ขัตติยพันธกรณี
กลุ่มที่ ๑ ขัตติยพันธกรณี
นำเสนอ
คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
ขัตติยพันธกรณี
กลุ่มที่ ๑ ขัตติยพันธกรณี
จัดทำโดย
๑. นางสาว กิตติยา อุ่นเรือน เลขที่ ๓ ๕. นางสาว สุพัชชา แก้วบัวดี เลขที่ ๓๓
๒. นางสาว ณัฏฐณิชา ผิวบาง เลขที่ ๘ ๖. นางสาว ชัชฎาพร เซี่ยงว่อง เลขที่ ๓๘
๓. นางสาว พรพิมล อินโต เลขที่ ๑๙ ๗. นางสาว พิชชานันท์ คชศิลา เลขที่ ๓๙
๔. นางสาว พิชญาภัค อาจหาญ เลขที่ ๒๐
นำเสนอ
คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
คำนำ
วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยเพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้โดยได้ศึกษาผ่านเเหล่งความรู้ต่างๆ เช่น หนังสือ ห้องสมุด
เเละเเหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆโดยวารสารเล่มนี้ต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความหมายของวรรณกรรม ประเภทของวรรณกรรมเเละความสำคัญ
ของวรรณกรรมต่อวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทำ
กลุ่มที่ ๑ ขัตติยพันธกรณี
ก
สารบัญ หน้า
ก
คำนำ ข
สารบัญ ๑
๒
ความเป็นมา ๓
ประวัติผู้แต่ง ๔
ลักษณะคำประพันธ์ ๕-๙
เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ) ๑๐-๑๕
เนื้อเรื่องเต็ม
วิเคราะห์คุณค่า
บรรณานุกรม
ข
ประวัติความเป็นมา
ขัตติยพันธกรณี มาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ คือเหตุการณ์ รศ.๑๑๒ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๖) โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มาจากความ
ขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับเขตแดนทางด้านหลวงพระบาง ซึ่งเริ่มต้นจากการกระทบกระทั่งกันของกำลังทหารทั้งจากฝั่ง
ไทยและฝรั่งเศส และทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้แทนทางการทูตของทั้ง ๒ ประเทศเจรจาเพื่อหาทางออกไม่สำเร็จ จนกระทั่งวันที่ ๑๓
กรกฎาคม รศ. ๑๑๒ กองเรือรบของฝรั่งเศส ได้รุกล้ำเข้ามาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสื้อสมุทร จนในที่สุด
เรือปืนของฝรั่งเศส ๒ ลำก็สามารถเข้ามาจอดและทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศสได้ พร้อมทั้งยื่นคำขาดในการเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดน และเรียก
ร้องค่าปรับ
วิกฤตการณ์ครั้งนี้จบลงเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม รศ. ๑๑๒ ด้วยการลงนามในสนธิสัญญากรุงเทพฯ ซึ่งมีผลทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของ
แม่น้ำโขงไป และเสียอำนาจการปกครองคนในบังคับชาวอินโดจีนให้แก่ฝรั่งเศส เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสีย
พระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จนทรงประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถ ในระหว่างนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ เพื่อระบายความเจ็บ
ปวด ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงส่งบทพระราช
นิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในขณะ
นั้น เมื่อทรงได้รับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันที
๑
ประวัติของขัตติยพันธกรณี
นายพลเอก มหาอำมาตย์เอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 – 1 ธันวาคม พ.ศ.
2486) พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา
ชุ่ม พระสนมเอก และเป็นองค์ต้นราชสกุลดิศกุล ชาววังออกพระนามโดยลำลองว่า “เสด็จพระองค์ดิศ” ทรงดำรงตำแหน่งที่สำคัญทางการทหารและ
พลเรือน เช่น เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยบัญชาการทหารบก อธิบดีกรมศึกษาธิการ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร นายกราช
บัณฑิตสภา และยังทรงดำรงตำแหน่งองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ยังทรงพระปรีชาสามารถในด้านการศึกษา สาธารณสุข ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม ทรงได้รับพระสมัญญา
นามเป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องพระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลกคนแรกของประเทศไทย และวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 คณะ
รัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันดำรงราชานุภาพ” กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศว
รกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์
ความหมายของขัตติยพันธกรณี
๒
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท โคลงสี่สุภาพและอินทรวิเชียรฉันท์ โดยเพื่อน ๆ สามารถเข้าไปดูวิธีการแต่งอินทรวิเชียรฉันท์ได้ที่บท
เรียนเรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์
๓
ขัตติย หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน พันธกรณี หมายถึง ข้อผูกมัด ข้อผูกพันต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อ
รวมทั้งสองคำเข้าด้วยกันเป็น ขัตติยพันธกรณี จึงแปลว่า เหตุอันเป็นข้อผูกพันหรือข้อผูกมัดของกษัตริย์
เนื้อเรื่องย่อ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องขัตติยพันธกรณี ด้วยโคลงสี่สุภาพจำนวน ๗ บทด้วยกัน โดย
บรรยายความกังวลใจ ที่ทรงประชวรอย่างหนักเป็นเวลานาน ด้วยโรคฝีสามยอด และไข้ส่า ทำให้เป็นที่หนักใจของผู้ที่ดูแลรักษา อีกทั้งยังบรรยาย
ถึงความเจ็บปวดพระวรกายจากพระอาการประชวร จึงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จสวรรคต แต่พระองค์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากเป็น
กษัตริย์ที่มีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ คือการปกป้องรักษาบ้านเมืองจากประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
๔
เนื้อเรื่องเต็ม
เรื่อง “ขัตติยพันธกรณี” เป็นพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และพระนิพนธ์ของสมเด็จกรม พระยาดํารงราชานุ
ภาพ เป็นกวีนิพนธ์ที่ผู้ใดได้อ่านจะประทับใจ เป็นอย่างยิ่งเป็นบทที่มีที่มาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกี่ยวกับความอยู่
รอดของประเทศของเรา เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ร.ศ.๑๑๒ ซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๖ ไทย ขัดแย้งกับฝรั่ง เศสเรื่องเขตแดนทางดานเขมร ฝรัง่ เศส
ส่งเรือปืน แล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ เข้ามาจอดทอดสมอหน้า สถานทูตฝรั่งเศส ถืออํานาจเชิญธงชาติฝรัง่ เศสขึ้นเหนือแผ่นดิน ไทย ตรงกัน
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติฝรัง่ เศส และ ยื่นคําขาดเรียกร้องดินแดนทั้งหมดทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ําโขง ซึง่ ขณะนัน้ อยู่ใต้อํานาจ
ปกครองของไทย ทั้ง ยังเรียกร้องให้ไทย ลงโทษนายทหารไทยทีขัดขวางและต้องเสียค่าปรับแก่ฝรั่งเศสถึง ๓ ล้านฟรังค์เหรียญทอง เนือ่ งจากไทย
ให้คําตอบล่าช้า ทูตปาวี ของฝรั่งเศสจึงให้เรือปืนปิดล้อมอ่าวไทย เป็นการประกาศ สงครามกับไทย เหตุการณ์นี้ทําให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าฯ เสียพระ ราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจนทรง พระประชวรหนัก ไม่ยอม เสวยพระโอสถใด ๆ ในระหว่างนั้นได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลง และ
ฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัสในพระราชหฤทัยจนไม่ทรง ปรารถนาที่จะดํารงพระชนมชีพอีกต่อไป ได้ทรงสั่งบทพระราช นิพนธ์ไปอําลาเจ้านายพี่
น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรมพระยา ดํารงฯ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับ สมเด็จกรม พระยาดํารงฯ ก็ทรงนิพนธ์บท
ประพันธ์ถวายตอบทันที ทําให้ กําลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลับเสวยพระโอสถ และเสด็จ
ออกว่า ราชการได้ในไม่ช้า
๕
จากที่มาของเรื่อง เราได้แนวคิด ๒ ข้อ
๑. อานุภาพของบทกวีนิพนธ์นั้นยิ่งใหญ่ อาจพลิกผัน เหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้
๒. อารมณ์สะเทือนใจอาจทําให้บุคคลที่มิได้รู้สึกว่าตนเป็นกวีและมิได้แต่งบทกวีอยู่เป็นนิจ
อย่างสมเด็จกรมพระยาดํารงฯ สร้างบทกวีอันสูงค่าสนองเจตนารมณ์ได้ ในพระราชนิพนธ์ที่ทรงเป็นโคลงสี่สุภาพ พระบาทสมเด็จ พระ
จุลจอมเกล้าฯ ทรงปรารภว่า พระองค์ทรงพระประชวรมา นาน เป็นที่หนักใจของผู้ดูแลรักษา จึงมีพระราชดําริที่จะเสด็จ สวรรคตเพื่อปลดเปลื้อง
ภาระของเขา ทรงเล่าถึงพระอาการ ประชวรว่าเป็นฝีสามยอด และยังมีส่าไข้เป็นผื่น ไปทั่ว เจ็บปวด อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ได้ประชวรแต่พระ
วรกายเท่านั้น พระราช หฤทัยก็ทรงกลัดกลุ้มเป็นที่ยิ่ง ถ้าใครได้มาเป็นพระองค์จึงจะ ประจักษ์ถึงความเจ็บปวดทั้งพระวรกายและพระราชหฤทัยที่
พระองค์ทรงเป็นอยูาขณะนี้ว่ามากมายเพียงใด ทรงเปรียบพันธกรณีที่ มีต่อชาติบ้านเมืองในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เป็นตะปู ดอกใหญ่ที่
ตรึงพระบาทของพระองค์ไว้มิให้ก้าวย่างไปได้ จึง ขอให้ผู้ที่มีเมตตาชักตะปูดอกนี้ให้ด้วย มีพระราชดําริว่า ชีวิต คนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ประเดี๋ยวก็ทุกข์ประเดี๋ยวก็สุข สลับกันไป อย่างที่คนโบราณ
๖
กล่าวกันมาว่าชั่ว เจ็ดทีดีเจ็ดหน ในยามที่เป็นเด็กมีความสุขเหมือนเดรัจฉาน รู้สุข รู้ทุกข์ รู้กล้า รู้ขลาดตามประสาเด็ก เด็ก ๆ อาจจะ
พลั้งเผลอบกพร่องผิดพลาด เพราะความเป็นเด็ก คล้ายกับคนที่จวนตายก็เช่นกัน พระราชนิพนธ์ตอนที่เป็นอินทรวิเชียรฉันท์มีพระราชกระแส ว่า
พระองค์ทรงพระประชวรมานาน จนทรงเบื่อหน่ายที่จะบํารุง พระวรกาย และทรงกลัดกลุ้มในพระราชหฤทัยยิ่งนัก ถึงแม้จะ หายประชวร ก็ลํา
บากพระราชหฤทัย ทรงเกรงว่าพระองค์จะเป็น กษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ไม่คิดปกป้องบ้านเมืองจนต้องเสียเอกราช ให้เป็นที่นินทาตลอดไป ทรงหา
ทางออกที่จะแก้ไขปัญหา บ้านเมือง ขณะนั้นมิได้ จึงมิทรงปรารถนาที่จะดํารงพระชนมชีพต่อไปให้เป็นที่อับอาย
๗
ส่วนพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพนั้น เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ทั้งหมด มีเนื้อความแสดงความวิตกและความทุกข์ของ
ประชาชนชาวไทย ในพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ สําหรับตัวพระองค์เองนั้น ถ้าเลือดเนื้อของพระองค์เจือยาถวายให้
หายประชวรได้ก็ยินดีจะทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงเปรียบประเทศชาติ เป็นรัฐนาวา มีพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าฯ ทรงเป็นผู้ บัญชาการเรือ เมื่อมาท
รงพระประชวรและไม่ทรงบัญชาการ ผู้กระทําหน้าที่ต่าง ๆ ในเรือก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ถูก เป็น ธรรมดาเมื่อเรือแล่นไปในทะเลในมหาสมุทรมีบางค
รัง้ อาจเจอพายุ หนักบ้างเบาบ้าง ถ้ากําลังเรือดีก็แล่นรอดไปได้ ถ้าหนักเกินกําลัง เรือจะรับก็อาจจะล่ม พวกชาวเรือก็ย่อมจะรู้กัน ดังนั้นตราบที่เรือยัง
ลอยอยู่ ยังไม่จม ก็ต้องพยายามแก้ไขกันจนสุดความสามารถ เหมือนรัฐนาวาเจอปัญหาวิกฤติก็ต้องหาทางแก้จนสุดกําลัง ความสามารถ ถ้าแก่ไม่ได้ก็
ต้องยอมรับสภาพว่าถึงกรรมจะต้อง ให้เป็นไป แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงทอดธุระ เสีย ไม่ทรงหาทางแก้ไข ในที่สุดรัฐนาวาก็ย่อมจะ
ไปไม่รอด ต่างกันก็แต่ว่าถ้าพระองค์พยายามหาทาง แก้ไขจนเต็มกําลังพระปรีชาสามารถแล้วแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่มีใคร มาว่าได้ว่าพระองค์ขลาดเขลาและ
ไม่เอาพระทัยใส่ในการแก้ไข ปัญหาของประเทศ ถึงจะพลาดพลั้งก็ยังได้รับการยกย่องและ ความเห็นใจว่าปัญหาหนักใหญ่เกินกําลังจะแก้ไขได้ สมเด็จ
กรม พระยาดํารงฯ ทรงเปรียบตัวพระองค์เองเหมือนม้าที่เป็นพระราช พาหนะ เตรียมพร้อมที่จะรับใช้เทียบหน้าพลับพลา คอย พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าฯ ประทับและทรงบัญชาการให้ ม้าไปทางใด ก็ยินดีจะทําตามพระราชบัญชา ไม่ว่าจะลําบากหรือ ใกล้ไกลเพียงใดก็ทรงยินดีรับใช้จนสิ้น
พระชนมชีพ ถึงจะวายพระชนม์ก็จะ “ตายตาหลับ” ด้วยได้ทรงบําเพ็ญพระกรณียกิจที่มีต่อชาติบ้านเมืองสมกับพันธกรณีแล้ว ทรงขอให้อํานาจแห่งคํา
สัตย์ของพระองค์ดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ หายทรงพระประชวรทั้งพระวรกายและพระปรารถนา ให้ เหตุที่ทําให้ ทรงขุ่นขัดพระ
ราชหฤทัยเคลื่อนคลายเหมือนเวลา หลายปีได้ผ่านพ้นไป และขอให้ดํารงพระชนมชีพยืนนานเพื่อ เกื้อกูลและสร้างความเจริญแก่ประเทศไทยตลอดไป
๘
ค่านิยมที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าฯ และพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดํารงฯ มีอยู่ หลาย
ประการ นักเรียนควรได้สังเกตเห็น ที่สําคัญก็เช่น ขัตติย พันธกรณี หรือ เหตุที่เป็นข้อผูกมัดของกษัตริย์ที่มีต่อ ประเทศชาติยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าชีวิต ควานิ
ยมนีจึงมากําหนดพฤติกรรม ให้พระมหากษัตริย์ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจทุกอย่างเพื่อ ความเจริญมั่นคงของประเทศความนิยมเกี่ยวกับการไม่สร้าง
ความลําบากใจแก่ผูเอื่น โดยเฉพาะผู้ทีตำ่กว่า ค่านิยมนี้มากําหนดพฤติกรรมให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีพระราชดําริที่จะเสด็จ สวรรคต
เพื่อมิให้ผู้ดูแลรักษาต้องลําบาก ค่านิยมทีควรสังเกตเห็นอีกคือ ค่านิยมเกี่ยวกับการได้รับความ เมตตา และความเห็นใจจากผู้อื่นแม้พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าฯ จะทรงดํารงตําแหน่งเป็นเจ้าชีวิตของปวงชนชาว ไทยขณะนั้นก็ทรงปรารถนาที่จะได้รับความเมตตาและความเห็น ใจจากผู้อื่น ค่านิยมที่
เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งก็คือ ค่านิยมเกี่ยวกับ การมีผู้นำที่ทรงคุณธรรม อย่างพระจุลจอมเกล้าฯ ทําให้ปวงชน ชาวไทยยินดีสละชีพเพื่อพระองค์ได้เช่น
สมเด็จกรมพระยาดํารงฯ ทรงยินดีสละพระชนมชีพเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ หายทรงพระประชวร และทรงยินดีรับใช้ทุกเรื่องแล้วแต่จะ
ทรง บัญชาการ อนึ่ง อินทรวิเชียรฉันท์ในพระราชนิพนธ์และพระ นิพนธ์เรื่อง “ขัตติยพันธกรณี” นี้เป็นตัวอย่างของฉันท์ใน สมัยก่อนตั้งแต่รัชกาลที่ ๕
ขึ้นไปจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ เคร่งครัดคําครุ คําลหุ เพราะถือเอาการออกเสียงเป็นสําคัญ
๙
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
คุณค่าด้านเนื้อหา
แสดงให้เห็นถึงความเสียสละและความเป็นผู้นำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้อารมณ์สะเทือนใจและปลุก
ฝังให้รักในชาติและความ เป็นผู้นำและความเสียสละของพระมหากษัตริย์
๑๐
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
คุณค่าด้านสังคม
ในบทประพันธ์โดยพยายามสื่อว่าสภาพสังคมในสมัยก่อน ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเอาตัวรอด มีการปลุกฝังให้รักในชาติไทยและ
ตระหนักถึงความทุกข์ยากและความลำบากของ บรรพบุรุษไทยที่ต้องสระเลือดเนื้อเพื่อปกป้อง ประเทศชาติไว้ เช่น
"ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ
ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง
โบราณท่านจึงแสดง เปินเยี่ยง อย่างนา
ชั่วนับเจ็ดที่ทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายตี"
๑๑
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ วิเคราะห์บทประพันธ์
ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ
ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง
โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา
ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี
บุคคลวัต = ชีวิตมนุษย์ , โบราณท่าน
อุปมา = จริง , จึง , เยี่ยง
จินตภาพด้านภาพ = พลิกแพลง
สะท้อนด้านสังคม
ด้านวิถีชีวิต = ทุกข์และสุข
๑๒
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
ทุกหน้าทุกตาตู บ พบผู้จะพึงสบาย
ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน
ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง
นามนัย = กะปิตัน = พระมหากษัตริย์
อุปมา = ดุจ
สัลลาปังคพิสัย = วะเหว่ว้า
สะท้อนด้านสังคม
สะท้อนการนำภาษาตะวันตกมาใช้ = กะปิตัน
๑๓
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
ถ้าจะว่าบรรดารกิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม
เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน
ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
อุปมา = มหาสมุทรที่มีทั้งคราวเงียบสงบ เปียบได้กับปัญหาในการทำงาน , ธรรมดามหาสมุทร มีคราวพายุผัน
เป็นการเปรียบเปรยเพื่อบอกว่าประชาชนจะอยู่หนุนหลังท่านเสมอ
โวหารภาพพจน์ = บรรดารกิจเหมือนกับเรือที่แล่นอยู่ใน ทะเล ย่อมเจอกับพายุเป็นธรรมดา
การสรรคำ
๑๔
วิเคราะห์คุณค่าเนื้อหา
ถ้าจะว่าบรรดารกิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม
เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน
ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
อธิพจน์ = รู้สึกที่อยากจะตาย ให้พ้นจากความเหนื่อยล้า และเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บ
สัลลาปังคพิสัย = มีการพรรณนาถึงความโศกเศร้า และตัดพ้อกับชีวิต
เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย
คิดใครลาลลาญหัก ปลดเปลื้อง
นาฏการ = พลัน (รวดเร็ว ทันที)
แสดงคุณค่าด้านอารมณ์
๑๕
บรรณานุกรม
ขัตติยพันธกรณี. (2550).[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https: //blog.startdee.com/ขัตติยพันธกรณี-ม-6-ภาษาไทย.
(วันที่ค้นข้อมูล : 28 สิงหาคม 2565).
ขัตติยพันธกรณี. (2555).[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https:// rak-pooh.wixsite.com/naritsara/blank-c23a6.
(วันที่ค้นข้อมูล : 28 สิงหาคม 2565).
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. (2551).[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
http:// www.damrong.org/?p=3834. (วันที่ค้นข้อมูล : 28 สิงหาคม 2565).
ขัตติยพันธกรณี-จุฬา. (2556).[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://curadio.chula.ac.th/Images/Class-Onair/th/2012/th.pdf.
(วันที่ค้นข้อมูล : 28 สิงหาคม 2565).