พิมลรัตน์ ละม่อม เรื่อง การขยายพันธ์ุพืช ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เอกสารประกอบการเรียน โรงเรียนจ่า จ่ นกร้อง อำ เภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น ขั้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ก คำนำ เอกสารประกอบการเรียนเลมนี้จัดทำขึ้นเพื่อใชประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรูรายวิชาการงานอาชีพ พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ผูจัดทำไดศึกษา คนควา และรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการขยายพันธุพืชทั้ง แบบอาศัยเพศ ไดแก การเพาะเมล็ด และแบบไมอาศัยเพศ ไดแกการปกชำ การตอนกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง และการตอกิ่ง นำมาจัดทำเปนใบความรูจัดทำแบบทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนรูกอนเรียน ระหวางเรียนและ หลังเรียน เพื่อใหผูเรียนประเมินผลการเรียนรูดวยตนเอง ผูจัดทำหวังเปนอยางยิ่งวาเอกสารประกอบการเรียนเลมนี้จะเปนประโยชนตอผูเรียน ทำใหผูเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นตามเปาหมายที่ตั้งไว ขอขอบพระคุณผูมีสวนเกี่ยวของทุกทานที่ทำใหเอกสาร ประกอบการเรียนเลมนี้สำเร็จลุลวงไปดวยดี พิมลรัตน ละมอม
ข คำชี้แจงและขั้นตอนการใช้เอกสารประกอบการเรียน เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การขยายพันธุ์พืช ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นักเรียนควรปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้ 1. อ่านคำชี้แจงให้เข้าใจทุกครั้ง 2. ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาตามลำดับขั้นตอนให้เข้าใจ 3. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ ลงในกระดาษคำตอบเพื่อวัดความรู้พื้นฐาน 4. ศึกษาใบความรู้ในเอกสารประกอบการเรียนแต่ละเรื่อง จากนั้นทำแบบทดสอบที่กำหนดให้ หากมี ข้อสงสัยหรือพบปัญหาให้ขอคำแนะนำหรือสอบถามจากครูผู้สอน 5. เมื่อศึกษาเนื้อหาทุกใบความรู้และทำแบบทดสอบครบถ้วนแล้วให้ทำแบบทดสอบหลังเรียนจำนวน 10 ข้อ ลงในกระดาษคำตอบ 6. ตรวจคำตอบจากเฉลย บันทึกผลคะแนนที่ได้ของตนเอง เพื่อทราบผลการเรียนและการพัฒนา หากตอบผิดควรปรับปรุงตนเองด้วยการกลับไปทบทวนเนื้อหาความรู้เดิมให้เข้าใจ 7. นักเรียนต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่ดูแนวเฉลยคำตอบก่อนตอบคำถาม
ค สาระ มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด สาระที่ 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน ง1.1 เขาใจการทำงาน มีความคิดสรางสรรค มีทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะการจัดการ ทักษะ กระบวนการแกปญหา ทักษะการทำงานรวมกัน และทักษะแสวงหาความรู มีคุณธรรม และนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใชพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอมเพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว ตัวชี้วัด ง1.1 ม3/1 อภิปรายขั้นตอนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ง1.1 ม3/2 ใชทักษะการทำงานรวมกันอยางมีคุณธรรม ง1.3 ม3/3 อภิปรายการทำงานโดยใชทักษะ การจัดการเพื่อการประหยัดพลังงาน ทรัพยากร และ สิ่งแวดลอม
ง สาระสำคัญและจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ การขยายพันธุ์พืชมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตทั้งต่อคน ต่อพืช ต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เพราะพืชเป็นแหล่งปัจจัย 4 ที่สำคัญ เมื่อมีการนำต้นพืชชนิดต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในการ ดำเนินชีวิตและพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทำให้จำนวนต้นพืชลดน้อยลง จึงต้องมีการขยายพันธุ์พืชเพื่อเพิ่มจำนวน ต้นพืชให้มากขึ้นให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในการขยายพันธุ์พืช เช่น วัสดุเพาะชำ มีดตอนกิ่ง เลื่อยตัดกิ่ง กรรไกร ตัดกิ่ง ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการทำงาน การขยายพันธุ์พืชเพื่อให้คงไว้ซึ่งคุณสมบัติและคุณภาพของการผลิตเท่าเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิมผู้ทำการ ขยายพันธุ์พืชต้องมีทักษะในการทำงาน รู้จักโครงสร้าง ลักษณะ และวิธีการขยายพันธุ์พืชแต่ละชนิด จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายและสำคัญของการขยายพันธุ์พืชได้ 2. บอกประเภทของการขยายพันธุ์พืชแบบใช้เพศและไม่ใช้เพศได้ 3. บอกวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการขยายพันธุ์พืชได้ 4. อธิบายวิธีการขยายพันธุ์พืชแบบต่างๆได้
จ สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก คำชี้แจงและขั้นตอนการใช้เอกสารประกอบการเรียน ข สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ค สาระสำคัญและจุดประสงค์การเรียนรู้ ง สารบัญ จ แบบประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน 1 ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช 3 แบบทดสอบที่ 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช 10 ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การเพาะเมล็ด 11 แบบทดสอบที่ 2 เรื่อง การเพาะเมล็ด 13 ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง การปักชำ การตอนกิ่ง 14 แบบทดสอบลที่ 3 เรื่อง การปักชำ การตอนกิ่ง 20 ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง การทาบกิ่ง 21 แบบทดสอบที่ 4 เรื่อง การทาบกิ่ง 25 ใบความรู้ที่ 5 เรื่อง การติดตา 26 แบบทดสอบที่ 5 เรื่อง การติดตา 34 ใบความรู้ที่ 6 เรื่อง การต่อกิ่ง 35 แบบทดสอบที่ 6 เรื่อง การต่อกิ่ง 44 แบบประเมินผลการเรียนรู้หลังเรียน 45 บรรณานุกรม 47 ภาคผนวก 48
1 แบบประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน คำชี้แจง 1. ข้อสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 2. ให้ทำเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่องว่างให้ตรงข้อ ก ข ค หรือ ง ที่เห็นว่า ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ........................................................................................... 1. ข้อใดคือความสำคัญของการขยายพันธุ์พืช ก. ความสำคัญต่อการเพิ่มจำนวนของต้นพืชและรักษาสายพันธุ์พืช ข. ความสำคัญต่อมนุษย์ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ค. ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ง. ถูกทุกข้อ 2. ข้อใดคือการขยายพันธุ์พืชโดยการอาศัยรากของต้นอื่นทั้งหมด ก. การติดตา การต่อกิ่ง และการตอนกิ่ง ข. การต่อกิ่ง การปักชำ และการติดตา ค. การติดตา การต่อกิ่ง และการทาบกิ่ง ง. การตอนกิ่ง การต่อกิ่ง และการทาบกิ่ง 3. ข้อใดคือการขยายพันธุ์พืชโดยอาศัยรากของตัวเองทั้งหมด ก. การขยายพันธุ์โดยการติดตา และการตอนกิ่ง ข. การขยายพันธุ์โดยการต่อกิ่ง และการปักชำ ค. การขยายพันธุ์โดยการปักชำ และการตอนกิ่ง ง. การขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง และการต่อกิ่ง 4. การขยายพันธุ์พืชโดยได้จากการผสมเกสรและนำไปทำให้เกิดเป็นต้นใหม่หมายถึงข้อใด ก. การเพาะเมล็ด ข. การติดตา ค. การปักชำกิ่ง ง. การตอนกิ่ง 5. ข้อดีของการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เพศคือข้อใด ก. กระทำได้ง่าย รวดเร็วต่อการปฏิบัติ และได้จำนวนต้นพืชในปริมาณมาก ข. การออกดอกและให้ผลเร็ว ค. ไม่ทนต่อสภาพแวดล้อม ง. ได้จำนวนต้นพืชในปริมาณน้อย
2 6. ข้อดีของการขยายพันธุ์พืชโดยไม่ใช้เพศคือข้อใด ก. การขนส่งง่ายและไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ในการเก็บรักษา ข. การออกดอกและให้ผลเร็ว ได้ต้นพืชใหม่ที่ตรงตามสายพันธุ์ ค. ไม่ค่อยพบการติดเชื้อจากต้นแม่ ง. กระทำได้ง่าย รวดเร็วต่อการปฏิบัติ และได้จำนวนต้นพืชในปริมาณมาก 7. ยุ้ยปลูกถั่วฝักยาวแล้วกินไม่ทัน ทำให้ฝักแห้งคาต้น ยุ้ยสามารถนำถั่วฝักยาวไปขยายพันธุ์โดยวิธีใด ก. การติดตา ข. การเพาะเมล็ด ค. การปักชำ ง. การตอนกิ่ง 8. ป้อนมีต้นลิ้นมังกรอยู่ แล้วต้องการที่จะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น ป้อนสามารถนำต้นลิ้นมังกรไปขยายพันธุ์ได้ โดยวิธีใด ก. การปักชำกิ่ง ข. การปักชำราก ค. การปักชำใบ ง. การติดตา 9. ที่บ้านพลอยมีต้นลำไยหนึ่งต้นให้ผลดีมาก พลอยอยากได้ต้นลำไยเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อต้นลำไยมา ปลูกใหม่ พลอยสามารถขยายพันธุ์ลำไยที่บ้านได้โดยวิธีใด ก. การติดตา ข. การต่อกิ่ง ค. การทาบกิ่ง ง. การตอนกิ่ง 10. ถ้าต้องการให้มีดอกกุหลาบ 5 สี ใน 1 ต้น ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีใด ก. การติดตา ข. การต่อกิ่ง ค. การปักชำ ง. การตอนกิ่ง
3 ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช การขยายพันธุ์พืช เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณต้นพืชให้มากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำรง สายพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ไว้มิให้สูญพันธุ์ โดยมีคุณสมบัติและคุณภาพของผลผลิตดีเท่าเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิม ความสำคัญของการขยายพันธุ์พืช 1. ความสำคัญด้านการอนุรักษ์พันธุ์พืช ปัจจุบันสภาพแวดล้อมต่างๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศ เช่น แสงแดด อุณหภูมิ ความชื้น ลม และฝน หรืสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น พื้นดิน แหล่งน้ำ และศัตรูพืชชนิดต่างๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง จึงเป็นเหตุให้พันธุ์พืชบางชนิดกำลังจะ กลายพันธุ์หรือสูญพันธุ์ไป เช่น กล้วยไม้ป่าพันธุ์ดีสมุนไพรที่มีประโยชน์ด้านสรรพคุณทางยา พืชพันธุ์เหล่านี้บางพันธุ์ กำลังจะสูญพันธุ์ไป เนื่องจากสภาพแวดล้อมและปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชได้เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น การขยายพันธุ์พืชจึงมีความจำเป็นมาก เพื่อเป็นการสงวนไว้ซึ่งพันธุ์พืชเหล่านี้ให้ดำรงอยู่ตลอดไป เช่น การนำ กล้วยไม้ป่าพันธุ์ดีหรือการนำสมุนไพรที่ทรงคุณค่ามาขยายพันธุ์และปลูกเพิ่มให้ปริมาณมากขึ้น อันจะทำให้พืช เหล่านี้ไม่สูญพันธุ์แต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีพืชพันธุ์เหล่านี้เพิ่มมากขึ้น 2. ความสำคัญด้านปัจจัย 4 ของมนุษย์ ในภาวะที่ความต้องการด้านปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ของมวลมนุษย์เพิ่มขึ้น แต่พื้นที่ในการผลิตพืชที่มีอยู่เท่าเดิม จึงมีความจำเป็นมากที่ จะต้องขยายพันธุ์พืชเพื่อให้มีพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีและให้ผลผลิตสูงมาทดแทน อันจะทำให้มีปัจจัย 4 เพียงพอ ต่อความต้องการของพลโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต 3. ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน อาชีพการเกษตรโดยเฉพาะการผลิตพืชมี ความจำเป็นและสำคัญยิ่ง ประเทศใดที่มีสภาพแวดล้อมและปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเกษตรจะได้เปรียบเพราะ สามารถที่จะผลิตอาหารสำหรับเลี้ยงพลเมือง และส่งเป็นสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ ความสำคัญด้านเศรษฐกิจสามารถจำแนกออกได้ดังนี้ 3.1) การขยายพันธุ์พืชก่อให้เกิดรายได้ต่อเกษตรกรและครอบครัว โดยปกติการปลูกพืชทุกชนิด จำเป็นต้องมีพันธุ์พืช แต่เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถขยายพันธุ์พืชไว้ปลูกเองได้ผู้ที่ขยายพันธุ์พืชไว้ จำหน่ายจึงมีรายได้ดีมาก บางรายมีรายได้ดีกว่าผู้ปลูกพืช 3.2) การขยายพันธุ์พืชทำให้มีรายได้จากการส่งสินค้าออกมากขึ้น เนื่องจากการขยายพันธุ์พืช จะทำให้ได้พันธุ์พืชดี ให้ผลผลิตสูงและเร็ว จึงทำให้สินค้าการเกษตรมากขึ้นและเป็นเหตุให้มีรายได้จากการขาย สินค้ามากขึ้น
4 3.3) การขยายพันธุ์พืชก่อให้เกิดการสร้างงานในท้องถิ่น การขยายพันธุ์พืชเป็นอาชีพที่ทำให้ เกษตรกรในท้องถิ่นไม่ต้องอพยพเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่อาชีพอื่นในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหากับ สังคมตามมา นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นปัจจุบันจึงมีอาชีพการซื้อขายกิ่งพันธุ์เกิดขึ้นตามท้องถิ่น ต่างๆของประเทศ และอาชีพนี้ยังทำรายได้สูงให้กับผู้ดำเนินการด้วย 4. ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม การเพิ่มจำนวนของต้นพืชทำให้เกิดความร่มรื่น เพิ่มก๊าซออกซิเจนให้ อากาศ ทำให้อากาศบริสุทธิ์ ช่วยดูดควันพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ รากต้นพืชช่วยยึดเกาะดิน ไม่ให้เกิดการพังทลาย 5. ความสำคัญด้านการพักผ่อนหย่อนใจ ปัจจุบันมีเกษตรกรหลายรายที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลัก แต่มีอาชีพหลักในด้านอื่นๆ เช่น รับราชการ ค้าขาย หรืออาชีพบริการอื่นๆ แต่หันมาปลูกพืชและขยายพันธุ์เป็น งานอดิเรก การปลูกพืชก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน เนื่องจากการทำงานเกี่ยวกับการเกษตรเป็นงานที่พบแต่ ความสวยงาม ไม่เครียด เป็นงานที่มีความเจริญใจ และยังทำให้รายได้ของครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย ประเภทของการขยายพันธุ์พืช การขยายพันธุ์พืชแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การขยายพันธุ์พืชแบบใช้เพศ เป็นการขยายพันธุ์พืชโดยใช้ส่วนของเมล็ดที่เกิดจากการผสมระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้(ละอองเรณู)กับ เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย(เซลล์ไข่) ออวุลเกิดเป็นเมล็ด เมื่อนำเมล็ดไปเพาะในสภาพที่เหมาะสมสามารถงอกและ เจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ต่อไป 2. การขยายพันธุ์พืชแบบไม่ใช้เพศ เป็นการขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนต่างๆของพืช ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ โดยส่วนต่างๆของพืชเหล่านี้สามารถ เกิดรากและเจริญเติบโตเป็นต้นพืชได้ ต้นพืชนั้นจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ ที่มา: https://shorturl.asia/NYOFM
5 ตารางเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการขยายพันธุ์พืชประเภทต่างๆ การขยายพันธุ์พืชด้วยเมล็ด ข้อดี ข้อเสีย 1. กระทำได้ง่าย และรวดเร็วต่อการปฏิบัติและได้ จำนวนต้นพืชในปริมาณมาก 1. มักกลายพันธุ์ไปในทางที่แย่ลงกว่าต้นพันธุ์ 2. เมล็ดมีขนาดเล็ก ไม่แห้งตายง่าย และสะดวก ต่อการขนส่ง 2. ให้ดอกและผลช้า 3. ไม่ค่อยพบการติดเชื้อจากต้นแม่ 3. ขนาดลำต้นสูงใหญ่ไม่เหมาะต่อการดูแล และเก็บเกี่ยว 4. ต้นมีระบบรากแก้ว ทนต่อสภาพแวดล้อม 4. ขนาดต้นที่ได้ไม่สม่ำเสมอ 5. สามารถทำได้ทุกฤดูกาล 5. การเพาะเมล็ดพืชบางชนิดใช้เวลานานกว่าจะงอก การขยายพันธุ์พืช การขยายพันธุ์พืชแบบใช้เพศ การขยายพันธุ์พืชแบบไม่ใช้เพศ เมล็ด ส่วนต่างๆของพืช การเพาะเมล็ด อาศัยรากของตนเอง อาศัยรากจากต้นอื่น - การปักชำ - การตอน - การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - การต่อกิ่ง การต่อยอด - การทาบกิ่ง - การติดตา
6 การขยายพันธุ์พืชด้วยส่วนต่างๆของพืช ข้อดี ข้อเสีย 1. ได้ต้นพืชใหม่ที่ตรงตามสายพันธุ์ 1. การทำค่อนข้างยากกว่าการเพาะเมล็ด 2. การออกดอกและให้ผลเร็วกว่าการเพาะด้วยเมล็ด 2. กิ่งและต้นตอมีขนาดใหญ่ การขนส่งไม่ง่าย และสิ้นเปลืองเนื้อที่ในการเก็บรักษา 3. ต้นใหม่ที่ได้ไม่สูงเกินไป สะดวกต่อการเก็บเกี่ยว 3. หากต้นพันธุ์เป็นโรคต้นที่เกิดใหม่มักจะเป็นโรค นั้นด้วย 4. ขนาดต้นที่ได้สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับการปลูก 4. ไม่มีระบบรากแก้ว โค่นล้มง่าย 5. ใช้เวลาน้อยและได้ต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์ 5. การปักชำและการตอนกิ่งนิยมทำในฤดูฝน เพราะง่ายต่อการดูแล และได้ผลดี หลักการการขยายพันธุ์พืช การขยายพันธุ์พืชให้ประสบผลสำเร็จมีหลักการดังนี้ 1. ผู้ทำการขยายพันธุ์พืชจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างภายในต้นพืช ลักษณะการเติบโตของพืช การใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือในการขยายพันธุ์พืช เทคนิคและวิธีการในการขยายพันธุ์พืช 2. ผู้ทำการขยายพันธุ์พืชต้องหมั่นฝึกฝนและขยายพันธุ์พืชโดยใช้เทคนิควิชาการต่างๆหลายๆครั้ง เพื่อให้ เกิดความชำนาญ 3. ผู้ขยายพันธุ์พืชต้องเฝ้าสังเกต ติดตาม ดูแลและควบคุมการเจริญเติบโตของต้นพืชที่ขยายพันธุ์ไว้ เพื่อให้เกิดต้นใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปปลูก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการขยายพันธุ์พืช กรรไกรตัดกิ่ง : ใช้สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ขนาด เล็กเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 นิ้ว
7 มีดตอนกิ่ง-มีดติดตา: ปลายมีดใช้สำหรับกรีดเปลือก ต้นตอ เฉือนหรือปาดแผ่นตา ส่วนท้ายใช้แงะหรือลอก เปลือกไม้ เทปพันกิ่ง: ใช้ในการตอน การติดตา การทาบกิ่ง การเสียบยอด ป้องกันไม่ให้เกิดการทำลาย จากสิ่งต่างๆ ฮอร์โมนเร่งราก: ใช้สำหรับเร่งการเกิดราก ทำให้รากแข็งแรง ถาดหลุมเพาะเมล็ด: ใช้สำหรับเพาะเมล็ด
8 กระบะเพาะเมล็ด: ใช้สำหรับเพาะเมล็ด ถุงเพาะชำ: ใช้สำหรับเพาะชำต้นกล้า ขุยมะพร้าว: ใช้สำหรับดูดซับน้ำ รักษาความชุ่มชื้น เปลือกมะพร้าวสับ: ใช้สำหรับดูดซับน้ำ รักษาความชุ่มชื้นให้กับดิน
9 เชือกฟาง: ใช้สำหรับมัดตุ้มต้นตอ ใช้ในการตอน การทาบกิ่ง ดินร่วน: ใช้สำหรับเป็นดินปลูก เป็นแหล่งธาตุอาหารของพืช แกลบดำ: ช่วยให้ดินโปร่งมีความร่วนซุย ทำให้พืชที่ปลูกเจริญเติบโตได้ เต็มที่
10 แบบทดสอบที่ 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช คำชี้แจง ให้นักเรียนทำเครื่องหมาย √ หน้าข้อความที่ถูก และเครื่องหมาย × หน้าข้อความที่ผิด ...........1. ประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืชที่มีต่อพืชเอง คือ เพื่อดำรงสายพันธุ์ไว้มิให้สูญพันธุ์ไป ...........2. การขยายพันธุ์พืชแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ และแบบไม่อาศัยเพศ ...........3. การตอนกิ่ง เป็นการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ ...........4. การขยายพันธุ์แบบเมล็ดมีโอกาสทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ ...........5. ไม้ผลที่ปลูกจากการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมักให้ผลผลิตช้ากว่าการปลูกด้วยเมล็ด ...........6. ผู้ทำการขยายพันธุ์พืชจะต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับพืชชนิดนั้นๆ ...........7. การปักชำ เป็นการอาศัยรากของต้นเดิม ...........8. การติดตา เป็นการอาศัยรากของต้นเดิม ...........9. ไม้ผลที่ได้จากการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด จะโค่นล้มยากเพราะมีระบบรากแก้ว ...........10. กรรไกรใช้สำหรับกรีดเปลือกหรือเฉือนแผ่นตา
11 ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดเป็นการขยายพันธุ์พืชแบบใช้เพศ เมล็ดเกิดจากการผสมพันธุ์กันระหว่างเกสรตัวเพศผู้และ เกสรเพศเมียผสมจนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่นำมาใช้ในการขยายพันธุ์พืช เพื่อให้ได้ต้นพืชต้นใหม่ ซึ่งการขยายพันธุ์ โดยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สะดวก และยังสามารถทำการเพาะพืชได้ในปริมาณที่มากขึ้น การเพาะเมล็ดเป็นการขยายพันธุ์พืชโดยการนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะให้เกิดเป็นต้นกล้า เพื่อเพิ่มปริมาณต้นพืช เป็นวิธีที่มีการใช้มายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นวิธีที่เหมาะกับการผลิตพืชเป็นปริมาณมากๆ สามารถทำได้ รวดเร็วและสะดวก ซึ่งจะ 2 รูปแบบ ได้แก่ การเพาะเมล็ดในภาชนะ และการเพาะเมล็ดในแปลงปลูกเพาะ 1.วิธีการเพาะเมล็ดในภาชนะ 1) ใช้ช้อนปลูกตักดินใส่ลงในกระบะหรือถาดหลุมให้เกือบเต็ม แล้วเกลี่ยผิวดินให้เรียบเสมอในระดับ เดียวกัน เพราะการเกลี่ยดินให้เรียบจะทำให้เมล็ดที่เพาะงอกกระจายสม่ำเสมอกัน ถ้าหากผิวหน้าดินไม่เรียบขณะ รดน้ำจะชะเอาเมล็ดที่หว่านไหลไปรวมกันบริเวณผิวดินที่ต่ำกว่า ทำให้เมล็ดต้นกล้างอกเป็นกระจุก ลำบากในการ ถอนต้นกล้า 2) นำเมล็ดพันธุ์พืชลงในกระบะ ซึ่งมักจะทำ 2 แบบ คือ โรยเป็นแถวและโรยให้ทั่ว ๆ หรือใส่ในถาดหลุม โดยที่จะใส่หลุมละ 1-2 เมล็ด 3) โรยดินบางๆ แล้วใช้มือกดทับดินเบาๆ พอกระชับเมล็ด เพื่อให้เมล็ดได้รับความชื้นและงอกได้สม่ำเสมอ ถ้าหากเมล็ดมีขนาดเล็กมากๆ ไม่ต้องโรยดินกลบ ให้ใช้มือหรือไม้กดเมล็ดให้จมอยู่ในระดับผิวดินเท่านั้น 4) รดน้ำทุกๆวันในตอนเช้าและเย็น หลังจากเพาะได้ 2-3 วันถ้าเมล็ดเริ่มงอกเป็นต้นกล้าให้นำแกลบ ฟาง หรือหญ้าที่คลุมดินออกบางส่วน 5) เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จึงย้ายไปปลูกในที่ที่เตรียมไว้ การเพาะเมล็ดเป็นแถวๆในกระบะเพาะ ที่มา: https://shorturl.at/aoDI0
12 การเพาะเมล็ดในถาดหลุม ที่มา: https://shorturl.at/aoDI0 2.วิธีการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ 1) เตรียมดินเพื่อกำจัดวัชพืชในแปลงเพาะ แล้วขุดพลิกหน้าดินตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ดิน แห้งและทำลายเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาศัยอยู่ในดิน 2) ย่อยดินให้ละเอียด แล้วจึงปรับหน้าดินให้เรียบสม่ำเสมอ และย่อยดินบริเวณผิวหน้าแปลงให้ละเอียดอีกครั้ง 3) หว่านเมล็ดพันธุ์พืชให้กระจายทั่วแปลงเพาะ ถ้าหว่านเมล็ดพันธุ์ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง จะทำให้ต้นกล้า งอกเป็นกระจุกทำให้ลำบากในการถอนย้ายต้นกล้า 4) โรยดินบางๆ แล้วใช้ไม้ปาดหน้าดินกลบเมล็ด 5) ใช้แกลบ ฟาง หรือหญ้าแห้งคลุมแปลง และใช้บัวรดน้ำรดให้ชุ่มทั่วทั้งแปลง 6) เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกทั่วแปลงแล้ว ให้เอาแกลบ ฟาง หรือหญ้าแห้งที่คลุมอยู่ออก 7) รดน้ำแปลงเพาะทุกๆวัน วันละ 1-2 ครั้งในตอนเช้า และเย็น 8) หากต้นกล้าขึ้นเบียดกันจนแน่นเกินไป ควรเลือกถอนเฉพาะต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ออก เมื่อต้นกล้า เจริญเติบโตแล้ว จึงย้ายไปปลูกในที่ที่เตรียมไว้ การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ ที่มา: https://shorturl.at/syDE5
13 แบบทดสอบที่ 2 เรื่อง การเพาะเมล็ด คำชี้แจง ให้นักเรียนเรียงลำดับการเพาะเมล็ดให้ถูกต้อง โดยนำเฉพาะตัวเลขหน้าข้อมาเรียงลำดับเท่านั้น 1. วิธีการเพาะเมล็ดในภาชนะ 1) ใช้ช้อนปลูกตักดินใส่ลงในกระบะหรือถาดหลุมให้เกือบเต็ม แล้วเกลี่ยผิวดินให้เรียบเสมอในระดับเดียวกัน 2) โรยดินบางๆ แล้วใช้มือกดทับดินเบาๆ พอกระชับเมล็ด เพื่อให้เมล็ดได้รับความชื้นและงอกได้สม่ำเสมอ 3) รดน้ำทุกๆวันในตอนเช้าและเย็น หลังจากเพาะได้ 2-3 วันถ้าเมล็ดเริ่มงอกเป็นต้นกล้าให้นำแกลบ ฟาง หรือ หญ้าที่คลุมดินออกบางส่วน 4) นำเมล็ดพันธุ์พืชลงในกระบะ ซึ่งมักจะทำ 2 แบบ คือ โรยเป็นแถวและโรยให้ทั่ว ๆ หรือใส่ในถาดหลุมโดยที่ จะใส่หลุมละ 1-2 เมล็ด 5) เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จึงย้ายไปปลูกในที่ที่เตรียมไว้ ลำดับที่ถูกต้อง ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... 2.วิธีการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ 1) เตรียมดินเพื่อกำจัดวัชพืชในแปลงเพาะ แล้วขุดพลิกหน้าดินตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ 2) โรยดินบางๆ แล้วใช้ไม้ปาดหน้าดินกลบเมล็ด 3) ย่อยดินให้ละเอียด แล้วจึงปรับหน้าดินให้เรียบสม่ำเสมอ และย่อยดินบริเวณผิวหน้าแปลงให้ละเอียดอีกครั้ง 4) หว่านเมล็ดพันธุ์พืชให้กระจายทั่วแปลงเพาะ 5) ใช้แกลบ ฟาง หรือหญ้าแห้งคลุมแปลง และใช้บัวรดน้ำรดให้ชุ่มทั่วทั้งแปลง 6) เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกทั่วแปลงแล้ว ให้เอาแกลบ ฟาง หรือหญ้าแห้งที่คลุมอยู่ออก 7) รดน้ำแปลงเพาะทุกๆวัน วันละ 1-2 ครั้งในตอนเช้า และเย็น 8) เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตแล้ว จึงย้ายไปปลูกในที่ที่เตรียมไว้ ลำดับที่ถูกต้อง ...................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................
14 ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง การปักชำ การตอนกิ่ง การปักชำ การปักชำ คือ การตัดส่วนหนึ่งส่วนใดของต้นพืช เช่น ลำต้น ราก หรือใบมาปักชำในสภาพที่เหมาะสมต่อ การแตกยอดใหม่ ต้นพืชที่เกิดขึ้นใหม่จะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถ แบ่งได้ 3 วิธี ได้แก่ ปักชำกิ่ง ปักชำใบ และ ปักชําราก ซึ่งการปักชำควรเลือก ต้นแม่ที่เป็นพันธุ์ดีตรงตามความ ต้องการ มีการเจริญเติบโตดี แข็งแรง และปลอดโรค 1. การปักชำกิ่ง จะใช้วิธีการเสียบกิ่งลึกประมาณ 5-10 ซม. ขึ้นอยู่กับความยาวของกิ่ง และชนิดพืช - การปักชำกิ่งแก่หรือกิ่งที่มีอายุมาก ได้แก่ เฟื่องฟ้า กุหลาบ ชบา พู่ระหง - การปักชำกิ่งกึ่งอ่อนกึ่งแก่ ซึ่งจะมีสีน้ำตาลปนเขียว ได้แก่ ฝรั่ง ชมพู่ ลำไย - การปักชำกิ่งอ่อนหรือยอดอ่อน เช่น แก้ว กุหลาบ โกสน ดาวเรือง เบญจมาศ พุด ไทรเป็นต้น วิธีการปักชำกิ่ง 1) ตัดโคนกิ่งให้ชิดข้อยาวประมาณ 6–8 นิ้ว โดยตัดเฉียงเป็นรูปปากฉลาม และตัดปลายกิ่งบนให้ เหนือตา ประมาณ 1 เซนติเมตร ใช้มีดปลายแหลมกรีดบริเวณโคนกิ่ง ยาว 1–1.5 เซนติเมตร ประมาณ 2–3 รอย 2) ปักกิ่งลงในวัสดุปักชำลึกประมาณ 2 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม ครอบด้วยพลาสติกขนาดใหญ่ เพื่อ ป้องกันวัสดุที่ใช้ปักชำแห้ง ประมาณ 20–30 วัน กิ่งปักชำจะงอกราก และแตกยอดอ่อนดูแลสักระยะหนึ่งแล้วจึงย้ายไปปลูก ต่อไป การปักชำกิ่งมัลเบอร์รี(ภาพซ้ายมือ) การปักชำกิ่งกวัดมรกต(ภาพขวามือ) ที่มา: https://shorturl.at/v1456
15 2. การปักชำราก การปักชำรากจะใช้วิธีการชำในลักษณะการปักชำกิ่ง หรือการชำโดยการกลบทั้งราก พืชที่สามารถ ขยายพันธุ์โดยการปักชาราก เช่น สาเก เข็ม ขนุน มะไฟ มันเทศ โมก เป็นต้น วิธีการปักชำราก 1) เตรียมวัสดุปักชำ โดยใช้ขี้เถ้าแกลบ ดิน ทราย ขึ้นอยู่กับพืชนั้น ๆ 2) ตัดเป็นท่อนๆ ยาว 2-3 นิ้ว 3) ทาฮอร์โมนเร่งราก เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของราก 4) ปักชำให้เฉียง 30 องศา ให้โคนรากโผล่เล็กน้อย หลังจากนั้นรอรากงอก และย้ายที่ปลูกต่อไป การปักชำราก ที่มา: https://anyflip.com/baksp/psst 3. การปักชำใบ การปักชำใบ จะใช้วิธีปักชำใบบางส่วน หรือการชำก้านใบลงดินโดยมีใบบางส่วนอยู่พื้นเหนือดินเช่น ลิ้น มังกร กวักมรกต กุหลาบหิน คว่ำตายหงายเป็น เป็นต้น วิธีการปักชำใบ 1) เตรียมวัสดุปักชำ โดยใช้ขุยมะพร้าว ดิน ทราย ขึ้นอยู่กับพืชนั้น ๆ 2) เลือกพันธุ์ไม้ที่ต้องการและเหมาะสมในการชำใบ 3) ตัดใบ ให้ติดก้านใบมาด้วย 4) จุ่มฮอร์โมนเร่งราก 5-10 วินาทีก่อนการชำ 5) ปักโคนใบลงในวัสดุปลูกที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม นำไปไว้ในที่ร่มไม่ให้โดนแดด หลังจากนั้นประมาณ 30-40 วัน จะเริ่มเกิดราก สามารถย้ายไปยังที่ปลูกได้
16 การปักชำใบลิ้นมังกร ที่มา: https://shorturl.at/v1456 การปักชำใบกวักมรกต ที่มา: https://shorturl.at/v1456
17 การตอนกิ่ง การตอน เป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ เมื่อตัดไป ปลูกจะได้ต้นพืชใหม่ที่มีลักษณะทางสายพันธุ์เหมือนต้นแม่ทุกประการ แต่มีข้อเสียคือ ระบบรากของพืชไม่ค่อย แข็งแรง เนื่องจากไม่มีระบบรากแก้ว 1. การเลือกกิ่งที่จะทำการตอน การเลือกกิ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกจึงจำเป็นต้องเลือกกิ่งจากต้นพันธุ์ดี ต้องเป็นกิ่งเพสลาด (กิ่งกึ่ง อ่อนกึ่งแก่) ที่มีความสมบูรณ์ปราศจากการทำลายของโรคและแมลง ถ้าเป็นกิ่งกระโดงได้ยิ่งดี หรือกิ่งจากส่วนอื่นที่ สมบูรณ์แบบ กรณีที่ต้นพันธุ์ดีมีอายุมาก กิ่งไม่สวย จำเป็นต้องตัดกิ่งเพื่อให้กิ่งชุดใหม่แตกออกมาเสียก่อน แล้วจึงทำ การตอนบนดิ่งชุดใหม่นั้น 2. การทำแผลบนกิ่งตอน มีวิธีการทำได้ 3 แบบ คือ 2.1 แบบการควั่นกิ่ง เป็นการทำแผลที่นิยมและใช้กันมานานแล้ว สามารถใช้ได้กับพืชหลายชนิด เช่น มะนาว ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง ลิ้นจี่ ส้มโอ และไม้ดอกไม้ประดับ ฯลฯ วิธีนี้เหมาะสำหรับพืชที่ลอกเปลือกไม้ออกได้ง่าย โดย การใช้มีดควั่นกิ่งโดยรอบเป็นวงแหวน 2 วง ความห่างของวงแหวนประมาณความยาวของเส้นรอบวงของกิ่งที่ทำ การตอน จากนั้นกรีดรอยแผลจากด้านบนถึงด้านล่าง แล้วลอกเอาเปลือกไม้ออก ใช้สันมีขูดส่วนที่เป็นเมือกลื่นที่ติด บนเนื้อไม้บริเวณรอยควั่นออกให้หมด โดยขูดจากด้านบนลงมาด้านล่างเบา ๆ เพราะด้านบนเป็นส่วนที่ให้กำเนิดราก ถ้าหากซ้ำการออกรากอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร 2.2 แบบการปาดกิ่ง เป็นวิธีการตอนอีกแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับพืชที่ออกรากง่าย และพืชบางชนิดที่ลอก เปลือกนอกของกิ่งออกยาก โดยการเฉือนใต้ท้องกิ่งบริเวณที่จะทำการตอนเข้าเนื้อไม้เอียงเป็นรูปปากฉลาม เข้าไป ในเนื้อไม้ประมาณ 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่ง ความยาวแผลประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นหาเศษไม้หรือลวด ตะกั่วหรือลวดฟิวไฟฟ้าสอดแล้วมัดเพื่อไม่ให้รอยแผลที่เปิดไว้ติดกัน ซึ่งพืชที่ใช้วิธีนี้ ได้แก่ สาเก ชวนชม 2.3 แบบการกรีดกิ่ง โดยใช้ใบมีดกรีดเป็นรอยแผลตามความยาวของกิ่ง ยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว จนลึกถึง เนื้อไม้จำนวน 3-5 รอยรอบกิ่ง เหมาะสำหรับพืชที่ออกรากง่ายและกิ่งที่จะทำการตอนยังอ่อนอยู่ เช่น โกศล ยี่โถ หมากผู้หมากเมีย 3. การหุ้มกิ่งตอน เป็นการชักนำให้รอยแผลที่ควั่นไว้ออกรากโดยใช้ตุ้มตอนซึ่งได้จากการนำขุยมะพร้าวที่ตีเอาเส้นใยออกแล้ว ไปแช่น้ำบีบให้หมาด ๆ และอัดลงในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ผูกปากถุงให้แน่น ผ่าตุ้มตอนตามยาวแล้วหุ้มไปบนรอย แผล มัดด้วยเชือกบริเวณหัวท้ายเหนือและใต้รอยแผลที่ควั่นหรือเฉือนเอาไว้ ต้องมัดให้แน่นโดยไม่ให้ตุ้มตอนหมุนได้ เพราะถ้ามักไม่แน่นอาจทำให้การออกรากไม่ดีเท่าที่ควร
18 4. การปฏิบัติดูแลรักษากิ่งตอน หลังจากทำการตอนกิ่งไปแล้วควรหมั่นดูแลตุ้มตอนให้มีความชื้นอยู่เสมอ โดยสังเกตดูความชื้นของตุ้มตอน ถ้ายังมีฝ้าไอน้ำจับอยู่ที่ผิวของพลาสติกภายในตุ้มตอนแสดงว่าความชื้นยังมีอยู่ แต่ถ้าหากไม่มีฝ้าไอน้ำจับ จำเป็นต้อง ให้น้ำตุ้มตอนเพิ่มเติมจนกว่ากิ่งตอนจะออกราก หรือถ้าหากพบแมลงทำลายควรฉีดพ่นด้วยสารเคมี 5. การตัดกิ่งตอน เมื่อตอนกิ่งไปได้ประมาณ 30-45 วัน กิ่งตอนก็จะเริ่มออกรากและแทงผ่านวัสดุที่หุ้มภายในออกมาจน มองเห็นด้วยตาเปล่า ระยะนี้ยังตัดกิ่งตอนไม่ได้ต้องรอจนรากที่งอกออกมาเป็นสีเหลืองแก่หรือสีน้ำตาล จำนวนราก มีมากพอและปลายรากมีสีขาว จึงตัดกิ่งตอนไปชำได้ 6. การชำกิ่งตอน กิ่งตอนที่ตัดมาแล้วให้ตัดแต่งใบและกิ่งออกทิ้งบ้างเพื่อลดการคายน้ำของใบให้มีปริมาณน้อยลง ถ้าหากมีกิ่ง แขนงและใบมากเกินไป เมื่อนำไปชำอาจจะทำให้ต้นพืชเหี่ยวเฉาและตายได้ จากนั้นให้ตัดเชือกและแกะถุงพลาสติก ออก นำไปชำลงในถุงพลาสติกหรือกระถางดินเผาที่บรรจุดินผสมแล้ว พร้อมปักหลักยึดไว้ให้แน่น นำเข้าพักไว้ใน โรงเรียนที่ร่มและชื้น กรณีพืชที่เหี่ยวเฉาง่ายควรก็บไว้ในโรงเรือนควบคุมความชื้นหรือกระบะพ่นหมอก พักไว้ใน โรงเรือนประมาณ 20-30 วัน ก็สามารถนำไปปลูกได้ การตอนกิ่งแบบควั่น ที่มา: https://shorturl.at/mqv04
19 การตอนกิ่งแบบปาด ที่มา: https://shorturl.at/mqv04 การตอนกิ่งแบบกรีด ที่มา: https://shorturl.at/mqv04
20 แบบทดสอบที่ 3 เรื่อง การปักชำและการตอนกิ่ง คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนคำตอบให้ถูกต้องสมบูรณ์ 1. ส่วนใดของพืชที่สามารถนำมาปักชำได้ ................................................................................................................................................................................. 2. กิ่งกึ่งอ่อนกึ่งแก่ มีลักษณะอย่างไร ................................................................................................................................................................................. 3. เพราะเหตุใดในการปักชำ มักจะคลุมด้วยพลาสติก ................................................................................................................................................................................. 4. จงบอกวัสดุที่ใช้ในการปักชำมาอย่างน้อย 3 ชนิด ................................................................................................................................................................................. 5. เพราะเหตุใดในการปักชำจึงต้องใช้มีดหรือกรรไกรที่มีความคมตัดชิ้นส่วนพืช ................................................................................................................................................................................. 6. ในการตอนกิ่งแบบควั่น เมื่อลอกเปลือกออกแล้ว เพราะเหตุใดจึงต้องขูดเนื้อเยื่อเมือกๆรอบๆเนื้อไม้ออก ................................................................................................................................................................................. 7. ในตุ้มตอน นิยมใช้วัสดุใด ................................................................................................................................................................................. 8. เมื่อใดที่กิ่งตอนพร้อมจะตัดจากต้นแม่เพื่อไปเพาะชำต่อไป ................................................................................................................................................................................. 9. การตอนกิ่งแบบปาด จะใช้กับกิ่งไม้ประเภทใด ................................................................................................................................................................................. 10. กิ่งไม้ผลที่ได้จากการตอน มีรากแก้วหรือไม่ .................................................................................................................................................................................
21 ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง การทาบกิ่ง การทาบกิ่ง เป็นวิธีที่นำเอาต้นพืชสองต้นซึ่งเป็นพืชชนิดเดียว โดยมีเซลล์เนื้อเยื่อเจริญเป็นตัวเชื่อมติดกัน โดยต้นตอที่นำมาทาบกิ่งจะทำหน้าที่เป็นระบบรากให้กับต้นพันธุ์ดี เมื่อเนื้อเยื่อเกิดการประสานกันแล้วจะตัดกิ่งพันธุ์ ดีออกมาติดส่วนที่เป็นต้นตอ ซึ่งต้นใหม่ที่ได้จะที่ส่วนยอดเป็นพันธุ์ดีที่เหลือเป็นส่วนของต้นตอ โดยทั่วไปต้นตอที่ นำมาท่าบกิ่งมักจะได้จากการเพาะเมล็ด ขนาดของต้นตอที่นำมาใช้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร หรือขนาดเท่ากับแท่งดินสอทั่ว ๆ ไป และมีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การทาบกิ่งสามารถทำได้ทุก ฤดูกาล เป็นวิธีที่สามารถทำได้ผลแน่นอนที่สุด ในการทาบกิ่งหากต้องการกิ่งพันธุ์ดีที่มีขนาดใหญ่ สามารถใช้ต้นตอ หลายๆต้นทาบรอบกิ่งพันธุ์ดีจะทำให้ได้พันธุ์ดีที่มีต้นตอหลายต้นเป็นระบบราก การทาบกิ่งมีหลายวิธี เช่น การทาบ กิ่งแบบฝานบวบ การทาบกิ่งแบบเข้าลิ้น การทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง และ การทาบกิ่งแบบวีเนียร์แปลง พันธุ์พืช ที่นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่งมักจะเป็นพวกไม้ผล เช่น มะม่วง ขนุน ทุเรียน และไม้ผลตระกูลส้ม เป็นต้น 1. วิธีการทาบกิ่งแบบฝานบวบ 1) เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีให้บริเวณที่จะทาบมีขนาดพอ ๆ กันและมีลักษณะตรง และพื้นผิวบริเวณ ทาบกิ่งต้องเรียบ กิ่งพันธุ์ดีมีลักษณะกึ่งอ่อนกึ่งแก่ที่สมบูรณ์ไม่มีโรคและแมลงทำลาย 2) เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเป็นลักษณะคล้ายรูปโล่เฉือนเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยแผลยาวประมาณ 1-2 นิ้ว 3) เฉือนต้นตอในเช่นเดียวกับกิ่งพันธุ์ดี และให้มีความยาวเท่ากับแผลบนกิ่งพันธุ์ดี 4) ทาฮอร์โมนเร่งราก เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในการงอกของราก 5) ประกบต้นตอและยอดพันธุ์ดีเข้าด้วยกันโดยจัดแนวเยื่อเจริญให้สัมผัสกันมากที่สุด 6) พันรอบรอยแผลที่ประกบกันด้วยพลาสติกให้แน่นและมิดรอยเฉือนเพื่อไม่ให้น้ำเข้าโดยพันจากข้างล่าง ขึ้นข้างบน และผูกยึดถุงต้นตอให้แน่น 7) ประมาณ 7- 8 สัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอแผลจะติดกันดี รากตุ้มตอนจะงอกแทงวัสดุและเริ่มมีสี น้ำตาล ปลายรากสีขาวและมีจำนวนมาก แล้วจึงเริ่มตัดกิ่งพันธุ์ดีที่ระดับเดียวกับตุ้มตอนที่นำมาทาบ หลังจากนั้น นำลงถุงเพาะชำ พร้อมปักหลักค้ำยันเพื่อป้องกันต้นล้ม
22 ต้นตอหรือตุ้มทาบ การทาบกิ่งแบบฝานบวบ ที่มา: https://anyflip.com/baksp/psst
23 2. วิธีการทาบกิ่งแบบฝานบวบแปลง 1) เลือกต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีให้ขนาดเท่าๆ กัน และนำต้นตอขึ้นไปทาบโดยกะดูบริเวณที่จะทำแผลทั้งต้นตอ และกิ่งพันธุ์ดี 2) เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเป็นรูปโล่เข้าเนื้อไม้เล็กน้อย และให้แผลยาวประมาณ 1.5-2 นิ้ว 3) เฉือนตัดต้นตอเฉียงขึ้นเป็นปากฉลามให้แผลยาวเท่ากับแผลที่เตรียมบนกิ่งพันธุ์ดี 4) นำต้นตอประกบกับกิ่งพันธุ์ดี โดยให้แนวเยื่อเจริญทับกันด้านในด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน 5) พันรอบรอยแผลด้วยพลาสติกให้แน่น พันจากล่างขึ้นบนและมัดต้นตอเข้ากับกิ่งพันธุ์ดี 6) ประมาณ 7- 8 สัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอแผลจะติดกันดี รากตุ้มตอนจะงอกแทงวัสดุและเริ่มมีสี น้ำตาล ปลายรากสีขาวและมีจำนวนมาก แล้วจึงเริ่มตัดกิ่งพันธุ์ดีที่ระดับเดียวกับตุ้มตอนที่นำมาทาบ หลังจากนั้น นำลงถุงเพาะชำ พร้อมปักหลักค้ำยันเพื่อป้องกันต้นล้ม 3. วิธีการทาบกิ่งแบบวีเนียร์แปลง 1) เฉือนกิ่งพันธุ์ดีเอียงขึ้นเข้าเนื้อไม้ประมาณ 1/4 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งความยาวแผลประมาณ 1.5-2 นิ้ว เฉือนแผลด้านบนทำเป็นบ่าหรือเงี่ยงปลาประมาณ 1/ 4 ของความยาวของแผล 2) เฉือนต้นตอเป็นรูปปากฉลามตัดด้านหลังเอียงขึ้นเข้าหาปากฉลาม(หน้าลิ่ม)ขนาดความยาวแผลประมาณ 1/4 ของแผลปากฉลาม 3) นำต้นตอที่ปาดเรียบรอยแล้วสอดเข้าไปขัดกับบ่าหรือเงี่ยงปลาที่ทำไว้ แล้วจัดให้แนวเยื่อเจริญสัมผัสกัน มากที่สุด 4) พันด้วยพลาสติกให้แน่น 5) ใช้เชือกผูกถุงตรึงกับโคนกิ่งพันธุ์ให้แน่นเมื่อรอยต่อเชื่อมกันสนิทแล้วตัดออกจากกิ่งพันธุ์ดี 6) ประมาณ 7- 8 สัปดาห์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอแผลจะติดกันดี รากตุ้มตอนจะงอกแทงวัสดุและเริ่มมีสี น้ำตาล ปลายรากสีขาวและมีจำนวนมาก แล้วจึงเริ่มตัดกิ่งพันธุ์ดีที่ระดับเดียวกับตุ้มตอนที่นำมาทาบ หลังจากนั้น นำลงถุงเพาะชำ พร้อมปักหลักค้ำยันเพื่อป้องกันต้นล้ม
24 การทาบกิ่งแบบวีเนียร์แปลง ที่มา: https://shorturl.at/mqv04
25 แบบทดสอบที่ 4 เรื่อง การทาบกิ่ง คำชี้แจง ให้นักเรียนทำเครื่องหมาย √ หน้าข้อความที่ถูก และเครื่องหมาย × หน้าข้อความที่ผิด ...........1. เราสามารถนำต้นตอมะม่วงไปทาบกิ่งของต้นฝรั่งได้ ...........2. สิ่งสำคัญของการทาบกิ่งให้ประสบผลสำเร็จคือการประสานกันของเนื้อเยื่อเจริญ ...........3. ในการทาบกิ่ง ต้นตอทำหน้าที่ระบบราก กิ่งพันธุ์ดีเป็นระบบยอด ...........4. การตัดกิ่งพันธุ์ดี ให้ตัดเหนือรอยแผลที่ประกบกัน ...........5. การตัดกิ่งพันธุ์ดี ให้สังเกตจากรากที่เกิดในตุ้มตอว่ามีจำนวนมากและรากมีสีน้ำตาล ปลายรากมีสีขาว ...........6. ถ้ากิ่งพันธุ์ดีมีขนาดใหญ่กว่าต้นตอ เวลาทาบกิ่งให้รอยแผลด้านใดด้านหนึ่งประกบกันให้สนิท ...........7. การทาบกิ่งแบบฝาบวบแปลง จะเฉือนยอดของต้นตอออกเป็นปากฉลาม แล้วประกบแผลกับกิ่งพันธุ์ดี ...........8. การทาบกิ่งเหมาะสำหรับการขยายพันธุ์พืชที่ลอกเปลือกไม่ได้ ...........9. การทาบกิ่งสามารถทำได้ทุกฤดูกาล ...........10. ถ้ากิ่งพันธุ์ดีมีขนาดใหญ่ สามารถใช้ต้นตอหลายๆต้นตอทาบกิ่งได้
26 ใบความรู้ที่ 5 เรื่อง การติดตา การติดตา เป็นการขยายพันธุ์ที่นำแผ่นตาจากกิ่งพันธุ์ดีไปติดบนต้นตอเพื่อเชื่อมประสานส่วนของต้นพืช การติดตาเป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชอีกวิธีหนึ่งที่ใช้กิ่งพันธุ์ดีน้อย สะดวกรวดเร็ว และสามารถนำกิ่งพันธุ์ดีจากแหล่ง หนึ่งไปทำการติดตาอีกแหล่งหนึ่งได้ แต่อาจต้องใช้เวลาในการบังคับและเลี้ยงตาใหม่ให้เป็นต้นพืชนานกว่าการ ทาบกิ่ง เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับใช้ในการขยายพันธุ์พืชเพราะสามารถทำได้ง่าย วิธีการติดตามีหลายวิธี เช่น การติดตารูปตัวที การติดตาแบบเพลท การติดตาแบบแพทซ์หรือแผ่นปะ การติดตาแบบชิพ พันธุ์พืชที่นิยม ขยายพันธุ์ เช่น ชบา ขนุน มะม่วง เงาะ ทั้งไม้ดอกและไม้ผลอื่น ๆ เป็นต้น 1. วิธีการติดตารูปตัวที การติดตาแบบตัวที เป็นวิธีการติดตาที่เปิดปากแผลบนต้นตอแบบตัว T สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนทำการติดตา แบบนี้ คือ ต้นตอต้องสมบูรณ์ ลอกเปลือกไม้ง่าย ไม่เปราะหรือฉีกขาด และตาพันธุ์ดีสามารถลอกแผ่นตาออกได้ง่าย ต้นตอต้องมีขนาดไม่ใหญ่โตเกินไป ควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 นิ้ว 1.1 การติดตาแบบตัวที (T) 1) ทำแผลบนต้นตอ โดยเลือกตรงส่วนที่ใกล้ข้อ กรีดเปลือกไม้ขวางกิ่งหรือลำต้นทำเป็นหัวตัว T ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ลงมาในแนวขนานกับต้นหรือกิ่ง จากนั้นใช้ปลายมีดเปิดหัวตัว T และเผยอเปลือก ไม้ตามแนวยาวที่กรีดไว้ 2) เฉือนกิ่งตาพันธุ์ดีเป็นรูปโล่โดยให้ติดเนื้อไม้เล็กน้อย และเพื่อให้การติดตาได้สนิท ควรลอกเนื้อ ไม้ออกจากเปลือก แผ่นตาโดยลอกจากด้านล่างของแผ่นตาขึ้นด้านบน 3) สอดแผ่นตาพันธุ์ดีเข้าไปในเปลือกไม้รูปตัว T ให้แนบสนิทกับเนื้อไม้ของต้นตอ กรณีมีส่วนแผ่น ตาพันธุ์ดีโผล่เลยหัวตัว T ให้ตัดส่วนเกินทิ้งตรงบริเวณรอยแผลหัวตัว T เดิม 4) พันด้วยพลาสติกใสให้แน่น โดยพันจากด้านล่างขึ้นด้านบนแบบมุงหลังคา 5) หลังจากนั้นประมาณ 7-10 วัน ให้เปิดแผ่นพลาสติกที่พันไว้ออกแล้วเปลี่ยนแผ่นพลาสติกใหม่ อีกครั้งหนึ่ง โดยเว้นช่องตรงที่เป็นตาไว้เพื่อให้ตาโผล่ได้
27 การติดตารูปตัวที ที่มา: https://shorturl.at/eNRVX 1.2. การติดตาแบบตัวทีแปลง เป็นวิธีการติดตาเหมือนการติดตาแบบตัว T แต่แตกต่างกันคือ วิธีนี้จะใช้ สำหรับตาที่พักตัว โดยมีวิธีทำดังนี้ 1) เปิดปากแผลต้นตอแบบตัว T แล้วเฉือนเนื้อไม้เหนือหัวตัว T ลงมาหาแผลหัวตัว T เดิม 2) เฉือนแผ่นตาพันธุ์ดีแบบรูปโล่และตัดส่วนล่างหลังแผ่นตาเป็นรูปหน้าสิ่ว 3) สอดแผ่นตาเข้าไปในเปลือกไม้รูปตัว T โดยให้ตาพันธุ์ดีแนบสนิทกันพอดี 4) พันด้วยพลาสติกใสให้แน่น
28 2. วิธีการติดตาแบบเพลท หรือแบบเปิดเปลือกไม้ เป็นวิธีการติดตาที่คล้ายการติดตาแบบตัว T แต่ขนาดต้นตอใหญ่กว่าแบบตัว T เหมาะสำหรับพืชที่มีน้ำยาง เช่น ยางพารา ขนุน หรือพืชที่สร้างรอยประสานช้า เช่น มะขาม และที่สำคัญคือ ต้นตอและตาพันธุ์ดีต้องลอกเนื้อไม้ ออกจากเปลือกได้ง่าย วิธีการทำแผลบนต้นตอ 2.1 การทำแผลรูปเข็มเย็บกระดาษ โดยกรีดเปลือกไม้เป็นแนวยาวขนานกับลำต้นหรือกิ่งต้นตอ 2 แนว ห่างกันประมาณ 1-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร จากนั้นตัดรอยขนานด้านบนแบบรูปเข็มเย็บ กระดาษคว่ำเผยอเปลือกไม้ แล้วตัดเปลือกไม้ออกประมาณ 2/3 ของความยาวแผล 2.2 การทำแผลแบบตัว H หรือสะพานเปิด เป็นวิธีการทำแผลเป็นรูปคล้ายสะพานเปิดโดยการ กรีดเปลือกไม้เป็นแนวขนานกับลำต้น 2 แนว แล้วกรีดตรงกลางขวางรอยแนวกรีดขนาน เผยอเปลือกไม้ด้านบนขึ้น และส่วนด้านล่างของแผลเผยอลงคล้ายสะพานเปิด 2.3 การทำแผลแบบเปิดหน้าต่าง 2 บาน โดยกรีดเปลือกไม้ตามแนวยาวของลำต้น 1 แนว แล้วกรีดขวางลำต้น 2 แนว ทั้งด้านบนและด้านล่าง แล้วเผยอเปลือกไม้ออกทางด้านข้างคล้ายการเปิดหน้าต่าง 2.4 การทำแผลเป็นรูปจะงอยปากนก โดยกรีดเปลือกไม้ขนานไปตามความยาวของลำต้นหรือ ต้นตอโดยให้ส่วนล่างของแผลเรียวเข้าหากันเป็นรูปปากนก แล้วเผยอปากแผลจากด้านล่างคล้ายปากนกขึ้น ตัด เปลือกทิ้ง 2/3 ของความยาวรอยแผล การเตรียมแผ่นตาพันธุ์ดี ทำการเฉือนแผ่นตาแบบรูปโล่แล้วลอกเนื้อไม้ที่ติดมากับแผ่นตาออก (ทุกแบบของการติดตาแบบเพลท จะเตรียมแผ่นตาแบบรูปโล่) การสอดแผ่นตา สอดแผ่นตารูปโล่เข้าไปในแผลของต้นตอสัมผัสกับเนื้อไม้โดยให้เปลือกไม้ที่เผยอออกหุ้มแผลตาไว้ บาง วิธีเปลือกไม้อาจต้องหุ้มแผ่นตาไว้ หรือตัดส่วนเปลือกไม้ที่เกินออก 2/3 ของรอยแผลเพื่อให้ส่วนตาโผล่พ้นรอยแผล การพันพลาสติก พันพลาสติกให้แน่นโดยพันจากส่วนล่างขึ้นบนให้หุ้มแผ่นตาทั้งหมด
29 กรีดเปลือกต้นตอแล้วเปิดเปลือก เฉือนตาจากกิ่งพันธุ์ดี แกะเนื้อไม้ออกจากตา นำแผ่นตาใส่ลงไปในเปลือกต้นตอแล้วพันเทปพลาสติก การติดตาแบบเพลท ที่มา: https://anyflip.com/baksp/psst 3. วิธีการติดตาแบบแพทซ์หรือแผ่นปะ เป็นการติดตาอีกแบบหนึ่งโดยนำแผ่นตาพันธุ์ดีปะไปบนรอยแผลของต้นตอที่เตรียมไว้เป็นรูปต่าง ๆ นิยมใช้ กับพืชที่เกิดรอยประสานเร็วและไม่มีน้ำยาง เช่น ต้นลูกเนยและชบา เป็นต้น 3.1. การติดตาแบบแผ่นปะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 1) เตรียมแผลบนต้นตอโดยการกรีดเปลือกไม้บนต้นตอเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วลอกเปลือกไม้ออก 2) กรีดและลอกแผ่นตาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่ากับแผลบนต้นตอ 3) นำแผ่นตาที่ได้ไปปะบนรอยแผลของต้นตอ โดยเอาส่วนตาหงายขึ้น แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น
30 ที่มา:https://shorturl.asia/F1r5J 3.2 การติดตาแบบวงแหวน 1) เตรียมแผลบนต้นตอโดยการควั่นรอบกิ่งหรือต้นตอเป็นวงแหวนเหมือนการตอนกิ่งแบบควั่นกิ่ง แล้วลอกเปลือกที่ควั่นออก 2) เตรียมแผ่นตาพันธุ์ดีเป็นรูปวงแหวนขนาดเท่ากับรอยแผลบนต้นตอ 3) นำแผ่นตาที่ได้ไปปะบนรอยแผลของต้นตอแล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น ที่มา:https://shorturl.asia/F1r5J
31 4. วิธีการติดตาแบบชิพหรือไม่ลอกเนื้อไม้ วิธีการติดตาแบบนี้นิยมใช้กับพืชที่ลอกเปลือกไม้ออกยากหรือเปลือกไม้บางและเปราะ ขนาดต้นตอ ประมาณ 0.5 นิ้ว เหมาะสำหรับการติดตาองุ่น เงาะ และไม้ผลอื่นที่ลอกเปลือกไม้ยาก 4.1 วิธีการติดตาแบบชิพ เตรียมแผลต้นตอโดยการเฉือนเนื้อไม้และทำบ่าด้านบนและด้านล่างของปากแผลในลักษณะบ่าเอียง เข้าหากัน เฉือนแผ่นตาเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดที่สามารถสอดเข้ารอยแผลของต้นตอได้ สอดแผ่นตาเข้าไปใน รอยแผลของต้นตอทางแนวด้านข้าง และจัดให้แผ่นตารับกับรอยบ่าที่ทำไว้ให้สนิท แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น ที่มา: https://shorturl.asia/F1r5J 4.2 วิธีการติดตาแบบชิปแปลงวิธีที่ 1 1) เตรียมแผลต้นตอโดยการเฉือนเนื้อไม้เป็นรูปโล่ และทำบ่าที่ด้านล่างของรอยแผล 2) เตรียมแผ่นตาพันธุ์ดีแบบรูปโล่โดยตัดหลังปากแผลด้านล่างเป็นรูปหน้าสิ่วสำหรับที่จะสอดแผ่น ตาเข้าไปรับบ่าของรอยแผลบนต้นตอได้ผลดี 3) สอดแผ่นตาจากด้านบนลงด้านล่างให้เข้ากันสนิท แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น
32 เฉือนเปลือกต้นตอเข้าเนื้อไม้ เฉือนตาจากกิ่งพันธุ์ดี ใส่แผ่นตาลงในต้นตอ การติดตาแบบชิพ ที่มา: https://anyflip.com/baksp/psst 4.3 วิธีการติดตาแบบชิปแปลงวิธีที่ 2 1) เตรียมแผลบนต้นตอเหมือนชิปแปลงวิธีที่ 1 เพียงแต่เฉือนปากแผลส่วนบนขึ้นไปเข้าเนื้อไม้ 2) เตรียมแผ่นตาพันธุ์ดีแบบวิธีติดตาแบบชิปแปลงวิธีที่ 1 3) สอดแผ่นตาเข้าไปขัดในร่องบ่าด้านล่างและให้ปลายแผ่นตาด้านบนเข้าตรงรอยผ่าของปากแผล ด้านบนพอดี แล้วพันด้วยพลาสติกให้แน่น การปฏิบัติหลังจากทำการติดตา 1. ประมาณ 7-10 วัน ให้สังเกตดูแผ่นตาที่ทำการติดไว้ ถ้ายังสดหรือมีสีเขียวแสดงว่าแผ่นตาติดและเริ่ม ประสานกับเนื้อเยื่อเจริญของต้นตอ จึงทำการกรีดพลาสติกที่พันให้ตาโผล่ออกมา 2. เมื่อตาโผล่ออกมาเป็นยอดอ่อนแล้วจึงแก้พลาสติกที่พันไว้เดิม แล้วพันด้วยพลาสติกใหม่บริเวณส่วน เหนือและใต้ยอดอ่อนที่โผล่ออกมาใหม่จนกว่ารอยประสานบริเวณที่ทำการติดตานั้นประสานกันสนิทเป็นเนื้อ เดียวกันจึงค่อยแก้พลาสติกออกให้หมด 3. กรณีที่ตาที่ติดไม่แตกยอดออกมาเป็นยอดอ่อนจำเป็นต้องทำการบังคับซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
33 วิธีการบังคับตา ทำได้หลายวิธีดังนี้ 1. ใช้วิธีโน้มยอดของต้นตอลงมาในทิศทางตรงกันข้ามกับส่วนที่ติดตา 2. ควั่นหรือบากเปลือกต้นตอเหนือบริเวณที่ทำการติดตาซึ่งอยู่ด้านเดียวกับตาที่ติด 3. ตัดยอดดต้นตอให้สั้นลง โดยให้มีใบติดอยู่ประมาณ 4-5 ใบ เหนือบริเวณที่ทำการติดตา 4. ตัดยอดต้นตอให้สั้นชิดตาที่ติด 5. บังคับตาโดยใช้ฮอร์โมนป้ายที่ตาเพื่อให้ตาแตกออกมาใหม่ การบังคับตาอาจต้องทำหลาย ๆ วิธีช่วยกันเพื่อให้ตาแตกเร็วขึ้น
34 แบบทดสอบที่ 5 เรื่อง การติดตา คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนคำตอบให้ถูกต้อง 1. ต้นไม้ที่ลอกเปลือกง่าย ใช้วิธีการติดตาแบบใด ...................................................................................................................................................................................... 2. ต้นไม้ที่ลอกเปลือกยาก หรือเปลือกบาง หรือเปราะจะใช้วิธีการติดตาแบบใด .................................................................................................................................................................. 3. เพราะเหตุใด เมื่อเฉือนแผ่นตาพันธุ์ดีแล้ว ต้องลอกเนื้อไม้ออกจากแผ่นตาก่อนที่จะนำไปติดกับต้นตอ .................................................................................................................................................................. 4. การลอกเนื้อไม้ออกจากแผ่นตา ควรปฏิบัติอย่างไร .................................................................................................................................................................. 5. การติดตาแบบใด ที่ไม่ต้องลอกเนื้อไม้ออกจากแผ่นตา .................................................................................................................................................................. 6. หลังจากวางแผ่นตาลงบนแผลของต้นตอเรียบร้อยแล้ว การพันพลาสติกควรทำอย่างไร .................................................................................................................................................................. 7. เมื่อผ่านไปประมาณ 10 วัน จะทราบได้อย่างไรว่าแผ่นตาที่ติดเริ่มมีการประสานกันกับเนื้อเยื่อของต้นตอแล้ว .................................................................................................................................................................. 8. จากข้อ 6 เมื่อตาประสานกันดีกับต้นตอแล้ว ควรจะปฏิบัติอย่างไร .................................................................................................................................................................. 9. เมื่อตาเริ่มแตกเป็นยอดอ่อนแล้ว ควรพันพลาสติกอย่างไร .................................................................................................................................................................. 10. กรณีที่ตาไม่แตกยอดอ่อน จะมีวิธีการบังคับให้ตาออกยอดได้อย่างไรบ้าง ..................................................................................................................................................................
35 ใบความรู้ที่ 6 เรื่อง การต่อกิ่ง การต่อกิ่ง เป็นการเชื่อมต่อส่วนของต้นพืชจากคนละต้นเข้าด้วยกัน และให้พืชนั้นประสานรอยต่อแล้ว กลายเป็นพืชต้นเดียวกันได้ ส่วนของพืชที่อยู่ทางด้านบนจะกลายเป็นยอดของพืชต้นใหม่ ส่วนของพืชที่อยู่ทางด้าน ล่างจะทำหน้าที่เป็นระบบรากดูดน้ำและแร่ธาตุให้ลำต้น การต่อกิ่งมีหลายวิธีเช่น การต่อกิ่งแบบฝานบวบ การต่อกิ่ง แบบเสียบลิ่ม การต่อกิ่งแบบเข้าลิ้น การต่อกิ่งแบบเสียบเปลือก และการต่อกิ่งแบบเสียบข้าง นิยมใช้อย่างแพร่หลาย และได้ผลดีกับพืชบางชนิด เช่น เฟื่องฟ้า ชบา โกสน เล็บครุฑ มะม่วง พุทรา ขนุน องุ่น เป็นต้น 1. วิธีการต่อกิ่งแบบฝานบวบ 1) เฉือนกิ่งของต้นตอให้เฉียงขึ้น เป็นลักษณะเช่นเดียวกับฝานบวบ ให้ความยาวของรอยเฉือน ประมาณ 1–1.5 นิ้ว รอยแผลที่ได้จะมีลักษณะคล้ายโล่ 2) เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้มีลักษณะและขนาดเช่นเดียวกับกิ่งของต้นตอ แต่เฉือนลง (ตรงข้ามกับกิ่งของต้นตอ) 3) นำกิ่งพันธุ์ดี ประกบเข้ากับกิ่งของต้นตอ โดยให้รอยแผลประกบกันให้สนิท 4) ใช้แถบพลาสติกพันรอบรอยแผลให้แน่น โดยพันจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน 5) หลังจากกิ่งเชื่อมประสานกันดีแล้ว ให้แกะพลาสติกออก เพื่อให้ต้นพืชเจริญเติบโตและขยายออกได้เต็มที่
36
37 ที่มา: https://shorturl.at/eNRVX
38 2. วิธีการต่อกิ่งแบบเสียบลิ่ม การต่อกิ่งแบบนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้สำหรับการต่อยอดโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก แต่ ขนาดของกิ่งที่พอเหมาะจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1- 4 นิ้ว ใช้ในการต่อกิ่งพืชที่มีเส้นเนื้อไม้ตรง กิ่งพันธุ์ดี ควรเป็นกิ่งแก่อายุประมาณ 1 ปี ขณะทำการต่อต้นตอควรมีเปลือกไม่ล่อนจากเนื้อไม้ มักใช้ต่อพันธุ์พืชผลัดใบ เช่น ทับทิม น้อยหน่า เป็นต้น มีวิธีการดังนี้ 1. ตัดต้นตอบริเวณที่ตรง ไม่มีข้อหรือตา เป็นมุมฉากกับกิ่งที่ต่อ 2. ผ่าต้นตอตามยาวให้ลึกประมาณ 2-3 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของกิ่ง 3. เฉือนโคนกิ่งพันธุ์ดีให้เฉียงลงทั้งสองข้าง แต่เฉือนให้ด้านหนึ่งหนากว่าอีกด้านหนึ่ง 4. เผยอรอยผ่าบนต้นตอโดยใช้ใบมีดสอดเข้าไปในรอยผ่าแล้วบิดใบมีดให้รอยผ่าเผยออก 5. สอดโคนกิ่งพันธุ์ดีให้แนวเยื่อเจริญของรอยเฉือนบนต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีทับกันโดยเอาด้านหนาที่เฉือนไว้ ด้านนอก 6. พันด้วยพลาสิตกให้แน่น 7) คลุมต้นที่เสียบยอดแล้วด้วยถุงพลาสติกและกระดาษ หรือนำไปเก็บในโรงอบพลาสติก 8) ประมาณ 5-7 สัปดาห์รอยแผลจะประสานกันดีแล้วให้นำออกมาพักไว้ในโรงเรือนที่รอการปลูกต่อไป การเตรียมต้นตอ การเตรียมยอดกิ่งพันธุ์ดี
39 การสอดโคนยอดกิ่งพันธุ์ดีที่เฉือนแล้วเข้ากับต้นตอ พันพลาสติกจากล่างขึ้นบนพันปิดแผลต้นตอให้สนิท ป้องกันการคายน้ำและแสงแดดด้วยการคลุมด้วยถุงพลาสติกและหุ้มด้วยถุงกระดาษ
40 ตาที่กิ่งพันธุ์ดีเจริญเป็นยอดอ่อน ที่มา: https://shorturl.at/eNRVX 3. วิธีการต่อกิ่งแบบเข้าลิ้น 1) เฉือนต้นตอเฉียงขึ้นในลักษณะการฝานบวบ ให้รอยแผลยาวประมาณ 1–1.5 นิ้ว 2) ผ่ารอยแผลให้มีลักษณะเป็นลิ้น 3) เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เฉียงลง ลักษณะและขนาดรอยแผลเช่นเดียว กับต้นตอ 4) ผ่ารอยแผลกิ่งพันธุ์ดี ให้มีลักษณะเป็นลิ้น 5) นำกิ่งพันธุ์ดี สวมลงบนต้นตอให้ลิ้นขัดกัน และพันด้วยพลาสติก การเตรียมแผลบนต้นตอ
41 การทำแผลบนกิ่งพันธุ์ดี การสอดกิ่งพันธุ์ดีลงบนต้นตอและพันพลาสติกจากล่างขึ้นบน ที่มา: https://shorturl.at/eNRVX 4. วิธีการต่อกิ่งแบบเสียบเปลือก เป็นวิธีการที่นิยมในการต่อยอดไม้ผล ทั้งพืชที่มีเปลือกหนาและเปลือกบาง ข้อดีของการต่อกิ่งวิธีนี้คือ เนื้อไม้จะไม่ถูกผ่าออกจากกัน โอกาสที่รอยต่อจะเน่าหรือถูกทำลายจากเชื้อโรคจึงมีน้อย แต่มีข้อเสียคือจะต้องทำ การต่อขณะที่ต้นตอมีเปลือกล่อนในระยะที่ต้นพืชมีการเจริญเติบโตดีเท่านั้น ขั้นตอน 1) ตัดต้นตอ ตั้งฉากกับกิ่งบริเวณใต้ข้อและชิดข้อ 2) กรีดเปลือกต้นตอตามแนวตั้ง ยาวประมาณ 2 นิ้ว แล้วเผยอเปลือกต้นตอที่กรีดไว้ 3) ตัดยอดพันธุ์ดี ประมาณ3 นิ้ว แล้วเฉือนจากปลายไป โดยให้รอยแผลเป็นรูปปากฉลาม ยาวประมาณ 2–2.5 นิ้ว หรือเท่ากับรอยแผลของต้นตอ จากนั้นตัดปลายส่วนของด้านหลังของรอยแผลเฉียง ประมาณ 45 องศา เพื่อให้รับกับรอยแผลของต้นตอที่เตรียมไว้
42 4) นำยอดกิ่งพันธุ์ดีมาสอดเข้ารอยแผลของต้นตอ จัดให้รอยแผลสนิทกัน 5) พันกิ่งให้แน่นด้วยแถบพลาสติก โดยพันจากด้านล่างขึ้นบน 6) ประมาณ 2–3 สัปดาห์ ถ้ายอดพันธุ์ยังเขียวดีอยู่ แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงแกะพลาสติกที่พันไว้ออกแล้ว 7) บากเตือนต้นตอ โดยบากเหนือรอยแผลเล็กน้อย บากลึกประมาณ 1/3 ของลำต้น และเมื่อยอดใหม่ เจริญดีแล้วจึงตัดยอดของต้นตอทิ้งไป เพื่อให้ยอดกิ่งพันธุ์ดีเจริญเป็นต้นใหม่แทน การต่อกิ่งแบบเสียบเปลือก ที่มา: https://shorturl.at/eNRVX
43 5. วิธีการต่อกิ่งแบบเสียบข้าง 1) เฉือนต้นตอจากปลายไปสู่โคน โดยจะเฉือนลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อยให้แผลยาว ประมาณ 1.5–2 นิ้ว 2) ตัดยอดกิ่งพันธุ์ดี ยาวประมาณ 2–3 นิ้ว เฉือนให้เป็นรูปปากฉลาม รอยแผลยาวประมาณ 1.5–2 นิ้ว เฉือนด้านหลังของรอยแผล เพื่อให้แผลมีลักษณะเป็นรูปลิ่ม 3) นำยอดกิ่งพันธุ์ดีเสียบเข้ารอยแผลของต้นตอ จัดให้รอยแผลแนบสนิทกันและตรงกัน 4) พันด้วยพลาสติก หุ้มรอยแผลให้แน่น พันหุ้มยอดด้วย โดยพันจากล่างขึ้นบน 5) ประมาณ 2–3 สัปดาห์ จึงแกะพลาสติกออก แล้วพันใหม่ โดยเว้นส่วนของยอดกิ่งพันธุ์ดีไว้ เพื่อให้ตา แตกยอดใหม่ออกมาได้ 6) หลังจากกิ่งใหม่เจริญดีแล้ว จึงตัดยอดเดิมของต้นตอทิ้งไปเพื่อให้ยอดใหม่เจริญได้เต็มที่ การต่อกิ่งแบบเสียบข้าง ที่มา: https://shorturl.asia/GCAQo
44 แบบทดสอบที่ 6 เรื่อง การต่อกิ่ง คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกภาพที่เป็นการขยายพันธุ์แบบต่อกิ่ง ภาพ 1 ภาพ 2 ภาพ 3 ภาพ 4 ภาพ 5 ภาพ 6 ภาพ 7 ภาพ 8 ภาพ 9 คำตอบ ............................................................................................................................. ...............................................