เอกสารการอบรม
โครงการพัฒนาสู่ความเป็นเลศิ ในการดูแลแผลกดทับ ปี 2565
กจิ กรรมท่ี 1 พฒั นาความรแู้ ละทกั ษะผชู้ ว่ ยพยาบาลในการดูแลแผลกดทบั
วนั ท่ี 12, 13, 14 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 8.00 – 16.00 น.
หอ้ งประชมุ ช้นั 11 อาคารเฉลมิ พระเกียรติฯ
1.ความรู้เร่ืองแผลกดทับ
โดย พว.สุภาภรณ์ สวุ รรณพชื น์
2.การประเมนิ ความเสยี่ งการเกดิ แผลกดทับ (Assessment: A)
โดย พว.ลกั ษณี ศรีม่วง
3.การลดและกระจายแรงกดทับ (Pressure relieve & Position turning: P)
โดย พว.ระพพี ร มาศธนพนั ธ์
4.การจดั การความเปียกชน้ื (Moisture management: M)
โดย พว.สพุ รรณี จำปพี ันธ์
5.การดูแลผิวหนงั (Skin care: S)
โดย พว.อจั ฉรา นวลวันดี และ พว.สุภาวดี จติ จันทึก
6.การส่งเสรมิ ภาวะโภชนาการ (Nutrition support: N)
โดย พว.ธรี าพร ชมพแู สง และ อ.สกุ ญั ญา บุญมี
คณะกรรมการป้องกันและดแู ลแผลกดทบั
ภารกิจดา้ นการพยาบาล โรงพยาบาลราชวิถี
Classification of Pressure Injury, MDRPI, MMPI, MARSI
สภุ าภรณ์ สุวรรณพืชน์ RN ,ET nurse.
แผลกดทับ (Pressure Injury)
แผลกดทบั เป็นหนง่ึ ในปัญหาเรื้อรังทีพ่ บบ่อยในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคล่อื นไหวได้ดว้ ยตนเอง โดยเฉพาะ
ในผู้สูงอายุ ทำให้ผู้ปว่ ยใช้เวลาในการรักษานานขึ้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเกิดผลกระทบทั้งดา้ น
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้ป่วยและครอบครัว จากการเฝ้าระวังการเกิดแผลกดทับ ใน
โรงพยาบาลราชวิถี พบว่า มีผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับระดับที่ 2 มากที่สุด อันเป็นระดับที่สามารถป้องกันได้
และในด้านบรกิ ารพยาบาล การเกดิ แผลกดทับของผู้ป่วยแสดงถึงคุณภาพการพยาบาลท่ียังไมไ่ ด้มาตรฐาน
อีกทั้งอัตราการเกิดแผลกดทับในโรงพยาบาล เป็น 1 ใน 5 ตัวชี้วัดสำคัญของผลลัพธ์บริการพยาบาลใน
ระดับชาติ
แผลกดทบั หมายถงึ การทผี่ วิ หนงั ถกู กดทบั อยตู่ ลอดเวลา ทำใหเ้ นื้อเย่อื ขาดเลอื ดไปเลย้ี งเปน็ เวลานาน
เนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกกดเกิดเนื้อตายกลายเป็นแผล ซึ่งผิวหนังจะถูกทำลายลึกลงไปถึงเนื้อเยื่อชั้นล่างหรือ
กล้ามเนื้อและกระดูก
แผลกดทบั เปน็ การบาดเจบ็ เฉพาะทท่ี ี่เกิดกับผิวหนงั หรอื เน้ือเยอ่ื ใต้ผิวหนัง มักเป็นบรเิ วณปุม่ กระดูก มี
สาเหตุจากแรงกดหรือแรงกดรว่ มกับแรงไถล หรือแรงเสยี ดสี (WOCN review / revised : april 2011) แผล
กดทับเปน็ เหตกุ ารณ์ไมพ่ ึงประสงค์ มีค่าจา่ ยสงู และพบบอ่ ย เป็นสาเหตุการตาย 60,000 ราย/ปี ค่ารกั ษาแผล
กดทับระดับ 4 สูงถึง 18,731.47 ถึง 21,410.12 เหรียญสหรัฐ หรือ 640,000 บาท/ราย ในสหรัฐอเมริกา
โรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยวิกฤติ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาแผลกดทับปีละ 2.5 ล้านเหรียญ และปัจจุบัน
Medicare and Medicaid service ของสหรฐั ไม่จ่ายเงินคืนให้โรงพยาบาลทใ่ี ช้ไปในการรักษาแผลกดทับ ใน
โรงพยาบาล ต้งั แต่ระดับ 3 ขึ้นไป
ในปี 2559 The national Pressure Ulcer Advisory Panel (NPUAP) ได้มกี ารทบทวน คำเรยี กแผล
กดทบั จากคำว่า Pressure Ulcer เป็น Pressure Injury เพอื่ เปล่ยี นคำใหต้ รงกบั ลกั ษณะของแผลกดทบั ท่ี
ชั้นผวิ หนังถูกทำลาย ทงั้ ผวิ หนังยงั ไม่ฉีกขาดและผิวหนังทฉ่ี กี ขาด โดยผิวหนังทถี่ ูกทำลายแต่ยังไม่ฉีกขาด ได้แก่
แผลกดทบั PU stage 1 & DTI สว่ นผิวหนงั ทฉี่ ีกขาด คอื แผลกดทับระดับ 2 - ระดบั 4 ซง่ึ เป็นเนอื้ เย่อื ผวิ หนงั
ได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำลายจนผิวหนังฉีกขาดแล้ว (The national Pressure Ulcer Advisory Panel
(NPUAP) Pressure Injury Staging 2016)
การกำหนดระดบั และลกั ษณะของแผลกดทบั
การกำหนดระดับและลักษณะของแผลกดทับมีความสำคัญเพื่อใช้ในแผนการรกั ษา ความถูกต้องของ
การประเมนิ ประเมนิ ซ้ำ และการบนั ทึก มีความสำคญั สำหรบั ใชเ้ ป็นหลกั ฐานของการหาย หรืออาการเลวลง
ของแผล การสื่อสารเกี่ยวกับแผลกดทับ จึงต้องใช้ศัพท์ที่ถูกต้องและเป็นสากล ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย
The National pressure ulcer Advisory panel ไดท้ บทวนการแบง่ ระดบั ของแผลกดทบั โดยมกี ารแยกแผล
กดทับที่ไม่สามารถระบุเนื้อเยื่อชั้นลึกที่สุดที่ถูกทำลายออกมาเป็นระดับ Deep tissue injury และ
Unstageble แบง่ ระดับของแผลกดทบั เปน็ 6 ระดับ (NPUAP,2016) ดังน้ี
แผลกดทบั ระดบั 1 : ผวิ หนังยงั ไมเ่ กิดการฉกี ขาดมรี อยแดง และรอยแดงยังคงอยเู่ มอ่ื ใชน้ ้ิวมอื กดบรเิ วณ
ผวิ หนงั ทเ่ี ปน็ รอยแดง (Non-blanchable erythema of intact skin)
ผิวหนังยังไมเ่ กิดการฉกี ขาด เกดิ รอยแดงเฉพาะท่ีและรอยแดงยงั คงอยู่เมื่อใช้นวิ้ มือกดบริเวณผิวหนังที่
เป็นรอยแดง ในผู้ที่มีผิวคล้าลักษณะที่แสดงให้เห็นจะแตกต่างออกไป อาจพบผิวหนงั มีรอยแดงและรอยแดง
จางลงเมอื่ ใชน้ ิว้ มอื กด หรอื มีการเปลย่ี นแปลงของการรับความรสู้ กึ การเปลย่ี นแปลงของอณุ หภมู ิ หรอื ผวิ หนงั
มีความแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสีผิวไม่รวมผิวหนังที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีแดงช้า ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจ
เป็นการบาดเจ็บเนื้อเยื่อชั้นลึก ระดับที่ 1 บริเวณที่ถูกกดทับจะเป็นรอยแดง ผิวหนงั ที่ปกคลุมยงั ไม่มีรอยฉกี
ขาด เมอื่ ลดการกดทบั รอยแดงไม่หายไปภายใน 30 นาที
แผลกดทบั ระดับ 2 : สญู เสยี ผิวหนงั บางสว่ น มองเห็นชน้ั หนงั แท้ (Partial-thickness skin loss with
exposed dermis)
มีการสูญเสียชัน้ ผิวหนังบางสว่ นจนมองเหน็ ช้ันหนงั แท้ ลกั ษณะพื้นแผลมสี ชี มพหู รือสแี ดง มคี วามชุ่มช้ืน
หรืออาจพบลกั ษณะของตมุ่ นา้ ใสหรอื เปน็ ตุ่มนา้ ใสทแ่ี ตก มองไมเ่ หน็ ช้นั ไขมันหรอื ชั้นของเน้อื เยื่อทีอ่ ยู่ลกึ ไม่พบ
ลักษณะของเนื้อเยือ่ ใหม่สีแดง เนื้อตายเปื่อยยุ่ย และเนื้อตายแห้งแข็ง โดยทั่วไปถ้าพบการบาดเจบ็ ของแผล
ลักษณะนี้บริเวณผิวหนังเหนือกระดูกเชิงกรานมักเกิดจากความชืน้ และแรงไถล และถ้าพบบริเวณส้นเท้ามกั
เกิดจากแรงไถล การระบุระดบั ของแผลกดทบั ระดับ 2 จะไมใ่ ชใ้ นการอธิบายแผลทเ่ี กิดจากภาวะผวิ หนังถูกทา
ลายจากความเปียกชื้น เช่น ผิวหนังอักเสบจากการควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ผิวหนังอักเสบจากภาวะความ
เปยี กชื้น ผวิ หนงั ถกู ทาลายจากวสั ดุยดึ ตดิ ทางการแพทย์ หรือแผลท่ีเกดิ การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตุ เชน่ ผิวหนัง
ฉีกขาด แผลไหม้ แผลถลอก
แผลกดทบั ระดบั 3 : สญู เสยี ชน้ั ผวิ หนงั ทงั้ หมด (Full-thickness skin loss)
มีการสูญเสียของชั้นผิวหนงั ทั้งหมด มองเห็นชั้นไขมันในแผล มีเนื้อเยื่อใหม่สีแดงและลักษณะขอบ
แผล ม้วน อาจพบเน้อื ตายเป่ือยย่ยุ และ/หรือเน้ือตายแห้งแขง็ ระดบั ความลึกของเนอื้ เยอ่ื ท่ีเสียหายแตกต่างกนั
ตาม ตำแหน่งทางกายวิภาคที่เกิดแผล บริเวณที่มีไขมันมากมักจะเกิดเป็นแผลลึก อาจพบโพรงใต้ขอบแผล
และ/หรอื โพรงแผล มองไม่เหน็ ชัน้ พังผืด กล้ามเนือ้ เส้นเอ็น กระดูกออ่ นและ/หรือกระดกู ถ้าพื้นแผลถกู ปก
คลมุ ด้วยเนอ้ื ตาย เป่ือยย่ยุ หรือเนอ้ื ตายแหง้ แขง็ ท้ังหมด จะเป็นลกั ษณะของแผลกดทบั ที่ไมส่ ามารถระบุระดับ
ได้
แผลกดทับระดับ 4 : สญู เสยี ชั้นผิวหนังทงั้ หมด และชัน้ เน้อื เยือ่ ใต้ผิวหนัง (Full-thickness skin loss
and tissue loss)
สญู เสยี ช้นั ผวิ หนงั ท้งั หมดและชนั้ เน้ือเยอ่ื ใต้ผวิ หนงั มองเหน็ หรอื สมั ผัสได้โดยตรงของช้ันเนื้อเย่ือพังผดื
กลา้ มเนือ้ เส้นเอน็ กระดูกอ่อน หรือกระดกู ในบริเวณพนื้ แผล อาจพบเนื้อตายเปือ่ ยยุ่ยและ/หรอื เนื้อตายแห้ง
แข็ง มักพบขอบแผลมีลักษณะม้วน มีโพรงใต้ขอบแผลและ/หรือโพรงแผล ระดับความลึกแตกต่างกันตาม
ตำแหน่งทางกายวิภาคท่เี กดิ แผล ถ้าพน้ื แผลถูกปกคลุมดว้ ยเนื้อตายเปอื่ ยยุ่ยหรือเนื้อตายแหง้ แข็งท้ังหมด จะ
เป็นลกั ษณะของ แผลกดทับท่ไี ม่สามารถระบรุ ะดับได้
แผลกดทบั ที่ไม่สามารถระบุระดบั ได้ : ชั้นผิวหนงั และชั้นเนอ้ื เย่ือใต้ผิวหนังถูกปกคลุมดว้ ยเนอ้ื ตาย
ท้งั หมด (Obscured full-thickness skin and tissue loss)
สญู เสยี ชน้ั ผิวหนังทงั้ หมดและชน้ั เนอื้ เยอ่ื ใตผ้ ิวหนงั ไมส่ ามารถระบุความลกึ ของชนั้ เน้ือเยื่อท่ีถูกทำลาย
ได้ เนื่องจากถูกปกคลุมด้วยเนื้อตายเปื่อยยุ่ยหรือเนื้อตายแห้งแข็ง หากมีการตัดเนื้อตายออกจากแผลจะ
สามารถระบุ ว่าเปน็ แผลกดทับระดบั 3 หรอื ระดบั 4 ได้ เนื้อตายแห้งแข็ง (แห้ง ยึดติดแน่น ไมม่ รี อยแดง หรอื
ไมม่ ีลักษณะหยุน่ ๆ คล้ายน้าขังอยใู่ ตแ้ ผล) ที่บริเวณส้นเท้าหรอื บรเิ วณอวัยวะส่วนปลายที่เกิดเนื้อตายจากการ
ขาดเลือดไมค่ วรทาให้ อ่อนตัวหรือตดั ออก
แผลกดทับทีม่ กี ารบาดเจบ็ เนื้อเย่ือช้นั ลกึ : ผิวหนงั มีรอยแดงคล้า และรอยแดงยงั คงอยู่เม่ือใช้นิ้วมือกด
บริเวณ ผิวหนังที่เป็นรอยแดงคล้า มีการเปลี่ยนแปลงสีผิวเป็นสีแดงช้าหรือสีม่วง (Persistent non-
blanchable deep red, maroon or purple discoloration)
ผิวหนังยังไมเ่ กิดการฉีกขาด หรอื ผวิ หนงั ฉกี ขาดเกิดเป็นแผล มรี อยแดงคล้าเฉพาะทแี่ ละรอยแดงยังคง
อยู่ เมื่อใช้นิ้วมือกดบริเวณผิวหนังที่เป็นรอยแดงคล้า มีการเปลี่ยนแปลงสีผิวเป็นสีแดงช้าหรือสีม่วง หรือ
ผวิ หนงั ชั้นหนงั กาพรา้ ฉกี ขาดเห็นพนื้ แผลเปน็ สดี า หรอื พบเปน็ ลักษณะของตมุ่ นา้ ที่มเี ลอื ดอยขู่ ้างใน มกั พบว่ามี
ความเจ็บปวดและ การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ขิ องผิวหนงั เกดิ ข้นึ ก่อนมกี ารเปล่ียนแปลงของสผี ิว ในบคุ คลที่มีผวิ
คล้าการเปลี่ยนแปลงของสผี ิวจะมีลักษณะท่ีแสดงให้เหน็ จะแตกต่างออกไป การบาดเจบ็ เนื้อเยื่อช้นั ลึกน้เี กดิ
จากความรุนแรงของแรงกดและ/หรือการถูกกดทับเป็นระยะเวลานาน ร่วมกบั แรงไถลในบริเวณส่วนเชื่อมต่อ
ระหวา่ งกระดูกและกล้ามเน้อื การเกดิ แผลอาจลกุ ลามเข้าสู่เนือ้ เย่อื ท่ีมีบาดเจ็บอย่างรวดเร็วหรือการบาดเจ็บ
อาจหายโดยไม่เกิดเป็นแผลก็ได้ ถ้าพบเนื้อตาย ชั้นไขมัน เนื้อเยื่อใหม่สแี ดง ชั้นพังผืด กล้ามเน้ือ หรืออวยั วะ
อื่นๆ จะเป็นลักษณะของแผลกดทับที่มีการสูญเสยี เนื้อเยื่อ (แผลกดทับที่ไม่สามารถระบุระดับ, แผลกดทับ
ระดบั 3, หรือแผลกดทบั ระดบั 4)
การระบุระดบั ของแผลกดทับท่ีมีการบาดเจ็บเนื้อเยื่อชัน้ ลึก ห้ามนำมาใช้ในการอธิบายแผลท่เี กิดจาก
ภาวะของโรคหลอดเลอื ด การบาดเจ็บจากอบุ ัตเิ หตุ ความเส่อื มของเสน้ ประสาท หรอื โรคผิวหนัง
แผลกดทบั บริเวณเย่ือบุผวิ (Mucosal Membrane Pressure Injury)
พบไดบ้ รเิ วณเยอ่ื บุผิวร่วมกับมีประวัติการใช้อุปกรณท์ างการแพทยใ์ นตำแหน่งทเ่ี กดิ แผล แรงกดจะทำ
ใหเ้ นอ้ื เย่อื ขาดเลือดไปเล้ียง เกิดจากการบาดเจ็บโดยตรงของเย่อื บุ ทำใหเ้ กดิ เลอื ดออกเป็นลมิ่ เลือดท่ีอ่อนนุ่ม
การตอบสนองการบาดเจ็บเร่ิมจากกระบวนการอกั เสบ จะมีการบวมกดเจบ็ บางครงั้ จะเหน็ เป็นแผลมีสีเหลอื ง
เป็นสสี ะทอ้ นแสง เมื่อแผลหายจะไมเ่ ปน็ แผลเปน็ ซึง่ แผลกดทับน้ีจะเกดิ ในระบบทางเดินอาหาร เยอื่ บุจมูก
ระบบทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด ท่ีถูกกดทับจากการใส่อุปกรณท์ างการแพทย์ เช่น ท่อสายออกซิเจน ทอ่ ช่วย
หายใจ สายยางให้อาหาร เปน็ ต้น เน่ืองจากกายวิภาคของเย่ือบุผิวมีความแตกตา่ งจากช้นั ผวิ หนังและเนื้อเย่ือ
ใต้ผวิ หนงั จึงไมส่ ามารถระบรุ ะดบั ของแผลกดทบั ได้
แผลกดทบั ที่เกิดจากอปุ กรณ์ทางการแพทย์ (Medical Device Related Pressure Injury)
แผลกดทบั ท่ีเกิดจากการใชอ้ ปุ กรณท์ ี่มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อการวินิจฉัยหรือการดแู ลรักษา โดยส่วนใหญ่
ลักษณะของแผลกดทับจะมรี ูปแบบหรือรูปร่างเหมือนกับอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น สายท่อออกซิเจน ET/T-T Tube,
O2cannula, NG Tube, Retention suture, O2 sat Probe, การผูกมัด, splint, Arterial line เป็นต้น การ
บาดเจบ็ ที่เกดิ ขนึ้ มีการระบุระดบั ของแผลตามระบบการระบรุ ะดบั ของแผลกดทบั
แผลกดทับที่หลีกเลี่ยงได้และที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (Avoidable and Unavoidable
Pressure Injury)
มกี ารรายงานจากการวจิ ยั การเฝ้าสงั เกตจากผู้เช่ยี วชาญ แบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
แผลกดทับที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (Unavoidable Pressure Injury) คือ เป็นแผลกดทับท่ีเกิดขนึ้
ทงั้ ท่ีผู้ดูแลไดป้ ฏิบัตติ ามแนวทางครบถ้วน แผลกดทับทเ่ี กิดขึน้ เป็นเรื่องหลีกเลีย่ งไม่ได้ มักจะเกิดในผู้ป่วยที่มี
ปัญหาระบบไหลเวยี นโลหิต ผ้ปู ว่ ยระยะสุดทา้ ย มีการใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อการรักษา ได้รบั สารอาหาร
ไม่เพียงพอ ไม่สามารถเปลย่ี นท่าได้ แม้ว่าจะประเมินได้ว่าผูป้ ว่ ยมีโอกาสเกิดแผลกดทบั ท่ีไมส่ ามารถหลีกเลี่ยง
ได้ แต่ยังคงมีการปอ้ งกันตามแนวปฏิบัตใิ หผ้ ้ปู ว่ ย
แผลกดทับทหี่ ลีกเลย่ี งได้ (Avoidable Pressure Injury) คือ แผลกดทับทเี่ กิดขึน้ เมื่อผู้ดูแลไม่ปฏิบัติ
ตามแนวทางป้องกัน เช่น ไม่ได้ประเมินสภาวะทั่วไป ปัจจยั เส่ียง ไม่ใหก้ ารดแู ลที่สอดคล้องกบั เป้าหมายและ
ความต้องการ การดแู ลไม่ไดม้ าตรฐาน ไม่ติดตามผล ไมม่ ีการทบทวนการดแู ลท่ีเหมาะสม ทำให้เกิดแผลกดทับ
ข้ึน
การเกิดผิวหนังถกู ทำลายจากวัสดยุ ดึ ติดทางการแพทย์ (Medical Adhesive Related Skin Injury)
การเกิดผิวหนงั ถูกทำลายจากวสั ดุยึดติดทางการแพทย์ (Medical Adhesive Related Skin Injury)
หรอื MARSI หมายถึง การเกดิ ผวิ หนงั ฉีกขาดหรือถกู ทำลายจากวัสดุยึดตดิ ทางการแพทย์ เปน็ อบุ ัติการณ์การ
เกดิ ผวิ หนงั แดง หรืออาการแสดงความผดิ ปกตติ า่ งๆ ของผิวหนงั เชน่ ถุงนำ้ แผลถลอก หรอื แผลเปดิ ภายหลงั
ลอกวสั ดทุ ่ียดึ ติดนาน 30 นาที หรือมากกว่า
วัสดุที่ยึดติดทางการแพทย์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อยึดติดวัสดุปิดแผล หรืออุปกรณ์ภายนอกต่างๆ
ได้แก่ เทปกาวทางการแพทย์ (medical tape) แผ่นปิดแผลชนิดใส (transparent film) อุปกรณป์ ิดแผลที่มี
ส่วนประกอบของกาว (adhesive dressing) electrode, patch อุปกรณ์ปิดลำไส้ทางหน้าท้อง (ostomy
supplies) เปน็ ต้น
พยาธสิ รรี วิทยา (Pathophysiology) ของการเกดิ ผิวหนังถกู ทำลายจากวสั ดยุ ึดติดทางการแพทย์ เป็น
การบาดเจบ็ ของผิวหนงั เมอ่ื แรงยดึ ระหวา่ งวัสดุกบั ผิวหนงั แขง็ แรงกวา่ แรงยดึ ระหวา่ งเซลล์กับผิวหนงั ส่งผลให้
เซลล์ผวิ หนังในชน้ั epidermis แยกจากกนั หรือผวิ หนงั ชนั้ epidermis และ dermis แยกจากกนั โดยสมบูรณ์
ปัจจยั ทท่ี ำใหเ้ กิดผวิ หนังถกู ทำลายจากวสั ดยุ ดึ ติดทางการแพทย์
ปัจจยั ท่ีทำใหเ้ กดิ ผิวหนังถูกทำลายจากวัสดยุ ึดติดทางการแพทย์ มที ้งั ปัจจยั ภายในตัวผู้ป่วยและปัจจยั
ภายนอก สรุปได้คือ
1. ปจั จยั ภายใน ไดแ้ ก่
1.1 อายุ ในเด็กทารกและผสู้ งู อายุ ผิวหนังจะแขง็ แรงนอ้ ยกวา่ ในช่วงอายอุ ื่นๆ ในเด็กเล็ก ผวิ หนัง
ของชั้น stratum corneum บางกว่าผู้ใหญ่ถึงร้อยละ 40-60 ส่วนในผู้สูงอายุนั้น ชั้นของผิวหนังบางลง
โดยเฉพาะช้ัน subcutaneous tissue การไหลเวียนเลือดและความยืดหยุ่นลดลง รวมทัง้ สูญเสียความชื้นได้
งา่ ย
1.2 เชอ้ื ชาติ เผา่ พันธุ์ มีผลต่อความแขง็ แรงของผวิ หนงั และความยากงา่ ยในการประเมินสผี วิ
1.3 ลกั ษณะโรคทางผวิ หนัง เช่น มีผืน่ คัน มีการอกั เสบของผวิ หนงั จากความชืน้ มกี ารอกั เสบของ
ผวิ หนงั เรื้อรัง
1.4 โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของผิวหนัง เช่น เบาหวาน การอักเสบติดเชื้อใน
รา่ งกาย ความบกพร่องการทำงานของไต ภาวะกดภูมิคมุ้ กัน ภาวะเกีย่ วกบั การไหลเวยี นเลอื ด มเี สน้ เลอื ดขอด
รอบรเู ปดิ ทวารเทยี ม
1.5 ภาวะขาดนำ้ ภาวะขาดสารอาหาร ส่งผลต่อความแข็งแรงของผิวหนงั ลดลง
2. ปจั จัยภายนอก ได้แก่
2.1 ผิวหนงั แหง้ จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้นำ้ ยาทำความสะอาดท่มี คี วามรนุ แรงทำให้ผิวแห้ง
และหยาบกระดา้ ง การอาบน้ำบอ่ ยเกนิ ไปทำให้ผิวแห้ง ความช้ืนในอากาศลดลง
2.2 การสมั ผสั ความชน้ื เป็นเวลานาน ทำใหผ้ ิวหนังออ่ นแอ และเกดิ แรงเฉอื นเพม่ิ ขึน้ ถึง 2 เทา่ เมื่อ
เทียบกับผิวหนังปกติ
2.3 การไดร้ ับยาของผ้ปู ่วย เช่น ยาตา้ นการอกั เสบ ยาตา้ นการแขง็ ตวั ของเลอื ด ยาเคมบี ำบดั การ
ใชย้ าสเตยี รอยด์เป็นเวลานาน
2.4 การได้รับรังสีรักษา ผิวหนังที่โดนรังสีความร้อนจะบอบบาง อ่อนแอ และสูญเสียความ
แขง็ แรง
2.5 การถูกทำลายจากแสง เชน่ ในผู้ป่วยทีไ่ ด้รับการสอ่ งไฟ
2.6 วิธกี ารลอกวสั ดุท่ียึดตดิ วสั ดปุ ิดแผล หรืออปุ กรณ์ตา่ งๆที่มีความเหนียวออกจากผิวหนัง
2.7 การตดิ ซำ้ ๆของวสั ดยุ ดึ ตดิ แผลในตำแหนง่ เดมิ
ประเภทของผิวหนงั ถกู ทำลายจากวัสดุยดึ ตดิ ทางการแพทย์
แบ่งตามสาเหตุหลักของการทำใหผ้ ิวหนังถกู ทำลายได้ ดงั น้ี
1. ผิวหนังถูกทำลายจากแรง Mechanical
1.1 skin (epidermal) striping ผิวหนังชนั้ stratum corneum หลดุ ออกอยา่ งน้อยหนง่ึ ชน้ั จาก
การดึงรั้ง เกิดในขณะที่ดึง Medical adhesive ออกจากผิวหนัง ผิวหนังจะมีลักษณะ แดง มันวาวเป็นเงา
รปู ร่างไมส่ มำ่ เสมอ กรณีท่ีบาดเจ็บรนุ แรงอาจพบผิวหนังบวมแดงและมตี ุ่มนำ้ รว่ มดว้ ย
1.2 Tension injury or blister ผิวหนังชั้น epidermal แยกจากชั้น dermis และเกิดตุ่มน้ำใต้
ชั้นผิวหนัง (blister) เกิดจากการทผ่ี วิ หนงั ชั้นบนถกู ยืดขยายจากวสั ดุปิดยึด (adhesive device) ปดิ วสั ดุยึดติด
ทางการแพทย์ตึงเกนิ ไป ทำใหเ้ กดิ แรงไถล (shear force) ระหวา่ งช้นั ผิวหนงั ทำให้ผิวหนงั เกดิ การพองตวั แยก
ออกจากกัน
1.3 Skin tear เกิดการฉีดขาดของชั้นผิวหนัง เกิดจากแรงไถล (shear force) แรงเสียดสี
(friction) และ/หรือแรงกระแทกบนผิวหนัง ทำให้ชั้นผิวหนังแยกออกจากกัน มีความลึกต้ังแตร่ ะดับ Partial
thickness loss ถึง full thickness skin loss
2. ผิวหนังถูกทำลายเกดิ การอักเสบ Dermatitis
2.1 Irritant contact dermatitis ผิวหนังอักเสบจากการระคายเคืองจากสารเคมีในวัสดุยึดตดิ
(Adhesive device) เกิดบริเวณผิวหนังของผู้ป่วยในตำแหน่งที่สัมผัสกับวัสดุยึดติด มีอาการบวมแดง
(reddened and swollen) และอาจพบตมุ่ นำ้ (vesicle) บรเิ วณนน้ั ได้ อาการจะเปน็ เฉพาะท่ีและดีข้นึ รวดเรว็
ภายหลังหยุดใช้วัสดุนั้น สารที่ใช้ในวัสดุปิดยึด เช่น Natural rubber Latex, Acrylate, Hydrocolloid,
Hydrogel with polyurethane film, Silicone
2.2 Allergic dermatitis ผิวหนังอักเสบจากการแพ้วัสดุยึดติด (adhesive device) ซึ่งเป็นผล
จากการตอบสนองของระบบภูมคิ ุม้ กันของรา่ งกาย ผวิ หนังของผปู้ ว่ ยทส่ี มั ผัสวัสดุยึดติด เกดิ เป็นผื่น มีอาการ
คนั บวม แดง อาการจะคงทีอ่ ยูน่ านจนถงึ หนงึ่ สัปดาห์หลงั หยุดใช้วสั ดุน้นั
2.3 ประเภทของผิวหนงั ถูกทำลายจากวัสดุยดึ ติดทางการแพทยอ์ น่ื ๆ
2.3.1 Maceration เกดิ จากผิวหนงั สมั ผสั วัสดุยึดติดทางการแพทย์ที่มีความชน้ื เป็นเวลานาน
ผวิ หนงั บรเิ วณน้นั จะมีลักษณะเห่ียว ซีดขาวจนถึงเทา ผิวหนังเปอ่ื ย ออ่ นแอ ส่งผลใหเ้ กดิ การบาดเจ็บจากแรง
เฉือน (shear force) หรอื แรงเสียดสี (friction) เกิดการลอก ถลอกไดง้ า่ ย
2.3.2 Folliculitis ภาวะรูขุมขนอักเสบซึ่งเกิดจากการโกนขนและปิดวัสดุยึดติดทาง
การแพทย์ทับบริเวณดงั กล่าว ทำใหผ้ ิวหนงั บรเิ วณนั้นตดิ เช้ือแบคทีเรีย ผิวหนังบรเิ วณรขู มุ ขนจะบวมแดง เป็น
หนอง
การป้องกนั ผวิ หนงั ถูกทำลายจากวัสดยุ ดึ ตดิ ทางการแพทย์
1. ประเมนิ ปัจจยั เสย่ี ง การเกดิ MARSI ของผูป้ ว่ ย
2. เลอื กชนิดวสั ดอุ ปุ กรณย์ ึดติด ใหถ้ ูกตอ้ งตามวัตถปุ ระสงค์ให้เหมาะสม เชน่ เพอ่ื ตรงึ ไม่ให้เกิดการ
เคลอื่ นไหว (immobilize) การยดึ ติดอุปกรณใ์ หแ้ ข็งแรง บริเวณ/ตำแหนง่ อวยั วะ ลักษณะบริเวณโดยรอบ การ
เลือกวัสดยุ ึดติดทีม่ ีส่วนประกอบต่างๆใหเ้ หมาะสมกบั สภาพผิวหนังจามปัจจยั ของผปู้ ่วย เช่น ผู้สูงอายุ ทารก
คลอดก่อนกำหนด ผู้ที่มีผิวหนังบอบบาง แพ้ง่าย มีเทคโนโลยีเก่ียวกับวัสดยุ ึดติดที่ก้าวหน้ามากขึ้น เพื่อเป็น
ตวั เลอื กให้กบั ผ้ปู ่วยกลุม่ เสยี่ ง ส่วนประกอบของวัสดุยดึ ติด เช่น Acrylate, Silicone เปน็ ตน้ ไม่ควรเลือกใช้
วสั ดทุ ม่ี ีคณุ สมบัติยดึ ติดมากเกินความจำเปน็
3. วิธกี ารติดวัสดุทย่ี ึดตดิ ทางการแพทย์
3.1 ไมเ่ พม่ิ แรงดงึ ขณะติดวสั ดุทย่ี ดึ ติดทางการแพทย์
3.2 เตรยี มผิวหนงั บริเวณโดยรอบใหแ้ หง้ สะอาด ไม่ตดิ วสั ดทุ ย่ี ดึ ตดิ บนพื้นผิวทช่ี ้นื หรอื เปยี ก
3.3 ไมค่ วรยืดวัสดยุ ึดติด ขณะทป่ี ดิ ลงบนผิวหนังของผู้ปว่ ย เพราะอาจทำใหเ้ กิดแรงเฉือนใต้ชั้น
ผิวหนัง ทำให้เกดิ ตมุ่ นำ้ ใส และไมใ่ ชว้ สั ดยุ ึดติดทยี่ ดื ได้ (stretch) ในบรเิ วณทบ่ี วม หรือบรเิ วณที่ต้องเคลื่อนไหว
3.4 การป้องกันผิวหนังด้วยสารปกปอ้ งผิวหนัง alcohol-free barrier film ต้องรอให้แห้งก่อน
ติดวสั ดยุ ดึ ตดิ ผวิ หนัง ไม่ควรเตรยี มผิวหนังด้วยสารทมี่ สี ่วนผสมของแอลกฮอล์เป็นสว่ นประกอบ เพราะทำให้
ผิวแหง้
3.5 ควรตัดขนออก เพื่อป้องกนั รขู มุ ขนอักเสบ กอ่ นปิดวสั ดยุ ึดตดิ ทุกครง้ั
3.6การทับ catheter ให้ใช้ omega Technique การใช้แรงที่เหมาะสมเพื่อลดแรงตึงผิวระหว่าง
ผิวหนังและวัสดุยึดติด(surface tension) คือใช้วัสดุปิดบน catheter ให้คลุมรอบสายก่อนปิดลงบนผิวหนัง
ของผู้ปว่ ย 4. วธิ ีการลอกวสั ดยุ ดึ ติดท่ถี ูกต้อง ประคับประคองผิวหนังบรเิ วณแนวท่ีลอก(Peel line) ด้วยวิธี 2
finger (ใชน้ ้ิวกดผิวหนังข้างๆบริเวณท่ีจะลอกวสั ดุยึดตดิ พร้อมกับใชอ้ กี มือลอกวสั ดุยึดติดออก) ไมล่ อกวัสดุยึด
ติดเร็วเกินไป ไม่ควรดึงในแนวระนาบขนานกบั ผิวหนังทำมุม45องศา ไม่ลอกแบบทำมุมสูงกับผิวหนัง 5. งด
การใช้สารบางอย่าง เช่นสารที่มี tincture benzoin เป็นส่วนประกอบโดยเช่ือว่าเพิ่มการยึดติดของเทปกาว
6. ไม่ติดวัสดุยึดติดทางการแพทย์ นานเกินไป 7. ไม่ควรติดวัสดุยึดติดทางการแพทย์ ซ้ำบ ริเวณเดิม สรปุ
ผวิ หนงั ท่ีถูกทำลายจากวสั ดยุ ึดตดิ ทางการแพทย์ ก่อใหเ้ กดิ ความไมป่ ลอดภัยตอ่ ผูป้ ว่ ยเมือ่ มกี ารฉีกขาดหรือถูก
ทำลายนอกจากส่งผลกระทบตอ่ ตัวผู้ปว่ ยทางกายแล้ว ยังทำใหต้ ้องใช้เวลาทรพั ยากรในการดูแลรักษา ทำให้
ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงจำเปน็ อย่างยิ่งที่ผูใ้ ห้การดูแลต้องตระหนัก และป้องกันไม่ให้การเกิด
ผวิ หนงั ถูกทำลายจากวสั ดุยึดตดิ ทางการแพทย์เกดิ ขึ้น
โครงการพัฒนาสคู่ วามเปน็ เลิสในการดแู ลแผลกดทับ ปี 2565
กิจกรรมที่ 1 พฒั นาความรู้และทักษะผูช้ ว่ ยพยาบาลในการดูแลแผลกดทบั
การลดและกระจายแรงกดทบั การเปลี่ยนท่า ( Pressure relieve & Position turning)
พว. ระพีพร มาศธนพันธ์ MNS, APN, ET, RN
การป้องกันการเกดิ แผลกดทบั ในผู้ป่วยถอื เปน็ บทบาทหนงึ่ ที่สาคญั ของบุคลากรทีมสุขภาพ
โดยเฉพาะพยาบาล ผชู้ ว่ ยพยาบาลและผู้ช่วยเหลือคนไข้ ซ่ึงถอื เป็นบคุ ลากรทมี สขุ ภาพทอี่ ยู่ดแู ลใหก้ าร
พยาบาลใกลช้ ิดผู้ป่วยมากท่สี ดุ แผลกดทับมกั จะเกดิ กับผปู้ ่วยที่ถกู จากัดการเคลือ่ นไหว เช่น ผู้ปว่ ยอัมพาต
ผูป้ ่วยที่ชว่ ยเหลือตัวเองไม่ได้ ผปู้ ่วยไมร่ สู้ ึกตัว ผู้ปว่ ยติดเตียง ผูป้ ว่ ยที่ถูกจากัดการเคลือ่ นไหว เช่น ผู้ป่วยที่ตอ้ ง
ใชอ้ ุปกรณย์ ึดตรึงเพื่อการรกั ษา เชน่ ผปู้ ว่ ยกลุ่มออรป์ ดิ ิกส์ ผสู้ งู อายุ รวมถงึ ผปู้ ่วยวาระสุดทา้ ย อุบตั กิ ารณ์การ
เกดิ แผลกดทับเกิดไดท้ ัง้ ท่โี รงพยาบาล บา้ น ศนู ย์ดแู ลผสู้ ูงอายุ ซง่ึ จะสง่ ผลกระทบต่อผู้ป่วยความเจบ็ ปวดแผล
ดา้ นการรกั ษาพยาบาล ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลยาวนานขึ้น ฟ้นื หายช้า มีความเสยี่ งตอ่ การเกิด
ภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชือ้ ที่แผลกดทับซง่ึ อาจรุนแรงถงึ ขนั้ เสียชวี ติ ได้ นอกจากนยี้ งั ต้องมคี ่าใชจ้ า่ ยใน
การรักษาพยาบาล การใชว้ สั ดทุ าแผล คา่ ยา คา่ บริการทางการแพทย์ การพยาบาลและ คา่ ใชจ้ า่ ยของญาติทใ่ี ช้
สอยขณะผูป้ ว่ ยอยโู่ รงพยาบาล อีกท้ังส่งผลกระทบด้านจติ ใจ อารมณ์ สงั คมของผูป้ ว่ ยและญาติ1
การลดและกระจายแรงกดทบั บรเิ วณผวิ หนังและเน้ือเยอื่ ตามปุ่มกระดูกท้ังในท่าน่งั และทา่ นอน ด้วย
การใชอ้ ุปกรณ์ลดแรงกดและอปุ กรณ์ชว่ ยรองรบั 2 การจดั ทา่ นอน ท่าน่ัง วิธีการเคล่อื นย้ายผปู้ ว่ ย การพลิก
ตะแคงตัว สามารถลดและกระจายแรงกดบริเวณปมุ่ กระดกู ได้ ทาให้เลอื ดไหลเวยี นมาบรเิ วณท่ีถกู กดทับ มีการ
แลกเปล่ยี นอาหาร ออกซิเจนและของเสีย เกดิ การฟน้ื ฟูสภาพของเน้ือเยื่อท่ีบาดเจ็บจากแรงกดทับ1
วัตถปุ ระสงค์ เพื่อลดและกระจายแรงกดทเ่ี ป็นอนั ตรายตอ่ เนอ้ื เย่อื และสง่ เสริมใหเ้ นื้อเยอ่ื มเี ลอื ดไป
เลย้ี งอย่างเพียงพอโดยการจดั ทา่ นอน ทา่ นง่ั ทเ่ี หมาะสม การพลิกตะแคงตัวที่มีประสทิ ธภิ าพ และประสิทธผิ ล
ของการใช้อุปกรณ์ลดแรงกดและอปุ กรณ์ช่วยรองรบั บรเิ วณทมี่ ีความเสีย่ ง1
การลดและกระจายแรงกดทบั ปฏิบตั ไิ ดด้ ังนี้3
1. การพลกิ ตะแคงตวั ทุก 2 ชั่วโมง หรือบ่อยกวา่ น้ี โดยใชบ้ คุ ลากร 2 – 4 คน ช่วยในการยกตัว
ผ้ปู ว่ ยเพื่อพลิกตะแคงตวั โดยใช้ผา้ ยกตัวหลกี เลยี่ งการลากดึง บนั ทกึ การพลกิ ตะแคงตัวตามวนั เวลาทพ่ี ลิก
ตะแคงตัวผู้ป่วย
2. ใชก้ ลยุทธ์ “ ยก จดั ดึง ดู” ในการพลิกตะแคงตวั ผ้ปู ่วยทุกครัง้ เพอื่ ปอ้ งกันผลเสยี ท่ีเกดิ จาก
แรงกดทับและวางแผนการดูแลรกั ษาสภาพความแขง็ แรงของผิวหนงั
การยก : เปน็ การขจดั แรงกดจากตาแหนง่ เดมิ ทไ่ี ดร้ ับแรงกดทับ โดยการยกตวั ผูป้ ่วยทุกคร้ังในการ
พลิกตะแคงตัว ใชผ้ า้ ยกตวั ชว่ ยในการยกตวั
โครงการพฒั นาสคู่ วามเปน็ เลสิ ในการดูแลแผลกดทับ ปี 2565
กิจกรรมที่ 1 พัฒนาความรูแ้ ละทกั ษะผชู้ ่วยพยาบาลในการดแู ลแผลกดทบั
การจดั : เป็นการกระจายแรงกดหรือลดแรงกดบริเวณป่มุ กระดกู ซ่ึงเปน็ บรเิ วณที่มีความเสีย่ งสูง โดย
วธิ กี าร ดงั นี้
- จดั ทา่ นอนหงายศรี ษะสงู ไม่เกิน 30 องศา (หนนุ หมอน 1 ใบ) ยกเว้นกรณีใหอ้ าหารใหจ้ ดั ศีรษะสูง
45 องศา ยกปลายเทา้ สูง เพื่อปอ้ งกนั การล่ืนไหลและจัดขาสว่ นลา่ งใหส้ ้นเท้าลอยพน้ พืน้ ที่นอน โดยใช้หมอน
สอดใตเ้ ข่าและตาตมุ่
- จดั ทา่ นอนตะแคง ใหต้ ะแคงกึง่ หงาย 30 องศา โดยใช้หมอนรองหลงั 2 ใบ ดันบริเวณหลงั ถึงไหล่ 1
ใบ และเอวถงึ ก้นกบ 1 ใบ จัดขาไมใ่ หซ้ ้อนทับกนั ให้ขาบนเยอื้ งไปข้างหลังใช้หมอนรองใตเ้ ข่า 1 ใบ
- ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยรองบรเิ วณท่มี คี วามเส่ียง เชน่ ใบหุ ร่องหู บริเวณตาต่มุ บริเวณป่มุ สะโพก ก้นกบ
- ใชอ้ ุปกรณท์ ่ีนอนลมในผ้ปู ว่ ยในผู้ป่วยทม่ี ีความเสย่ี งตอ่ การเกิดแผลกดทบั ท่มี คี ะแนนบราเดน ระดบั
เส่ยี งปานกลางถึงระดับเสีย่ งสงู
การดึง : เปน็ การลดแรงกด โดย
- ดูความเรยี บร้อยของผา้ ปูทนี่ อน ผา้ ขวางเตยี ง ผ้ารองยกตัวและรอยยับยน่ ของเสือ้ ผ้านงุ่ กางเกง
ของผู้ป่วย การดู เปน็ การเฝ้าระวังเรอื่ งแรงกดทับ และความแขง็ แรงทนทานของเนอื้ เย่ือ โดยการประเมิน
สภาพผวิ หนัง เพือ่ ให้ดแู ลป้องกนั แผลกดทบั ได้อย่างเหมาะสม
- เคลือ่ นย้ายผปู้ ว่ ยด้วยความระมัดระวงั ไมล่ าก ดงึ ตัวผ้ปู ่วย ใช้ Pat – slide ช่วยในการเคล่ือนย้าย
- เสริมพลัง สนับสนุนผู้ปว่ ย ญาติใหค้ วามร่วมมอื และมีสว่ นร่วมในการดแู ลป้องกนั การเกดิ แผลกดทับ
การพลกิ ตะแคงตัว โดยใชก้ ลยทุ ธ์ “ ยก จัด ดงึ ดู”3
- พลิกตะแคงตวั ทุก 2 ช่วั โมง ยก
- ยกตัวแทนการลาก – ดงึ
- การตะแคงตัวให้เอยี ง 30 องศา
- การใชห้ มอนช่วยรองรับ จดั
- ไขหวั เตยี งสงู ไมเ่ กิน 30 องศา ยกเวน้ เวลาให้อาหาร
- ความเรยี บตงึ ของผ้าปูท่ีนอน ดึง
- หลีกเล่ยี งความยบั ยน่ ของเสอ้ื ผา้
- การประเมินสภาพผวิ หนงั
- การทาความสะอาดผวิ หนงั
- ขจดั ความเปียกช้นื
- การกระตุ้น / ดูแลให้ผู้ปว่ ยดม่ื น้า ดู
- การใชท้ ่นี อนลม
- การกระต้นุ แนะนา ใหค้ วามรบู้ คุ ลากรในทมี ญาติผู้ป่วย ให้เข้าใจถึงความจาเป็นและ
ประโยชน์ ในการปฏบิ ตั ิเพอื่ ลดหรือขจัดแรงกดทับ
- การใช้อปุ กรณ์ช่วยในการเคล่อื นย้าย
โครงการพัฒนาสู่ความเป็นเลสิ ในการดแู ลแผลกดทบั ปี 2565
กิจกรรมที่ 1 พัฒนาความรู้และทักษะผู้ช่วยพยาบาลในการดแู ลแผลกดทับ
ข้อควรระวังในการปฏบิ ตั ิ3
1. หลกี เลย่ี งการนวดผิวหนงั หรือบริเวณปมุ่ กระดกู ทม่ี ีรอยแดง เพราะการนวดจะทาให้การ
ไหลเวยี นเลอื ดลดลงและเน้ือเยื่อทอ่ี ยลู่ ึกลงไปได้รบั บาดเจ็บจากการนวด
2. หลกี เลี่ยงการใช้ Rubber ring หรอื หมอนรูปโดนัท รองบรเิ วณกน้ กบ เพราะทาให้ขัดขวาง
การไหลเวียนเลือดและน้าเหลืองของเน้ือเย่ือโดยรอบ
3. หลกี เลี่ยงการจัดท่าศรี ษะสงู เกนิ 30 องศา โดยไม่ใชห้ มอนรองใต้เขา่ และดนั ปลายเท้า จะทา
ให้ตวั ผู้ปว่ ยเล่ือนไถลลงมาปลายเตยี งและเกิดแผลกดทับจากแรงไถล
4. หากผู้ปว่ ยนัง่ บนเกา้ อี้หรือ Wheel chair ควรมีการหมนุ เวียนท่าน่ัง ทุก 15 – 30 นาที โดย
การยกสะโพก โนม้ ตัวไปด้านหน้า ยกตัวลอย ไม่ควรจดั ให้ผปู้ ว่ ยนัง่ นานเกนิ ครง้ั ละ 1 ชวั่ โมง2
โครงการพัฒนาสคู่ วามเป็นเลิสในการดูแลแผลกดทับ ปี 2565
กจิ กรรมท่ี 1 พฒั นาความรู้และทักษะผชู้ ว่ ยพยาบาลในการดแู ลแผลกดทบั
เอกสารอา้ งอิง
1. ยุวดี เกตสัมพนั ธ์. แผลกดทบั Etiology of Pressure ulcer ใน: ยุวดี เกตสมั พันธ์, อญั ชนา ทว้ มเพ่ิมผล,
นภาพร อภิรดีวจเี ศรษฐ์ และ จุฬาพร ประสงั สติ . บรรณาธกิ าร. การดแู ลแผลกดทับ ศาสตรแ์ ละศิลปะ
ทางการพยาบาล. กรงุ เทพมหานคร: ไทยเอฟเฟคทส์ ตูดิโอ; 2552
2. กาญจนา รุง่ แสงจันทร.์ การกระจายแรงกด: ที่น่ัง ท่าทางและอปุ กรณร์ องรบั ( Pressure restibution:
Sealing, Positioning and Support surface) ใน: จุฬาพร ประสังสติ , กาญจนา รุ่งแสงจนั ทร์ และ
ยวุ รัตน์ ม่วงเงนิ . บรรณาธกิ าร. การดูแลแผล หลักฐานเชิงประจกั ษ์และประสบการณจ์ ากผูเ้ ชย่ี วชาญ.
กรงุ เทพมหานคร: พี.เอ.ลีฟวิ่ง; 2559
3. กอบแกว้ ซ่ือตรง และนิลวรรณ นันทสุขเกษม. การป้องกันการเกิดแผลกดทบั Prevention of
Pressure Ulcer ใน: ยวุ ดี เกตสมั พนั ธ์, อญั ชนา ทว้ มเพม่ิ ผล, นภาพร อภริ ดวี จเี ศรษฐ์ และ จุฬาพร
ประสังสิต. บรรณาธกิ าร. การดูแลแผลกดทับ ศาสตร์และศลิ ปะทางการพยาบาล. กรุงเทพมหานคร:
ไทยเอฟเฟคท์สตูดโิ อ; 2552
โครงการพฒั นาสู่ความเป็นเลสิ ในการดแู ลแผลกดทับ ปี 2565
กจิ กรรมที่ 1 พัฒนาความรูแ้ ละทักษะผู้ช่วยพยาบาลในการดูแลแผลกดทบั
Page |1
การพยาบาลการอักเสบของผิวหนังจากการกลั้นไม่ได้
Incontinence associated dermatitis (IAD)
พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์ RN,ETn
Incontinence associated dermatitis (IAD) หมายถงึ การอกั เสบของผิวหนงั จากการ
สมั ผสั อจุ จาระและหรอื ปัสสาวะนาน ทาใหเ้ กิดการระคายเคืองของผวิ หนงั การตอบสนองตอ่ ความชืน้ แฉะมาก
เกินไป (over hydration) ซง่ึ สมั พนั ธก์ บั การควบคมุ การขบั ถ่ายปัสสาวะหรอื อจุ จาระไมไ่ ดข้ องผปู้ ่วย เกิดการ
อบั ชืน้ ชืน้ แฉะ ทาใหผ้ วิ หนงั แดง (erythema) และผิวหนงั ถกู ทาลาย (erosion) หากไมท่ าการรกั ษา อาจมี
การตดิ เชือ้ แบคทีเรยี หรอื เชือ้ ราแทรกซอ้ น เกิดการติดเชือ้ ระบบทางเดนิ ปัสสาวะ อกี ทงั้ เป็นสาเหตทุ าใหเ้ กิดแผล
กดทบั ระดบั 2ได้ สง่ ผลใหเ้ กิดความเจบ็ ปวด ไมส่ ขุ สบาย การพกั รกั ษาตวั ในโรงพยาบาลนานขนึ้ คา่ ใชจ้ า่ ยใน
การรกั ษาพยาบาลสงู ขนึ้ และอาจเป็นปัจจยั เสรมิ ทาใหเ้ กิดการเสยี ชีวติ ได้ ถา้ แผลเกิดการติดเชือ้ และลกุ ลามเขา้ สู่
กระแสเลอื ด 1
ปัจจยั หลกั ท่ีเป็นของการทาลายผวิ หนงั เกิดจากอุจจาระและหรือปัสสาวะ
ตาแหน่งการเกดิ ภาวะผวิ หนังอักเสบจากการกลั้นไม่ได้
การเกิดผิวหนังอักเสบในบริเวณฝี เย็บ (perineal dermatitis) ผิวหนังบริเวณอวยั วะ
สบื พนั ธุ์ (genital) กน้ ยอ้ ย (buttock) และบรเิ วณตน้ ขาดา้ นใน (inner thigh)
ท่ีมา:https://images.skintghent.be/2018491033795_iad-best-practice-document.pdf
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |2
กลไกการเกดิ ผวิ หนังอักเสบในผู้ป่ วยทก่ี ลั้นปัสสาวะและ/หรืออุจจาระไม่ได้
1. จากความเปียกชืน้ (moisture)
2. ความเป็นดา่ งของผิวหนงั เพ่มิ ขนึ้
3. การระคายเคอื งจากสารเคมี(chemical irritation)
4. การเช็ดถู (chafing)
5. ผวิ หนงั ไมไ่ ดร้ ะบายอากาศ (occlusion ,poor skin/air contact)
ท่ีมา : https://images.skintghent.be/2018491033795_iad-best-practice-document.pdf
กลไกการเกิดผิวหนงั อกั เสบในผปู้ ่วยท่ีกลนั้ ปัสสาวะและ/หรอื อจุ จาระไมไ่ ดใ้ นภาวะกลนั้ ปัสสาวะและ/
หรอื อจุ จาระไมไ่ ดซ้ ง่ึ เป็นปัญหาท่ีไม่สามารถหลกี เล่ยี งได้
ในผปู้ ่วยสงู อายแุ ละผปู้ ่วยท่ีอยใู่ นภาวะวกิ ฤตมกั พบวา่ เกิดการอกั เสบของผวิ หนงั (incontinence
dermatitis)ในบรเิ วณฝีเย็บ รอบทวารหนกั กน้ กบและกน้ ยอ้ ย ซง่ึ อาจนาไปสกู่ ารเป็นแผลการตดิ เชือ้ และ
การตดิ เชือ้ ในกระแสเลือดในท่ีสดุ โดยเฉพาะในผปู้ ่วยสงู อายทุ ่ีมีภมู ิตา้ นทานต่าหรอื ในผทู้ ่ีมีความบกพรอ่ งของ
ผวิ หนงั ซง่ึ กลไกการเกิดอาจแบง่ ไดด้ งั นี้
1. จากความเปี ยกชนื้ (moisture)
ความเปียกชืน้ ท่ีมากเกินไปจะทาใหค้ วามแขง็ แรงของผวิ หนงั ลดลงเกิดการแตกหรอื ถลอกไดง้ ่าย
นอกจากนีผ้ วิ หนงั ท่ีเปียกชืน้ ยงั เหมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของแบคทีเรยี และเชือ้ รา โดยเฉพาะผวิ หนงั ใน
บรเิ วณฝี เย็บ และอณั ฑะ ในกลมุ่ ผทู้ ่ีมีปัญหากลนั้ ปัสสาวะและ/หรอื อจุ จาระไมไ่ ดพ้ บวา่ ปัญหาท่ีพบมากคือการ
เกิดรอยแดงและผ่ืน(blanchable erythema) ในบรเิ วณท่ีมีความอบั เปียกชืน้ เชน่ บรเิ วณกน้ กบมกั มี
ความเปียกชืน้ มากกว่าคนปกติ ในผปู้ ่วยท่ีกลนั้ ปัสสาวะไมไ่ ดพ้ บวา่ ผวิ หนงั ท่ีเปียกชืน้ มากท่ีสดุ คือบรเิ วณท่ีอยู่
ห่างจากทวารหนกั (rectum) ไปทางดา้ นหลงั เชน่ กน้ ยอ้ ย(buttock) สว่ นในผปู้ ่วยท่ีกลนั้ อจุ จาระไมไ่ ด้
ผวิ หนงั บรเิ วณท่ีไดร้ บั ผลมากท่ีสดุ คอื รอบๆทวารหนกั และตน้ ขาดา้ นใน ในภาวะปกติผวิ หนงั ชนั้ หนงั กาพรา้ จะ
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |3
เป็นดา่ นท่ีชว่ ยปกปอ้ งไมใ่ หน้ า้ หรอื ส่งิ ระคายเคืองผา่ นเขา้ ออกทางผวิ หนงั ไดม้ ากเกินไป โดยเซลลใ์ นชนั้ นอกสดุ
ซง่ึ เซลลใ์ นชนั้ นีจ้ ะเรยี งตวั เป็นแผน่ และอดั แนน่ เคลอื บดว้ ยไขมนั ซง่ึ เป็นกรดออ่ นๆ สามารถฆา่ และยบั ยงั้ การ
เจรญิ เติบโตของแบคทีเรยี ท่ีผิวหนงั ได้ ในผปู้ ่วยท่ีกลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ดจ้ ะมกี ารสะสมของนา้ จาก
ปัสสาวะและอจุ จาระบนผวิ หนงั ในบรเิ วณท่ีสมั ผสั จะทาใหเ้ ซลลเ์ ป่ือยยยุ่ ประกอบกบั ป่วยไดร้ บั การลา้ งทาความ
สะอาดบอ่ ยครงั้ ไขมนั ในบรเิ วณดงั กลา่ วก็จะถกู ชาระลา้ งออกไปทาใหค้ วามสามารถในการปอ้ งกนั ผวิ หนงั เสยี ไป
แบคทีเรยี และสารระคายเคอื งตา่ งๆ สามารถเขา้ สชู่ นั้ ผิวหนงั ได้
2. ความเป็ นดา่ งของผวิ หนังเพมิ่ ขนึ้
ผิวหนงั ท่ีสมั ผสั กบั ปัสสาวะและ/หรอื อจุ จาระเป็นเวลานาน ทาใหม้ ีการเปล่ยี นแปลงของความเป็นกรด
ดา่ งท่ีผวิ หนงั ในภาวะปกติผิวหนงั จะมี pH ประมาณ 4.2-5:7 ซง่ึ เป็นกรดออ่ นๆ เม่ือมีการรวมกนั ของ
ปัสสาวะและอจุ จาระ แบคทีเรยี ในอจุ จาระซง่ึ สามารถเปล่ยี นเป็นยเู รยี ในปัสสาวะ ทาใหเ้ กิดเป็นแอมโมเนียจะ
ทาให้ pHของผวิ หนงั กลายเป็นดา่ งมากขนึ้ นอกจากแอมโมเนียท่ีมีผลตอ่ pH ของผวิ หนงั แลว้ pHของอจุ จาระ
เองก็มีผลดว้ ยเชน่ กนั โดยเฉพาะในภาวะทอ้ งเสีย ในภาวะปกตอิ จุ จาระของคนเราจะมีความเป็นกรด-ดา่ ง(pH)
ประมาณ 5-6 แตใ่ นภาวะทอ้ งเสยี pH ของอจุ จาระจะเพ่ิมขนึ้ เน่ืองจากมีเอนไซมแ์ ละเกลอื นา้ ดจี ากลาไสเ้ ล็ก
สว่ นปลายซง่ึ เป็นดา่ งออ่ นๆ (pH7-8 ) ออกมากบั อจุ จาระมาก pH ท่ีเป็นดา่ งจะช่วยเรง่ การทางานของ
เอนไซมท์ ่ีออกมากบั อจุ จาระในการยอ่ ยโปรตนี และไขมนั ท่ีหนงั กาพรา้ ชนั้ นอกสดุ เม่ือรวมกบั ไขมนั ท่ีเคลอื บ
ผิวหนงั จะถกู ทาลายจากนา้ ดีในอจุ จาระซง่ึ มคี ณุ สมบตั เิ ป็นตวั ละลายไขมนั ทาใหห้ นา้ ท่ีในการปอ้ งกนั ของ
ผวิ หนงั จงึ เสียไปสง่ ผลใหน้ าแบคทีเรยี และสารระคายเคอื งตา่ งๆในอจุ จาระและปัสสาวะเขา้ สชู่ นั้ ผิวหนงั ทาให้
ผิวหนงั อกั เสบจากการท่ีเอนไซมเ์ ป็นโปรตนี และมีความเขม้ ขน้ สงู เม่อื เขา้ ไปส่ชู นั้ หนงั กาพรา้ จะทาใหม้ ีการดงึ นา้
จากในชนั้ หนงั แทเ้ ขา้ มาในชนั้ หนงั กาพรา้ ทาใหเ้ กิดการบวมนา้ ระหวา่ งเซลลใ์ นชนั้ ของหนงั กาพรา้ ทาใหเ้ กิดการ
บวมแดง ปัจจยั ท่ีกระตนุ้ การทางานของเอนไซมน์ อกจากpH ท่ีเพ่ิมขนึ้ แลว้ อณุ หภมู ทิ ่ีเพิม่ ขนึ้ ก็เป็นตวั เรง่ ใหก้ าร
ทาปฏิกิรยิ าของเอนไซมเ์ รว็ ขนึ้ ดงั นนั้ จะเห็นไดว้ า่ ในผปู้ ่วยท่ีมีไขจ้ ะเกิดผ่ืนแดงไดเ้ รว็ และรุนแรงกวา่ ผปู้ ่วยท่ีไม่มี
ไข้
3. การระคายเคอื งจากสารเคมี (chemical irritation)
ผวิ หนงั ปกติจะมคี วามเป็นกรดออ่ นๆ (pH 5.5) ผิวหนงั ชนั้ นอกสดุ ประกอบดว้ ยเซลลไ์ ขมนั และเซลล์
ผิวหนงั ท่ีตายแลว้ หนา้ ท่ีเหมือนฟิ ลม์ บางๆปกคลมุ ใหผ้ วิ หนงั ชมุ่ ช่ืนและปอ้ งกนั การแทรกแซงของจลุ ชีพ การใชน้ า้
และสบใู่ นการทาความสะอาดบอ่ ยๆ อาจทาใหผ้ วิ แหง้ แตกและสบทู่ ่ีมฤี ทธิ์เป็นดา่ ง (สบปู่ กตมิ ีpH ประมาณ
9.5-10.5) จะทาใหต้ วั ปกปอ้ งของผวิ หนงั เสยี ไป ทาใหเ้ กราะปอ้ งกนั ตามธรรมชาติถกู กาจดั ออกไป อาจ
กลา่ วไดว้ า่ สบโู่ ดยเฉพาะสบกู่ อ้ น ทาใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ ผิวหนงั โดยการทา ใหp้ H ของผิวหนงั เปลย่ี นเป็นดา่ ง
มากขนึ้ และทาใหค้ วามสามารถในการปอ้ งกนั การซมึ ผา่ นของสารระคายเคอื งของผวิ หนงั ลดนอ้ ยลง
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ่วยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |4
4. การเช็ดถู (chafing)
ผิวหนงั ท่ีมีความเปียกชืน้ จะมีแรงเสียดทานสงู ซง่ึ ทาใหเ้ กิดการถลอกหรอื ฉีกขาดของผิวหนงั ไดง้ า่ ยกวา่
ผิวหนงั ท่ีแหง้ ในผทู้ ่ีสวมใสผ่ า้ ออ้ มอนามยั (diaper) จากการท่ีผิวหนงั ตอ้ งสมั ผสั กบั ผวิ หนา้ ของผา้ ออ้ ม
ตลอดเวลาอาจทาใหเ้ กิดเสยี ดสที าใหเ้ กิดการถลอกของผิวหนงั โดยเฉพาะผา้ ออ้ มท่ีเปียกจะมีแรงเสียดทาน
มากกวา่ ผา้ แหง้ เพราะวสั ดทุ ่ีเปียกจะมีแรงตา้ นทานหรอื แรงเสยี ดทานมากกวา่ วสั ดทุ ่ีแหง้ ถงึ 2 เท่า นอกจากนี้
การเช็ดทาความสะอาดดว้ ยวสั ดทุ ่ีแข็งหรอื หยาบก็สามารถทาใหผ้ วิ หนงั ชนั้ นอกสว่ นเกิดการถลอกไดเ้ ชน่ กนั
5. ผวิ หนังไม่ไดร้ ะบายอากาศ (occlusion ,poor skin/air contact)
ในผปู้ ่วยท่ีมีภาวะกลนั้ ไมไ่ ด้ พบวา่ บรเิ วณท่ีมีความเปียกชืน้ มกั เป็นบรเิ วณท่ีอบั ช่ืน เช่น บรเิ วณรอบทวาร
หนกั บรเิ วณฝีเย็บ บรเิ วณกน้ กบ และกน้ ยอ้ ยเป็นตน้ ผปู้ ่วยท่ีกลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ดแ้ ละใสผ่ า้ ออ้ ม
อนามยั เกิดการอกั เสบของผิวหนงั ในบรเิ วณฝีเย็บ ทงั้ นีเ้ น่ืองจากผา้ ออ้ มอนามยั ประกอบดว้ ย 3 สว่ นคอื แผน่ ใย
ท่ีใหน้ า้ ซมึ ผา่ นมีความหนาแนน่ นอ้ ย ออ่ นนมุ่ บางเบา สามารถใหน้ า้ ผา่ นเขา้ ไดแ้ ตไ่ ม่ใหไ้ หลยอ้ นกลบั สว่ นท่ีสอง
เป็นแผน่ ใยท่ีบรรจสุ ารท่ีชว่ ยอมุ้ นา้ ไวไ้ ดร้ ะดบั หนง่ึ และทาใหก้ ลายเป็นเจล สว่ นท่ีสามเป็นสว่ นท่ีปอ้ งกนั นา้ ไหล
ออกจากผา้ ออ้ ม สว่ นใหญ่ทาดว้ ยพลาสตกิ หรอื ใยสงั เคราะหท์ ่ีมีคณุ สมบตั ิไมใ่ หน้ า้ ซมึ ผา่ น ซง่ึ จากคณุ สมบตั ิ
ดงั กลา่ ว ทาใหน้ า้ ไมส่ ามารถระเหยผา่ นออกไปได้ และผา้ ออ้ มอนามยั ไมส่ ามารถซมึ ซบั อจุ จาระได้ แตก่ ลบั
จากดั บรเิ วณใหอ้ จุ จาระสมั ผสั กบั ผวิ หนงั ไดเ้ ฉพาะเจาะจงมากขนึ้ โดยเฉพาะในผปู้ ่วยท่ีขยบั ตวั หรอื พลกิ ตะแคง
ตวั เองไมไ่ ด้ ผวิ หนงั ท่ีมีการระบายอากาศไมด่ ี นอกจากจะทาใหผ้ วิ หนงั อบั ชืน้ แลว้ ยงั พบวา่ ในบรเิ วณดงั กลา่ วจะ
มีอณุ หภมู ิสงู กวา่ ผวิ หนงั ท่ีมีการระบายอากาศดี ทาใหเ้ กิดผวิ หนงั อกั เสบได้
พยาธิสภาพการเกิดผิวหนังอกั เสบ อาการและอาการแสดง2
ภาวะผวิ หนงั อกั เสบจากการควบคมุ การขบั ถ่ายไมไ่ ด้ เปน้ การอกั เสบของผวิ หนงั ท่ีมลี กั ษณะแดง บวม อาจมตี มุ่
พองนา้ และผวิ หนงั เป็นแผลตนื้ ๆ จากการท่ีหนงั กาพรา้ หลดุ ลอก เกิดการตดิ เชือ้ เรม่ิ จากผวิ หนงั มีลกั ษณะซดี
เป่ือย ตอ่ มาผวิ หนงั แข็งขนึ้ มอี าการคนั เจบ็ แสบ
ท่ีมา www.Pfiedlerenterprises.com
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |5
การป้องกันผิวหนังถกู ทาลาย 3
1.การประเมินปัจจยั เส่ยี งและการเฝา้ ระวงั
2.การไมก่ ระทา ลดหรอื หลกี เล่ียงส่งิ ท่ีมีคณุ สมบตั ทิ าลายผิวหนงั
3.การปกปอ้ งผิวหนงั
4.การดแู ลผิวหนงั และการบารุงผิวเพ่ือเป็นขอ้ มลู ใชใ้ นการพฒั นาการดแู ลการปกป้องผิวหนงั ไม่ใหถ้ กู
ทาลายและใหส้ ามารถทาหนา้ ท่ีเป็นปกตไิ ดน้ านท่ีสดุ
1.การประเมินปัจจัยเสี่ยงและการเฝ้าระวัง
แบบประเมินผวิ หนงั แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด
1. แบบประเมนิ ผวิ หนงั บรเิ วณอวยั วะสบื พนั ธ์ (Perinium assessment tool) (Nix, 2002)
แบบประเมินชนิดนีใ้ ชท้ านายความเส่ยี งการอกั เสบท่ีผวิ หนงั บรเิ วณอวยั วะสืบพนั ธโ์ ดยมีการประเมนิ
จาก 4 ปัจจยั
1) ชนิดและความรุนแรงของการระคายเคือง
2) ระยะเวลาการเปล่ยี นอปุ กรณร์ องซบั
3) สภาพผวิ หนงั ของอวยั วะสบื พนั ธ์ ดงั นี้
4) ปัจจยั เสรมิ ไดแ้ ก่
1.ภาวะอลั บลู มินต่า
2.การไดร้ บั ยาปฏิชีวนะ
3.การใสส่ ายยางใหอ้ าหาร
4.การติดเชือ้ แบคทีเรยี ในชนิดรุนแรง
แบบประเมินผิวหนังชนิดนีเ้ หมาะสาหรบั การประเมินผิวหนังบริเวณอวยั วะสืบพันธ์ รวมถึงกน้ กบ และรอบ ๆ
ทวารหนกั ในผทู้ ่ีมีปัญหากลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ด้ และตอ้ งใสอ่ ปุ กรณร์ องซบั
2 แบบประเมนิ ผวิ หนงั (Perirectal Skin Assessment Tool) (Kennedy & Lutz, 1996)
ใชป้ ระเมนิ ผิวหนงั เฉพาะบรเิ วณอวยั วะสืบพนั ธ์ รวมถงึ กน้ กบ กน้ ยอ้ ย ตน้ ขาดา้ นใน และรอบ ๆ
ทวารหนกั ในผทู้ ่ีมีปัญหากลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ด้ โดยมกี ารประเมนิ จากปัจจยั 4 ปัจจยั คอื
1.สีผวิ
2.สภาพผวิ หนงั
3. ขนาด วดั ขนาดเป็นเซนตเิ มตร
4. อาการแสดงของผปู้ ่วย
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ่วยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |6
ระดบั การเกิดผิวหนังอกั เสบจากการกลั้นไม่ได้ แบบ 2 ระดับ
1. Category I คอื ผวิ หนงั แดง (erythema ) หรอื มีการเปล่ยี นแปลงของสีผิว ไม่มีการฉีก
ขาดของผวิ หนงั
2. Category II คือ ผิวหนังถลอก (broken skin ) ผิวหนังท่ีมีรอยถลอก หรือมีการฉีก
ขาดของผวิ หนงั
ระดบั การเกดิ ผิวหนังอักเสบจากการกลั้นไม่ได้ แบบ 5 ระดบั
รูปแสดงการเกิดผิวหนงั อกั เสบระดบั Early IAD รูปแสดงการเกิดผิวหนงั อกั เสบระดบั moderate IAD
รูป แสดงการเกิดผิวหนงั อกั เสบระดบั severe IAD รูปท่ี แสดงการเกิดผวิ หนงั อกั เสบระดบั fungal appearing rash
ท่ีมา:http://ltctoolkit.rnao.ca/sites/default/files/resources/continence/Continence_EducationResources/IADIT.pdf
รูปท่ี แสดงผวิ หนงั อกั เสบจากการติดไวรสั Herpes
ท่ีมาhttp://ewma.org/fileadmin/user_upload/EWMA/pdf/conference_abstracts/2010/Poster
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ่วยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |7
2. การไม่กระทา ลดหรือหลีกเลี่ยงการทาลายผิวหนัง
2.1 การหลีกเล่ียงการขดั ถบู รเิ วณผิวหนงั เป็นการลดแรงเสียดสีซง่ึ เป็ นการทาลายผิวหนงั ควรใชผ้ า้ น่มุ
ๆ ซับผิวหนังใหแ้ หง้ หรือควรปล่อยให้ผิวหนังแหง้ เอง เพราะการขัดเช็ด หรือถูผิวหนังแรง ๆ ผิวหนังจะมีการ
สญู เสียนา้ มากกวา่ การปลอ่ ยใหผ้ วิ แหง้ เอง
2.2 การปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ วิ หนงั สมั ผสั กบั อจุ จาระและปัสสาวะเน่ืองจากการสมั ผสั กบั ปัสสาวะเป็น
เวลานาน ๆ
2.3 การเลอื กใชผ้ า้ ออ้ มอนามยั เป็นผลติ ภณั ฑเ์ พ่ือปอ้ งกนั การซมึ เปื้อนและร่วั ซมึ
3. การปกป้องผิวหนัง
เพ่ือลดการสัมผัสหรือปกป้องผิวหนังจากสารระคายเคืองลดการถูกทาลายและทาให้ผิวหนังคง
ความสามารถในการทาหนา้ ท่ีไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ประกอบไปดว้ ย การปกป้องผิวหนังโดยใชผ้ ลิตภัณฑป์ กป้อง
ผิวหนังคือผลิตภณั ฑค์ วรมีคุณสมบตั ิช่วยเคลือบป้องกันผิวหนังปกติหรือผิวหนังท่ีเสียหายเน่ืองจากการกลนั้
ปัสสาวะและ/หรอื อจุ จาระไมไ่ ด้ นา้ ย่อย ส่งิ ขบั หล่งั จากแผล การตดิ เทปกาว และการเสียดสีบรเิ วณผิวหนงั ไดแ้ ก่
สกินแบรเิ ออร์
3.1 สกินแบรเิ ออรฟ์ ิ ลม์ (Skin Barrier Film)
3.2 สกินแบรเิ ออรค์ รมี (Skin Barrier Cream)
4. การดแู ลผิวหนงั และการบารุงผวิ
4.1 การทาความสะอาดผวิ หนัง
การเลือกใชผ้ ลิตภณั ฑท์ าความสะอาดผิวหนงั ควรเลือกผลิตภณั ฑท์ ่ีมีค่าความเป็นกรดด่างเหมาะสม
และใกลเ้ คยี งความเป็นกรดดา่ งของผวิ หนงั จะทาใหม้ ีความสมบรู ณแ์ ข็งแรงของผิวหนงั มากขนึ้ โดยผลติ ภณั ฑท์ า
ความสะอาดผิวหนงั ควรมีค่าความเป็นกรดด่างอย่ใู นช่วง 5.2- 5.5 หรือควรมีค่าเป็นกรดเล็กนอ้ ยซ่งึ ช่วย
กาจัดแบคทีเรียบริเวณผิวหนังและทาหนา้ ท่ีเหมือนฟิ ลมบ์ าง ๆ ปกคลุมผิวหนังใหช้ ุ่มชืน้ สามารถลดการเกิด
ผิวหนงั ถลอกและอกั เสบแดง
4.2 การใช้ผลิตภณั ฑท์ ใ่ี ช้ในการดแู ลและบารุงผวิ หนัง
ใชท้ าบรเิ วณผิวหนงั โดยเปา้ หมายเพ่ือปอ้ งกันหรอื บรรเทาความแหง้ ของผิวหนงั เน่ืองจากสามารถเพิ่ม
ปรมิ าณนา้ แก่ผิวหนงั ชนั้ สตาตมั คอรเ์ นียทาใหผ้ ิวหนงั มีความเนียนน่มุ ช่มุ ชืน้ เป็นการช่วยส่งเสรมิ ความแข็งแรง
และความยดื หยนุ่ ของผิวหนงั
4.3 ภาวะโภชนาการ
อาหารประเภท โปรตีนจากเนือ้ สตั ว์ โดยเฉพาะสตั วจ์ าพวกปลา และปลาทะเลนา้ ลกึ วิตามินซี วิตามิน
เอ และวิตามินอี ช่วยในการสงั เคราะหค์ อลลาเจนทาใหผ้ ิวหนงั และการรบั ประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ ครบ5
หมู่ สามารถทาใหผ้ วิ หนงั มีสขุ ภาพท่ีดี
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ่วยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |8
ผลิตภณั ฑท์ ใ่ี ช้ในการดแู ลผิวหนังอักเสบจากการกลั้นไม่ได้
1.วสั ดุดูดซบั ความชืน้ ชนิดผง (protective powder )มีส่วนผสมของเจลาติน (gelatin)คาร์
บอกซีเมททิลเซลลูโลส (carboxymethyl cellulose ; CMC) และเพกติน (pectin) ซ่ึงเป็น”พลิ
เมอรช์ ีวภาพ (biopolimer) หรอื โพลเิ มอรธ์ รรมชาติ ทาหนา้ ท่ีเพ่ิมความขน้ หนืดและเป็นสารก่อเจล ใชร้ กั ษา
แผลโดยเฉพาะแผลตนื้ โดยจะดดู ซบั ส่ิงคดั หล่งั จากแผล (exudate) ใหพ้ ืน้ แผลมีความชืน้ ท่ีเหมาะสม สง่ เสรมิ
การหายของแผล ปกตใิ ชก้ บั ผมู้ ีทวารเทียมท่ีเกิดภาวะผิวหนงั รอบทวารเทียมเป็นแผล ในรายกรณีนีใ้ ชเ้ ป็นสว่ นท่ี
ตอ้ งสมั ผสั กบั พืน้ แผลก่อนท่ีจะใชว้ สั ดชุ นิดครีมขน้ ซ่งึ เป็นวสั ดทุ ่ีมีส่วนผสมของแอลกอฮอลท์ ่ีอาจทาใหผ้ ปู้ ่ วยมี
อาการแสบได้
2.วสั ดชุ นิดครมี ขน้ (protective skin barrier paste) มีลกั ษณะเป็นครมี ขน้ เหนียว จบั ตวั กนั
เป็ น ก้อ น ได้ ปั้ น ได้ เค ลื อ บ ผิ ว ได้ ส า ม า รถ โด ซับ น้า ได้ มี ห ล า ย ย่ี ห้อ เช่ น Stomahesive®
paste,Adaptpaste,Superfillerและ coloplast® ostomy paste เป็นต้นซ่ึงในกรณีนี้ใช้
Stomahesive® paste ซ่ึงเป็ นวัสดุท่ีมีส่วนประกอบเดียวกับวัสดุดูซับความชื้นชนิดผง แต่เพิ่ม
แอลกอฮอลเ์ ป็นสว่ นประกอบ เม่ือแอลกอฮลร์ ะเหยจะทาใหเ้ นือ้ ครมี แหง้ และแข็งขนึ้ สามารถปอ้ งกนั การ่วั ซมึ ของ
อจุ จาระและปัสสาวะหรอื เหง่ือได้
การพยาบาลเพ่ือดูแลผิวหนังบริเวณก้นกบ ก้นย้อยและรอบๆทวารหนักในผู้ป่ วยทกี่ ลั้นปัสสาวะและ/
หรืออุจจาระไมไ่ ด้
1.หลักการดแู ลผวิ หนังบริเวณก้นกบ ก้น ย้อยและรอบๆทวารหนัก มีดงั นี้
1. การทาใหผ้ ิวหนังบรเิ วณกน้ กบ ก้น ยอ้ ย และรอบๆทวารหนกั สมั ผสั กับปัสสาวะและอุจจาระนอ้ ย
ท่ีสดุ
2. ไม่ใหผ้ วิ หนงั เปียกชืน้ นานเกินไป
3. ใหผ้ ิวหนงั มีการระบายอากาศ
4. ลดการเสยี ดสีจากการทาความสะอาดและส่ิงท่ีห่อหมุ้
5. ทาใหผ้ วิ หนงั มสี ภาพใกลเ้ คียงกบั ธรรมชาตมิ ากท่ีสดุ
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ่วยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
Page |9
ขั้นตอนทางการพยาบาล
1. ประเมนิ ภาวะกลนั้ ไมไ่ ดข้ องผปู้ ่วย
1.1 ประเมินลกั ษณะของการกลนั้ ไม่ไดเ้ พ่ือจดั วสั ดรุ องรบั ใหเ้ หมาะสมและ หากจาเป็นตอ้ งใช้
นอกเหนือจากผา้ น่งุ และกางเกง และผา้ ขวาง
1.1.1 กลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ดโ้ ดยท่ีลกั ษณะอจุ จาระปกตสิ วมใสผ่ า้ ออ้ มอนามยั
1.1.2 อุจจาระและปัสสาวะกระปริดกระปรอย ใช้แผ่น รองซับวางรองโดยไม่ตอ้ งห่อให้ติด
รา่ งกาย
1.1.3 ถ่ายเหลวอจุ จาระเป็นนา้ มากกว่า 4ครงั้ /วนั รายงานพยาบาลวิชาชีพเพ่ือรายงานแพทย์
พิจารณาใสF่ oley Catheter
2. การดแู ลผวิ หนังระดบั ปกตแิ ละมรี อยแดงแตผ่ วิ หนังยงั สมบูรณ์
2.1 ประเมินสภาพผวิ หนงั รว่ มกบั พยาบาลวิชาชีพ ประเมินบรเิ วณขาหนีบ ตน้ ขาดา้ นใน 2 ขา้ ง
กน้ กบ กน้ ยอ้ ยรอบๆทวารหนัก อวยั วะเพศและบริเวณฝีเย็บ ตงั้ แต่แรกรบั และทุกวนั ในตอนเชา้ เวลา บนั ทึก
ลกั ษณะของผิวหนงั และส่ิงผิดปกติท่ีพบ ทงั้ ขนาดของผ่ืน ตาแหน่ง ลงถา้ พบผิวหนงั คนั มีต่มุ นา้ ใส หรือมีต่มุ
หนองอาจมีการติดเชือ้ รา ควรรายงานพยาบาลวชิ าชีพ เพ่ือดาเนินการปรกึ ษาทีมพยาบาลเฉพาะทางและแพทย์
2.2 ประเมินการขบั ถ่ายอยา่ งนอ้ ยทกุ 2 ช่วั โมง
2.3 การทาความสะอาด เม่ือพบการถ่าย ทาความสะอาดผิวหนงั บรเิ วณขาหนีบตน้ ขาดา้ นใน 2
ขา้ ง กน้ กบ กน้ ยอ้ ย รอบๆทวารหนกั อวยั วะเพศและบรเิ วณฝีเย็บดว้ ยสาลีชบุ นา้ สะอาดท่ีอณุ หภมู ิหอ้ ง หรอื สบ/ู่
ผลติ ภณั ฑท์ าความสะอาดท่ีมี pH 5.5 และนา้ สะอาด หลีกเลีย่ งการขดั ถผู วิ หนงั ซบั ดว้ ยสาลหี มาดหรอื ผา้ ขนนมุ่
ใหแ้ หง้
2.4 ในรายท่ีจานวนปัสสาวะและอจุ จาระปกตแิ ละยงั ไมเ่ กิดผ่ืนแดง ใหท้ าผวิ หนงั บรเิ วณขาหนีบ
ตน้ ขาดา้ นใน 2 ขา้ งกน้ กบ กน้ ยอ้ ย รอบๆทวารหนกั อวยั วะเพศและบรเิ วณฝีเยบ็ ดว้ ย ผลติ ภณั ฑป์ อ้ งกนั ผวิ หนงั
(skin barrier cream, moisture barrier ointment) ทกุ 12 ช่วั โมงหรอื ทกุ ครงั้ ท่ีมีการขบั ถ่าย ใน
รายท่ีถา่ ยเหลวและ/หรอื มีผ่ืนแดง ใหร้ ายงานพยาบาลวชิ าชีพ เพ่อื พจิ ารณาใชผ้ ลิตภณั ฑป์ อ้ งกนั ผิวหนงั ท่ีมี
สว่ นผสมของซงิ คอ์ อกไซดท์ า เคลือบผวิ หนงั ในผปู้ ่วยท่ีมีความเสีย่ งสงู ตอ่ การเกิดแผลผ่ืนแดงจากการควบคมุ
การขบั ถ่ายไมไ่ ด้ สามารถลด อบุ ตั กิ ารณแ์ ละระดบั ความรุนแรงของแผลผ่ืนแดงระยะแรกได4้ หรือ วสั ดุดูดซบั
ความช้ืนชนิดผง (protective powder ) วสั ดุชนิดครีมขน้ (protective skin barrier paste) ไม่ควรใชป้ ิ โตรเลี่ยมเจลล่ี
เพราะปิ โตรเล่ียมเจลล่ีกนั น้าไดด้ ี แต่ไม่สามารถกนั สารระคายเคืองจากอุจจาระได้
2.5 การสวมใส่ผา้ ออ้ มอนามยั ไม่ควรใส่แน่นจนเกินไป ควรใหม้ ีท่ีว่างระหว่างผิวหนังบริเวณ
รอบๆทวารหนกั เพ่ือปอ้ งกนั การบีบอดั ระหวา่ งผา้ ออ้ มและผิวหนงั การรองแผ่นรองซบั ควรดแู ลไม่ใหย้ บั ย่น เพ่ือ
ปอ้ งกนั การเสยี ดสีของผวิ หนงั
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
P a g e | 10
2.6 ถา้ ไมพ่ บการถ่ายอจุ จาระในผปู้ ่วยท่ีสวมถงุ ยางอนามยั หรอื ผปู้ ่วยท่ีคาสายสวนปัสสาวะ ให้
ทาความสะอาดผิวหนังบรเิ วณขาหนีบ ตน้ ขาดา้ นใน 2 ขา้ ง กน้ กบ กน้ ยอ้ ย รอบๆทวารหนกั อวยั วะเพศและ
บริเวณฝี เย็บทุก 12 ช่ัว โมง หรือเช้า-เย็น และทาดว้ ยผลิตภัณฑ์ป้องกันผิวหนัง (skin barrier cream,
moisture barrier ointment , skin sealant , skin barrier spray)
3. การดแู ลผวิ หนงั เป็นผ่ืนและแตกเป็นแผลรว่ มกบั พยาบาลวชิ าชีพ
3.1 ประเมินสภาพผิวหนงั รว่ มกับพยาบาลวิชาชีพ ประเมินบรเิ วณขาหนีบ ตน้ ขาดา้ นใน 2
ขา้ ง กน้ กบ กน้ ยอ้ ยรอบๆทวารหนกั อวยั วะเพศและบรเิ วณฝีเยบ็ ตงั้ แตแ่ รกรบั และทกุ เวร บนั ทกึ ลกั ษณะของผ่ืน
หรอื แผล และสง่ิ ผิดปกตทิ ่ีพบ ทงั้ ขนาดของผ่ืน หรอื แผล ลงตาแหนง่ ตามหนา้ ปัดนาฬกิ า
3.2 ประเมนิ การขบั ถ่าย อยา่ งนอ้ ยทกุ 2 ช่วั โมง
3.3 การทาความสะอาด ร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ เม่ือพบการถ่ายทาความสะอาดผิวหนัง
บรเิ วณขาหนีบตน้ ขาดา้ นใน 2 ขา้ ง กน้ กบ กน้ ยอ้ ย รอบๆทวารหนกั อวยั วะเพศและบรเิ วณฝีเยบ็ ดว้ ยสาลีชบุ นา้
สะอาดท่ีอณุ หภมู ิหอ้ ง หรอื สบ/ู่ ผลิตภณั ฑท์ าความสะอาดท่ีมี pH 5.5 และนา้ สะอาด หลีกเล่ยี งการขดั ถผู ิวหนงั
ซบั ดว้ ยสาลหี มาดหรอื ผา้ ขนนมุ่ ใหแ้ หง้
3.4 การทาแผลผวิ หนงั อกั เสบ รว่ มกบั พยาบาลวชิ าชีพ
3.4.1 ลา้ งทาความสะอาดคราบสกปรกออกใหห้ มดดว้ ยนา้ เกลือ
3.4.2 ใชผ้ า้ ก๊อซซบั แผลใหแ้ หง้
3.4.3 โรย skin barrier powder ใหท้ ่วั บรเิ วณผ่ืน หรอื แผล
3.4.4 พน่ skin barrier spray ใหท้ ่วั บรเิ วณผ่ืน หรอื แผล
3.4.5 หากมีส่ิงขบั หล่งั ซึมมาอีก ใหท้ าซา้ ขอ้ 3.4.3 และตามดว้ ย 3.4.4 ทาซา้ 3 รอบ
เรยี กวา่ Dumping technique
3.5.6 หากแผลลึกมากร่วมกับมีถ่ายเหลวตลอดเวลา หลังโรย skin barrier
powder ให้ท่ัวบริเวณแผล แลว้ ใช้สาลีหมาดป้าย skin barrier paste แลว้ โรย skin
barrier powder อีกครงั้
3.4.7 จดั ทา่ ใหน้ อนตะแคง
3.5 ใหใ้ ชแ้ ผ่นรองซบั หา้ มใชผ้ า้ ออ้ มอนามยั แบบหอ้ หมุ้ เพ่ือใหอ้ ากาศถ่ายเทไดด้ ี
สรุป
ผิวหนงั ถกู ทาลาย เป็นปัญหาท่ีพบไดบ้ ่อยในผสู้ งู อายุ โดยเฉพาะกล่มุ ท่ีช่วยเหลือตนเองไม่ได้
หรอื กลมุ่ ท่ีมีปัญหาเร่อื งการกลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไมไ่ ด้ จงึ ควรมีความรูใ้ นการดแู ลดงั ตอ่ ไปนีค้ ือการ
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
P a g e | 11
ซกั ประวตั ิโรคและการใชย้ าในปัจจบุ นั การตรวจรา่ งกายโดยเนน้ บรเิ วณท่ีมีความเส่ียง ไดแ้ ก่ บรเิ วณขา
หนีบ รวมถึงรอบ ๆ ทวารหนกั และอวยั วะเพศ โดยการประเมนิ ผวิ หนงั เพ่ือวางแผนในการปอ้ งกนั ผวิ หนงั
ถกู ทาลายและดแู ลจดั การใหห้ าย การทาความสะอาดผิวหนงั ควรใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ าความสะอาดท่ีมี pH
5.5 หรอื pH เป็นกรดออ่ น ๆ ซง่ึ ช่วยกาจดั แบคทีเรยี บรเิ วณผิวหนงั และทาหนา้ ท่ีเหมือนฟิ ลมบ์ าง ๆ ปก
คลุมผิวหนังใหช้ ุ่มชืน้ หากผูส้ ูงอายุท่ีสวมใส่ผา้ ออ้ มอนามัยควรใชผ้ ลิตภัณฑ์เพ่ือป้องกันผิวหนังถูก
ทาลาย รวมถึงสอนวิธีฝึกการขบั ถ่าย เพ่ือเพ่ิมความแข็งแรงของกลา้ มเนือ้ องุ้ เชิงกราน ช่วยใหผ้ สู้ งู อายุ
เพิ่มระยะเวลาการกลนั้ ปัสสาวะและอจุ จาระไดน้ านขนึ้ การใชผ้ ลิตภณั ฑบ์ ารุงผิวหนงั ไดแ้ ก่โลช่ัน หรอื
ครีม ใชท้ าบรเิ วณผิวหนงั เพ่ือปอ้ งกนั หรอื บรรเทาความแหง้ ของผิวหนงั ทาใหช้ ่วยสง่ เสรมิ ความแข็งแรง
และความยืดหย่นุ ของผิวหนงั และใหค้ าแนะนาการอาหารประเภทโปรตีนจากเนือ้ สตั วโ์ ดยเฉพาะสตั ว์
จาพวกปลาจะช่วยซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอ ส่งเสริมการสรา้ งเซลลผ์ ิวใหม่เพ่ือทาให้ผิวหนังไม่ใหถ้ ูก
ทาลายและใหส้ ามารถทาหนา้ ท่ีเป็นปกตไิ ดน้ านท่ีสดุ
บรรณานุกรม
1.นภาพร อภิรดีวจีเศรษฐ์. ประสบการณก์ ารดแู ลผู้ป่ วยผู้สูงอายุทค่ี วบคุมการขับถ่ายอุจจาระไม่ได.้ ใน
ยวุ ดี เกตสมั พนั ธ์ และคณะ บรรณาธิการ. Wound Care Nursing. กรุงเทพฯ: บรษิ ัท พี.เอ.ลีฟว่งิ
จากดั ; 2555. น. 81-89.
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
P a g e | 12
2.สชิ ล ทองมา. การพยาบาลผู้ป่ วยทม่ี ภี าวะผวิ หนังอกั เสบเนื่องจากการควบคุมการขับถ่ายไม่ได้
[อนิ เทอรเ์ น็ต]. ใน จิตรรดา พงศธรานกิ และคณะ บรรณาธิการ. การพยาบาลผปู้ ่วยออสโตมีและ
แผล. กรุงเทพฯ:นีโอดจิ ิตอล. พิมพค์ รงั้ ท่ี 1. สงิ หาคม 2563. น.77-93. [เขา้ ถงึ เม่ือ 28
ธนั วาคม 2564]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https : // pubhtml5.com/alce/uymf.
3.จนั ทนา เกลีย้ งพรอ้ ม และ สรุ ศกั ดิ์ พฒุ ิวณิชย.์ การป้องกันผวิ หนังถูกทาลายในผู้สูงอายุ.วารสารเครอื ข่าย
วิทยาลยั พยาบาลและการสาธารณสขุ ภาคใต้ [อินเทอรเ์ น็ต].2560. [เขา้ ถงึ เม่ือ 25 กมุ ภาพนั ธ์ 25].
เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://www.thaiphn.org/journal/thai/2561/2_61/4pdf .
4.จนั จริ า จินาพร, สุธิสา เตม็ ทับ และกติ ติกร นลิ มานัต. เปรียบเทยี บผลิตภณั ฑป์ กป้องผิวหนังทม่ี ีส่วนผสม
ของปิ โตรลาตมั กับ ผลิตภณั ฑป์ กป้องผวิ หนังทม่ี สี ่วนผสมของซงิ คอ์ อกไซดต์ อ่ อุบตั กิ ารณ์
และระดบั ความรุนแรงของการเกิดแผลผื่นแดงระยะแรกในผู้ป่ วยทม่ี ีภาวะของเสียค่ังขึน้
สมองจากตบั เส่ือมทไี่ ม่สามารถ ควบคมุ การขับถ่ายได.้ วารสารพยาบาลสาธารณสขุ
[อินเทอรเ์ น็ต]. พฤษภาคม - สงิ หาคม 2561[เขา้ ถึงเม่ือ 3 มีนาคม 2564 ]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:
http://www.thaiphn.org/journal/thai/2561/2.pdf.
เอกสารประกอบการใหค้ วามรูโ้ ครงการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะของผชู้ ว่ ยพยาบาลในการปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ปี2565
โดย พว.สพุ รรณี จาปีพนั ธ์
การประเมนิ ความเสี่ยงของการเกดิ แผลกดทับ
ลกั ษณี ศรีม่วง
พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ
การประเมนิ ความเสยี่ งของการเกดิ แผลกดทบั
วัตถุประสงค์
1. เพ่ือให้สามารถประเมนิ ความเส่ยี งการเกิดแผลกดทับของผู้ปว่ ยได้ถกู ต้อง
2. เพ่อื ปอ้ งกนั และดแู ลแผลกดทบั ในผูป้ ่วยที่มีความเส่ยี งท่จี ะเกิดแผลกดทับได้อยา่ ง
ถูกตอ้ ง
ขอบเขต
หอผปู้ ่วยทม่ี ีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทบั
นิยามศัพท์
แผลกดทับหมายถึง การได้รบั บาดเจ็บของผวิ หนงั และ/หรอื เนอื้ เยอ่ื ใต้ผวิ หนงั และ/หรือ
กล้ามเน้ือและกระดกู ซงึ่ เป็นผลจากแรงกด หรือแรงกดรว่ มกบั แรงเล่อื นไถล (shear) และ/
หรอื แรงเสยี ดทาน (friction) ทำใหเ้ นือ้ เยอ่ื บรเิ วณที่ถูกกดขาดเลอื ดไปเลย้ี ง โดยปกติจะ
พบบรเิ วณปุ่มกระดกู (1-3)
ลักษณะแผลกดทับ ตามระยะความรุนแรงของแผล
ระยะที่ 1 ผิวหนังมีรอยแดง กดแล้วรอยไม่จางหาย ผิวไม่ฉีกขาด
ระยะที่ 2 ผิวหนังเสียหายบางส่วน แผลต้ืน ไม่พอง ไม่เป็นตุ่มน้ำใส
ระยะท่ี 3 แผลลึกถึงช้ันถึงไขมัน สูญเสียผิวหนัง
ระยะที่ 4 แผลลึกถึงกระดูก เอ็น กล้ามเนื้อ สูญเสียผิวหนังท้ังหมด
แผลกดทับ Deep Tissue Injury (DTI) เป็นแผลกดทับท่ีมักเกิดข้ึนกับผู้ป่วยท่ีไม่
ค่อยเคล่ือนไหว ผิวหนังไม่ฉีกขาด มีสีม่วงเข้มหรือสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือพองเป็น
ตุ่มน้ำปนเลือด อาจเจ็บปวด (2,4,6)
หนา้ 1/ 13
การประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทบั
แผลกดทับเปน็ ปัญหาท่พี บได้บ่อยและมคี วามสำคัญในผปู้ ่วยอยา่ งมากโดยเฉพาะ
กล่มุ ผปู้ ว่ ยสงู อายุและผูป้ ่วยทีต่ อ้ งนอนติดเตียงหรอื ไมส่ ามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ ผู้ป่วยท่มี ี
ปญั หาแผลกดทบั มักจะมีคณุ ภาพชวี ติ ที่แย่ลงและเสย่ี งต่อการเจบ็ ป่วยซ้ำเติมหรือเสยี ชวี ิต
ได้ง่าย อกี ทั้งการดูแลรักษายงั ทำให้ต้องใช้ทรพั ยากรต่าง ๆ เพิ่มมากขนึ้ อกี ด้วย ดงั นนั้
ความร้คู วามเข้าใจเกีย่ วกบั การเกิดแผลกดทบั การปอ้ งกัน และแนวทางรักษา จะช่วยทำให้
ลดปญั หาตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้องได้และช่วยทำให้ผสู้ ูงอายุและผ้ปู ่วยมคี ุณภาพชวี ิตท่ีดีขนึ้ ได้ (4-6)
ปจั จยั ที่ส่งผลใหเ้ กิดแผลกดทับ
1. แรงเสียดสี จะสง่ ผลให้ความทนทานตอ่ แรงกดลดลง
2. ความเปียกช้นื จะสง่ ผลใหเ้ น้ือเยอ่ื เปือ่ ย เกิดการทำลายของช้นั ผวิ หนังมากยิ่งข้นึ
3. อายุ ย่ิงผปู้ ว่ ยมอี ายุเพิ่มมากขึน้ ผิวหนังของผปู้ ว่ ยยิ่งบางลง
4. ระยะเวลาในการเปลี่ยนทา่ ทาง หากผ้ปู ่วยเคลอื่ นไหวหรือพลกิ เปลี่ยนท่านอ้ ย ก็จะ
ยงิ่ เพิ่มโอกาสการเกดิ แผลเพ่ิมข้ึน
5. ภาวะโภชนาการ การได้รบั สารอาหารบางอย่างไมเ่ พียงพออาจส่งใหเ้ กิดแผลง่าย
และแผลหายชา้ เชน่ โปรตีน น้ำ วิตามนิ ซี วิตามินดี วิตามนิ อี หรอื ผทู้ นี่ ำ้ หนักตวั ตำ่
กว่าเกณฑ์ ภาวะผอมหนังหุ้มกระดกู
6. การรับความรสู้ ึก ผปู้ ว่ ยทมี่ ีความบกพร่องดา้ นการรับความรู้สกึ จะมคี วามเสีย่ งใน
การเกดิ แผลเพ่ิมขนึ้ โดยเฉพาะผู้ปว่ ยทบี่ กพร่องความรสู้ ึกเจบ็ ปวด
7. ความเครยี ด การดม่ื สุรา การสูบบุหร่ี
หนา้ 2/ 13
การประเมินความเสย่ี งของการเกิดแผลกดทบั
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการเกดิ แผลกดทับ
ผทู้ เี่ ข้ารบั การรักษาในโรงพยาบาล ที่มโี อกาสเกิดแผลกดทับสูง ได้แก่
1.ผู้ปว่ ยไม่รู้สกึ ตัว/เปน็ อัมพาต
2.ผปู้ ว่ ยที่ถกู จำกดั การเคลอื่ นไหว/จำกดั กิจกรรม
3.ผปู้ ่วยสูงอายุ อายุต้งั แต่ 60 ปีขน้ึ ไป
4.ผปู้ ่วยท่มี ีการบาดเจบ็ ของระบบประสาทและไขสันหลงั
5.ผปู้ ว่ ยทถ่ี า่ ยอุจจาระปัสสาวะราดบอ่ ยครง้ั
6.ผู้ป่วยทีม่ ภี าวะขาดสารอาหาร / มีระดบั อัลบูมนิ ในเลอื ดตำ่ กว่าปกติ
7.ผู้ปว่ ยที่มโี รคประจำตัวทมี่ ีผลตอ่ การไหลเวียนโลหติ เชน่ ภาวะโลหิตจาง เบาหวาน
มะเร็ง เอดส์ ความดนั โลหติ ต่ำ
8.ผปู้ ว่ ยทไ่ี ดร้ ับยา Corticosteroid ในระยะยาว
9.ผูป้ ว่ ยทไ่ี ดร้ ับยาระงับความรสู้ กึ หลังการผา่ ตดั ภายใน 72 ชวั่ โมง
10.ผปู้ ่วยทม่ี ีนำ้ หนักตัวมาก
11.ผปู้ ่วยท่พี กั รักษาตัวอยู่ในหอผปู้ ว่ ยวกิ ฤต
12.ผู้ปว่ ยท่มี ีไข้ (อุณหภมู ิ 38 0 C)
หนา้ 3/ 13
การประเมินความเส่ยี งของการเกดิ แผลกดทบั
ปัจจัยเสี่ยงของการเกดิ แผลกดทับ
ปัจจัยสำคัญท่ีนำไปสกู่ ารเกดิ แผลกดทบั มีอยู่ 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ ได้แก่
ปจั จัยภายนอก (extrinsic factors)
ปจั จยั ภายใน (Intrinsic factors)
ปจั จยั ทม่ี ีผลกบั การเกดิ แผลกดทับในผ้สู ูงอายุและผปู้ ่วย
ปจั จัยภายใน
ผูป้ ่วยท่ีสูงอายุ: มกั จะมกี ารเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของผวิ หนัง โดยมีช้นั ผิวหนงั ท่ี
บางลงกวา่ ในวยั หน่มุ สาวและมีช้นั ไขมนั ใต้ผวิ หนงั ท่ลี ดลงทำใหเ้ ส่ียงต่อการเกิดการหลดุ ลอก
และมบี าดแผลไดง้ ่าย
โรคท่ีทำให้การเคลือ่ นไหวท่ีลดลง: เชน่ โรคหลอดเลอื ดสมองหรือโรคทางไขสันหลงั
หรอื ตอ้ งนอนอยู่นงิ่ ตดิ ต่อกันเป็นเวลานานเช่นในระยะหลังผ่าตัดหรอื มกี ารยึดตรึงกระดกู
จะทำให้เสีย่ งตอ่ การเกดิ แผลกดทับได้มากข้นึ (6-7)
โรคทางผวิ หนงั : โรคผิวหนงั บางชนดิ ทีต่ ้องรกั ษาด้วยยาสเตยี รอยด์ ก็จะทำให้ผวิ หนัง
บางลงไดม้ ากและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทบั ตามมาได้ (7)
โรคร่วมตา่ ง ๆ: ซ่งึ แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภทคอื
โรคท่ที ำให้มผี ลรบกวนระบบไหลเวยี นเลือด เชน่ เบาหวาน ความดันโลหติ สงู หรอื
โรคหัวใจ ซงึ่ ทำให้เนื้อเยอื่ ท่ีผิวหนังได้รับเลือดไหลเวียนมาหลอ่ เลย้ี งลดลง
ปญั หาทุโภชนาการต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลมุ่ ท่มี ีการขาดโปรตนี ซึง่ ทำใหก้ าร
ซ่อมแซมผวิ หนังลดลงกว่าปกติ มผี ลทำให้แผลหายชา้ หรือเกิดการลุกลามของแผลมากข้นึ ได้
หนา้ 4/ 13
การประเมินความเสยี่ งของการเกิดแผลกดทบั
โรคทม่ี ผี ลกระทบกับระดบั ความรู้สกึ ตัวหรือการสื่อสารของผปู้ ่วย เช่น โรคสมอง
เสอ่ื ม (dementia) ซง่ึ ทำให้ผปู้ ่วยไมส่ ามารถสื่อสารหรอื แสดงอาการเจบ็ ปวดให้ผู้ทดี่ ูแล
ทราบได้เมือ่ เร่มิ เกิดความผดิ ปกติ (2-6)
ปจั จัยภายนอก
ความชนื้ ของอากาศและวสั ดทุ สี่ มั ผสั ผิวหนัง ความชืน้ ท่มี ากเกินไปเช่นการมีเหงอื่
หรอื ปัสสาวะอจุ จาระค้าง หรอื น้อยเกินไปขณะที่อากาศแหง้ หรือเยน็ มีผลรบกวนโครงสรา้ ง
ของเซลล์ผิวหนังและเกดิ การหลุดลอกจนเกิดเป็นแผลไดง้ ่าย (1-2)
การเสยี ดสหี รือขัดถู และความฝืดของวสั ดุรองรับ โดยเฉพาะทบ่ี รเิ วณปมุ่ กระดกู ต่าง
ๆ ท่สี ัมผัสกับวสั ดุรองรับนำ้ หนักตวั ผ้ปู ่วยซงึ่ มักจะเกิดการเสยี ดสขี ณะขยับหรือเคลือ่ นยา้ ย
ตวั ผู้ปว่ ย การมีวสั ดุรองรบั ที่มีความฝืดมากจะเพ่ิมความเสี่ยงไดม้ ากและทำใหผ้ วิ หนังทนตอ่
แรงเสียดสีไดน้ ้อยกว่าการใช้วัสดุรองรบั น้ำหนกั ทีม่ คี วามฝืดน้อยกว่า (3-5)
ตำแหนง่ ที่เกิดแผลกดทับ
- บริเวณดา้ นหลงั ศรษี ะและบริเวณหู
- บริเวณไหล่
- บริเวณขอ้ พบั แขน
- บรเิ วณกน้
- บรเิ วณสะโพก
- บรเิ วณเข่า
- บรเิ วณข้อเทา้
หนา้ 5/ 13
การประเมินความเสยี่ งของการเกิดแผลกดทบั
1. บริเวณทีม่ กั เกิดแผลในท่านงั่ คือ บริเวณกึง่ กลางแนวกระดูกสนั หลงั กระดูกใต้
กระเบนเหน็บ กระดูกรองนง่ั และส้นเทา้ (1-3)
2. บรเิ วณท่ีมกั เกดิ แผลในทา่ นอนหงาย คือ บรเิ วณกะโหลกดา้ นหลังศีรษะ กระดูก
สะบกั ข้อศอก กระดกู ใต้กระเบนเหน็บ และส้นเท้า (2)
3. บริเวณที่มักเกดิ แผลในทา่ นอนคว่ำ คอื ด้านขา้ งของหน้าและหขู ้างที่ถูกกดทับ
กระดูกด้านข้างของหัวไหล่ หนา้ อก(โดยเฉพาะในเพศหญงิ ) อวัยวะเพศ(โดยเฉพาะ
ในเพศชาย) หวั เขา่ และน้ิวหัวแม่โป้งเท้า (3)
4. บริเวณที่มกั เกิดแผลในท่านอนตะแคง คอื ด้านข้างของศีรษะและหขู ้างท่ีถูกกดทบั
กระดูกด้านข้างของหัวไหล่ กระดูกดา้ นข้างสะโพก ด้านขา้ งหัวเขา่ และตาตุ่ม
การป้องกันการเกดิ แผลกดทบั
เม่อื พบปัจจยั เส่ียงของการเกดิ แผลกดทับในผู้ป่วยหรอื ผ้สู ูงอายทุ ีไ่ ด้รับการดูแล ควร
ทำการประเมินระดับความเส่ียงของการเกิดแผลกดทับ ซ่ึงจะช่วยทำใหส้ ามารถเลอื กวิธกี าร
หรือมาตรการในการปอ้ งกันไดอ้ ย่างเหมาะสมและมคี วามคุ้มค่ามากยิ่งขนึ้ โดยการประเมนิ
ระดับความเสีย่ งสามารถทำได้โดยใชแ้ บบประเมนิ ซึ่งมหี ลายแบบแต่หลกั การโดยท่วั ไปท่ี
สามารถนำไปใชป้ ฏบิ ัติสำหรับผู้ปว่ ยได้ง่าย (6-7) ได้แก่
ผปู้ ่วยที่มคี วามเสี่ยง ใหป้ ระเมนิ ซ้ำทกุ 1-3 วนั จนผู้ป่วยกลบั บา้ น ย้ายหอ หรือพ้น
จากภาวะเส่ียง (2,5)
หนา้ 6/ 13
การประเมินความเสี่ยงของการเกดิ แผลกดทบั
สำรวจรอยแดงตามปุ่มกระดกู ต่างๆ ทกุ คร้งั ขณะเช็ดตวั หรือพลกิ ตะแคงตวั เมอ่ื
พบแผลกดทบั ผิวหนงั ของผู้ปว่ ยมกี ารเปล่ียนแปลงใหแ้ จง้ พยาบาลเพอ่ื ลงบันทึกการเกดิ แผล
กดทบั ในแบบเฝา้ ระวงั ฯหรอื บันทกึ ทางการพยาบาล (1,2)
ส่งต่อข้อมลู ผปู้ ว่ ยเกย่ี วกับสภาพของผิวหนัง เมื่อมกี ารรบั - ส่งเวร หรือยา้ ยหอ
ผ้ปู ่วย รวมถงึ ข้อมูลปัจจยั เส่ียง และวธิ ีปฏบิ ัตเิ พอื่ ป้องกนั และดูแลแผลกดทบั (3,5)
ให้คำแนะนำและฝกึ ทกั ษะแกญ่ าตผิ ดู้ ูแล
โดยสนับสนุนให้ญาตมิ สี ่วนรว่ มในการดแู ลผู้ป่วยตัง้ แต่อยใู่ นโรงพยาบาล (2,4)
ดงั ตอ่ ไปนี้
▪ ตรวจดลู ักษณะผวิ หนังบรเิ วณป่มุ กระดูกและบรเิ วณท่ีมีอาการชาวา่ มรี อย
แดง รอยถลอก ต่มุ น้ำหรือไม่ ทุกวนั หลังอาบน้ำเชา้ – เย็น
▪ การดแู ลผิวหนังผปู้ ่วยที่ถูกวธิ ี
▪ การจัดท่าและการเคล่ือนย้ายผปู้ ว่ ยทถ่ี กู วธิ ี
▪ พลกิ ตะแคงตัวผ้ปู ว่ ยทุก 2 ชวั่ โมง
▪ ไม่ควรนั่งรถเขน็ ติดต่อกันเกิน 6 ชั่วโมงต่อวันและควรขยบั เปลี่ยนท่าทุก
15-30 นาที
▪ ใชอ้ ปุ กรณเ์ พือ่ ลดแรงกดทับ เชน่ หมอนหรอื ผ้านุม่ ๆรองบรเิ วณป่มุ
กระดกู ต่างๆ เบาะลมรองนั่ง ท่ีนอนลม
ส่ิงสำคัญในการลดความเส่ียงของการเกิดแผลกดทับ
หนา้ 7/ 13
การประเมินความเสย่ี งของการเกิดแผลกดทบั
• การลดภาวะเส่ียงจากการกดทับให้น้อยลง หากได้รับการใส่ใจดูแลดี ลดโอกาสการ
เกิดแผลใหม่ และช่วยลดความทรมานของผู้ป่วย ลดการนอนโรงพยาบาลนานขึ้น (5,6)
หนา้ 8/ 13
การประเมนิ ความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทบั
เอกสารอา้ งองิ
1.ปองหทยั พ่มุ ระยา้ . ผลของการพยาบาลตามแนวปฏิบัติการพยาบาลต่อการปอ้ งกนั การเกิดแผลกด
ทับในผู้ปว่ ยศัลยกรรมกระดกู [วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาการ
พยาบาลผูใ้ หญ่ แผน ข] .มหาวิทยาลัยมหิดล; 2546.
2.มาลี สนธเิ กษตรนิ . คู่มอื ปฏบิ ัติการพยาบาล. พมิ พค์ รงั้ ที่ 14 กรงุ เทพฯ : คณะพยาบาลศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. 2540
3.ยวุ ดี เกตสุ ัมพนั ธ์ และคณะ. การดแู ลแผลกดทบั : ศาสตรแ์ ละศิลปะทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ :
บริษทั เอฟเฟคทส์ ตูดโิ อ. 2552.
4.สมจติ หนเุ จรญิ กลุ . การพยาบาลอายรุ ศาสตร์. เลม่ ที่ 1 กรงุ เทพฯ : คณะพยาบาลศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล. 2540.
5.สำนกั การพยาบาล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ตัวชว้ี ดั คณุ ภาพการพยาบาลใน
โรงพยาบาล.กรงุ เทพฯ. 2547.
6.Hung, D. เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง “Pressure Ulcer Prevention and Management”
วันที่ 13 กรกฎาคม 2554 โรงพยาบาลตากสนิ . 2011.
7.โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารกั ษว์ ธิ ปี ฏบิ ตั ิ WORK INSTRUCTION เรอ่ื ง การป้องกันและดูแลแผล
กดทบั
หนา้ 9/ 13
การดูแลผิวหนังและการทำแผล ( Skin care and Wound care )
1.ประเมินสภาพผวิ หนงั (Skin Assessment) ใหเ้ รว็ ทส่ี ุดหลงั รบั ไว้ในโรงพยาบาล/หรือหลงั รบั ยา้ ยจากหอ
ผปู้ ว่ ย
2.ประเมนิ ผวิ หนังทกุ ครงั้ ทพี่ ลกิ ตะแคง ประเมินลกั ษณะผวิ หนงั : สผี ิว ความช้นื อาการบวม
3.ประเมินลักษณะและประเภทของแผล : แผลกดทับ ,แผล IAD ,แผล MDRPI, MMPI เพอ่ื จะได้ดูแลแผลได้
ถูกตอ้ งตามประเภทของแผล
4.การดแู ลผิวหนงั เพื่อปอ้ งกันแผลกดทบั จากอปุ กรณ์ทางการแพทย์ MDRPI
4.1 ตรวจสอบความแน่นตึงท่ีผกู ยึดอปุ กรณท์ างการแพทย์
4.2 ประเมนิ ผวิ หนงั ท่อี ยู่ใตแ้ ละรอบอปุ กรณท์ างการแพทย์
4.3 ใชว้ ัสดตุ กแตง่ แผล รองใตอ้ ปุ กรณ์ทางการแพทย์ เพื่อลดความเส่ยี งต่อการเกดิ แผลกดทับ เชน่ ใช้โฟม
ซลิ โิ คน, ไฮโดรคอลลอยด์, เทปซลิ โิ คนในบริเวณที่มีความเสย่ี งสงู
5.การประเมินลกั ษณะและประเภทของการใชว้ ัสดปุ ิดแผล หากพบว่าวสั ดปุ ดิ แผลมสี ารคดั หลง่ั จากแผลซมึ
รายงานพยาบาลเพือ่ เปลีย่ นวสั ดปุ ิดแผล
เอกสารอา้ งอิง
1.National pressure Ulcer Advisory panel, European pressure Ulcer Advisory panel and
pan pacific pressure injury Alliance. Prevention and treatment of pressure Ulcer: clinical
practice guideline; 2014.
2.ยวุ ดี เกตุสมั พนั ธ.์ แผลกดทบั และศลิ ปะทางการพยาบาล. งานพัฒนาคณุ ภาพ ฝา่ ยการพยาบาล
โรงพยาบาลศริ ิราช; 2552.
3.จุฬาพร ประสงั สติ . การดแู ลแผล:หลักฐานเชงิ ประจกั รและประสบการณจ์ ากผเู้ ชย่ี วชาญ.กรงุ เทพ๚:บรษิ ัท
พี.เอ.ลฟี วงิ่ จำกัด: 2559.