ก
รายงานวจิ ยั ในช้นั เรยี น
เรือ่ ง การพัฒนาสอื่ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน สำหรบั ใชท้ ดลองประกอบ
การจัดการเรียนการสอนรายวชิ าวงจรไฟฟา้ กระแสตรงของนกั เรยี น
ระดบั ปวช. ช้ันปที ี่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลงั วทิ ยาลัยการอาชพี ปง
จดั ทำโดย
นายกฤษฎา อิ่นต๊ิบ
ตำแหนง่ พนักงานราชการ (ครู)
วทิ ยาลัยการอาชพี ปง
สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
ช่อื เรื่อง ก
ผวู้ ิจัย การพัฒนาสื่อคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียนการสอน
แผนกวิชา รายวชิ าวงจรไฟฟา้ กระแสตรง ของนักเรยี น ระดบั ปวช. ช้ันปีท่ี 1 แผนกวชิ าไฟฟ้ากำลัง
ภาคเรียนที่ วิทยาลยั การอาชีพปง
ปกี ารศึกษา นายกฤษฎา อิ่นติบ๊
ชา่ งไฟฟา้ กำลัง วิทยาลยั การอาชีพปง
1
2565
บทคัดย่อ
จากการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียนระดับ ปวช. 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง
โดยการศึกษาการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟ้ากำลัง โดยมีประชากร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ระดับ ปวช.1 แผนกวิชาวิชาไฟฟ้า
สาขางานไฟฟ้ากำลัง จำนวน 20 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2565 เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้เป็นเครื่องมือ
เก็บข้อมลู งานวจิ ยั ประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน เพือ่ เปรยี บเทยี บคะแนนสอบวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
หลังเรยี นกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 75 ซ่ึงผ้ศู ึกษาไดน้ ำเสนอขอ้ มลู ตามลำดบั
ผลการศึกษาวิจัย การทดลองการพัฒนาสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลอง
ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1
แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง โดยมีประชากร มีประเด็นที่ผู้วิจัย
สามารถนำมาอภปิ รายผล ดงั นี้
การเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน
โดยศึกษาความรู้จากสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง พบว่า คะแนนสอบ
วัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01 ตามสมมติฐาน
ขอ้ ท่ี 1 แสดงว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง สง่ ผลใหน้ ักเรยี นมีความรู้
และทักษะกระบวนการตา่ งๆสงู ขึน้
การเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 75
พบว่า คะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 75
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับสมมติฐานข้อที่ 2 แสดงว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามทฤษฎีการสร้างความรูด้ ้วยตนเอง ช่วยพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์
สูงสดุ แกผ่ ู้เรยี นอยา่ งแท้จริง
ก
คำนำ
การจดั ทำรายงานวจิ ัยในช้นั เรียนเลม่ นี้ จัดทำขนึ้ เพื่อการแกไ้ ขปญั หาการเรยี นการสอนในช้นั เรยี น
แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
หัวข้อเรื่อง การพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียน
การสอน รายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟ้ากำลัง วทิ ยาลยั การอาชีพปง
ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูลหาสาเหตุของปัญหา สร้างเครื่องมือในการศึกษาถึงสาเหตุ
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์และเป็นกรณีศึกษาสำหรบั ผู้อ่าน
และผู้ท่เี กีย่ วข้องต่อไป
นายกฤษฎา อ่ินตบ๊ิ
ผู้จัดทำ
สารบัญ ข
คำนำ หนา้
สารบัญ ก
สารบญั ตาราง ข
บทที่ 1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา ค
1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา 1
1.2 วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 1
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 1
1.4 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 2
1.5 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รบั 2
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ ง
2.1 ขัน้ ตอนการผลิตสื่อ CAI 3
2.2 ประเภทของคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน 5
2.3 CAI คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน 6
2.4 งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง 8
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ยั
3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 11
3.2 การสรา้ งเครอ่ื งมอื เก็บรวบรวมข้อมลู 11
3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 13
3.4 การวิเคราะหข์ ้อมูล 13
บทท่ี 4 ผลการดำเนินงาน
4.1 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนฯ 14
4.2 การเปรียบเทยี บคะแนนสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรยี น 15
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
5.1 สรปุ 16
5.2 อภิปรายผล 16
5.3 ขอ้ เสนอแนะ 16
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก ตารางประเมนิ ความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามฯ
ภาคผนวก ข การพัฒนาสอื่ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนสร้างขน้ึ
สารบัญตาราง ค
ตารางที่ 4.1 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เปรียบเทียบคะแนนสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หน้า
ก่อนเรียนกบั หลัง 14
15
ตารางท่ี 4.2 การเปรียบเทียบคะแนนสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นหลงั เรียน 21
ตารางท่ี ก.1 คา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งของขอ้ คำถามกบั จดุ ประสงคข์ องการวจิ ยั
1
บทที่ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา
ในปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ในทุกทุกดา้ น เช่น ด้านการสือ่ สาร ด้าน Social ด้านการแพทย์ ด้านอุตสาหกรรม ด้านการศึกษา เป็นต้น
คอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยในการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจและเป็นระบบและเป็นระบบมัลติมีเดีย
ทำให้เกิดความเพลิดเพลินจากสีสัน เสียง และรูปแบบในการนำเสนอทำให้ผู้ที่ทำการเรียนรู้
หรือเกิดประสบการณ์ และมีกระบวนการในการเรียนรู้ที่เป็นระบบและเกิดความเข้าใจได้ง่ายข้ึน
อีกทั้งยังสามารถใช้ในการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกเป็นอย่างดี เมื่อต้องการศึกษาเพิ่มเติม มีข้อสอบ
เพื่อใช้ทดสอบความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อผู้เรียนได้หัดทำข้อสอบ
มากเท่าไรก็ตามผู้เรียนก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความชำนาญและเกิดเป็นประสบการณ์ทางการเรียนรู้
ในสาขาวิชานั้นต่อไป มีการประมวลผลการเรียนรู้ของนักเรียน เพราะฉะนั้นสื่อการสอนคอมพิวเตอร์
ชว่ ยสอน (CAI ) จงึ มีความจำเป็นในการเรยี นรู้ของนกั เรียนในยคุ ปัจจุบัน เพอื่ เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรยี นต่อไป
ดงั น้นั จากกระบวนการพัฒนาการเรยี นรูด้ ้วยตนเองดังกลา่ ว ผวู้ จิ ยั ในฐานะผสู้ อนจึงมีความสนใจ
ที่จะศึกษาแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลาย เพราะเป็นแนวคิด
ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิด การฝึกปฏิบัติ และการแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยใช้ประสบการณ์
และให้ความสำคัญกับกระบวนการรายบุคคลในการได้มาซึ่งความรู้ ผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์
เดิมมาทำให้เข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อนำผลที่ได้จากการวิจัยนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียน
การสอนใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพแกน่ กั เรยี น นักศึกษา มากที่สุด
1.2 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย
1.2.1 เพื่อใชเ้ ป็นส่อื การเรียนการสอนและใชใ้ นการทบทวนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
1.2.2 เพอื่ ใหน้ กั เรยี นใชใ้ นการทบทวนเนือ้ หาและทำขอ้ สอบเพิ่มเติม
1.3 ขอบเขตของการวิจัย
1.3.1 ขอบเขตด้านเนอื้ หา
ศึกษาแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง การพัฒนาสื่อการสอนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน ในการจัดการเรียนการสอนเนื้อหาในรายวิชา (หน่วยเรียนรู้) ที่ครอบคลุมกับคำอธิบายรายวิชา
ประกอบด้วย เซลล์ไฟฟ้า กฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้าอนุกรม-ขนาน-ผสม วงจรและกำลังไฟฟ้า
การแบง่ กระแสและแรงดัน การแปลงคา่ วงจรความตา้ นทานสตาร์-เดลตา้ และเคอรช์ อฟฟ์
1.3.2 ขอบเขตด้านประชากรกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักศึกษาที่เรียนวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง อำเภอปง
จังหวดั พะเยา
กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาที่เรียนวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1
แผนกวชิ าไฟฟา้ กำลงั สาขางานไฟฟา้ กำลัง วทิ ยาลัยการอาชีพปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา จำนวน 20 คน
2
1.3.3 ขอบเขตดา้ นระยะเวลา
การศึกษาวจิ ยั ในครง้ั น้ี ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่สปั ดาห์ท่ี 1 ถงึ สปั ดาห์ท่ี 14
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
1.4 นิยามศพั ท์เฉพาะ
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการ
และวิธีการของบุคคลในการสร้างความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ รวมทั้งโครงสร้างทางปัญญา
และความเชื่อที่ใช้ในการแปลความหมายเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ เป็นกระบวนการที่ผู้เรียน
จะต้องจัดกระทำกับข้อมูล
สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI ) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI:COMPUTER ASSISTED
INSTRUCTION)คือการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องช่วย ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ผา่ นส่อื คอมพวิ เตอรท์ เี่ ป็นผู้นำเสนอ ผู้เรียนสามารถปฏสิ ัมพนั ธโ์ ต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้
1.5 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ
1.5.1 สามารถใช้เป็นส่ือการเรียนการสอนและใชใ้ นการทบทวนรายวชิ าวงจรไฟฟา้ กระแสตรง
1.5.2 นักเรยี นสามารถใช้ส่อื ในการทบทวนเน้อื หาและทำข้อสอบเพิม่ เตมิ
3
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง
ในการวิจัย พัฒนาสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียน
การสอน รายวิชาวงจรไฟฟ้าการะแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง ผู้จัดทำวิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารประกอบการวิจัย
ตามลำดบั ดงั นี้
2.1 ขนั้ ตอนการผลิตสือ่ CAI
2.2 ประเภทของคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน
2.3 CAI คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน
2.4 งานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
2.1 ขั้นตอนการผลติ สอ่ื CAI
1. ขน้ั การเตรียมการ (Preparation)
2. ข้นั การออกแบบบทเรียน (Design Instruction)
3. ขั้นการเขียนผงั งาน (Flow-Chart Lesson)
4. ขั้นการสร้าง (Story board)
5. ขัน้ การสร้าง/เขียนโปรแกรม (Program lesson)
6. ขัน้ การผลติ เอกสาร (Produce Supporting Materials)
7. ขั้นการประเมินและแกไ้ ขบทเรยี น (Evaluation and Revise)
ในการสร้างสื่อมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเรียนรูปแบบใด จะเริ่มต้นด้วยการกำหนด
หัวหัวเรื่อง เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ จากนั้นทำการวเิ คราะห์ (Analysis) ออกแบบ
(Design) พัฒนา (Development) สร้าง (Implementation) ประเมินผล (Evaluation) และนำออก
เผยแพร่(Publication) ซึ่งการสร้างสื่อมัลติมีเดียที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าการจัดทำสื่อมัลติมีเดียน้ี
เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ ซึ่งหมายความว่าใครๆ ที่มีความรูท้ างคอมพิวเตอร์ก็สามารถจะสร้างสื่อมัลติมเี ดียได้
ในที่นี้จะกำหนดขั้นตอนการสร้างสื่อมัลติมีเดียโดยละเอียด ทั้งหมด 7 ขั้นตอน เพื่อสะดวกกับผู้เริ่มต้น
ทส่ี นใจในการสร้างส่ือมัลตมิ เี ดยี (สุกรี รอดโพธท์ อง 2538 : 25-33) ดังน้ี
2.1.1 ขน้ั การเตรยี มการ (Preparation)
2.1.1.1 กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Determine Goals and Objectives)
คือการตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนจะสามารถใช้บทเรียนนี้เพื่อศึกษาในเรื่องใดและลักษณะใด กล่าวคือ
เป็นบทเรียนหลักเป็นบทเรยี นเสรมิ เป็นแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมหรือแบบทดสอบ รวมทง้ั การนำเสนอเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ในการเรียน เราจะต้องทราบพื้นฐานของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเสียก่อน
เพราะความรพู้ ื้นฐานของผเู้ รียนมอี ิทธพิ ลต่อเปา้ หมายและวัตถุประสงคข์ องการเรยี น
2.1.1.2 รวบรวมข้อมูล (Collect Resources) หมายถึง การเตรียมพร้อมทางด้าน
ของเอกสารสนเทศ (Information) ทัง้ หมดทเี่ ก่ียวข้อง
2.1.1.3 เนื้อหา (Meterials) ได้แก่ ตำรา หนังสือ เอกสารทางวิชาการ หนังสืออ้างอิง
สไลด์ภาพต่างๆ แบบสร้างสถานการณ์จำลอง เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ หรือทดลองจากสภาพการณ์
4
จำลองจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะหาไม่ได้หรืออยู่ไกลไม่สามารถนำเข้ามาในห้องเรียนได้
หรือมีสภาพอันตราย หรืออาจสิ้นเปลืองมากที่ต้องใช้ของจริงซ้ำ ๆ สามารถใช้สาธิตประกอบการสอน
ใช้เสริมการสอนในหอ้ งเรียน หรือใช้ซ่อมเสรมิ ภายหลงั การเรยี นนอกหอ้ งเรยี น ที่ใด เวลาใด กไ็ ด้
2.1.1.4 การพัฒนาและออกแบบบทเรียน (Instructional Development) คือ หนังสือ
การออกแบบบทเรยี น กระดาษวาดสตอรี่บอรด์ ส่อื สำหรบั การทำกราฟกิ โปรแกรมประมวลผลคำ เป็นตน้
2.1.1.5 สื่อในการนำเสนอบทเรียน (Instructional Development System) ได้แก่
การนำเอาคอมพวิ เตอรส์ อื่ ตา่ งๆ มาใชง้ าน
2.1.1.6 เรียนรู้เน้ือหา (Learn Content) เช่น การสมั ภาษณผ์ ู้เชี่ยวชาญ การอ่านหนังสอื
หรือเอกสาอ่นื ๆ ท่เี กยี่ วกับเนอ้ื หาบทเรียน ถ้าไมม่ ีการเรียนร้เู นื้อหาเสียกอ่ นกไ็ มส่ ามารถออกแบบบทเรียน
ทมี่ ีประสิทธิภาพได้
2.1.1.7 สร้างความคิด (Generate Ideas) คือ การระดมสมองนั่นเอง การระดมสมอง
หมายถงึ การกระตนุ้ ให้เกดิ การใช้ความคดิ สรา้ งสรรค์เพื่อให้ได้ขอ้ คดิ เห็นตา่ งๆ เป็นจำนวนมาก
2.1.2 ขั้นการออกแบบบทเรียน (Design Instruction) ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน
เปน็ ข้ันตอนทีส่ ำคัญทสี่ ดุ ขน้ั หนึง่ ในการกำหนดว่าบทเรยี นจะออกมามีลกั ษณะใด
2.1.2.1 ทอนความคดิ (Elimination of Ideas)
2.1.2.2 วิเคราะหง์ านและแนวความคิด (Task and Concept Analysis)
2.1.2.3 ออกแบบบทเรียนข้นั แรก (Preliminary Lesson Description)
2.1.2.4 ประเมนิ และแกไ้ ขการออกแบบ (Evaluation and Revision of the Design)
2.1.3 ขั้นการเขียนผังงาน (Flow-Chart Lesson) เป็นการนำเสนอลำดับขั้นโครงสร้างของ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผังงานทำหน้าที่เสนอข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม เช่น อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนตอบ
คำถามผิด หรอื เมื่อไหรจ่ ะมีการจบบทเรยี น และการเขียนผังงานข้ึนอยู่กับประเภทของบทเรียนด้วย
2.1.4 ขั้นการสร้าง (Story board) เป็นขั้นตอนการเตรียมการนำเสนอข้อความ ภาพ รวมทั้ง
สื่อในรูปแบบมัลติมีเดียต่างๆ ลงบนกระดาษเพื่อให้การนำเสนอข้อความและรูปแบบต่างๆ เหล่านี้เป็นไป
อยา่ งเหมาะสมบนหนา้ จอคอมพิวเตอร์ตอ่ ไป
2.1.5 ขั้นการสร้าง/เขียนโปรแกรม (Program lesson) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลสตอร่ี
บอร์ดให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงฮาร์ดแวร์ ลักษณะและประเภทของ
บทเรียนทีต่ อ้ งการสรา้ ง โปรแกรมเมอรแ์ ละงบประมาณ
2.1.6 ขั้นการผลิตเอกสาร (Produce Supporting Materials) เอกสารประกอบบทเรียน
อาจแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ คู่มือการใช้ของผู้เรียน คู่มือการใช้ของผู้สอน คู่มือสำหรับแก้ปัญหา
เทคนิคต่างๆ และเอกสารประกอบเพิ่มเติมทั่ว ๆ ไป ผู้เรียนและผู้สอนย่อมมีความต้องการแตกต่างกัน
คมู่ อื จึงไมเ่ หมือนกัน คมู่ ือการแกป้ ญั หาก็จำเปน็ หากการติดต้ังมีความสลับซับซอ้ นมาก
2.1.7 ขั้นการประเมินและแก้ไขบทเรียน (Evaluation and Revise) บทเรียนและเอกสาร
ประกอบทั้งหมดควรที่จะได้รับการประเมิน โดยเฉพาะการประเมินการทำงานของบทเรียน ในส่วนของ
การนำเสนอนั้นควรจะทำการประเมินก็คือ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบมาก่อนในการประเมิน
การทำงานของบทเรียนนั้นผู้ออกแบบควรที่จะสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากที่ได้ทำการเรียน
จากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นๆ แล้ว โดยผู้ที่เรียนจะต้องมาจากผู้เรียนในกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้อาจจะ
ครอบคลุมถึงการทดสอบนำร่องการประเมินผลจากผู้เชี่ยวชาญได้ในการประเมินการทำ งานของบทเรียน
5
นนั้ ผอู้ อกแบบควรทจี่ ะสงั เกตพฤติกรรมของผู้เรียนหลงั จากทไ่ี ดท้ ำการเรยี นจากคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนนนั้ ๆ
แล้ว โดยผู้ที่เรียนจะต้องมาจากผู้เรียนในกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้อาจจะครอบคลุมถึงการทดสอบ
นำรอ่ งการประเมนิ ผลจากผเู้ ชีย่ วชาญได้
2.2 ประเภทของคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การแบ่งประเภทบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งการแบ่งรูปแบบหรือประเภทของ
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์ โดยสรุปแล้วมี 5 รูปแบบ คือ การสอน (Tuturial)
ฝึกหัดปฏิบัติ (Drill and Practice) สถานการณ์จำลอง (Simulation) เกมส์ (Games) และการทดสอบ
(Tests)
2.2.1 การสอน (Tutorial) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทนี้ จะเป็นสอนสิ่งใหม่
ให้แก่นักเรียน คอมพิวเตอร์จะเป็นเหมือนครูสอนนักเรียนเป็นรายบุคคล บทเรียนคอมพิวเตอร์
ชว่ ย สอนก็จะต้องดำเนินตามข้ันตอน วธิ ีการสอนหน่วยหนึง่ ๆ เหมือนกับครูสอนในห้องเรียนคอมพิวเตอร์
ชว่ ยสอน สว่ นใหญจ่ ะใชล้ ักษณะน้ีเพราะจะใชก้ ับวิชาใดก็ไดจ้ ะสอนอะไรกไ็ ดเ้ ชน่ กัน
2.2.2 ฝึกหัดและปฏิบัติ (Drill and Practice) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อฝึกหัด
และ ปฏิบตั ิน้ัน จะใชห้ ลังจากการเรียนร้สู ่ิงใหม่แล้วอาจจะเรียนจากการสอน หรอื อาจจะเรียนจากเอกสาร
หนังสือหรือสื่ออื่นๆ ก็ได้ การฝึกหัดและการปฏิบัตินี้ใช้ได้เกือบทุกสาขาวิชาไม่ใช่เพียงแต่สอน
เลข คณิตกับคำศัพท์ ซึ่งบทเรียนจำนวนมากที่ทำในสองวิชานี้ แต่ยังอาจจะใช้ฝึกหัดวิชาอื่นๆได้
เชน่ ภูมศิ าสตร์ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตรเ์ ป็นตน้
2.2.3 แบบสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ หรือทดลอง
จากสถานการณ์ที่จำลองจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะหาไม่ได้หรืออยู่ไกล ไม่สามารถนำเข้า
มาในห้องเรียนได้ หรือมีสภาพอันตราย หรืออาจสิ้นเปลืองมากที่ต้องใช้ของจริงซ้ำ ๆ สามารถใช้สาธิต
ประกอบการสอน ใช้เสริมการสอนในห้องเรียน หรือใช้ซ่อมเสริมภายหลังการเรียนนอกห้องเรียน
ท่ีไดเ้ วลาใดกไ็ ด้
2.2.4 แบบเกมส์ (Games) เกมส์คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ เกมส์
เพอ่ื การสอนและเกมส์ทไ่ี มใ่ ช่เพ่อื การสอนหรือเปน็ เกมสบ์ นั เทงิ
2.2.5 ทดสอบ (Tests) การใชค้ อมพิวเตอร์เพอ่ื การทดสอบ หรือประเมนิ ผลนักเรยี น ทำได้ 2 วธิ ี
คือการใชค้ อมพวิ เตอรเ์ ป็นเครื่องมอื ในการสร้างขอ้ สอบ และการใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการ บรหิ ารงานทดสอบ
หรือในการจดั สอบ
2.2.5.1 การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการสร้างข้อสอบ โดยทั่วไปมักจะใช้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมคำถามและคำตอบ นอกจากนี้ยังสามารถ
จดั เกบ็ ในลกั ษณะเป็นคลงั ขอ้ สอบไดอ้ กี ดว้ ย
2.2.5.2 การใช้คอมพิวเตอร์ในการบริหารงานทดสอบ ครูสามารถเลือกหรือสุ่มข้อสอบ
ท่ีต้องการออกมาใชเ้ ปน็ แบบทดสอบได้
6
2.3 คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) บางตำราอาจเรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน หรือ Computer
Assisted Instruction หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถ
ของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วิดีทัศน์
ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน เนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ
หรือองค์ความรู้ในลักษณะ ที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ
ก็คือ ดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เป็นตัวอย่างที่ดีของสื่อการศึกษาในลักษณะตัวต่อตัว ซึ่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์
หรือการโต้ตอบพร้อมทั้งการได้รับผลป้อนกลับ (FEEDBACK) นอกจากน้ี ยังเป็นสื่อที่สามารถตอบสนอง
ความแตกต่างระหว่างผู้เรียนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถที่จะประเมิน และตรวจสอบความเข้าใจ
ของผู้เรยี นได้ตลอดเวลา
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่ Computer Assisted Instruction (CAI), Computer Aided
Instruction (CAI), Computer Assisted Learning (CAL), Computer Aided Learning (CAL),
Computer Based Instruction (CBI), Computer Based Training (CBT), Computer Administered
Education (CAE), Computer Aided Teaching (CAT) แต่ที่นิยมใช้ทั่วไปในปัจจุบันได้แก่ Computer
Assisted Instruction หรอื CAI หรือสื่อซีเอไอ
นอกจากน้ี ยังมี บทเรยี นสำเรจ็ รปู คอมพวิ เตอรก์ ารสอน (Computer Instruction Package : CI
Package ) ซึ่งหมายถึง บทเรียนสำเร็จรูปทีส่ ร้างขึ้นในลักษณะซอฟต์แวร์สำเร็จรปู (Package Software)
นำไปสอน (Instruction) เนื้อหาใหม่ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนบทเรียน
หรือนำเสนอบทเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเองได้ตามระดับความสามารถของตนเอง ในบทเรียน
มีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน จุดเด่นที่สำคัญของบทเรียน
คือ การนำเสนอเนื้อหาในลักษณะหลายสื่อ (Multimedia) ได้แก่ประเภท ข้อความ (Text) รูปภาพ
(Image) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) ภาพวิดีโอ (Video) และเสียง (Audio) โดยที่ผู้เรียนจะมีโอกาส
ได้ปฏสิ มั พันธ์ (Interactive) กับบทเรียนโดยผา่ นเครื่องคอมพวิ เตอรไ์ ด้ตลอดเวลา
7
รปู ท่ี 2.1 ตัวอย่างสอ่ื คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI)
2.3.1 คณุ ลักษณะทเ่ี ป็นองค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
2.3.1.1 สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระที่ได้รับการเรียบเรียง
ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ผู้สร้างได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้
การนำเสนออาจเป็นไปในลักษณะทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ประเภทคอมพิวติวเตอร์ เช่นการอ่าน จำ ทำความเข้าใจ ฝึกฝน ตัวอย่าง การนำเสนอในทางอ้อม
ได้แก่ คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนประเภทเกมและการจำลอง
2.3.1.2 ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualization) การตอบสนองความแตกตา่ ง
ระหว่างบุคคล คือลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน
ทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นสื่อประเภทหนึ่งจึงต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะ
ทตี่ อบสนองต่อความแตก ตา่ งระหวา่ งบุคคลให้มากท่ีสุด
2.3.1.3 การโต้ตอบ (Interaction) คือ มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนการเรียน การสอนรูปแบบท่ดี ีทีส่ ุดกค็ ือเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้มีปฏิสัมพันธ์กบั ผสู้ อนไดม้ ากท่สี ดุ
2.3.1.4 การให้ผลป้อนกลับโดยทันที (Immediate Feedback) ผลป้อนกลับ
หรือการให้คำตอบนี้ถือเป็นการ เสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึง
การที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่สมบูรณ์จะต้องมีการ ทดสอบหรือประเมินความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหา
หรอื ทกั ษะต่าง ๆ ตามวตั ถุประสงค์ท่กี ำหนดไวป้ ระโยชน์ของคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI)
1) ช่วยให้ผู้เรียนทีเ่ รียนออ่ น สามารถใช้เวลานอกเวลาเรียนในการฝึกฝนทักษะ
และเพม่ิ เตมิ ความรู้ เพื่อปรบั ปรุงการเรยี นของตนได้หลายคร้งั เท่าท่ีตอ้ งการ
2) ผู้เรียนสามารถนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้ในการเรียนด้วยตนเอง
ในเวลาและสถานที่ทส่ี ะดวก
8
3) คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถที่จะจูงใจผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้น
สนุกสนานไปกับการเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามขั้นตอนจากง่ายไปยาก หรือเลือกบทเรียนได้
4) มภี าพ ภาพเคลอื่ นไหว สี เสยี ง ทำให้ผู้เรยี นไม่เบอ่ื หน่ายการเรียน
2.3.2 คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมลี กั ษณะการเรียนท่ีเปน็ ขั้นเป็นตอน ดงั นี้
1. ขน้ั นำเข้าสู่บทเรียน
2. ขน้ั การเสนอเนอื้ หา
3. ข้นั คำถามและคำตอบ
4. ขั้นการตรวจคำตอบ
5. ข้ันของการปดิ บทเรียน
2.3.3 ลกั ษณะของการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนทด่ี ี มดี งั น้ี
1. สรา้ งขน้ึ ตามจดุ ประสงค์ของการสอน
2. เหมาะสมกบั ลกั ษณะของผเู้ รยี น
3. มีปฏสิ มั พันธก์ ับผ้เู รยี นใหม้ ากทส่ี ดุ
4. มลี กั ษณะเปน็ การสอนรายบคุ คล
5. คำนงึ ถงึ ความสนใจของผู้เรียน
6. สร้างความรสู้ ึกในทางบวกกับผเู้ รียน
7. จัดทำบทเรยี นให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยงั ผเู้ รยี นใหม้ าก ๆ
8. เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมทางการเรยี นการสอน
9. มีวธิ กี ารประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านของผ้เู รียนอยา่ งเหมาะสม
10. ใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มท่ี และหลีกเลี่ยงข้อจำกัดบางอย่าง
ของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บนพื้นฐานของการออกแบบการสอนคล้ายกับการผลิตสื่อชนิดอื่น ๆ
ควรมกี ารประเมินผลทกุ แงท่ ุกมุม
2.3.5 ข้อพงึ ระวังของการใช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน
1. ผูส้ อนจะตอ้ งมคี วามพร้อม ความชำนาญในการสอนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน
2. ผู้สอนควรมีการวางแผน และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนให้รอบคอบ
ก่อนนำคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนไปใชอ้ ย่างเหมาะสม
3. การผลิตคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนไมไ่ ด้รบั การออกแบบอย่างเหมาะสม จะทำให้ผูเ้ รยี นร้สู กึ เบ่ือหน่ายและไม่ต้องการใชค้ อมพวิ เตอร์
ช่วยสอนน้นั ๆ
4. ผู้ที่สนใจสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรที่คำนึงเวลาในการผลิตว่า คอมพิวเตอร์
ชว่ ยสอนทีไ่ ด้มาตรฐานนนั้ ตอ้ งใช้เวลาเท่าไร
2.4 งานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง
จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยในประเทศ ซึ่งจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ดังนั้นผูว้ ิจัยจงึ ขอนำมาใชอ้ ้างอิง ดังน้ี
ประภาทพิ ย์ อัคคะปญั ญาพงศ์ (2559 : บทคดั ยอ่ ) การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน โดย
ใช้สถานการณ์ปัญหาเป็นฐาน เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์เรื่อง มงคลชีวิต
9
วิชาพระพุทธศาสนา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้สถานการณ์ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง มงคลชีวิต วิชาพระพุทธศาสนา สำหรับ
นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของ
การเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง มงคลชีวิต 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความสามารถ
ในการคิดวิเคราะห์ก่อนและหลังเรียน เรื่อง มงคลชีวิต วิชาพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียน
ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน โดยใช้บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6
ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ชลบุรีสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี 35 คน
ได้จากการสุม่ โดยใช้การสมุ่ แบบกลมุ่ แบบขน้ั ตอนเดยี วโดยใช้เวลาวันละ1 ชั่วโมงต่อ 1 วนั รวมระยะเวลา
ทั้งสิ้น 7 วัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยใช้สถานการณ์ปัญหาเป็นฐาน เพื่อสร้างเสริม
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง มงคลชีวิต วิชาพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 88.23/85.86 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ที่ต้ังไว้ 2) มีค่าประสิทธิผลของการเรียน
จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง มงคลชีวติ เท่ากับ 0.68 3) เปรียบเทียบคะแนนความสามารถ
ในการคิดวิเคราะห์ เรื่องมงคลชีวิต หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
และ 4) ความพึงพอใจของนกัเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เฉลี่ยอยู่ในระดับ
มากทส่ี ุด มคี ่าเฉล่ียเทา่ กับ 4.59
ฉัตรทอง นกเชิดช (2559 : บทคัดย่อ) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ ปัจจุบันสื่อการเรียนรู้จึงเป็นเครือ่ งมือสง่ เสริมสนบั สนนุ
การจัดการกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้ สามารถเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะ
ตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมี ประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ
สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่าย การเรียนรู้ การเลือกใช้สื่อควรเลือกให้เหมาะสมกับระดับ
พัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ที่หลากหลายของ ผู้เรียนการจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถ
จัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้ อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบ
ในการจัดการการเรียนรู้ ซึ่งทางสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์
ได้จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในทุกภาคการศึกษา เนื่องจาก
เป็นวิชาแกนของคณะ บริหารธุรกิจ ที่ผ่านมาพบว่าเกรดเฉลี่ยในรายวิชานี้ต่ำกว่า 2.00 และได้พบว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าว นิสิตบางคนไม่ค่อยสนใจในรายวิชาดังกล่าว
อีกทั้งนิสิตบางคนเรียนไม่ ทันเพื่อน และปัญหาที่สำคัญคือนิสิตบางคนห่างหายจากการเรียนมานานมาก
หลงั จากไดด้ ำเนนิ การวิจัยเพอื่ สรา้ งและหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน รายวิชาการใช้
คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ ทางผู้วิจัยได้ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพทางการเรียนระหว่าง เรียน (1)
เท่ากับ 81.00 และประสิทธิภาพทางการเรียนหลังการเรียน (2) เท่ากับ 83.00 แสดงว่า บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.00/83.00 ซึ่งสรุปได้ว่า บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หลังจากการทดลอง
ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ
13.40 ส่วนคะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนเท่ากับ 16.56 เมื่อนำค่าเฉลีย่ ของคะแนนไปทดสอบความ แตกต่างโดย
ใช้ t-test dependent ได้ว่า t มีค่าเท่ากับ 15.91 ส่วนค่า t จากการเปิดตาราง โดยที่ df = n – 1 = 44
10
ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 / 1-tailed, t = 1.591 ดังนั้น ค่า t = 1.591 ดังนั้น t จาก การคำนวณ
สูงกว่าค่า t จากการเปิดตาราง สามารถสรุปได้วา่ คะแนนเฉล่ียจากการทดสอบก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สำคญั
ทางสถิติที่ระดับ 0.05 นั่นคือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยท าให้คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนสูง
กว่าคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียน นอกจากนี้ยังมีการประเมินความพึงพอใจของนิสิต
ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนใน รายวิชาการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ พบว่า
ระดับความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ในหัวข้อเนื้อหาความสมบูรณ์
ของวัตถุประสงค์ รองลงมาคือ ความน่าสนใจในการดำเนินเรื่อง และความชัดเจนของคำสั่งแบบฝึกหัด
ทา้ ยบทเรยี น อยใู่ นระดับมากตามลำดับ
11
บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวิจัย
ในการดำเนินการทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการ
จัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช.1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟ้ากำลงั วิทยาลยั การอาชพี ปง โดยมขี ้ันตอนในการดำเนนิ งานตามแผนการทำงาน ดงั น้ี
3.1 ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง
3.2 การสร้างเคร่ืองมอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู
3.3 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
3.4 การวเิ คราะห์ข้อมลู
3.1 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง
ประชากรที่ใช้วิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียน ระดับ ปวช.1 ซึ่งเป็นนักเรียนแผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟา้ กำลัง ท่เี รยี นในรายวชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเลือกกลุ่ม
ตวั อย่างคอื นกั ศึกษาระดบั ปวช.1 จำนวน 20 คน เป็นกลุม่ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้
3.2 การสร้างเครื่องมอื เก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยในครั้งนี้ได้ใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง โดยมีขั้นตอน
ในการสร้างดงั น้ี
3.2.1 แผนการจัดการเรยี นร้ตู ามทฤษฎีการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง มขี ้ันตอนการสร้างดังน้ี
3.2.1.1 ศึกษาหลักสูตร เน้อื หาสาระ และจุดประสงค์การเรียนรู้
3.2.1.2 ศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และวิธีการเขียนแผนการ
จัดการเรยี นรตู้ ามทฤษฎกี ารสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง จากตำรา และเอกสารตา่ งๆที่เกย่ี วข้อง
3.2.1.3 สร้างสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบ
การจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1
แผนกวิชาไฟฟา้ กำลงั สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง
3.2.1.4 นำสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
คุณภาพในด้านความตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้แบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
5 ระดบั ของลิเคอร์ท (Likert) ซงึ่ กำหนดเกณฑก์ ารพจิ ารณาใหค้ ะแนน ดงั น้ี
5 หมายถึง เหมาะสมมาก
4 หมายถงึ เหมาะสมคอ่ นขา้ งมาก
3 หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง
2 หมายถึง เหมาะสมคอ่ นข้างน้อย
1 หมายถงึ เหมาะสมน้อย
12
3.2.1.5 นำคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑก์ ารประเมนิ ความคิดเหน็ ของแผนการจดั การเรียนรู้ ดังนี้
ชว่ งคะแนน 4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมาก
ช่วงคะแนน 3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมคอ่ นขา้ งมาก
ชว่ งคะแนน 2.50 – 3.49 หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง
ชว่ งคะแนน 1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมคอ่ นขา้ งนอ้ ย
ช่วงคะแนน 1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย
กรณที ่คี วามคิดเห็นของผเู้ ช่ียวชาญมีค่าเฉล่ยี ต้งั แต่ 3.50 ขน้ึ ไป และสว่ นเบ่ียงเบน
มาตรฐานไม่เกิน 1.00 ถือว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกันในการประเมิน
แผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผนของผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.33 – 5.00 และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานตั้งแต่ 0.00 – 0.58 แสดงว่าสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความสอดคล้องกันกับ
แผนการจัดการเรียนรู้
3.2.1.6 นำสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไข
แลว้ ไปทดลองใช้กบั นักเรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ ง
3.2.2 สรา้ งแบบสอบถาม ซงึ่ ประกอบด้วย 3 สว่ น
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ส่วนที่ 2 การทดลองใชส้ ่ือการสอนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการ
จัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช.1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟา้ กำลงั วทิ ยาลยั การอาชีพปง
ส่วนท่ี 3 คือ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ
ประเมินความคิดเห็นโดยใช้มาตรวัดตามวิธีการของลินเคิร์ท (Likert Scale) แบ่งมาตรวัด
ออกเป็น 5 ระดับ คือ
ระดบั 5 หมายถงึ มากทีส่ ดุ
ระดับ 4 หมายถงึ มาก
ระดบั 3 หมายถงึ ปานกลาง
ระดบั 2 หมายถงึ น้อย
ระดบั 1 หมายถงึ นอ้ ยมาก
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจยั ไดศ้ กึ ษาเก็บขอ้ มูลกบั กลุ่มตัวอยา่ งโดยมขี นั้ ตอนการดำเนิน ดงั นี้
3.3.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เรื่องวงจรแบ่งกระแสและแรงดันไฟฟ้า ทำการตรวจให้คะแนน และบันทึกผลการทดสอบไว้ สำหรับนำไป
วเิ คราะห์ข้อมลู
3.3.2 ดำเนินการทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลอง
ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1
แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ท่ีผ้ศู ึกษาสรา้ งขน้ึ
13
3.3.3 ทำการทดสอบหลังเรียนเพื่อวัดความก้าวหน้าของนักเรียนด้วยแบบทดสอบ
ฉบับเดียวกัน ทำการตรวจให้คะแนน และบนั ทกึ ผลการทดสอบไว้ สำหรบั นำไปวิเคราะหข์ ้อมลู
3.3.4 เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเวลาที่กำหนดแล้ว ได้ทำการทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน กับนักเรียนด้วยแบบทดสอบฉบับเดียวกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน
ทำการตรวจให้คะแนน และบันทึกผลการทดสอบไว้ เป็นคะแนนสอบหลังเรียน สำหรับนำไป
วเิ คราะห์ขอ้ มูล
3.4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู
3.4.1 เปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน กับหลังเรียนโดยใช้ค่า
t–test แบบ Dependent Samples
3.4.2 เปรยี บเทยี บคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหลังเรยี นกับเกณฑ์ โดยใชค้ ่า t-test
14
บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
จากการวิจยั ในชน้ั เรียนครั้งนี้ มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อพัฒนาสอ่ื การเรียนการสอนและใช้ในการทบทวน
รายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้า
กระแสตรง ของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง
วิทยาลยั การอาชพี ปง เพื่อนำผลที่ได้จากการทดลองประกอบการจดั การเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้า
กระแสตรง ส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ
ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม ซึ่งแบ่งออกเป็น ซึ่งประกอบด้วย 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลงั เรยี นกบั เกณฑร์ ้อยละ 75 ซึ่งผศู้ กึ ษาได้นำเสนอข้อมูลตามลำดบั ดังน้ี
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล และแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผวู้ จิ ัยไดก้ ำหนดสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ทใี่ ช้แทนความหมายดังนี้
n แทน จำนวนนักเรยี นในกลุ่มตวั อย่าง
แทน ค่าเฉลย่ี ของคะแนน
S.D. แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนน
t แทน ค่าสถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการพจิ ารณา
p แทน คา่ ระดับนัยสำคัญทางสถติ
** แทน ความมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01
4.1 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เปรยี บเทียบคะแนนสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนก่อนเรยี นกบั หลงั เรียน
ตารางที่ 4.1 ผลการเปรยี บเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นเรยี นกับหลังเรยี น
การทดสอบ n คะแนนเตม็ ̅ S.D. t p
ก่อนเรยี น 20 50 22.45 4.28 29.46 0.00
หลงั เรยี น 20 50 47.58 3.65
จากตารางที่ 4.1 พบว่า คะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (** หมายถึง p < .01) แสดงว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ที่สร้างขึ้นช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวงจรไฟฟ้า
กระแสตรง เรอ่ื งการใชค้ ำสง่ั พน้ื ฐานในงานเขยี นเขียนแบบ ใหส้ งู ขึ้นตามสมมติฐานข้อที่ 1
15
4.2 การเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 75
ดงั ตารางท่ี 4.2
ตารางท่ี 4.2 เปรียบเทยี บคะแนนสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียน
กลุ่มตัวอย่าง คะแนนหลงั เรยี น เกณฑ์ 75 % t p
(จำนวน)
̅ S.D. ของคะแนนเต็ม 50 คะแนน
19 42.14 2.74 33 20.56 0.00
จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (** หมายถึง p < .01) แสดงว่า การจัดการเรียนรู้
ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ที่สร้างขึ้น ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการเขียนแบบ
ไฟฟา้ ด้วยคอมพวิ เตอร์ เรอ่ื งวงจรแบ่งกระแสและแรงดนั ไฟฟ้า ให้สูงข้ึนตามสมมตฐิ านข้อท่ี 2
16
บทท่ี 5
สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
5.1 สรุป
จากการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบการจัดการเรียนการสอน
รายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรงของนักเรียน ระดับ ปวช.1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง
โดยการศึกษาการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง
สาขางานไฟฟ้ากำลัง โดยมีประชากร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ระดับ ปวช.1 แผนกวิชาวิชาไฟฟ้า
สาขางานไฟฟ้ากำลัง จำนวน 20 คน ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2565 เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งน้ี การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้เป็นเครื่องมือ
เกบ็ ข้อมลู งานวจิ ยั ประกอบด้วย แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน เพอื่ เปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน และเพื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
หลงั เรยี นกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 75 ซึ่งผู้ศกึ ษาไดน้ ำเสนอขอ้ มลู ตามลำดบั
5.2 อภิปรายผล
ผลการศึกษาวิจัย การทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลองประกอบ
การจัดการเรียนการสอนรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรงของนักเรียน ระดับ ปวช. ชั้นปีที่ 1
แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง สาขางานไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพปง โดยมีประชากร มีประเด็นที่ผู้วิจัย
สามารถนำมาอภิปรายผล ดังนี้
5.2.1 การเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน
โดยศึกษาความรู้จากสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง พบว่า คะแนนสอบ
วดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 ตามสมมตฐิ าน
ขอ้ ท่ี 1 แสดงวา่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎกี ารสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ส่งผลใหน้ ักเรียนมคี วามรู้
และทกั ษะกระบวนการต่างๆสูงข้นึ
5.2.2 การเปรียบเทียบคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 75
พบว่า คะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 75
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับสมมติฐานข้อที่ 2 แสดงว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ช่วยพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์
สงู สุดแกผ่ ู้เรียนอยา่ งแทจ้ รงิ
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.3.1 ขอ้ เสนอแนะทว่ั ไป
ควรมีการนำรูปแบบ การทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับใช้ทดลอง
ประกอบการจัดการเรียนการสอนให้ครบทุกหน่วยการเรียนรู้ ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ไปใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในหนว่ ย ๆ เนอ่ื งจากจะทำใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นร้อู ยา่ งแท้จรงิ
5.3.2 ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาคร้งั ตอ่ ไป
17
2.1 ควรมีการศึกษา ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรตู้ ามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ทม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นในหนว่ ยการเรียนอื่นๆ ของวชิ าวงจรไฟฟา้ กระแสตรง
2.2 ควรมีการศกึ ษา ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ที่มีต่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในรายวิชาอืน่ และระดบั ชั้นอน่ื
1
บรรณานุกรม
ประภาทพิ ย์ อคั คะปัญญาพงศ์. (2559). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยใช้สถานการณ์
ปัญหาเป็นฐาน เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์เรื่อง มงคลชีวิต
วิชาพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6. สืบค้นข้อมูลได้จาก :
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/
ฉตั รทอง นกเชดิ ชู. (2557). บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนเพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ า
การใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นงานธรุ กจิ . [สืบคน้ ข้อมลู ไดจ้ าก : http://research.rpu.ac.th/wp-
content/
กาญจนา วัฒายุ. (2548). การวิจยั เพ่อื พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ธนพร การพิมพ.์
โกวิท ประวาลพฤกษ์ และคณะ. (2531). การพฒั นาผลงานวชิ าการ. กรุงเทพฯ : ศูนยส์ ง่ เสริมวชิ าการ
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา, สำนักงาน. (ม.ป.ป.). การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ :
บรษิ ัทรำไทยเพรสจำกัด.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2547). ศาสตรก์ ารสอน. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
นภาพรรณ ตาก้อนทอง. (2545). ผลของการจัดกิจกรรมแบบเน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ที่มีต่อ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และพฤติกรรมการคิดแก้ปัญหา . วิทยานิพนธ์
ครศุ าสตร์มหาบัณฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน สถาบนั ราชภฏั นครสวรรค์.
บญุ มี พนั ธุ์ไทย. (2542). การวิจยั ในชัน้ เรียน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
2
ภาคผนวก
3
ภาคผนวก ก ตารางประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจดุ ประสงค์ของการวจิ ยั
4
ตารางประเมนิ ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั จดุ ประสงค์ของการวจิ ยั
ตารางที่ ก.1 คา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งของข้อคำถามกบั จุดประสงคข์ องการวิจัย
ข้อท่ี คะแนนผู้ประเมินคนที่ คะแนน ดชั นสี อดคลอ้ ง
1234 5 รวม
ข้อคำถาม
1 1 1 -1 1 1 3 0.6
2 1 1 -1 1 1 3 0.6
3 1 1 -1 1 1 3 0.6
4 1 1 -1 1 1 3 0.6
5 0011 1 3 0.6
6 0011 1 3 0.6
7 1 10 0 1 3 0.6
8 0011 1 3 0.6
9 1 1 -1 1 1 3 0.6
10 -1 1 1 1 1 3 0.6
11 1 1 0 0 1 3 0.6
12 1 1 0 0 1 3 0.6
13 -1 1 1 1 1 3 0.6
14 0 0 1 1 1 3 0.6
15 1 1 -1 1 1 3 0.6
16 1 1 -1 1 1 3 0.6
17 1 1 0 0 1 3 0.6
18 0 0 1 1 1 3 0.6
19 1 1 -1 1 1 3 0.6
20 -1 1 1 1 1 3 0.6
21 1 1 -1 1 1 3 0.6
22 -1 1 1 1 1 3 0.6
23 1 1 0 0 1 3 0.6
24 1 1 0 0 1 3 0.6
25 -1 1 1 1 1 3 0.6
26 0 0 1 1 1 3 0.6
5
ตารางท่ี ก.1 ค่าดัชนีความสอดคลอ้ งของขอ้ คำถามกับจดุ ประสงคข์ องการวิจยั (ตอ่ )
ข้อที่ คะแนนผปู้ ระเมินคนท่ี คะแนน ดชั นีสอดคลอ้ ง
1234 5 รวม
ข้อคำถาม
27 1 1 -1 1 1 3 0.6
28 1 1 -1 1 1 3 0.6
29 1 1 0 0 1 3 0.6
30 1 1 0 0 1 3 0.6
31 1 1 -1 1 1 3 0.6
32 1 1 -1 1 1 3 0.6
33 1 1 -1 1 1 3 0.6
34 1 1 -1 1 1 3 0.6
35 0 0 1 1 1 3 0.6
36 0 0 1 1 1 3 0.6
37 1 1 0 0 1 3 0.6
38 0 0 1 1 1 3 0.6
39 1 1 -1 1 1 3 0.6
40 -1 1 1 1 1 3 0.6
41 1 1 0 0 1 3 0.6
42 1 1 0 0 1 3 0.6
43 -1 1 1 1 1 3 0.6
44 0 0 1 1 1 3 0.6
45 1 1 -1 1 1 3 0.6
46 1 1 -1 1 1 3 0.6
47 1 1 0 0 1 3 0.6
48 0 0 1 1 1 3 0.6
49 1 1 -1 1 1 3 0.6
50 -1 1 1 1 1 3 0.6
6
ภาคผนวก ข การพัฒนาสื่อคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนสรา้ งขนึ้
7
รูปท่ี ก 1 สื่อคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) ท่ีพฒั นาข้นึ
รูปที่ ก 2 หนว่ ยการเรียนรเู้ ร่อื งวงจรแบง่ กระแสและแรงดันไฟฟา้
8
รูปที่ ก 3 คำแนะนำก่อนจำลองวงจรการทดลองท่ี 1
รปู ที่ ก 4 วงจรจำลองการทดลองท่ี 1 (การแบง่ แรงดันไฟฟา้ )