โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เตาพลังงานจากน้้ามันพืชเหลือใช้ โดย นายอูกาชะห์ ยูนุ๊ นายมหามะอารีซู อาลี นายอัสฟาร์ ลาเต๊ะนือริง ครูที่ปรึกษา นายซอบือรี แซะเซ็ง นายมะซายูตี ลาเต๊ะบือริง รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม โครงการมหกรรมวิชาการพัฒนานวัตกรรม ก้าวล้้าเทคโนโลยี สู่มิติวิทยาศาสตร์ ประจ้าปี 2566 ณ อาคารดาราศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
ก หัวข้อโครงงาน : เตาพลังงานจากน้้ามันพืชเหลือใช้ ประเภทของโครงงาน : โครงงานสิ่งประดิษฐ์ ผู้เสนอโครงงาน : นายอูกาชะห์ ยูนุ๊ นายมหามะอารีซู อาลี นายอัสฟาร์ ลาเต๊ะนือริง ครูที่ปรึกษา : นายซอบือรี แซะเซ็ง นายมะซายูตี ลาเต๊ะบือริง บทคัดย่อ การท้าโครงงานวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของเตาพลังงานจาก น้้ามันพืชเหลือใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เตาพลังงานจากน้้ามันเหลือใช้ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น และแบบ ประเมินความคิดเห็นของผู้ที่ได้ทดลองการใช้งานที่มีต่อเตาพลังงานจากน้้ามันพืชเหลือใช้ ผลการศึกษาพบว่า (1)เตาพลังงานจากน้้ามันพืชเหลือใช้ที่สร้างประหยัดพลังงานได้มาก (2)ผู้ที่ได้ทดลองใช้มีความพึงพอใจต่อเตา พลังงานจากน้้ามันเหลือใช้ในระดับมากที่สุด
ข กิตติกรรมประกาศ ในการท้าโครงงานนี้คณะผู้จัดท้าต้องขอขอบคุณครูซอบือรีแซะเซ็ง และคุณครูมะซายูตีลาเต๊ะบือริง ที่ให้ค้าปรึกษาในการด้าเนินการและจัดเอกสารจนเสร็จสิ้น อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแนะน้าชี้แนะ และตรวจแก้โครงงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณคุณครูแวดาโอะ สามะ ครูรักษาการในต้าแหน่งผู้อ้านวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอ้าเภอเจาะไอร้อง ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการด้าเนินการ ขอขอบคุณ คณะครูศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ้าเภอเจาะไอร้องทุกท่าน ที่ให้ความรู้และแนวทางใน การศึกษา ตลอดจนค้าแนะน้าต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั้งส้าเร็จการศึกษาโครงงาน ความดีความชอบในการท้าโครงงานครั้งนี้ ขอมอบแด่บิดา มารดา ญาติพี่น้องของผู้ท้าโครงงาน ที่ให้ ก้าลังใจและให้การสนับสนุนทางด้านการศึกษาโครงงาน สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ เพื่อนๆ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ้าเภอเจาะไอร้อง รวมทั้งทุกๆท่านที่ไม่ได้ระบุ นามไว้ ณ ที่นี้ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือและให้ก้าลังใจมาโดยตลอดจนประสบความส้าเร็จ คณะผู้จัดท้า
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทน้า 1 ที่มาและความส้าคัญ 1 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1 สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า 1 ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 1 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2 บทที่ 3 วิธีการการด้าเนินการ 6 บทที่ 4 ผลการด้าเนินงาน 9 บทที่ 5 สรุปผลการด้าเนินงาน 1 0 บรรณานุกรม 1 1
1 บทที่ 1 บทน า ที่มาและความส าคัญของโครงงาน ในเขตพื้นที่อ าเภอเจาะไอร๎อง ประชาชนในพื้นที่มีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย อาชีพขาย กล๎วยแขกหรือกล๎วยทอดเป็นอาชีพหนึ่งที่ประชาชนในพื้นที่อ าเภอเจาไอร๎องประกอบอาชีพเป็นจ านวนมาก ซึ่งในการทอดกล๎วยแขกหรือกล๎วยทอดนั้นมีการใช๎น้ ามันเป็นองค์ประกอบเป็นจ านวนมาก และไมํสามารถ น าน้ ามันมาใช๎ซ้ าได๎ ท าให๎มีน้ ามันเหลือใช๎จากการทอด ที่ไมํสามารถน ามาใช๎ได๎อีก จากสภาพปัญหาดังกลําว กลุํมนักศึกษา กศน.อ าเภอเจาะไอร๎อง จึงได๎คิดประดิษฐ์ “เตาพลังงาน จากน้ ามันพืชเหลือใช๎” ขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือในการน าน้ ามันพืชเหลือใช๎จากการทอดมาใช๎ประโยชน์ และลดมลพิษจากการน าไปทิ้งสูํธรรมชาติ ดังนั้น โครงงานนี้จึงมุํงเน๎นที่จะน าน้ ามันที่เหลือใช๎ที่เหลือทิ้ง น า กลับมาใช๎ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงแทนแก๏สหุงต๎มและมีความประหยัดมากขึ้น วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.เพื่อศึกษาหาวิธีน าน้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ประโยชน์ 2.เพื่อออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎เพื่อลดปริมาณการ ใช๎แก๏สหุงต๎ม 3.เพื่อเผยแพรํและถํายทอดเทคโนโลยีให๎ชุมชนและทุกภาคสํวนเห็นถึงการประยุกต์ใช๎น้ ามันพืชที่ เหลือจากการประกอบอาหารให๎มีมูลคําเพิ่ม สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎สามารถใช๎น้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ประโยชน์และลดปริมาณการ ใช๎แก๏สหุงต๎มได๎ ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า ศึกษาเกี่ยวกับการสร๎างและหาประสิทธิภาพของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ เครื่องมือที่ใช๎ ในการท าโครงงาน ได๎แกํ เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ที่ผู๎ศึกษาสร๎างขึ้น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.สามารถน าน้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ประโยชน์ได๎ 2.สามารถออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎เพื่อลดปริมาณ การใช๎แก๏สหุงต๎มได๎ 3.สามารถเผยแพรํและถํายทอดเทคโนโลยีให๎ชุมชนและทุกภาคสํวนเห็นถึงการประยุกต์ใช๎น้ ามัน พืชที่เหลือจากการประกอบอาหารให๎มีมูลคําเพิ่มได๎
2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาโครงงานเรื่อง เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎จะต๎องมีความเข๎าใจเกี่ยวกับเนื้อหา และทฤษฏีตํางๆ ทั้งที่ได๎เลําเรียนมาและค๎นคว๎าเพิ่มเติมจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต และองค์ประกอบที่ เกี่ยวข๎อง 1.น้ ามันพืช หรือ ไขมันพืช เป็นไขมันที่สกัดจากเมล็ดหรือจากสํวนอื่น ๆ (แม๎จะน๎อยกวํา) ของพืช เหมือนกับไขมันสัตว์ ไขมันพืชเป็นไตรกลีเซอไรด์แบบตําง ๆ ที่ผสมกัน น้ ามันถั่วเหลือง น้ ามันผักกาดก๎าน ขาว และน้ ามันโกโก๎เป็นตัวอยํางไขมันจากเมล็ด น้ ามันมะกอก น้ ามันปาล์ม และน้ ามันร าข๎าวเป็นตัวอยําง ไขมันจากสํวนอื่น ๆ ของผลไม๎ ในค าพูดทั่วไป ค าวํา น้ ามันพืช อาจหมายถึงน้ ามันที่อยูํในสถานะของเหลวที่ อุณหภูมิห๎องเทํานั้น แตํก็นิยามกว๎าง ๆ ด๎วยวํา เป็นไขมันพืชทั้งหมดโดยไมํค านึงถึงสถานะ ด๎วยเหตุนี้ น้ ามันพืชที่เป็นของแข็งที่อุณหภูมิห๎อง บางครั้งจึงเรียกวํา "ไขมันพืช" น้ ามันพืชประกอบด๎วยไตรกลีเซอไรด์ ตรงข๎ามกับไขมันที่โครงสร๎างไมํมีกลีเซอรอล แม๎พืชจะมีน้ ามันในสํวนตําง ๆ แตํในเชิงพาณิชย์ จะสกัดน้ ามัน จากเมล็ดเป็นหลัก บนบรรจุภัณฑ์ของอาหาร ค าวํา "น้ ามันพืช" มักใช๎ในรายการสํวนประกอบของอาหาร แทนการระบุชนิดของพืชที่ใช๎ท า รูปที่ 2.1 น้ ามันพืชตํางๆ น้ ามันพืชเป็นสํวนของวัฒนธรรมมนุษย์เป็นพัน ๆ ปีแล๎ว เมล็ดต๎นฝิ่น เมล็ดผักกาดก๎านขาว เมล็ด แฟลกซ์ถั่วอัลมอนด์ งา ค าฝอย และเมล็ดฝ้ายได๎ใช๎อยํางช๎าก็ตั้งแตํยุคสัมฤทธิ์ในตะวันออกกลางและเอเชีย กลาง ในปี 1780 นักเคมีชาวเยอรมันคาร์ล วิลเฮ็ล์ม เชเลอได๎แสดงวํา ไขมันท ามาจากกลีเซอรอล (glycerol) ตํอมาอีก 30 ปี นักเคมีชาวฝรั่งเศส Michel Eugène Chevreul จึงได๎อนุมานวํา ไขมันเชํนนี้ เป็นเอสเทอร์ของกรดไขมันและกลีเซอรอล ในยุคปัจจุบัน บริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิลได๎วางขายไขมันพืชเพื่อท าให๎แป้งกรอบรํวน (shortening) ในปี 1911 โรงปั่นฝ้ายในสมัยนั้นยินดีให๎คนอื่นลากเอาเมล็ดฝ้ายไป ไขมันที่สกัดจะกลั่นแล๎ว เติมไฮโดรเจนเป็นบางสํวนเพื่อให๎มีสภาพแข็งที่อุณหภูมิห๎อง และดังนั้น เลียนสภาพของมันหมูตาม ธรรมชาติ แล๎วบรรจุกระป๋องในแก๏ซไนโตรเจน เมื่อเทียบกับมันหมูที่วางขาย ไขมันที่มีชื่อการค๎า Crisco นี้ ราคาถูกกวํา กวนใสํในอาหารได๎งํายกวํา และสามารถเก็บไว๎ที่อุณหภูมิห๎องถึงสองปีโดยไมํเหม็นหืน ถั่วเหลืองได๎กลายเป็นพืชนําสนใจซึ่งได๎ใหมํจากประเทศจีนในคริสต์ทศวรรษ 1930 เป็นถั่วที่มี โปรตีนสูง และน้ ามันหนืดกลาง ๆ ที่ได๎ก็มีไขมันไมํอิ่มตัวสูง แม๎เฮนรี ฟอร์ดเองก็ยังได๎ตั้งศูนย์วิจัยถั่วเหลือง ได๎พัฒนาพลาสติกและผ๎าขนสังเคราะห์จากถั่วเหลือง และได๎สร๎างรถยนต์คันหนึ่งที่ "เกือบทั้งหมด" ท าจาก
3 ถั่วเหลือง ไมํเกินกวําคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 น้ ามันถั่วเหลืองก็ได๎กลายเป็นน้ ามันพืชที่นิยมที่สุดใน สหรัฐ ในกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจัยชาวแคนาดาได๎พัฒนาผักกาดก๎านข๎าวสายพันธุ์หนึ่งที่มีกรด erucic acid ต่ า แตํเพราะสํวนในชื่อในภาษาอังกฤษคือ "rape" (ขํมขืน) ถือวําไมํดีเพื่อใช๎วางตลาด จึงได๎ตั้ง ชื่อใหมํเป็น "แคโนลา" (canola) ซึ่งยํอมาจาก "Canada Oil low acid" (น้ ามันแคนาดามีกรดน๎อย) โดย องค์กรอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได๎อนุมัติให๎ใช๎ชื่อใหมํนี้ในปี 1985 และเกษตรกรสหรัฐก็เริ่มปลูกพืชเป็น จ านวนมากในปีเดียวกัน น้ ามันแคโนลามีไขมันอิ่มตัวน๎อยกวํา มีไขมันไมํอิ่มตัวมีพันธะคูํเดี่ยวสูงกวํา และเป็นแหลํงกรด ไขมันโอเมกา-3 ดีกวําน้ ามันที่นิยมอื่น ๆ น้ ามันแคโนลาหนืดน๎อย (ไมํเหมือนน้ ามันข๎าวโพด) และไมํมี รสชาติ (ไมํเหมือนน้ ามันมะกอก) มันจึงสามารถทดแทนน้ ามันถั่วเหลืองได๎ เหมือนกับที่น้ ามันถั่วเหลืองได๎ ทดแทนน้ ามันเมล็ดฝ้ายได๎ น้ ามันพืชที่ใช๎แล๎ว มีน้ ามันพืชเป็นจ านวนมากที่ใช๎แล๎วน ากลับไปใช๎ใหมํ โดยมากจากเครื่องทอดใน อุตสาหกรรมผลิตมันฝรั่ง ผลิตอาหารวําง และร๎านอาหารจานดํวน น้ ามันสามารถน ากลับไปใช๎ใหมํได๎หลาย อยํางรวมทั้งเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ในการผลิตไบโอดีเซล ท าสบูํ อาหารสัตว์ ผงซักฟอก และเครื่องส าอาง ตั้งแตํปี 2002 ประเทศในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได๎ห๎ามใช๎น้ ามันพืชที่น ากลับมาใช๎ใหมํเพื่อใสํอาหาร สัตว์ แตํน้ ามันจากอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และน้ ามันใหมํ ก็ยังคงใช๎ผลิตอาหารสัตว์ได๎ ในปัจจุบัน น้ ามันพืชมีอยูํมากมายหลากหลายประเภท ไมํวําจะเป็นน้ ามันปาล์ม น้ ามันถั่วเหลือง หรือน้ ามันพืชทางเลือกส าหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งสามารถแบํงแยกตามประเภทการใช๎งานได๎ทั้ง หมด 9 ประเภท ได๎แกํ น้ ามันปาล์ม, น้ ามันถั่วเหลือง, น้ ามันงา, น้ ามันดอกทานตะวัน, น้ ามันคาโนลา, น้ ามัน มะพร๎าว, น้ ามันอะโวคาโด, น้ ามันร าข๎าว และน้ ามันมะกอก ซึ่งน้ ามันแตํละประเภทเหมาะกับการน าไปใช๎ กับเมนูอาหาร หรือเป็นสํวนผสมในสูตรอาหารแตกตํางกันไป เชํนน้ ามันปาล์มเหมาะกับการน าไปประกอบ เมนูอาหารประเภททอด น้ ามันคาโนลาเหมาะกับการน าไปใช๎ท าขนม และน้ ามันมะกอก เหมาะกับการ น าไปใช๎ในการหมักอาหาร หรือเหมาะกับการน าไปใช๎ในการท าสลัด เป็นต๎น 2. ซีเมนต์หรือ ปูนซีเมนต์(cement) เป็นวัสดุผสานส าหรับผลิตคอนกรีต มีสํวนผสมหลัก คือ หินปูนและดินเหนียว และมีผสมอื่น เชํน ซิลิก๎า อลูมินํา สินแรํเหล็ก ยิปซั่ม และสารเพิ่มพิเศษอื่น ๆ ปูนซีเมนต์ มีการค๎นพบวํามีการใช๎งานในสมัยมาซิโดเนียและโรมัน และได๎หายไปจนกระทั่งในยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรมได๎มีการคิดค๎นขึ้นมาจากหลายคน จนกระทั่งผลงานของแอสป์ดินได๎มีการจดสิทธิบัตรของ ซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เกิดจากการค๎นคว๎า ของ โยเซฟ แอสป์ดิน ชาวอังกฤษ ชํวงเวลากวํา 13 ปีพ.ศ. 2354 ถึง พ.ศ. 2367 โดยทดลองเอาหินปูนผสมกับดินเหนียวแล๎วไปเผากํอนน ามาบด เมื่อจะใช๎งานก็น ามา ผสมทราย กรวดและน้ า โดยเขาตั้งชื่อวํา ปอตแลนด์ซีเมนต์ เพราะวําสีเหมือนกับหินที่เกาะปอร์ต แลนด์ประเทศอังกฤษ รูปที่ 2.2 ปูนซีเมนต์
4 ประเภทของซีเมนต์ตามมาตรฐาน ASTM ของอเมริกัน ซึ่งการแบํงประเภทนี้ถูกจัดน ามาใช๎ในเมืองไทยตามมาตรฐาน มอก. เชํนกัน 1.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดา (Ordinary Portland ) ASTM C150 2.ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement ) ASTM C1157 3.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลง (Modified Portland Cement ) 4.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แข็งตัวเร็ว ( High - Early Portland Cement ) 5.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์เกิดความร๎อนต่ า (Low - Heat Portland Cement ) 6.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ทนเกลือซัลเฟตได๎สูง (Sulfate – Resistant Portland Cement ) ประเภทของซีเมนต์ตามมาตรฐาน European EN-197 I Portland cement II Portland-composite cement III Blastfurnace cement IV Pozzolanic cement V Composite cement ประเภทอื่น นอกจากนี้ยังมีซีเมนต์พิเศษ อื่น ๆ เชํน ซีเมนต์ผสม ส าหรับใช๎งานกํอ และฉาบ ซีเมนต์ขาว ส าหรับงานตกแตํง ปูกระเบื้อง ซีเมนต์พิเศษอื่น ๆ ส าหรับงานบํอขุดเจาะน้ ามัน ฯลฯ 3.เตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎วเป็นเชื้อเพลิงทดแทนการใช๎แก๏สหุงต๎ม (LPG) มีลักษณะส าคัญของการ ประดิษฐ์คือการสร๎างเตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎วเป็นเชื้อเพลิง ที่มีประสิทธิภาพสูงใกล๎เคียงกับเตาแก๏สหุงต๎ม ทั่วไป มีอัตราการปลดปลํอยพลังงานสูง มีอัตราการกํอเกิดมลพิษต่ า ใช๎งานงํายมีความปลอดภัย สามารถ ถอด ประกอบและซํอมบ ารุงได๎งําย โดยน าเทคนิคการสร๎างละอองน้ ามันด๎วยการใช๎ไอน้ าพํนผํานหัวฉีดสอง ชั้นแบบ รํวมศูนย์กลาง ไอน้ ายังชํวยในการเหนี่ยวน าอากาศที่ใช๎ในการเผาไหม๎เพื่อป้อนเข๎าสูํเตา อีกทั้งไอ น้ ายังมีสํวน ชํวยท าความสะอาดหัวฉีดในขณะที่องค์ประกอบไฮโดรเจนในโมกุลของน้ าจะเข๎าไปแยํงอะตอม ของคาร์บอนใน โมเลกุลของเชื้อเพลิง ในปฏิกิริยาที่เรียกวํา Water Gas Shift Reaction ซึ่งชํวยบรรเทา ปัญหาของการเกิด คราบเขมําที่เกิดจากการเผาไหม๎น้ ามันพืชใช๎แล๎วลงได๎ ในด๎านเทคนิคการเผาไหม๎ เตานี้ ได๎ประยุกต์ใช๎วัสดุพรุน มาชํวยสร๎างเสถียรภาพในการเผาไหม๎น้ ามันพืชใช๎แล๎ว และใช๎ความร๎อนที่เกิดขึ้น ภายในวัสดุพรุนสร๎างไอน้ า ให๎แกํเตา การเผาไหม๎จะเกิดขึ้นภายในห๎องเผาไหม๎สองชั้น โดยชั้นในจะเกิดการ ระเหยละอองน้ ามันและเกิดการ เผาไหม๎จนเกิดก๏าซไอเสียที่ยังเผาไหม๎ไมํสมบูรณ์ สํวนห๎องเผาไหม๎ชั้นนอก ภายในบรรจุวัสดุพรุน การเผาไหม๎ เกิดขึ้นภายในชํองวํางของวัสดุพรุนเกิดเป็นก๏าซไอเสียและเปลวไฟพุํงขึ้น ด๎านบน ซึ่งเป็นบริเวณที่ใช๎วางภาชนะ หุงต๎ม ความร๎อนบางสํวนจะถูกป้อนกลับผํานแผงวัสดุพรุนไปยังห๎อง เผาไหม๎ชั้นในท าให๎มีความาร๎อนสะสมอยูํ ตลอดเวลา ด๎วยหลักการที่กลําวมาข๎างต๎นจึงน ามาสูํงานประดิษฐ์ นี้ซึ่งได๎น าองค์ความรู๎ที่มีอยูํผสมผสานกับ ปัญหา ข๎อบกพรํองตํางๆ ที่เกิดขึ้นกับหัวเผารูปแบบตํางๆ ในอดีต แล๎วพัฒนามาเป็นเตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎ว เป็นเชื้อเพลิง เตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎วเป็นเชื้อเพลิงทดแทนการ ใช๎แก๏สหุงต๎ม(LPG)มีลักษณะส าคัญของการ ประดิษฐ์คือการสร๎างเตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎วเป็นเชื้อเพลิง ที่มี
5 ประสิทธิภาพสูงใกล๎เคียงกับเตาแก๏สหุงต๎มทั่วไป มีอัตราการปลดปลํอยพลังงานาสูง มีอัตราการกํอเกิด มลพิษต่ า ใช๎งานงํายมีความปลอดภัย สามารถถอด ประกอบและซํอมบ ารุงได๎งําย โดยน าเทคนิคการสร๎าง ละอองน้ ามันด๎วยการใช๎ไอน้ าพํนผํานหัวฉีดสองชั้นแบบ รํวมศูนย์กลาง ไอน้ ายังชํวยในการเหนี่ยวน าอากาศ ที่ใช๎ในการเผาไหม๎เพื่อป้อนเข๎าสูํเตา อีกทั้งไอน้ ายังมีสํวน ชํวยท าความสะอาดหัวฉีดในขณะที่องค์ประกอบ ไฮโดรเจนในโมเลกุลของน้ าจะเข๎าไปแยํงอะตอมของคาร์บอนใน โมเลกุลของเชื้อเพลิง ในปฏิกิริยาที่เรียกวํา Water Gas Shift Reaction ซึ่งชํวยบรรเทาปัญหาของการเกิด คราบเขมําที่เกิดจากการเผําไหม๎น้ ามันพืช ใช๎แล๎วลงได๎ ในด๎านเทคนิคการเผาไหม๎ เตานี้ได๎ประยุกต์ใช๎วัสดุพรุน มาชํวยสร๎างเสถียรภาพในการเผาไหม๎ น้ ามันพืชใช๎แล๎ว และใช๎ความร๎อนที่เกิดขึ้นภายในวัสดุพรุนสร๎างไอน้ า ให๎แกํเตา การเผาไหม๎จะเกิดขึ้น ภายในห๎องเปาไหม๎สองชั้น โยชั้นในจะเกิดการระเหยละอองน้ ามันและเกิดการ เผาไหม๎จนเกิดก๏าซไอเสียที่ ยังเผาไหม๎ไมํสมบูรณ์ สํวนห๎องเผาไหม๎ชั้นนอกภายในบรรจุวัสดุพรุน การเผาไหม๎ เกิดขึ้นภายในชํองวํางของ วัสดุพรุนเกิดเป็นก๏าซไอเสียและเปลวไฟพุํงขึ้นด๎านบน ซึ่งเป็นบริเวณที่ใช๎วางภาชนะ หุงต๎ม ความร๎อน บางสํวนจะถูกป้องกลับผํานแผงวัสดุพรุนไปยังห๎องเผาไหม๎ชั้นในท าให๎มีความร๎อนสะสมอยูํ ตลอดเวลา ด๎วย หลักการที่กลําวมาข๎างต๎นจึงน ามาสูํงานประดิษฐ์นี้ซึ่งได๎น าองค์ความรู๎ที่มีอยูํผสมผสานกับ ปัญหา ข๎อบกพรํองตําง ที่เกิดขึ้นกับหัวเผารูปแบบตํางๆ ในอดีต แล๎วพัฒนามาเป็นเตาที่ใช๎น้ ามันพืชใช๎แล๎ว เป็น เชื้อเพลิง 4.พัดลมโบลเวอร์ (พัดลมหอยโขํง) คือ พัดลมโบลเวอร์เป็นพัดลมแรงดันสูง หรือเรียกงํายๆวําเป็น พัดลมที่ใช๎ไดนาโมที่มีความเร็วรอบสูงกวําพัดลมธรรมดามาก ใบพัดมีหลายขนาดให๎เลือกจากขนาดเล็กสุด ถึงใหญํสุด พัดลมโบลเวอร์เป็นพัดลมแรงดันสูงมีใบพัดหมุนเร็วจนสามารถดูดเอาอากาศภายเสียภายในออก คารออกไปภายนอกได๎หมด ท าให๎อากาศถํายเทได๎ภายในเวลาไมํกี่นาที หรือแม๎กระทั่งมีแรง ดูด-เป่า เอา เศษไม๎เล็กๆ ฝุ่นละออง กลิ่น ควัน ออกไปในที่ที่ก าหนด หรือจะเป็นการเป่าแกลบ เมล็ดพืช ในกระบวนการ คัดแยกก็สามารถท าได๎เชํนกัน เนื่องจากประเภทการใช๎งานที่แตกตํางกันออกไป ราคาพัดลมโบลเวอร์จึงมีความแตกตํางกัน ออกไปด๎วย แตํวําไมํต๎องสงสัยเลยวําท าไมพัดลมชนิดนี้ถึงได๎มีราคาสูงกวําพัดลมทั่วไป เพราะวําด๎วย ความสามารถของมันซึ่งได๎แกํ ความเร็ว แรงดันสูง มอเตอร์ขนาดใหญํ ใบพัดที่แข็งแรง เหลํานี้เป็นสิ่งที่ท า ให๎ต๎นทุนการผลิตพัดลมโบลเวอร์สูงขึ้น จึงเป็นเหตุให๎ราคาสูงของพัดลมสูงขึ้นตามไปด๎วยนั่นเอง ขนาดของ ใบพัดโบลเวอร์ที่มีให๎เลือกตั้งแตํขนาดเล็กๆ เริ่มที่ประมาณ 4 นิ้ว ไปจนถึงรุํนที่มีใบพัดขนาดใหญํ ประมาณ 30 นิ้ว ซึ่งยิ่งขนาดของใบพัดมีขนาดใหญํเทําไหรํ ก าลังขับเคลื่อนของมอเตอร์ก็ยิ่งต๎องใช๎ขนาดที่เยอะขึ้น ตามไปด๎วย, อายุการใช๎งาน และวัสดุที่น ามาประกอบวํามีความทนทานมากแคํไหน เชํน ใช๎วัสดุที่สามารถ ป้องกันการกัดกรํอนของสนิมที่เกิดจากละอองน้ า, สารเคมี ได๎หรือไมํ ยิ่งเป็นโรงงานที่เกี่ยวข๎องกับสาร ประเภทกรดด๎วยแล๎วยิ่งต๎องเลือกใช๎พัดลมโบลเวอร์ที่มีการป้องกันสิ่งเหลํานี้ได๎ดีมากขึ้นเป็นเทําตัวเพื่อ ป้องกันปัญหาที่จะตามมาทีหลัง รูปที่ 2.3 พัดลมโบลเวอร์ (พัดลมหอยโขํง)
6 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการ การประดิษฐ์เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ ทางคณะผู๎จัดท าได๎แบํงขั้นตอนในการท าชิ้นงาน ออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้ 1.เขียนแบบ ออกแบบ โครงสร๎างของโครงงาน 2.วัสดุ/อุปกรณ์ 3.วิธีการด าเนินงาน 4.วิธีการทดลอง 1.เขียนแบบ ออกแบบ โครงสร้างของโครงงาน โครงงานชิ้นนี้ได๎ออกแบบ เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎โดยค านึงถึงบริบทของพื้นที่และความ สะดวกในการน าไปใช๎ อีกทั้งยังสามารถน าไปใช๎ได๎จริง ซึ่งสามารถแสดงได๎ดังภาพที่ 3.1 โดยมีรายละเอียด ดังตํอไปนี้ รูปที่ 3.1 เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ 2.วัสดุ/อุปกรณ์ 2.1 ถังเหล็ก และ กระป๋องนม 2.2 ทํอเล็ก ขนาด 1 นิ้ว 2.3 ทํอเหล็ก ขนาด 1 ซ.ม. 2.4 ข๎อตํอเหล็ก 3 ทาง 2.5 ปูนซีเมนต์ และอุปกรณ์กวนปูน 2.6 ขวดพลาสติก 2.7 สายยาง 2.8 น้ ามันพืชเหลือใช๎ 2.9 พัดลมโบลเวอร์(พัดลมหอยโขง) 2.10 แบตเตอรี่
7 3.วิธีการด าเนินงาน 3.1 จัดเตรียมอุปกรณ์ดังภาพที่ 3.2 ภาพที่ 3.2 การจัดเตรียมอุปกรณ์ 3.2 เจาะถังเหล็ก กระป๋อง ให๎พอดีกับทํอทั้ง 2 ดังภาพที่ 3.3 ภาพที่ 3.3 การเจาะถังเหล็ก กระป๋อง และข๎อตํอทํอ 3.3 เตรียมปูนซีเมนต์ดังภาพที่ 3.4 ภาที่ 3.4 การเตรียมปูนซีเมนต์ 3.4 ประกอบชิ้นสํวนเตาและเทปูน ดังภาพที่ 3.5 ภาพที่ 3.5 ประกอบชิ้นสํวนเตาและเทป 3.5 เทปูนลงเตาที่ประกอบเสร็จแล๎วดังภาพที่ 3.6 ภาพที่ 3.6 การเทปูนลงเตา
8 3.6 ติดตั้งขวดพลาสติกส าหรับใสํน้ ามัน ภาพที่ 3.7 ภาพที่ 3.7 การติดตั้งขวดพลาสติกส าหรับใสํน้ ามัน 3.6 ติดตั้งพัดลมโบลเวอร์ดังภาพที่ 3.8 ภาพที่ 3.7 การติดตั้งพัดลมโบลเวอร์ 3.7 น าไปทดสอบการท างานของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ดังภาพที่ 3.8 ภาพที่ 3.8 การทดสอบการท างานของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ 4.วิธีการทดลอง เมื่อประกอบโครงสร๎างของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ ตามที่ได๎ออกแบบไว๎เรียบร๎อยแล๎ว หลังจากนั้นน าเตาดังกลําวไปทดลองการใช๎งาน ซึ่งในการทดลองเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ในครั้งนี้ ผลปรากฏวํา เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ สามารถใช๎ได๎จริง ดังภาพที่ 3.9 ภาพที่ 3.9 การทดลองเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎
9 บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน ในการประดิษฐ์เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ ซึ่งเริ่มจากการท าชิ้นสํวนตํางๆ ดังภาพในบทที่ 3 แล๎วน ามาประกอบเข๎าด๎วยกัน จากนั้นน าไปทดลอง ซึ่งพอสรุปได๎วํา ศึกษาการสร๎างเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎พบวํา เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎สามารถ ใช๎น้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ประโยชน์ได๎ ท าให๎ประหยัดสามารถลดคําใช๎จํายจากการใช๎แก๏สหุงต๎ม และ สามารถเพิ่มมูลคําของน้ ามันพืชเหลือใช๎ได๎ ภาพที่ 4.1 โครงงานที่ผํานการทดสอบ ผลการทดสอบเตาพลังงานจากน ามันเหลือใช้ ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงผลการประเมินความพึงพอใจของผู๎ที่ได๎ทดลองใช๎เตาพลังงานจากน้ ามัน พืชเหลือใช๎จากกลุํมตัวอยํางจ านวน 5คน ดังนี้ ประเด็น ระดับความพึงพอใจ มาก ที่สุด (5) มาก (4) ปาน กลาง (3) น๎อย (2) น๎อย ที่สุด (1) 1.ประสิทธิภาพของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ 4 1 0 0 0 2.ความประหยัดของเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ 5 0 0 0 0 3.ความพึงพอใจโดยรวม 5 0 0 0 0 ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงผลการประเมินความพึงพอใจของผู๎ใช๎เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎
10 บทที่ 5 สรุปผลการด าเนินงาน ศึกษาการสร้างเตาพลังงานจากน ามันพืชเหลือใช้ ได๎เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช๎น้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ ประโยชน์ได๎ ท าให๎ประหยัดสามารถลดคําใช๎จํายจากการใช๎แก๏สหุงต๎ม และยังสามารถเพิ่มมูลคําของน้ ามัน พืชเหลือใช๎ได๎ ผลการทดสอบเตาพลังงานจากน ามันพืชเหลือใช้ จากการทดสอบเตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎พบวําสามารถให๎พลังงาน ลดการใช๎แก๏สหุงต๎ม ได๎ ศึกษาประสิทธิภาพเตาพลังงานจากน ามันพืชเหลือใช้ ในการทดลองเตาจากพลังงานน้ ามันพืชเหลือใช๎ ในครั้งนี้ ทางคณะผู๎จัดท าโครงงานได๎ให๎กลุํม ตัวอยําง จ านวน 5 คน ทดลองใช๎เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎ พบวํา เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือ ใช๎สามารถใช๎น้ ามันพืชที่เหลือใช๎มาใช๎ประโยชน์ได๎ กลุํมตัวอยํางมีความพึงพอใจประสิทธิภาพของเตา พลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎อยูํในระดับมากที่สุด คิดเป็นร๎อยละ 80ความประหยัดของเตาพลังงานจาก น้ ามันพืชเหลือใช๎อยูํในระดับมากที่สุด คิดเป็นร๎อยละ 100 และความพึงพอใจโดยรวม อยูํในระดับมาก ที่สุด คิดเป็นร๎อยละ 100 อภิปรายผล จากการท าโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องนี้เป็นการประดิษฐ์อุปกรณ์ เพื่อน าน้ ามันเหลือใช๎จากการ ทอด ที่ไมํสามารถน ามาใช๎ได๎อีกกลับมาใช๎ประโยชน์การประดิษฐ์“เตาพลังงานจากน้ ามันพืชเหลือใช๎” จึง เป็นเครื่องมือในการน าน้ ามันพืชเหลือใช๎จากการทอดมาใช๎ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงแทนแก๏สหุงต๎ม สามารถ ลดคําใช๎จํายจากการใช๎แก๏สหุงต๎ม และสามารถเพิ่มมูลคําของน้ ามันพืชที่เหลือใช๎ได๎อีกทั้งยังเป็นแนวทางใน การด าเนินชีวิต เพื่อมุํงให๎เกิดการพัฒนาความคิด สติปัญญา ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎แบบยั่งยืน ด าเนินชีวิต แบบพอเพียง และสามารถน าความรู๎ไปใช๎ให๎เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได๎ ปัญหา/อุปสรรค - การเจาะรูลม ยังไมํตรงต าแหนํง - พัดลมโบลเวอร์ ไมํสามารถปรับความแรง ข้อเสนอแนะ - ควรจะเจาะรูลมหลายๆต าแหนํง เพื่อหาต าแหนํงที่ลมกระจายพอดี - ควรใช๎พัดลมโบลเวอร์ ที่สามารถปรับความแรง
11 บรรณานุกรม น ้ำมันพืช.สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภำคม 2566.จากเว็ปไซต์https://www.unileverfoodsolutions. co.th/th/chef-inspiration/best-foods-bakers-partner/how-to-reuse-leftover-cooking-oil.html น ้ำมันพืช.สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภำคม 2566.จากเว็ปไซต์ https://www.thaihometown.com น ้ำมันพืช.สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภำคม 2566.จากเว็ปไซต์https://th.wikipedia.org/wiki ปูนซีเมนต์.สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภำคม 2566.จากเว็ปไซต์https://th.wikipedia.org/wiki เตำที่ใช้น ้ำมันพืชใช้แล้วเป็นเชื อเพลิง.สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนำยน 2566 .จากเว็ปไซต์ https://patents. google.com/patent/TH138156A/th พัดลมโบลเวอร์.สืบค้นวันที่ 1 มิถุนำยน 2566.จากเว็บไซต์.http://www.ventilation-fan-center.com /blower-th.html พัดลมโบลเวอร์.สืบค้นวันที่ 1 มิถุนำยน 2566.จากเว็บไซต์.https://ingreen.co.th/