NATIVE COSTUME AND TEXTILE
ผ้ า ก า บ บั ว
ผ้ า ป ร ะ จำ จั ง ห วั ด อุ บ ล ร า ช ธ า นี
น า ง ส า ว ป ณิ ต า โ ข พิ ม พ์ 6 2 0 1 1 1 1 6 0 2 9 3 C A
" ผ้ า ก า บ บั ว "
ใ น ห น้ า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า จากการค้นคว้าถึงตำนานผ้าเยียรบับนี้พบว่า เป็น
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระเจ้าบรม ผ้าลายกาบบัวคำ ทอด้วยเทคนิคขิด หรือยกด้วย
วงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่าง ไหมคำ (ดิ้นทอง) แทรกด้วยไหมมัดหมี่ ใช้เทคนิค
พระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ได้นำผ้าทอ การจกหรือเกาะด้วยไหมสีต่างๆ ลงบนผืนผ้า
เมืองอุบลฯ ทูลเกล้าถวาย ซึ่งปรากฏในพระราช ในเวลาต่อมาอีก 55 ปีถัดจากนั้น เมื่อวันที่ 28
หัตถเลขาตอบเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ร.ศ.114 ที่ เมษายน 2493 ชาวอุบลราชธานีได้ร่วมใจกันทอ
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ความว่า ผ้าซิ่นไหมเงิน ยกดอกลายพิกุล ทูลเกล้าฯ ถวาย
เนื่องในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระบาท
"ถึง สรรพสิทธิ ด้วยได้รับหนังสือลงวันที่ 13 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กับหม่อม
มกราคม ส่งผ้าเยียรบับลาวมาให้นั้นได้รับแล้ว ราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และถัดจากนั้นอีก 5 ปีต่อ
มา ในวโรกาสเสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกรชาว
ผ้านี้ทอดีมากเชียงใหม่สู้ไม่ได้เลย ถ้าจะยุให้ อุบลราชธานีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2498
ทำมาขายคงจะมีผู้ซื้อ ฉันจะรับเป็นนายหน้า ส่วน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรง
ที่ส่งมาจะให้ตัดเสื้อ ถ้ามีเวลาจะถ่ายรูปให้ดู แต่ ฉลองพระองค์ด้วยผ้าซิ่นไหมเงิน ที่ชาวอุบลราชธานี
อย่าตั้งใจคอยเพราะจะถ่ายเมื่อใดบอกไม่ได้ ทูลเกล้าฯ ถวาย และมีพระกระแสรับสั่งกับเหล่าผู้
เฝ้ารับเสด็จฯ ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด
จุฬาลงกรณ์ ปร. อุบลราชธานี ว่า "ชาวอุบลฯ เขาให้ผ้าซิ่นนี้เป็นของ
ขวัญวันอภิเษกสมรส เมื่อมาเยี่ยมอุบลฯ จึงนำมา
นุ่งให้คนอุบลฯ เขาดู" ยังความปลาบปลื้มปิติเป็น
ล้นพ้นของชาวอุบลราชธานีทั้งมวล
ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ล ว ด ล า ย ผ้ า
"ผ้ากาบบัว” ได้มีการประกาศให้ เป็นลายผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันอังคารที่ 25
เมษายน พ.ศ. 2543 โดยคณะทำงานพิจารณาลายผ้าพื้นเมือง ตามโครงการสืบสานผ้าไทย สายใยเมือ
งอุบลฯ ได้ร่วมพิจารณาศึกษาประวัติความเป็นมาของลายผ้าในอดีต ที่ทรงคุณค่ามาปรับปรุง ออกแบบ
สร้างสรรค์ลายผ้า เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้คัดเลือกให้ชื่อว่า "ผ้ากาบบัว" เป็นลายผ้า
เอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี มีคุณลักษณะดังนี้
สีผ้ากาบบัว เป็นสีของกาบบัว หรือกลีบบัว ซึ่งไล่จาก สีอ่อนไปแก่ จากขาว ชมพู เทา เขียว น้ำตาล ซึ่ง
ผ้ากาบบัวมีความหมายและเหมาะสมสอดคล้องกับชื่อของจังหวัดอุบลราชธานี
ผ้ากาบบัว อาจทอด้วยฝ้ายหรือไหม ประกอบด้วยเส้นยืน ย้อมอย่างน้อยสองสี เป็นริ้วตามลักษณะ
"ซิ่นทิว" นอกจากนี้ ยังทอพุ่งด้วยไหมสีมับไม (ไหมปั่นเกลียวหางกระรอก) มัดหมี่และขิด
จากบทนิยาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฉบับที่
1547(พ.ศ. 2552) ได้ให้ความหมายกำหนดลักษณะเฉพาะของผ้ากาบบัว เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ผ้า
กาบบัว (ธรรมดา) ผ้ากาบบัว (จก) และผ้ากาบบัว (คำ)
ผ้ากาบบัว (ธรรมดา) หมายถึงผ้าทอที่ใช้เส้นด้ายยืนอย่างน้อย 2สี ทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่น
ทิว และใช้เส้นด้ายพุ่งทอเป็นลาย คั่นด้วยหางกระรอก(ควบเส้น) มัดหมี่ และขิด
ผ้ากาบบัว (จก) หมายถึงผ้าทอที่ใช้เส้นด้ายยืนอย่างน้อย 2สี ทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่นทิว
และเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษ โดยการจกเป็นลวดลาย กระจุกดาว หรือเกาะลายดาว ซึ่งอาจมีเป็นช่วงกลุ่มหรือ
กระจายทั่วทั้งผืนผ้า
ผ้ากาบบัว (คำ) หมายถึงผ้าทอที่มีหรือไม่มีลายริ้วก็ได้ เป็นผ้ายกหรือผ้าขิดที่ใช้เส้นด้ายพุ่งเพิ่มพิเศษ
คือดิ้นทอง อาจสอดแทรกด้วยดิ้นเงินหรือไหม สีต่างๆไปตามลวดลายบนลายพื้น และคั่นด้วยมัดหมี่
ล ว ด ล า ย แ ล ะ ก ร ร ม วิ ธี ก า ร ท อ
ผ้ากาบบัวเป็นผ้าที่มีลักษณะรวมเอาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของผ้าพื้นเมืองอุบลมารวมไว้หลาย
ชนิดได้แก่ ลักษณะของซิ่นทิว มับไม มัดหมี่ ผ้าขิดหรือจก
ซิ่นทิว ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นยืนหรือริ้วหรือทิว 2 สีตามลักษณะของซิ่นทิวดั้งเดิมซึ่งเป็นที่นิยมของ
สตรีเมืองอุบลอย่างแพร่หลายมาก่อน
มับไม ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นพุ่งมับไมซึ่งเกิดจากการเข็นคือปั่นเกลียวเส้นพุ่ง 2 เส้นเข้าด้วยกัน
การเข็นมับไมนี้พบในผ้าที่เรียกว่า ผ้าไหมควบหรือผ้าไหมหางกระรอกหรือผ้าวา และซิ่นเข็น
มัดหมี่ ผ้ากาบบัวจะสวยงามมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลวดลายหมี่เป็นองค์ประกอบหลัก ลายหมี่
ในผ้ากาบบัวทั้งลายดั้งเดิมและลายประยุกต์ขึ้นใหม่
ขิด ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นพุ่งที่เป็นเส้นใหญ่หรือเส้นนูนขึ้นจากเนื้อผ้าเป็นการเลียนแบบเส้นลาย
ของกลีบบัวซึ่งใช้วิธีขิด
จก การจกเป็นการตกแต่งให้ผ้ากาบบัวมีความวิจิตรงดงามยิ่งขึ้น เป็นวิธีที่ยากและเสียเวลามาก
ขึ้น ผ้ากาบบัวจึงอาจจะมีจกหรือไม่มีก็ได้ โดยเจตนาของผู้คิดผ้ากาบบัว มุ่งที่จะคงลักษณะผ้าซิ่นหัวจก
ดาวของสตรีชั้นสูงของเมืองอุบลเอาไว้
กรรมวิธีการทอเริ่มจาก การเตรียมเส้นยืนหรือการค้นเครือหูก จะเตรียมเส้นยืนให้เป็นเส้นไหม
2 สี สลับกัน ซึ่งคือลักษณะของซิ่นทิว ส่วนเส้นพุ่ง ประกอบด้วยเส้นไหม 4 ชนิด คือ เส้นไหมสีพื้น เส้น
ไหมมับไม ( เส้นที่ปั่นเกลียวเส้นไหม 2 สีเข้าด้วยกัน ) เส้นไหมสำหรับขิด (โดยนำเส้นไหมมาควบกัน
2 เส้นเพื่อให้เส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ) เส้นไหมหมี่ (เส้นไหมที่นำมามัดย้อมเป็นลวดลายเรียบร้อย
แล้ว) เมื่อเตรียมเส้นไหมพุ่งทั้ง 4 ชนิด เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปทอในหูกที่ค้นเครือไว้ โดยในการทอผู้
ทอจะต้องจดจำรายละเอียด และลำดับของการสอดเส้นไหมพุ่งและการเก็บขิดตามลวดลายที่วางไว้
ลั ก ษ ณ ะ โ ค ร ง ส ร้ า ง
ลวดลาย
(ถอดลายเส้น แยกโครงสร้างลาย)
ผ้ากาบบัว (จก)
ผ้ากาบบัว (ธรรมดา)
ผ้ากาบบัว (คำ)
อ อ ก แ บ บ ก า ร จั ด ว า ง ล ว ด ล า ย ใ ห ม่
ก า ร ใ ช้ ง า น ทั่ ว ไ ป
( อดีต - ปัจจุบัน )
การนำไปใช้ประโยชน์
1. ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการตัดเย็บเครื่องแต่งกายทั้งชายและหญิง ในสมัยโบราณนั้น ฝ่ายชาย
จะใช้ ผ้าปูม (ทอแบบมัดหมี่สำหรับนุ่งโจม) ผ้าวาหรือผ้าหางกระรอก (ทอด้วยเส้นมับไม) ผ้า
โสร่ง (ทอคั่นเส้นมับไม) ผ้าสร้อยปลาไหล (ทอด้วยเส้นมับไม) ผ้าแพรอีโป้ (ผ้าขะม้า) ผ้าปก
หัว(นาค) และผ้าแพรมน เป็นต้น
2.สำหรับฝ่ายหญิง มีซิ่นชนิดต่างๆ คือ ซิ่นยกไหมคำ (ดิ้นเงิน – ดิ้นทอง) ซิ่นขิดไหม (ยกดอกด้วย
ไหม) ซิ่นหมี่ ซิ่นทิว ซิ่นไหมควบ ซิ่นลายล่อง นอกจากนี้ ยังมีผ้าห่ม (ถือ) หรือผ้าเบี่ยง (สไบ)
และผ้าตุ้มอีกหลายแบบ
ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ ยุ ก ต์
ใ ช้ สู่ ง า น แ ฟ ชั่ น
ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ ยุ ก ต์
ใ ช้ สู่ ง า น แ ฟ ชั่ น
ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ป ร ะ ยุ ก ต์
ใ ช้ สู่ ง า น แ ฟ ชั่ น