The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Paphatsara Umla, 2022-09-30 11:14:27

การสร้างคำ

การสร้างคำ

การสร้างคำ

การสร้างคำ


จัดทำโดย


นางสาวปภัสรา อำลา
รหัส 65114550209



เสนอ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิชยา พรมาลี



หนังสือ e-book เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรม
และเทคโนโลยีสาระสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษา

และการเรียนรู้(คศ1201105)
สาขาวิชา ภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

สารบัญ

การสร้างคำ หน้า
ความหมายของการสร้างคำ 1
2-3
คำประสม 4-5
คำซ้ำ 6-9
คำซ้อน

1

การสร้างคำ

การสร้างคำ คือ การรวมหน่วยคำตั้งแต่ ๒ หน่วยขึ้นไปเข้าเป็นคำคำเดียว
หน่วยคำที่นำมารวมกันมีทั้งที่เป็นคำคำเดียวกันและต่างชนิดกัน ดังนี้

๑. คำที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำที่มีความหมายแตกต่างกัน เรียกว่าคำประสม
๒. คำที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำเติม เรียกว่าคำประสาน
๓. คำที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน

ใกล้เคียงกันหรือตรงกันข้ามกันเรียกว่าคำซ้อน
๔. คำที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำซ้ำกันเรียกว่า คำซ้ำ
๕. คำที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำภาษาบาลีและสันสกฤตเรียกว่า คำสมาส

2

คำประสม

คำประสม หมายถึง คำที่เกิดจากการนำหน่วยคำอิสระที่มีความ
หมายต่างกันอย่างน้อย ๒ หน่วยมารวมกัน เกิดเป็นคำใหม่คำหนึ่ง
มีความหมายใหม่

คำประสมมีลักษณะดังนี้

๑. คำประสมเป็นคำที่มีความหมายใหม่ ต่างจากความหมายที่เป็นผลรวมของหน่วยคำ
ที่มารวมกัน แต่มักมีเค้าความหมายของหน่วยคำเดิมอยู่ เช่น

น้ำแข็ง เป็นคำประสมมีความหมายว่า “น้ำที่เป็นก้อนเพราะถูกความเย็นจัด” เป็น
ความหมายใหม่ที่มีเค้าความหมายเดิมของหน่วยคำ น้ำ และ แข็ง

๒. คำประสมจะแทรกคำใด ๆ ลงระหว่างหน่วยคำที่มารวมกันนั้นไม่ได้ ถ้าสามารถ
แทรกคำอื่นลงไปได้ คำที่รวมกันนั้นจะไม่ใช่คำประสม เช่น
ลูกช้างเดินตามแม่ช้าง ข้อความว่า ลูกช้าง แปลว่า “ลูกของช้าง” สามารถแทรกคำว่า
ของ ระหว่างลูกกับช้างเป็น ลูกของช้างได้ ดังนั้น ลูกช้างในประโยคนี้จึงไม่ใช่คำประสม

๓. คำประสมเป็นคำคำเดียว หน่วยคำที่เป็นส่วนประกอบของคำประสมไม่สามารถย้ายที่
หรือสลับที่ได้ เช่น
เขานั่งกินที่ ไม่สามารถย้ายคำว่า กิน หรือ ที่ ไปไว้ที่อื่นได้ คำว่า กินที่ จึงเป็นคำ
ประสม

3

คำประสม

๔. คำประสมจะออกเสียงต่อเนื่องกันไปโดยไม่หยุดหรือเว้นจังหวะระหว่าง
หน่วยคำที่เป็นส่วนประกอบ เช่น
กาแฟเย็น ถ้าออกเสียงต่อเนื่องกันไป หมายถึง “กาแฟใส่นมใส่น้ำแข็ง” เป็นคำ
ประสม ถ้ามีช่วงเว้นจังหวะระหว่าง กาแฟ กับ เย็น หมายถึง “กาแฟร้อนที่ทิ้งไว้จน
เย็น” เป็นประโยค

๕. คำประสมบางคำไม่มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธ์ระหว่างหน่วยคำที่เป็นส่วน
ประกอบ เช่น
กินน้ำ ไม่เป็นคำประสม เพราะหน่วยคำ กิน กับน้ำ มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธ์
แบบกริยากับกรรม

4

คำซ้ำ

คำซ้ำมีรูปแบบคล้ายกับคำซ้อน คือ เป็นคำที่เกิดจากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมา
ประสมกัน แต่คำมูลที่นำมาประสมกันนั้นต้องเป็นคำเดียวกัน จึงจะเกิดเป็นคำซ้ำ โดย
คำที่เกิดขึ้นใหม่ จะมีความหมายคล้ายเดิม แต่เน้นน้ำหนักของความหมายให้หนักขึ้น
หรือเบาลง หรืออาจเปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่นก็ได้ลักษณะของคำซ้ำ คือ

- เป็นคำประเภทใดก็ได้เช่น คำนาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์
- นำคำหนึ่งคำมาซ้ำกันสองครั้ง เช่น “ร้อนๆ” “หนาวๆ” “เด็กๆ” “เล่นๆ”
- น้ำคำซ้อนมาแยกเป็นคำซ้ำสองคำ เช่น “ลูบคลำ” เป็น “ลูบๆ คลำๆ”
- น้ำคำซ้ำมาประสมกัน เช่น “งูๆ ปลาๆ” “ไปๆ มาๆ” “ลมๆ แล้งๆ”
ความหมายของคำซ้ำอาจเปลี่ยนไปจากคำเดิมได้ เช่น

1. บอกความเป็นพหูพจน์ คำเดิมอาจจะเป็นคำเอกพจน์หรือพหูพน์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่คำที่ซ้ำที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็นพหูพจน์ได้อย่างเดียว เช่น
“ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ” (เป็นพหูพจน์ เพราะเพื่อนหลายคน)
น้อง ๆ ออกไปข้างนอกกับแม่ แสดงว่ามีน้องหลายคน
เพื่อน ๆ กำลังจะตามมา แสดงว่ามีเพื่อนมากกว่าหนึ่งคน

2. บอกความเน้นหนักของคำ คำวิเศษณ์บางคำ เมื่อเป็นคำซ้ำจะมีความหมายเน้นหนัก
มากกว่าเดิมโดยมากเป็นภาษาพูด โดยออกเสียงคำแรกเป็นเสียงตรี เช่น
“สวยๆ” ออกเสียงเป็น “ซ้วยสวย”
“ใหญ่ๆ” ออกเสียงเป็น “ไย้ใหญ่”

5

คำซ้ำ

3. บอกความไม่เน้นหนัก คำวิเศษณ์บางคำเมื่อเป็นคำซ้ำ ความหมายอาจคลายความ
หนักแน่นไปกว่าคำเดิม แตกต่างจากคำที่ให้ความหมายเน้นหนัก เพราะไม่เน้นเสียงคำ
แรกเป็นเสียงตรี
ส่วนมากคำเหล่านี้ใช้ในภาษาพูด มากกว่าภาษาเขียน
เย็น : “วันนี้อากาศเย็น” (เย็นจริง) กับ “วันนี้อากาศเย็นๆ” (ค่อนข้างเย็น)

4. บอกคำสั่ง คำวิเศษณ์ที่เป็นคำซ้ำ บางครั้งมีความหมายเป็นคำสั่ง ใช้ในภาษาพูด ถ้า
ผู้พูดออกเสียงหนักๆ ก็จะเป็นคำสั่งที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
“เงียบๆ” (สั่งให้งดใช้เสียง)
เธอไปเดิน ห่าง ๆ ฉันเลยนะ
หัดเดินให้มัน เร็ว ๆ หน่อยได้ไหม
อยู่ นิ่ง ๆ สัก 5 นาทีมันจะตายไหม !!!
นั่งตัว ตรง ๆ หน่อย หลังค่อมหมดแล้ว
น้ำหอมที่เธอใช้มีแต่ แพง ๆ ทั้งนั้น

5. เปลี่ยนความหมายใหม่ คำซ้ำบางคำ จะเปลี่ยนเป็นความหมายใหม่ไปเลย โดยไม่มี
เค้าของคำคำเดิม เช่น“กล้วยๆ” (ง่ายมาก)
ไป ๆ มา ๆ เขาก็ลืมฉัน (ไป ๆ มา ๆ แปลว่า นาน ๆ เข้า ในที่สุด)
ฉันแค่อยากเตือนเธอ เฉย ๆ (เฉย ๆ หมายถึง เท่านั้น)

6

คำซ้อน

คำซ้อน หมายถึง การสร้างคำอีกรูปแบบหนึ่ง มีวิธีการเช่นเดียวกับการประสมคำ
จึงอนุโลมให้เป็นคำประสมได้ ความแตกต่างระหว่างคำประสมทั่วไปกับคำซ้อน
คือ คำซ้อนจะสร้างคำโดยนำคำที่มีความหมายคู่กันหรือใกล้เคียงกันมาซ้อนกัน คำที่มา
ซ้อนกันจะทำหน้าที่ขยายและไขความซึ่งกันและกันและทำให้เสียงกลมกลืนกันด้วย
เช่น

คำซ้อนที่มีเสียงพยัญชนะเดียวกัน ได้แก่ วนเวียน ชุกชุม ร่อแร่ ฯลฯ
คำซ้อนที่ใช้เสียงตรงข้าม ได้แก่ หนักเบา เป็นตาย มากน้อย ฯลฯ
คำซ้อนที่ใช้คำความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ได้แก่ บ้านเรือน มากมาย ฯลฯ
คำซ้อน 4 คำ ที่มีคำที่ 1 และคำที่ 3 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ได้แก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ฯลฯ
คำซ้อนที่เป็นกลุ่มคำมีเสียงสัมผัส ได้แก่ เก็บหอมรอมริบ รู้จักมักคุ้นฯลฯ

ความมุ่งหมายของการสร้างคำซ้อน
เพื่อเน้นความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยความหมายยังคงเดิม เช่น ใหม่เอี่ยม ละเอียด

ลออ เสื่อสาด ทำให้เกิดความหมายใหม่ในเชิงอุปมาอุปไมย เช่น ตัดสิน เบิกบาน

7

คำซ้อน

การซ้อนคำ
เป็นการนำคำที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายกัน หรือประเภทเดียวกันมาเรียงซ้อน
กัน เมื่อซ้อนคำแล้วทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้น แต่ยังคงเค้าความหมายเดิมอยู่ หรือ
ความหมายอาจไม่เปลี่ยนไป แต่ความหมายของคำหน้าจะชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น บ้านเรือน
ทรัพย์สิน คับแคบ เป็นต้น คำที่เกิดจากการซ้อนคำเช่นนี้เรียกว่าซ้อนคำ

-คำที่ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำขึ้นไปที่มีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น
จิตใจ ถ้วยชาม ข้าทาส ขับไล่ ขับกล่อม ค่างวด ฆ่าแกง หยูกยา เยียวยา แก่นสาร ทอด
ทิ้ง ท้วงติง แก้ไข ราบเรียบ เหนื่อยหน่าย ทำมาค้าขาย ชั่วนาตาปี

-คำที่ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำขึ้นไปที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น หอม
เหม็น ถูกแพง หนักเบา ยากง่าย มีจน ถูกผิด ชั่วดีมีจน หน้าไหว้หลังหลอก

-คำซ้อนที่ประกอบด้วยคำ 2 คำขึ้นไปที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะเสียงเดียวกัน
หรือมีเสียงสระเข้าคู่กัน เช่น เกะกะ เปะปะ รุ่งริ่ง โยกเยก กรอบแกรบ กรีดกราด ฟืด
ฟาด มากมายก่ายกอง อีลุ่ยฉุยแฉก หรืออาจจำแนกออกได้เป็น 2 ชนิดตามหน้าที่
ได้แก่

- คำซ้อนเพื่อเสียง
- คำซ้อนเพื่อความหมาย

คำซ้อน 8

คำซ้อนเพื่อเสียง
เป็นการนำคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันมาซ้อนกัน เพื่อให้ออกเสียงง่ายขึ้น
และมีเสียงคล้องจองกัน ทำให้เกิดความไพเราะขึ้น คำซ้อนเพื่อเสียงนี้บางทีเรียกว่าคำคู่
หรือคำควบคู่นำคำที่มีพยัญชนะต้นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่เสียงสระ นำมาซ้อนหรือ
ควบคู่กัน เช่น
-เร่อร่า เซ่อซ่า อ้อแอ้ จู้จี้
-เงอะงะ จอแจ ร่อแร่ ชิงช้า
-จริงจัง ทึกทัก หมองหมาง ตึงตัง

นำคำแรกที่มีความหมายมาซ้อนกับคำหลัง ซึ่งไม่มีความหมาย เพื่อให้คล้องจอง
และออกเสียงได้สะดวกโดยเสริมคำข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ ทำให้เน้นความเน้นเสียง
ได้หนักแน่น โดยมากใช้ในคำพูด เช่น กวาดแกวด กินแกน เดินแดน มองเมิง ดีเด่
ไปเปย

นำคำที่มีพยัญชนะต้นต่างกันแต่เสียงสระเดียวมาซ้อนกันหรือควบคู่กัน เช่น
-เบ้อเร่อ แร้นแค้น จิ้มลิ้ม
-ออมชอม อ้างว้าง เรื่อยเจื้อย ราบคาบ

นำคำที่มีพยัญชนะต้นเหมือนกัน สระเสียงเดียวกัน แต่ตัวสะกดต่างกันมาซ้อนกัน
หรือควบคู่กัน เช่น ลักลั่น อัดอั้น หย็อกหย็อย

คำซ้อนบางคำ ใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงมาซ้อนกันและเพิ่มพยางค์เพื่อให้
ออกเสียงสมดุลกัน เช่น
-ขโมยโจร เป็น ขโมยขโจร
-สะกิดเกา เป็น สะกิดสะเกา
-จมูกปาก เป็น จมูกจปาก

คำซ้อน 9

คำซ้อนบางคำอาจจะเป็นคำซ้อนที่เป็นคำคู่ ซึ่งมี 4 คำ และมีสัมผัสคู่กลาง
หรือคำที่ 1 และคำที่ 3 ซ้ำกัน คำซ้อนในลักษณะนี้เป็นสำนวนไทย

ความหมายของคำ
จะปรากฏที่คำหน้าหรือคำท้าย หรือปรากฏที่คำข้างหน้า 2 คำ ส่วนคำท้าย 2 ตัว ไม่
ปรากฏความหมาย เช่น เกะกะระราน กระโดดโลดเต้น บ้านช่องห้องหอ เรือแพนาวา ข้า
เก่าเต่าเลี้ยง กตัญญูรู้คุณ ผลหมากรากไม้ โกหกพกลม ติดอกติดใจ
คำซ้อนเพื่อความหมาย
เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกัน ต่างกันเล็กน้อยหรือไปในทำนองเดียวกัน
หรือต่างกันในลักษณะตรงข้าม เมื่อประกอบเป็นคำซ้อนจะมีความหมายอย่างใดอย่าง
หนึ่ง ดังนี้
1. ความหมายอยู่ที่คำใดคำหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คำอื่นหรือกลุ่มอื่นไม่ปรากฏความ
หมาย เช่น หน้าตา ปากคอ เท็จจริง ดีร้าย ผิดชอบ ขวัญหนีดีฝ่อ ถ้วยชามรามไห จับไม่
ได้ไล่ไม่ทัน
2. ความหมายอยู่ที่ทุกคำแต่เป็นความหมายที่กว้างออกไป เช่นเสื้อผ้า ไม่ได้หมายเฉพาะ
เสื้อกับผ้า แต่รวมถึงเครื่องนุ่งห่ม
เรือแพ ไม่ได้หมายเฉพาะเรือกับแพ แต่รวมถึงยานพาหนะทางน้ำทั้งหมด
ข้าวปลา ไม่ได้หมายเฉพาะข้าวกับปลา แต่รวมถึงอาหารทั่วไป
พี่น้อง ไม่ได้หมายเฉพาะพี่กับน้อง แต่รวมถึงญาติทั้งหมด
หมูเห็ดเป็ดไก่ หมายรวมถึงสิ่งที่ใช้เป็นอาหารทั้งหมด
3. ความหมายอยู่ที่คำต้นกับคำท้ายรวมกัน เช่น เคราะห์หามยามร้าย ( เคราะห์ร้าย )
ชอบมาพากล (ชอบกล) ฤกษ์งามยามดี (ฤกษ์ดี) ยากดีมีจน (ยากจน)
4. ความหมายอยู่ที่คำต้นหรือคำท้าย ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ชั่ว ดี (ชั่วดีอย่างไร
เขาก็เป็นเพื่อนฉัน) ผิดชอบ (ความรับผิดชอบ) เท็จจริง (ข้อเท็จจริง)

เอกสารอ้างอิง

http://www.digitalschool.club/di https://blog.startdee.com/%E0%B8%84
gitalschool/m1/th1_1/lesson1/c %E0%B8%B3%E0%B8%8B%E0%B9%89

ontent3/more/page6.php %E0%B8%B3-%E0%B8%A11-
%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9
%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97

%E0%B8%A2

http://www.digitalschool.club/digitalschool/m1/th1_1/lesson1/content3/more/page6.ph

p

https://www.gotoknow.org/post http://www.digitalschool.club/digit
s/420018 alschool/m2/th2_1/lesson1/conte

nt2/page_7.php


Click to View FlipBook Version