องถิ่นของตนเอง เช่นการกําจัดสิ่งสกปรกโสโครก การทาํนุ บาํรุงรักษาความสะอาด รวมท้งัการใช้รายได้แผ่นดินที่เก็บจากภาษีโรงเรือนในท้องถิ่นของ สุขาภิบาลการปกครองแบบสุขาภิบาลแห่งแรก คือ สุขาภิบาลท่าฉลอม (สมุทรสาคร) ตาม พระราชบัญญัติสุขาภิบาลตราขึ่นใน ร.ศ. 127กาํหนดใหม้ีสุขาภิบาลเมืองและสุขาภิบาลตาํบล 2.3 สมัยรัชกาลที่6 มีการจดัระเบียบแกไ้ขการบริหารในบางส่วน ไดแ้ก่ ก า ร ป ก ค ร อ ง ส่ ว น ก ล า ง มี ก า ร ปรับเปลี่ยนกระทรวงต่าง ๆ โดยจัดต้ัง กระทรวงใหม่เพิ่มคือ พาณิชย์ทหารเรือ ยุบ กระ ท รวงน ครบ าลโอน งานม าข้ึนกับ กระทรวงมหาดไทย และเปลี่ยนชื่อกระทรวง โยธาธิการเป็ นกระทรวงคมนาคมกระทรวง ธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากน้ี รัชกาลที่ 6 ทรงริเริ่มทดลองการปกครองแบบ ประชาธิปไตยในกลุ่มเสนาบดีและข้าราช บริพารโดยการจดัต้งัเมืองจาํลอง “ดุสิตธานี” ในเขตพระราชวังดุสิต การปกครองระบบเทศาภิบาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยูห่ ัวโปรดเกล้า ฯ ให้มี การเปลี่ยนแปลงระบบเทศาภิบาล โดยให้สมุหเทศาภิบาลข้ึนตรงต่อพระมหากษตัริย์ต้งัมณฑล ใหม่โดยแยกจากมณฑลเดิมและจดัต้งัมณฑลภาคข้ึน โดยรวมมณฑลเทศาภิบาล2-3 มณฑลเป็ น ภาคให้อุปราชภาคปกครองบังคับบัญชาข้ึนตรงต่อพระมหากษัตริย์นอกจากน้ียังมีการ เปลี่ยนแปลงใชค้าํวา่จงัหวดัแทนเมืองดว้ย
110 2.4 สมัยรัชกาลที่ 7 ไดโ้ปรดเกลา้ฯ ให้มีการปรับปรุงการบริหารราชการแผน่ดินบางส่วน ดงัน้ี การปกครองส่ วนกลาง พระองค์ทรงแต่งต้งัอภิรัฐมนตรีสภา ทาํหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษา ราชการส่วนพระองค์เช่นเดียวกบัรัชสมยัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยูห่วัทรงต้งัข้ึนโดย ทรงเลือกพระบรมวงศานุวงศ์ 5 พระองค์เป็ นอภิรัฐมนตรี โดยทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภา เขา้ร่วมประชุมในการประชุมในเสนาบดีสภาทุกคร้ัง และโปรดเกลา้ฯ ให้เสนาบดีกระทรวงต่างๆ ส่งเรื่องราชการที่จะทูลเกลา้ฯ ถวายใหเ้ขา้พิจารณาในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาก่อน นากจากน้ัน ยงัทรงแต่งต้งัรัฐมนตรีสภาทาํหน้าที่พิจารณาถวายคาํ ปรึกษาเรื่องกฎหมาย ต่างๆ รัฐมนตรีสภาประกอบดว้ยเสนาบดีหรือผูแ้ทน และผูท้ี่โปรดเกลา้ฯ แต่งต้งัข้ึนอีกไม่นอ้ยกวา่ 12 คน ส่วนเสนาบดีสภา ประกอบด้วย เสนาบดีที่รับผิดชอบกระทรวงต่างๆ โปรดเกล้าฯ ให้ ประชุมอยา่งนอ้ยสัปดาห์ละคร้ัง โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัเป็นประธาน การปกครองหัวเมืองแบบระบบเทศาภิบาล ในสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ได้ยุบมณฑล อุปราชภาคและให้สมุหเทศาภิบาลข้ึนตรงต่อกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม การปกครองระบบ เทศาภิบาลน้ียกเลิกภายหลงัเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การปกครองส่วนท้องถิ่นแบบเทศบาล รัชกาลที่ 7 ทรงปรับปรุงการจัดการปกครองแบบ สุขาภิบาล เพื่อฝึกฝนให้ประชาชนรู้จกัการใชส้ิทธิเลือกต้งัและรู้จกัใชส้ิทธิในการปกครองตนเอง โดยให้กระทรวงมหาดไทยร่างพระราชบญัญตัิเทศบาลข้ึน แต่ไม่แลว้เสร็จจนกระท้งัเปลี่ยนแปลง การปกครองเสียก่อน การเตรียมการปกครองระบอบประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยู่หัวทรง มีพระราชดาํริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญมาต้งัแต่เสด็จข้ึนครองราชย์โดยโปรดเกลา้ฯ ให้พระยา ศรีวสิารวาจา (เทียนเล้ียง ฮุนตระกูล) ตาํแหน่งปลดัทูลฉลองกระทรวงต่างประเทศและเรยม์อนด์ บี.สตีเวนส์ (Reymond B. Stevens) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ช่วยกนัร่างรัฐธรรมนูญ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2474 และไดบ้นัทึกความเห็นวา่ยงัไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนส่วน ใหญ่ยงัไม่พร้อมที่จะมีส่วนในการปกครองตนเอง 2. พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจไทยในระยะแรกของสมยัรัตนโกสินทร์ไม่ต่างจากสมยัอยุธยาคือเป็น เศรษฐกิจแบบด้งัเดิม ถึงแมจ้ะประสบปัญหาเศรษฐกิจในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่2 เมื่อ พ.ศ. 2310 แต่พระมหากษตัริย์ในสมยัธนบุรีและสมยัรัตนโกสินทร์ตอนต้นสามารถบูรณะฟ้ืนฟูจน กลบัมาเป็นปกติดว้ยความร่วมมือช่วยเหลือของประชาชนและพ่อคา้ชาวจีนจนถึงสมยัรัชกาลที่4 ภายหลังสนธิสัญญาเบาวร์ิง นโยบายเศรษฐกิจไดเ้ริ่มเปลี่ยนแปลงเขา้สู่ระบบสากลและมีการปฏิรูป โครงสร้างทางเศรษฐกิจในสมยัรัชกาลที่5 ซ่ึงเป็นการจดัระบบเศรษฐกิจตามแบบอย่างตะวนัตก
111 โดยมีการวางระเบียบการปฏิบตัิใหม่ในดา้นการเงิน การคลงัและการผลิต ทาํให้ประเทศไทยมีการ พฒันาเศรษฐกิจต่อไปไดซ้่ึงการพฒันาทางดา้นเศรษฐกิจสามารถจาํแนกได้ดงัน้ี 1. การผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ 1.1 เกษตรกรรม อาชีพหลกัของราษฎรคือการทาํนา ทาํสวนและพืชไร่ต้งัแต่สมยัธนบุรีไดม้ีการขยายพ้ืนที่ทาํนา ในบริเวณชานพระนคร เช่น ทุ่งบางกะปิสามเสน และบางกอกโดยทางราชการจะออกโฉนดตรา แดงให้แก่ราษฎร เพื่อใช้เป็นหลกัฐานแสดงกรรมสิทธ์ิการครอบครองที่ดินเป็นผลให้การทาํนา ไดผ้ลดีจนรัฐสามารถเก็บอากรค่านาถือเป็นรายไดสู้งสุดในสมยัรัชกาลที่2 ทางการเรียกเก็บอากร ค่านาเป็นขา้วเปลือกไร่ละ2ถงัหรือเป็นเงินไร่ละสลึง นอกจากน้ีบางปียังมีข้าวเปลือกเหลือมากจน ทางการสามารถนาํไปจาํหน่ายได้ถึงสมยัรัชกาลที่3 ทางการไดเ้รียกเก็บอากรฆ่านาจากกลุ่มขนุนาง ในสมยัรัตนโกสินทร์ยงัมีการทาํสวนผลไมต้่างๆ เช่น มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน กล้วย ส้ม หมากพลูและทาํไร่ ในพ้ืนที่ฝั่งธนบุรีเช่นพริกไทยดาํฝ้ายถวั่และออ้ยซ่ึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่เริ่ม นํามาปลูกในสมัยรัชกาลที่ 2 บริเวณแขวงนครชัยศรีชลบุรีฉะเชิงเทรา เพื่อผลิตน้าํตาลทรายขาว จดัส่งเป็นสินคา้ออกมากข้ึนในสมยัรัชกาลที่3 1.2 หัตถกรรม ระยะน้ีคงมีการผลิตสินคา้จาํพวกเครื่องใช้และงานฝีมือในลกัษณะของอุตสาหกรรมใน ครัวเรือนและอยู่รวมกนัเป็นหลกัแหล่งเช่น บา้นช่างหล่อ(งานประติมากรรม) บา้นบุ(งานลงหิน) บา้นขมิ้น บางเชือกหนงัทางฝั่งธนบุรีทางฝั่ง บางกอก มีบา้นลาน (บางขุนพรหม) บา้นบาตรบา้น ดอกไม้( เพลิง) ย่านตี ทองส่วน เครื่องป้ันดินเผา จําพวกหม้อไห ตุ่ม จะผลิตแถบปทุมธานีและ ล่องมาขายในพระนครบริเวณบา้นหมอ้และนางเลิ้ง 2. รายได้และเงินตรา 2.1 รายได้ ในสมยัรัตนโกสินทร์ตอนตน้รายไดข้องแผน่ดินมาจากการเก็บภาษีอากร ไดแ้ก่ ( 1) จังกอบ หรือภาษีผา่นด่าน ซ่ึงเก็บโดย ชกัส่วนสินคา้หรือเก็บตามขนาด ของยานพาหนะเช่น คิดตาม ความกวา้งของปากเรือเรียกวา่ ภาษีปากเรือ (2) อากรเก็บจากราษฎร ที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ทาํนา ทาํสวน ทาํไร่ การประมง (3) ฤชา หรือค่าธรรมเนียม ในกิจการที่ราชการเรียกเก็บจากราษฎร เช่น การออก โฉนด เงินค่าปรับไหม (4) ส่วยคือสิ่งของที่ไพร่จ่ายให้ราชการทดแทนการมารับราชการหรือจ่ายเป็นตวั เงินแทนรวมท้งัเครื่องราชบรรณาการ ที่ประเทศราชส่งใหร้าชธานี
112 (5) ค่าผูกปี้ คือเงินค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากชาวจีน (ขาย) ที่มาประกอบอาชีพ ต่างๆในดินแดนไทย รายไดส้ ําคญัสมยัรัตนโกสินทร์ตอนตน้คือ รายได้จากการคา้ต่างประเทศ ซ่ึงส่วนใหญ่ เป็ นการค้าผูกขาดโดย พระคลงัสินคา้ภาษีสินคา้ขาเขา้ภาษีสินคา้ขาออก ภาษีปากเรือและการแต่ง เรือสาํเภาหลวงออกไปคา้ขายกบัจีนและหวัเมืองต่างๆ ในสมยัรัชกาลที่1 รายจากการเก็บภาษีอากร ไม่พอค่าใชจ้่ายในสมยัรัชกาลที่2จึงไดจ้ดัเก็บภาษีอากรนดัใหม่เพิ่มข้ึน เช่น งาชา้ง รังนกฝัง ดีบุก พริกไทย หลงัการทาํสนธิสัญญา พาณิชยแ์ละไมตรีกบัองักฤษ และสหรัฐอเมริกาในสมยัรัชกาลที่ 3 ทางการไดเ้พิ่มภาษีอากรอีกหลายอยา่ง เช่น หวย เกลือ น้าํมนัมะพร้าวฝ้าย น้าํตาลทราย ซ่ึงส่วน ใหญ่เป็นการจดัเก็บในระบบเจา้ภาษีนายอากร ซ่ึงเป็นการประมูลผกูขาดการเก็บภาษีสินค้าประเภท ต่างๆ ทาํให้ทางการสามารถขจดัยุ่งยากในการเก็บภาษีแต่ทาํให้เกิดความเดือดร้อน แก่ราษฎร เพราะเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ และสินคา้มีราคาแพงอย่างไรก็ตามในสมยัรัชกาลที่2 และรัชกาล ที่ 3ได้มีการยกเลิกอากร บางอยา่งที่เป็นภยัต่อราษฎรและขดักบั หลักพระพุทธศาสนา เช่น ภาษีฝิ่น อากรค่าน้าํและอากรฟองตนุ(ไข่เต่า) 2.2 เงินตรา ระยะแรกยังคงใช้เงินพดด้วง ซึ่ งเป็ นเงินตราของไทย ใช้มาต้งัแต่สมยัอยุธยา ทาํจากแร่ เงินตราประทับตราประจาํรัชกาลคือรัชกาลที่1 เป็นตราตรีศูลกบับวัอุณาโลม รัชกาลที่2 ตราจกัร กบัครุฑ รัชกาลที่3 ตราปราสาทกบัจกัร รัชกาลที่4 ตรามงกุฎกับจกัร สมยัน้ีเริ่มผลิตเหรียญ กษาปณ์ (เงินเหรียญ) ดา้นหน่ึงเป็นตรามหามงกุฎ อีกดา้นเป็นรูปจกัรกบัตรีศูลในสมยัรัชกาล ที่ 5 ประกาศเลิกใช้เงินพดด้วงเป็ นสื่อกลางในการค้าขายใน พ.ศ. 2447 3. ระบบเศรษฐกจิในสมัยปฏิรูปประเทศ สนธิสัญญาพาณิชยแ์ละไมตรีกบัชาติตะวนัตกในสมยัรัชกาลที่4 ส่งผลกระทบต่อภาวะ เศรษฐกิจของไทยคือไทยตอ้งยกเลิกการคา้ผูกขาด โดยกรมพระคลงัสินคา้และการเก็บภาษีการคา้ ที่ซ้าํซอ้น เปลี่ยนเป็นการเก็บภาษีขาเขา้เพียงร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกจะทําการตกลงเป็ นกรณีใน รัชกาลที่5 ทรงดาํเนินพระราโชบายปฏิรูปดา้นเศรษฐกิจจดัระเบียบการคลงัให้เป็นระบบเพื่อความ สอดคลอ้งกบันโยบายหลกัในการปฏิรูปประเทศสมยัรัชกาลที่6 และรัชกาลที่7 เกิดปัญหาด้าน เศรษฐกิจเนื่องจากรายจ่ายมากกว่ารายรับ และจากภาวะเศรษฐกิจตกต่าํทวั่ โลก รัชกาลที่ 7 ทรง พยายามแกไ้ข ดว้ยการตดัทอนรายจ่ายเช่น การดุลขา้ราชการออกจากตาํแหน่งเป็นจาํนวนมากการ ยุบรวมหน่วยงานละกาํหนดภาษีประเภทใหม่การปฏิรูปเศรษฐกิจในสมยัน้ีจาํแนกเป็นดา้นต่างๆ ดงัน้ี
113 3.1 การจัดระเบียบด้านการเงินการคลัง 3.1.1 นโยบายด้านการเงิน สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุ งระบบเงิ นตรา และผลิ ตเหรี ยญกษาปณ์ ให้เป็ น มาตรฐานสากลรวมท้งัแกไ้ขปัญหาเงินปลอม ทางการเริ่มผลิตธนบตัร ซ่ึงนิยมใช้ในรัชกาลต่อมา นอกจากน้ียังได้ประกาศใช้มาตรฐานทองคําและต้งัเงินทุนสํารองเพื่อรักษาอตัราแลกเปลี่ยน ของ เงินบาทไทยการต้งัธนาคาร ระยะแรกเป็นสาขาของธนาคารต่างชาติเช่น ธนาคารเอชเอสบีซี ((HSBC) ซ่ึงเป็นธนาคารพาณิชยแ์ห่งแรกในไทย ธนาคารแห่งแรกของไทยคือ บุคคลภัย์(Book club) ซ่ึงต่อมาไดข้ยายกิจการเป็นธนาคารชื่อแบงค์สยามกมัมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชยใ์น ปัจจุบนั ได้ส่งเสริมให้ราษฎรรู้โดยต้งัธนาคารออมสิน รวมท้งัจดัต้งักิจการสหกรณ์แห่งแรก คือ สหกรณ์วดัจนัทร์ไม่จาํกดัสินใช้ที่จงัหวดัพิษณุโลก 3.1.2 นโยบายด้านการคลัง การปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่สําคญัอีกดา้น คือการวางมาตรฐานดา้นการคลงั ให้เป็นระบบ ขจัดความซ้ําซ้อนในด้านการดําเนินงาน ตลอดจนวางแนวทางการปฏิบตัิที่เป็นแบบเดียวกัน ทวั่ประเทศไดแ้ก่การต้งัหอรัษฎากรพิพฒัน์เป็นหน่วยงานที่รวบรวมรายไดภ้าษีอากรของแผน่ดิน เร่งรัดการจดัเก็บภาษีและวางแผนการใช้จ่ายเงินมายกฐานะเป็นกระทรวงพระคลงัมหาสมบตัิ มีหนา้ที่จดัระเบียบควบคุม การรับจ่ายของกระทรวงต่างๆ รายจ่ายที่เป็นเบ้ียหวดัเงินเดือนขา้ราชการ และการทํานุ บํารุงประเทศรวมท้ังได้จัดต้ังหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร ได้แก่ กรมสรรพากรใน และกรมสรรพากรนอก มีหนา้ที่ในการจดัเก็บภาษีอากรในกรุงเทพและหวัเมือง ต่างๆ กรมศุลกากรมีหน้าที่ในการเก็บภาษีสินคา้ขาเขา้ขาออกและภาษีอากรทวั่ ไป กรมทะเบียน ที่ดิน ทาํหนา้ที่จดัเก็บอากรที่ดิน กรมสรรพสามิตทาํหนา้ที่จดัเก็บภาษีสุรา 3.2 การเปลี่ยนแปลงลักษณะการผลิต การผลิตก่อนสนธิสัญญาเบาวร์ิ่ง ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อบริโภคในครอบครัว มีการ แลกเปลี่ยนผลผลิตไม่มากนกัการผลิตในยุคปฏิรูป เริ่มเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนใหญ่ยงัคง เป็นผลิตผล ด้านการเกษตร และทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนําไปแปรรูปใช้ในอุตสาหกรรมข้ัน พ้ืนฐานส่งผลใหม้ีรายไดเ้ขา้ประเทศเพิ่มข้ึน ทางการไดใ้หก้ารสนบัสนุนในประเด็นต่างๆดงัน้ี 3.2.1 การเพิ่มผลผลิตด้านเกษตรกรรม ภายหลงัสนธิสัญญาเบาวร์ิง สินคา้ส่งออกที่สําคญัคือขา้ว ซ่ึงเริ่มออกในสมยัรัชกาลที่4 เมื่อขา้วไทยจาํหน่ายไดร้าคาดีและรัชกาลที่5 ยกเลิกทาสและระบบไพร่ประชาชนจึงหนัมาทาํนา เพื่อการส่งออกกนัมากข้ึน ทาํให้มีการบุกเบิกขยายพ้ืนที่เพราะปลูกโดยเฉพาะในภาคกลาง ท้งการั สนบัสนุนใหห้น่วยงานรัฐและเอกชนขุดคลองใหม่และขุดลอกคลองเก่า สร้างประตูก้นัน้าํเพื่อเอ้ือ ประโยชน์ต่อการเพาะปลูกและการคมนาคม คลองผดุงกรุงเกษม คลองมหาสวสัด์ิคลองเจดียบ์ูชา คลองภาษีเจริญ คลองรังสิต คลองเปรมประชากรคลองเชียงรากน้อย จดัต้งักรมชลประทาน เพื่อ
114 ควบคุมการขุดคลอง การบาํรุงรักษาคลอง การใช้น้าํของเกษตรกร ซ่ึงเป็นผลทาํให้การคา้ข้าว ขยายตวัเพิ่มข้ึน 3.2.2การส่งเสริม ด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมในยุคปฏิรูปส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมข้นัพ้ืนฐาน คือ การนําทรัพยากร ในประเทศมาผลิตเพื่อส่งออกเจา้ของกิจการส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เช่น โรงสีขา้วการส่งขา้วเป็น สินคา้ส่งออกเป็นผลให้เกิดโรงสีขา้วข้ึนเป็นจาํนวนมากในเขตพระนครและใกลเ้คียง โดยเฉพาะ จากคลองผดุงกรุงเกษมลงไปเนื่องจากใกลเ้ขตท่าเรือคลองเตย โรงเลื่อยจกัร สัมปทานการทาํไมอ้ยู่ ในเขตภาคเหนือจึงมีการล่องซุงลงมา ตามลาํน้าํเจา้พระยา เพื่อบรรทุกข้ึนเรือที่ท่าเรือคลองเตย ไม้ ซุงบางส่วนมีการแปรรูปเป็นไมก้ระดานโดยโรงเลื่อยจกัรจะต้งัอยูบ่ริเวณริมฝั่งแม่น้าํเจา้พระยาใน เขตกรุงเทพ โรงงานน้าํตาลทรายขาวอยใู่นบริเวณที่เป็นแหล่งปลูกออ้ยแถบนครชยัศรีฉะเชิงเทรา ชลบุรีอู่ต่อเรือสมยัใหม่มีท้งัของหลวงและของเอกชน เป็นเรือกลไฟและเรือเหล็กจะอยูบ่ริเวณริม ลาํน้าํเจา้พระยาทางดา้นใตเ้หมืองแร่ส่วนใหญ่เป็นเหมืองดีบุก บริเวณทางใต้ซ่ึงทางราชการไดเ้ห็น ความสาํคญัของกิจการเหมืองแร่จึงต้งักรมราชโลหกิจและภูมิพิทยาข้ึน โดยมีหนา้ที่ในการควบคุม การทาํเหมืองแร่ 4. การส่งเสริมด้านการค้าและพาณิชยกรรม รายไดจ้ากการคา้เป็นรายไดห้ลกัของประเทศ ในช่วงสมยัน้ีไทยกา้วเขา้สู่ยุคการปรับตวั ใหท้นัสมยัจึงมีการสั่งสินคา้เขา้มากกวา่ส่งออกเป็นผลใหไ้ทยเริ่มเสียดุลการคา้ ส่วนนโยบายการคา้ ก็เปลี่ยนไปจากสมยัก่อน โดยไทยได้ทาํสนธิสัญญาการคา้กบั ประเทศต่างๆ และมีการต้งักงสุล ประจาํต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการคา้ระหว่างไทยประเทศ น้นัๆ ท่าเรือสําคญัของไทยที่ส่งสินคา้ ไปจาํหน่ายต่างประเทศคือ ท่าเรือคลองเตย ซ่ึงการส่งเสริมดา้นการคา้และพาณิชยกรรม สามารถ สรุปไดด้งัน้ี 4.1 การค้าภายใน ตลาดและร้านคา้จาํหน่ายสินคา้จะอยู่ตามเส้นทางการคา้ทางบกเป็นส่วนใหญ่เนื่องจาก การขยายพระนคร และการตัดถนน การสร้างเส้นทางรถไฟ เพื่อความสะดวก ในการคมนาคม พอ่คา้ชาวจีนและชาติอื่นๆ ไดต้้งัร้านคา้ตามตึกแถวริมถนนตดัใหม่ยา่นการคา้จึงกระจายไปทางบก แผนที่ตลาดน้าํ 4.2 การค้าภายนอก สมยัน้ีการคา้ทางบกสําเภากบัจีนซบเซาลง ส่วนการคา้กบัชาติตะวนัตกรุ่งเรือง โดยมีการ นาํสินคา้ใหม่และสินคา้ฟุ่มเฟือย จากยุโรปและเอเชีย เขา้มาจาํหน่าย เช่น เครื่องเรือน เครื่องแกว้ เครื่องถว้ยชาม เครื่องประดบัเส้ือผา้เครื่องจกัร เครื่องมือ สุรา ยา รถ ทาํให้พ่อคา้ชาวจีนบางส่วน ไดเ้ปลี่ยนไปเป็นตวัแทนจาํหน่ายสินคา้ยโุรป พอ่คา้ชาวตะวนัตก
115 4.3 การสร้างสาธารณูปโภค ในยุคปฏิรูปทางราชการยงัไดส้ร้างสาธารณูปโภคที่เพื่อประโยชน์ต่อการพฒันาเศรษฐกิจ เช่น การตดัถนน และสร้างสะพานในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยู่หัวทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ฯ ให้สร้างถนน ตามวิทยาการของตะวนัตกเป็นทางสัญจรไดแ้ก่ถนนเจริญกรุง ถนนบํารุงเมืองและถนนเฟื่ องนคร ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยู่หัว ได้มี การสร้างถนนเพิ่มข้ึนอีกหลายสายในเขตพระนคร เพื่อให้การติดต่อคมนาคมทางบกทําได้สะดวก รวดเร็ว เช่น ถนนราชดาํเนิน เยาวราช พาหุรัด สามเสน พญาไท นอกจากน้ียังมีการสร้าง สะพาน ถาวรขา้มคลองเชื่อมถนนตดัใหม่เช่น สะพานผ่านพิภพลีลาวาด ผ่านฟ้าลีลาศ มัฆวานรังสรรค์ และสะพานชุด “เฉลิม” อีกหลายแห่งเป็นผลให้เขตเมืองขยายออกไปทางท้งัทางเหนือ ตะวันออก และทางใต้ส่วนการติดต่อกบัหวัเมืองต่างๆ น้นัมีการสร้างทางรถไฟ ท้งัสายตะวนัออกเฉียงเหนือ สายเหนือและสายใต้โดยมีกรมรถไฟหลวงควบคุมดูแลในการสร้างทางรถไฟ นอกจากน้ียงัมีการ ต้งักรมไฟฟ้า และประปา ซ่ึงช่วยอาํนวยประโยชน์แก่พ่อคา้และประชาชนได้เป็นอย่างดีส่วน หน่วยงานที่เพื่อประโยชน์ทางดา้นเศรษฐกิจ เช่น กรมไปรษณียแ์ละกรมโทรเลข ดูแลรับผิดชอบ ด้านการสื่อสารของประเทศ ทาํให้การติดต่อคา้ขายของตวัแทนบริษทัแม่และยุโรปและเอเชีย สะดวกข้ึน อีกหน่วยหน่ึงคือกรมแผนที่ซ่ึงดูแลรับผิดชอบในการระบุบริเวณป่าไม้เหมืองแร่และ การออกโฉนดที่ดิน 3. พัฒนาการด้านสังคม สภาพสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงมีโครงสร้างและวิถีการดําเนินชีวิตทํานอง เดียวกันสมัยอยุธยา คือ เป็นสังคมชนช้ันที่มีมูลนายเป็นหัวหน้าควบคุมราษฎรตามลําดับ เพื่อประโยชน์ในการเรียกเกณฑ์แรงงานในการสร้างบา้นเมืองและป้องกนัขา้ศึกในยามสงคราม โดยราษฎรทุกคนจะไดร้ับการเรียกคุม้ครองตามกฎหมาย และมีศกัดินาเป็นเครื่องกาํหนดบทบาท สิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบแตกต่างกันไปตามฐานะในสังคม สังคมไทยเริ่มมีการ เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี และปรับปรุงบ้านเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อให้ทันสมัย ตามแบบตะวนัตก ส่วนพระราโชบายของรัชกาลที่5 คือการพฒันาสังคมไทยไปพร้อมกบัการ ปฏิรูปประเทศ ซ่ึงยงัคงไดร้ับการปรับปรุงในสมยัต่อมา ส่งผลถึงวถิีชีวติในปัจจุบนั สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1- 3 พ.ศ. 2325 - 2394)สังคมไทยในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนตน้ยงัคงมีลกัษณะเช่นเดียวกนัสังคมไทยสมยัอยุธยาและสมยัธนบุรีเป็นสังคม ศกัดินา มีการแบ่งชนช้นัของคนในสังคมแบ่งออกเป็น 6กลุ่ม 1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุขสูงสุดของอาณาจักรทรงเป็ นเสมือน "เจ้าชีวิต" และ "เจา้แผน่ดิน"ของบรรดาผคู้นและแผน่ดินในสังคมไทย
116 2. พระราชวงศ์หมายถึง บรรดา "เจ้านาย" ซึ่งมีลักษณะเป็ นเครือญาติของพระมหากษัตริย์ บางทีเรียกว่า "พระบรมวงศานุวงศ์" มี2 ประเภท คือ สกุลยศ กับ อิสรยศสกุลยศ คือ เจ้าฟ้า พระองคเ์จา้และ หม่อมเจา้อิสริยศคือกรมหมื่น กรมขนุกรมหลวงกรมพระ และกรมสมเด็จพระ 3. ขุนนางคือกลุ่มบุคคลที่รับราชการแผน่ดิน มีศกัดินา ยศราชทินนาม และตาํแหน่งเป็น เครื่องช้ีบอกถึงอาํนาจและเกียรติยศยศของขนุนางมี8ลาํดบั ไดแ้ก่พนัหมื่น ขนุหลวงพระ พระยา เจ้าพระยา และสมเด็จเจ้าพระยา 4. พระสงฆ์เป็นกลุ่มบุคคลที่ไดร้ับความเคารพนบัถือจากสังคมและคนทุกชนช้นั ไม่ถูก เกณฑแ์รงงานเหมือนไพร่สามญัชน และไม่มีศกัดินาเหมือนชนช้นัอื่น ๆ 5. ไพร่คือ ราษฎรสามญัชนที่เป็นชายฉกรรจ์ในสังกดัของมูลนาย ไพร่มี2 ประเภท คือ ไพร่หลวงคือไพร่ของพระมหากษตัริยท์ ี่พระราชทานให้แก่กรมกองต่าง ๆ ถา้ไพร่หลวงคนใดส่ง เงินหรือสิ่งของมาแทนการเขา้เวรรับราชการจะเรียกวา่"ไพร่ส่วย"ไพร่สม คือไพร่ในสังกดัของมูล นาย (พระบรมวงศานุวงศ์ หรือ ขุนนาง) 6. ทาส คือกลุ่มคนที่มีฐานะต่าํสุดในสังคมไทย ไม่มีกรรมสิทธ์ิในชีวิตของตนเอง มีหนา้ที่ รับใช้แรงงานให้นายโดยไม่ได้รับค่าจา้งตอบแทน นายเงินเจา้ทาสจะลงโทษแต่ห้ามมิให้ถึงตาย ทาสมีศักดินาได้ 5ไร่ทาสเพิ่มจาํนวนข้ึนมากส่วนใหญ่เกิดจากการมีหน้ีสินจนตอ้งขายตวัเอง หรือ บุตรภรรยาลงเป็นทาส เช่น ไดร้ับอนุญาตจากนายเงินเจา้นายของทาสให้บวชเป็นพระสงฆ์หรือตก เป็นภรรยาและลูกกบัเจา้ของทาส 3.1 พฒันาการด้านคุณภาพของราษฎร บา้นเมืองและสังคมมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ตอ้งพิจารณาจากองค์ประกอบสําคญั อีกด้านหนึ่งคือ คุณภาพของประชากร ในสมัยรัตนโกสินทร์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีพระ ราโชบายบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้แก่ราษฎร รวมท้ังสนับสนุนให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามี ความสามารถในการดาํรงชีพอยา่งสุขสมบูรณ์และช่วยพฒันาบา้นเมืองใหเ้จริญรุ่งเรืองมีเสถียรภาพ มนั่คง นโยบายสาํคญัของการพฒันาคุณภาพของราษฎร ไดแ้ก่ 3.1.1 การส่งเสริมการศึกษา การศึกษาของไทยแต่เดิมมกัจะอยู่ที่บา้น วดัและวงัผูท้ี่ไดร้ับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ชนช้นัสูง ส่วนสามญัชนบิดามารดาจะนาํบุตรชายไปฝากตวักบัพระที่วดัเพื่อเรียนภาษาไทยและ การคาํนวณเบ้ืองตน้หลงัจากน้นัจึงเรียนวิชาชีพจากครอบครัว ส่วนเด็กหญิงไม่ค่อยได้มีโอกาส ศึกษาวชิาหนงัสือไดแ้ต่ฝึกฝนวิชาแม่บา้นแม่เรือนอยูก่บัครอบครัว หากมีโอกาสจึงจะไดเ้ขารับการ ้ อบรมท้งักิริยามารยาทและวชิาสาํหรับกุลสตรีในวงั การปรับปรุงประเทศใหเ้จริญกา้วหนา้ทนัสมยัตามแบบชาติตะวนัตกน้นัรัฐบาลตอ้งพฒันา คนให้มีความรู้ความสามารถที่จะนําแนวคิดวิทยาการของชาติตะวนัตกมาใช้ประโยชน์ให้เกิด
117 รูปภาพสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ ได้ พระราชทานก าเนิดโรงเรียนราชินี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2447 โรงเรียนวชิราวุธ เป็ นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้ างขึ้น โดยทรงวางแนวการ จัดการศึกษาตามแบบฉบับโรงเรียนประจ าของอังกฤษ ประสิทธิผลราษฎรจาํเป็นตอ้งได้รับการศึกษาท้งัภาษาและวิทยาการแผนใหม่ที่เป็นระบบ การ พฒันาดา้นการศึกษาจาํแนกเป็นส่วนต่างๆ ดงัน้ี 1.) ตั้งโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบตะวันตก เริ่มจากรัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้มี มิชชนันารีหญิงมาสอนภาษาองักฤษแก่พระราชโอรส พระราชธิดาและฝ่ายใน พ.ศ. 2414 รัชกาล ที่ 5 โปรดเกลา้ฯ ใหต้้งัโรงเรียนหลวงสอนวชิาภาษาไทยและภาษาองักฤษในวงัสาํหรับเจา้นายและ บุตรหลานขุนนาง เพราะทรงตระหนกัถึงความจาํเป็นที่จะตอ้งพฒันาคนไทยให้มีความรู้ท้งัแบบ ไทยและวิทยาการตะวันตกจึงจําเป็ นต้องเรียนรู้ ภาษาองักฤษเสียก่อนอน่ึง พระองค์ยงัทรงมีพระ บ รม ราโช บ าย ที่ จะ ใ ห้ราษ ฎ รมี ความ รู้ แล ะ สติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถใช้วิชาความรู้ให้ เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการใช้ ชีวิตในสังคม อันจะเป็ นการพัฒนาคุณภาพของ ตน จึงทรงต้งัโรงเรียนลักษณะเดียวกันสําหรับ ราษฎรข้ึน เป็ นโรงเรี ยนหลวงอาศัยสถานที่ของวดัต่าง ๆ เริ่มจากวดัมหรรณพารามเมื่อ พ.ศ. 2427 หลงัจากน้นั ได้ ขยายไปตามวดัอื่น ๆ รวมท้งัตามหัวเมืองต่าง ๆ นอกจาก โรงเรียนหลวงแล้วยังมีโรงเรียนของพวกมิชชันนารี โปรเตสแตนส์และบาทหลวงคาทอลิกซ่ึงเริ่มมาต้งัแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 เช่นโรงเรียนอสัสัมชญักรุงเทพคริสเตียน เซนต์คาเบรียล สําหรับการศึกษาของสตรีไทย ริเริ่มโดยมิชชนันารีอเมริกนัเช่น โรงเรียนแหม่มโคลด์ หรือโรงเรียนกุลสตรีวังหลังวัฒนาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2423 ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงสนับสนุนให้ต้งั โรงเรียนสําหรับสตรี คือ โรงเรียนสุนันทาลัย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมเด็จพระนางเจา้สุนนัทากุมารี รัตน์แต่งต้งัได้ไม่นานก็เลิกล้มไป ต่อมาสมเด็จพระนางเจา้เสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้า ฯ ให้ต้งัโรงเรียนสุนันทาลัยต้งัเป็นโรงเรียนราชินีนอกจากน้ียงัทรงสนับสนุนให้ จดัสร้างโรงเรียนสตรีตามจงัหวดัต่าง ๆ ดว้ย
118 อนึ่ง ในรัชกาลที่ 5 ยงัโปรดให้จดัต้งัโรเรียนสําหรับเด็กชายโดยจดัหาครูชาวต่างประเทศ มาดาํเนินการ เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนราชวิทยาลยัและในสมยัรัชกาลที่6 ทรงต้งั โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย 2.) ตั้งโรงเรียนฝึ กหัดคนเข้ารับราชการ รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ต้งัโรงเรียน ในบริเวณพระตําหนักสวนกุหลาบ สําหรับฝึกสอนทหารมหาดเล็ก เรียกว่า โรงเรียนมหาดเล็ก ต่อมาไดเ้ปลี่ยนเป็นโรงเรียนขา้ราชการพลเรือน และพฒันาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยัในรัชกาล ที่ 6 นอกจากน้ีกรมกองต่าง ๆ ได้จดัต้งัโรงเรียนเพื่อผลิตบุคลากรเฉพาะทางเข้ารับราชการใน หน่วยงานของตน เช่น โรงเรียนไปรษณีย์โทรเลข โรงเรียนแผนที่ โรงเรียนกฎหมาย โรงเรียนราช แพทยาลัยโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์ โรงเรียนฝึ กหัดครู โรงเรียนนายร้อย – นายเรือ โรงเรียนป่ าไม้ 3.) ตั้งกรมศึกษาธิการ ทาํหน้าที่ดูแลเรื่องการศึกษาท้งัจดัทาํหลกัสูตรแบบเรียนวดัผล การศึกษา จัดหาและผลิตครูโดยไดร้ับการยกฐานะข้ึนเป็นกระทรวงเมื่อ พ.ศ. 2435 มีชื่อเรียกว่า กระทรวงธรรมการ ต่อมาสมยัรัชกาลที่6 ไดเ้ปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงศึกษาธิการ สมยัน้ีไดม้ีการ ตราพระราชบญัญตัิเกี่ยวกบัการจดัการศึกษาไวห้ลายฉบบัเช่น พระราชบญัญตัิโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461 พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 จดักิจกรรมเสริมวิชาการสําหรับนกัเรียน เช่น ลูกเสืออนุกาชาด และยงัทรงเนน้การศึกษาดา้นวชิาชีพและศิลปะต่าง ๆ ที่สําคัญ คือ ขยายการศึกษา ข้นัอุดมศึกษา นอกจากน้ีรัชกาลที่5 ยงัทรงริเริ่มส่งพระโอรสและเจา้นายไปศึกษาวิชาการในยุโรป รวมท้งัพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวง (King, sScholarship) แก่สามญัชนให้โอกาสไปศึกษาใน ต่างประเทศ 3.2 การปรับปรุงด้านการแพทย์และสาธารณสุข เดิมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวไทย ใช้แพทย์แผนไทย คือ สมุนไพร การนวด หรือ วิธีไสยศาสตร์ ถึงสมัยรัชกาลที่ 3 มิชชั่นนารี อเมริกานําความเจริญทางวิทยาการตะวนัตกมาเผยแพร่การแพทย์แผนใหม่ริเริ่มเข้ามาแทนที่ การแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะในรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราโชบายจะปรับปรุงการสาธารณสุข เพื่อให้ราษฎรมีสุขอนามยัที่ดีโดยนาํวิธีการของตะวนัมาเป็นแบบอยา่งในการปรับปรุงสภาพชีวิต ความสะดวกปลอดภยัจากโรคภยัไขเ้จบ็ต่าง ๆ การพฒันางานสาธารณสุขต้งัแต่รัชกาลที่5ไดแ้ก่ 3.2.1 การตั้งโรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ โอรถศาลา และสภากาชาด รัชกาลที่5 ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างสถานรักษาพยาบาลแก่ราษฎรซ่ึงมีท้งัแบบ แพทย์แผนไทยและแพทย์แผนตะวันตก คณะกรรมการได้เลือกทําเลสร้างโรงพยาบาลที่บริเวณวัง หลัง โดยได้รับวัสดุและเงินอุดหนุนจากงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราช กกุธภณัฑ์ ในพ.ศ. 2431 ซ่ึงได้รับพระราชทานนามว่า ศิริราชพยาบาล ต่อมาคณะกรรมการ
119 โรงพยาบาล เป็ นโรงพยาบาลที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปนาขึ้น ใน พ.ศ. 2431 ต่อมามีการเปิ ดสอนวิชาแพทย์วิชาแพทย์ที่เรียกว่า โรงเรียนแพทยากร ปัจจุบันคือ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เห็นสมควรใหเ้ปิดสอนวชิาแพทยแ์ผนตะวนัตกควบคู่กบัแพทยแ์ผนไทยข้ึนเพื่อผลิตแพทยช์าวไทย ใหช้ื่อวา่ โรงเรียน ศิริราชแพทยากร ต่อมาเปลี่ยนเป็น โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงพยาบาลศิริราชไดข้ยายการดาํเนินงาน นอกเหนือจากการรักษาพยาบาลเช่น รับปลูก ฝีดาษป้องกนัโรคไขท้รพิษ รัฐบาลไดต้้งัโรงพยาบาลเพิ่มอีกหลายแห่งไดแ้ก่โรงพยาบาลคนเสีย จริตที่ปากคลองสาน โรงพยาบาลบูรพาโรงรักษาพยาบาลฝรั่งของหมอเฮาส์โรงพยาบาลเทพศิริ นทร์ (โรงพยาบาลกลาง) นอกจากน้ียงัจดัต้งัโอสถศาลาและสภาอุณาโลมแดง ซ่ึงเริ่มจากช่วงวิกฤตการณ์ร.ศ.112 ผูร้ิเริ่มการก่อต้งัสภาอุณาโลมแดงคือ ท่านผูห้ญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ภรรยาของเจ้าพระยาภาสกร วงศ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ปัจจุบันคือ สภากาชาดไทย 3.2.2 การป้องกันโรคระบาด ในสมยัรัชกาลที่2 เมื่อ พ.ศ. 2363และในสมยัรัชกาลที่3 เมื่อ พ.ศ.2392 เกิดอหิวาตกโรค ระบาดคร้ังใหญ่ผูค้นล้มตายเป็นจาํนวนมาก รัชกาลที่2 จึงโปรดให้ประกอบพระราชพิธีอาพาธ พินาศเพื่อป้องกนัอหิวาตกโรค โดยให้ยิงปืนใหญ่ขบัไล่ความอปัมงคลและอญัเชิญพระพุทธมหา มณีรัตนปฏิมากรพร้อมดว้ยพระบรมสารีริกธาตุออกแห่ไปทวั่พระนคร นิมนต์พระภิกษุประพรม น้าํมนต์ไปตามทาง ให้ทุกคนหยุดงานรักษาศีล สวดมนต์ภาวนาอยู่ในแต่ในบ้าน จนที่สุดโรค ก็ค่อยๆ สงบลง รัชกาลที่ 5 เกิดอหิวาตกโรคระบาดคร้ังใหญ่ใน พ.ศ. 2424 พระองค์โปรดให้จัดการรักษาพยาบาลแบบตะวันตกแทน การทําพิธีทางศาสนา โดยพระองค์เจ้าองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ อธิบดี กรมหมอ ได้ปรุงยาฝรั่งรักษาโรค รวมท้งัจดัหาน้าํสะอาดมาดื่ม กิน อนัเป็นที่มาของโครงการจดัทาํน้าํประปาในระยะต่อมา หมอบรัดเลย์ เป็ นมิชชันนารีชาวอเมริกา
120 โรคระบาดร้ายแรงอีกโรคหนึ่ ง คือ กาฬโรครัชกาลที่ 5 ทรงว่าจ้างนายแพทย์ชาว ต่างประเทศให้มาบาํบดัและหาวิธีป้องกนัเพื่อไม่ให้ราษฎรตอ้งเสียชีวิต และพยายามกาํจดัพาหนะ ของโรคคือขยะมูลฝอย หนูสร้างส้วม รวมท้งัรักษาความสะอาดบา้นเรือน แม่น้าํลาํคลอง ส่วนฝีดาษหมอบรัดเลย์ได้นาํพนัธ์หนองฝีที่ชาติตะวนัตกใช้ได้ผลมาทดลองปลูกฝีใน เมืองไทยต้งัแต่สมยัรัชกาลที่3 และในสมัยรัชกาลที่ 5 พยายามต้งัโรงผลิตหนองฝีในเมืองไทยแต่ มาประสบผลสาํเร็จในรัชกาลต่อมา 3.3.3 การต้ังกรมสุขาภิบาล พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 โปรดเกลา้ฯ ให้ตราพระราชกาํหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ซึ่ งสุขาภิบาลมีหน้าที่ในการขจดับ่อเกิดของโรคระบาด เช่น กาํจดัขยะมูลฝอย จดัส้วมสําหรับ ประชาชน ขนยา้ยสิ่งโสโครกและควบคุมการสร้างบา้นเรือน การสุขาภิบาลในหวัเมืองต่าง ๆ เริ่มที่ ตาํบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ตามพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลหัวเมือง ร.ศ. 127 รวมท้งัมี การประกาศและตรากฎหมายเกี่ยวกบัสุขาภิบาลอีกหลายฉบบัเช่น การทาํความสะอาดพระนคร การเผาศพตามวดัต่าง ๆ ห้ามทิ้งซากสัตวล์งในที่สาธารณะ ห้ามขีดเขียนตามกาํแพง การทาํลาย ขยะมูลฝอยและพระราชบญัญตัิป้องกนัสัญจรโรค 3.3.4 การห้ามสูบฝิ่น พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ทรงห่วงใยในสุขภาพพลานามัยของอาณา ประชาราษฎร์ โดยมีพระราชาดาํริที่จะยกเลิกการบริโภคที่เป็นพิษภยัทาํให้ร่างกายเสื่อมโทรม และ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บา้นเมือง เช่น ประกาศห้ามการสูบฝิ่นซ่ึงเป็นสารเสพติดให้โทษ ท้งัๆ ที่ส่งผลกระทบต่อรายไดท้ ี่ไดจ้ากภาษีฝิ่น แต่ก็ทรงคาํนึงถึงประโยชน์สุขของราษฎรเหนือสิ่งอื่นใด ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ประกาศห้ามจาํหน่ายฝิ่น จนเกิดเหตุการณ์กบฏอ้งัยี่ลุกลามในหัวเมือง ชายทะเลภาคตะวนัออกและภาคกลางบางส่วน เนื่องจากชาวจีนเหล่าน้ีมีผลประโยชน์จากการ ลกัลอบคา้ฝิ่นแต่ที่สุดในรัชกาลที่4 จาํตอ้งยอมผ่อนผนัตามขอ้เรียกร้องขององักฤษ อนุญาตให้ จาํหน่ายฝิ่นไดอ้ีก แต่ในรัชกาลที่5 พระองค์ทรงเห็นโทษที่รุนแรงจากการสูบฝิ่น รวมท้งัเกิดความเสียหาย ทางเศรษฐกิจของประเทศต่อการคุกคามแทรกแซงขององักฤษ ดงัน้ัน รัฐบาลจึงตัดสินใจออก ประกาศหา้มสูบฝิ่นและผสมฝิ่นเป็นยาตามพระราชบญัญตัิกาํหนดโทษผูท้าํฝิ่นเถื่อนในที่สุดโรงฝิ่น ในกรุงเทพฯ ก็สามารถยกเลิกไปได้ 4. พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สําหรับลกัษณะความสัมพนัธ์ระหวา่งประเทศของไทยในสมยัรัตนโกสินทร์สามารถแบ่ง ออกได้เป็นช่วงๆดงัน้ี 1. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( พ.ศ. 2325 – 2394 )
121 การดําเนินนโยบายต่างประเทศของไทยระหว่าง พ.ศ. 2325 – 2394 จะมุ่งเน้นไปที่การ รักษาความมนั่คงของอาณาจกัรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น 1.1 ลกัษณะความสัมพนัธ์กบัรัฐที่อยูใ่กลเ้คียงในทวีปเอเชีย มีท้งัการขยายอิทธิพลเขา้ไป ครอบครองเพื่อเป็ นพันธมิตร การทําสงคราม และแบบรัฐบรรณาการ 1.1.1 ความสัมพนัธ์กบัลา้นนา ในสมยัรัชกาลที่1 – รัชกาลที่ 3 เป็ นพันธมิตรที่ดี ต่อกนัเช่น รัชกาลที่1 ทรงส่งกองทพั ไปช่วยลา้นนาขบัไล่พม่า ท้งัยงัทรงสถาปนาพระยากาวิละที่ รบชนะพม่าใหเ้ป็นพระเจา้เชียงใหม่โดยปกครองดูแลหวัเมืองเหนือท้งัหมด เป็นตน้ 1.1.2ความสัมพนัธ์กบัพม่าอยใู่นลกัษณะทาํสงครามสู้รบกนั โดยไทยทาํสงคราม กบัพม่ารวมท้งัสิ้น 10คร้ัง สงครามคร้ังที่มีความสําคญัที่สุด คือ สงครามเกา้ทพั ใน พ.ศ. 2328 แต่ เมื่อพม่าเผชิญหนา้กบัการคุกคามของลทัธิจกัรวรรดินิยมตะวนัตกคือองักฤษ ในเวลาต่อมาก็ไม่ได้ ยกทพัมาสู้รบกบัไทยอีก 1.1.3 ความสัมพนัธ์กบัหวัเมืองมอญ สมยัรัชกาลที่1และรัชกาลที่2 ความสัมพนัธ์จะอยใู่นลกัษณะการผกูไมตรีและอุปถมัภพ์วกมอญ เช่น ในสมยัรัชกาลที่1 ไดท้รงส่ง กาํลงัไปช่วยพระยาทวายรบกบัพม่าที่เขา้มายึดครอง หลงัจากปิดลอ้มเมืองอยูไ่ดช้วั่ระยะเวลาหน่ึง ก็โปรดเกลา้ฯ ให้ยกทพักลบัและพาครอบครัวชาวมอญมายงักรุงเทพฯ ดว้ย หรือรัชกาลที่2โปรด เกลา้ฯ ใหช้าวมอญไปต้งัชุมชนอยทู่ ี่เมืองนนทบุรีปทุมธานีและเมืองนครเขื่อนขันธุ์ (พระประแดง) ผลดีจากความสัมพนัธ์ดงักล่าว นอกจากจะไดผู้ค้นเพิ่มข้ึนและความจงรักภกัดีแลว้ ไทยยงัไดร้ับ อิทธิพลทางดา้นวฒันธรรมบางประการจากชาวมอญดว้ยอยา่งไรก็ดีในสมยัรัชกาลที่3 เมื่อเมือง มะริด ทวาย ตะนาวศรีตกเป็นขององักฤษ ไทยก็ไม่เขา้ไปยงุ่เกี่ยวกบัหวัเมืองมอญอีก 1.1.4 ความสัมพันธ์กับเขมรอยู่ในลักษณะการทําสงครามเพื่อขยายอํานาจ เขา้ครอบครอง เพราะไทยตอ้งการให้เขมรเป็นรัฐกนัชนระหวา่งไทยกบัญวน โดยในสมยัรัชกาลที่ 1 ไดท้รงแต่งต้งักษตัริยป์กครองเขมรแต่ในสมยัรัชกาลที่2 เขมรไดเ้อาใจออกห่างไทยโดยหันไป ฝักใฝ่กบัญวนแทน จนกระทงั่ในสมยัรัชกาลที่3 โปรดเกลา้ฯ ให้ส่งกองทพั ไปขบัไล่ญวนออกจาก เขมรแลว้ให้ตีลงไปจนถึงไซ่ง่อน ในที่สุดไทยกบัญวนก็ไดร้่วมกนัแกไ้ขขอ้พิพาทร่วมกนั โดยให้ เขมรส่งบรรณาการแก่ไทยและญวนอยา่งเท่าเทียมกนั ปัญหาระหวา่งไทยกบัญวนเรื่องเขมรจึงยุติลง 1.1.5 ความสัมพนัธ์กบัลา้นช้าง (ลาว) มีท้งัการขยายอิทธิพลเขา้ไปครอบครอง การผกูมิตรไมตรีและบางคร้ังก็ทาํสงครามต่อกนั โดยในสมยัรัชกาลที่1ลา้นชา้งเกิดความแตกแยก ภายใน ทาํให้ไทยขยายอิทธิพลเขา้ไปได้ง่ายข้ึนผสมผสานกบัการผูกมิตรไมตรีเพื่อให้เกิดความ จงรักภกัดีคร้ันในสมยัรัชกาลที่3 เจา้อนุวงศ์แห่งเวียงจนัทน์ไดค้ิดกบฏ ทางไทยจึงไดย้กกองทพั ไปปราบ ลาวจึงตกเป็นประเทศราชของไทยเรื่อยมา จนกระทงั่ตอ้งเสียให้แก่ฝรั่งเศสไปในภายหลงั ต่อมา
122 1.1.6 ความสัมพนัธ์กบัญวน ส่วนใหญ่จะเป็นการทาํสงครามต่อกนัเพื่อแย่งชิง เขมร โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ภายหลงัเมื่อญวนเกิดขอ้พิพาทกบั ฝรั่งเศส จึงได้เปิดเจรจา กับไทย ทาํ ให้ยุติสงครามระหว่างกันได้และหลังจากญวนได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส แลว้ความสัมพนัธ์ระหวา่งไทยกบัญวนก็ไดย้ตุิลงอยา่งเป็นทางการ 1.1.7 ความสัมพนัธ์กบัหัวเมืองมลายูมีท้งัการขยายอิทธิพลเขา้ไปครอบครอง การผูกมิตรไมตรีและบางคร้ังก็ทาํสงครามต่อกนั โดยในสมยัรัชกาลที่1– รัชกาลที่3 ไดม้ีการก่อ กบฏหลายคร้ังในหัวเมืองมลายูแต่ไทยก็สามารถปราบได้ทุกคร้ัง หลงัจากน้ันก็ดาํเนินนโยบาย ลดอํานาจการปกครองของสุลต่านแต่ละเมืองให้น้อยลง พร้อมกันน้ันก็ทาํนุบาํรุงหัวเมืองไทย ตอนบน เช่น สงขลา พทัลุง พงังาและตรังใหเ้ขม้แขง็เพื่อปราบการก่อกบฏของหวัเมืองมลายู 1.1.8 ความสัมพนัธ์กบัจีน เป็นไปในลกัษณะแบบรัฐบรรณาการ ซ่ึงนอกจากไทย จะไดป้ระโยชน์จากการคา้ขายกบัจีนแลว ยังได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีนหลายประการด้วย ้ 2. ลกัษณะความสัมพนัธ์กบัชาติตะวนัตก ในช่วงแรกจะเป็นเรื่องของการติดต่อคา้ขาย ในช่วงหลงัจะเป็นดา้นการเมือง พร้อมกบัการเผยแผศ่าสนาของคณะมิชชนันารีโดยชาติตะวนัตกที่ มีบทบาทสาํคญัมีดงัน้ี 2.1.1 ความสัมพนัธ์กบัโปรตุเกส โปรตุเกสเป็ นชาติตะวันตกชาติแรกที่เดินทาง มาเจริญสัมพนัธไมตรีกบัไทยโดยจะเป็นเรื่องการผกูไมตรีทางการทูตและการติดต่อคา้ขาย 2.2.2 ความสัมพนัธ์กบัองักฤษ ในช่วงแรกจะเป็นความสัมพนัธ์ทางการทูตและ การคา้แต่ช่วงหลงัจะมีความสัมพนัธ์ทางการเมืองดว้ย โดยในสมยัรัชกาลที่2องักฤษไดส้ ่งจอห์น ครอวเ์ฟิร์ด เป็นทูตเขา้มาเจริญสัมพนัธไมตรีกบั ไทยเรื่องการคา้แต่ไม่ประสบความสําเร็จ ต่อมา ในสมยัรัชกาลที่3องักฤษไดส้ ่งร้อยเอกเฮนรีเบอร์นีย์เขา้มาทาํสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและ การพาณิชยก์บั ไทยเมื่อ พ.ศ. 2369ผลของสนธิสัญญา ทําให้อังกฤษได้รับผลประโยชน์ทางการค้า เพราะไทยยอมเปลี่ยนแปลงระบบจดัเก็บภาษีให้เป็นการเก็บค่าปากเรืออยา่งเดียวตามความตอ้งการ ขององักฤษ และในช่วงปลายสมยัรัชกาลที่3องักฤษไดส้ ่งเซอร์เจมส์บรูคเขา้มาแกไ้ขสนธิสัญญา เบอร์นียก์บัไทยแต่ไม่ประสบความสาํเร็จ 2.2.3 ความสัมพนัธ์กับสหรัฐอเมริกา จะเป็นความสัมพนัธ์ทางการค้าและ ความสัมพนัธ์ทางดา้นวฒันธรรม โดยผา่นคณะมิชชนันารีที่เขา้มาเผยแผค่ริสตศ์าสนา ชาวอเมริกนั เริ่มเขา้มาคา้ขายกับไทยในสมยัรัชกาลที่2 และเพิ่มมากข้ึนในสมยัรัชกาลที่3 ทาํให้ไทยได้รับ อิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย เช่น การจดัทาํหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ความรู้ทางการแพทย์ สมยัใหม่เช่น การฉีดวคัซีนป้องกนัอหิวาตกโรคการปลูกฝีป้องกนัไขท้รพิษ เป็นตน้ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย(พ.ศ. 2394 - 2453 )
123 นบัต้งัแต่สมยัรัชกาลที่4 จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกคร้ังที่2 เป็นช่วงที่ไทยตอ้งเผชิญกบั ลทัธิล่าอาณานิคมของมหาอาํนาจตะวนัตก ดงัน้นั ไทยจึงตอ้งอาศยัความสัมพนัธ์ระหว่างประเทศ เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติมิให้ตกเป็นอาณานิคมของมหาอาํนาจตะวนัตก รวมท้งั เพื่อใหไ้ดผ้ลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สาํหรับลกัษณะความสัมพนัธ์มีอยูห่ลายลกัษณะ เช่น การยอม ประนีประนอม การผกูมิตรไมตรีการเผชิญหนา้ทางการทหารการยอมเสียสละประโยชน์บางส่วน เป็นตน้ โดยมีรายละเอียด ดงัน้ี 2.1 ลักษณะความสัมพนัธ์ระหว่างประเทศในสมยัรัชกาลที่4 อยู่ในลักษณะการยอม ประนีประนอมกบัชาติยโุรป โดยเฉพาะองักฤษกบัฝรั่งเศส 2.1.1 ความสัมพนัธ์กบัองักฤษ เมื่อองักฤษส่งเซอร์จอห์น เบาวร์ิง เป็นทูตเขา้มาเจรจา การคา้กบั ไทยใน พ.ศ. 2398 จนท้งัสองฝ่ายได้ลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการ พาณิชยร์่วมกนัที่เรียกว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” แม้ไทยจะรักษาเอกราชไว้ได้รวมท้งัเศรษฐกิจ มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ไทยก็ตอ้งเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตใหก้บัองักฤษ 2.1.2 ความสัมพนัธ์กบัฝรั่งเศส ในสมยัรัชกาลที่4ไทยตอ้งยอมผอ่นปรนกบัฝรั่งเศส เกี่ยวกบัเขมรเพื่อป้องกนัมิใหฝ้รั่งเศสใชป้ ัญหาเขมรเป็นขอ้อา้งในการเขา้มาโจมตีและยึดครอง ดินแดนไทยในที่สุดไทยไดเ้จรจากบัฝรั่งเศส ทาํใหไ้ทยตอ้งเสียดินแดนเขมรส่วนในใหก้บัฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยอมรับวา่ ไทยมีกรรมสิทธ์ิเหนือเมือง เสียมราฐและเมืองพระตะบอง 2.2 ลกัษณะความสัมพนัธ์ระหวา่งประเทศในสมยัรัชกาลที่5 มีอยูห่ลายลกัษณะเพื่อรักษา เอกราชของชาติเอาไว้เช่น การเผชิญหนา้ทางการทหาร ดงัเช่น การทาํสงครามป้องกนัอาณาเขตกบั ฝรั่งเศส จนเกิดกรณีร.ศ. 112 การใช้วิธีถ่วงดุลอาํนาจ ดังเช่นรัชกาลที่5 ทรงเจรจากบัองักฤษ เพื่อถ่วงดุลอาํนาจกับฝรั่งเศส การผูกมิตรไมตรีกับชาติอื่นๆ ดังเช่น รัสเซีย รวมท้งัการสร้าง เกียรติภูมิใหเ้ป็นที่รู้จกัและยอมรับจากนานาชาติดว้ยการที่รัชกาลที่5 เสด็จประพาสยุโรปถึง 2คร้ัง เป็ นต้น 3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1และสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกคร้ังที่1 ซ่ึงเกิดข้ึนในทวีปยุโรปเป็นการสู้รบระหวา่งฝ่ายมหาอาํนาจกลางกบั ฝ่ายสัมพนัธมิตร ช่วงแรกไทยวางตวัเป็นกลางแต่ภายหลงัก็ไดเ้ขา้ร่วมกบัฝ่ายสัมพนัธมิตรและเป็น ฝ่ายไดร้ับชัยชนะ ไทยได้เรียกร้องกบัชาติมหาอาํนาจตะวนัตกในการขอเจรจาแก้ไขสนธิสัญญา ในเรื่องการศาลและภาษีอาการที่เสียเปรียบ ซ่ึงก็ประสบความสําเร็จดว้ยดีในช่วงสงครามโลกคร้ัง ที่2ก็เช่นเดียวกนั ไทยไดด้าํเนินความสัมพนัธ์ระหว่างประเทศหลายลกัษณะแลว้แต่สถานการณ์ บีบบังคับ เช่น การดําเนินนโยบายเป็นกลาง การถ่วงดุลอาํนาจ การผูกมิตรไมตรีการเจรจา ประนีประนอม การทําสงคราม เป็ นต้น โดยระยะแรก ไทยใช้นโยบายวางตัวเป็นกลางแต่เมื่อญี่ปุ่น เปิดสงครามทางเอเชียบูรพาและขอยกพลข้ึนบกในประเทศไทยเพื่อจะผา่นไปโจมตีมลายูสิงคโปร์
124 พม่าและจีน ซ่ึงเป็นอาณานิคมขององักฤษ รัฐบาลไทยตอ้งยอมใหญ้ ี่ปุ่นยกกองทพัผา่นประเทศไทย ได้และภายหลงัไทยไดเ้ขา้ร่วมรบกบัญี่ปุ่นดว้ยการประกาศสงครามกบัสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยหวงัวา่ญี่ปุ่นจะช่วยเหลือใหไ้ทยไดด้ินแดนที่เคยเสียไปในสมยัรัชกาลที่5กลบัคืนมา จากการตดัสินใจของรัฐบาลไทยในขณะน้นั ไดท้าํให้คนไทยที่รักชาติในหลายแห่งซ่ึงมิได้ เห็นพอ้งกบัรัฐบาลไดร้่วมกนัจดัต้งัขบวนการเสรีไทยข้ึนมา เพื่อปลดปล่อยประเทศไทยให้หลุดพ้น จากการครอบงําของญี่ปุ่น แต่เมื่อญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม รัฐบาลไทยได้พยายามสร้าง ความสัมพนัธ์กบั ประเทศต่างๆ ในลกัษณะของการประนีประนอมและการเจรจาต่อรองทางการทูต ซ่ึงทาํใหป้ระเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไวไ้ดจ้นถึงทุกวนัน้ี 4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยสงครามเยน็จนถึงปัจจุบัน ภายหลังสงครามโลกคร้ังที่2 สิ้นสุดลง โลกได้ตกอยู่ในสภาวะสงครามเย็น ซ่ึงเป็น สงครามอุดมการณ์ทางการเมืองและการปกครองระหว่างกลุ่มประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตย และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ซ่ึงต่างฝ่ายก็แข่งขนักนัขยายอิทธิพลไปยงัทวีปต่างๆ ดงัน้นัลกัษณะ ความสัมพนัธ์ระหว่างประเทศของไทยในช่วงน้ีจึงใช้การผูกมิตรไมตรีกบั ประเทศโลกเสรีต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกนัก็ต่อตา้นคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย โดยเฉพาะกบัสหภาพ โซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม ดังเช่น การส่งทหารไทยไปเข้าร่วมรบกับ สหรัฐอเมริกาและพนัธมิตรในสงครามเวียดนาม แต่ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาหวนกลบั ไปสร้าง ความสัมพนัธ์อนัดีกบัสาธารณรัฐประชาชนจีน ดงัน้นั ไทยจึงไดเ้ปลี่ยนแปลงลกัษณะความสัมพนัธ์ ระหวา่งประเทศเสียใหม่ดว้ยการผกูมิตรไมตรีกบั ประเทศคอมมิวนิสต์เช่น การที่ไทยให้การับรอง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) หรื อให้การรับรองรัฐบาล คอมมิวนิสต์เขมรแดงของนายเขียว สัมพัน ที่เข้ายึดกรุ งพนมเปญใน พ.ศ. 2518 เป็ นต้น ขณะเดียวกนัก็อาศยัพ่ึงพาสหรัฐอเมริกาท้งัทางดา้นการทหาร เศรษฐกิจและวทิยาการเทคโนโลยี จนกระทงั่สิ้นสุดสงครามเยน็ ไทยไดมุ้่งพฒันาประเทศดว้ยการร่วมมือกบั ประเทศเพื่อน บา้นและนานาประเทศ ท้งัในดา้นการเมือง เศรษฐกิจและวฒันธรรม ดงัเช่น ไทยไดร้่วมกบัสมาชิก กลุ่มอาเซียนทาํขอ้ตกลงเรื่องการจดัต้งัเขตการคา้เสรีอาเซียนหรืออาฟตา (Asian Free Trade Area – AFTA) เพื่อส่งเสริมการคา้ระหว่างกนั ในกลุ่มเมื่อ พ.ศ. 2535 และใน พ.ศ. 2537 ไทยไดเ้ขา้เป็น สมาชิกขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) รวมท้งัมีส่วนร่วมในการรักษา สันติภาพในติมอร์ตะวนัออกและอิรักในนามขององค์การสหประชาชาติร่วมกบั ประเทศสมาชิก อื่นๆ ด้วย เป็ นต้น
125 กิจกรรมท้ายเรื่อง ใหน้กัศึกษาตอบคาํถามต่อไปน้ีใหถู้กตอ้ง 1. การจดัระเบียบการปกครองของชาวไทยในสมยัรัตนโกสินทร์ตอนตน้มีลกัษณะอยา่งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีได้เสริมสร้างความเจริญมนั่คงของชาติอยา่งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ภายหลงัจากการทาํสินธิสัญญาเบาวร์ิงไดส้่งผลต่อเศรษฐกิจอยา่งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
126 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี รัชกาลที่1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 -7 กนัยายน พ.ศ. 2352) เป็ นพระมหากษัตริย์ ไทยพระองค์แรกในราชวงศ์จักรีเป็ นบุตรของ พระอักษรสุนทร (ทองดี)ข้าราชการกรมอาลักษณ์สืบเช้ือสายมาจากเจา้พระยา โกษาธิบดี(ปาน) เสนาบดีกรมพระคลัง ในสมัยพระบาทสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช พระราชชนนีมีพระนามวา่ ท่านหยก หรือ ดาวเรือง เป็ นธิดาเศรษฐีเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 คํ่า ปี มะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกบัวนัที่20 มีนาคม พ.ศ. 2279 มีพระนามเดิมว่า ด้วง หรือ ทอง ด้วง ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษตัริยแ์ห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อวันที่6 เมษายน พ.ศ. 2325 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วับรมโกศขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่ง ธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนครและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็ นที่ประทับ มีพระเชษฐา พระเชษฐภคินีและพระอนุชาธิราช รวมท้งัหมด 5คน คือ 1. พระเชษฐภคินี ชื่อ “สา” (ต่อมาไดร้ับสถาปนาเป็นพระเจา้พี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพ สุดาวดี) 2. พระเชษฐา ชื่อ “ขุนรามนรงค์” (ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยธุยาแก่พม่าคร้ังที่2) 3. พระเชษฐภคินี ชื่อ “แกว้” (ต่อมาไดร้ับสถาปนาเป็นพระเจา้พี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรี สุดารักษ์) 4. พระนามเดิมพระองค์ชื่อ “ด้วง” (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) 5. พระอนุชาธิราช ชายชื่อ “บุญมา” (ต่อมาไดร้ับสถาปนาเป็นกรมพระราชวงับวรมหา สุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช) พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร(หรือกรุง รัตนโกสินทร์) เป็ นราชธานี คาํวา่"กรุงเทพมหานคร"แปลวา่"พระนครอนักวา้งใหญ่ดุจเทพนคร" ชื่อเต็มว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรี รมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ” และทรง สถาปนาราชวงศ์จักรีปกครองราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (วันจักรี)ภายหลัง
127 การเสด็จเสวยราชย์แล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สําคญัยิ่งคือการป้องกนัราชอาณาจกัร ใหป้ลอดภยัและทรงฟ้ืนฟูวฒันธรรมไทยอนัเป็นมรดกตกทอดมาต้งัแต่สมยัสุโขทัยและอยุธยาการ ที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของขา้ศึกจนประสบชยัชนะทุกคร้ังแสดงให้เห็นถึงความเขม้แข็ง ของพระองคใ์นการบญัชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอยา่งยิ่งสงครามกบัพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกวา่"สงครามเกา้ทพั " นอกจากน้ีพระองคย์งัพบวา่กฎหมายบางฉบบัที่ใชม้าต้งัแต่สมยั อยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกลา้โปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยูท่้งัหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็ นฉบับหลวง 3 ฉบบั ประทบัตราราชสีห์คชสีห์และบวัแกว้ไวทุ้กฉบบัเรียกวา่ "กฎหมายตราสามดวง" สําหรับใช้เป็ นหลักในการปกครองบ้านเมืองพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 กนัยายน พ.ศ. 2352 ขณะมีพระชนมพรรษา 72 พรรษา รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั พระราชประวัติ พ ระ บ า ท ส ม เ ด็จ พ ระ พุท ธเลิศ ห ล้า น ภ าลัย (24 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2310 -21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367ครองราชย์7 กนัยายน พ.ศ. 2352 -21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษัตริย์ ไทยพระองค์ที่ 2 ในราชวงศ์จักรีมีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อ วันที่24 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2310 เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ใน พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระ อมรินทราบรมราชินี เมื่อสมเด็จพระราชบิดา ทรงปราบดาภิเษก เป็ นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ทรงได้รับการสถาปนาเป็ น เจ้า ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเสวยราชสมบัติเมื่อปี มะเส็ง ปีพ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายุได้ 42 พรรษา หลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสรรคต เจ้าฟ้าอิศรสุนทรได้สืบ ทอดบัลลังค์ในทันทีพร้อมดว้ยพระนามชวั่คราววา่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวงับวร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
128 สังข์ทอง หหนึ่งในวรรณคดีที่รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคง พระองคท์รงโปรดเกลา้ฯ ให้ครัวมอญที่อพยพเขา้มาในราชอาณาจกัรไปต้งัภูมิลาํเนาอยู่ที่ แขวงเมืองปทุมธานีเมืองนนทบุรีและเมืองนครเขื่อนขนัธ์นับว่าเป็ นประโยชน์ของชาติไทย นอกจากน้ีทรงโปรดเกลา้ฯ ให้เกณฑ์ไพร่มารับราชการ 1 เดือน และลาพกัอยูก่บัครอบครัว 3 เดือน ทาํให้ไพร่มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากข้ึน รวมถึงมีการตรากฎหมายห้ามมิให้สูบและซ้ือขายฝิ่น โดยกาํหนดบทลงโทษอยา่งหนกั พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรม ในด้านการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรง มีพระอัจฉริยภาพในงานศิลปะหลายสาขา ท้งัทางดา้นประติมากรรม ด้านการดนตรีแต่ที่โดด เด่น ที่สุดเห็นจะเป็ นในด้านวรรณคดีจนอาจเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคทองของวรรณคดีไทยสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ละครรํารุ่งเรืองถึงขีดสุด ด้วยพระองค์ทรงเป็ นกวีเอก และทรงพระราชนิพนธ์ วรรณคดีไวห้ลายเล่มดว้ยกนัเช่น รามเกียรต์ิตอนลกัสีดา วานรถวายพล พิเภกสวามิภกัด์ิสีดาลุยไฟ นอกจากน้ียงัมีพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาที่ไดร้ับการยกยอ่งจากวรรณคดีสโมสรในสมยัรัชกาลที่6 วา่เป็นยอดกลอนบทละครรํา ส่วนบทละครนอก พระ บาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ข้ึนมา 5 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ไ ช ย เ ช ษ ฐ์ สั ง ข์ ท อ ง ม ณี พิ ชัย ไ ก ร ท อ ง แ ล ะ คาวีพระองคย์งัไดท้รงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือเรื่องกาพยเ์ห่ ชมเครื่องคาว หวาน ซึ่งมีความไพเราะและแปลกใหม่ไม่ซ้ํา แบบกวที่านใด เน้ือเรื่องแบ่งออกเป็น 5 ตอน คือเห่ชมเครื่อง คาวเห่ชมผลไม้เห่ชมเครื่องคาวหวาน เห่ครวญเขา้กบันกัขตั ฤกษ์และบทเจ้าเซ็น ซ่ึงบทเห่น้ีเขา้ใจกนัวา่เป็นการชมฝีพระ หัตถ์ในด้านการทําอาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรม ราชินีนั่นเอง นอกจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลยัที่ทรงเป็นยอดกวีเอกแลว้ในยุคสมยัน้ียงัมียอดกวีที่มี ชื่อเสี ยงอีกลายคน เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร, นายนริทร์ธิเบศ,และ สุนทรภู่ เป็ นต้น
129 รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (31 มีนาคม พ.ศ. 2330 -2 เมษายน พ.ศ. 2394) เป็ นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีเป็นพระราชโอรสพระองคใ์หญ่ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์แรกที่ประสูติในเจ้าจอม มารดาเรียม (ภายหลังได้รับสถาปนา เป็ นสมเด็จพระศรีสุลาไลย) ทรงมีพระนามเดิมวา่ทบัเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 เสวยราชสมบัติเมื่อวันอาทิตย์เดือน 9 ข้ึน 7 คํ่า ปีวอก ซ่ึงตรงกบัวนัที่21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริดํารงราชสมบัติได้27 ปี ทรงมีเจ้าจอมมารดาและเจ้าจอม 5 คน มีพระราชโอรสธิดาท้งัสิ้น 51 พระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวันพุธที่2 เมษายน พ.ศ. 2394 สิริพระชนมายุ 64 พรรษา พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระบาทสมเด็จพระนงั่เกลา้เจา้อยูห่ ัวเสด็จข้ึนครองราชยเ์มื่อ พ.ศ. 2367 พระราชกรณียกิจ ของพระองคท์ ี่ทรงมีต่อบา้นเมืองลว้นมีประโยชน์นานปัการโดยเฉพาะอยา่งยิ่งดา้นความมนั่คงของ ราชอาณาจกัร ด้านความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และความเจริญรุ่งเรือง ทางด้านศิลปกรรม ด้านความมั่นคง พระองค์ได้ทรงป้องกันราชอาณาจักรด้วยการส่งกองทัพไปสกัดทัพของเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวยีงจนัทน์ไม่ใหย้กทพัเขา้มาถึงชานพระนครและขดัขวางไม่ให้เวียงจันทน์เข้าครอบครองหัว เมืองอีสานของสยาม นอกจากน้ีพระองคท์รงประสบความสําเร็จในการทาํให้สยามกบัญวนยุติการ สู้รบระหวา่งกนัเกี่ยวกบัเรื่องเขมรโดยที่สยามไม่ไดเ้สียเปรียบญวนแต่อยา่งใด ด้านการค้าระหว่างต่างประเทศ พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ท้ังกับชาวเอเชียและชาว ยุโรป โดยเฉพาะอยา่งยงิ่การคา้กบัจีนมาต้งัแต่เมื่อคร้ังพระองคท์รงดาํรงพระอิสสริยศเป็นกรมหมื่น เจษฎาบดินทร์ส่งผลให้พระคลังสินค้ามีรายได้เพิ่มมากข้ึน นอกจากน้ีมีการแต่งสําเภาท้งัของ ราชการ เจา้นาย ขุนนางช้ันผูใ้หญ่และพ่อคา้ชาวจีนไปคา้ขายยงัเมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิดค้าขายกับมหาอํานาจจะวันตกจนมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกัน คือ สนธิสัญญาเบอร์นีพ.ศ. 2369 และ 6 ปีต่อมาก็ไดเ้ปิดสัมพนัธไมตรีกบั สหรัฐอเมริกาและมีการ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
130 เรือส าเภาจีนที่วัดยานนาวา ทาํสนธิสัญญาต่อกนั ใน พ.ศ. 2375 นบัเป็นสนธิสัญญาฉบบัแรกที่สหรัฐอเมริกาทาํกบั ประเทศทาง ตะวนัออก ส่งผลใหไ้ทยไดผ้ลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยา่งมาก ด้านศิลปกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัด อรุณราชวรารามจนแลว้เสร็จและทรงมีรับสั่ง ให้สร้างเรือสําเภาก่อด้วยอิฐในวัด ย า น นาวา เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าเรือสําเภาน้ันมี รูปร่างลักษณะอย่างไร เพราะทรงเล็งเห็นว่า ภายหนา้จะไม่มีการสร้างเรือสาํเภาอีกแลว้ สําหรับวรรณกรรม พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตจารึกวรรณคดีที่สําคัญๆ และวิชาแพทยแ์ผนโบราณลงบนแผ่นศิลา แลว้ติดไวต้ามศาลารายรอบพระอุโบสถรอบพระมหา เจดีย์บริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาหาความรู้ รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 -1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีมีพระนามเดิมว่า "เจา้ฟ้ามงกุฎ สมมติเทวาวงศ์ พงษ์อิศรกษัตริย์" เป็ นพระราชโอรสองค์ที่ 43 และเป็ นลําดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีสุ ริเยนทราบรมราชินีเสด็จพระราชสมภพในวันพฤหัสบดีที่18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ทรงมีพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกลา้เจา้อยู่หัว เมื่อพระชนมายุครบ 20 พรรษา ไดอ้อกผนวชมีฉายาว่า วชิรญาณเถระ พระองค์เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดีที่1 ตุลาคม พ.ศ. 2411รวมพระชนมพรรษา 64 พรรษา วัดประจํารัชกาลคือวัดราชประดิษฐสถิตมหา สีมารามราชวรวิหาร พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกจิด้านวรรณคดีพุทธศาสนา พระองค์ทรงเอาพระทยัใส่ทาํนุบาํรุงเป็นอย่างดีพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อย แก้ว บทพระราชนิพนธ์ที่สําคญั ได้แก่ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
131 โบราณคดีธรรมคดีและตาํราตาํนานเรื่อง พระแกว้มรกต เรื่องปฐมวงศ์ทรงริเริ่มให้มีการคน้ควา้ ศิลาจารึกในประเทศไทยข้ึนเป็นคร้ังแรกคือจารึกหลกัที่1 ของพอ่ขนุรามคาํแหงและจารึกหลกัที่4 ของพระยาลิไทย พระราชกรณียกจิด้านพระพุทธศาสนา พระองคท์รงฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาใหรุ้่งเรืองโดยทรงต้งัธรรมยุตติกาวงศข์้ึน เป็นนิกายใหม่ ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินยัและระเบียบแบบแผนด้านพระพุทธศาสนา พระองค์ไดก้าํหนดให้มีการทาํบุญวนัวิสาขบูชาข้ึนในวนัเพ็ญ เดือน 6 ด้วยเป็ นวันสําคัญทาง พระพุทธศาสนาจัดให้มีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ แสดงธรรมเทศนา และทรงพระราชนิพนธ์ คาถาไวส้ ําหรับสวดในพิธีน้ีดว้ยและไดท้รงกาํหนดวนัมาฆบูชาข้ึนมาอีกวนั ในวนเพ็ญ เดือน ั 3 ที่ กาํหนดว่าด้วยเป็นวนัที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม สาวกถึง 1,250 รูป ที่มาประชุมโดยมิไดน้ดัหมาย ซ่ึงลว้นแต่เป็นพระอรหนัตท์ ้งัสิ้น ซ่ึงเรียกวา่“จาตุ รงคสันนิบาต” พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ด้วยเหตุที่ทรงสนพระทยัในวิทยาการตะวนัตกมาต้งัแต่ก่อนข้ึนครองราชย์จึงทรงคุน้เคย กบัชาวตะวนัตกโดยเฉพาะองักฤษเป็นอยา่งมาก ท้งัยงัเกี่ยวขอ้งกบัเสนาบดีสกุลบุนนาคเช่นพระยา ศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)ผูก้ราบบงัคมทูลเชิญเสด็จข้ึนครองราชยน์ ้นัก็เป็นผูส้นิทสนมและนิยม องักฤษ เช่นน้ีในรัชสมยัของพระองค์จึงเปิดความสัมพนัธ์กบั ประเทศตะวนัตกอย่างกวา้งขวาง มี การทาํสัญญากบัต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย "ผอ่นส้ัน ผอ่นยาว" มาใชก้บั ประเทศ มหาอาํนาจเป็นพระองคแ์รกในสมยัรัตนโกสินทร์อนัทาํให้ไทยสามารถดาํรงเอกราชอยูไ่ดจ้นทุก วนัน้ีพระองค์ไดส้ ่งคณะทูตไทยโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศเ์ป็นราชทูต เจา้หมื่นสรรเพช็ภกัดีเป็น อุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็ นตรีทูต นําพระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งองักฤษนบัเป็นความคิดริเริ่มให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้เนื่องจากแต่เดิมกฎหมาย ห้ามมิให้เจา้นาย พระราชวงศ์ขา้ราชการผูใ้หญ่เดินทางออกจากพระนคร เวน้เสียแต่ไปในการ สงครามกบักองทพั พระองค์โปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็นกงสุลไทย เช่น เซอร์จอห์น เบาริง อคัรราชทูตของสมเด็จพระราชินีนาถวกิตอเรียแห่งสหราชอาณาจกัร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ เข้ามาทําสนธิสัญญากับประเทศไทยเป็นชาติแรก เมื่อ พ.ศ. 2398 ไดพ้ระราชทานบรรดาศกัด์ิเป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ" เป็นกงสุลไทยประจาํ กรุงลอนดอน
132 พระบรมรูปประดิษฐาน ณ อาคาร อุทยานวิทยาศาสตร์ พระจอม เกล้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชกรณียกจิด้านการปรับปรุงประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้อยหู่วัมีการขยายตวัทางเศรษฐกิจมากเนื่องจาก มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมากข้ึน ทําให้บ้านเมืองในขณะน้ันดูแคบไปมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยู่หวัจึงมีพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ สร้างถนนข้ึนมาหลายสาย เช่น วันที่ 5 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2404 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นแม่กอง พระอินทราธิบ ดีสีหราชรองเมือง เป็นนายงานดาํเนินการก่อสร้างถนนเจริญกรุง ใหเ้ป็นถนนสายหลกัสายแรกและ สร้างถนนบํารุงเมือง สร้างถนนเฟื่ องนคร และการขุดคลองภาษีเจริญ เป็ นต้น พระราชกรณียกิจด้านวิทยาศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยูห่วัทรงเป็นนกั ดาราศาสตร์ไทย ทรงการคํานวณการเกิด สุริยุปราคาเต็มดวงไดอ้ยา่งแม่นยาํในวนัที่18 สิงหาคม พ.ศ. 2411ล่วงหนา้ 2 ปีและได้เสด็จพระ ราชดาํเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาคร้ังน้ัน นอกจากน้ีพระ ปรี ชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์น้ัน ยังทําให้ พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศกัด์ิของสัตววิทยา สมาคมแห่งสหราชาอาณาจกัรอีกดว้ย วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสู ลานนท์ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้อยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และอนุมตัิให้วนัที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็ นวันวทิยาศาสตร์แห่งชาติ พระราชกรณียกิจด้านโหราศาสตร์ นอกจากน้ีแลว้ยงัทรงเป็นนกัโหราศาสตร์อีกดว้ย ทรงแต่ง ตาํราทางโหราศาสตร์ที่เรียกวา่"เศษพระจอมเกลา้" ซ่ึงเป็นอีกหน่ึง ตาํราที่ไดร้ับการยอมรับว่าแม่นยาํ และทรงไดร้ับการยกยอ่งเชิดชู เกียรติวา่ทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย" พระราชกรณียกิจการเปลี่ยนชื่อประเทศ ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยู่หัว ทรงมีพระราชดาํริเห็นว่า ควร เปลี่ยนชื่อจากชื่อเดิม กรุงศรีอยุธยา เป็ น สยาม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเป็ นชื่อของราชธานีเดิม เมื่อ เปลี่ยนที่ต้งัราชธานีแลว้ควรมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อเป็นการแสดงใหรู้้วา่มีการยา้ยเมืองหลวงมาใน สถานที่ใหม่แล้ว และในเวลาน้ันมีต่างประเทศเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีหลายประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัจึงประกาศชื่อประเทศข้ึนใหม่มีนามวา่สยาม
133 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาส รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(20 กนัยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็ นพระมหากษัตริย์ สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระนามเดิมวา่ สมเด็จ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้อยู่หัว และเป็ นพระองค์แรก ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีโดยมีพระขนิษฐาและ พระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกัน 3 พระองค์ได้แก่สมเด็จ เจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑลโสภณภควดีสมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนต์ รัศมีกรมพระจักรพรรดิพงศ์และสมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังสี สว่างวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร ที่ 20 กนัยายน พ.ศ. 2396 เสวยราชสมบัติยาวนานเป็ นเวลา 43 ปี โดยได้รับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า พระปิยมหาราช แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก และว่า "พระพุทธเจ้าหลวง" และเสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคพระ วักกะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัมีพระอคัรมเหสีทรงพระนามวา่ สมเด็จพระศรีพัช รินทราบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันที่1 มกราคม พ.ศ.2406 ในพระบรมมหาราชวัง มีพระนามเดิม วา่พระเจา้ลูกเธอพระองคเ์จา้เสาวภาผอ่งศรีเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยูห่ ัวและ เจ้าจอมมารดาเปี่ ยม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยู่หัวมีพระราชโอรส และพระราชธิดา ท้งัสิ้น 97 พระองค์มี9 พระองค์ที่ประสูติในอัครมเหสี พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกิจด้านการปฏิรูปประเทศ พระราชกรณียกิจการเลิกทาส ถือเป็ น พ ระ รา ช กร ณียกิจ ที่สําคัญ ที่สุด ของ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า เจา้อยหู่วัเนื่องจากผทู้ี่เป็นทาสไดร้ับความเป็นอยู่ ที่ลําบากยากแค้นและมีจํานวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชาชนท้งัประเทศ ดังน้ันพระองค์จึงมี พระราชประสงค์ในการเลิกทาสให้สําเร็จจง ได้โดยทรงตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 เพื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
134 ปลดปล่อยทาสอยา่งมีระเบียบแบบแผนตามกฎหมายโบราณ แยกทาสเอาไวท้้งัหมด 7แบบ คือ 1. ทาสสินไถ่หมายถึงคนหรือคนที่นําลูกภรรยาของตนมาขายตัวเป็ นทาส 2. ทาสในเรือนเบี้ย หมายถึงลูกของทาสที่เกิดในเรือนเจา้เงิน 3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา หมายถึง ทาสที่เป็ นมรดกตกทอดมาจากบิดามารดา 4. ทาสท่านให้หมายถึง ทาสที่มีคนยกให้ 5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ หมายถึง ทาสที่นายเงินช่วยเหลือมาจากคดีความ 6. ทาสทเี่ลีย้งไว้เมื่อเกดิทุพภิกขภัย หมายถึง ทาสที่นําตัวมาขายเพื่อแลกข้าว 7. ทาสเชลยศึก หมายถึง ทาสที่ได้มาจากการชนะสงคราม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยูห่ ัวทรงทราบว่าทาสน้ีมีมาต้งัแต่สมยัโบราณจนถือ เป็ นประเพณีแล้วเจ้านายขุนนาง หรือเสนาบดีที่เป็นใหญ่มกัมีทาสเป็นขา้รับใชท้ ี่ไม่อาจสร้างความ เป็นไทแก่ตัว พระองค์จึงทรงใช้พระวิริยะอุตสาหะอย่างหนักในการทําให้ทาสหมดไปจาก แผ่นดิน โดยมีพระราชดาํริกบัเสนาบดีและขา้ราชบริพารเกี่ยวกบัวิธีที่จะปลดปล่อยทาสให้ไดร้ับ ความเป็ นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อมโดยข้ันแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบญัญตัิพิกดัเกษียณอายุของลูกทาส กาํหนดโทษผูซ้้ือและขายทาส รวมท้งัออกกฎหมาย บงัคบัใหเ้จา้นายช้นัผใู้หญ่ที่มีทาสอยใู่นครอบครองปลดปล่อยทาสใหเ้ป็นอิสระ ซึ่งทรงใช้เวลานาน กวา่ 30 ปีในการที่ไม่ให้มีทาสหลงเหลืออยูใ่นอาณาจกัรไทย โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเน้ือเลย ซึ่ง แตกต่างกับอีกหลายๆ ชาติที่เมื่อประกาศเลิกทาสก็เกิดการคัดค้าน และต่อต้านจนทาํ ให้เกิด เหตุการณ์นองเลือดข้ึน เมื่อบา้นเมืองมีความเจริญกา้วหน้าข้ึน ในปีพ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทรงเปลี่ยนแปลงแบบแผนการปกครองจากเดิมที่เป็นการบริหารจากเจ้านายช้ัน ผูใ้หญ่โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วางระเบียบการปกครองข้ึนใหม่โดยแยกหน่วยราชการ ออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหนา้ที่รับผิดชอบเฉพาะไม่กา้วก่ายกนัซ่ึงในคร้ังแรกน้นัทรงกาํหนดกรม ข้ึนมาใหม่6กรม ไดแ้ก่ 1.กรมพระคลัง มีหนา้ที่ดูแลเกี่ยวกบัการเก็บภาษีรายไดจ้ากประชาชนและนาํมาบริหารใช้ งานดา้นต่างๆ 2. กรมยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ ท้ังคดีอาญาและคดี เพง่ รวมถึงควบคุมดูแลศาลอาญาศาลแพง่และศาลอุทธรณ์ทวั่ท้งัแผน่ดิน 3. กรมยุทธนาธิการ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาการณ์ในกรมทหารบก ทหารเรือและกิจกรรม ที่เกี่ยวขอ้งกบัทหาร 4. กรมธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์คือ หน้าที่สั่งสอนอบรม พระสงฆแ์ละสอนหนงัสือใหก้บั ประชาชนทวั่ ไป
135 กิจการไปรษณีย์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นเป็ นครั้งแรก 5. กรมโยธาธิการ มีหนา้ที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้างการทําถนน ขุดลอกคูคลองและงาน เกี่ยวขอ้งกบัการก่อสร้าง 6. กรมมุรธาธิการ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร พระราชกาํหนดกฎหมาย และ หนงัสือที่เกี่ยวกบัราชการท้งัหมด รวมถึงกรมที่ต้งัอยกู่ ่อนหนา้น้นั 6กรม รวมเป็ น 12กรม ไดแ้ก่ 7. กรมมหาดไทย* มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ ายเหนือ และเมืองลาวซึ่งเป็ นเมือง ประเทศราช 8. กรมพระกลาโหม* มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ ายตะวันออก ตะวันตกและ เมืองมลายู(การที่ให้กรมท้งัสองบงัคบัหัวเมืองคนละดา้นน้นัเพื่อเป็นการง่ายต่อการควบคุมดูแล พ้ืนที่น้นัๆ ให้ได้ผลเต็มที่) 9. กรมท่า มีหนา้ที่ดูแลงานที่เกี่ยวขอ้งกบัการต่างประเทศ 10. กรมวัง มีหนา้ที่ดูแลรักษาการณ์ต่างๆ ในพระบรมมหาราชวัง 11. กรมเมือง มีหน้าที่ดูแลรักษากฎหมายอาญาที่เกี่ยวกบัผูก้ระทาํผิด กรมน้ีมีตาํรวจ ทําหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบ และจับกุมผู้กระทําผิดมาลงโทษ 12. กรมนา มีหน้าที่คล้ายคลึงกบักระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบันคือ มีหน้าที่ หลักในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขายและป่ าไม้เพราะเมืองไทยมีอาชีพเกษตรกรรมเป็ น อาชีพหลัก พระราชกรณียกิจด้านการไปรษณีย์โทรเลข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้อยู่หัว ทรงเห็นการสื่อสารเป็นเรื่องสําคญัและจาํเป็นอย่าง มากต่อไปในอนาคต พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ กระทรวงกลาโหมดาํเนินการก่อสร้างวางสายโทร เลขสําหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศเริ่ม ก่อ ส ร้างใ น ปีพ .ศ.2418 จ า ก ก รุ ง เ ท พ ฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง 45กิโลเมตรและไดว้างสาย ใต้น้ําต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารที่ปากแม่น้ํา เจ้าพระยาสําหรับบอกข่าวเรือเข้า -ออก ต่อมาได้วางสายโทรเลขข้ึนอีกสายหน่ึงจากกรุงเทพฯ - บางปะอิน และขยายไปทวั่ถึงในเวลาต่อมา สําหรับกิจการไปรษณีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยู่หัวโปรดเกลา้ฯ ให้จดัต้งั การไปรษณียข์้ึนเป็นคร้ังแรกในวนัที่2กรกฎาคม พ.ศ.2424 มีที่ทาํการเรียกวา่ ไปรษณียาคาร ต้งัอยู่
136 ริมแม่น้าํเจา้พระยา และเปิดดาํเนินการอย่างเป็นทางการคร้ังแรกในวนัที่4 สิงหาคม พ.ศ.2426 หลงัจากน้นัจึงโปรดเกลา้ฯ ใหก้รมโทรเลขรวมเขา้กบักรมไปรษณียช์ื่อวา่กรมไปรษณียโ์ทรเลข พระราชกรณียกิจด้านการโทรศัพท์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล และพระปรีชา สามารถอยา่งมากในการพฒันาประเทศโดยกระทรวงกลาโหมไดน้าํโทรศพัทอ์นัเป็นวิทยาการใน การสื่อสารที่ทนัสมยัเขา้มาทดลองใช้เป็นคร้ังแรกในปีพ.ศ. 2424 จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพื่อแจง้ข่าวเรือเขา้ -ออกที่ปากน้าํต่อมากรมโทรเลขไดม้ารับช่วงต่อในการวางสายโทรศพัทภ์ายใน กรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลา 3 ปีจึงแลว้เสร็จพร้อมเปิดให้บริการกบั ประชาชน และพฒันามาจนกระทงทุกั่ วนัน้ี พระราชกรณียกิจด้านการกฎหมาย กฎหมายในขณะน้นัมีความลา้สมยัอยา่งมากเนื่องจากใชม้าต้งัแต่สมยัรัชกาลที่1และยงัไม่ เคยมีการชาํระข้ึนใหม่ให้เหมาะสมกบัยุคสมยัทาํให้ต่างชาติใช้เป็นขอ้อา้งในการเอาเปรียบไทย เรื่องการทาํสนธิสัญญาเกี่ยวกบัการข้ึนศาลตดัสินคดีที่ไม่ให้ชาวต่างชาติข้ึนศาลไทย โดยต้งัศาล กงสุลพิจารณาคดีคนในบงัคบัต่างชาติเอง แมว้า่จะมีคดีความกบัชาวไทยก็ตาม ดงัน้นัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัจึงทรงโปรดเกลา้ฯ สร้างประมวลกฎหมาย อาญาข้ึนใหม่เพื่อให้ทนัสมยัทดัเทียมกับอารยประเทศ ในปีพ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงโปรดเกลา้ฯ ใหจ้ดัต้งัโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็น สถานที่สําคัญที่ผลิตนักกฎหมายที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศ ต่อมาในปีพ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ตรา กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127อนัเป็นลกัษณะกฎหมายอาญาฉบบัแรกที่นาํข้ึนมาใช้อีกท้งัยงั โปรดเกลา้ฯ ใหม้ีการต้งักรรมการข้ึนมาชุดหน่ึง พิจารณาทาํกฎหมายประมวลอาญาแผน่ดินและการ พาณิชย์ประมวลกฎหมายวา่ดว้ยพิจารณาความแพง่และพระธรรมนูญแห่งศาลยตุิธรรมแต่ยงัไม่ทนั สาํเร็จดีก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน เมื่อสร้างประมวลกฎหมายข้ึนมาใชแ้ลว้บทลงโทษแบบจารีตด้งัเดิมจึง ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองค์เอง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็นบทลงโทษ ที่เป็น หลกัการพิจารณาที่ดีและทนัสมยักวา่เดิมดว้ย
137 พระบรมราชานุสาวรีย์แห่ง แรก สร้ างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่สวนลุมพินี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1 มกราคม พ.ศ. 2423 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) เป็ นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจกัรีวงศ์เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยูห่วัและ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เสวยราชสมบัติเมื่อวัน เสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสด็จดํารงราชสมบัติรวม 15 ปี พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา พระองค์ทรงริเริ่มสร้างโรงเรียนข้ึนแทนวดัประจาํรัชกาล ไดแ้ก่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย) ท้งัยงั ทรงสนบัสนุนกิจการของโรงเรียนราชวิทยาลัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาข้ึนในปีพ.ศ. 2440 (ปัจจุบัน คือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์) และ ในปี พ.ศ. 2459 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียน ข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้อยู่หัว ข้ึน เป็ น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่ งเป็ นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของ ประเทศไทย
138 พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมไทย ทรงต้งักรมมหรสพ เพื่อฟ้ืนฟูศิลปวฒันธรรมไทยและยังได้ทรงสร้างโรงละครหลวงไว้ใน พระราชวงัทุกแห่ง นอกจากน้ียงัทรงสนพระราชหฤทยัดา้นจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ทรง ส่งเสริมให้มีการแต่งหนังสือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญัญตัิวรรณคดี สโมสร สําหรับในด้านงานหนังสือพิมพ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร พ.ศ. 2465 ข้ึน พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศสงคราม กบั ประเทศฝ่ายเยอรมนั ในสงครามโลกคร้ังที่1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประเทศไทย ไดเ้ขา้ร่วมกบั ประเทศฝ่ายสัมพนัธมิตร ซ่ึงประกอบดว้ยประเทศองักฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียเป็น ผนู้าํพร้อมท้งัไดท้รงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ ใหส้ ่งทหารไทยอาสาสมคัรไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรป ด้วย ผลของสงครามประเทศฝ่ายสัมพนัธมิตรได้ชัยชนะ ทาํให้ประเทศไทยมีโอกาสเจรจากับ ประเทศมหาอาํนาจหลายประเทศ ในการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น สนธิสัญญาสิทธิ สภาพ นอกอาณาเขต สนธิสัญญาจาํกดัอาํนาจการเก็บภาษีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลา้ เจา้อยหู่วัและ สนธิสัญญาจาํกดัอาํนาจกลางประเทศไทย พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ ให้ต้งัโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และวชิรพยาบาล และทรงเปิ ด การประปากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 พระราชกรณียกิจด้านกจิการเสือป่าและลูกเสือ ทรงจดัต้งักองเสือป่าเมื่อวนัที่1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 และทรงจดัต้งักองลูกเสือกองแรก ข้ึนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวธุวทยาลัย ในปัจจุบัน) ด้านการฝึ กสอนระบอบประชาธิปไตย ิ ทรงทดลองต้งั"เมืองมงั" หลงัพระตาํหนกัจิตรลดาเดิม ทรงจดัให้เมืองมงัมีระบอบการปกครอง ของตนเองตามวถิีทางประชาธิปไตย รวมถึงเมืองจาํลอง "ดุสิตธานี" ในพระราชวงัดุสิต (ต่อมาทรง ย้ายไปที่พระราชวังพญาไท) พระราชกรณียกิจด้านการสร้างชาตินิยม การใช้พุทธศักราช พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยูห่วัทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้ใช้พุทธศักราช เป็ นศักราชในราชการ เพราะทรงพระราชดาํริวา่การใชร้ัตนโกสินทร์ศก ไม่สะดวกสาํหรับเหตุการณ์ในอดีตก่อนต้งัศกัราช การเปลี่ยนเวลา พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศนับเวลาในราชการโดยทรง กาํหนดใหเ้ปลี่ยนวธิีนบัเวลาแบบโมงยามมานบัแบบสากลนิยม คือแบ่งวนัหน่ึงเป็น 24 ภาคแต่ละ ภาคเรียกวา่ นาฬิกาและใหถ้ือวา่เวลาเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวนัใหม่
139 ธงไตรรงค์ การใช้ค าน าหน้านาม ในปี พ.ศ.2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยู่หัวไดท้รงพระ กรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาคํานําหน้านามกําหนดให้ใช้คาํนําหน้านามอย่าง อารยประเทศ นนั่คือใหม้ีคาํวา่ เด็กชาย เด็กหญิง นาย นาง และนางสาวนําหน้าชื่อ การพระราชทานนามสกุลในปีพ.ศ. 2456 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้นามสกุล และ ได้รับพระราชทานนามสกุลถึง 6,432 สกุลโดยนามสกุลแรกที่ทรงพระราชทานคือ สุขุม การสร้างธงไตรรงค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลา้เจา้อยหู่วัไดท้รงโปรดเกลา้ฯ ใหส้ร้างธงชาติข้ึนใหม่ แทนธงช้าง ด้วยทอดพระเนตรเห็นผู้ชักธงกลับหัวช้าง ลงว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม จึงไดท้รงออกแบบธงใหม่ให้ เป็ น 3 สีแดงขาว น้าํเงิน มีความหมายแทน ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยพระราชทานนามวา่ ธงไตรรงค์ การสร้างหอสมุด พระองค์ทรงมีพระราชดํารัส วา่ “ชาติใดไม่มีหนงัสือไม่มีตาํนานนบัวา่เป็นเหมือนคนป่ า” ดงัน้นัพระองคจ์ึงทรงโปรดเกลา้ฯ ให้ เปิ ดหอสมุดสําหรับเขตพระนคร เมื่อพ.ศ. 2459 ซึ่งได้พัฒนามาเป็ น หอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวัติ พระ บา ทสม เด็ จพระปรมินทรมหา ประชา ธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 -30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484) เป็ นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 ในราชวงศ์จักรีเสด็จ พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยูห่วั เป็ นพระองค์ที่ 9 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราช ชนนีพันปี หลวง ข้ึนเสวยราชสมบตัิเป็นพระมหากษตัริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นับ ศกัราชแบบเก่า) รวมดาํรงสิริราชสมบตัิ9 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 รวม พระชนมพรรษา 47 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยู่หัวทรงอภิเษกสมรสกบั สมเด็จพระนางเจ้ารําไพพรรณี พระบรมราชินี(หม่อมเจา้หญิงรําไพพรรณีสวสัดิวตัน์) ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา แต่มี พระราชโอรสบุญธรรมคือ พระวรวงศเ์ธอ พระองคเ์จา้จิรศกัด์ิสุประภาต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
140 สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์สะพานพุทธ พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกจิด้านการทา นุบ ารุงบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง สะพานปฐมบรม ราชานุสรณ์ข้ึน ด้วยทรงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้สถาปนากรุ งรัตนโกสิ นทร์ สะพานแห่งน้ีเป็น สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา เชื่อมระหว่างฝั่งพระ นครกับฝั่งธนบุรีพร้อมกับทรงชักชวนประชาชนชาวไทยร่วมกันสร้างพระบรมรูปของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่บริเวณเชิงสะพานแห่งน้ีดว้ย โดย พระองค์ เสด็จไปทําพิธีเปิ ดด้วยพระองค์เองในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 และโปรดเกล้าฯ ให้มีมหรสพ สมโภชเป็ นการเฉลิมฉลองที่กรุงเทพฯ มีอายุครบ 150 ปี ด้วยและพระราชทานนามสะพานแห่งน้ีวา่ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วัทรงจดัระเบียบการบริหารงานบุคคลของชาติด้วยการ ตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ข้ึนบงัคบั ใช้โดยจะมีกลุ่มคนที่เรียกว่า คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คอยดูแลการบรรจุแต่งต้งัการเคลื่อนย้าย รวมท้งัควบคุมให้อยูใ่น ระเบียบวินัยของราชการ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบแข่งขนับุคคลเขา้บรรจุเป็นขา้ราชการพล เรือนเป็นคร้ังแรก ซ่ึงแตกต่างจากเดิมที่ใครประสงค์จะเขา้รับราชการก็ไปฝากตวัแก่หัวหน้าส่วน ราชการน้นัโดยตรง พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยหู่วั เป็ นพระมหากษัตริย์ที่เลื่อมใสในการปกครองระบอบ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย พระองค์ทรงพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขระบอบการปกครองจาก สมบูรณาญาสิทธิราชย์มา เป็ นระบอบประชาธิปไตย โดยหลงัจากเสด็จข้ึนครองราชยแ์ลว้ก็โปรด เกล้าฯ ให้สถาปนาคณะอภิรัฐมนตรีข้ึน เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดินแทนที่จะ ทรงตัดสินพระราช หฤทัยแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากน้ียงัทรงฟ้ืนฟูการประชุมเสนาบดี ให้มีความสําคัญ และทรงแนะนําให้รู้จกัการทาํงานเป็นคณะและรับผิดชอบร่วมกันท้งัยงัทรง แต่งต้ัง สภากรรมการองคมนตรีเพื่อเป็ นที่ปรึ กษาข้อราชการและฝึ กหัดการประชุมแบบ รัฐสภา สําหรับ การปูพ้ืนฐานในการปกครองตนเองของประชาชนก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ร่าง พระราชบญัญตัิเทศบาลข้ึน แต่กฎหมายดงักล่าวไดร้่างเสร็จเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้ว นอกจากน้ียงัโปรดเกลา้ฯ ให้ท่านผูรู้้ร่างรัฐธรรมนูญข้ึนเพื่อเตรียมพระราชทานแก่ประชาชน
141 พระราชด ารัสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสฉลอง กรุงเทพมหานครครบรอบ 150 ปีแต่ไดม้ีพระบรมวงศานุวงศบ์างพระองคไ์ดท้รง ทูลคดัคา้นวา่ยงั ไม่สมควรแก่เวลาจึงต้องรอคอยการพระราชทานรัฐธรรมนูญไวก้่อน วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไป ประทบัที่พระราชวงัไกลกงัวล“คณะราษฎร” นําโดย พนัเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ไดเ้ขา้ยึด อํานาจการปกครองแผ่นดินที่กรุงเทพมหานคร โดยเข้าควบคุมพระบรมวงศานุวงศ์บาง พระองค์ และขา้ราชการตาํแหน่งสําคญัๆ ไวเ้ป็นตวัประกนัแลว้ส่งหนงัสือไปกราบบงัคมทูลเชิญ เสด็จนิวัติกลับพระนครเพื่อเป็ นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองที่คณะราษฎรได้ทํา ข้ึน ซ่ึงแมว้่าพระองค์จะไดท้รงเตรียมพระราชทานอาํนาจอธิปไตยน้ีแก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่เมื่อ คณะราษฎรแสดงออกถึงความปรารถนาอนัแรงกลา้เช่นน้ีพระองคก์ ็มิไดท้รงถือทิฐิมานะ โดยทรง ละพระบรมเดชานุภาพ ยอมรับการเป็ นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และหลังจากเสด็จพระ ราชดาํเนินกลบัคืนสู่พระนครแลว้ก็ไดพ้ระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกัรสยามฉบบัแรก เมื่อวันที่10ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวไม่ได้ขัดเคืองพระราชหฤทัย ทรงยอมรับการเปลี่ยนแปลงอยา่งเต็มพระ รา ชหฤทัย ท รง มีพระรา ช ดํารัส ว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอ านาจอัน เป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่ เดิมให้แก่ราษฎร โดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอ านาจ ทงั้หลายของข้าพเจ้าให้แก่ผ้ใูด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อ านาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียง อันแท้จริงของประชาราษฎร” ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 ได้เกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกกนัว่ากบฏบวรเดชข้ึน โดยพระองคเ์จา้บวรเดชกบัพระยาศรีสิทธิสงคราม รวมกาํลงัทหารหวัเมืองมุ่งเขา้ตีกรุงเทพมหานคร ตามคาํแถลงการณ์ที่จะเขา้มาช่วยพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้เจา้อยู่หวัให้ทรงหลุดพน้จากอาํนาจ ของคณะราษฎร เหตุการณ์ในคร้ังน้ีมีการปราบปรามดว้ยอาวุธ ทาํให้เกิดการสู้รบระหวา่งคนไทย ดว้ยกนัเอง และมีผูเ้สียชีวิตดว้ยกนัท้งัสองฝ่าย เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนน้ีเป็นที่สะเทือนพระราชหฤทยั ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้อยู่หัวเป็นอย่างมาก จึงทรงตัดสินพระราช หฤทัยเสด็จไป ประทับที่ประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุผลเพื่อไปรักษาพระเนตรเมื่อวันที่12 มกราคม พ.ศ. 2476และใน วันที่2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ
142 พระราชกรณียกิจด้านประเพณีและวัฒนธรรม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง เป็นผูร้ิเริ่มในการสร้างค่านิยมให้ชายไทยมี ภรรยาเพียงคนเดียว ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสังคมไทยแต่โบราณที่ชายไทยมักนิยมมี ภรรยาหลายคนโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 2473และทรงริเริ่มให้มีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหยา่ ทะเบียน รับรองบุตรอนัเป็นการปลูกฝังค่านิยมใหม่ทีละนอ้ยตามความสมคัรใจ นอกจากน้ียงัทรงปฏิบัติตน เป็นแบบอยา่งโดยมีพระบรมราชินีเพียงพระองคเ์ดียว และไม่มีสนมนางในใดๆ ท้งัสิ้น รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล(20 กนัยายน พ.ศ. 2468 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) พระมหากษัตริย์ ลําดับที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรีเป็ นพระโอรสพระองค์แรกของ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์( สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) กบัหม่อมหลวงสังวาลย์มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนค รินทราบรมราชชนนี) มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วม พระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ไดแ้ก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจา้ฟ้ากลัยาณิวฒันากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอ ดุลยเดช (ภายหลงัทรงข้ึนครองราชสมบตัิเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กนัยายน พ.ศ. 2468 พระนามเดิมวา่พระวรวงศเ์ธอพระองคเ์จา้อานนัท มหิดล ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 9 พรรษา เมื่อวันที่2 มีนาคม พ.ศ. 2477และประทบัอยู่ที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดงัน้ัน จึงมีการแต่งต้งัคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทําหน้าที่ บริหารราชการแผน่ดินจนกวา่พระองคจ์ะทรงบรรลุนิติภาวะ พระองค์เสด็จนิวตัิพระนครคร้ังแรกภายหลังทรงราชย์เมื่อวนัที่15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481และคร้ังที่สองเมื่อวนัที่5 ธันวาคม พ.ศ. 2488ก่อนกาํหนดการเสด็จพระราชดาํเนินกลบั ไป ทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปื น เมื่อวันที่ 9 มิถุ นาย น พ.ศ . 2489 ณ ห้องพระบ รรท ม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายใ น พระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบตัิท้งัสิ้น 12 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
143 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา อานันทมหิดล พร้ อมด้วยสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จ เยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็ นครั้ งแรก ณ ส าเพ็ง พระนครเมื่อ พ.ศ. 2489 พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 8 ใน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง พระองค์ได้เสด็จพระราชดําเนินไปในพระราชพิธี พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ในวนัที่9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489และเปิ ดประชุมสภาผู้แทนในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นอกจากน้ียงัเสด็จพระราชดําเนินทรงเยี่ยมราษฎรใน จงัหวดัต่างๆ และทรงเยยี่มชาวไทยเช้ือสายจีนเป็นคร้ังแรก ณ สํา เพ็ง พระนคร พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอ ดุลยเดช เมื่อวันที่3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ซ่ึงเป็นช่วงที่เกิดความ ขดัแยง้กนัระหว่างชาวไทยและชาวไทยเช้ือสายจีนจนเกือบเกิด สงครามกลางเมือง เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่อง มีพระราชดาํริว่า หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นน้ีจะเป็นผลร้าย ตลอดไป จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดําเนินสําเพ็ง ซึ่งใช้ ระยะเวลาประมาณ 4 ชวั่ โมง และพระองคท์รงพระราชดาํเนิน ด้วยพระบาทเป็ นระยะประมาณ 3 กิโลเมตรการเสด็จพระราช ดาํเนินสาํเพง็ในคร้ังน้ีจึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดข้ึนใหห้มดไป พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา ในการเสด็จนิวตัิพระนครในคร้ังที่2 พระองค์ทรงได้ ประกอบพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวขอ้งกบัการศึกษาของประเทศ โดยเสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรกิจการของหอสมุด แห่งชาติรวมท้งัเสด็จพระราชดาํเนินไปทรงเยี่ยมสถานศึกษา หลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรี ยนเทพศิริ นทร์ ซ่ึงเป็นโรงเรียนที่ทรงศึกษาขณะทรงพระเยาว์นอกจากน้ี พระองค์ยังได้เสด็จพระราชดําเนินพระราชทานปริญญาบัตรเป็ น คร้ังแรกของพระองค์ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่ อวันที่ 13 เม ษายน พ.ศ. 2489และอีกคร้ังที่หอประชุมราชแพทยาลัย ศิริราช พยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เมื่อวันที่23 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยในการพระราชทาน ปริญญาบตัรคร้ังน้ีมีพระราชปรารภให้มีการผลิตแพทย์เพิ่มมากข้ึน เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือ ประชาชน โรงเรียนแพทยแ์ห่งที่2 จึงไดถ้ือกาํเนิดข้ึนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งในปัจจุบัน คือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
144 รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 -13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็ นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีเป็ นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก)กบัหม่อมหลวงสังวาลย์มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี)ทรงเป็ นพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระเจา้อยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพระราช สมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2470 ทรงมีพระนามเดิมวา่พระวรวงศเ์ธอพระองคเ์จา้ภูมิพลอดุลย เดช เสด็จสู่พระราชสมบตัิต้งัแต่วนัที่9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็ นพระมหากษัตริย์ไทยผู้เสวยราชย์ ยาวนานที่สุด พระองค์ทรงเป็ นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกบัพระราชดาํริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง พระองค์ยังทรงเป็ นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์งานพระราชนิพนธ์และงานดนตรี จํานวนหนึ่งด้วย สํานกังานทรัพยส์ินส่วนพระมหากษตัริยน์ ้นั ใชส้ินทรัพยเ์พื่อสวสัดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อ พระมหากษตัริย์แต่พระองคเ์ดียวขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ ทรงอุทิศพระราชทรัพยไ์ ปในโครงการพฒันาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะ ในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ํา สวสัดิการทาง คมนาคม และสวัสดิการสาธารณะอนุสรณ์ นบัแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการ พระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรไดท้รุดลงตามลาํดบัจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมายุ88 ปี313 วัน