The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเล่มเล็ก_ย้อนรอยประวัติศาสตร์กูยอาจีงPDF

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พนิดา ยิ่งกล้า, 2024-05-06 10:06:15

หนังสือเล่มเล็ก_ย้อนรอยประวัติศาสตร์กูยอาจีงPDF

หนังสือเล่มเล็ก_ย้อนรอยประวัติศาสตร์กูยอาจีงPDF

คำนำ ก หนังสือเล่มเล็กเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสื่อแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นเพื่อนำไปใช้ ในการจัดการเรียนรู้บูรณาการแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นกับหลักสูตรสถานศึกษาด้วยการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)ให้เหมาะสมกับบริบทห้องเรียน ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มเล็กเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนบูรณาการ แหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นและผุ้สนใจไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิด4พลาดประการใด ผู้จัดทำ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย พนิดา ยิ่งกล้า


สารบัญ ชาวกูย ในประวัติศาสตร์ การสร้างชาติไทย …………………………1 พิธีเซ่นไหว้ผีปะกำบูชาบรรพบุรุษ ชาวกูยเลี้ยงช้าง……………...………………5 แกลมอ พิธีกรรมชาติพันธุ์ ของชนชาวกูย………………...………………7 ข


ชาวกูย ในประวัติศาสตร์ การสร้างชาติไทย วิถีการเลี้ยงช้าง ฝึกช้าง และดูแลช้าง ตามแนวทางที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง นับได้หลายร้อยปีเป็น “คชศาสตร์ชาวกูย” ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนและด้วยความสามารถ พิเศษยิ่งใหญ่นี้เองที่ทำให้ชาวกูยกลุ่มนี้ได้ใช้โอกาสพลีกายเป็นทหารหาญ ช่วยในการทำศึกสงคราม ป้องกันอริราชศัตรู และขยายขอบเขตพลานุภาพของชาติไทยออกไปจนเกริกไกร ทำให้แผ่นดิน อีสานใต้ของสยามมีชาวชาติพันธุ์ต่างๆ อพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มเติมรวบรวมผู้คนได้มากขึ้น อาทิ ชาวขแมร์สุรินทร์ ชาวเยอ และชาวลาว เป็นต้น ชาวกูย เป็นหนึ่งในชาวชาติพันธุ์หลากหลาย ของคนไทย วันนี้พวกเขารวมกันอยู่อาศัยติดพื้นที่ แถบอีสานใต้มาแต่กาลดึกดำบรรพ์ชาวกูยมีอาชีพ จับช้างป่าและสามารถฝึกช้างให้เชื่อฟัง และเลี้ยง ช้างไว้ใช้งานต่างๆ ในบ้านได้ด้วย


ชาวกูย มิใช่จะมีเพียงกลุ่มเดียวแต่มีหลากหลายกลุ่ม มีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไป เช่น กูย กวย โกย เยอ และบรู เป็นต้น ชาวกูยทั้งชาวกูยที่เลี้ยงช้างและไม่ได้เลี้ยงช้าง แต่ประกอบอาชีพ ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ในขณะที่ชาวกูยที่ไม่ได้เลี้ยงช้างตั้งรกรากอยู่อาศัยเป็นชุมชนหมู่บ้าน มากมายแล้วบนแผ่นดินอีสานใต้มาช้านานนับพันปี แต่ชาวกูยเลี้ยงช้างกลุ่มหนึ่งเพิ่งปรากฏตัวขึ้น ในหน้าประวัติศาสตร์สยามประเทศว่า มีถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตป่าเขาแขวงจำปาสัก ประเทศ สปป. ลาว ในปัจจุบัน 2 ความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ปลายกรุงศรีอยุธยา ประมาณปี พ.ศ.2301-2310 พระยาช้างเผือก แตกโรงหลุดหนีมาทางอีสานใต้ เข้ามาในเขตดูแลของเจ้าเมือง พิมาย จนเข้ามาถึงถิ่นที่อยู่ ของชาวกูยเลี้ยงช้าง


เจ้าเมืองพิมาย พาคณะติดตามช้างเผือกมาพบกับหัวหน้ากลุ่มชาวกูย จากบ้านกุดหวาย เมืองลีง คือ เชียงสี บ้านคูปะทาย คือ เชียงปุม บ้านอัจจะปึง คือ เชียงฆะ และบ้านลำดวน คือ เชียงขัน หัวหน้ากลุ่มชาวกูยทั้ง 4 คน เป็นญาติพี่น้องกัน ทั้งหมดได้รวมกำลังช่วยคณะติดตามช้าง จนจับช้างเผือกได้ที่ใกล้เมืองจัมปาศักดิ์ ส่งคืนถวายสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ มีความดี ความชอบจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงและเติบโตต่อไปเป็น “พระ เป็น พระยา” ตามลำดับ เชียงสีบ้านกุดหวาย ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น หลวงศรีนครเตาไปจนถึง พระยาศรีนคร เตา บ้านกุดหวาย ได้รับการยกฐานะเป็น เมืองรัตนบุรี เชียงปุม บ้านคูปะทาย ขึ้นเป็น หลวงสุรินทร์ภักดี และเป็น พระยาสุรินทร์ภักดีศรี ณรงค์จางวาง ส่วนบ้านคูปะทาย ขยายเป็น เมืองปะทายสมันต์และพัฒนาเป็น จังหวัดสุรินทร์ ต่อมา เชียงฆะ บ้านอัจจะปึง เป็น หลวงเพชร และเป็น พระสังฆะบุรีศรีอัจจะบ้านอัจจะปึง เติบโตเป็น เมืองสังขะ ส่วน เชียงขัน บ้านลำดวน เป็น หลวงสุวรรณ และเป็น พระยาไกรภักดีศรีลำดวน บ้านลำดวน ยกฐานะให้เป็นเมืองขุขันธ์ ซึ่งต่อมาจะย้ายที่ตั้งเมือง และยกเมืองขึ้นเป็นจังหวัด ศรีสะเกษ ทั้งสี่เมืองใหม่หมาดๆ นี้ ให้เจ้าเมืองพิมายทรงอำนาจการปกครอง นับเป็นเมืองแรกๆ ชายขอบขัณฑสีมาของกรุงเทพฯ ในสมัยต้นกรุงรัตนกสินทร์ ด้านอีสาน เป็นเมืองปะทะซึ่งหน้า กับอำนาจลาวทางเหนือข้ามลำน้ำมูล และอำนาจขแมร์ทางใต้เชิงเขาพนมดงรักอย่างเข้มแข็ง 3


พิธีเซ่นไหว้ผีปะกำ บูชาบรรพบุรุษชาวกูยเลี้ยงช้าง ชาวกูยจึงใช้สิ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นเครื่องมือดูแลช้างคือ เชือกปะกำ และขอช้าง โดยความเคารพอย่างสูง ชาวช้างทักสายตระกูลจะมีสายปะกำตั้งอยู่ด้านหน้าบ้านต้นตระกูล แล้วทำพิธีเซ่นไหว้ผีปะกำประจำตระกูลในโอกาสต่างๆ เช่น การเซ่นไหว้ประจำปี หรือ เมื่อจะออกไป และกลับมาจากการจับช้างป่า หากคนในครอบครัวจำเป็นจะต้องเดินทางไกล ก็ต้องบอกกล่าวผีปะกำ เมื่อกลับมาก็เซ่นสรวงอีกครั้ง หรือในวาระที่ครอบครัวมีงานสำคัญ เช่น บวชนาค หรืองานแต่งงาน อีกทั้งการสู่ขอหญิงสาวที่อยู่ในบ้านที่นับถือผีปะกำ ก็จะต้อง สู่ขอและเซ่นผีปะกำก่อน รวมถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะต้องประกอบพิธี เซ่นไหว้ด้วยเช่นกัน โดยเชื่อว่ามูลเหตุในกรณีเหล่านั้น ล้วนมาจากการล่วงละเมิด หรือ ผิดผี ปะกำ นั่นเอง 4


ชาวกูยเลี้ยงช้างจะเคารพบูชาและเก็บรักษาเชือกปะกำศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่โรงปะกำ เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะความเชื่อเรื่อง เชือกปะกำมีผีปะกำสถิตอยู่เป็นประจำ เป็นพลังอำนาจ เหนือธรรมชาติที่สามารถดลบันดาลให้ชาวช้างประสบกับโชคดีหรือโชคร้ายได้เสมอ สิ่งที่ต้อง ระมัดระวังเป็นพิเศษก็คือ ห้ามเหยียบย่ำเชือกปะกำ ห้ามผู้หญิงหริอคนที่ไม่ใช่สายตระกูล ขึ้นไปบนโรงปะกำเด็ดขาด และต้องดูแลเซ่นไหว้ โรงประกำประจำ ไม่ทอดทิ้งปล่อยปละละเลย ชาวกูยเลี้ยงช้าง ยังถือว่าในตัวช้างทุกเชือกก็มีผีปะกำประจำกายอยู่ ทำหน้าที่ปกป้อง ดูแลช้างเชือกนั้น ดังนั้นการทำร้ายช้างอย่างไร้เมตตา การปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ดูแลช้าง ในที่สุดแล้ว ผีปะกำจะลงโทษเจ้าของช้างหรือคนในครอบครัวด้วยการดลบันดาลให้ประสบ เคราะห์กรรม หรือแม้แต่ตัวช้างเอง ผีปะกำ ก็อาจจะบันดาลให้เกิดอาการเจ็บป่วยคุ้มคลั่ง เรียกเหตุการณ์สะเทือนขวัญในทำนองนี้ว่า “ผิดปะกำ” หรือ “ผิดผีปะกำ” 5


แกลมอ พิธีกรรมชาติพันธุ์ ของชนชาวกูย พิธีกรรมแกลมอ (การรักษาโรคด้วยเพลงดนตรี) “แกลมอ” เป็นภาษากวย, กูย “แกล” แปลว่า เล่น คำว่า”มอ” เป็นคำเฉพาะ ซึ่งแกลมอหมายถึง “การเล่นมอ” พิธีกรรมแกลมอ มีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าพิธีกรรมนี้ มีมานานแล้ว ชาวกูยรับการถ่ายทอดต่อเนื่องกันมา จากรุ่นสู่รุ่น และปฏิบัติมาโดยตลอดจนกระทั่ง ทุกวันนี้ พิธีนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาส 3 ประการ คือ 1. เพื่อเป็นการเคารพครูบาอาจารย์ ปู่ย่า ตายายที่เคยเคารพ เมื่อถึงวันสำคัญในรอบปี ก็จะดำเนินพิธีกรรมขึ้นปีละ 1 ครั้ง ในวันอังคาร ขึ้น 8 หรือ 15 ค่ำ ของเดือนยี่ ตรงกับเดือน มกราคมของทุกปี 2. เพื่อแก้บน ตามที่ได้บนบานไว้ 3. เพื่อรักษาผู้ป่วย ซึ่งเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมาให้ความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำผ่านล่าม หรือคนทรงเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วยชาวกวย,กูย มีความเชื่อ ในเรื่องผีปู่ตา และเชื่อว่าตะกวดเป็นตัวแทนของผีปู่ตา เชื่อว่าตะกวดเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับน้ำ และฝน อันเป็นที่มาของความอุดมสมบูรณ์ โดยเซ่นไหว้ผีปู่ตาประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมการเล่นแกลมอ ภูมิปัญญารักษาโรคด้วยเพลงดนตรีที่สืบสาน กันมานาน ตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งมีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของชาวไทยกวย, กูย เป็นพิธีกรรม ที่ช่วยคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ 6


ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมการเล่นแกลมอ 1. การแต่งกายแม่มอและมอจะนุ่งผ้าถุงไหม โทนสีดำ สีน้ำตาล เป็นส่วนใหญ่ และใส่เสื้อ ทรงกระบอกแขนยาว พาดทับเฉียงด้วยผ้าสไบสีดำ สวมเครื่องประดับที่เป็นสายสร้อย ต่างหู และ กำไลข้อมือที่ทำจากเงิน 2.การไหว้ครูและเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ เข้าร่าง แม่มอไหว้ครูและทำพิธีเชิญวิญญาณ บรรพบุรุษเข้าประทับร่างทรงก่อนคนอื่น มอคนอื่นๆ เริ่มเชิญวิญญาณบรรพบุรุษเข้ามาประทับร่างทรง ของตนเรียงตามลำดับอาวุโส การเชิญวิญญาณ บรรพบุรุษนั้นจะถือขันที่ใส่ข้าวสาร และจุดเทียน ในขัน มือทั้ง 2 จะจับขันไว้ในอาการที่สงบนิ่ง คล้ายกับการนั่งสมาธิสักพักตัวก็จะเริ่มสั่นเบาๆ จนกระทั่งแรงขึ้น เหมือนคนทรงเจ้าจะโยกตัว ตามจังหวะเสียงกลอง เสียงแคน สักพักก็จะหยุด และมออื่นๆ ก็จะเริ่มเข้าทรงจนครบทุกคน 7


3. การร่ายรำ เมื่อวิญญาณบรรพบุรุษเข้าร่างทรงแม่มอและมอแล้ว ก็จะจัดตบแต่ง เครื่องแต่งกายพร้อมกับดื่มน้ำและเหล้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดนตรีจะเริ่มบรรเลงอีกครั้งในจังหวะ ช้าและเร็วขึ้นตามลำดับ แม่มอและมอทุกคนจะลุกขึ้นร่ายรำอย่างสนุกสนานตามจังหวะของเสียง ดนตรีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผู้มาร่วมพิธีกรรมหากเกิดความสนุกสนาน ก็สามารถจะร่ายรำ กับแม่มอและมอได้ 4. การแห่ดอกไม้บริวารจะจัดเตรียม ขันดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ที่จัดเตรียมจะเป็นดอกไม้ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ในการแห่ดอกไม้เป็นการ แสดงความยินดีที่มีการเฉลิมฉลอง ในการ ที่มีความสุข จากการที่ได้ช้าง ม้า และอื่นๆ มาอยู่ในกลุ่มหรือตระกูลของตนเอง 5. การตัดแพ และการอาบน้ำผู้เจ็บป่วย ญาติจะช่วยกันจัด ที่มีถังใส่น้ำ 2 ถัง มีแพ 9 ชั้น ทำด้วยก้านกล้วย ก่อนจะเริ่มในแต่ละขั้นตอน บรรดามอจะร่ายรำ 3 รอบทุกครั้ง (เวียนซ้าย) การตั้งแพจะตั้งทางทิศใต้ของปะรำพิธีจะมีไม้ กระดานเตรียมสำหรับผู้ป่วยนั่ง แม่มอ และมอ ร้องรำนำหน้าทำพิธีกลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบนอก ต่างก็ส่งเสียง ให้ตัดแพโดยเร็ว 8


6.การบายศรีสู่ขวัญผู้เจ็บป่วย ผู้ที่อยู่รอบนอก (ผู้หญิง) จะจัดบายศรี สำหรับมอทุกคน มอนั่งลงตรงหน้า บายศรีแล้วจุดเทียนทำท่ากินเทียน (เปลวเทียน) 3 รอบ เป็นอันจบพิธี กินบายศรีผู้มาร่วมพิธีกรรมทั้งหมด ที่อยู่บริเวณที่ประกอบพิธีกรรม จะนำด้ายผูกข้อมือผูกให้กับผู้ป่วย ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการเรียกขวัญ ให้กลับมาอยู่กับตัว และจะทำให้ อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ได้หายไป 7. การออกจากร่างทรงแม่มอ และมอทั้งหมดจะลุกขึ้นรำอีก 3 รอบ แล้วจะทำพิธี กินบายศรี (อาหารที่จัดสำรับเหมือนตอนแรก) เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วก็จะทำพิธีออกจากร่าง จะปฏิบัติเหมือนตอนแรกที่เริ่มเข้าทรงเป็นการปล่อยวิญญาณบรรพบุรุษให้ไปอยู่ที่เดิม ตอนออก หมอแคนจะเป่าแคนให้ทำนองคนเดียวจะไม่ใช้กลองตีให้จังหวะเพราะเชื่อว่าหากได้ยินเสียงกลอง มอจะไม่ยอมออกจากร่าง มอจะออกจากร่างก่อนหลังตามอาวุโสของมอคือจากน้อยไปหามาก แม่มอจะออกร่างเป็นคนสุดท้าย เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรม การเล่นแกลมอ 9


จากสภาพความก้าวหน้าของโลก ในปัจจุบัน แม้วิวัฒนาการทางการแพทย์ เจริญก้าวหน้าเพียงใดการรักษาโรคบางอย่าง จำเป็นต้องใช้ค่ารักษาที่สูง ทำให้ส่วนมาก หันไปรักษาวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การรักษา ด้วยพิธีกรรม หมอสมุนไพร ซึ่งค่าใช้จ่าย การรักษาไม่สูงมากนัก พิธีแกลมอประกอบขึ้น ยามเหตุการณ์วิกฤตในครอบครัว จึงเป็น วิธีการบำบัดอีกวิธีหนึ่งที่ยังคงยึดมั่นค่อนข้าง เหนียวแน่นเกือบทุกผู้ทุกคน สังเกตได้จาก การเข้าร่วมพิธีกรรมของกลุ่มชนจะพบเห็น ทุกเพศทุกวัยในวงพิธีกรรม แม้ว่าทัศนคติ ของคนบางคนจะไม่เชื่อในเรื่องนี้แต่หากมี การประกอบพิธีกรรมก็ยังฝากปัจจัยอื่นๆ เข้าสมทบ และผู้คนเหล่านั้นไม่ได้ดูหมิ่น หรือกล่าวร้ายต่อแกลมอแต่อย่างใด พิธีกรรม ที่เรียกว่าแกลมอก็ยังอยู่ในระบบความเชื่อตลอดไป 10


กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์. (2562). คชศาสตร์ชาวกูย. (พิมพ์ครั้งที่ 1). พริ้นติ้งเฮาส์. ชุดหมอมดแกลมอ. 2565. เข้าถึงได้จากhttps://women.kapook.com/view254625.html. 14 เมษายน 2565 ศุภชัย เอี่ยมสุวรรณและคณะ. (2553). 75 เทศกาล งานประเพณีทั่วไทย ที่คนไทย ต้องไปสักครั้ง. กรุงเทพฯ : บ้านผู้นำ. องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์. (2561). กำเนิดโลกของช้าง. (พิมพ์ครั้งที่ 1). สุรินทร์. ห้างหุ้นส่วนจำกัดพีอาร์. พริ้นติ้งเฮาส์. เอกสารอ้างอิง


ผู้เรียบเรียง นางพนิดา ยิ่งกล้า ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1


Click to View FlipBook Version