ในช่วง ปี ค.ศ. 1401 – 1600 (พ.ศ. 1944 – 2143) เศรษฐกิกิ กิ จ กิ จของยุยุ ยุ โ ยุ โรปและไทย
เศรษฐกิจของยุโรป Episode 1
1. กาฬโรคครั้รั้ รั้ ง รั้ งใหญ่ญ่ ญ่ญ่ (Black Death) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 คาดว่ามีผู้เสียชีวิต ระหว่าง 75 ถึง 200 ล้านคนทั่วยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ส่งผลกระ ทบต่อสังคม ความหยุดชะงักทางสังคม จำ นวนประชากรลดลง และส่ง ผลทางโครงสร้างเศรษฐกิจ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่าง รวดเร็ว ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น ไม่มีที่ดินและอาหารเพียงพอจัดสรรให้ ชนชั้นสามัญ
1. กาฬโรคครั้รั้ รั้ ง รั้ งใหญ่ญ่ ญ่ญ่ (Black Death) ส่งผลต่อทั้งภาคการผลิตและการบริโภค ระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะฝืด เคืองอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติกาล การขาดแคลนแรงงาน ทำ ให้ชนชั้นแรงงาน เช่น ช่างฝีมือหรือชาวนามีอำ นาจในการต่อรอง ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น และในบางพื้นที่เกิดการประท้วงต่อต้านขุนนาง เจ้าของที่ดินเมื่อไม่สามารถต่อรองค่าจ้างได้ ราคาสินค้าการเกษตร มูลค่าของที่ดินเสื่อมราคาลงอย่างมีนัยยะสำ คัญ ระบบชนชั้น (Feudalism) ภายในทวีปยุโรปได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากโรคระบาดในครั้งนี้
2. การฟื้ฟื้ฟื้ น ฟื้ นฟูฟู ฟู ศิ ฟู ศิ ศิ ล ศิ ลปวิวิ วิ ท วิ ทยาการ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (RENAISSANCE) เกิดในช่วงเวลาระหว่าง คริสต์ศตวรรษที่ 15-16 คือ ปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ถือว่า เป็นจุดเชื่อมต่อของประวัติศาสตร์สองยุค เริ่มขึ้นที่นครรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งมีความมั่งคั่งและร่ำ รวยจากการค้าขาย สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีดังนี้ 1. การขยายตัวทางการค้า ทำ ให้พ่อค้าชาวยุโรปและบรรดาเจ้าผู้ ครองนครในนครรัฐ อิตาลีมีความมั่งคั่งขึ้น เช่น เมืองฟลอเรนซ์ เมืองมิลาน หันมาสนใจศิลปะและวิทยาการความเจริญในด้าน ต่างๆ ประกอบกับที่ตั้งของนครรัฐในอิตาลีเป็นศูนย์กลางของ จักรวรรดิโรมันตะวันตก มาก่อน ทำ ให้นักปราชญ์และศิลปินต่างๆ ในอิตาลีจึงให้ความสนใจศิลปะและวิทยาการของโรมัน
2. การฟื้ฟื้ฟื้ น ฟื้ นฟูฟู ฟู ศิ ฟู ศิ ศิ ล ศิ ลปวิวิ วิ ท วิ ทยาการ 2. ความเจริญทางเศรษฐกิจและการเกิดรัฐชาติในปลายยุคกลาง ทำ ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านองค์กรทางการเมือง องค์กรทางเศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ความรู้ความสามารถมาบริหารจัดการ แต่การศึกษาแบบเดิมเน้นปรัชญาทางศาสนาและสังคมในระบบ ฟิวดัล จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ ดังนั้นนัก ปราชญ์สาขาต่าง ๆ จึงหันมาศึกษาอารยธรรมกรีกและโรมัน เช่น นักกฎหมายศึกษากฎหมายโรมันโบราณเพื่อนำ มาใช้พิพากษาคดี ทางการค้า นักรัฐศาสตร์ศึกษาตำ ราทางการเมือง เพื่อนำ มาใช้ใน การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3. การสำสำสำสำรวจของโปรตุตุ ตุ เ ตุ เกส นับตั้งแต่เริ่มสำ รวจดินแดนในคริสต์ศตวรรษที่ 15 กษัตริย์โปรตุเกส กำ หนดเป็นนโยบายแล้วว่า กองเรือที่ออกสำ รวจดินแดนต้องหากำ ไร จากการสำ รวจดินแดนด้วย เพื่อเป็นทุนสำ หรับการสำ รวจต่อๆ ไป ใน ขณะเดียวกันก็มีนโยบายชัดเจนตั้งแต่แรกเข้ามาสู่เอเชียว่า เพื่อไม่ ให้กำ ไรที่ได้จากการค้าหดหายไป โปรตุเกสจะไม่ยึดครองดินแดน ขนาดใหญ่ในเอเชีย นโยบายของโปรตุเกสในเอเชียคือ การตั้ง ศูนย์กลางของ “จักรวรรดิเอเชีย” (Estado da India) ไว้ที่เมืองกัว แล้วยกกองเรือมายึดเมืองมะละกา ได้ในปี ค.ศ. 1511 (พ.ศ. 2054)
3. การสำสำสำสำรวจของโปรตุตุ ตุ เ ตุ เกส มะละกาเป็นเมืองที่รวบรวมสินค้าสำ คัญของเอเชียตะวันออกไว้ มากมาย โดยเฉพาะเครื่องเทศ ฉะนั้นการยึดมะละกานอกจากทำ ให้ โปรตุเกสเข้าถึงแหล่งเครื่องเทศแล้ว ยังเท่ากับกีดกันคนอื่นมิให้เข้า มาแข่งขันการค้าเครื่องเทศไปพร้อมกัน ก่อนจะยึดมะละกาได้ ก็ได้ส่ง ทูตไปยังราชอาณาจักรใหญ่ ๆ ในอุษาคเนย์ เช่น อยุธยา หงสาวดี ราชอาณาจักรบนเกาะชวา และรัฐมลายูบนเกาะสุมาตรา เปิดทาง สำ หรับการค้าโดยสันติ
3. การสำสำสำสำรวจของโปรตุตุ ตุ เ ตุ เกส นอกจากนี้ กำ ไรที่จะได้จากการค้าในเอเชียนั้น แม้ว่าสินค้าเอเชีย โดยเฉพาะเครื่องเทศจะทำ เงินได้มากเพียงไร แต่ต้นทุนการเดินทาง ก็สูงมาก ฉะนั้นการค้าของโปรตุเกสในเอเชียจะทำ กำ ไรต่อไปได้ ก็ ต้องให้ความสำ คัญแก่การค้าระหว่างเอเชียด้วยกันเอง กล่าวคือ นำ สินค้าจากประเทศหนึ่งในเอเชียไปขายอีกประเทศหนึ่ง สินค้าเอเชีย นี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งโปรตุเกสใช้ในการแลกเปลี่ยนกับเครื่องเทศ ซึ่งจะนำ ไปยุโรป ราชสำ นักโปรตุเกสได้ตั้ง Casa da India (กรม อินเดีย) ขึ้น Casa da India ผูกขาดเครื่องเทศ 3 อย่างคือ พริกไทย กานพลู และอบเชย ส่วนสินค้าอื่นนั้นแม้ไม่ได้ผูกขาด Casa da India ก็เรียกส่วนแบ่งกำ ไรจากพ่อคา 30 %
เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษประมาณศตวรรษที่ 16 และแพร่ขยาย ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป วัตถุประสงค์ที่สำ คัญของลัทธินี้ คือ รัฐบาลแต่ละประเทศมีจุดมุ่งหมายแข่งขันกันควบคุมอำ นาจทาง เศรษฐกิจ การค้า และความเป็นประเทศมหาอำ นาจ เกิดการปฏิวัติ พาณิชยกรรมเพื่อแข่งขันแสวงหากำ ไร ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจดังนี้ 1. ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการปฏิวัติราคา การที่โลหะมีค่า เช่น โลหะเงิน และโลหะทองคำ ไหลสู่ยุโรปเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 15-16 มีผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ธุรกิจ ธนาคาร การค้า เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ขยายตัว แต่ที่สำ คัญ คือ ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำ ให้ยุโรป ประสบกับภาวะเงินเฟ้อ ดัชนีราคาสินค้าและบริการสูงกว่าดัชนีค่า จ้างก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจและสังคมขึ้น 4. การปฏิฏิ ฏิ วั ฏิ วั วั ติ วั ติ ติ พ ติ พาณิณิ ณิ ช ณิ ชยกรรม
2. การขยายตัวของตลาดการค้า ผลจากการค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ ได้ทำ ให้การค้าของยุโรปได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางยังทวีปต่าง ๆ ศูนย์การค้าระหว่างประเทศได้เปลี่ยนจากแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน เป็นแถบมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะเมืองทางบนฝั่งทะเลเหนือ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “การปฏิวัติพาณิชยกรรมแห่งศตวรรษที่ 16 (Commercial Revolution of the Sixteenth Century)" นอกจากอาณาเขตการค้าจะขยายตัว อุปกรณ์ที่ใช้ในการค้ามีการ เปลี่ยนแปลงและขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ขนาดของเรือบรรทุกสินค้า เงินทุนที่ใช้ในการประกอบการค้า มีการตั้งบริษัทการค้าในรูปของ บริษัทร่วมทุน 4. การปฏิฏิ ฏิ วั ฏิ วั วั ติ วั ติ ติ พ ติ พาณิณิ ณิ ช ณิ ชยกรรม
4. การปฏิฏิ ฏิ วั ฏิ วั วั ติ วั ติ ติ พ ติ พาณิณิ ณิ ช ณิ ชยกรรม 3. การสะสมทุนและการจัดองค์กรธุรกิจการค้า ที่ขยายตัวอย่างมากได้ ทำ ให้เกิดความต้องการเงินทุนจำ นวนมหาศาลเพื่อดำ เนินกิจการค้า ระหว่างประเทศ ดังนั้นจึง นำ ไปสู่การจัดองค์กรทางธุรกิจการค้าในรูป ของบริษัทร่วมทุน หรือ Joint Stock Company ประเทศต่าง ๆ ได้จัด ตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นจำ นวนมาก เช่น ประเทศอังกฤษจัดตั้ง บริษัท English East India Company (ค.ศ. 1600), ฮอลันดาจัดตั้งบริษัท Dutch East India Company (ค.ศ. 1602)
เศรษฐกิจของไทย Episode 2
1. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระรามราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 1938 – 1952 ระยะเวลาที่ได้ครองราชย์นั้น บ้านเมืองเป็นปกติสุขดี พระองค์ได้ส่ง ราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน เมื่อ ปี พ.ศ.1940 ซึ่ง ตรงกับสมัยจักรพรรดิหงอู่ (Hongwu Emperor) แห่งราชวงศ์หมิง และก็ได้ส่งทูตแลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีอยู่เสมอในระยะต่อ ๆ มา
2. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระเจ้จ้ จ้ า จ้ าอิอิ อิ น อิ นทราชา ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 1952 – 1967 ความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความ สำ คัญ จีนเป็นคู่ค้าที่สำ คัญของราชอาณาจักร และการแลกเปลี่ยน สินค้าและแนวคิดก็เจริญรุ่งเรือง เส้นทางการค้าหลักระหว่างทั้งสอง ภูมิภาคมีการกำ หนดไว้อย่างดี ทำ ให้สามารถไหลเวียนของสินค้า โภคภัณฑ์ต่าง ๆ ได้
หนึ่งในสินค้าหลักที่มีการซื้อขายระหว่างทั้งสองประเทศคือผ้าไหม นอกเหนือ จากผ้าไหมแล้ว สินค้าอื่น ๆ เช่น เครื่องลายคราม ชา เครื่องเทศ และโลหะ มีค่าก็มีการซื้อขายระหว่างทั้งสองภูมิภาคด้วย อาณาจักรของพระบาทสมเด็จ พระอินทรราชามีทรัพยากรอันมีค่าที่จะนำ มาตอบแทน เช่น อัญมณี ไม้หอม งาช้าง และผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนนำ มา ซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำ คัญ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และความสัมพันธ์ทางการทูต เส้นทางการค้าได้รับการคุ้มครอง ช่วยให้พ่อค้า และสินค้าเดินทางได้อย่างปลอดภัยโดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ทางการค้ากับ จีน มีลักษณะเฉพาะคือผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ซึ่งมีส่วน ทำ ให้ความมั่งคั่งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของราชอาณาจักร ผ้าไหม เครื่องลายคราม เครื่องเทศ 2. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระเจ้จ้ จ้ า จ้ าอิอิ อิ น อิ นทราชา ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 1952 – 1967
3. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระบรมราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราชที่ที่ ที่ที่ 3 ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2031 – 2034 ในรัชสมัยของพระเจ้าบรมราชาที่ 3 การมาถึงของโปรตุเกสใน ประเทศไทยถือเป็นบทสำ คัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ นักสำ รวจชาว โปรตุเกส Fernão Mendes Pinto เดินทางมาถึงอาณาจักรอยุธยาเพื่อ แสวงหาโอกาสทางการค้า ในตอนแรกชาวโปรตุเกสได้รับการต้อนรับจาก กษัตริย์ไทย เมื่อพวกเขานำ สินค้าแปลกใหม่และแนะนำ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ภาพ Fernão Mendes Pinto นักสำ รวจชาวโปรตุเกส
ชาวโปรตุเกสได้ก่อตั้งศูนย์กลางการค้าในอยุธยาและเริ่มซื้อขายสินค้า เช่นเครื่องเทศ สิ่งทอ และอาวุธปืน พวกเขายังนำ ความรู้และแนวคิด ตะวันตกซึ่งมีผลกระทบสำ คัญต่อวัฒนธรรมและสังคมไทยติดตัวไปด้วย ชาวโปรตุเกสได้นำ เทคนิคการเกษตรใหม่ๆ สถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป และศาสนาคริสต์มาใช้ 3. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระบรมราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราชที่ที่ ที่ที่ 3 ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2031 – 2034
4. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระรามาธิธิ ธิ บ ธิ บดีดี ดี ที่ ดี ที่ ที่ที่ 2 ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2034 – 2072 ใน พ.ศ. 2054 ทูตนำ สารของ อาฟงซู ดึ อัลบูแกร์กึ แม่ทัพใหญ่ของประเทศ โปรตุเกสได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ ทรงตอบรับไมตรีจากโปรตุเกส และได้ทำ สัญญาทางราชไมตรีกับทางการค้าต่อ กัน ใน พ.ศ. 2059 นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำ กับต่างประเทศ โปรตุเกส จึงนับเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรปที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา ผลจากการเข้ามาสร้างไมตรีของชาวโปรตุเกส ได้มีการนำ เอาอาวุธแบบใหม่ที่มี ประสิทธิภาพเข้ามาถวาย ได้แก่ ปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนดินดำ ต่อมาชาว โปรตุเกสได้เข้ามาเป็นทหารอาสาฝรั่ง ได้ช่วยฝึกวิธีการใช้อาวุธแบบตะวันตกกับ กรุงศรีอยุธยา อาฟงซู ดึ อัลบูแกร์กึ
5. สมัมั มั ย มั ยพระไชยราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2077 – 2089 ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมาค้าขายในเอเชียคือชาวโปรตุเกส พวก เขามาค้าขายและตั้งอาณานิคมที่เมืองกัวของอินเดีย แล้วเลยมาทางตะวัน ออกถึงเมืองไทย นายเฟอร์ดินันด์ เมนเดส ปินโต หนุ่มโปรตุเกส อายุ 28 ปี ได้เดินทาง มาใช้ชีวิตแถบเอเชียตะวันออกถึง 21 ปี เพื่อแสวงหาโชคลาภ โดยเป็น พ่อค้า เป็นทหารรับจ้าง เขาได้เขียนหนังสือเล่าการผจญภัยไว้ในหนังสือ โด่งดังเล่มหนึ่ง ชื่อ Peregrinicam มีเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยอยู่ 27 หน้า ซึ่งนับว่ามีคุณค่ายิ่งที่ทำ ให้เราได้เห็นโฉมหน้าของเมืองไทย ซึ่ง ครั้งนั้นเรียกว่าประเทศสยาม หนังสือPeregrinicam ของเฟอร์ดินันด์ เมนเดส ปินโต
5. สมัมั มั ย มั ยพระไชยราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2077 – 2089 ด้านการคมนาคม ในรัชสมัยของพระองค์ได้โปรดเกล้าให้ขุดคลองลัดบางกอก เนื่องจาก แม่น้ำ เจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำ ไปถึงกรุงศรีอยุธยามีความคดเคี้ยวหลาย แห่ง ทำ ให้เสียเวลาในการเดินทางเรือ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า แผ่นดินระหว่างคลองบางกอกใหญ่ และคลองบางกอกน้อยแคบสามารถ เดินถึงกันได้ ผลจากการขุดคลองลัดบางกอกทำ ให้สายน้ำ เปลี่ยนทางเดิน จนคลองลัดบางกอกกลายเป็นลำ น้ำ เจ้าพระยา จึงโปรดเกล้าให้ขุดคลอง ลัด ณ บริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ด้านท่า ราชวรดิษฐ์ในปัจจุบัน
6. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระมหาธรรมราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2112 - 2133 การขยายการค้า: สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงส่งเสริมการค้าและ การพาณิชย์ภายในราชอาณาจักรและกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแข็งขัน พระองค์ทรงสร้างเส้นทางการค้าและสนับสนุนให้พ่อค้าต่างชาติเข้ามาเยี่ยม ชมและดำ เนินธุรกิจในสยาม ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาการเกษตร: กษัตริย์ทรงดำ เนินนโยบายเพื่อปรับปรุง การเกษตรและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เขาแนะนำ เทคนิคการทำ ฟาร์ม แบบใหม่ ส่งเสริมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ และสนับสนุนโครงการ ชลประทานเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงลงทุนใน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การก่อสร้างถนน สะพาน และคลอง เพื่อ อำ นวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง และส่งเสริมการรวมตัวทาง เศรษฐกิจ ระบบผูกขาดของกษัตริย์: กษัตริย์ทรงสถาปนาระบบผูกขาดของกษัตริย์ใน สินค้าบางประเภท เช่น เกลือ หมาก และหมาก สิ่งนี้ทำ ให้รัฐบาลสามารถ ควบคุมการค้าและสร้างรายได้ ซึ่งใช้สำ หรับโครงการพัฒนาต่าง ๆ การปฏิรูปเหรียญกษาปณ์และเงินตรา: สมเด็จพระมหาธรรมราชธิราชทรง ริเริ่มการปฏิรูประบบเหรียญกษาปณ์และเงินตรา ซึ่งทำ ให้เศรษฐกิจมี เสถียรภาพและอำ นวยความสะดวกทางการค้า พระองค์ทรงสร้างเหรียญใหม่และ สร้างน้ำ หนักและมาตรการที่ได้มาตรฐาน เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ เชื่อถือได้ 6. สมัมั มั ย มั ยสมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระมหาธรรมราชาธิธิ ธิ ร ธิ ราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2112 - 2133
7.สมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระนเรศวรมหาราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2133 - 2148 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์มีบทบาทสำ คัญในการ ปกป้องและขยายอาณาเขตของอาณาจักร ซึ่งมีผลงานสำ คัญ ดังนี้ 1. การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต: สมเด็จพระนเรศวรทรง พยายามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาประเทศ พระองค์ทรง รักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านและสถาปนาพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างจุดยืนของอาณาจักรอยุธยา ความพยายามทางการทูตของ พระองค์มีส่วนทำ ให้เกิดเสถียรภาพและการค้าในภูมิภาค ด้านการค้า และการขยายอำ นาจทางเศรษฐกิจ เป็นรากฐานที่สำ คัญในการสร้าง เสริมความมั่นคงทางการเมืองการปกครอง การดำ เนินนโยบายทาง เศรษฐกิจในสมัยของพระองค์นับว่ามีความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะการ ค้ากับต่างประเทศได้นำ มาซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบและบทบาท ของอยุธยาต่อการค้าในด้านตะวันออกกับจีนและญี่ปุ่น และการขยายตัว ทางการค้ากับตะวันตก
โดยแบ่งบทบาทและการขยายอำ นาจทางเศรษฐกิจเป็น 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1 การค้ากับด้านตะวันออกโดยเฉพาะการค้ากับจีน ในช่วงรัชสมัยของ สมเด็จพระนเรศวรจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรบเป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่งสำ คัญที่ เป็นรากฐานของยุทธปัจจัยในการรบก็คือรายได้ที่เกิดจากการค้าโดยเฉพาะการ ค้ากับจีนภายใต้ระบบบรรณาการ ในช่วงสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้มีการติดต่อการค้ากับจีนในช่วงต้นรัชกาล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2135 โดยมีการส่ง เครื่องราชบรรณาการแก่องค์จักรพรรดิของจีนตามธรรมเนียม 7.สมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระนเรศวรมหาราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2133 - 2148
7.สมเด็ด็ ด็ จ ด็ จพระนเรศวรมหาราช ปีปีปี พ ปี พ.ศ. 2133 - 2148 ด้านที่ 2 การค้ากับตะวันตก ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้นมีการค้ากับชาว ต่างประเทศ อาทิ การค้ากับสเปน สเปนได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี เพื่อการค้ากับไทย โดยพยายามเผยแพร่ศาสนาและทำ การค้าในแดนที่ ชาวโปรตุเกสเคยติดต่อด้วย ประกอบกับสมเด็จพระนเรศวรสนพระทัยใน การค้ากับสเปน โปรดให้มีหนังสือไปถึงข้าหลวงใหญ่สเปนที่กรุงมะนิลา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2137 นอกจากสเปนแล้วในช่วงปลายรัชสมัยได้มีการติดต่อการค้ากับฮอลันดา โดยบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ( Vereenigde Oost – Indische Compagnie : V.O.C.) เข้ามาเมืองไทยด้วยหวังอาศัยเรือสำ เภา ของหลวงราชสำ นักอยุธยาไปค้าขายที่เมืองจีนและต้องการหาลู่ทางไป ค้าขายที่เมืองจีนโดยตรง จึงส่งผู้แทนของบริษัทไปยังกรุงศรีอยุธยา บริษัทอินเดียตะวันออก ของฮอลันดา ( Vereenigde Oost – Indische Compagnie : V.O.C.)
จัจั จั ด จั ดทำทำทำทำโดย นางสาวฐิติมา หนูวรรณ รหัส 63003171009 นางสาวเบญจมินทร์ ยะหัตตะ รหัส 63003171026 นางสาวเกตุสุดา ทิพรัตน์ รหัส 63003171037 รหัสกลุ่มเรียน 6300317101 คณะครุศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์