๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มวี ินยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ เพลงพ้นื บา้ น
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ เพลงพ้ืนบา้ น
๖. ชิน้ งาน / หลักฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ ใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทึกผลการประเมิน
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ ทบทวนเน้ือหาท่ีเรียนในชวั่ โมงท่ีแลว้ ดว้ ยการใหน้ กั เรียนนาํ ใบงาน
ชุดที่ ๖ – ๗ มาร่วมกนั ตรวจสอบและเฉลยอีกคร้ัง ครูแนะนาํ คาํ ตอบนกั เรียนแกไ้ ข
ขอ้ บกพร่องของตนเองเป็ นรายๆ
๗.๒ ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มออกมาเล่นเพลงพ้นื บา้ นตามทคี่ รูมอบหมายให้ไป
เตรียมฝึกซอ้ มมา โดยใชเ้ วลากลมุ่ ละ ๕ นาที ครูแจกแบบประเมินการแสดงแตล่ ะกลมุ่
ใหท้ กุ กลมุ่ ประเมนิ กนั เอง แลว้ ร่วมกนั สรุปกลุ่มท่แี สดงไดด้ ีทสี่ ุด ร่วมกนั ชมเชย
๗.๓ นกั เรียนศึกษาเน้ือหาเก่ียวกบั เพลงพน้ื บา้ นในหนังสือเรียนหนา้ ๑๓๘ –
๑๓๙ และใบความรู้ ( ทา้ ยแผน ) จากน้นั ให้นกั เรียน ๓ – ๕ คนต้งั คาํ ถามใหเ้ พ่ือนตอบ
๗.๔ ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปความรู้เรื่อง เพลงพ้นื เมอื ง ดงั น้ี
๑. การละเลน่ พ้นื เมือง เป็นการละเล่นเพ่อื การร่ืนเริงในโอกาสหรือฤดูกาล
ตา่ ง ๆ ในแตล่ ะทอ้ งถิ่นเปรียบเสมือนเป็นมรดกท่ชี าวบา้ นในทอ้ งถ่นิ น้นั ๆ
สง่ั สม สืบทอด และพฒั นาเพอ่ื ความเหมาะสมตามสภาพแวดลอ้ ม เราจึง
ควรศกึ ษาเรียนรู้ อนุรักษ์ และรักษาไวใ้ หค้ งอยตู่ ่อไป
๒. การละเล่นพ้นื เมอื ง แบ่งออกเป็ น เพลงพ้นื เมืองและการแสดงพ้นื เมือง
๓. เพลงพ้นื เมือง แบ่งออกเป็ น 4 ภาค ดงั น้ี
ภาคเหนือ เช่น เพลงซอ พระลอ เพลงกลอ่ มเด็ก เป็นตน้
ภาคกลาง เช่น เพลงเรือ เพลงอแี ซว เเป็นตน้
ภาคอีสาน เช่น หมอลาํ หมอแคน เป็นตน้
ภาคใต้ เช่น เพลงนา เพลงบอก เป็นตน้
๔. เพลงพ้นื เมือง มลี กั ษณะเดน่ ดงั น้ี
ใชส้ าํ นวนภาษาเรียบง่าย
มีความสนุกสนาน
สอดแทรกวถิ ชี ีวิตชาวบา้ น
ไมม่ รี ูปแบบการประพนั ธ์ทีแ่ น่นอน
ไมม่ ีเครื่องดนตรีมาก ส่วนใหญม่ ีแต่เครื่องประกอบจงั หวะ
การแต่งกาย ใชเ้ คร่ืองแตง่ กายแบบพ้นื บา้ นแต่ละทอ้ งถ่นิ
๕. เพลงพ้นื เมอื ง เป็นวรรณกรรมปากเปล่า หรือวรรณกรรมมขุ ปาฐะ ซ่ึงเป็น
วฒั นธรรมทางดา้ นความบนั เทิงของชาวบา้ นในทอ้ งถิน่
๗.๕ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๙ ( ทา้ ยแผน ) ชุดบอกรายละเอียดของการแสดง
พ้ืนเมอื งตามรูปภาพทก่ี าํ หนดให้ จากน้นั นาํ ส่งครู ครูเฉลยและตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๗.๖ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๑๐ ( ทา้ ยแผน )ชุด บอกรายละเอยี ดของการแสดง
พ้ืนเมืองตามรูปภาพท่กี าํ หนดให้ เสร็จแลว้ ให้นกั เรียนอ่านให้เพ่อื นฟังแลว้ นาํ ส่งครู
ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๘. สื่อ / แหล่งเรียนรู้ / บุคคล
ลําดับท่ี รายการส่ือ กจิ กรรมที่ใช้ แหล่งที่ได้มา
๑ นกั เรียนเลน่ เพลงพ้ืนบา้ น นกั เรียนจดั เตรียม
เครื่องแต่งกายเลน่ เพลง
๒ พ้ืนบา้ น นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๓ ใบงาน ชุดที่ ๙ – ๑๐ นกั เรียนศกึ ษาเพิม่ เตมิ ครูจดั ทาํ
๔ ใบความรู้ เรื่องเพลงพ้ืนบา้ น นกั เรียนอ่านเรื่อง ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน
๕ ภาษาไทย ชุดภาษาเพ่ือชีวิต สร้างกฎของการประเมนิ ครูจดั ทาํ
๖ ภาษาพาที ช้นั ป.๖ นกั เรียนศกึ ษาการแสดงพ้ืนเมือง ครูจดั ทาํ
๗ เกณฑก์ ารประเมนิ ( Rubric ) บนั ทกึ การสังเกตพฤติกรรม และ ครูจดั ทาํ
รูปภาพ บนั ทกึ ผลงานรายบคุ คล
แบบประเมินการสังเกต
พฤติกรรม และแบบ
ประเมนิ ผลงานรายบคุ คล
๙. วดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมือท่ีใช้ใน วธิ กี ารประเมิน เกณฑ์การประเมนิ
การประเมนิ
กิจกรรมทีป่ ระเมนิ แบบประเมินการสงั เกต สังเกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สังเกตพฤตกิ รรมดา้ น พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
คณุ ลกั ษณะอนั พึง ต่าํ กวา่ ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์ แบบประเมนิ การสงั เกต
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม พฤติกรรม และแบบ สังเกตรายกลุม่ ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ประเมินผลงาน ๖ – ๗ = ดี
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน
ชุดที่ ๙ แบบประเมินการสงั เกต ๕ = พอใช้
พฤตกิ รรม และแบบ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน ประเมินผลงาน
ชุดท่ี ๑๐ ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
แบบประเมินการสงั เกต ๖ – ๗ = ดี
พฤติกรรม และแบบ
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๖ – ๗ = ดี
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ อู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พูดเสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาทพ่ี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพูดไม่ค่อยดี
การปฏบิ ตั งิ านตาม มที กั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคิดสร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบยี บ มีทกั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี
ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มวี นิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มีจิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทีต่ น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคุมอารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏิบตั ิตนอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วนิ ยั แตง่ กายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแตง่ กายไม่ วินยั นอ้ ย ไม่ค่อยแตง่
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะม่งุ มนั่ ใน ไม่มคี วามมานะมงุ่ มน่ั
การทาํ งานท่ีไดร้ บั การทาํ งานทไ่ี ดร้ ับ ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน
ท่รี าคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์การเรียน ที่ราคาคอ่ นขา้ งแพงและ
คุม้ คา่ ใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มคี วามเสียสละเพ่ือ มคี วามเสียสละเพ่อื ไมค่ อ่ ยเสียสละเพื่อ
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแก่ตวั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลอื เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหมคู่ ณะ
๑๐. กิจกรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บนั ทกึ ผลหลังการสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผ่านจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ...............
ไม่ผา่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผูส้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเหน็ ของผู้บังคบั บัญชา
ความคดิ เห็นหวั หน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เหน็ หัวหน้าวชิ าการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกลมุ่ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อํานวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พิมพน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรเู้ รื่อง เพลงพ้ืนเมือง
การแสดงพ้นื เมืองในแต่ละทอ้ งถ่นิ จะมคี วามแตกต่างกนั ทภี่ มู ิปัญญาทอ้ งถิน่ ใน
การใชล้ ลี าทา่ ทาง การรํา หรือการเตน้ ดว้ ยความสนุกสนาน นิยมนาํ มาแสดสงประกอบ
ดนตรีและเพลงร้องของภาษาถิน่ และสอดแทรกขนบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรมอนั ดี
งามไวอ้ ยา่ งกลมกลนื
๑. การแสดงพนื้ เมืองภาคเหนือ
เป็นการแสดงการร่ายรําคอ่ นขา้ งชา้ เนน้ ความพร้อมเพรียง ทา่ รํามีความหมาย
หรือไม่มีความหมายหรือไม่มคี วามหมายตามบทร้องได้ นิยมแสดงเป็ นหมู่ชื่อเรียกการ
แสดสงจะใชก้ บั คาํ ว่า “ฟ้อน” นาํ หนา้ แบ่งการฟ้อนรําเป็น 5 ประเภท ดงั น้ี
๑.๑ ฟ้อนเกี่ยวกบั ความเชื่อทางพิธีกรรมตา่ งๆ เช่น ฟ้อนผมี ด
๑.๒ ฟ้อนแบบเมอื ง คอื การฟ้อนท่ีเป็นแบบฉบบั ทอ้ งถน่ิ เช่น ฟ้อนเล็บ
ฟ้อนเทยี น ฟ้อนดาบ ฟ้อนสาวไหม การตีกลองสะบดั ไชย เป็ นตน้
๑.๓ ฟ้อนแบบม่าน คือ การฟ้อนทีผ่ สมผสานระหว่างศลิ ปะการฟ้อนแบบ
พมา่ และไทยลานนา เช่น ฟ้อนม่านมุย้ เชียงตา
๑.๔ ฟ้อนแบบเง้ียว คอื การฟ้อนท่ไี ดร้ ับอิทธิพลจากศลิ ปะการแสดงชาว
ไทยใหญ่ เช่น ฟ้อนไต ฟ้อนเง้ียว
๑.๕ ฟ้อนทปี่ รากฏในละครพนั ทาง เช่น ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมงคล
๒. การแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง
เป็นการแสดงที่มลี ีลาทา่ ราํ มรี ะเบียบแบบแผนตามลกั ษณะนาฏศิลป์ ไทย เป็น
ววิ ฒั นาการทีป่ รบั ปรุงจากการละเล่นทีส่ นุกสนานของชาวบา้ นแถบภาคกลาง นิยมแสดง
ในงานประเพณีตา่ งๆ เช่น เตน้ กาํ ราํ เคียว ราํ กลองยาว หรือราํ เถิงเทิง บางคร้งั กเ็ ป็นการ
ผสมผสานรูปแบบที่สร้างสรรค์ นิยมแสดงในงานวนั นกั ขตั ฤกษต์ า่ งๆ เช่น รําวง เพลงเรือ
เพลงเก่ียวขา้ ว เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ รําแม่ศรี เป็นตน้
๓. การแสดงพนื้ เมืองภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
เป็นการแสดงท่ีใชค้ วามพร้อมเพรียงของผแู้ สดง ดนตรีกบั จงั หวะเร้าใจ
สนุกสนาน นิยมแสดงเป็นหมใู่ ชค้ าํ นาํ หนา้ การแสดงวา่ “เซิ้ง” ซ่ึงในแต่ละทอ้ งถิน่ กจ็ ะ
แตกต่างกนั เช่น เซิ้งโปงลาง ของจงั หวดั กาฬสินธุ์ เซ้ิงบ้งั ไฟของจงั หวดั ยโสธร หรือการ
แสดงเซ้ิงอนื่ ๆ เช่น เซิ้งกะหยงั เซ้ิงกระติบขา้ ว เซ้ิงสวงิ เซ้ิงตวั หวาย
๔. การแสดงพื้นเมืองภาคใต้
การแสดงรองเงง็ เป็นศลิ ปะการแสดงพน้ื เมืองของชาวมสุ ลิม เน้ือร้องมกั
เก่ียวกบั ความสวยงาม ชมธรรมชาติ และเก้ยี วพาราสี ท่าเตน้ ตา่ งๆ จะแตกตา่ งกนั ตามบท
เพลงทรี่ ้อง เช่น
เพลงลามดู ูวอ
เพลงมะอนี งั ลามา
เพลงมะอนี งั ชวา
เพลงปโู จะ๊ ปี ชงั
เพลงตารีกาโลง
เพลงจินตาซายงั
ลกั ษณะของการละเล่นพื้นเมือง
การละเลน่ พ้นื เมอื ง ส่วนมากจะออกมาในรูปแบบของเพลงพ้นื เมอื งและ
แตกตา่ งกนั ไปตามสภาพของแต่ละทอ้ งถิน่ ซ่ึงเป็นผลทาํ ให้แตล่ ะภาคมีเอกลกั ษณ์
การละเล่นพ้ืนเมืองแตกต่างกนั ออกไป ซ่ึงมปี ัจจยั หลกั ทส่ี าํ คญั 5 ประการ ดงั น้ี
๑. สภาพภมู ิศาสตร์ เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของแตล่ ะทอ้ งถ่นิ มคี วาม
แตกต่างกนั การแสดงหรือการละเล่นพ้ืนเมืองจึงสอดคลอ้ งกบั สภาพทอ้ งถิน่
น้นั เช่น ภาคกลางมแี ม่น้าํ ลาํ คลองมาก ผคู้ นจึงใชก้ ารคมนาคมทางน้าํ เป็น
ส่วนมาก จึงมกี ารละเล่นเพลงเรือเกิดข้นึ เป็นตน้
๒. ประเพณี ในแตล่ ะทอ้ งถ่นิ จะมปี ระเพณีท่ีผูค้ นในทอ้ งถิน่ น้นั เคารพนบั ถอื อยู่
ซ่ึงมีลกั ษณะท่ีคลา้ ยคลงึ กนั บา้ ง และแตกตา่ งกนั บา้ งในบางประเพณีการแสดง
และการละเล่นจึงมีลกั ษณะสอดคลอ้ งกนั ตามประเพณีในทอ้ งถน่ิ น้ัน
๓. ศาสนา เป็นสิ่งสาํ คญั มากส่ิงหน่ึงทท่ี าํ ให้เกิดการละเล่นแตกตา่ งกนั ออกไปใน
แต่ละทอ้ งถิ่นและภูมิภาค เน่ืองจากประเทศไทยเปิ ดโอกาสให้ประชาชนเลือก
นบั ถือศาสนาไดอ้ ยา่ งอิสระ เนื่องจากประเทศไทยเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชน
เลอื กนบั ถอื ศาสนาไดอ้ ยา่ งอิสระ ผลของการนบั ถือศาสนาตา่ ง ๆ จึงทาํ ให้เกิด
ประเพณีที่แตกตา่ งกนั ส่งผลให้เกิดการละเล่นทีแ่ ตกต่างกนั ไป
๔. ความเชื่อ ในแต่ละทอ้ งถน่ิ มีความเช่ือทีไ่ ม่เหมอื นกนั ข้ึนอยกู่ บั วถิ ชี ีวติ และ
วฒั นธรรมของคนในทอ้ งถิน่ น้ัน ซ่ึงความเชื่อจะส่งผลตอ่ การสร้างสรรคก์ าร
แสดงหรือการละเลน่ พ้นื เมืองของทอ้ งถน่ิ น้ัน เช่น การละเลน่ ของชาวเขา
ส่วนมากจะเป็นการแสดงเพ่ือบชู าเทพเจา้
๕. คา่ นิยม จากสภาพทางภมู ศิ าสตร์ ประเพณี ศาสนา และความเช่ือของแต่ละ
ภมู ิภาคในประเทศไทย จะทาํ ใหเ้ ห็นถึงความเก่ียวขอ้ งในเรื่องของคา่ นิยมซ่ึง
ส่วนใหญจ่ ะมลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั การแสดงหรือการละเลน่ พ้ืนเมอื งจึง
ออกมาตามค่านิยมของทอ้ งถิ่นน้ัน ๆ
ใบงาน ชดุ ท่ี ๙
คําชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนศกึ ษาขอ้ มลู เก่ียวกบั การแสดง แลว้ บนั ทกึ ขอ้ มูล
การแสดงน้ี ชื่อ………………………………………………………………………….
ใชผ้ แู้ สดงจาํ นวนท้งั หมด……………………..คน
ลกั ษณะการแต่งกาย คอื ……………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
เคร่ืองดนตรีท่ใี ช้ คอื …………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
โอกาสในการแสดง คอื ………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
ชื่อ.................................................................เลขท่ี ..................... ช้ัน...............
ใบงาน ชุดท่ี ๑๐
คําชีแ้ จง ให้นกั เรียนศึกษาขอ้ มลู เกี่ยวกบั การแสดง แลว้ บนั ทกึ ขอ้ มลู
การแสดงน้ี ชื่อ………………………………………………………………………….
ใชผ้ ูแ้ สดงจาํ นวนท้งั หมด……………………..คน
ลกั ษณะการแตง่ กาย คอื ……………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
เคร่ืองดนตรีท่ใี ช้ คอื …………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
โอกาสในการแสดง คอื ………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….
ช่ือ.................................................................เลขที่ ..................... ช้ัน...............
แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนท่ี ๖
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทท่ี ๙ ครื้นเครงเพลงพื้นบ้าน เวลา ๘ ชั่วโมง
หวั ข้อเร่ือง ข้อความท่เี ป็ นโวหาร เวลา ๑ ชั่วโมง
วนั ท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๕ วรรณคดีวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรม
ไทยอยา่ งเห็นคณุ ค่าและนาํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง
๑. สาระสําคัญ
๑.๑ ความคดิ รวบยอด
โวหาร คอื การใชถ้ อ้ ยคาํ ที่เลือกสรรมาแลว้ เป็นอยา่ งดี มีความสละ สลวย มี
ความเหมาะสม โวหารใชข้ ยายให้ชดั แจง้ และเพอื่ ถา่ นทอดอารมณค์ วามรู้สึกนึกคิด
ความรู้หรือจินตนาการของผูเ้ ขยี นใหก้ วา้ งไกลออกไป
๑.๒ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน
- ความสามารถในการสื่อสาร
- ความสามารถในการคิด
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
๒. ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท ๕.๑ ป.๖ / ๓ อธิบายคณุ คา่ ของวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน
และนาํ ไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนบอกขอ้ ความท่ีเป็นโวหารเปรียบเทียบได้
๓.๒ นกั เรียนตคี วามของโวหารเปรียบเทยี บได้
๔. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
๔.๑ รกั ความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มีวนิ ยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรียนและตามความสนใจ
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ ความหมายของประโยคและขอ้ ความ
๏ โวหารเปรียบเทยี บ
๖. ชิน้ งาน / หลกั ฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การําใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทึกผลการประเมนิ
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ ทบทวนเน้ือหาที่เรียนในชวั่ โมงท่แี ลว้ ดว้ ยการใหน้ กั เรียนนาํ ใบงาน
ชุดที่ ๘ – ๙ มาร่วมกนั ตรวจสอบและเฉลยอกี คร้งั
๗.๒ ให้นกั เรียนศกึ ษาเรื่องคาํ ประพนั ธป์ ระเภทร้อยแกว้ และร้อยกรอง จาก
หนงั สือเรียนภาษาพาที ช้นั ป.๖ หนา้ ๑๔๐ ครูอธิบายเพ่มิ เติมใหน้ กั เรียนศึกษาใบ
ความรู้ ( ทา้ ยแผน ) ประกอบ เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนซกั ถามปัญหาขอ้ สงสยั
๗.๓ ครูให้นกั เรียนดูแผนภมู ิบทกวตี ่อไปน้ี โดยเขยี นหรือติดบนกระดาน
ชั่วเหยย่ี วกระหยบั ปี กกลางเปลวแดด ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
เพียงใบไม้ไหวพลิกริกริกมา ก็รู้ว่าวันนีม้ ลี มวก
เพียงกระเพือ่ มเล่ือมลับวับวบั ไหว ก็รู้ว่านาํ้ ใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่น้ันหว่ันสะทก ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ
( บทกวีซีไรท์ “เพยี งความเคลื่อนไหว” : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ )
ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มแสดงความคิดเห็นต่อบทร้อยกรองน้ีอยา่ งเสรี โดยเขียนอธิบายลง
ในแผน่ กระดาษที่ครูแจกให้ จากน้นั ส่งตวั แทนนาํ เสนอความคดิ เห็นท่ีหนา้ ช้นั เรียน
ครูอธิบายสรุปว่า บทร้อยกรองน้ีเป็นตวั อยา่ งการใชโ้ วหารเปรียบเทียบ หรืออุปมาโวหาร
ให้นกั เรียนสังเกตว่ามกี ารเปรียบเทยี บอะไรบา้ ง
๗.๔ ใหน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ ช่วยกนั หาขอ้ ความท่เี ป็นโวหารเปรียบเทียบใน
บทเรียนที่ ๙ คร้ืนเครงเพลงพ้ืนบา้ น กลุ่มละ ๓ ขอ้ ความส่งตวั แทนอ่านและอธิบาย
ความหมายท่หี นา้ ช้นั เรียน
๗.๔ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๑๑ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เขียนขอ้ ความท่ีเป็นโวหาร
เปรียบเทยี บพร้อมท้งั อธิบายความหมาย เสร็จแลว้ นาํ ส่งครูช่วยตรวจสอบและพจิ ารณา
แกไ้ ข
๗.๕ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๑๒ ( ทา้ ยแผน )ชุด เตมิ วลลี งในขอ้ ความทีเ่ ป็นโวหาร
เปรียบเทยี บ เสร็จแลว้ ครูเฉลย นกั เรียนแลกเปลยี่ นกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๘. ส่ือ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลําดับที่ รายการส่ือ กจิ กรรมทใี่ ช้ แหล่งทไี่ ด้มา
๑ นกั เรียนศึกษาเพ่มิ เติม ครูจดั เตรียม
ใบความรู้ ขอ้ ความท่ีเป็น
๒ โวหาร นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๓ ใบงาน ชุดที่ ๑๑ – ๑๒ นกั เรียนพจิ ารณาโวหาร ครูจดั ทาํ
๔ แผนภมู บิ ทร้อยกรอง นกั เรียนอ่านเร่ือง ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน
๕ ภาษาไทย ชุดภาษาเพื่อชีวติ สร้างกฎของการประเมนิ ครูจดั ทาํ
๖ ภาษาพาที ช้นั ป.๖ บนั ทกึ การสังเกตพฤตกิ รรม และ ครูจดั ทาํ
เกณฑก์ ารประเมิน ( Rubric ) บนั ทึกผลงานรายบุคคล
แบบประเมนิ การสงั เกต
พฤติกรรม และแบบ
ประเมินผลงานรายบุคคล
๙. วดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมือท่ใี ช้ใน วธิ กี ารประเมิน เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กิจกรรมท่ปี ระเมิน แบบประเมนิ การสงั เกต สังเกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สังเกตพฤติกรรมดา้ น พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์ แบบประเมนิ การสังเกต
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม พฤตกิ รรม และแบบ สังเกตรายกลุม่ ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ประเมินผลงาน ๖ – ๗ = ดี
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน
ชุดท่ี ๑๑ แบบประเมนิ การสงั เกต ๕ = พอใช้
พฤติกรรม และแบบ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๔. นกั เรียนทาํ ใบงาน ประเมินผลงาน
ชุดท่ี ๑๒ ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
แบบประเมินการสงั เกต ๖ – ๗ = ดี
พฤตกิ รรม และแบบ
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๖ – ๗ = ดี
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ อู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ น่ื เขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พูดเสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไม่ชดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาทีพ่ ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพูดไม่ค่อยดี
การปฏบิ ตั งิ านตาม มที กั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไมส่ ามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั ิงานตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคิดสร้างสรรค์ มคี วามคิดสร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบยี บ มีทกั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มคี วามสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี
ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซ่ือสัตย์สุจริต
มีวนิ ยั ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผดิ พลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มีจิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคุมอารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วนิ ยั แต่งกายถกู ตอ้ ง วนิ ยั การแตง่ กายไม่ วินยั นอ้ ย ไม่ค่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มีความมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะม่งุ มนั่ ใน ไม่มคี วามมานะมุง่ มนั่
การทาํ งานทไี่ ดร้ ับ การทาํ งานทไ่ี ดร้ ับ ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถูกตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน
ที่ราคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์การเรียน ที่ราคาคอ่ นขา้ งแพงและ
คุม้ คา่ ใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มีความเสียสละเพ่ือ มคี วามเสียสละเพ่อื ไมค่ อ่ ยเสียสละเพือ่
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หมู่คณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลือ เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหมคู่ ณะ
๑๐. กจิ กรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บนั ทึกผลหลงั การสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ...............
ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ................
๒. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกิดทักษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผูส้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเห็นของผู้บงั คับบญั ชา
ความคิดเหน็ หัวหน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เห็นหวั หน้าวิชาการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกลมุ่ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อาํ นวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พมิ พน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรเู้ ร่ือง ขอ้ ความที่เป็ นโวหาร
โวหาร คอื การใชถ้ อ้ ยคาํ ทเ่ี ลือกสรรมาแลว้ เป็นอยา่ งดี มคี วามสละ สลวย
มีความเหมาะสม โวหารใชข้ ยายใหช้ ดั แจง้ และเพ่อื ถา่ นทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคดิ
ความรู้หรือจินตนาการของผูเ้ ขียนให้กวา้ งไกลออกไป
โวหาร ตามความหมายในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕
หมายถึง “ช้นั เชิงหรือสาํ นวนแต่งหนงั สือหรือพดู , ถอ้ ยคาํ ท่ีเลน่ เป็นสาํ บดั สาํ นวน”
ในการเขยี นอาจใชโ้ วหารต่าง ๆ กนั โดยจะตอ้ งเลือกใชใ้ หต้ รงกบั ความหมายของ
ขอ้ ความที่เขยี น การใชโ้ วหารถือวา่ เป็นการใชภ้ าษาอยา่ งมีศลิ ปะ โวหารในการเขียน มี
๕ ประเภท ไดแ้ ก่
๑) บรรยายโวหาร
๒) พรรณนาโวหาร
๓) สาธกโวหาร
๔) เทศนาโวหาร
๖) อุปมาโวหาร
Periwinkle
๑. บรรยายโวหาร หมายถงึ การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ท่เี ป็น
ขอ้ เทจ็ จริงตามลาํ ดบั เหตุการณ์ เป็นการเขยี นตรงไปตรงมา ไม่เย่นิ เยอ้ มงุ่ ความชดั เจน
เพ่อื ใหผ้ ูอ้ า่ นไดร้ บั ความรู้ ความเขา้ ใจ ผเู้ ขียนควรใชภ้ าษากะทดั รัด เขยี นใหต้ รง
เป้าหมาย อา่ นเขา้ ใจง่าย ในการเขยี นทวั่ ไปๆ มกั ใชบ้ รรยายโวหาร เช่น การเขยี นเลา่
เรื่อง เลา่ เหตุการณ์เลา่ ประสบการณ์ท่ีเกิดข้นึ
หลกั การเขียนบรรยายโวหาร
๑) เขยี นเฉพาะสาระสาํ คญั
๒) เขยี นเรื่องจริง โดยผูเ้ ขียนจะตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั เรื่องทเี่ ขียนเป็ นอยา่ ง
ดี
๓) ใชภ้ าษาทเี่ ขา้ ใจงา่ ย
๔) เรียบเรียงความคดิ ใหต้ ่อเนื่องกนั
๒. พรรณนาโวหาร หมายถึง การเขยี นท่สี อดแทรกอารมณค์ วามรูส้ ึกของผเู้ ขยี น
เพอ่ื ให้ผอู้ า่ นซาบซ้ึง ประทบั ใจ มคี วามรู้สึกคลอ้ ยตามไปกบั ผเู้ ขียน เช่น การเขยี น
พรรณนาอารมณ์ ความรู้สึก รกั หลง โกรธ เกลียด เศรา้ เป็นตน้ โดยเลอื กใชถ้ อ้ ยคาํ ที่
ไพเราะ เห็นภาพพจนไ์ ดง้ ่าย เพ่ือโนม้ นา้ วอารมณ์ผูอ้ ่านให้คลอ้ ยตามและเกิดความ
ประทบั ใจ
หลกั ในการเขียนพรรณนาโวหาร
๑) ใชถ้ อ้ ยคาํ ท่ีเลือกสรรแลว้ เพอื่ สื่อความหมายและอารมณ์ ความรูส้ ึกทีช่ ดั เจน
๒) เขยี นใจความควรเนน้ ใหเ้ กิดภาพพจน์ เกิดอารมณค์ วามรู้สึกร่วมไปกบั ผูเ้ ขียน
๓) ใชภ้ าพพจน์หรืออปุ มาโวหาร เพ่อื ให้ไดอ้ ารมณค์ วามรู้สึกหรือเกิดจินตนาการ
คลอ้ ยตาม
๓. สาธกโวหาร หมายถึง การทผี่ ูเ้ ขียนหยิบยกตวั อยา่ งมาอา้ งองิ ประกอบการ
อธิบายเพื่อสนบั สนุนขอ้ ความทเ่ี ขียนไวใ้ ห้ผอู้ ่านเขา้ ใจ และเกิดความเช่ือถือ
หลักการเขยี นสาธกโวหาร
คือ ตอ้ งสามารถเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั โอกาส เหมาะกบั จุดมุ่งหมายและ
เขียนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามลกั ษณะของโวหาร
๔. เทศนาโวหาร หมายถงึ การเขียนอธิบาย ช้ีแจงใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจ ช้ีใหเ้ ห็น
ประโยชนห์ รือโทษของเร่ืองท่ีกลา่ วถึง เป็นการชกั จงู ให้ผอู้ ่านคลอ้ ยตาม เห็นดว้ ยหรือ
เพอ่ื แนะนาํ ส่งั สอน ปลุกใจหรือเพ่อื ให้รู้ถงึ ขอ้ เทจ็ จริง การเขียนแบบเทศนาโวหารตอ้ ง
อาศยั กลวธิ ีการชกั จงู ใจ
หลกั การเขยี นเทศนาโวหาร
การเขียนโวหารประเภทน้ี จาํ เป็นตอ้ งใชโ้ วหารอ่ืนๆ มาประกอบ คอื
อาจเป็นบรรยาย พรรณนา สาธก หรือ อปุ มาโวหาร เพอ่ื ใหไ้ ดใ้ จความชดั เจนแจม่ ชดั
สามารถชกั จงู ใจ ผอู้ า่ นใหค้ ลอ้ ยตามความคิดของผเู้ ขยี นได้
๕. อุปมาโวหาร หมายถึง การเขียนเป็นสาํ นวนเปรียบเทยี บท่มี คี วามคลา้ ยคลงึ
กนั เพื่อทาํ ให้ผอู้ ่านเกิดความเขา้ ใจลกึ ซ้ึงยงิ่ ข้นึ โดยการเปรียบเทียบส่ิงของท่ีเหมอื นกนั
เปรียบเทยี บโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหน่ึง หรือเปรียบเทียบขอ้ ความตรงกนั ขา้ มหรือ
ขอ้ ความท่ีขดั แยง้ กนั
ใบงาน ชดุ ท่ี ๑๑
คาํ ชี้แจง ให้นกั เรียนเขียนขอ้ ความทีเ่ ป็นโวหารเปรียบเทียบ พร้อมท้งั
อธิบายความหมาย
ข้อความ .........................................................................................................
ความหมาย .....................................................................................................
........................................................................................................................
ข้อความ .........................................................................................................
ความหมาย .....................................................................................................
........................................................................................................................
ข้อความ .........................................................................................................
ความหมาย .....................................................................................................
........................................................................................................................
ข้อความ .........................................................................................................
ความหมาย .....................................................................................................
........................................................................................................................
ชื่อ.................................................................เลขท่ี ..................... ช้ัน...............
ใบงาน ชุดท่ี ๑๒
คําชี้แจง ให้นกั เรียนเตมิ ขอ้ ความที่เป็นการเปรียบเทยี บในประโยคต่อไปน้ี
ตวั อย่าง เขามีจิตใจท่กี วา้ งขวางประดจุ ดงั แมน่ ้าํ
๑. มปี ัญญาเปรียบเสมือน ..............................................................................
๒. แม่รักลกู เหมือน .......................................................................................
๓. บา้ นช่องรกรุงรงั เหมือน...........................................................................
๔. มนั แผดเสียงดงั กึกกอ้ งเหมือน..................................................................
๕. เขาเดินง่นุ ง่านไปมาเหมอื น......................................................................
๖. เขามจี ิตใจบริสุทธ์ิประดจุ ดงั ……………………………………..………
๗. ประชาชนเดือดร้อนบา้ นเมือง...................................................................
๘. เขามีตาํ แหน่งสาํ คญั ที่สุดในบริษทั เปรียบเสมือน.......................................
๙. เพอ่ื นของเขาทาํ ตวั เหมอื น...................................................... คอยท่มิ แทงเขา
อยตู่ ลอดเวลา
๑๐. เขาเดือดร้อนแทบ.......................................................... จะตายวนั ตายพรุ่ง
๑๑. เขาทาํ ตวั เปรียบเสมือน............................................เขา้ ขา้ งคนน้นั ทีคนน้ีที
๑๒. จิตใจของฉนั ร้อนรุ่มเป็น............................เมื่อรู้ว่าลกู โดนตาํ รวจจบั ตวั ไป
ช่ือ.................................................................เลขท่ี ..................... ช้ัน...............
แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนที่ ๗
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทท่ี ๙ ครื้นเครงเพลงพน้ื บ้าน เวลา ๘ ชั่วโมง
หวั ข้อเร่ือง งานเขยี นเชิงอธบิ าย เวลา ๑ ชั่วโมง
วนั ที่ ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคดิ เพือ่ นาํ ไปใช้
ตดั สินใจ แกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวิต และมนี ิสัยรักการอา่ น
๑. สาระสําคญั
๑.๑ ความคดิ รวบยอด
งานเขยี นเชิงอธิบาย ไดแ้ ก่ ลกั ษณะการเรียบเรียงภาษาพูดหรือภาษาเขียนเพื่อเล่า
เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ โวหารบรรยายมี ๒ รูปแบบ คอื การบรรยายแบบธรรมดา มี
ลกั ษณะเป็นการเลา่ เรื่องหรือเหตกุ ารณ์ไปตามลาํ ดบั เวลาทีเ่ กิดข้นึ และการบรรยายแบบมี
โครงเร่ืองซ่ึงไม่จาํ เป็นตอ้ งเล่าเรื่องหรือเหตุการณต์ ามลาํ ดบั เวลา แต่ลาํ ดบั เน้ือเร่ือง โดยใช้
หลกั วรรณศลิ ป์ ให้สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของโครงเรื่อง (plot) และประเภทของเน้ือเรื่อง
ตามทผ่ี ูเ้ ขยี นกาํ หนดไว้
๑.๒ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน
- ความสามารถในการสื่อสาร
- ความสามารถในการคดิ
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
๒. ตัวชี้วดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๖ อ่านงานเขยี นเชิงอธิบาย คาํ ส่งั ขอ้ แนะนาํ และ
ปฏบิ ตั ิตาม
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนบอกลกั ษณะงานเขียนประเภทอธิบายหรือบรรยายได้
๓.๒ นกั เรียนเขยี นอธิบายเร่ืองงา่ ยๆได้
๔. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
๔.๑ รักความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มีวนิ ยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอา่ นงานเขยี นเชิงอธิบาย คาํ ส่งั ขอ้ แนะนาํ และปฏบิ ตั ิตาม
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ การอา่ นงานเขียนเชิงอธิบาย
๖. ชิ้นงาน / หลักฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ ใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทกึ ผลการประเมิน
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ ทบทวนเน้ือหาท่ีเรียนในชวั่ โมงทแ่ี ลว้ ดว้ ยการให้นกั เรียนนาํ ใบงาน
ชุดท่ี ๑๑ – ๑๒ มาร่วมกนั ตรวจสอบและเฉลยอกี คร้ัง จากน้นั นกั เรียนเล่นเกม
ขงิ กร็ าข่ากแ็ รง ( ทา้ ยแผน )
๗.๒ ให้นกั เรียนศกึ ษาเร่ือง คาํ ประพนั ธป์ ระเภทร้อยกรอง จากหนงั สือเรียน
ภาษาพาที ช้นั ป.๖ หนา้ ๑๔๑ ครูอธิบายเพ่มิ เติมให้นกั เรียนศึกษาใบความรู้ ( ทา้ ยแผน )
ประกอบ เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนซกั ถามปัญหาขอ้ สงสัย
๗.๓ ครูอธิบายเก่ียวกบั การเขียนเชิงอธิบาย ผอู้ ่านตอ้ งจบั ใจความให้ไดว้ า่
กล่าวถงึ อะไร เพ่ืออะไร เพราะเหตใุ ด เมือ่ ใด อยา่ งไร จึงจะสามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชน์
และปฏิบตั ิตามได้ จากน้นั ครูยกตวั อยา่ งงานเขยี นเชิงอธิบาย โยอา่ นใหน้ กั เรียนฟัง
๗.๓ ครูชูรูปภาพ ( ครูจดั เตรียมลว่ งหนา้ ) ๓ รูปภาพ ให้นกั เรียนทุกคน
ฝึกเขียนประโยคบรรยายภาพทีละภาพ โดยเขียนลงในแผน่ กระดาษท่คี รูจดั เตรียมไวเ้ สร็จ
และนาํ มาใส่ในกล่องท่คี รูจดั เตรียมไว้ ครูขออาสาสมคั รมาอ่านขอ้ ความบรรยายภาพของ
เพ่อื นท้งั หมดแลว้ ร่วมกนั พิจารณาตดั สินวา่ ในแต่ละภาพขอ้ ความใดของบุคคลใดบรรยาย
ไดด้ ีทส่ี ุด ร่วมกนั ชื่นชม
๗.๔ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๑๓ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เตมิ คาํ หรือขอ้ ความในประโยค
ให้ไดใ้ จความสมบรู ณ์
๗.๕ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๑๔ ( ทา้ ยแผน )ชุด เขยี นประโยคอธิบายภาพ เสร็จ
แลว้ ครูเฉลยและอธิบายเพ่มิ เติม นกั เรียนตรวจสอบและแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง
๘. ส่ือ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลําดับที่ รายการส่ือ กิจกรรมทีใ่ ช้ แหล่งทไ่ี ด้มา
๑ นกั เรียนอธิบาย ครูจดั เตรียม
๒ รูปภาพ นกั เรียนศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ครูจดั เตรียม
ใบความรู้ เรื่อง งานเขียนเชิง
๓ อธิบาย นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๔ ใบงาน ชุดท่ี ๑๓ – ๑๔ นกั เรียนอ่านเรื่อง ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน
๕ ภาษาไทย ชุดภาษาเพ่ือชีวิต สร้างกฎของการประเมนิ ครูจดั ทาํ
๖ ภาษาพาที ช้นั ป.๖ บนั ทึกการสังเกตพฤติกรรม และ ครูจดั ทาํ
เกณฑก์ ารประเมิน ( Rubric ) บนั ทึกผลงานรายบุคคล
แบบประเมินการสงั เกต
พฤตกิ รรม และแบบ
ประเมินผลงานรายบุคคล
๙. วดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมือท่ีใช้ใน วธิ กี ารประเมิน เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กิจกรรมท่ปี ระเมิน แบบประเมนิ การสงั เกต สังเกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สังเกตพฤติกรรมดา้ น พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์ แบบประเมินการสงั เกต
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม พฤตกิ รรม และแบบ สังเกตรายกลุม่ ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ประเมินผลงาน ๖ – ๗ = ดี
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน
ชุดท่ี ๑๓ แบบประเมนิ การสงั เกต ๕ = พอใช้
พฤติกรรม และแบบ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๔. นกั เรียนทาํ ใบงาน ประเมินผลงาน
ชุดท่ี ๑๔ ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
แบบประเมนิ การสังเกต ๖ – ๗ = ดี
พฤตกิ รรม และแบบ
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๖ – ๗ = ดี
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ อู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พดู เสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาทพ่ี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพูดไม่ค่อยดี
การปฏิบตั ิงานตาม มีทกั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคดิ สร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบียบ มที กั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทาํ ท่สี วยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี
ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคุมอารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แต่งกายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแต่งกายไม่ วินยั นอ้ ย ไม่ค่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มีความมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะม่งุ มนั่ ใน ไม่มคี วามมานะมุง่ มนั่
การทาํ งานทไี่ ดร้ บั การทาํ งานท่ีไดร้ ับ ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน
ทีร่ าคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์การเรียน ท่รี าคาคอ่ นขา้ งแพงและ
คุม้ ค่าใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มีความเสียสละเพ่ือ มคี วามเสียสละเพ่อื ไมค่ อ่ ยเสียสละเพือ่
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลอื เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหมคู่ ณะ
๑๐. กิจกรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บันทกึ ผลหลงั การสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ...............
ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผูส้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเหน็ ของผู้บังคบั บัญชา
ความคดิ เห็นหวั หน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เหน็ หัวหน้าวชิ าการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกลมุ่ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อํานวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พิมพน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรูเ้ รื่อง การเขียนเชิงอธิบาย
การเขยี นเชิงอธิบายจะใชโ้ วหารบรรยาย ซ่ึงโวหารบรรยายมลี กั ษณะดงั น้ี
ลักษณะโวหารบรรยาย
โวหารบรรยาย ไดแ้ ก่ ลกั ษณะการเรียบเรียงภาษาพดู หรือภาษาเขยี นเพือ่ เลา่ เรื่อง
หรือเหตุการณท์ ่เี กิดข้นึ โวหารบรรยายมี 2 รูปแบบ คือ การบรรยายแบบธรรมดา มี
ลกั ษณะเป็นการเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ไปตามลาํ ดบั เวลาที่เกิดข้นึ และการบรรยายแบบมี
โครงเรื่องซ่ึงไม่จาํ เป็นตอ้ งเล่าเร่ืองหรือเหตุการณต์ ามลาํ ดบั เวลา แต่ลาํ ดบั เน้ือเร่ือง โดยใช้
หลกั วรรณศลิ ป์ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของโครงเรื่อง (plot) และประเภทของเน้ือเร่ือง
ตามท่ีผูเ้ ขยี นกาํ หนดไว้
การบรรยายแบบธรรมดา ซ่ึงคาํ นึงถงึ ลาํ ดบั เวลาของเน้ือเรื่องเป็นสาํ คญั ใชก้ บั
เรื่องหรือเหตุการณ์ทเี่ ป็ นจริงตามทีผ่ ูเ้ ขยี นรู้เห็นหรือมีประสบการณ์ดว้ ยตวั เอง เช่น บนั ทึก
รายวนั บนั ทกึ การเดินทาง รายงานเหตุการณ์
ขา่ วในหนงั สือพิมพ์ เรื่องเลา่ อตั ชีวประวตั ิ ตาํ นาน ประวตั ิศาสตร์
การบรรยายแบบมีโครงเร่ือง ซ่ึงพจิ ารณาถึงเน้ือเรื่องตามท่ผี เู้ ขียนเห็นสมควร ใช้
กบั เร่ืองท่ีผเู้ ขยี นคิดข้นึ เอง เพือ่ ให้เป็นเร่ืองบนั เทิงคดี เช่น เร่ืองเล่า นิทาน นิยาย เรื่อง
ส้ัน นวนิยาย บทละคร
การเขยี นบรรยายแบบธรรมดา
ในบทเรียนน้ีจะกลา่ วเฉพาะการเขยี นบรรยายแบบธรรมดา ซ่ึงเรียบเรียงเรื่อง
ตามลาํ ดบั เวลา ไดแ้ ก่เร่ืองเล่าท่ีเป็นเร่ืองจริง ชีวประวตั ิ การเดินทาง การชมสถานท่ี
เหตกุ ารณใ์ นอดีต ในส่วนการเขยี นบรรยายแบบมโี ครงเร่ืองจะไดก้ ล่าวตอ่ ไปในบทว่าดว้ ย
การเขียนบนั เทงิ คดี
เรื่องเล่า
เรื่องเลา่ คือ เรื่องราวหรือเหตุการณซ์ ่ึงอาจเป็นจริงหรือสมมตุ ขิ ้นึ นาํ มาเล่าสู่กนั ฟัง
เรื่องเล่ามหี ลกั การเขียนดงั น้ี
๑. บอกความมุ่งหมายหรือสาเหตทุ เี่ ลา่ เพือ่ เร้าความสนใจ
๒. เลอื กเฉพาะเรื่องราวหรือเหตกุ ารณ์ตอนท่ีน่าสนใจ และมผี ลเชื่อมโยงกบั ตอน
อนื่ อาจขยายความใหล้ ะเอยี ดมากนอ้ ยตามสัดส่วนความสาํ คญั เรื่องตอนใดมคี วามสาํ คญั
มากกก็ ล่าวถึงมาก ตอนใดมคี วามสาํ คญั นอ้ ยกก็ ล่าวพอประมาณ
๓. โดยทวั่ ไปการจดั ลาํ ดบั ใจความตามลาํ ดบั เวลา เร่ิมจากพฤติกรรมหรือเร่ืองที่
เกิดกอ่ นเรียงลาํ ดบั ไปจนถึงตอนจบ แต่อย่างไรก็ดีอาจเริ่มจากตอนใดตอนหน่ึงแลว้
ยอ้ นกลบั ไปมาตามความเหมาะสมก็ไดก้ รณีหลงั น้ีนิยมใชก้ บั เรื่องสมมตุ ิท่เี ป็นบนั เทิงคดี
๔. แทรกโวหารอธิบายหรือพรรณนาในทีส่ มควรเพอื่ เพ่มิ ความแจม่ แจง้
และอรรถรสของเรื่อง ควรใชค้ วามสงั เกตมากเป็นพิเศษ
ชีวประวตั ิ
ชีวประวตั ิ คอื เรื่องราวเกี่ยวกบั ความเป็นไปในชีวติ ของบุคคล ชีวประวตั ิมีสอง
ชนิด คือ ชีวประวตั ซิ ่ึงเจา้ ของประวตั ิเขียนดว้ ยตวั เอง เรียกว่า อตั ชีวประวตั ิ กบั ชีวประวตั ิ
ซ่ึงผเู้ ขียนเป็นบคุ คลอ่นื
๑. เลอื กเฉพาะเรื่องราวหรือเหตกุ ารณ์ตอนสาํ คญั
๒. กล่าวแตส่ ่ิงทเ่ี ป็นความจริง
๓. เรียงเน้ือเร่ืองตามลาํ ดบั เวลา แต่อาจเทา้ ความถึงเร่ืองเก่ียวเนื่องซ่ึงไม่เป็นไป
ตามลาํ ดบั เวลาไดต้ ามความเหมาะสม
๔. แทรกโวหารอธิบายหรือพรรณนาในทสี่ มควร
๕. แสดงความคดิ เห็นเชิงสร้างสรรคก์ ลา่ วเฉพาะสิ่งทเ่ี ป็นคติท้งั ส่วนดีส่วน
บกพร่องอยา่ งเป็ นกลางโดยไม่ทาํ ใหผ้ ูอ้ ่านรู้สึกว่าผูเ้ ขียนไมจ่ ริงใจ
การเดนิ ทาง
การบรรยายการเดินทางควรประกอบดว้ ยหลกั เกณฑท์ วั่ ไปของการเขยี นบรรยาย
และลกั ษณะเฉพาะดงั น้ี
๑. กล่าวถงึ โอกาสและพาหนะในการเดินทาง
๒. กลา่ วเฉพาะสิ่งพบเห็นทีน่ ่าสนใจ
๓. เรียงใจความตามลาํ ดบั เวลา
๔. อาจใชโ้ วหารอธิบาย หรือพรรณนา ประกอบตามสมควร
๕. แทรกขอ้ คดิ เห็นหรือเร่ืองประกอบตามความเหมาะสม
ตอ่ ไปน้ีจะเป็นตวั อยา่ งการบรรยายการเดินทาง
ตวั อย่างงานเขียนเชิงอธิบาย
เสด็จประพาสบ้านยายผึง้
จอดรอกระบวนเสดจ็ อยจู่ นคา่ํ กลางคืนน้าํ ข้นี ไฟพ่วงล่วงหนา้ หลดุ ออกมาไดท้ ีละ
ลาํ สองลาํ ถามดกู ไ็ มไ่ ดค้ วามวา่ กระบวนเสดจ็ อยทู่ ไ่ี หนจนยามกวา่ จีงไดค้ วามจากเรือลาํ ห
นี่งวา่ ประทบั แรมอยทู่ ่หี นา้ วดั หนองแขม ฉนั ก็เลยจอดนอนคอยอยทู่ ก่ี ระทมุ่ แบนน่นั เอง
คร้ันรุ่งเชา้ วนั ที่ ๑๖ ออกเรือลว่ งหนา้ มาคอยเสดจ็ อยทู่ ี่ปากคลองดาํ เนินสะดวก
พอประมาณ ๔ โมงเชา้ กระบวนเรือเสดจ็ ก็มาถึง เลยเขา้ คลองต่อมาน้าํ กาํ ลงั ท่วมทุ่ง ท่วม
คนั คลองเจิ่งท้งั สองขา้ ง แล่นเรือไดส้ ะดวก พอบา่ ยสกั ๒ โมงกม็ าถงึ หลกั หก หยดุ
กระบวน ประทบั แรมที่วดั โชตทิ ายการาม
เวลาบ่ายทรงเรือเล็กพายไปประพาสทุง่ คอื ไร่ทีน่ ้าํ ท่วมเจา้ ของไร่กาํ ลงั เกบ็ เอาหอม
กระเทียมข้นึ ผ่งึ ตามนอกชานบา้ นเรือนตลอดจนบนหลงั คาเพราะไม่มีที่ดิน น้าํ ท่วมเป็น
ทะเลหมด ไปถงึ บา้ นแห่งหน่ึงเจา้ ของบา้ นเป็นหญิงกาํ ลงั ตากหอมกระเทียม พอเห็น เรือก็
ร้องเช้ือเชิญให้แวะท่ีบา้ น เห็นไดว้ ่าแกไมร่ ู้จกั วา่ ใครเป็นใคร คงเขา้ ใจวา่ พวกขนุ นางที่
ตามเสด็จ คร้ันเสดจ็ ข้นึ เรือนแลว้ เพยี งตอ้ นรับยายผ้ึงยงั ไม่พอใจ ยงั เขา้ ไปยกหมอ้ ขา้ วกบั
กะบะไมใ้ ส่ชามกะลามผี กั กาดผดั หมู ปลาเคม็ น้าํ พริกกบั อะไรอกี อยา่ งหน่ึง ซ่ึงแกหาไว้
สาํ หรับแกกินของในเวลาเยน็ มาต้งั จะเล้ยี งอกี
ใครเคยตามเสดจ็ ประพาสไปรเวตมาแตก่ อ่ นยอ่ มเขา้ ใจดี วา่ ถา้ มชี ่องสนุกในการท่ี
จะไดท้ รงสมาคมกบั ราษฏรเกิดข้ึนอยา่ งน้ีแลว้ ทพี่ ระเจา้ อยหู่ วั จะเวน้ เป็นไม่มี พอยายผ้ึง
เชิญพวกเรากเ็ ขา้ ลอ้ มสาํ รับกบั พระเจา้ อยหู่ วั ดว้ ยกนั วา่ กนั คนละคาํ สองคาํ เจา้ เจก๊ ฮวดลกู
ยายผ้งึ อายรุ าวสกั ๒๐ ปี มาช่วยยกสาํ รบั คบั คอ้ นขณะเมอื่ พวกเรากินเล้ยี งเจ๊กฮวดมานงั่ ดู ๆ
พระเจา้ อยหู่ วั ประเด๋ียวเอย่ ข้นึ วา่ คลา้ ยนกั คลา้ ยนกั ขอรับ ถามว่าคลา้ ยอะไร มนั บอกว่า
คลา้ ยรูปท่ีเขาต้งั ไวต้ ามเครื่องบูชา พอประเด๋ียวกล็ ุกข้นึ นง่ั ยอง ๆ เอาผา้ ปูกราบพระ
เจา้ อยหู่ วั บอกวา่ แน่ละขอรับไมผ่ ิดละเหมือนนกั ยายผ้งึ ยายแพ่งเลยรู้ว่าพระเจา้ อยหู่ วั แตก่ ็
ไดพ้ ระราชทานมากอยู่ เห็นจะหลายสิบเท่าราคาสาํ รบั กบั ขา้ วท่ียายผ้ึงเล้ยี ง
เสดจ็ เท่ียวน้ีต้งั ตน้ ชอบกลดีทจ่ี ะสนุกมาก ต้งั แตเ่ สด็จออกจากบางประอินพระ
เจา้ อยหู่ วั ทรงสบายข้นึ มาก
ใบงาน ชุดที่ ๑๓
คาํ ชีแ้ จง ให้นกั เรียนเติมคาํ หรือขอ้ ความในประโยคให้เหมาะสมและไดใ้ จความ
๑. เขาเป็นคนพูดจา ........................... ฟังแลว้ เขา้ ใจง่าย
๒. เธอจง...........................ไปดูเพราะชา้ อาจไมท่ นั การ
๓. ลกู ๆ ตา่ ง..........................ใหแ้ มพ่ าไปเทย่ี ว
๔. แม่น้าํ สายน้ีกวา้ งใหญจ่ น..............................................
๕. มคี นกลุ่มหน่ึงส่งเสียงดงั ......................................อยหู่ นา้ บา้ น
๖. เธอตอ้ ง..................................กบั ลูกมากกวา่ น้ีไม่อยา่ งน้นั อาจเสียคน
๗. เราตอ้ งช่วยกนั ..............................สินคา้ ไทย
๘. เขาเป็นคนใจกวา้ งเหมือน...............................................................
๙. ฤาษีนงั่ .............................จึงเห็นวา่ สุดสาครกาํ ลงั ตกอยใู่ นอนั ตราย
๑๐.การอบรมคร้ังน้ี...............................ดว้ ยสาระทผี่ ูเ้ ขา้ อบรมตอ้ งการ
ช่ือ.................................................................เลขที่ ..................... ช้ัน...............
ใบงาน ชดุ ท่ี ๑๔
คาํ ชี้แจง ให้นกั เรียนเขียนประโยคอธิบายภาพต่อไปน้ีภาพละ ๑ ประโยค
๑. ..................................................................
๒. ..................................................................
๓. ..................................................................
๔. ..................................................................
๕. ..................................................................
๖. ..................................................................
๗. ......................................................................
๘. ......................................................................
๙. ......................................................................
๑๐. ......................................................................
ชช่ือุด.ภ.แ.า.บษ..บา.พ.บ..าัน.ท.ท.ี .ึกบ..ผท..ล.ทก..่ีา๙.ร..ป.ค.ร.ระ..ื้นเ.ม.เ.คนิ .ร.ก.ง.า.เรพ..เร.ล.ียง..นพ..รน้ื .ู้.บ..ก้า.ลน..่มุ..ส.แ.าผ.ร.น.ะ.กก..าา.รร..จเเรลัดียกขนารทรู้ภเร่ี า.ียษ..นา..ไร.ทู้.ท.ย.ี่..๗..ช.เ้รั.น.่ือ.ป.ง.ร.งะ.าถชนม้เันขศึียก..นษ..าเ.ชป..ิงี ท.อ.ี่.ธ๖..ิบ..า.ย
แผนการจดั การเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนที่ ๘
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทที่ ๙ ครื้นเครงเพลงพืน้ บ้าน เวลา ๘ ชั่วโมง
หัวข้อเรื่อง การเลือกอ่านสื่อสารสนเทศ เวลา ๑ ช่ัวโมง
วันท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาํ ไปใช้
ตดั สินใจ แกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวติ และมนี ิสัยรักการอา่ น
๑. สาระสําคัญ
๑.๑ ความคิดรวบยอด
สารสนเทศ เป็นขอ้ มลู ขา่ วสาร ความรู้และเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ซ่ึงรวบรวมไว้ และ
ถา่ ยทอดในรูปแบบต่าง ๆ การศึกษาขอ้ มลู ขา่ วสารทีท่ นั สมยั และรวดเร็วเราสามารถสืบคน้
ไดจ้ ากระบบสารสนเทศ
๑.๒ สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน
- ความสามารถในการส่ือสาร
- ความสามารถในการคดิ
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
๒. ตวั ชี้วัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๘ อา่ นหนงั สือตามความสนใจ และอธิบายคณุ ค่าทไ่ี ดร้ ับ
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนคดิ วเิ คราะหส์ ่ือสารสนเทศได้
๓.๒ นกั เรียนนาํ ความรูม้ าประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้
๔. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
๔.๑ รกั ความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มวี นิ ยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอ่านหนงั สือตามความสนใจ เช่น
หนงั สือท่ีนกั เรียนสนใจและเหมาะสมกบั วยั
หนงั สืออ่านทีค่ รูและนกั เรียนกาํ หนดร่วมกนั
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ การวิเคราะหค์ ณุ คา่ ของวรรณคดี
๖. ชิ้นงาน / หลักฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การําใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทึกผลการประเมิน
๖.๓ การทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ออกเป็ นกลมุ่ ละ ๔ – ๕ คน แตล่ ะกลมุ่ ประกอบไปดว้ ย
นกั เรียนทมี่ ีระดบั ภมู ิปัญญาสูง กลาง และต่าํ ให้แตล่ ะกลุ่มเลอื กหวั หนา้ กลมุ่ รอง
หวั หนา้ กลมุ่ และเลขานุการกลมุ่ ควรใชก้ ลุ่มเดิมตลอดบทเรียน
๗.๒ นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาใบความรู้เรื่อง “ สื่อสารสนเทศ” ( ทา้ ยแผน )
จากน้นั ครูให้แตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาประเภทของสื่อสารสนเทศ และหลกั การในการเลือกใชโ้ ดย
ใหส้ ่วนหน่ึง ศกึ ษาเร่ือง สื่อตพี มิ พ์ อกี ส่วนหน่ึง ศกึ ษาเรื่อง สื่อไมต่ พี ิมพ์ จากน้นั ใหแ้ ต่
ละกลุ่มส่งตวั แทนออกมารายงานที่หนา้ ช้นั
๗.๓ ให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาความรู้ทางภาษา จากใบความรู้เร่ือง
ขอ้ มลู สารสนเทศ ( ทา้ ยแผน ) โดยศึกษาในหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
กลมุ่ ที่ ๑ ศึกษาเร่ือง “ ซีดีรอม ”
กลมุ่ ท่ี ๒ ศกึ ษาเร่ือง “ เครือข่ายอินเตอร์เนต ”
กลุ่มท่ี ๓ ศกึ ษาเร่ือง “ ไปรษณียอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ ”
กล่มุ ท่ี ๔ ศึกษาเร่ือง “ แผ่นป้ายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ”
กลมุ่ ท่ี ๕ ศึกษาเรื่อง “ หอ้ งคุยอิเลก็ ทรอนิกส์ ”
ให้นกั เรียนระดมความคดิ ระดมสมอง แลกเปลย่ี นเรียนรู้กนั ภายในกลมุ่
ใหน้ กั เรียนกลุม่ ส่งตวั แทนมาเสนอผลการคน้ ควา้ หนา้ ช้นั เรียน พร้อมคดั ลอกสาระน้นั
ประกอบการรายงาน
๗.๔ ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปความรู้เร่ือง การเลือกอ่านเร่ืองจากสื่อ
สารสนเทศ ดงั น้ี
ส่ือสารสนเทศ เป็นส่ือทแี่ สดงขอ้ มูล ข่าวสาร ขอ้ เท็จจริง ความรู้ และ
เหตุการณต์ า่ ง ๆ ซ่ึงไดร้ วบรวมไว้ และถ่ายทอดเป็ นรูปแบบต่าง ๆ
สื่อสารสนเทศ แบง่ ออกเป็ น ๒ ประเภท คอื สื่อตีพิมพ์ และส่ือไม่
ตีพิมพ์
๗.๔๕ นกั เรียนทาํ ใบงานกล่มุ ชุดที่ ๑๕ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เลือกตอบถกู – ผดิ
เสร็จแลว้ นาํ ส่งครู ครูเฉลย นกั เรียนแลกเปลีย่ นกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๗.๕ นกั เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนประจาํ บทเรียนที่ ๙ คร้ืนเครงเพลงพ้นื บา้ น
( ทา้ ยแผน ) จาํ นวน ๒๐ ขอ้ เสร็จแลว้ ครูเฉลย นกั เรียนกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๖. สื่อ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลาํ ดบั ที่ รายการสื่อ กจิ กรรมทใี่ ช้ แหล่งท่ีได้มา
๑ รูปภาพ ครูใชป้ ระกอบคาํ อธิบาย ครูจดั เตรียม
๒ แบบฝึกหดั ชุดท่ี ๑๕ นกั เรียนทาํ ใบงานกลุ่ม ครูจดั ทาํ
นกั เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน ครูจดั ทาํ
๓ แบบทดสอบหลงั เรียน นกั เรียนดูภาพและฝึกอ่าน ครูจดั หา
๔ หนงั สือเรียน ชุด ภาษาพาที ตรวจสอบแบบฝึ กหดั ครูจดั ทาํ
ช้นั ป.๖ ประเมนิ ผลงาน ครูจดั ทาํ
บนั ทึกการสงั เกตพฤตกิ รรม และ ครูจดั ทาํ
๕ เฉลยแบบทดสอบ บนั ทกึ ผลงานรายบคุ คล
๖ เกณฑก์ ารประเมิน
๗ แบบประเมินการสงั เกต
พฤติกรรม และแบบ
ประเมินผลงานรายบุคคล
วดั ผลประเมนิ ผล เครื่องมือท่ใี ช้ใน วธิ กี ารประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ
การประเมนิ
กจิ กรรมที่ประเมิน แบบประเมินการสังเกต สังเกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมดา้ น พฤติกรรม และแบบ สงั เกตรายกลุ่ม ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน ตรวจงาน ๕ = พอใช้
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ รายบคุ คล ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
ประสงค์ ตรวจงาน
รายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม แบบประเมนิ การสังเกต ๖ – ๗ = ดี
พฤติกรรม และแบบ ๕ = พอใช้
ประเมนิ ผลงาน ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๘ - ๑๐ = ดีมาก
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน แบบประเมินการสังเกต ๖ – ๗ = ดี
ชุดที่ ๑๕ พฤติกรรม และแบบ ๕ = พอใช้
ประเมนิ ผลงาน ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๑๗ - ๒๐ = ดีมาก
๔. นกั เรียนทาํ แบบทดสอบ แบบประเมนิ การสังเกต ๑๕ – ๑๖ = ดี
หลงั เรียน พฤตกิ รรม และแบบ ๑๒ – ๑๔ = พอใช้
ประเมินผลงาน ต่าํ กว่า ๑๒ = ปรับปรุง
การประเมิน ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ อู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พูดเสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลิกในการ เน้ือหาทพ่ี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพูดไม่ค่อยดี
การปฏบิ ตั งิ านตาม มที กั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคิดสร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบยี บ มีทกั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่ีสวน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี
ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคุมอารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏิบตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แต่งกายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแตง่ กายไม่ วินยั นอ้ ย ไมค่ ่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มีความมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะม่งุ มนั่ ใน ไม่มคี วามมานะมุง่ มนั่
การทาํ งานทไี่ ดร้ บั การทาํ งานทไ่ี ดร้ ับ ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน
ท่รี าคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์การเรียน ที่ราคาคอ่ นขา้ งแพงและ
คุม้ ค่าใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มคี วามเสียสละเพ่ือ มีความเสียสละเพ่อื ไมค่ อ่ ยเสียสละเพือ่
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลอื เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หมูค่ ณะ ช่วยเหลือหมคู่ ณะ
๑๐. กิจกรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บนั ทกึ ผลหลังการสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผ่านจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ...............
ไม่ผา่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผูส้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเหน็ ของผู้บงั คับบญั ชา
ความคิดเหน็ หัวหน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เห็นหวั หน้าวิชาการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกลมุ่ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อาํ นวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พมิ พน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรู้ เรื่องการเลือกอ่านสื่อสารสนเทศ
ส่ือสารสนเทศ เป็นส่ือท่ีแสดงขอ้ มูล ขา่ วสาร ขอ้ เท็จจริง ความรู้ และเหตุการณ์
ตา่ ง ๆ ซ่ึงไดร้ วบรวมไว้ และถา่ ยทอดในรูปแบบตา่ ง ๆ
ส่ือสารสนเทศ แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่
๑. ส่ือตีพิมพ์ เป็นส่ือท่ีบนั ทึกเร่ืองราวตา่ ง ๆ ลงบนกระดาษ เชน่ หนงั สือพิมพ์
เอกสาร ตาํ ราตา่ ง ๆ ซ่ึงการเลือกอา่ นเร่ืองตา่ ง ๆ จากส่ือตีพิมพ์ มีหลกั การ ดงั น้ี
เลือกอา่ นเร่ืองท่ตี รงกบั ความตอ้ งการ เหมาะสมกบั วยั
เลือกอา่ นเร่ืองท่ีมีความนา่ เช่ือถือ มีความเป็นไปได้
เลือกอา่ นเร่ือท่ีมีความทนั สมยั มีเน้ือหาท่นี า่ สนใจ ใหค้ วามรู้ และมี
ประโยชนใ์ นการดาํ เนินชวี ิต
๒. ส่ือไมต่ ีพิมพ์ เป็นส่ือท่บี นั ทึกความรูล้ งบนอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกสต์ า่ ง ๆ เชน่
ไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) โทรสาร (Fax) สไลด์ (slide)
การเลือกอ่านสื่อไม่ตีพิมพ์ มีหลกั การ ดงั น้ี
เลือกอา่ นเร่ืองท่ีมีเน้ือหาเหมาะสมกบั วยั
เลือกอา่ นเร่ืองท่ีมีประโยชน์ ไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย และศีลธรรมจรรยาท่ีดี
เลือกอา่ นเร่ืองท่ีมีความนา่ เช่ือถือ มีความเป็นไปได้
เลือกอา่ นเร่ืองท่ไี มล่ ะเมิดสิทธิของผูอ้ ่ืน หรือไมอ่ า่ นเร่ืองท่ที าํ ใหผ้ ูอ้ ่ืน
เดือดรอ้ น