The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chanitawn, 2021-10-03 09:28:32

การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต

การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต

รายงานการวจิ ัยในชั้นเรยี น
เรอ่ื ง การพฒั นาทักษะการปฏบิ ัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้า

ในรายวิชานาฏศลิ ป์ โดยใช้สื่อวดี ทิ ัศนอ์ อนไลน์
สำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6/4 โรงเรียนอนบุ าลสมเดจ็ พระวนั รัต

ผู้วิจยั
นางสาวชนติ า ณรงค์ดนุเดช

รายงานการวจิ ัยช้นั เรียนนเี้ ปน็ สว่ นหนึง่ ของรายวชิ า
การปฏบิ ตั งิ านวชิ าชพี ในสถานศึกษา 1 รหสั วชิ า (30021012)

หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต (หลกั สตู ร 5 ป)ี
คณะศิลปศึกษา สาขาวิชานาฏศิลปไ์ ทยศึกษา

ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

คำนำ

รายงานการวิจัยในชั้นเรียนเล่มน้ี จัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา
นาฏศลิ ป์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวนั รัต มเี วลาเรียนไมเ่ พียงพอ และนักเรียน
บางคนขาดทักษะพ้ืนฐานทางการฟ้อนรำ รำไม่ถูกจังหวะและทำนองเพลง จำท่ารำไมไ่ ด้ ส่งผลให้นักเรียน
ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน และเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19
โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเดจ็ พระวันรัต ซึ่ง
เป็นสื่อการเรยี นการสอนที่จะทำให้นักเรียนสนใจเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น ทำให้นักเรียนมีความตืน่ ตัวในการ
ที่จะอยากเรียนวิชานาฏศิลป์ และเป็นการปรับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า และส่งผลใหมีผลสมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น สามารถทบทวนบทเรียนได้ด้วย
ตนเอง รายละเอียดของเอกสารเล่มน้ีประกอบด้วยความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์
การวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย สมมติฐานการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ แนวคิด ทฤษฏีเกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย
เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวิจัย ขนั้ ตอนการสร้างเครื่องมือ ระยะเวลาการดำเนินการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
สรุปผลการวิจยั และอภิปรายผล ข้อเสนอแนะสำหรบั การวิจัยครงั้ ต่อไป รวมท้งั เอกสาร หลักฐานที่เป็นผล
จากการดำเนินงาน

นางสาวชนิตา ณรงค์ดนุเดช
ผู้วิจัย

สารบัญ หนา้
1
เรอื่ ง 1
บทที่ 1 บทนำ 3
3
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา 3
1.2 วตั ถุประสงค์ในการวจิ ยั 3
1.3 สมมุติฐานในการวิจัย 4
1.4 ขอบเขตในการวิจยั 4
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 5
1.6 ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการวจิ ัย 6
1.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย 19
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง 25
2.1 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 28
2.2 วดี ทิ ัศนเ์ พ่อื การศกึ ษา 30
2.3 การสอนการฝึกทักษะ 30
2.4 งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง 30
บทที่ 3 วิธีดำเนนิ การวิจยั 30
3.1 ประชากรเป้าหมาย 34
3.2 เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั 34
3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 35
3.4 วธิ ีการดำเนินการวจิ ัย 38
3.5 การวเิ คราะหข์ ้อมูล 40
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 43
บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ 45
บรรณานุกรม 48
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก ใบตอบรับการเป็นผูเ้ ชย่ี วชาญ
ภาคผนวก ข การพฒั นาทักษะการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า
โดยใชส้ อื่ วดี ทิ ัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศลิ ป์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6/4
โรงเรยี นอนุบาลสมเด็จพระวันรตั

สารบัญตาราง หนา้
7
ตารางที่ 1 ตารางแสดงตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง มาตรฐาน ศ 3.1 8
สาระท่ี 3 นาฏศิลป์ 31
ตารางที่ 2 ตารางแสดงตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง มาตรฐาน ศ 3.2 35
สาระที่ 3 นาฏศิลป์ 36
ตารางที่ 3 แสดงขั้นตอนดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจนั ทรข์ วญั ฟ้า 37
ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการ
ปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟา้ ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6/4
ตารางท่ี 5 แสดงผลคะแนนการประเมนิ ทักษะการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
ที่เรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
จำนวนท้งั 3 ดา้ น
ตารางที่ 6 แสดงผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนระหวา่ งเรยี น
และหลงั เรียน จากการใช้สือ่ วีดทิ ัศนอ์ อนไลน์

สารบญั ภาพ หนา้
17
ภาพท่ี 1 ทา่ รำช้างประสานงา 17
ภาพที่ 2 ทา่ รำจันทร์ทรงกลดแปลง

1

บทท่ี 1
บทนำ

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การเรียนการสอนในปัจจุบันมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น

ส่ือเทคโนโลยกี ารสอื่ สารเป็นปัจจัยพื้นฐานท่ีสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถเขา้ ถึงแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ได้อย่าง
ไร้ขีดจำกดั สอื่ ท่มี ีอิทธพิ ลในสังคมปัจจุบนั ก็คอื สื่อเครือขา่ ยไรส้ าย หรือการสื่อสารบนอปุ กรณ์ พกพาขนาด
เล็ก เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต สามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการเรียนท่ี
สะดวกตอ่ ผ้เู รียน และสามารถเข้าถงึ แหล่งขอ้ มูลการเรยี นรู้ได้ทุกทแ่ี ละทุกเวลา

ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากมาย และมีการพัฒนา
ศักยภาพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการสื่อสารเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ
โปรแกรมสำเร็จรูปประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อวิดีทัศน์ เปน็ สอื่ การเรยี นการสอน ประเภทหนึ่ง ที่มีความ
พร้อมในลักษณะของมัลติมีเดีย (Multimedia) ซึ่งได้รวมเอาความโดดเด่นของรูปแบบ และแนวทางการ
นำเสนอที่สมบูรณ์ครบถ้วนไว้ทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ คอมพิวเตอร์กราฟิก และเทคนิคพิเศษอีก
มากมาย ช่วยสร้างประสิทธิภาพการเรียนการสอน ช่วยลด ความยากง่าย ซับซ้อนของเนื้อหาวิชา และมี
ความหลากหลายในด้านการสร้างจินตนาการของสื่อการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถ
กระตุ้นความสนใจ ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญคือ สามารถ
นำมาเปดิ ซ้ำไดต้ ามความต้องการ (เริงชยั พะวฒุ , 2556)

วรพจน์ นวลสกุล (2550) ได้กล่าวถึง สื่อวีดิทัศน์ ว่าสื่อที่มีบทบาทสำคัญกับการแสดงผล โดยมี
ภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งที่สามารถนำมาเรียงลำดับกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของ
การแพรภ่ าพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เทปวีดทิ ศั น์หรือแผน่ วีดิทศั น์ ท่นี ำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
เข้ามาประยุกตใ์ ช้ เพื่อให้เข้าสู่ยุคของโลกดจิ ิตอลที่นักเรียนสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว วีดิโอดังกล่าวนี้
จะใช้บนเครือข่าย Computer Network เหมาะกับนักเรียน ไม่ต้องเสียเวลา อีกทั้งผู้ชมก็สามารถควบคุม
การเรียนการสอนได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมต่อกบระบบเครือข่าย จะเห็นได้ว่าการนำ
เทคโนโลยีมาใช้เป็นสื่อการสอนที่มีทั้งภาพและเสียงช่วยให้การจำ และการเรียนรู้จดจำดีขึ้น การสร้าง
ความคิดรวบยอดหรือสรุปเนื้อหาการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ดังนั้นการเรียนรู้เนื้อหา
วิชานาฏศลิ ป์ ถ้ามีการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเข้ามาช่วยในการเรยี นรู้ จะช่วยทำให้ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนดีขึ้น การเรียนการสอนเกิดประสทิ ธิภาพมากขึ้น ผู้เรียนยงั สามารถเปิดชมได้ทุกที่ ทำให้เกิด

2

ความสะดวกและสามารถเรียนรใู้ นชว่ งเวลาใดก็ได้ ทำใหเ้ กิดความสะดวกและช่วยลดปญั หาด้านระยะเวลา
ที่ใชใ้ นการเรียนรู้

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การดำเนินชีวิตของผู้คนในทุกมิติทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การสาธารณสุข หรือแม้กระทั่ง
การศึกษา เพ่อื ป้องกนั การกระจายตัวของเช้อื โรคและลดอัตราการแพร่เชื้อ ทางรัฐบาลจึงออกมาตรการสั่ง
ปิดสถานศึกษา โดยประกาศให้อาจารย์และนักศึกษางดการเดินทางเข้ามาในสถานศึกษา งดจัดกิจกรรม
หรือจัดการเรียนการสอนแบบเข้าชั้นเรียน แต่ให้เรียนออนไลน์ได้ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2563, 17
มีนาคม) ในสถานกาณ์เช่นนี้ เครื่องมือการเรียนการสอนออนไลน์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยให้
การเรยี นการสอนในรายวชิ าทางนาฏศลิ ป์กลับสู่สภาพท่ีคล้าย หรอื เหมอื นเดิม หรอื อาจจะดีกว่าการเรียน
การสอนแบบปกติ

ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาล
สมเด็จพระวันรัต มีเวลาเรียนไม่เพียงพอ และนักเรียนบางคนขาดทักษะพื้นฐานทางการฟ้อนรำ รำไม่ถูก
จงั หวะและทำนองเพลง จำทา่ รำไม่ได้ สง่ ผลใหน้ ักเรยี นไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
และเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้ทางโรงเรียนได้ประกาศปิดสถานศึกษา เพื่อเป็น
การปอ้ งกันการแพร่ระบาดของโรคโควดิ – 19 แบบออนไลน์ โดยใช้ส่อื หรอื แอปพลเิ คชันตา่ ง ๆ เช่น Line,
Facebook, Google Meet เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถทำการเรียนการสอนได้ในช่วงที่โรงเรียน
ประกาศปดิ สถานศึกษา

จากท่กี ล่าวขา้ งตน้ ผู้วิจัยพบว่าการเรยี นการสอนการแบบออนไลน์มีประโยชนแ์ ละมีความทันสมัย
อยู่แล้ว เพียงแต่ยังขาดสื่อการเรียนรู้ที่จะให้นักเรียนสามารถกลับไปทบทวนความรู้ย้อนหลังในเนื้อหาที่
นักเรียนไม่เข้าใจหลังจากที่จบการเรียนการสอนในคาบนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ
การพัฒนาทักษะการปฏบิ ตั ิรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟ้า ในรายวิชานาฏศลิ ป์ โดยใช้สื่อวีดทิ ัศน์
ออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ซึ่งเป็นสื่อการเรียน
การสอนที่จะทำให้นักเรียนสนใจเนื้อหาที่เรียนมากข้ึน ทำให้นักเรียนมีความตื่นตัวในการที่จะอยากเรียน
วิชานาฏศิลป์ และเป็นการปรับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์
ขวญั ฟ้า และสง่ ผลให้มีผลสมฤทธ์ิทางการเรียนเพ่ิมขึ้น สามารถทบทวนบทเรยี นไดด้ ้วยตนเอง ประกอบกับ
ให้สอดคลอ้ งกบั การเรยี นการสอนออนไลน์ในชว่ งการแพร่ระบาดโรคโควิด – 19

3

1.2 วตั ถุประสงค์ในการวจิ ัย
เพื่อเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ระหว่างเรียนและหลัง

เรยี น ดว้ ยส่อื วีดทิ ัศน์ออนไลน์ สำหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6/4 โรงเรียนอนบุ าลสมเดจ็ พระวนั รัต

1.3 สมมุตฐิ านในการวจิ ัย
สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต

ทำให้ทักษะการปฏิบตั ิรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทรข์ วญั ฟา้ ของนักเรยี น หลังเรยี นสงู กวา่ ระหว่างเรยี น

1.4 ขอบเขตในการวิจัย
การวิจัยครั้งน้ีเป็นการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ในรายวิชา

นาฏศิลป์ โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จ
พระวันรัต ดงั นี้

1. ประชากรเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ที่กำลังศึกษา
ในระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6/4 จำนวน 30 คน

2. ตวั แปรทใี่ ช้ในการวิจยั คือ
ตวั แปรต้น
- สอื่ วีดทิ ัศนอ์ อนไลน์ เรื่อง การปฏิบัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟ้า ในรายวิชานาฏศิลป์
สำหรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6/4 โรงเรยี นอนบุ าลสมเด็จพระวันรัต
ตัวแปรตาม
- ทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่า
ระหว่างเรยี น
3. เนื้อหาทใี่ ช้ในการวจิ ัย คอื การปฏบิ ัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทรข์ วญั ฟ้า
4. ระยะเวลาในการวิจัย คือ เดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 และระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
คอื 3 ครง้ั ครง้ั ละ 50 นาที

1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ
สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ คือ สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง และเสียง การสร้าง

ภาพเคลื่อนไหว คือ การเอาภาพนิ่งมาเรียงลำดับกัน ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ซ่ึงสามารถดึงดดู
ความสนใจของผู้เรียน ทำใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนไดง้ ่ายเข้าใจตรงกัน เน่ืองจากสามารถแสดงให้เน้ือหาท่ีต้องการ

4

สื่อผ่านทางภาพเคล่ือนไหว ซ่ึงแสดงรายละเอียดส่ิงที่ต้องการศึกษาภายในบทเรียนได้ชัดเจนมากกว่าจะ
เรียนเพียงตวั หนังสือหรือภาพนิ่ง

1.6 ประโยชน์ทไี่ ด้รบั จากการวจิ ัย
1. เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำสื่อการสอน โดยใช้บทเรียนออนไลน์สร้างเป็นสื่อประกอบ

การเรียนการสอนในกลุ่มสาระอืน่ ๆ
2. สามารถแก้ปญั หาการเรยี นในช่วงการหยดุ เรียนเพ่อื ลดการแพรร่ ะบาดโรคโควิด - 19

1.7 กรอบแนวคิดในการวิจยั

สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน ทักษะการปฏิบตั ิรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทรข์ วัญฟ้า ในรายวชิ านาฏศลิ ป์ เพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า
สำหรับนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6/4 ของนักเรยี น หลังเรียนสงู กว่าระหวา่ งเรยี น
โรงเรยี นอนบุ าลสมเด็จพระวันรตั

5

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง

ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
ในรายวิชานาฏศิลป์ โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4
โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดงั ตอ่ ไปนี้

2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์

2.1.1 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
2.1.2 หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ิลปะ
2.1.3 คุณภาพผูเ้ รยี นระดับประถมศกึ ษา
2.1.4 ขอบข่ายเนื้อหา เร่อื ง รำวงมาตรฐาน
2.2 วีดิทัศนเ์ พื่อการศกึ ษา
2.2.1 แนวคิดเก่ียวกบั วทิ ยโุ ทรทศั นเ์ พื่อการศึกษา
2.2.2 ความหมายของวีดทิ ศั น์
2.2.3 คณุ ลักษณะของสื่อโทรทศั น์และวีดิทัศน์
2.2.4 ประเภทและขอบเขตของรายการวีดทิ ัศน์เพือ่ การศึกษา
2.2.5 รปู แบบรายการวีดิทัศน์เพอื่ การศกึ ษา
2.2.6 กระบวนการผลติ สื่อวีดิทศั น์
2.3 การสอนการฝึกทักษะ
2.3.1 ความหมายทกั ษะ
2.3.2 กระบวนการเกิดทกั ษะ
2.3.3 ประเภทของทกั ษะปฏบิ ัติ
2.3.4 การสอนทกั ษะปฏิบตั ิ
2.3.5 รูปแบบการสอนการฝกึ ทกั ษะ
2.3.6 ทกั ษะทางด้านการรำนาฏศลิ ป์
2.4 งานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง

6

2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 ได้กำหนดใหม้ กี ารจดั ทำหลักสตู รการศึกษา

ขั้นพื้นฐาน เพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจน
เพื่อการศึกษาต่อและให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทาสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาใน
ชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน
สังคมและประเทศชาติ ด้วยข้อกาหนดของพระราชบัญญัติการศึกษาดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการจึงได้
จัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นมาและให้เริ่มใช้ในโรงเรียนนำร่อง และโรงเรียนในเครือข่ายที่
กระทรวงศึกษาธกิ ารไดป้ ระกาศรายชอ่ื ตั้งแตป่ ีการศึกษา 2551 เป็นต้นไป

2.1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 8) ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้

ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ให้เป็น
เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนมาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้
มคี ุณธรรมจรยิ ธรรมและคา่ นิยมทพ่ี งึ ประสงค์เมอ่ื จบการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน นอกจากน้นั มาตรฐานการเรยี นรู้
ยังเป็นกลไกสำคญั ในการขบั เพอ่ื พฒั นาการศึกษาทั้งระบบ

เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอะไรและประเมินอย่างไร
รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพ
ภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับ เขตพื้นที่การศึกษาและการทดสอบ
ระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัด
การศกึ ษาวา่ สามารถพฒั นาผู้เรยี นให้มคี ณุ ภาพตามทมี่ าตรฐานการเรยี นรกู้ นั หมดเพยี งใด

2.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้รายวชิ าศิลปะ (ศลิ ปะ ดนตรี นาฏศลิ ป)์
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 10) สาระและมาตรฐานการเรียนรู้รายวิชาศิลปะ ดนตรี

นาฏศิลป์ มีองค์ความรู้ทักษะสำคัญและคุณลักษณะในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ระบุ
เกี่ยวกับสาระการเรียนรู้กลุ่มศิลปะไว้ว่า มีความรู้และทักษะในการคิดริเริ่ม จินตนาการ สร้างสรรค์
งานศิลปะ สุนทรียภาพ และการเห็นคุณค่าทางศิลปะ สำหรับมาตรฐานการเรียนรู้รายวิชาศิลปะ
แบง่ ออกเป็น 3 สาระ 6 มาตรฐาน

7

สาระที่ 1 ทัศนศิลป์

มาตรฐาน ศ 1.1 และ มาตรฐาน ศ 1.2

สาระท่ี 2 ดนตรี

มาตรฐาน ศ 2.1 และ มาตรฐาน ศ 2.2

สาระที่ 3 นาฏศิลป์

มาตรฐาน ศ 3.1 และ มาตรฐาน ศ 3.2

2.1.3 หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ิลปะ

1) ตัวชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระท่ี 3 นาฏศลิ ป์ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6

ชุลีกร บญุ เสรมิ สุขเจรญิ (2557: 14) มาตรฐาน ศ 3.1 เขา้ ใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์

อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ

ช่นื ชม และประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวัน

ตารางที่ 1 ตารางแสดงตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง มาตรฐาน ศ 3.1

สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์

ชนั้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้

ป.6 1. สรา้ งสรรค์การเคล่อื นไหว และ • การประดิษฐท์ า่ ทาง

การแสดงโดยเน้นการถา่ ยทอดลีลา ประกอบเพลงปลุกใจหรอื เพลงพืน้ เมืองหรือทอ้ งถิ่น

หรืออารมณ์ เน้นลีลาหรอื อารมณ์

2. ออกแบบเครื่องแต่งกายหรือ • การออกแบบสร้างสรรค์

อปุ กรณ์ประกอบการแสดงอย่าง - เครื่องแตง่ กาย

งา่ ย ๆ - อุปกรณฉ์ ากประกอบการแสดง

3. แสดงนาฏศิลป์และละครง่าย ๆ • การแสดงนาฏศลิ ป์และการแสดงละคร

- รำวงมาตรฐาน

- ระบำ

- ฟ้อน

- ละครสรา้ งสรรค์

4. บรรยายความร้สู กึ ของตนเองทม่ี ี • บทบาทและหนา้ ท่ีในงานและการละคร

ตอ่ งานนาฏศิลปแ์ ละการละคร

อยา่ งสร้างสรรค์

8

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้

5. แสดงความคดิ เหน็ ในการชมการ • การประดิษฐ์ทา่ ทาง

แสดง ประกอบเพลงปลุกใจหรอื เพลงพ้นื เมืองหรือท้องถิ่น

เน้นลีลาหรืออารมณ์

6. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • การออกแบบสรา้ งสรรค์

นาฏศลิ ป์และการละครกบั สง่ิ ท่ี - เคร่อื งแต่งกาย

ประสบในชวี ติ ประจำวนั - อปุ กรณ์ฉากประกอบการแสดง

ชุลีกร บุญเสรมิ สขุ เจรญิ (2557: 15) มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนาฏศิลป์

ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ท่ีเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน

ภูมิปัญญาไทยและสากล

ตารางที่ 2 ตารางแสดงตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ศ 3.2

สาระที่ 3 นาฏศิลป์

ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้

ป.6 1. อธบิ ายสิง่ ท่ีมคี วามสำคัญต่อการ • ความหมายความเปน็ มาความสำคญั ของ

แสดงนาฏศลิ ป์และละคร นาฏศิลปแ์ ละละคร

- บคุ คลสำคัญ

- คณุ ค่า

2. ระบุประโยชน์ทไ่ี ด้รับจากการ • การแสดงนาฏศิลป์และละครในวนั สำคญั ของ

แสดงหรือการชมการแสดง โรงเรยี น

นาฏศลิ ป์และละคร

2) วสิ ัยทศั น์
ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีจินตนาการทางศิลปะ ซึ่งมีผลต่อ
คุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม
ตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนาส่งิ แวดล้อม
3) จดุ มุ่งหมาย
ชุลีกร บุญเสริมสุขเจริญ (2557: 9) กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิด
ความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
แสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่างๆ อันประกอบด้วยทั้ง 3 สาระการเรียนรู้ ได้แก่ ทัศนศิลป์ ดนตรี
นาฏศิลป์

9

4) อธบิ ายรายวิชากลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ิลปะ
คำอธิบายรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ศ14101 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เวลา 18 ชั่วโมง ศึกษาลักษณะของรูปแบบรูปทรงในธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมงานทัศนศิลป์ อิทธิพลของสี
วรรณะอุ่น วรรณะเย็นที่มีต่ออารมณ์ของมนุษย์ ศึกษาเพลง ประโยคเพลงอย่างง่าย เครื่องดนตรีที่ใช้ใน
เพลงที่ฟงั ทศิ ทางการเคลือ่ นที่ขน้ึ -ลงงา่ ย ๆ ของทำนอง รปู แบบจงั หวะและความเรว็ ของจังหวะเพลงท่ีฟัง
ศึกษาโน้ตดนตรีไทยและสากล ทักษะพื้นฐานทางนาฏศิลป์และการละคร ที่ใช้สื่อความหมายและอารมณ์
ภาษาท่าและนาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครง่าย ๆ ในการถ่ายทอดเรื่องราวการเคลื่อนไหวในจังหวัด
ต่าง ๆ ตามความคิดของตน นาฏศิลป์เป็นคู่และหมู่ ชื่นชอบในการแสดงโดยเน้นจุดสำคัญของเรื่องและ
ลักษณะเด่นของตัวละครประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์หรือชุดการแสดงอย่างง่าย ๆ การแสดง
นาฏศิลป์กับการแสดงที่มาจากวัฒนธรรมอื่น ความสำคัญของการแสดง ความเคารพในการเรียนและ
การแสดงนาฏศิลป์ เหตุผลทคี่ วรรักษาและสืบทอดการแสดง
2.1.4 คุณภาพผเู้ รยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษา
ชลุ ีกร บุญเสรมิ สขุ เจรญิ (2557: 11) รเู้ ขา้ ใจองค์ประกอบนาฏศลิ ป์ สามารถแสดงภาษาท่า
นาฏยศัพท์พื้นฐาน สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวและการแสดงนาฏศิลป์และการละครง่าย ๆ ถ่ายทอดกีฬา
หรืออารมณ์และสามารถออกแบบเครื่องแต่งกายหรืออุปกรณ์ประกอบการแสดงง่าย ๆ เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์และการละครกับสิ่งที่ประสบในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นในการ
ชมการแสดงและบรรยายความรู้สกึ ของตนเองที่มีต่องานนาฏศิลป์ รู้และเข้าใจความสำคญั ประโยชน์ของ
นาฏศิลป์ และการละครสามารถเปรียบเทียบการแสดงประเภทต่าง ๆ ของไทยในแต่ละท้องถิ่น และสิ่งท่ี
การแสดงสะทอ้ นวฒั นธรรมประเพณเี หน็ คุณคา่ การรกั ษาและสบื ทอดการแสดงนาฏศิลป์ไทย
2.1.5 ขอบขา่ ยเน้อื หา เรอ่ื ง นาฏศลิ ป์ไทย
1) ความสำคัญของนาฏศิลปไ์ ทย

สุดใจ ทศพรและคณะ (2544: 124) กล่าวถึงความสำคัญของนาฏศิลป์ไทยไว้ว่า
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นเอกราชมายาวนาน มีศิลปวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น
เอกลักษณ์ของชาติและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศที่ได้พบเห็นในความงดงามของนาฏศิลปไ์ ทย และ
ความเป็นวัฒนธรรมไทยในแขนงนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าในปัจจุบันวัฒนธรรมตะวันตกจะมีอิทธิพลเข้ามา
มากมายกต็ าม แต่สง่ิ หนง่ึ ทค่ี นไทยได้อนุรักษ์และสืบทอดไวไ้ ดน้ ัน่ คือ นาฏศิลปไ์ ทย และถอื วา่ เป็นสิ่งสำคัญ
ที่คนไทยควรจะปลูกฝังให้ลูกหลานไว้ร่วมทำนุบำรุงและเห็นคุณค่าในศิลปวัฒนธรรมแขนงนี้ให้มากขึ้น
พร้อมท้งั ช่วยการอนุรักษ์และสนบั สนุนให้ศลิ ปะแขนงนีค้ งอยูค่ ู่กับคนไทยต่อไป

10

2) ความหมายของนาฏศิลป์ไทย

ราชบัณฑิตยสถาน (2538: 431) ได้ให้ความหมายของนาฏศิลป์ไทยว่า น. ศิลปะแห่ง

การละคร หรือการฟ้อนรำ เป็นลีลาที่ผู้ประดิษฐ์ปรุงแต่งขึ้นจากการเลียนแบบกิริยาท่วงท่าของมนุษย์

อาภรณ์ มนตรีศาสตร์และจาตุรงค์ มนตรีศาสตร์ (2525: 64) ไดใ้ ห้ความหมายเกีย่ วกับ

นาฏศิลป์ นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของชาติ ซึ่งคำว่านาฏศิลป์นั้นมีความหมายถึงศิลปะการแสดง

ด้วยการร้องรำทำเพลงเป็นการให้ความบันเทิงอันร่วมด้วยความโน้มเอียงของอารมณ์และความรู้สึกส่ วน

สำคญั ส่วนใหญข่ องนาฏศลิ ปอ์ ยู่ทก่ี ารละคร ศลิ ปะประเภทนีต้ ้องใช้การดนตรีและ การ

ขับร้องเข้าร่วมด้วยเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดคุณค่าในทางศิลปะยิ่งขึ้นตามสภาพหรือแนวคิดต่างกัน

ฉะนั้นคำว่า นาฏศิลป์ นอกจากจะหมายถึงการละครโดยตรงแล้วยังต้องถือเอาความหมายของการร้องรำ

และการบรรเลงดนตรีเขา้ ดว้ ยกัน

ถวัลย์ มาศจรสั (2547: 36) ให้คานยิ ามวา่ เป็นการฟ้อนรำรวมท้ังการระบา การรำเต้น

การรอ้ ง การบรรเลง และการละครเขา้ ด้วยกนั

เรืองวิไล ทาขามป้อม (2552: 16) ได้สรุปเกี่ยวกับความหมายของนาฏศิลป์ไทยว่าเป็น

ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีจังหวะและท่วงท่าที่สวยงามอ่อนช้อย สามารถสื่อความหมายให้ผู้ชมได้รับรู้และ

เขา้ ใจ ซง่ึ ประกอบไปด้วยการบรรเลงดนตรีและการขับรอ้ งเข้ามารว่ มด้วยกัน

นวลรวี กระต่ายทอง (ม.ป.ป.: 2) ได้กล่าวเกี่ยวกับนาฏศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการ

เคลอ่ื นไหวของร่างกายที่อ่อนช้อย แสดงให้เหน็ ในรปู แบบลีลา การฟ้อน รำ ระบำ และหมายรวมถึงศิลปะ

ทางการแสดงของไทยที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ด้วยความประณีตอย่างมีระเบียบแบบแผน

จนก่อเกิดเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนชาติไทย ศิลปะประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยการบรรเลง

ดนตรี และการขับรอ้ งดว้ ยเพ่อื เป็นการสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดคุณค่าทางศลิ ปะ

ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่านาฏศิลป์ไทยจึงหมายถึง ศิลปะแห่งการละครฟ้อนร ำท่ี

ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงามโดยมาจากการเลยี นแบบกิริยาอาการทว่ งทา่ ของมนุษย์ และต่อมาได้

ปรับปรุงให้เกิดความอ่อนช้อยสวยงาม แสดงให้เห็นในรูปแบบลีลาการฟ้อน รำ ระบำ สามารถสื่อ

ความหมายให้ผู้ชมได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่งประกอบไปด้วยการบรรเลงดนตรีและการขับร้องเข้าด้วยกัน

นาฏศิลป์ แสดงถึงความเป็นอารยะของประเทศเป็นแหล่งรวมศิลปะ เปน็ เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชน

ชาติไทย และการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งที่ช่วยโน้มน้าวอารมณ์มีความสามารถกล่อมเกลา

จติ ใจ นาฏศลิ ป์ไทยจงึ เปน็ สงิ่ สำคญั ทค่ี วรค่าแกก่ ารอนุรักษ์ สืบทอด เผยแพรแ่ ละปลกู ฝงั ใหล้ ูกหลานไดร้ ว่ ม

ทำนบุ ำรงุ มองเหน็ คุณค่าในศิลปวฒั นธรรมสบื ตอ่ ไป

11

3) วธิ ีสอนนาฏศิลป์
เรณู โกศินานนท์ (2535: 15-17) กล่าวถึงวิธีการสอนนาฏศิลป์ว่า การสอนนาฏศิลป์

เป็นวิชาทักษะที่ต้องมีการฝึกฝนที่ถูกต้องตามแบบแผน ผู้สอนจะต้องฝึกผู้เรียนให้รู้จักฝึกตนเองและรู้จัก
แก้ไข เมือ่ ฝึกผดิ วธิ ี ผู้สอนจะคอยใหค้ ำแนะนำช้แี นะผเู้ รยี นดงั ตอ่ ไปนี้

(1) สอนจากง่ายไปหายาก การฝึกอวัยวะทุกส่วนให้ครบกระบวนลีลาท่าร ำ
ทีละอย่างเช่น ใช้มือจีบ ตั้งวง ทรงตัว กดไหล่ ยกเท้า ก้าวเท้า ให้ถูกสัดส่วนซึ่งเป็นลีลาเบื้องต้น เลือก
บทเรยี นทงี่ ่ายสอนเสยี กอ่ นเช่น รำสนี วล รำวงมาตรฐาน รำแม่บท ฯลฯ

(2) สอนตามความสามารถของผ้เู รียนแตล่ ะบุคคลคือการสอนตามวัยและการสอนตาม
ความสามารถของสมอง

(3) การสอนโดยใช้วิธีเปลี่ยนแปลงท่ารำที่ยากให้ง่ายต่อการเข้าใจ แต่ควรจะพยายาม
รกั ษาความเปน็ แบบแผนเดิมไว้

(4) การสอนแต่ละท่ารำครูต้องอธิบายให้ละเอียดชัดเจน อธิบายทีละน้อยให้แม่นยำ
จำไดแ้ ลว้ จึงต่อท่ารำให้

(5) ระหว่างรำครูต้องคอยสังเกต ผู้เรียนและคอยเตือนอยู่เสมอให้ผู้เรียนนั้นรำรักษา
ลีลาทว่ งท่าใหเ้ ปน็ ไปตามแบบแผน

(6) ครูต้องคอยสังเกตจับท่ารำให้ผู้เรียนอยู่เสมอ ไม่ใช่รำนำอยู่ข้างหน้าผู้เรียนเพียง
อยา่ งเดยี ว

(7) การใช้ศัพท์นาฏศิลป์ในบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยใช้ศัพท์
ธรรมชาตแิ ทน เพือ่ สะดวกในการจำ สว่ นคำศพั ท์ทีถ่ กู ตอ้ งตามหลกั กริ ยิ าให้ผสู้ อนบอกชแ้ี นะควบคู่กันไป

(8) หัดให้ผู้เรียนร้องเพลงประกอบท่าในการรำด้วย เพื่อประโยชน์ในการฝึกซ้อม
ท่ารำดว้ ยตนเองและเพอื่ เปน็ การผอ่ นแรงผสู้ อนเพราะผสู้ อนต้องคอยอธิบายไปด้วยร้องเพลงไปด้วย

(9) เปรียบเทียบท่ารำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือตรงข้ามกันเพื่อไม่ให้ผู้เรียนจำ
สบั สน เชน่ ม้วนมอื คลายมือ สลดั มือ ฯลฯ

ไพโรจน์ คะเชนทร์ (ม.ป.ป.: ออนไลน์) กล่าวเกี่ยวกับการสอนนาฏศิลป์ เป็นการสอน
ด้านทักษะการรำที่จำเป็นต้องใช้การสอนแบบต่าง ๆ ร่วมด้วยเพื่อประสิทธิภาพในการสอน เพราะการ
แสดงจะสวยงามน่าดูนัน้ ผู้แสดงต้องมีทักษะในการรำอย่างคล่องแคล่ว มีลีลาท่ารำที่อ่อนช้อยงดงามตาม
แบบนาฏศิลป์ไทย โดยการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ แขน ขา มือ ลำตัว ศีรษะและไหล่
ใหเ้ คลื่อนไหวไปพร้อมกันโดยการสงั เกตและเลยี นแบบจากครูผสู้ อนหรือสือ่ การสอนที่กำหนดไวใ้ หด้ ีท่สี ุด

นอกจากนี้ยังมีวิธีสอนนาฏศิลป์ที่หลากหลายและเกี่ยวข้องสอดคล้องเหมาะสม
สามารถนำมาปรบั ใชร้ ว่ มกับการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนนาฏศลิ ป์ได้ดงั นี้

12

(1) การสอนแบบสาธิต สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้อธิบายวิธีการ
สอนแบบสาธติ ว่าเป็นการสอนทีผ่ ู้แสดงหรือกระทำใหด้ ูเป็นตัวอยา่ งพร้อมๆ กับการอธิบายเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้
ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรม ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต ขั้นตอนการสาธิต วิธีสอนแบบน้ี
เหมาะสำหรับการสอนทตี่ ้องการใหผ้ ูเ้ รยี นเห็นขั้นตอนการปฏิบตั ิ กลา่ วคือ ผเู้ รยี นได้สังเกตการณ์สาธติ ของ
ครูแล้วปฏิบัติตาม การสาธิตช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีปฏิบัติได้ดี เพราะเป็นประสบการณ์ตรงสามารถ
มองเห็นจากครอู ย่างชดั เจน

(2) การสอนแบบฝึกปฏิบัติ ทิศนา แขมมณี (2545) ได้อธิบายถึงวิธีสอนโดยการให้
ปฏิบัติกล่าวว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นการพัฒนาทักษะ
ทางภาษา ดนตรี ขับร้อง นาฏศิลป์ และด้านศิลปะ เป็นต้น โดยใช้วิธีการฝึกฝนซ้ำ ๆ จนกระทั้งนักเรียน
เกิดทักษะทต่ี อ้ งการถงึ ข้ันที่กำหนดไว้ การฝึกปฏบิ ัตนิ ้อี าจทำการฝึกในลักษณะเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
พร้อม ๆ กัน แล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งครูจะทำหน้าที่อธิบายและสาธิตทกั ษะทีต่ ้องการฝึกฝนให้นักเรียน
ดูเป็นตัวอย่างแล้วจึงให้นักเรียนทำการฝึก โดยมีครูคอยดูแลการฝึกให้คำแนะนำช่วยแก้ไขจุดบกพร่อง
จนกระท่ังนกั เรียนมีทกั ษะท่ีตอ้ งการพฒั นาถึงระดบั ที่กำหนดไว้ การสอนแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิน้นี กั เรียนจะมีส่วน
รว่ มในกิจกรรมตลอดเวลา เพราะเป็นการกระทำ ซ่ึงนักเรียนทุกคนต้องฝึกปฏิบตั ิและขณะฝึกอาจมีการใช้
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการฝึกปฏิบัติด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้านนาฏศิลป์
โดยใชว้ ิธกี ารฝึกฝนซ้ำ ๆ จนกระทงั ผู้เรียนเกดิ ทักษะการฝึกปฏบิ ัติอาจฝึกเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม โดย
ครูเป็นผู้คอยดูแลชว่ ยเหลือให้คำแนะนำ การสอนแบบฝึกปฏิบัตินกั เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดเวลา
ขณะฝึกอาจใช้สอ่ื อุปกรณต์ า่ ง ๆ ประกอบการฝึกปฏิบตั ิ เชน่ รปู ภาพ แถบบันทกึ เสียง วิดีทัศน์ เป็นตน้

(3) การสอนแบบใหป้ ฏิบตั ิจริง (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2547) ได้อธิบาย
และชี้แจงเกี่ยวกับการสอนแบบให้ปฏิบัติจริงว่า การจัดกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
โดยเน้นการปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์จริง
โดยฝึกปฏบิ ตั ิจรงิ ฝึกคิด ลงมอื ทำแสวงหาความรู้ และแกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง

(4) การสอนแบบบรรยาย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้กล่าวถึงวิธี
สอนแบบบรรยายไว้ดังนี้ การสอนแบบบรรยายเป็นการสอนที่ครูสามารถสอนเนื้อหาความรู้แก่นักเรียน
ไดม้ าก ในคาบเวลาหนึ่ง โดยยึดครเู ป็นศูนย์กลางการเรียน ผูเ้ รยี นเป็นผ้รู ับฟังและจดบันทึกความรู้วิธีสอน
แบบนจ้ี ะไดเ้ น้ือหามากกว่าวธิ ีสอนแบบอืน่ ๆ ครตู ้องเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี ควรใช้ส่ือประกอบการ
อธิบายด้วย สามารถสอนผู้เรียนได้จำนวนมากตั้งแต่ 20 - 200 คน เป็นการสอนที่มีข้อดี คือ สอนได้ง่าย
ใช้อุปกรณ์การสอนน้อย แต่ใช้ความสามารถของผู้สอนเป็นหลัก วิธีสอนแบบนี้ใช้เมื่อครูต้องการเสนอ
ความรู้ให้แก่ผู้เรียน เสนอเนื้อหาของบทเรียน ต้องการขึ้นบทเรียนใหม่ อธิบายท่ารำและผู้เรยี นต้องรับฟงั

13

ขอ้ มูลก่อนการปฏิบัติกจิ กรรม การสรุปสิ่งทเี่ รียน นับไดว้ ่าการสอนแบบบรรยายมีประโยชน์ต่อผู้เรียนและ
เปน็ วธิ กี ารสอนทใ่ี ชก้ นั แพรห่ ลายมากในปจั จุบัน

(5) การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ อัจจิมา เกิดผล (2545: 7-9) การจัดการเรียนการสอน
ตามหลักการทฤษฎแี ละกระบวนการกลุ่มจะช่วยส่งเสรมิ พัฒนาการของผู้เรยี น มีความสัมพันธท์ ีด่ ีระหว่าง
ผู้เรียน ส่งเสริมบรรยากาศแบบประชาธิปไตย ผู้เรียนมีโอกาสพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ โดยวิธีการท่ี
เหมาะสมช่วยให้การเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีความหมายและใกล้เคียงความเป็นจริง การสอนโดยใช้กระบวนการ
กลุ่มสัมพันธ์เป็นการเรียนการสอนที่ยึดกลุ่มเป็นหลัก ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งกลุ่มที่ดี
จะทำให้เกิดกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ที่ดี โดยอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ผู้นำ สมาชิกกลุ่ม
กระบวนการทำงาน เปน็ ต้น หลักการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มสมั พันธ์มีอยหู่ ลายวิธี เช่น เกม บทบาท
สมมุติ กรณีตัวอย่าง สถานการณ์จำลอง ละคร กลมุ่ ย่อย เป็นตน้

4) เทคนคิ วธิ สี อนนาฏศลิ ป์
กรมวิชาการ (2545) กล่าวถึงเทคนิควิธีสอนนาฏศิลป์สำหรับครูผู้สอนที่ควรมีหลักใน

การสอนดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ผู้สอนควรสอนให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกตามความเข้าใจและจินตนาการโดยมีผู้สอน

เปน็ ผ้ชู ีแ้ นะใหค้ ำปรกึ ษาเพ่อื เปน็ การฝึกฝนผู้เรียนใหม้ ีความคิดสรา้ งสรรค์
(2) การสอนนาฏศิลป์นั้นผู้สอนต้องมีอารมณ์รื่นเริงแจ่มใส หน้าตายิ้มแย้มและมีอารมณ์

ร่วมกับผู้เรียนตลอดเวลา ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนไม่ชอบวิชานาฏศิลป์เพราะผู้สอน
เป็นบคุ คลสำคญั ทจ่ี ะทำให้ผู้เรยี นเหน็ คุณคา่ และประโยชนข์ องนาฏศิลป์

(3) การสอนนาฏศิลป์ผ้สู อนตอ้ งคอยระมัดระวังอยา่ ใหม้ ชี อ่ งวา่ งระหวา่ งผู้สอนกบั ผู้เรียน
โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกในทางที่ถูกต้องและควรส่งเสริมก ำลังใจหรือสนับสนุนผู้เรียนให้
กล้าแสดงออก

(4) ผู้สอนไม่ยึดรูปแบบการสอนแบบเดิมที่ผู้สอนจะเป็นผู้จัดการให้ผู้เรียนฝ่ายเดียวแต่
ผู้สอนต้องเป็นคนให้คำชี้แนะ คำปรึกษา ในบางโอกาสเพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์กล้า
แสดงความคิดเห็นในสง่ิ ที่ถูกต้องเพ่ือเปน็ ประโยชน์ต่อตนเองและสังคม

(5) บูรณาการวิชานาฏศิลป์เข้ากับวิชาอื่นๆ ผู้สอนควรนำวิชานาฏศิลป์ไปสัมพันธ์กับ
วชิ าเรยี นอนื่ ๆ เพ่ือนำไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้

(6) ผู้สอนชี้แนะให้ผู้เรียนไปค้นคว้าความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะจากแหล่งต่าง ๆ
ทพ่ี บเหน็ ในชีวติ ประจาวนั หรอื แนะนำให้ไปชมการแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ โดยผูส้ อนต้องมีประสบการณ์
ในการชมการแสดงและนาฏศลิ ป์มาก่อน เพือ่ เป็นขอ้ มูลในการกระต้นุ ให้ผู้เรยี นคิดทบทวนถึงประสบการณ์
ทผี่ ู้เรียนเคยพบเหน็ มาในการชมการแสดงเพ่อื นาไปปรับใช้กบั ตนเอง

14

(7) ปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นถึงความดี ความงาม ความไพเราะ ความมีคุณค่าเกิดความ
ซาบซึ้งด้วยตนเองโดยไม่มีการบังคับการสอนในลักษณะนี้เป็นการน ำเข้าสู่บทเรียนที่เป็นแบบแผน
กระบวนการให้อิสระกับผู้เรียนโดยผู้สอนเป็นผู้คอยควบคุมชี้แนะและให้กำลังใจแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียน
เกดิ ความมัน่ ใจเชือ่ มั่นในตนเองกลา้ แสดงออกกล้าคิดและกลา้ ทำ

สรุปว่าการสอนนาฏศิลป์นั้นครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความสามารถทางนาฏศิลป์
เพื่อเป็นต้นแบบให้ผู้เรียนสังเกตเลียนแบบท่าทางต่าง ๆ ผู้สอนจะต้องดัดแปลงท่าทางให้ง่ายขึ้นให้
เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกตามความเข้าใจและสามารถบูรณาการวิชา
นาฏศิลป์เข้ากับวชิ าอนื่ ๆ

5) การวดั และการประเมินผลในการเรียนการสอนนาฏศิลป์
กรมวชิ าการ (2545) และ(ไพโรจน์ คะเชนทร์, ม.ป.ป.: ออนไลน์) ได้กลา่ วถึง การวัดและ

ประเมินผลในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เป็นการวัดและการประเมินตามสภาพจริง หรือการประเมิน
การปฏิบัติ ล้วนเป็นวิธีการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดหลักสูตรของสถานศึกษา ซึ่งตาม
พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งประเทศไทยพุทธศักราช 2542 กำหนดใหส้ ถานศึกษาจดั การประเมินผู้เรียน
โดยพิจารณาพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและ
การทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับชั้น และให้นำ
ผลการประเมินผู้เรียนมาใช้ทำการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าได้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ อีกท้ัง
จะต้องทำการจัดกิจกรรมการประเมินใหค้ วบคูไ่ ปกับกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยถูกต้องประเมินได้ครอบคลุม
ครบถว้ นพฤตกิ รรมของผเู้ รยี นทั้งสามด้าน และกำหนดสิง่ ตอ้ งประเมินดังน้ี

(1) ด้านพุทธพิสัย การประเมินความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ จะใช้แบบทดสอบ
เป็นการให้ผู้เรียนได้นำความรู้จินตนาการความรู้สึกของผู้เรียนนำเสนอออกมาในรูปของการกระทำหรือ
ส่งผ่านสู่ภาพวาด ผลผลิต การร้องเพลงหรือการเต้นรำ เป็นต้น เนื้อหาสาระของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ศิลปะและสามารถประเมินได้จากผลผลิตหรือการกระทำท่ีผู้เรียนได้แสดงออกและได้ลงมือปฏิบัติจริง
ดังนั้นวิธีการประเมินนอกจากจะใช้แบบทดสอบแล้วการสัมภาษณ์และการประเมินจากผลผลิตที่เห็นจรงิ
เทคนิคของการประเมินที่ใช้อาจจะเป็นการใช้แบบทดสอบการนำเสนอผลงานการเข้าร่วมกิจกรรม
การประเมินตนเองฯลฯ

(2) ด้านทักษะพิสัย การประเมินการปฏิบัติของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เป็นการ
ประเมินที่ครูผู้สอนจะเหน็ ถงึ ความตอ่ เนือ่ งของทักษะกระบวนการวางแผนในการทำงานความคล่องแคลว่
ดังนั้นวิธีการที่จะได้มาด้วยผลของการประเมิน เทคนิคของการประเมินก็คือกระบวนการทำงาน
กระบวนการกลมุ่ การปฏบิ ตั งิ านฝึก การฝึกปฏบิ ตั งิ านจริง

15

(3) ด้านจิตพิสัย เป็นการประเมินการแสดงออกของผู้เรียนทั้งหมดสีหน้าท่าทาง
ความรู้สึกพึงพอใจ บุคลิกท่าทาง การทำงานร่วมกัน เช่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผูเ้ รียน ครูผู้สอน
สามารถประเมินด้วยวิธีการสังเกตได้อย่างเด่นชัด และทำการบันทึกการสังเกตพฤติกรรมครูผู้สอน จะได้
เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจากการที่ผู้เรียนได้แสดงออกเพื่อให้เป็นการประเมินอย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนให้มีการปรับปรุง และมีการนำผลงานไปจัดแสดง เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานของผู้เรียนและ
เพอื่ ให้ผ้เู รยี นเกดิ ความภาคภูมใิ จในผลงานของตนเอง

(4) กำหนดสิ่งที่จะประเมินและเครื่องมือการประเมิน สิ่งที่จะต้องประเมินอาจจะอยู่ใน
รูปของพฤติกรรมการทำงานหรือการปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงาน ทักษะในการทำงานของผู้เรียน
ผลผลติ ที่เป็นชิน้ งาน

(5) กำหนดประเด็นการประเมนิ เปน็ การกำหนดรว่ มกนั ระหว่างผู้เรยี น และครผู ู้สอนจะ
พิจารณาจากสิ่งที่จะประเมินอาจเป็นผลงาน ชิ้นงาน การนำเสนอผลงาน รายงาน แฟ้มผลงาน ตกลง
ร่วมกันว่าจะประเมินอะไรบ้าง และจะประเมินอย่างไร เพราะนักเรียนจะได้ใช้ศักยภาพความสามารถ
รว่ มกับความต้งั ใจทจี่ ะพัฒนาตนเองไดอ้ ย่างเต็มท่ี

(6) กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนและระดับคุณภาพของการประเมิน ในการกำหนด
เกณฑ์การให้คะแนน การเขียนรายละเอียดการให้คะแนน หรอื ใหร้ ะดบั คะแนนที่มีความชัดเจน ดังนั้นการ
เขียนรายละเอียดการให้คะแนนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนระดับคุณภาพของการประเมิน จะเป็นการ
ระบุคุณภาพงานทั้งช้ิน เมื่อรวมแลว้ คุณภาพของกระบวนการทำงาน หรือผลผลิตอยูในระดับใดแลว้ แตจ่ ะ
พจิ ารณารว่ มกัน สว่ นมากจะแบ่งเปน็ 3 ระดับ คือ ระดับดี ระดับพอใช้ และระดับควรปรบั ปรงุ เพือ่ ผเู้ รียน
จะได้ทราบว่าผลงานของตนอยู่ระดับใด ถ้าต้องการให้ผลงานมีระดับที่ดีข้ึนก็สามารถที่จะปรับปรุง แก้ไข้
ผลงานของตนเองได้จนถึงระดับที่พอใจ

สรุปการวัดและการประเมินในการเรียนการสอนน้ี จะทำการประเมินผู้เรียนโดย
พิจารณาพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการ
ทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับชั้น รวมไปถึงการ
กำหนดขั้นตอนกำหนดสิ่งที่จะต้องประเมินในด้านต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ศักยภาพในตนเอง
ความสามารถร่วมกับความตง้ั ใจพฒั นาตนเองได้อยา่ งเต็มท่ีตามเปา้ หมายการประเมนิ ของครผู ูส้ อน

2.1.6 ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เร่ืองการแสดงรำวงมาตรฐาน
ในการเรียนเรื่องรำวงมาตรฐานมีหลายองค์ประกอบให้ผู้เรียนได้ที่ ได้แก่ ประวัติรำวง

มาตรฐานเพลงรำวงมาตรฐาน 10 เพลง ทา่ รำของรำวงมาตรฐานและการแตง่ กายของรำวงมาตรฐาน

16

1) ประวัตริ ำวงมาตรฐาน
ในสมยั ก่อนไมม่ คี ำว่า “มาตรฐาน” จะเรยี กกันเพยี งว่า “รำวง” เทา่ น้ัน การรำวงน้ีเป็น

การละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่งของชาวไทยที่บ่งบอกถึงความสนุกสนาน จะเล่นกันในบางท้องถิ่นและบาง
เทศกาลของแตล่ ะจงั หวดั เท่านนั้ รำวงมาตรฐานมีววิ ัฒนาการมาจากการรำโทน ซึง่ เป็นการละเล่นพื้นเมือง
ของไทย หรอื อาจพูดได้ว่า “รำวง” เรียกอีกช่อื หน่งึ วา่ “รำโทน”

สมัยก่อนเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำโทนก็มี ฉิ่ง ฉาบ และโทน ใช้ตีประกอบ
จังหวะ โดยการฟ้อนรำจะมีเสียงโทนเป็นเสียงหลักดีตามจังหวะหน้าทับ จึงเรียกการฟ้อนรำชนิดนี้ว่า
“รำโทน” ในด้านของบทร้องจะเป็นบทร้องที่มีภาษาเรียบง่าย ไม่พิถีพิถันในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสวรรค
ตอนแตอ่ ย่างใด เน้อื หาของเพลงจะออกมาในลักษณะกระเซ้าเย้าแหย่การหยอกล้อของหนุ่มสาว เชิญชวน
ตลอดจนการชมโฉมความงามของหญิงสาว เปน็ ตน้ ทัง้ นีก้ เ็ พือ่ ความสนุกสนานในการเลน่ ในเร่ืองของการ
แตง่ กายก็เน้นเพยี งความสะดวกสบายของชาวบา้ นเอง ไม่ไดป้ ระณีตแตอ่ ย่างใด

เม่ือประมาณ พ.ศ. 2483 ชาวบา้ นนยิ มเลน่ รำโทนอย่างแพรห่ ลาย ศิลปะชนิดนี้จึงมอี ยู่
ตามท้องถิ่นและพบเห็นได้ตามเทศกาลต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนี้เอง
จึงได้มีผู้คิดแต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้ก็ยังคงจังหวะหน้าทับของโทนไว้
เช่นเดิม บทร้องและทำนองแปลก ๆ ที่มีเกิดขึ้นมาใหม่โดยปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนจี้ งึ เป็นบทเพลงท่ขี าดการบันทึกไว้เป็นหลักฐานไม่ปรากฏว่าใครเปน็ ผแู้ ต่งบทร้องและทำนอง

ในช่วงระหวา่ ง พ.ศ. 2484-2488 เปน็ ชว่ งสงครามโลกครั้งท่ี 2 ทหารญ่ปี นุ่ ไดย้ กพลข้ึน
ที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพื่อเจรจาขอตั้งกองทัพในประเทศไทย
โดยใช้เส้นทางต่าง ๆ ในแผ่นดินไทยลำเลียงเสบียงอาหาร อาวุธและกำลังพล เพื่อใช้ในการต่อสู้กับ
ประเทศสัมพันธมติ ร อังกฤษ อเมรกิ า

ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทย มีจอมพลป. (แปลก) พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ตัดสินใจยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะเกรงว่าหากปฏิเสธคงจะถูก
ปราบปรามแน่ ด้วยเหตุนี้เองประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบจากการรุกรานของฝ่ายพันธมติ รท่ีส่งกองทพั
เข้ามาโจมตีฐานทพั ญป่ี ุน่ ทางอากาศ โดยเฉพาะในยามที่เปน็ คนื เดอื นหงายจะมองเหน็ จดุ ยทุ ธศาสตร์ได้ง่าย
ข้าศึกมักจะเข้ามาโจมตีอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิด ซึ่งสร้างความเสียหายทำลายชีวิตและทรัพย์สิน
บา้ นเรือนเปน็ จำนวนมาก

เมื่อช่วงคืนเดือนหงายผ่านไปคืนเดือนมืดเข้ามา ข้าศึกจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์
ไมช่ ดั เจน ประชาชนชาวไทยไดร้ ับความเดือดร้อน ตา่ งอยใู่ นสถานการณท์ ีห่ วาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงได้หา
วิธีผ่อนคลายความตึงเครียดความหวาดผวา ด้วยการนำศิลปะพื้นบ้านที่ซบเซาไป กลับมาร้องรำทำเพลง
นนั่ ก็คอื “การรำโทน”

17

คำร้อง ทำนอง และการแต่งกาย ก็ยังคงเรียบง่าย สนุกสนานเช่นเดิม เพลงที่นิยม ได้แก่
เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ช่อมาลี ตามองตา ยวนยาเหล่ เป็นต้น ต่อมาจอมพลป. (แปลก) พิบูลสงครามได้
เล็งเห็นศิลปะอันสวยงามของไทยที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย หากชาวต่างชาติมาพบเห็นจะตำหนิได้วา่ ศิลปะ
การฟ้อนรำของไทยนี้มิได้มีความสวยงามประณีตแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีศิลปะที่แสดงออกว่าเป็นชาติที่มี
วัฒนธรรม ท่านจึงได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุงและพัฒนาการ “รำโทน” ข้ึน
ใหม่ ใหม้ รี ะเบียบแบบแผนให้มคี วามประณตี งดงามมากข้ึน ท้งั ทางดา้ นเนื้อรอ้ ง ทำนอง ตลอดจนเร่ืองการ
แต่งกาย

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรได้ประพันธ์บทร้องขึ้นใหม่ 4 เพลง คือ
งามแสงเดือน, ชาวไทย, รำซิมารำ, คืนเดือนหงาย และได้กำหนดวิธีการเล่น ตลอดจนท่ารำและ
การแต่งกายให้มคี วามเรยี บรอ้ ยสวยงามอย่างศิลปะของไทย

วิธีการเล่นนั้นจะเล่นรวมกันเป็นวง และเคลื่อนย้ายเวียนกันไปเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา
และด้วยเหตุนี้เองจึงได้เปลี่ยนชื่อ “รำโทน” เสียใหม่มาเป็น “รำวง” ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด
พิบูลสงคราม ได้ประพันธ์เนือ้ ร้องขึ้นมาใหม่อีก 6 เพลง คือ ดวงจันทร์วันเพ็ญ, ดอกไม้ของชาติ, หญิงไทย
ใจงาม, ดวงจันทร์ขวัญฟ้า, ยอดชายใจหาญ, บูชานักรบ มอบให้กรมศิลปากรบรรจุท่ารำไว้เป็นแบบ
มาตรฐาน

ส่วนทำนองนน้ั รบั ผิดชอบแต่งโดยกรมศลิ ปากรและกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเพลงท่ีมีเน้ือ
ร้องสุภาพ ใช้คำง่าย ทำนองเพลงง่าย มุ่งให้เห็นวัฒนธรรมของชาติเป็นส่วนใหญ่ การแสดงจะใช้ผู้แสดง
หญงิ ชายไม่น้อยกวา่ 5 คู่

ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ชาวไทยก็ยังคงให้ความนิยมการเล่นรำวง
สืบมาจนถึงปจั จุบัน และชาวต่างชาติก็นยิ มเลน่ กันอย่างแพรห่ ลาย ทั้งในงานเต้นรำต่าง ๆ จนกระทั่งมนี ัก
ประพันธ์ผู้หนึ่งเป็นชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Foubion Bowers ที่ได้มาพบเห็นศิลปะการรำวงของไทยและ
นำไปกล่าวไว้ในหนังสือ Theatre in the East ซึ่งมีสำเนียงการเรียก “รำวง” เพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย
เป็น “รำบอง” (Rombong)

แต่อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์ของกรมศิลปากร ในการปรับปรุงศิลปะการรำวงทั้งหมด 10
เพลงนี้เพื่อเป็นศิลปะการร่วงที่มีระเบียบแบบแผน ทั้งคำร้อง ทำนอง ท่ารำ ตลอดจนการแต่งกายให้เป็น
แบบฉบับมาตรฐาน สะดวกในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยและสืบสานต่อไป ด้วยเหตุผลนี้เราจึง
เรียกรำวงทมี่ ีศิลปะเป็นแบบฉบบั มาตรฐานวา่ “รำวงมาตรฐาน” สืบมาจนถงึ ปจั จบุ นั

18

2) รำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทรข์ วัญฟ้า

เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟ้า (ใชท้ ่ารำท่าช้างประสานงาและทา่ จนั ทร์ทรงกลด)

ดวงจันทรข์ วญั ฟ้า ชน่ื ชีวาขวญั พี่

จนั ทรป์ ระจำราตรี แตข่ วัญพีป่ ระจำใจ

ทเี่ ทดิ ทนู คือชาติ เอกราชอธปิ ไตย

ถนอมแนบสนิทใน คือขวัญใจพ่เี อย

3) ท่ารำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทร์ขวัญฟา้

ภาพท่ี 1 ทา่ รำช้างประสานงา

ภาพท่ี 2 ท่ารำจันทร์ทรงกลดแปลง

19

2.2 วดี ิทัศน์เพอื่ การศึกษา
2.2.1 แนวคิดเก่ียวกบั วิทยโุ ทรทศั น์เพ่อื การศึกษา
อนิรทุ ธ์ สติมั่น,วรวฒุ ิ มั่นสขุ ผลและเสาวลกั ษณ์ เรงิ ขากลนั่ (2554: 18) ได้ใหแ้ นวคิดเกี่ยวกับ

วิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษาไว้ว่า วิดีทัศน์ เดิมรู้จักแพร่หลายทั่วไปกับคา เทปโทรทัศน์ แถบบันทึกภาพ
ภาพทัศน์ หรือที่เรามักเรียกทับศัพท์จากภาษาต่างประเทศว่า วีดิโอ (Video) และนิยมใช้กันอย่าง
แพร่หลายมาโดยตลอด ในปีพ.ศ. 2530 คณะกรรมการบัญญัติศัพท์วิทยาศาสตร์แห่งราชบัณฑิตยสถาน
เห็นว่าคาในภาษาต่างประเทศ “Video” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเดียวกับ “Television” ซึ่งมี
ศัพท์บัญญัติว่า “โทรทัศน์” แล้วจึงสมควรบัญญัติคาว่า Video ขึ้นใช้เป็นชื่อทางการในภาษาไทยด้วย
ดว้ ยวิดีทศั น์เปน็ สือ่ ทใ่ี หป้ ระโยชนใ์ นการเรยี นการสอน ทงั้ การศกึ ษาในระบบและการศกึ ษานอกระบบ โดย
ผู้เรียนสามารถรับประสบการณ์ต่าง ๆ ได้จากการมองเห็นและการฟังไปพร้อม ๆ กัน ทั้งยังเป็นสื่อกลาง
ของการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ จึงได้มีผู้ผลิตวิดีทัศน์ออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เน้ือหารายวชิ านั้น ๆ ของผู้เรยี น รวมถงึ ใชใ้ นกจิ กรรมต่าง ๆ ของหนว่ ยงานทง้ั ภาครฐั และเอกชน ทั้งน้ีเพ่ือ
ส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรยี นให้บรรลตุ ามเป้าหมายของการศกึ ษา สำหรับความหมายของ
วดิ ีทัศนไ์ ด้มีผู้ให้คำนยิ ามไวด้ งั น้ี

2.2.2 ความหมายของวดิ ที ศั น์
ประทิน คล้ายนาค (2545: 36) กล่าวว่า “วีดิทัศน์” (Video) ตามความหมายทางเทคนิค

จะหมายถึงการส่งผ่านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ของภาพและเสียง จากกล้องหรือจากเครื่องบันทึกเทป
วิดีทัศน์ที่เราเรียกว่า เครื่อง VTR ไปยังจอโทรทัศน์ หรือมอนิเตอร์ การใช้กล้องอิเล็กทรอนิกส์ ถ่ายภาพ
เคลื่อนไหว พร้อมกับเสียง แล้วส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าไปออกที่จอโทรทัศน์นั้นเองแต่เดิมคำว่า “Video”
เป็นศัพท์เทคนิคอันหมายถึงสัญญาณภาพที่ได้จากกล้องโทรทัศน์ ซึ่งเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็น
สัญญาณไฟฟ้าแล้วนำไปขยายเพื่อให้ได้สัญญาณแรงพอ จากนั้นจึงนำไปผสมกับคลื่นพาห์และส่งออก
อากาศ ปัจจบุ นั วดี ิทัศน์มีความหมายกวา้ งมาก จะรวมไปถงึ เคร่ืองมือและอุปกรณโ์ ทรทัศนท์ ี่ใชก้ ันตามบ้าน
ตามสถาบันและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งยังรวมไปถึงอปุ กรณ์ตามสถานีวิทยุโทรทัศน์อีกด้วย เช่น เทปวีดิทัศน์
(Video Tape) เครื่องบนั ทกึ เทปวีดิทศั น์ กลอ้ งโทรทศั น์ และเครอื่ งตดั ตอ่ เป็นต้น

กิดานันท์ มะลิทอง (2543: 198) กล่าวถึง ราชบัณฑิตยสถานจะเรียกวีดิทัศน์ โดยแบ่งวัสดุ
คือ แถบวีดิทัศน์ และอุกรณ์เครื่องเล่นวีดิทัศน์ แถบวีดิทัศน์ เป็นวัสดุที่สามารถใช้บันทึกภาพและเสียง
พรอ้ มกันไดใ้ นรูปแบบเทป สามารถลบแลว้ บนั ทึกใหมไ่ ด้

ยงยุทธ ขุนแสง (2556: 11) กล่าวว่า วีดิทัศน์เป็นการบันทึกภาพและเสียงที่สามารถ
ย้อนกลบั มาดูได้ใหมห่ ลายคร้ัง ทำใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้และรบั รู้ได้ดีเมื่อไดเ้ ห็นทั้งภาพและได้ยินท้ังเสียง

20

พร้อมกันเหมือนกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริงนั้น ทำให้สื่อวีดิทัศน์เป็นสื่อการเรียนการสอนที่นิยมใช้ในวง
การศึกษา

พิมพ์ปภัสสร วรานุสาสน์ (2553: 43) กล่าวว่า วีดิทัศน์ หมายถึง วัสดุที่ทาให้การบันทึก
หรือเก็บสัญญาณภาพและสัญญาณเสียงไว้ในรูปเส้นแม่เหล็กที่มีความสวยงามเหมือนธรรมชาติ ทำให้ผู้ดู
เกิดการรับรแู้ ละเรียนร้ไู ด้

จากแนวคิดดังกล่าว ความหมายของวีดิทัศน์จะเห็นได้ว่า วีดิทัศน์เป็นสื่อการสอนที่ทำ
การบันทึกหรือเก็บสัญญาณภาพและสัญญาณเสียงนำไปใช้กับเครื่องเล่นหรืออุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยนำเสนอผ่านจอโทรทัศน์หรือเคร่ืองฉาย ทำให้ผู้ดสู ามารถรบั รปู้ ระสบการณ์ต่าง ๆ ได้จากการมองเห็น
และการฟังไปพร้อม ๆ กัน เร่ืองราวในวีดิทัศน์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทันที ดูภาพซ้ำ ภาพช้าเร็วได้
ตามความตอ้ งการ

2.2.3 คณุ ลกั ษณะของสอ่ื โทรทัศนแ์ ละวีดทิ ัศน์
วภิ า อตุ มฉันท์ (2538: 4-5) กลา่ วถึงคุณลกั ษณะของส่อื โทรทัศน์และวีดทิ ัศน์ดังนี้
1) โทรทัศน์และวีดิทัศนย์ ่อมเปน็ สอื่ ทใ่ี ห้ทัง้ ภาพและเสียง
2) การนาเสนอด้วยโสตทัศนูปกรณ์แบบเก่า ล้วนสามารถนามาเสนอได้ด้วยโทรทัศน์และ

วีดิทัศน์ กล่าวคือการนาเสนอด้วยภาพและเสียงได้พัฒนาถึงจุดสูงสุดในรูปแบบของสื่อโทรทัศน์
และวีดิทัศน์

3) โทรทัศน์และวีดทิ ศั นเ์ ปดิ ใช้งา่ ย
4) โทรทศั นแ์ ละวิทยกุ ระจายให้ผู้ชมเกิดความรูส้ ึกใกลช้ ดิ เสมือนหน่ึงเป็นสอ่ื สว่ นตวั
2.2.4 ประเภทและขอบเขตของรายการวีดทิ ศั น์เพอื่ การศึกษา
สุเมธา ปานพริ้ง (2556: 32) อ้างถึงใน วิภา อุตมฉันท์ (2538: 5) กล่าวถึงประเภทของ
รายการ วีดิทัศน์เพื่อการศึกษาดังนี้ วีดิทัศน์นำมาช่วยสอนเสริมเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้
อย่างกว้างขวางทง้ั ประสบการณท์ างตรงและประสบการณ์ทางอ้อม โดยแบ่งออกเปน็ 3 ดา้ น ด้วยกนั ดงั น้ี
1) ประสบการณ์ในมิติแหง่ ความสำเรจ็ (Reality)
2) ประสบการณ์ในมิตแิ หง่ กาลเวลา (Time)
3) ประสบการณ์ในมติ ิของสถานท่ี (Space)
สุเมธา ปานพริ้ง (2556: 32-33) อา้ งถงึ ใน วสันต์ อติศัพท์ (2533: 14-15) กลา่ วถงึ ขอบเขต
ของรายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาดังนี้ รายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
ตามแต่ละลกั ษณะของรายการได้แก่
1) รายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษา (Education Television : ETV) รายการประเภทนี้มุ่ง
สง่ เสริมให้ความรู้ทั่วไปในดา้ นตา่ ง ๆ ให้แกผ่ ชู้ มเพอื่ ศกึ ษาหาความรู้

21

2) รายการวีดิทัศน์เพื่อการสอน (Instructional Television : ITV) รายการประเภทนี้เน้น
ในเรอื่ งของการเรียนการสอนเนอ้ื หาท้งั หมดเป็นหลักและการสอนเสรมิ

3) รายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาทั่วไป (Inormal Education Programme) เป็นรายการ
เพ่อื ให้ความร้แู ก่ประชาชนทั่วไป

2.2.5 รูปแบบรายการวีดิทัศนเ์ พือ่ การศกึ ษา
อนิรุทธ์ สติมั่น,วรวุฒิ มั่นสุขผลและเสาวลักษณ์ เริงขากลั่น (2554: 25 -26) กล่าวถึง

รูปแบบรายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาไว้ว่า วิธีดำเนินการนำเสนอรายการวีดิทัศน์มีหลายรูปแบบแล้วแต่
จุดประสงค์ของการทำรายการ การเลือกรูปแบบรายการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาจะช่วยเสริมรายการให้
น่าสนใจมากขึ้น รูปแบบใดการวีดิทัศน์มีการนำเสนอหลากหลาย ซึ่งการเสนอเนื้อหาสาระและสิ่งที่อยู่ใน
รายการวีดทิ ศั น์จำแนกรูปแบบไดห้ ลายวิธีตามประเภทของรายการวดี ทิ ัศน์ ดังนี้

1) รูปแบบพูดคนเดียว (Monologue) เป็นรายการที่มีผู้ปรากฏตัวพูดคุยกับผู้ชมและ
คนดูเพียงคนเดียว

2) รูปแบบสนทนา (Dialogue) เป็นรายการที่มีคนพูดคุยกันสองคน มีผู้ถามและคู่สนทนา
แสดงความคิดเหน็

3) รูปแบบอภิปราย (Discussion) มีคนป้อนประเด็นคาถามให้ผู้อภิปรายแสดง คนป้อน
ประเด็นคาถามใหผ้ ูอ้ ภิปรายแสดงความคิดของตนเองต่อประเด็นตา่ งๆ

4) รูปแบบสัมภาษณ์ (Interview) เป็นรายการที่มีผู้สัมภาษณ์และผูถ้ ูกสัมภาษณ์ วิทยากร
มาสนทนากนั โดยผ้ดู ำเนนิ การสัมภาษณเ์ ก่ียวกบั เรอื่ งที่ตอ้ งการใหผ้ ู้ถกู สัมภาษณ์เลา่ ให้ฟงั

5) รูปแบบเกมหรือการตอบปัญหา (Quiz Programmed) เป็นรายการที่จัดให้การแข่งขนั
ระหว่างคนหรือกลุม่ รว่ มเล่นเกมหรอื ตอบปญั หา

6) รปู แบบสารคดี (Documentary Programmed) เป็นรายการทน่ี ำเสนอเนอ้ื หาด้วยภาพ
ไม่มกี ารบรรยายประกอบ

7) สารคดีเต็มรูป เป็นการดำเนินเรื่องด้วยภาพรายการกึ่งสารคดีถึงพูดเดียว เป็นผู้ดำเนิน
รายการทำหนา้ ทเ่ี ดนิ เรอ่ื งพดู คุยกับผู้ชมและให้เสียงบรรยายตลอดรายการ

8) รูปแบบละคร (Dramatically style) เป็นการเสนอเรื่องราวต่างๆ ด้วยการจำลอง
สถานการณเ์ ปน็ รอง มผี ู้แสดง การจัดหา การแต่งตัว และแต่งหนา้ ใหส้ มจรงิ ใช้เทคนิคการละครเพ่ือเสนอ
เรือ่ งราวใหใ้ ห้เหมือนจรงิ มากทีส่ ุดในด้านการศกึ ษา

9) รูปแบบสารละคร (Docu – Drama) เป็นรายการที่ผสมผสานรูปแบบสารคดีเข้ากับ
รปู แบบละครหรือการนำละครมาประกอบรายการท่ีเสนอเพ่ือเปน็ การศกึ ษาความรู้และแนวคิด

22

10) รูปแบบสาธติ และการทดลอง (Demonstration) เปน็ รายการทเ่ี สนอวธิ ีการทำการสาธิต
และการทดลองเพ่ือให้ผู้ชมได้แนวทางไปใช้จรงิ

11) รูปแบบเพลงและดนตรี (Song and Music) มี 3 ลักษณะคือ มีดนตรีนำ นักร้องแสดงสด
ให้นักเรียนมาร้องควบคู่ไปกับเสียงดนตรีที่บันทึกและให้ผู้เรียนมาร้องและนักดนตรีมาแสดงแต่ใช้เสียงท่ี
บนั ทึกมาแลว้

12) รูปแบบการถ่ายทอดสด (Live Programmed) เป็นรายการที่ถ่ายทอดสดเหตุการณ์ท่ี
เกิดขึน้ จรงิ

13) รูปแบบนิตยสาร (Magazine Programmed) เป็นรายการที่เสนอหลักหลายประเด็น
หลายรสในรายการเดยี ว

2.2.6 กระบวนการผลติ สื่อวดี ิทศั น์
พิสุทธา อารีราษฎร์และณัฐพงษ์ พระลับรักษา (2551: 3-4) กล่าวถึงกระบวนการผลิตสื่อ

วดี ิทศั น์ไวว้ ่าการผลติ สือ่ วดิ ทิ ศั นใ์ หม้ ีคณุ ภาพนนั้ มีขั้นตอนการทำงานอย่างเปน็ ระบบดังนี้
1) ขัน้ เตรียมการผลิต (Per-Production) เป็นการเตรยี มความพรอ้ มในด้านต่างๆ กอ่ นการ

ผลิตรายการ ได้แก่ บุคลากร เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ งานศิลปกรรม โดยมีการประชุมปรึกษาหารือใน
ทีมงานที่เกีย่ วข้องให้เขา้ ใจขั้นตอนในการปฏบิ ัติงาน ตลอดจนปัญหาตา่ ง ๆ ก่อนการลงมือปฏิบัติงานตาม
ตารางเวลาที่กำหนดไว้

1.1) ด้านบุคลากร ในการผลิตรายการวีดทิ ศั นเ์ ปน็ การทำงานที่เป็นทีมผู้รว่ มงานมาจาก
หลากหลายอาชีพที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขั้น
อยกู่ ับทีมงานทด่ี ี มคี วามเข้าใจกนั พูดภาษาเดยี วกนั รูจ้ ักหน้าทแ่ี ละใหค้ วามสำคญั ซึง่ กันและกัน

1.2) ด้านสถานที่ในการผลติ รายการ แบ่งออกเป็น 2 แห่ง คือภายในห้องผลติ
รายการและภายนอกห้องผลิตรายการ สาหรับการผลิตรายการในห้องผลิตรายการ ( Studio) นั้น
ผผู้ ลติ จะต้องเตรยี มการจองห้องผลิตและตดั ต่อรายการลว่ งหน้า กำหนดวนั เวลาทีช่ ัดเจน กำหนดฉากและ
วัสดุอุปกรณ์ประกอบฉากให้เรียบร้อย ส่วนการเตรียมสถานที่นอกห้องผลิตรายการ ผู้ผลิตจะต้องดูแลใน
เร่อื งของการควบคุมแสงสวา่ ง ควบคุมเสยี งรบกวนโดยจะตอ้ งมีการสำรวจสถานท่ีจริงกอ่ นการถา่ ยทำ เพ่ือ
ทราบขอ้ มลู เบ้ืองต้นและเตรยี มแกป้ ัญหาที่อาจจะเกิดข้ึนไดเ้ พือ่ จะได้ประหยัดเวลาในการถ่ายทำ

1.3) ด้านอุปกรณ์ในการผลิตรายการ โดยผู้กำกับฝ่ายเทคนิคจะเป็นผู้สั่งการเรื่องการ
เตรียมอปุ กรณ์ในการผลิต เชน่ กล้องวีดิทัศน์ ระบบเสียง ระบบแสง เครอื่ งเคร่อื งบันทึกภาพ นอกจากนั้น
ยังจำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์สำรองบางอย่างให้พร้อมด้วย ทั้งนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่าง
ทันท่วงที

23

1.4) ดา้ นผดู้ ำเนนิ รายการ และผ้รู ว่ มรายการ การเตรียมผรู้ ว่ มรายการที่จะปรากฏตัวบน
จอโทรทัศน์เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเริ่มจากการคัดเลือก ติดต่อ ซักซ้อมบทเป็นการล่วงหน้าโดยให้ผู้ดำเนิน
รายการและผูร้ ่วมรายการได้ศกึ ษาและทำความเข้าใจในบทของตนเองทีจ่ ะต้องแสดงเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา
ในการถา่ ยทำ

2) ขั้นการผลิตรายการ (Production) เป็นขั้นตอนที่จะบันทึกวีดิทัศน์ตามแผน
การทำงานซึ่งก่อนที่จะดำเนินการต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ให้ทราบ วัน เวลา ในการบันทึกรายการ
ตรวจวัสดุอุปกรณ์ให้เรียบร้อยพร้องใช้งาน มีการซักซ้อมผู้แสดง ควรมีการซักซ้อมกล้องก่อนการถ่ายท ำ
จริงในขณะบันทึกวีดิทัศน์จะต้องคอยตรวจสอบด้านเทคนคิ ถ้ามีพบข้อบกพร่องต้องดำเนินการแก้ไขและ
บนั ทึกใหม่ทนั ที เม่ือทำการบันทึกรายการเสร็จแล้วควรตรวจสอบ ความถกู ต้องอีกครัง้ เพ่ือหาจุดบกพร่อง
ทอ่ี าจจะเกดิ ข้ึนได้

3) ขั้นหลังการผลิต (Post- Production) เป็นขั้นตอนหลังจากการที่ได้ทำการบันทึก
รายการวีดิทัศน์แล้วจะต้องนำภาพแต่ละช็อต (Shot) แต่ละซีน (Scenc) มาจัดลำดับให้ต่อเนื่องตาม
บทวีดิทัศนท์ ี่กำหนดไว้ โดยมีข้นั ตอนดังน้ี

3.1) การลำดับภาพหรือการตัดต่อ (Editing) เป็นการนำภาพมาตัดต่อให้เป็นเรื่องราว
ตามบทวดี ทิ ศั น์ โดยใช้เครอ่ื งตัดตอ่ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดต่อน้มี ี 2 ลกั ษณะคือ

(1) Linear Editing เป็นการตัดต่อระหว่างเครื่องเล่น/บันทึกวีดิทัศน์ 2 เครื่องโดย
ให้เครื่องหนึ่งเป็นเครื่องต้นฉบับ (Master) และอีกเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องบันทึก (Record) ในปัจจุบันไม่
นิยมใช้แล้วเน่ืองจากการตัดต่อลักษณะนีต้ ้องใช้ผทู้ ่มี คี วามชำนาญเฉพาะดา้ นและใชเ้ วลานานมาก

(2) Non-Linear Editing เป็นการตัดต่อโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะ
ซ่ึงเป็นการตัดตอ่ ที่รวดเร็วและมีขอ้ ผดิ พลาดน้อยทส่ี ุด

3.2) การบันทึกเสียง (Sound Recording) จะกระทำหลังจากได้ดำเนินการตัดต่อภาพ
ตามบทวีดิทัศน์เปน็ ทีเ่ รียบรอ้ ยแลว้ จึงทาการบนั ทกึ เสียงดนตรี เสียงบรรยาย และเสยี งประกอบลงไป

3.3) การฉายเพ่ือตรวจสอบ (Preview) หลงั จากการตดั ตอ่ ภาพและบันทึกเสยี งเรียบร้อย
แลว้ จะต้องนามาฉายเพือ่ ตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรทจี่ ะต้องปรับปรงุ แก้ไขหรือไม่

3.4) การประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินรายการหลังการผลิต ซึ่งมี
2 ลักษณะคอื

(1) ประเมินผลกระบวนการผลิตโดยจะเป็นการประเมินด้านความถูกต้องของ
เนื้อหาคุณภาพและเทคนิคการนำเสนอ ความสมบูรณ์ของเทคนิคการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา
ผ้เู ขยี นบท ผูก้ ำกบั รายการ ทีมงานการผลิต

24

(2) การประเมินผลการผลิตซ่ึงจะเป็นการประเมินโดยกลุ่มเปา้ หมายเป็นหลักโดย
จะประเมนิ ในด้านของความน่าสนใจ ความเข้าใจในเนือ้ หา และสาระท่นี ำเสนอ

2.2.7 การสร้างบทเรยี นวดี ิทัศน์
ณัฐวุฒิ ปล่ำปลิว (2556: 18-19) อ้างถึงใน วสันต์ อติศัพท์ (2533: 120-121) ได้กล่าว

เกี่ยวกับการเขียนบทเรียนวีดิทัศน์ที่ดีถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งท่ี ทำให้บทเรียนวีดิทัศน์ที่สร้างขึ้นมามี
คุณภาพ การนำเอาความคิดสรา้ งสรรคม์ าทำให้เป็นรูปธรรมเพื่อแสดงวา่ เหตุการณ์ในรายการจะดำเนินไป
อย่างไรโดยแสดงให้เห็นถึงลักษณะภาพที่ปรากฏคาบรรยายหรือบทสนทนาซึ่งผู้เขียนบทจะต้อง
จนิ ตนาการออกมาวา่ จะนำเสนออยา่ งไรดังน้ี

1) การเขียนเคา้ โครงบท (Treatment) ซงึ่ เปน็ บทหรือเค้าโครงย่อๆ วา่ เหตุการณ์ในรายการ
จะดำเนนิ ไปอย่างไร รายการจะนา่ ดหู รือไม่ สว่ นหน่งึ ขนึ้ อยูก่ บั การวางเคา้ โครงเรื่อง

2) การออกแบบเวที (Floor Plan) ผู้เขียนบทบางคนอาจข้ามตอนนี้แต่หากว่าผู้เขียนบท
และผู้กำกับรายการเป็นคน ๆ เดียวกัน ก็ควรจะมีการออกแบบเวทีไว้ก่อนเพื่อว่าจะได้สะดวกในการ
จินตนาการออกมาเปน็ ภาพ อีกทั้งจะช่วยให้ระบุลำดับภาพ (Shot) มุมกล้องได้เลยทีเดยี วในบท อีกทั้งยงั
ทำให้เราคิดออกว่าจะให้ตัวผู้แสดงเคลื่อนไหวไปทางไหนอย่างใดได้ด้วย ผู้เขียนบทที่ดีควรจะจัดทำ
สงิ่ นด้ี ้วย

3) การเขียนลำดับเรื่อง (Story Board) ในขั้นนี้สาหรับผู้เขียนบทที่มีความละเอียดอาจจะ
วาดภาพคร่าว ๆ ของแต่ละภาพว่าจะเป็นอย่างไร ช่วยให้ตนเองและคนอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าใจสิ่งท่ีผู้เขียน
บทตอ้ งการได้ดีขึ้น

4) การเขียนบท (Script Writing) เป็นการนำเอาเค้าโครงบทที่วางไว้มาขยายให้เป็นบท
โดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ลำดับภาพ กล้องและลักษณะภาพ คำบรรยาย/บทสนทนา ตลอดจนเสียงประกอบ
อื่น ๆ ในบางกรณีผู้เขียนบทอาจจะยังไม่ระบุลักษณะภาพและกล้องที่ใช้เอาไว้ โดยจะมาระบุในตอนซ้อม
กับกล้องโทรทัศน์จริง ๆ และเลือกลักษณะภาพตอนนั้นเลย แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการออกแบบเวทีไว้
ก่อนขั้นนี้ ควรจะระบุลักษณะภาพและกล้องไปเลยเพราะสะดวกในการซ้อม ทำให้การดำเนินงานเป็นไป
อยา่ งรวดเร็ว การแก้ไขอาจมีเพยี งเล็กน้อย

5) เขียนร่างบท (Draft Script) เป็นการเขยี นรา่ งออกมาตามประเภทของบท
6) การเขียนเอกสารประกอบบท (Paperwork) เช่น รายชื่อผู้ปฏิบัติงานสิ่งที่ต้องการทาง
เทคนคิ เชน่ แสง เสียง ฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก ซ่งึ จะมีความสำคัญตอ่ การปฏิบตั งิ าน

25

7) ทดสอบต้นร่างและปรับปรุงบท (Tryout and Revision) นาบทมาอ่านออกเสียงเพื่อดู
ลลี าและช่วงเวลาอาจให้ผู้ร่วมงานอ่านและวิพากษ์ วจิ ารณ์ แล้วนำข้อคิดมาปรับปรุงให้ดีขึ้น จากนั้นจึงนำ
บทโทรทศั น์ไปใหค้ ณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบและปรับปรงุ แก้ไข

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการสร้างบทเรียนวีดิทัศน์สิ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้คือการเขียน
บทวีดิทัศน์เพอ่ื ใหก้ ารถ่ายทำวีดทิ ัศนน์ ั้นเปน็ ไปอย่างต่อเน่ืองและมีประสิทธิภาพ ผู้เขียนบทจงึ ต้องมีความรู้
ความเข้าใจถึงขั้นตอนการเขียนบทเรียนวีดิทัศน์ที่ดี เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ในการถ่ายทำและสร้าง
บทเรียนวดี ทิ ศั นไ์ ด้ตามเป้าหมายที่กำหนด

2.3 การสอนการฝกึ ทักษะ
2.3.1 ความหมายทกั ษะ
ราชบัณฑิตยสถาน (2538: 392) ทักษะ (skill) หมายถึงความชานาญ จากความหมายนี้

ทกั ษะจงึ มีความจา เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งฝึกฝนอยเู่ ปน็ ประจำจงึ เกิดความชานาญในการเรยี น
สุชัณษา รักยนิ ดี (2555: 38) อา้ งถงึ ใน วาสนา ประวาลพฤกษ์ (2537: 5) ทักษะ คือความ

ชำนาญเชี่ยวชาญวิชาทักษะหรือเนื้อหาที่เป็นทักษะ หมายถึงวิชาที่จะต้องสอนให้เกิดความชำนาญ
สามารถนำไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ผิดพลาด วิชาเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องมือเครื่องใช้ที่
จะต้องฝกึ ฝนใหเ้ กดิ ความชานาญ จึงจะสามารถใช้เคร่อื งมือเหลา่ นไ้ี ด้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ความชำนาญจะ
เกิดขึ้นได้ต้องฝึกปฏบิ ัติบ่อย และทำมาก ๆ จะเกิดความชำนาญ เกิดทักษะขึ้น ทำนองเดียวกันวิชาทักษะ
หรือเนื้อหาที่มีจุดประสงค์จะให้เกิดทักษะก็ต้องใช้วิธีสอนโดยฝึกให้ผู้เรียนทำมาก ๆ บ่อยๆ จนเกิดความ
ชำนาญขึน้

ชลิต ลิ้มพระคุณ (2555: 45) กล่าวถึงทักษะว่าเป็นความสามารถของบุคคลในการดำเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดความชำนาญมีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว ถูกต้องและปลอดภัย ทักษะของบุคคลจะ
เกดิ ขน้ึ ได้ต้องใชก้ ารฝึกปฏบิ ัติบ่อย ๆ และทำต่อเนือ่ งสม่ำเสมอจนเกดิ ความเคยชนิ

สรุปได้ว่าทักษะ เป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคลให้เกิดความชำนาญในการปฏิบัติ
กิจกรรมใด ๆ ได้อยา่ งคลอ่ งแคล่ว ว่องไว ไม่ผิดพลาด ซง่ึ จะตอ้ งใช้การปฏบิ ัตทิ ี่ต่อเน่ืองกันทกั ษะของบุคคล
จะเกิดข้นึ ได้ต้องฝึกฝนมีการทาซ้ำอยู่เปน็ ประจำและทำอย่างต่อเนื่องผูส้ อนต้องใช้วิธสี อนโดยฝึกให้ผู้เรียน
ทำมาก ๆ บอ่ ย ๆ จนเกดิ ความชำนาญในที่สดุ

2.3.2 กระบวนการเกิดทกั ษะ
มาลินี จุฑะรพ (2537: 128) กลา่ วถงึ กระบวนการเกิดทกั ษะดังนี้
1) ขั้นความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive phase) ทักษะในขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนทักษะทำ

ความเข้าใจ หรือเรียนรู้ธรรมชาติของทักษะ ปกติทักษะขึ้นนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ความเร็ว
ความเข้าใจนั้น อาจเกิดจากความสังเกต จากการสอนหรือการอธิบายจากคนอื่นการเรียนทักษะในขั้นน้ี

26

ผู้เรียนจะต้องสนใจเปน็ พิเศษแต่จะมีความผดิ พลาดได้ อาจจะทำไดช้ า้ ถา้ การประสานสมั พนั ธท์ างไกลไม่ดี
หรอื ถูกรบกวนจากสงิ่ แวดล้อม

2) ขั้นตอนการจัดระเบียบกลไกลกล้ามเนื้อ (Oranizing Phase) เป็นขั้นตอนที่มีทักษะ
ระดับกลางในขั้นนี้อวัยวะที่รับสัมผัสอวัยวะแสดงผลออกและการตรวจสอบความถูกต้องจาก การกระทำ
นั้น จะมีการประสานกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งสามารถประกอบกจิ กรรมได้ดจี นเกอื บจะเป็นอัตโนมตั ิ เป็น
ขั้นที่ใช้กลไกกล้ามเนื้อมากกว่าการใช้ความรู้ความเข้าใจ การเกิดทักษะในขั้นนี้จะทำได้ดี แม้จะมีความ
ตง้ั ใจนอ้ ย สามารถตรวจสอยความถูกตอ้ ง หรือรผู้ ลในส่ิงที่ทำรวดเร็ว และการตอบสนองคงทสี่ ม่ำเสมอ

3) ขั้นที่มีทักษะอยา่ งสมบูรณ์ (Perfecting Phase) ขั้นนี้ต้องใช้การเรยี นรูน้ าน ซึ่งจะต้อง
มาจากการเรียนรู้ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มากก่อนเป็นทักษะ ระดับที่สามารถปฏิบัติได้รวดเร็วถูกต้องเป็นไป
อัตโนมัติโอกาสผิดพลาดนอ้ ยมาก

2.3.3 ประเภทของทักษะปฏบิ ัติ
จิณพัทธ์ ประเสรฐิ ยง่ิ (2548: 9-10) กลา่ วถงึ ประเภทของทักษะปฏบิ ัติไว้วา่ นักจติ วิทยาได้

แบ่งทกั ษะเป็นประเภทตา่ งๆ แบง่ ประเภทของทกั ษะตามองค์ประกอบทางกลไกลกลา้ มเนือ้ ดงั นี้
1) ทกั ษะทใี่ ชก้ ลไกลกลา้ มเน้ือมาก แตใ่ ช้การรับร้นู ้อย เช่น การเดิน วิ่งว่ายน้า ฯลฯ
2) ทักษะท่ีต้องการใช้การรับรู้และกลไกลทางกล้ามเนื้อมากทั้งคู่ กิจกรรมประเภทน้ี

จะต้องอาศยั การรับรู้ทางตา หูเพือ่ จะเปน็ แนวนาไปสู่การตอบสนองทางกล้ามเน้ือมากทั้งคู่ เช่น การแสดง
การเลน่ ดนตรี การพิมพ์ดดี ฯลฯ

3) ทักษะที่ต้องอาศัยการรับรู้มากแต่ใช้กลไกลกล้ามเนื้อน้อย เช่น การอ่านหนังสือ ฯลฯ
การเรยี นรู้ด้านวชิ าชีพหลายสาขา เช่น การเขยี นแบบ การซ่อมสร้างอปุ กรณ์ต่างๆ ตลอดจนการเล่นดนตรี
การขับร้อง ล้วนต้องอาศัยความสามารถทางทักษะและการฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญ การศึกษาถึง
ปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนทางทักษะ จึงเป็นลeดับขั้นของการเรียนรู้จากการสังเกตเด็กเล็กที่เพิ่งเลิกเรียน
เราจะเหน็ ได้วา่ เดก็ หดั นับเลขไดก้ อ่ นจะบวกเลขแล้วจึงเรยี นคูณและหารได้

2.3.4 การสอนทกั ษะปฏิบัติ
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2534: 88-89) กล่าวถึงการสอนทักษะปฏบิ ัติดังนี้
1) วเิ คราะหท์ กั ษะพจิ ารณารายละเอียดของทักษะนน้ั ๆ
2) ตรวจสอบทักษะความสามารถเบื้องต้นของผู้เรียนว่าเกี่ยวกับอะไรและให้ทดลองการ

ปฏบิ ัตเิ บื้องตน้ ตา่ ง ๆ ตามลาดับขั้นตอนกอ่ น-หลัง
3) จัดการฝึกหน่วยย่อยและฝึกหนักเพื่อเติมเต็มทักษะหน่วยที่ขาดไปและฝึกในสิ่งท่ี เขา

พอจะเป็นอยู่แล้วใหเ้ กดิ ความชำนาญอยา่ งเต็มท่ี ละควรใหค้ วามสนใจในสงิ่ ที่เขายังไม่ชำนาญ

27

4) ขั้นอธิบายและสาธิตทักษะให้ผู้เรียน เป็นการแสดงทักษะทั้งหมดโดยการอธิบายการ
แสดงให้เห็นตัวอย่างหรือผู้ให้เรียนชมภาพยนตร์หรือจัดหาผู้เชี่ยวชาญแสดงให้ดู ในขั้นต้นไม่จาเป็นต้อง
อธบิ ายมาก ให้ผู้เรียนดตู ัวอยา่ งและสังเกตเอง

5) ข้ันจัดภาวะเพอ่ื การเรยี น
6) จดั ลำดับขัน้ ส่ิงเร้าและการตอบสนองใหผ้ ู้เรียนได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามลำดับก่อนหลัง
สิ่งใดท่ีเก่ยี วเนื่องกันตอ้ งจัดให้ตดิ ต่อกนั
7) การปฏิบัติ ต้องจากัดเวลาของการปฏิบัติให้ดี จะใช้ปฏิบัติแบบแข่งขันหรือฝึกแบบ
รวดเรว็ ขึน้ อยกู่ ับแตล่ ะขัน้ ตอนต่าง ๆ ของการเรียนทกั ษะ แตส่ ำหรับในขั้นตอนสุดท้ายอาจใช้ระยะเวลาใน
การฝึกฝนนานได้
8) การให้ทราบผลของการปฏิบัติ การทราบผลนี้มี 2 อย่างคือ ทราบจากาการบอกเล่า
ของครูผู้สอนและทราบผลด้วยตนเอง ในขั้นแรก ๆ ควรบอกให้ทราบว่าเขามีข้อบกพร่องอย่างไร แบบนี้
เป็นการสร้างผลจากภายนอกเป็นการบอกให้ทราบว่า เขามีข้อบกพร่องอย่างไร และจะต้องแก้ไขอย่างไร
พอผู้เรียนก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 คือ มีความชำนาญมากขึ้นเขาจะสังเกตตัวเองเป็นการทราบ
ผลจากตวั เองโดยพจิ ารณาจากผลของการเคลื่อนไหวของตนเอง
2.3.5 รปู แบบการสอนการฝึกทกั ษะ
ชาญชัย อินทรประวัติและพวงเพ็ญ อินทรประวัติ (2534: 125-129) กล่าวถึงรูปแบบการ
สอนการฝึกทักษะไว้ว่า การสอนด้านทักษะพิสัยนับว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านพุทธิพิสัย
เพราะว่าเป็นการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถทาเป็น นอกจากสามารถคิดเป็นอันเป็นผลมาจากการสอน
ทางด้านพทุ ธิพสิ ัยซึ่งจะทำให้เป็นปัจเจกบุคคลที่มีความสมบูรณม์ าก ย่งิ ข้ึนเนือ่ งจากในกระบวนการพัฒนา
มนุษย์โดยใช้การศึกษานั้นเรามีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้มนุษย์สามารถคิดเป็นและทำเป็นการสอนการฝึก
ทักษะตามรูปแบบการสอนนี้เป็นการสอนที่แบ่งเนื้อหาที่จะเรียนออกเป็นส่วน ๆ โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่าย ๆ
ไม่สลับซับซ้อนก่อน ส่วนในการดำเนินการสอนนั้น บทเรียนแรกเป็นทฤษฎี ต่อไปก็เป็นการสาธิต
การลงมือปฏิบัติการก็เปน็ การให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติและรับข้อมูลย้อนกลับ การฝึกนี้จะฝึกไปทีละทักษะเมื่อ
ทำแต่ละทักษะได้คล่องแคล่วดีแล้วก็จะเริ่มทักษะใหม่ต่อไป โดยใช้ทักษะเดิมที่เรียนมาเป็นพื้นฐาน
สรุปขนั้ ตอนในการฝกึ ทกั ษะในลักษณะดังกล่าวข้างต้นน้ีมดี ังน้ี
1) การวิเคราะห์งาน (Task analysis)
2) การสงั เกต (Observation)
3) การฝกึ ปฏบิ ัติ (Practice)
4) การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั (Feedback)

28

2.3.6 ทักษะทางดา้ นการรำนาฏศิลป์
อมรา กล่ำเจริญ (2535: 145) กล่าวถึงทักษะทางด้านการรานาฏศิลป์ครูผู้สอนจะต้อง

จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถฝึกปฏิบตั ิเพื่อให้เกิดทักษะทางด้านการรำนาฏศิลป์ตามที่มุ่งหวงั ไว้ ซึ่งการ
ฝกึ ทักษะพืน้ ฐานทางด้านนาฏศลิ ป์ สามารถแบง่ ได้ 6 ดา้ นด้วยกันดงั น้ี

1) ดา้ นทักษะการใชศ้ รี ษะ
2) ดา้ นทกั ษะการใช้มอื
3) ดา้ นทกั ษะการใช้เท้า
4) ดา้ นทักษะการใช้มอื แบ
5) ดา้ นทักษะการใช้มือจีบ
6) ดา้ นทักษะการใช้มอื ชี้
2.4. งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง
2.4.1 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้องในประเทศ
งานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องกับการใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบกจิ กรรมการเรียนการสอน ซึ่งผลที่ได้จาก
การเรยี นดว้ ยบทเรียนวดี ทิ ศั น์มดี งั นี้
สมเกียรติ วรรณเฉลิม (2542: 39) ทาการวิจัยเรื่อง ผลการใช้รายการวีดิทัศน์เพื่อ
ฝกึ ทักษะนาฏศลิ ป์โขนเบ้ืองต้น สำหรับนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวจิ ัยและการวิเคราะห์ข้อมูล
พบว่า ประสิทธิภาพของรายการวีดิทัศน์การสอนมีค่า 91/96 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 90/90
นักเรียนที่เรียนด้วยรายการวีดิทัศน์ เรื่อง นาฏศิลป์โขนเบื้องต้นมีทักษะการปฏิบัตินาฏศิลป์โขนสูงกว่า
นกั เรยี นกลุม่ ควบคุม อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 แสดงวา่ การเรยี นดว้ ยรายการวีดิทศั น์ ส่งผลให้
นักเรยี นสามารถเรยี นรไู้ ดด้ กี ว่าการสอนตามปกติทค่ี รูเปน็ ผูส้ อน
ณครินทร์ รอดพุฒ (2550: บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์เพื่อ
การเรียนการสอน : กรณีศึกษาเทมเป้ อาหารจากถั่วเหลือง คุณค่า และวิธีการผลิต ผลการวิจัยพบว่า
วีดิทศั น์ สามารถทำใหผ้ ู้ชมเกดิ การเรียนรู้ สามารถผลิตเทมเป้ได้ดว้ ยตนเอง ทำให้ผชู้ มเกดิ ความสนใจและ
ให้ความรู้เกี่ยวกับเทมเป้อาหารจากถั่วเหลือง คุณค่า และวิธีการผลิต ทำให้สามารถสรุปได้ว่าวีดิทัศน์ท่ี
ผลิตขึ้นเป็นไปตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ในขั้นตอนแรก วีดิทัศน์เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูง
ในการสื่อสารสามารถใช้ประกอบการเรียนได้ สามารถรวมความสนใจได้ดีและมีเทคนิคต่าง ๆ ในการ
ถ่ายทำเพื่อลดระยะเวลาในการเรียนรู้ลง การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นที่น่าพอใจและสามารถเป็นแนวทางใน
การผลติ วีดิทศั น์ในรปู แบบอ่นื หรอื สอ่ื การสอนเทมเป้ในแนวทางอ่ืนต่อไปในอนาคต
มัลลิการ์ วงศ์ศิรินวรัตน์ (2550: 71) ทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์
เรื่องภาษานาฏศิลป์ สาหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี

29

ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจในวดี ิทัศน์ เร่อื ง ภาษานาฏศิลป์ อย่ใู นระดบั มาก (4.01) ทกุ ดา้ น
โดยความพึงพอใจมากเป็นอันดับแรกคือ ตัวอักษรอ่านง่าย ชัดเจน การผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการสอนเป็น
สิ่งที่มีประโยชน์ อันดับรองลงมา คือ เสียงบรรยายเสียงประกอบมีความเหมาะสมหลังจากชมวีดิทัศน์
นักเรียนได้รับความรู้ เรื่อง ภาษาท่านาฏศิลป์ ภาพน่าสนใจ ชัดเจน และสามารถปฏิบัติตามได้ เนื้อหา
ความรู้ของสื่อวีดิทัศน์มีความน่าศึกษา ควรมีการนำสื่อวีดิทัศนก์ ลับมาใช้ในการสอนอีก ส่วนแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ
ทรี่ ะดบั .01

คุณากร อิ่มเนย,จันทร์รอน ช่างน้อยและมนัสพร ปวนเอ้ย (2551: บทคัดย่อ) ทำการวิจัย
เรื่องการสร้างบทเรียนวีดิทัศน์ : ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องการเป่าแคน สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า การสร้างบทเรียนวีดิทัศน์ : ภูมิปัญญาท้องถ่ิน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องการเป่าแคน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับดี ( = 4.30) ส่วนผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนวีดิทัศน์
ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องการเป่าแคน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
มีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ 81.33 /82.93 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 80/80 เมื่อเปรียบเทียบ
ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนบทเรียน
วีดิทัศน์ : ภมู ิปญั ญาท้องถิน่ กลุ่มสาระการเรียนรูศ้ ิลปะ เร่ืองการเปา่ แคน สำหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษา
ปีท่ี 6 พบวา่ มีความพอใจอยใู่ นระดับมาก ( = 4.22)

วิยะดา ลาสอน (2552: 93-94) ทำการวจิ ยั เร่ือง การพฒั นาผลการเรยี นรู้ เรือ่ ง ภาษาทา่ และ
นาฏยศัพท์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภาษาท่าและนาฏยศัพท์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
สาระนาฏศิลป์ โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.98 /84.67 ซึ่งเป็นไป
ตามเกณฑ์ท่กี าหนดไว้ 80/80 2) ส่อื วดี ิทัศนป์ ระกอบแผนการจดั การเรียนรู้ เร่อื ง ภาษาทา่ และนาฏยศัพท์
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ศิลปะ สาระนาฏศลิ ป์ โดยใช้สื่อวีดิทศั น์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากับ
89.56/86.67 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
สาระนาฏศลิ ป์ มีความสารถในการปฏบิ ัติภาษาท่าและนาฏยศัพท์ โดยภาพรวมอยูใ่ นระดบั คุณภาพดมี าก

30

บทท่ี 3
วิธีดำเนนิ การวจิ ยั

ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า โดยใช้
สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ผู้วิจัยได้
ดำเนินการวิจัยโดยศึกษาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และสร้างสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เพื่อให้เป็น
สื่อการสอน ในการจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้การวิจัยบรรลุ
วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ทีก่ ำหนดไว้ ผ้วู จิ ัยได้ดำเนนิ การวิจยั โดยมีรายละเอียดดงั ต่อไปนี้

3.1 ประชากรเป้าหมาย
3.2 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั
3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
3.4 วธิ ีการดำเนนิ การวจิ ัย

3.1 ประชากรเปา้ หมาย
3.1.1 ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนโรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ที่กำลังศึกษาใน

ระดบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6/4 จำนวน 30 คน

3.2 เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั
3.2.1 สื่อวดี ิทศั น์ออนไลน์ เรื่อง การพฒั นาทักษะการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า
3.2.2 แบบประเมินคณุ ภาพส่ือวีดทิ ัศน์ เรอื่ ง การปฏิบตั ิรำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า
3.2.3 แบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้าระหว่างเรียนและ

หลงั เรียน

3.3 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การวิจัยครั้งนี้ได้ดำเนินการทดลองโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติ

รำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 ซึ่งใช้เวลาในการทดลอง
3 สปั ดาห์ สัปดาหล์ ะ 1 คาบเรียนละ 50 นาที โดยมีขั้นตอนการดาเนนิ งาน 3 ข้ันตอนดังนี้

3.3.1 ข้ันการทดลอง
1) ชี้แจงรายละเอียดวัตถุประสงค์ในการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนา

ทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4
ให้กลุ่มเปา้ หมายทำความเข้าใจและกำหนดข้อตกลง

31

2) ดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนร้ทู งั้ หมด 3 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 1 คาบเรยี น แบง่ เป็น
เรยี นดว้ ยสือ่ วีดิทศั น์ 20 นาที และฝึกปฏิบัติ 30 นาที ดงั นี้

(1) สัปดาห์ที่ 1 สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ การปฏิบัติส่วนมือและเท้า ยังไม่ปฏิบัติเข้าทำนอง
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า และประเมินทักษะการปฏิบัติสว่ นมอื และเท้า เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ในระหว่าง
เรยี น (E1/1)

(2) สปั ดาห์ท่ี 2 สือ่ วีดทิ ัศนอ์ อนไลน์ การปฏบิ ัตสิ ว่ นมอื และเทา้ ปฏบิ ตั ิเข้าทำนองเพลง
และประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ตั ิส่วนมอื และเท้า เพลงดวงจนั ทรข์ วญั ฟ้า ในระหว่างเรียน (E1/2)

(3) สปั ดาหท์ ี่ 3 สอื่ วีดทิ ศั นอ์ อนไลน์ การฝึกปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟา้
เพลง และประเมินทกั ษะการปฏบิ ตั ิรำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า หลังเรยี น (E2)

ตารางที่ 3 แสดงขั้นตอนดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง

ดวงจันทร์ขวัญฟา้

สัปดาห์ หน่วยการเรยี นรู้ คาบเรียน เวลา

1 - ชี้แจงรายละเอียดวัตถุประสงค์ในการเรียน 1 10 นาที

ด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนา

ทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์

ขวญั ฟ้า ทำความเข้าใจและกำหนดข้อตกลง

- การปฏิบัติส่วนมือและเท้า ยังไม่ปฏิบัติเข้า 1 40 นาที
ทำนองเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า และประเมิน
ทักษะการปฏิบัติส่วนมือและเท้า เพลงดวง
จันทร์ขวัญฟา้ ในระหว่างเรียน (E1/1)

2 การปฏิบัติส่วนมือและเท้า ปฏิบัติเข้าทำนอง 2 50 นาที
เพลง และประเมินทักษะการปฏบิ ัตสิ ว่ นมือและ
เท้า เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ในระหว่างเรียน
(E1/2)

32

สัปดาห์ หนว่ ยการเรยี นรู้ คาบเรยี น เวลา
3 50 นาที
3 การฝึกปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์

ขวัญฟ้า และประเมินทักษะการปฏิบัติรำวง

มาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า หลังเรียน

(E2)

3.3.2 ข้นั หลงั การทดลอง
เก็บรวบรวมข้อมูลที่ไดไ้ ปวเิ คราะหข์ ้อมลู ทางสถิตติ อ่ ไป

3.4 วธิ ีการดำเนินการวจิ ัย
3.4.1 ผู้วิจัยตดิ ต่อประสานงานกับกลุ่มประชากรเป้าหมายให้ใช้เครือ่ งมือท่ีสร้างขึ้นมาโดยเริ่มจากการ

ทำแบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้าระหว่างเรียน 2 ครั้ง จากนั้นเก็บ
รวบรวมข้อมลู

3.4.2. ผู้วิจัยใหก้ ลุม่ ประชากรเป้าหมายศึกษาสื่อวดี ิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติ
รำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า

3.4.3 ผู้วิจัยให้กลุ่มประชากรเป้าหมายทำแบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง
ดวงจนั ทรข์ วญั ฟ้าหลังเรยี น จากน้ันเก็บรวบรวมขอ้ มูล

3.5 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ค่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินผลการทดลองของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนา

ทกั ษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟา้ โดยใช้โปรแกรมทางคอมพิวเตอรม์ วี ิธีการทางสถิติ
ดังตอ่ ไปนี้

3.5.1 การประเมินความสอดคล้อง โดยวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item
objective congruence : IOC) การหาค่าความเท่ยี งตรง (Validity) ของขอ้ คำถามและเน้ือหา

3.5.2 การหาประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวง
มาตรฐานเพลงดวงจันทรข์ วัญฟา้ โดยใชส้ ตู รการคำนวณหาค่า E1 และ E2

33

สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการหาคุณภาพเครือ่ งมือมดี ังต่อไปนี้
1) ธรี ศักด์ิ อุ่นอารมณ์เลิศ (2549 : 73) กล่าวถึง การวิเคราะห์คา่ ดชั นีความสอดคล้อง (Index of

item objective congruence : IOC) การหาค่าความเท่ียงตรง (Validity) ของข้อคำถามและเนื้อหาโดย
ใชส้ ตู รดังน้ี

∑R
IOC= n

เม่อื IOC แทน ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและเน้ือหา
ΣR แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ยี วชาญ
N แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญ

สถิติพ้นื ฐานทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล
1) ชูศรี วงศ์รัตนะ (2544 : 35) กล่าวถึง การคำนวณค่าร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตร

ดงั ต่อไปนี้


= x100

เมื่อ P แทน รอ้ ยละ หรอื % (Percentage)

แทน ความถี่ทต่ี ้องการเปล่ียนแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ
n แทน จำนวนความถท่ี ้งั หมด หรอื จำนวนของกลุ่มเป้าหมาย
2) ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533) กล่าวถึง การคำนวณหาค่า E1 และ E2 ซึ่งสามารถใช้เพื่อ
หาประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์
ขวญั ฟา้ ตามเกณฑท์ ีก่ ำหนดไว้ 80/80
การคำนวณหาคา่ E1 โดยใช้สูตรดงั ต่อไปน้ี



1 = 100

เมื่อ E1 แทน ประสทิ ธิภาพของแบบทดสอบย่อยระหว่างเรยี น
A แทน คะแนนเต็มของแบบประเมินทักษะการปฏิบตั ริ ำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้าระหว่างเรียนทกุ ชดุ รวมกัน
N แทน จำนวนนักเรยี นทั้งหมด

34

การคำนวณหาคา่ E2 โดยใช้สตู รดังตอ่ ไปน้ี



2 = 100

เม่อื E2 แทน ประสิทธิภาพของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
Σx แทน คะแนนรวมของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
B แทน คะแนนเตม็ ของแบบประเมนิ ทักษะการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า
N แทน จำนวนนกั เรยี นทง้ั หมด

35

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า

โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต

ซึง่ มวี ตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย ดังตอ่ ไปนี้

ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง

ดวงจันทร์ขวัญฟา้ ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6/4 ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์

ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำเนินการใช้กับกลุ่มเป้าหมาย คอื นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จ

พระวันรัต ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 มีนักเรียนจำนวน 30 คน โดยผลการประเมิน

ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวง

จันทร์ขวัญฟ้า ดงั ตารางที่ 4 ต่อไปนี้

ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติ

รำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6/4

คะแนนระหว่างเรยี น คะแนนหลงั เรยี น

แบบประเมนิ ทักษะ แบบประเมินทักษะ แบบประเมนิ ทกั ษะ

จำนวน การปฏบิ ัตริ ำวงมาตรฐาน การปฏบิ ตั ิรำวงมาตรฐาน การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน ประสิทธภิ าพ

นกั เรียน เพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟา้ เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า E1/E2

ครั้งที่ 1 ครง้ั ท่ี 2 ครัง้ ที่ 3

(10) (10) (30)

30 8.07 8.27 24.87 81.42 / 82.89
ร้อยละ 81.42 รอ้ ยละ 82.89

จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ (E1/E2) จากการทดลองการเรียนด้วย
สื่อวีดิทศั น์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทรข์ วญั ฟ้า ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 จำนวน 30 คน พบว่าประสิทธิภาพกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใช้สื่อวีดิทัศน์
ซึ่งได้จากคะแนนแบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง ดวงจันทร์ขวัญฟ้าระหว่างเรียน
มีประสิทธิภาพของกระบวนการเท่ากับ 81.42 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ซึ่งได้จากคะแนน
แบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า หลังเรียนเท่ากับ 82.89 แสดงว่า
ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง
ดวงจันทร์ขวญั ฟ้า E1/E2 มีคา่ เท่ากบั 81.42 /82.89 ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ ำหนด

36

ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาผลการฝึกทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน

เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า จากการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน

เพลงดวงจันทรข์ วญั ฟ้า ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6/4

ผวู้ จิ ยั ได้ดำเนินการทดสอบทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟ้า จากการเรียน

ดว้ ยสือ่ วีดิทัศนอ์ อนไลน์ เรอื่ ง การปฏบิ ัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า ดังตารางที่ 5 ต่อไปนี้

ตารางที่ 5 แสดงผลคะแนนการประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า

ที่เรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า

จำนวนทง้ั 3 ด้าน

จำนวน รายการประเมิน รวม ผลการ

นักเรยี น 1. ความสวยงามและ 2. ความถูกต้อง 3. ความสมั พนั ธข์ อง คะแนน ประเมนิ

(30 คน) ความออ่ นช้อย ของทา่ รำ ท่ารำกบั จังหวะเพลง (27)

(9) (9) (9)

รวมเฉลี่ย 7.26 7.28 21.49 ดีมาก

จากตารางที่ 5 พบว่า ผลคะแนนการประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์
ขวัญฟ้า ที่เรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า มาจาก
การประเมินผลโดยในการทดสอบปฏิบัติจะสอบเป็นรายบุคคลที่เรียนด้วยบทเรียนวีดิทัศน์จะเป็นการ
ประเมินเฉพาะตอนท่ีเป็นการฝึกปฏิบัติเท่าน้ัน ซึ่งจากสอ่ื วดี ิทัศน์ออนไลน์ เร่ือง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า การให้คะแนนมาจากครูผู้สอนรายวิชานาฏศิลป์ไทย จำนวน 2 ท่าน แล้วนำ
คะแนนที่ได้มาเฉลี่ย โดยกำหนดรายการประเมินไว้ 3 ด้าน ได้แก่ (1) ความสวยงามและความอ่อนช้อย
9 คะแนน (2) ความถูกต้องของท่ารำ 9 คะแนน (3) ความสัมพันธ์ของท่ารำกับจังหวะเพลง 9 คะแนน
รวมคะแนนเต็มทั้งหมด 27 คะแนน ซึ่งผลการฝึกทักษะจากการเรียนด้วย สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์
เรื่องการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า พบว่าโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 21.49
อยใู่ นระดบั ดีมาก สงู กวา่ เกณฑท์ ่กี ำหนดไว้

37

ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างเรียนและ

หลังเรียน ด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์

ขวัญฟ้า ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6/4

ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองข้อมูลโดยใช้แบบประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวง

จันทร์ขวัญฟา้ เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนระหวา่ งเรยี นและหลังเรยี นด้วยส่อื วดี ิทัศน์ออนไลน์

เร่ือง การพฒั นาทักษะการปฏิบตั ิรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวญั ฟ้า ดังตารางที่ 6 ตอ่ ไปน้ี

ตารางท่ี 6 แสดงผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลัง

เรียน จากการใชส้ ื่อวดี ทิ ศั น์ออนไลน์

การทดสอบ จำนวนนักเรยี น ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน t-test Sig.

X (S.D.)

ระหว่างเรยี นเรียน 30 16.13 0.24 .000

per-test 30 24.87 2.34 15.91
หลงั เรียน

post-test

จากตารางที่ 6 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียน คือนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 จำนวน 30 คน ที่เรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าระหว่างเรียนที่ 15.91
อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดบั .01 จากตารางค่าเฉลีย่ ข้างตน้ เปรียบเทียบจะเห็นได้ว่านักเรียนมีทักษะ
การปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ระหว่างเรียนได้ 16.13 ซึ่งหลังจากการเรียนด้วย
สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์แล้ว นักเรียนสามารถมีทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
หลังเรียนได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.87 จึงสรุปได้ว่านักเรียนมีความรู้และความเข้าใจในกิจกรรมการเรียน
การสอนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรอ่ื ง การพัฒนาทักษะการปฏบิ ัตริ ำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
เพราะคะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหลังเรียนสงู กว่าระหว่างเรียนตรงตามสมมตฐิ านงานวจิ ัยท่ีกำหนดไว้

38

บทที่ 5
สรปุ อภิปราย และข้อเสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
โดยใชส้ ื่อวดี ทิ ศั น์ออนไลน์ รายวชิ านาฏศลิ ป์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6/4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต ซ่ึงมี
วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ดังตอ่ ไปนี้

1. เพอ่ื เปรยี บเทียบทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้า ระหวา่ งเรยี นและ
หลงั เรยี น ดว้ ยสื่อวีดทิ ศั น์ออนไลน์ สำหรบั นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6/4 โรงเรยี นอนบุ าลสมเดจ็ พระวนั รตั

สรุปการวิจัย
จากการวิเคราะหข์ ้อมูล สามารถสรุปได้ดังน้ี
1. ผลการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การรานาฏยศัพท์ ให้มีประสิทธิภาพ

ตามเกณฑ์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 ที่กำลังศึกษาอยู่ใน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 มีนักเรียนจำนวน 30 คน โดยผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ (E1/E2)
ตามเกณฑ์ที่กำหนดของสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ พบว่าจากการทดลองการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์
มปี ระสทิ ธิภาพของกระบวนการและผลลัพธเ์ ท่ากบั 81.42/82.89 ซ่งึ เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ ำหนด

2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์
ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4
ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองข้อมูลโดยใช้แบบ ประเมินทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียนด้วย
สื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ พบว่า มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ 15.91
มีระดับนัยสำคัญที่ .01 จะเห็นได้ว่านักเรียนมีทักษะการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
ระหว่างเรียนได้ 16.13 ซึ่งหลังจากการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์แล้ว นักเรียนสามารถมีทักษะการ
ปฏิบัติรำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า หลังเรียนได้ค่าเฉลี่ยถึง 24.87 จึงสรุปได้ว่าคะแนน
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่าระหวา่ งเรียน ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมตฐิ านท่ีต้ังไว้

3. การฝึกทักษะจากการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่องการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน
เพลงดวงจนั ทรข์ วัญฟา้ ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6/4 ผู้วจิ ยั ได้ดำเนินการทดสอบทักษะการปฏิบัติ
รำวงมาตรฐาน เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพื่อศึกษาผลการฝึกทักษะจากการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์
เรอ่ื ง การปฏิบัตริ ำวงมาตรฐานเพลงดวงจนั ทรข์ วญั ฟ้า การสอบปฏิบัติเป็นรายบุคคลตามเน้ือหาท่ีได้เรียน
ในสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ จำนวนทั้ง 3 ด้าน โดยมีครูผู้สอนรายวิชานาฏศิลป์ไทย จำนวน 2 ท่าน เป็นผู้
ประเมินให้คะแนนตามเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้แล้ว จึงนำคะแนนที่ได้ทั้งหมดมาเฉลี่ย สำหรับการ

39

ประเมินทกั ษะจากการเรียนดว้ ยสอื่ วีดิทัศน์ออนไลน์ เรอ่ื งการปฏิบัตริ ำวงมาตรฐานเพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
พบว่า ผลการฝึกทักษะจากการเรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่อง การปฏิบัติรำวงมาตรฐานเพลง
ดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้า โดยภาพรวมมคี ะแนนเฉลีย่ เทา่ กบั 21.49 อยใู่ นระดบั ดีมาก สงู กวา่ เกณฑท์ ่ีกำหนดไว้

ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ดงั นี้
1. ผู้ที่นำสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ ไปใช้ควรมีการชี้แจงและแนะนำกิจกรรมการเรียนกับ

ผ้เู รียนทกุ ครั้ง เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสามารถปฏิบตั ติ ามได้อย่างถูกต้อง
2. การเรียนการสอนด้วยสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ เรื่องการปฏิบัติรำวงมาตรฐาน

เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ควรจะมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งภาพและเสียง พร้อมต่อ
การสอนด้วยสือ่ วีดิทัศนอ์ อนไลน์

ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป
1. ควรมีการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ออนไลน์ร่วมกับวิธีการสอนวิชานาฏศิลป์ไทยในเนื้อหา

สาระอน่ื ๆ เช่น ภาษาท่านาฏศลิ ป์ การรำตีบท เป็นตน้

40

บรรณานกุ รม

กรมวิชาการ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ:
คุรสุ ภาลาดพร้าว.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

กดิ านนั ท์ มะลทิ อง. (2543). เทคโนโลยศี กึ ษาและนวตั กรรม. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
คุณากร อิ่มเนย, จันทร์รอน ช่างน้อยและมนัสพร ปวนเอ้ย. (2551). การสร้างบทเรียนวีดิทัศน์ :

ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง การเป่าแคน สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. (การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
การคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง).มหาวทิ ยาลัยนเรศวร,
จิณพัทธ์ ประเสริฐยิ่ง. (2548). กระบวนการเรียนรู้ดนตรีของเด็กวัยประถมศึกษาระหว่างผู้มี
ความสามารถแตกต่างกัน. (วิทยานิพนธ์). สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว
มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่,
ชลิต ลิ้มพระคุณ. (2555). การพัฒนาบทเรียนวีดิทัศน์ เรื่องการซ่อมแซมเสื้อผ้าเบื้องต้น สำหรับ
นักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร (ประถมวัยและ
ประถมศึกษา). (ปริญญามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา การค้นคว้าอิสระ).
บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร,
ชาญชัย อินทรประวัติและพวงเพ็ญ อินทรประวัติ. (2534). รูปแบบการสอน. สงขลา: โครงการบริการ
การศึกษา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒสงขลา.
ชุลีกร บุญเสริมสุขเจริญ. (2557). การประดิษฐ์ท่าราพื้นบ้าน ชุดราอิฐมอญ สาระนาฏศิลป์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเซนต์โยเซฟเมืองเอก. (ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ วิทยานิพนธ์). บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั รงั สิต,
ชศู รี วงศ์รัตนะ. (2544). เทคนคิ การใช้สถติ เิ พอ่ื การวจิ ยั . กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2533). เทคโนโลยีการสอน: การออกแบบและการพัฒนา. กรุงเทพฯ:
โอ.เอส.พรนิ้ ต้งิ เฮา้ ส์.
ณครินทร์ รอดพุฒ. (2550). การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์เพื่อการเรียนการสอน: กรณีศึกษาเทมเป้อาหาร
จากถั่วเหลือง คุณค่าและวิธีการผลิต. สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่,

41

ณัฐวุฒิ ปล่ำปลิว. (2556). การพัฒนาบทเรียนวีดิทัศน์ เรื่อง การใช้กล้องโทรทัศน์สำหรับนักศึกษา
ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. (ปริญญามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยี
การศึกษาการคน้ ควา้ อสิ ระ). บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร,

ถวัลย์ มาศจรัส. (2547). คมู่ อื ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการจัดทำนวัตกรรมการศกึ ษา.
ทศพรและคณะ. (2544). หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ

ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1. กรงุ เทพฯ : อักษรเจริญทัศน์ จำกดั . กรุงเทพฯ: ธารอักษร.
ธีรศักด์ิ อุ่นอารมณ์เลิศ. (2549). เครื่องมือวิจัยทางการศึกษา: การสร้างและพัฒนา. นครปฐม:

มหาวิทยาลัยศลิ ปากร วทิ ยาเขตพระราชวังสนามจนั ทร์.
นวลรวี กระต่ายทอง. (ม.ป.ป.). การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ในจังหวัดนครราชสีมา. หลักสูตรครุศาสตร

บณั ฑิต สาขาวชิ านาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสมี า.
ประทิน คล้ายนาค. (2545). การผลิตรายการโทรทัศน์ทางการศึกษา. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร์

มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์. (2534). จติ วิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์สือ่ เสริมกรุงเทพ.
พิมพป์ ภสั สร วรานุสาสน์. (2553). บทเรียนวดี ทิ ัศน์ เรื่อง การอิ่นก๊อนฟอ้ นแกนของชาวไทยดำ สำหรับ

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม. (ปริญญามหาบัณฑิต สาขา
เทคโนโลยีการศึกษาวทิ ยานพิ นธ์). บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร.
พิสุทธา อารีราษฎร์และณัฐพงษ์ พระลับรักษา. (2551). การสร้างสื่อวีดิทัศน์. ศูนย์ทางไกลเพื่อพัฒนา
การศึกษาและพัฒนาชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยหู่ ัวฯ.สุดใจ.
มัลลิการ์ วงศ์ศิรินวรัตน์. (2550). การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เรื่องภาษานาฏศิลป์ สาหรับนักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี. (ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา การค้นคว้าอิสระ). ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา
บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
มาลนิ ี จฑุ ะรพ. (2537). จติ วทิ ยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: อักษรพพิ ัฒน์.
ยงยุทธ ขุนแสง. (2556). ผลการใช้บทเรียนวีดิทัศน์แบบสาธิตที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ
ทักษะการยืมคืนหนังสือ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1. (ปริญญามหาบัณฑิต
เทคโนโลยกี ารศกึ ษา วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2538). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525.
กรงุ เทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
เรณู โกศนิ านนท์. (2535). นาฏดรุ ิยางคสงั คีตกบั สงั คมไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ .

42

เรืองวิไล ทาขามป้อม. (2552). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือประกอบสื่อวีดิทัศน์
สาระนาฏศิลป์ เรื่องราบูชาหลวงปู่ชาที ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6. (ปริญญาการศึกษา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน การคน้ คว้าอสิ ระ). มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,

วภิ า อตุ มฉนั ท.์ (2538). การผลติ สื่อโทรทัศน์และวดี ทิ ศั น์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
วิยะดา ลาสอน. (2552). การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง ภาษาท่าและนาฏยศัพท์ กลุ่มสาระการเรียนรู้

ศิลปะ สาระนาฏศิลป์โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5. (ปริญญาการศึกษา
มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน การคน้ คว้าอิสระ). มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
สมเกียรติ วรรณเฉลิม. (2542). ผลการใช้รายการวีดิทัศน์เพื่อฝึกทักษะนาฏศิลป์โขนเบื้องต้น สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. (ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกเทคโนโลยีทาง
การศึกษาวิทยานพิ นธ์). มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ
สุชัณษา รักยินดี. (2555). การพัฒนาบทเรียนวีดิทัศน์ เรื่องการเล่นคียบอร์ดเบื้องต้น สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดรุณาราชบุรี. (ปริญญามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยี
การศกึ ษาการค้นคว้าอสิ ระ). บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร,
สุเมธา ปานพริ้ง. (2556). การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิง เรื่อง การสร้างวีดิทัศน์เพื่อการเรียนการสอน
สำหรับนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (ปริญญาศึกษาศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา การค้นคว้าอิสระ). ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา
บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
อนิรุทธ์ สติมั่น, วรวุฒิ มั่นสุขผลและเสาวลักษณ์ เริงขากลั่น. (2554). การศึกษาความคิดเห็นในการ
นำเสนอโครงการโทรทัศน์ครู ของนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เครือข่ายโทรทัศน์
ครภู ูมภิ าค ภาคกลางตอนลา่ ง.
อมรา กล่ำเจรญิ . (2535). วธิ ีสอนนาฏศลิ ป์. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์.
อัญชลี พยัคฆะโส. (2552). การผลิตรายการวีดิทัศน์ประกอบการสอน เรื่อง พลังงานกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส. (ปริญญามหาบัณฑิต
สาขาเทคโนโลยีการศึกษา การศึกษาอสิ ระ). บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
อาภรณ์ มนตรีศาสตร์และจาตุรงค์ มนตรีศาสตร์. (2525). นาฏศิลป์เพื่อการศึกษาเบื้องต้น.
กรงุ เทพฯ : องค์การคา้ ของคุรุสภา.

43

ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version