The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จัดทำขึ้นในรายวิชาการเขียนเชิงวิชาการ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โครงงานการแต่งกายในชุดประจำชาติไทย e-book

จัดทำขึ้นในรายวิชาการเขียนเชิงวิชาการ

โครงงานการเขียนเชิงวิชาการ เรื่อง การแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย คณะผู้จัดท าโครงงาน เด็กชายณัฐภัทร กาฬภักดี เลขที่ 7 เด็กชายวรัท แสนทรัพย์ เลขที่ 23 เด็กหญิงคณนันท์คล้ายสุบรรณ เลขที่ 29 เด็กหญิงจีระนัน สุวรรณมุข เลขที่ 30 เด็กหญิงพุฒิประภา ทองจันทร์เลขที่40 เด็กหญิงภาสินี ฤกษ์งาม เลขที่ 41 เด็กหญิงรัตนมน บุญขันธ์เลขที่42 เด็กหญิงศศิรฎา ทองค าชูเลขที่43 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/9 เสนอ คุณครูนันท์ณภัส กันพงษ์ โครงงานเล่มนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชาการเขียนเชิงวิชาการ 2 รหัสวิชา ท20216 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลยัจังหวัดสุพรรณบุรีส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9


ก บทคัดย่อ โครงงานภาษาไทยเรื่องชุดประจา ชาติไทยจดัทา ข้ึนเพื่อนรวบรวมชุดประจา ชาติไทยในแต่ละ สมัยที่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักโดยเฉพาะคนในปัจจุบันส่วนใหญ่ ชุดประจ าชาติไทย เป็ นเครื่องแต่งกายประจ าชาติไทย มีประวัติความเป็ นมาและเอกลักษณ์ อันยาวนาน โดยสามารถแต่งกายได้ทุกเพศทุกวัย ในแต่ละสมัยจะมีการแต่งกายที่ต่างกันออกไปในแต่ละ ยคุสมยัต้งัแต่นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ นุ่งผา้ซิ่น เส้ือทรงสมยัจนถึงการแต่งกายเลียนแบบ ไทยสากลนิยม ณ ปัจจุบัน ชุดประจา ชาติไทยในแต่ละยคุสมยัจะมีเน้ือหาที่มาและความรู้หากศึกษาแล้วสามารถน าไปใช้ ในการประกอบอาชีพได้เพราะเหตุน้ีคณะผูจ้ดัทา จึงไดท้า การศึกษาคน้ควา้เพื่อใหผ้อู้่านเขา้ใจถึง วฒันธรรมการแต่งกายประจา ชาติไทยไดม้ากข้ึน


ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานการศึกษาเรื่องชุดประจ าชาติไทย ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลือ แนะน า ให้ คา ปรึกษา ตรวจสอบแกไ้ขขอ้บกพร่องต่างๆ ดว้ยความเอาใจใส่อยา่งดียงิ่จากคุณครูนนัทณ์ภสักนัพงษ์ คุณครูผู้สอนรายวิชาการเขียนเชิงวิชาการ 1 รหัสวิชา ท20215 และรายวิชาการเขียนเชิงวิชาการ 2 รหัส วิชา ท20216 ผู้จัดท ากราบขอบพระคุณเป็ นอย่างสูง ขอขอบพระคุณเพื่อนๆในกลุ่มที่ช่วยกันสืบค้นข้อมูลต่างๆ ระดมความคิดในการท ารายงาน และ อยู่เป็ นเพื่อนในเวลาเหงา ขอขอบคุณคุณแม่และญาติพี่นอ้งทุกคนที่ช่วยเหลือสนบัสนุนท้งัดา้นกา ลงัใจ และก าลังทรัพย์ด้วยดีตลอดมา สุดทา้ยขอขอบคุณเพื่อนๆ และบุคคลทวั่ ไปที่ใหค้วามร่วมมือในการทา แบบประเมิณความพึง พอใจเรื่องชุดประจ าชาติไทย จนท าให้โครงงานส าเร็จลุล่วงไปได้นอกจากน้ียงัมีผทู้ี่ใหค้วามร่วมมือ ช่วยเหลืออีกหลายท่าน ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถกล่าวนามในที่น้ีไดห้มด จึงขอขอบพระคุณทุกท่านเหล่าน้นั ไว้ณ โอกาสน้ีดว้ย คุณค่าท้งัหลายที่ไดร้ับจากการทา โครงงาน ผูจ้ดัทา ขอมอบความกตญัญูกตเวทีแต่บิดามารดา และบูรพาจารย์ที่เคยอบรม คณะผู้จัดท า


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข บทที่1 บทน า 1 1.ความส าคัญและความเป็ นมาของปัญหา 1 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2 3. ขอบเขตของการศึกษา 2 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 5. นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัย 4 1. ความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกบัชุดประจา ชาติไทย 4 2. แนวทางในการต่อยอดการแต่งกายในชีวิตประจ าวัน 33 บทที่ 3วิธีการด าเนินการ 37 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 37 2.วัสดุและอุปกรณ์ 37 3.ข้นัตอนการดา เนินงาน 40 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ 41 ตารางที่1 แบบประเมินความพึงพอใจเรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย 41 ตารางที่ 2 แสดงผลแบบประเมินความพึงพอใจเรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย 43 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 44


บ ร ร ณ า นุ ก ร ม 45 ป ร ะ วัติ ค ณ ะ ผู้ จดท า ั 55


1 บทที่1 บทน า 1. ความส าคัญและความเป็ นมาของปัญหา ชุดไทย น้นัคือ ชุดประจา ชาติที่มีเอกลกัษณ์เฉพาะตวัไม่เหมือนกบัชาติอื่นๆ ดว้ยการออกแบบและ การตัดเย็บที่ประณีต บวกกับการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าที่เกิดจากงานฝี มือของช่างไทยที่มีความ โดดเด่น นนั่จึงทา ให้ชุดไทยดูแตกต่างและถือไดว้่าเป็นงานศิลปะหน่ึงเดียวในโลกที่หาใครมาเทียบเท่า ไดย้าก ทุกวนัน้ีชุดไทยอาจไม่ไดรู้้จกักนัอย่างแพร่หลายมากนัก เนื่องมาจากยุคสมยัที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชมและหลงใหลอยู่ในวัฒนธรรมต่างชาติ ท าให้รสนิยมการแต่งกาย เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ความศิวิไลซ์มากข้ึน ท าให้ชุดไทยจึงถูกลดความส าคัญไปโดยปริยาย ถึงแม้ในว่า ทุกวนัน้ีชุดไทยไม่ไดถู้กนา มาสวมใส่ในชีวิตประจา วนัแต่ว่าก็ไดม้ีการยกข้ึนมาเอกลักษณ์การแต่งกาย ประจา ชาติอีกท้งัยงัมีการรณรงคใ์ห้สวมใส่กนั ในวนัส าคญัหรือเทศกาลส าคญัต่างๆ อาทิวนัแต่งงาน, วันสงกรานต์, งานเข้าเฝ้ า งานราตรีในต่างประเทศ เป็ นต้น สมัยสุโขทัย เมื่อคร้ังที่”พ่อขุนศรีอินทราทิตย”์ทรงสถาปนากรุงสุโขทยัข้ึน เป็นราชธานี แห่ง อาณาจักร สุโขทัย เมื่อ พ.ศ.1762 ได้มีหัวเมืองต่างๆที่มีคนไทยปกครองก็หันมายอมรับเอากรุงสุโขทัย เป็น ศูนย์กลางอ านาจ ท าให้มีอาณาเขตแผ่กว้างออกไป มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านท้ัง ศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการ (โอม รัชเวทย์, 2543:44) การแต่งกายของชาวสุโขทัยอาจเทียบเคียง ได้จาก ภาพเขียนลายเส้นบนแผ่นศิลาจากวัดศรีชุม ภาพลายเส้นบนรอยพระพุทธบาทที่ท าด้วย ส าริด รูปหล่อ ส าริดและตุ๊กตาสังคโลก (คณะอนุกรรมการแต่งกายไทย, 2543: 102-103) ที่แสดง ใหเ้ห็นท้งัทรงผม เส้ือ ผ้าห่ม เครื่องประดับและเครื่องหอม สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัย “สมเด็จพระนารายณ์” ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ตามการบันทึกของลาลู แบร์ราชทูตของพระเจา้หลุยส์ที่14แห่งฝรั่งเศส ในคณะทูตานุทูตฝรั่งเศสชุดที่2 ที่เขา้มาถึงสยาม พ.ศ. 2230 และรจนาในปี พ.ศ. 2231 ก็บันทึกเครื่องแต่งกายไว้ว่า ชาวสยามไม่ใคร่จะพอใจหุ้มห่อกายนัก ซึ่ง ลาลูแบร์เปรียบเทียบกับการแต่งกายของชนชาติอื่นที่แทบจะเปลือยกาย ขณะที่ในความเห็นของ ลาลูแบร์ที่ชาวสยามไม่ใคร่พอใจนุ่งห่มน้นัเป็นเพราะ “อาการสะเพร่าและอากาศร้อนจัด”


2 สมยักรุงธนบุรีภายหลงัสงครามสิ้นสุดลง พระเจ้ากรุงธนได้มี ความสัมพันธ์กับ ต่างประเทศ มากข้ึน เพื่อฟ้ืนฟูเศรษฐกิจ เพื่อช่วยใหป้ระชาชนมีความเป็นอยดู่ ีข้ึน จึงเปิดการคา้ขายติดต่อกบั ประเทศ จีน ส่วนชาวยุโรป ชาติต่างๆ ที่เคยเขา้มา ติดต่อคา้ขาย ในสมยักรุงศรีอยธุยา น้นั ไดพ้ากนัอพยพ ออกไป ค้าขายอยู่ในประเทศอื่นๆ เสียหมดเพราะ บ้านเมืองตกอยู่ ในสภาพยุคเข็ญเป็ นจลาจลเสียช้านาน และ ประกอบกับ ทางยุโรป ก าลังยุ่งยาก กับการท าศึกสงคราม ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 จึงท าให้การ ติดต่อไมตรีกบัชาวยโุรปชาติต่างๆ ตอ้งยตุิลง ชวั่ระยะหน่ึง สมัยรัตนโกสินทร์ ( 2310-2394 ) การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์ในระยะแรก คงมีลักษณะ คล้ายคลึงกับ สมัยอยุธยา ตอนปลาย แต่ต่อมาภายหลัง เมื่อได้ติดต่อกับ ชาวยุโรป และได้รับ วัฒนธรรม ตะวันตก แบบอย่าง ประเพณีและการแต่งกาย จึงเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม.(22 มกราคม 2566). สืบค้นจาก https://sites.google.com/a/nareerat.ac.th/thai-costum-20/chud-thiy-smay-r-4-5 http://www.thaitopwedding.com/Misc/dress_history-7.html https://swis.montfort.ac.th/html_edu/cgi-bin/main_php/print_informed.php?id_count_inform=2261 https://www.sanook.com/women/47347/ https://www.silpa-mag.com/history/article_28064 จากความส าคัญดังกล่าวผู้วิจัยได้ศึกษา และรวบรวมเรื่อง ชุดประจ าชาติไทย ไว้เป็ นองค์ความรู้ ทางวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่จะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องชุดประจ าชาติไทยเพื่อนา ไปต่อยอดในการออกแบบเส้ือผา้ ที่หลากหลายต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาค้นคว้าความเป็ นมาของชุดประจ าชาติไทย 2. เพื่อได้รู้ถึงคุณค่าและวัฒนธรรมของไทย 3. เพื่อใหผ้ทู้ี่สนใจในเรื่องน้ีไดศ้ึกษา 3. ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาเฉพาะชุดประจ าชาติไทย โดยนกัเรียนกลุ่มหน่ึงในช้นัมธัยมศึกษาปี่ที่3/9


3 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. รู้ถึงความเป็ นมาเกี่ยวกับชุดประจ าชาติไทย 2. สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการแต่งกายในชีวิตประจ าวัน 3. สามารถนา เรื่องน้ีไปเผยแผต่ ่อได้ 5. นิยามศัพท์เฉพาะ ทับทรวง =เครื่องประดับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปี ยกปูนฝังเพชร พลอย ติดทับทรวงอกตรงที่ไขว้ สังวาล, ตาบ ตาบหน้า หรือตาบทับ ป้ันเหน่ง= เครื่องประดับเอว ถือเป็ นอาภรณ์อย่างหนึ่ง ที่มีหัวโลหะฉลุลวดลายงดงาม ประดับ ของมีค่า มีสายคาดประดับไว้ที่เอว ท าให้ เห็นว่าเป็ นเข็มขัด ราชปะแตน =เส้ือแบบพิธีการ มีคออยา่งเส้ือคอจีน ปิดต้งัแต่คอลงมาโดยมีกระดุมกลดัตลอดอก อย่างเครื่องแบบปกติขาวของข้าราชการ ปะวะหล ่า= ก าไล หรือสร้อยข้อมือท าเป็ นรูป กลม ๆ สลักลวดลาย สังวาล = สายสร้อยที่ใช้ประดับด้วยการสะพายคาดบนไหล่ ในสมัยโบราณผู้หญิงจะใส่ เครื่องประดับสังวาลกับชุดไทยแบบสไบเฉียง และสังวาลยังเป็ นเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงฐานะอีกด้วย


4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัย การไดศ้ึกษาภายในหวัขอ้คร้ังน้ีไดน า ้ ข้อมูลมาจากสื่ออินเทอร์เน็ตจากหลายๆ เว็บไซต์(Internet) และการเก็บข้อมูลต่างๆ โดยจ าแนกประเภทไดด้งัน้ี 1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกบัชุดประจ าชาติไทย 1.1 ประวัติเกี่ยวกับชุดประจ าชาติไทย 1.2 ชุดประจ าชาติไทยในแต่ละยุคสมัย 2. แนวทางในการต่อยอดการแต่งกายในชีวิตประจ าวัน 2.1 ชุดผ้าไทยกับการต่อยอด 2.2 ตัวอย่างการต่อยอดผา้ไทยในรูปแบบต่าง ๆ มากข้ึน 1. ความรู้พื้นฐานเกยี่วกบัชุดประจ าชาติไทย 1.1 ประวัติเกยี่วกบัชุดประจ าชาติไทย ประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีประวตัิศาสตร์อนัยาวนาน จึงมีวฒันธรรมอนัเก่าแก่มา ช้านาน วัฒนธรรมการแต่งกายประจ าชาติ จึงเป็นสิ่งหน่ึงที่บ่งบอกถึงความมีอารยธรรมและสะทอ้นให้ เห็นวัฒนธรรมที่เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาติไทยนนั่จึงทา ให้ ชุดไทยดูแตกต่างและถือไดว้า่เป็นงานศิลปะหน่ึงเดียวในโลกที่หาใครมาเทียบเท่าไดย้าก ทุกวนัน้ีชุดไทย อาจไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากนัก เนื่องมาจากยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนส่วน ใหญ่ต่างชื่นชมและหลงใหลอยู่ในวฒันธรรมต่างชาติทา ให้รสนิยมการแต่งกายเริ่ม เปลี่ยนแปลงไปสู่ ความศิวิไลซ์มากข้ึน 1.2 ชุดประจ าชาติไทยในแต่ละยุคสมัย ชุดประจ าชาติไทยในแต่ละยุคสมัยสามารถแบ่งเป็ น 4 สมยัดงัน้ี 1.2.1) สมัยกรุงสุโขทัย 1.2.2) สมัยกรุงศรีอยุธยา 1.2.3) สมัยกรุงธนบุรี


5 1.2.4) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1.2.1) สมัยกรุงสุโขทัย(พ.ศ. 1800 – 1900) สุโขทัย ได้รับการสถาปนาข้ึนเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนศรี อินทราทิตย์มีความรุ่งเรือง และเจริญกา้วหนา้ในทุกดา้นท้งัศิลปวฒันธรรม และวิทยาการต่างๆ ซ่ึงจาก การศึกษาเทียบเคียงภาพศิลาจารึกวดัศรีชุม พบหลกัฐานแสดงให้เห็นถึงการแต่งกายสมยัสุโขทยัท้งั ทรงผม เส้ือผา้ผา้ห่ม เครื่องประดบัและเครื่องหอม และข้อสังเกตการแต่งกายของในสมยัน้ีมีลกัษณะ คลา้ยการแต่งกายสมยัลพบุรีเนื่องจากแควน้น้ีเจริญข้ึนบนดินแดนที่ขอม ลพบุรีปกครองมาก่อน ลกัษณะชุด ผู้หญิง - ชาวบ้าน ไม่สวมเส้ือ หรือมีผา้แถบคาดอกหรือคล้องคอ หากยงัไม่แต่งงานจะสวมเส้ือรัดรูป แขน ทรงกระบอก นุ่งผา้โจงกระเบน หรือนุ่งผา้ซิ่นยาวกรอมเทา้รัดดว้ยเข็มขดัหรือชายผา้ผูกเอว เป็นแบบ เหน็บชายพก - ชาววัง ไม่สวมเส้ือ หรือสวมเส้ือรัดรูปแขนทรงกระบอก ห่มสไบผา้จีบ นุ่งผา้จีบยาวกรอมเทา้ทิ้งชาย ผ้านุ่งเป็ นกาบใหญ่ทางด้านหน้าหรือด้านข้างคาดผ้ายาวทับด้วยเข็มขัดขนาดใหญ่ นิยมท าเป็ นลายประจ า ยามมีพวงอุบะห้อยเป็ นแนว ผู้ชาย - ชาวบ้าน ไม่สวมเส้ือ นุ่งผา้โจงกระเบน มีชายพกขนาดใหญ่ด้านหน้า หรือคาดผา้แลว้ทิ้งชายห้อยไว้ ด้านหน้า - ชาววังไม่สวมเส้ือ นุ่งกางเกงขายาวคร่ึงน่องขดัเขมรทบั - พระมหากษัตริย์ สวมเส้ือที่มีเชิงที่คอและแขน ห่มสไบทบัเส้ือ นุ่งกางเกงขายาวคร่ึงน่อง ทับด้วยโจง กระเบน เอวมีผา้จีบประดบัห้อยลงเป็นสองชายคาดทบัดว้ยป้ันเหน่ง หรือขดัเขมรทบัมีผา้พาดไหล่ท้งั สองข้างห้อยชายผ้าด้านหลังด้านหน้าจะเป็ นเป็ นรูปโค้ง


6 ส่วนประกอบชุด ผู้หญิง - ชาวบ้าน ผ้าแถบ ผ้านุ่งหรือโจงกระเบน - ชาววัง สไบ ผ้านุ่ง คาดผ้ายาวทับด้วยเข็มขัด ผู้ชาย - ชาวบ้าน โจงกระเบน ผ้าคาดเอว (มีหรือไม่มีก็ได้) - ชาววังกางเกง ขัดเขมร ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


7 ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 1.2.2) สมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310) ราวสมัย พ.ศ. 1893 สมัยพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านปลดกางเกงหรือ สนับเพลา ออกบ้างแล้ว คงใช้เฉพาะขุนนางข้าราชส านัก แบบขัดเขมรจึงถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึง ใต้เข่าเป็ น “นุ่ง โจงกระเบน” เส้ือคอกลมแขนกรอมศอก สตรีนุ่งผา้และผา้ยกห่มสไบเฉียง สวมเส้ือ บา้งโดยมากเป็น แขนกระบอก การแต่งกายของสมัยอยุธยามีการเปลยี่นแปลงตามเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งมี3แบบ ดังนี้ แบบที่1 การแต่งกายตามกฎมณเฑียรบาลเป็นแบบของเจา้นายขา้ราชการช้นัผูใ้หญ่ท้งัผูช้ายและ ผู้หญิงตลอดจนพวกมีฐานะจะแต่งตามไปด้วย ผู้หญิงยังมีการเกล้ามวยอยู่ แบบที่ 2การแต่งกายแบบชาวบ้าน (ระยะกลางของสมัยอยุธยา) มีการนุ่งโจงกระเบนทางแถบ เมืองเหนือผูช้ายอาจไวผ้มยาว ส่วนทางใตล้งมาตดัผมส้ัน ลงคร้ันสมยัสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการไว้ผมมหาดไทย ผู้หญิงยังคงไว้ผมยาวนิยมห่มสไบ


8 แบบที่ 3ยุคสงคราม (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ท้งัผูช้ายและผูห้ญิงตอ้งช่วยกนัต่อสู้กบัศตัรูผูห้ญิงตดัผม ส้ัน ลง เพื่อปลอมเป็นผูช้าย และสะดวกในการหลบหนีเส้ือผา้อาภรณ์จึงตดัทอน ไม่ให้รุ่มร่าม เป็น อุปสรรคต่อการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหว มีการห่มผ้าตะเบงมานคือห่มไขว้กัน บริเวณหน้าอกแล้วรวบ ไปผูกไว้หลังคอ ส่วนผู้ชายไม่มีการเปลี่ยนแปลง การแต่งกายของไทยเราจะแสดงลักษณะเด่นชัดตอนสมัยสุโขทัยเป็ นราชธานีลงมา เครื่องแต่ง กายของคนย่อมเป็นไปตามสภาพดินฟ้าอากาศในปัจจุบนัก็ยงัสรุปไม่ไดอ้ย่างสิ้นเชิงว่าคนไทยเคยอยู่ ตอนใตข้องประเทศจีนหรืออยู่ณ ที่น้ีมานานแลว้มีความส าคัญในการที่จะ สันนิษฐานว่า การแต่งตัว เหมือนเผ่าไทยที่ยงัอยู่ในเขตแดนจีน มีอากาศหนาวจึงสวมเส้ือหลายช้นัถา้คนไทยอยู่ใน ณ ที่น้ันนาน แล้ว ซ่ึงจะมีอากาศร้อน เส้ือ ผา้ก็จะมีลักษณะชนิดพนัหลวม ๆ มากว่าจะเป็นแบบรัดตรึงแนบตัว นบัต้งัแต่สมยัสุโขทยัลงมาเห็นไดว้่าเครื่องแต่งกายของคนอินเดียได้เข้ามาเป็ นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่ง กายไทย ผ้าจีบและสไบก็คือผ้าส่าหรีดัดแปลงเป็ นสองท่อน ส่วนผ้านุ่งก็คือผ้านุ่ง ของผู้ชายอินเดีย คน ไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อรับวัฒนธรรมของใคร มาแล้วรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับ สภาพวิถีชีวิตของตนเอง จนกลายเป็ นไทยในที่สุด นุ่งโจงห่มจีบ ของไทยก็ได้มาจากห่มส่าหรีของแขกก็ จริงแต่ไม่ใช่แขกเรามีการใชค้า ว่าเครื่องนุ่งห่มมาก่อน เครื่องแต่งกาย เพราะใชนุ้่งและห่มจริงคือใชป้ก คลุมท่อนล่างและบนแยกกันเป็ นคนละส่วน เครื่องนุ่งห่มของไทยต้งัแต่อดีตเป็นการใช้ประโยชน์ท้งัในด้านความเหมาะสม การประหยดั และความคล่องตัวในการดัดแปลง เช่น ในสมัยอยุธยาการแต่งกายของสตรีไทยตามปกติจะ แสดงออก ซึ่งความนุ่มนวลและความเป็ นผู้หญิง แต่พอถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยจะท า สงครามกับพม่า เป็ นเวลาที่สตรีไทยต้องออกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาย การแต่งกายของสตรีก็ เปลี่ยนไปให้เหมาะสม กับบทบาทใหม่ คือ แต่งกายให้รัดกุม ไม่รุ่มร่าม สะดวกในการเคลื่อนไหว เป็ นการห่มผ้าแบบ “ตะเบง มาน”ผมก็ตดัส้ัน เพื่อสะดวกในการรบ หนีภยัและการปลอมแปล เป็นชาย ส าหรับเครื่องแต่งกายที่ใช้ สา หรับทา งานกลางแจง้หรือทา ไร่ทา นาของคนไทยน้นัก็จะใช้สีเขม้เพื่อไม่ใหส้กปรกง่าย ตวัเส้ือของ สตรีเป็นเส้ือผา่อกแขนกระบอกเพื่อกนัแดด


9 ที่มารูปภาพ:https://www.vogue.co.th/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 การแต่งกายยุคกรุงศรีอยุธยาจึงแบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้ สมัยที่ 1 ( พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2031 ) หญิง ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก) ศีรษะมี เครื่องประดบัเรียกวา่เก้ียวเป็นเครื่องรัดมวยผม เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ ก าไล ต่างหู การแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเส้ือ แขนกระบอก คอกลม ผ่าหน้า เส้ือ ยาวเขา้รูป มีผา้คลุม สะโพกไวด้า้นในของตวัเส้ือแต่ปล่อยชายออกดา้นนอก ต่อมาไดต้่อเขา้กบัตวัเส้ือเป็น ชายเส้ือ ลงมาอีกทีหนึ่ง ชาย ผม มหาดเลก็และคนรับใชต้ดัผมส้ัน ชายยงัคงเกลา้ผมกลางกระหม่อม


10 การแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแขง้ ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผา้หยกัร้ังแบบเขมร ซ้อนทบักางเกง ชายผา้ยาวเสมอเข่า ใชผ้า้คาดเอว สวมเส้ือคอแหลม แขนยาวจรดขอ้มือ ผ่าอก สาบซา้ยทบัสาบขวา มีผา้กุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหนา้และชายเส้ือ เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ มงกุฎที่ ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกร เครื่องประดับศีรษะถักด้วยลวดทองค า ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 สมัยที่ 2 ( พ.ศ. 2034-2171 ) หญิง ผม ตดัผมส้ัน หวีเสยข้ึน ไปเป็นผมปีก บา้งก็ยงัไวผ้มยาวเกลา้บนศีรษะเลิกเกลา้เมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะต้องท างานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม


11 การแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเส้ือแขนกระบอกคอกลมผ่าอกไม่นิยมสไบ ผหู้ญิงช้นัสูงสวมเส้ือคอแหลม มีผา้คลอ้งไหล่2ข้าง การห่มสไบมีหลายแบบ 1) พนัรอบตวัเหน็บทิ้งชาย 2) ห่มแบบสไบเฉียง คือ พันรอบอก 1รอบแลว้เฉวียงข้ึนบ่าปล่อยชายไวข้า้งหลงัเพียงขา พับ 3) แบบสะพกัสองบ่า ใชผ้า้พนัรอบตวัทบักนัที่อกแลว้จึงสะพกัไหล่ท้งัสองปล่อยชายไป ขา้ง หลงัท้งั 2ข้าง 4) แบบคล้องไหล่ เอาชายไวข้า้งหลงัท้งัสองชาย 5) แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า 6) แบบห่มคลุม ชาย ผม ตดัผมส้ัน แสกกลาง เครื่องแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเส้ือ มีผา้คลอ้งไหล่ ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


12 สมัยที่ 3 ( พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275 ) หญิง ผม สตรีในส านักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อมแล้ว คล้องด้วย มาลยัถดัลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบา้นตดัผมส้ัน ตอนบนแลว้ถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า “ผมปี ก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอก กระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเป็ นรากไทร การแต่งกาย หญิงในราชส านักนุ่งผา้ซิ่น สวมเส้ือ ผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม) แขน กระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ) เหมาะส าหรับเวลาท างาน บุกป่ า ออกรบ เครื่องประดบั ปักปิ่นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยขอ้มือ การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็ นสีด า ไว้เล็บยาวทางปากแดง หญิง ชาวบ้าน ชอบประแป้ งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก ชาย ผม ตดัส้ัน ทรงมหาดไทย (คงไวต้อนบนศีรษะรอบๆ ตดัส้ัน และโกนทา้ยทอย) การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใชผ้า้ขาวมา้คลอ้งคอ แลว้ตลบไปหอ้ยชายไวท้างดา้นหลงัสวมเส้ือ คอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดขอ้มือ ในงานพิธีสวม เส้ือยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า 8 – 10 เมด็แขนเส้ือกวา้งและส้ัน มากไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขนุนางจะสวม ลอมพอก ยอดแหลม ไปงานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์


13 ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 สมัยที่ 4 ( พ.ศ. 2275 - พ.ศ. 2310 ) หลักฐานจากวัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรีเป็ นลักษณะเครื่องทรงในพระมหา กษัตริย์ และคนช้นัสูง หญิง การแต่งผม มี 4แบบ คือ1) ทรงผมมวยกลางศีรษะ ทรงผมปี กมีจอนผม 2) ทรงหนูนหยกิรักแครง (เกลา้พบัสองแลว้เก้ียวกระหวดัไวท้ี่โคน รักแครง เกล้า ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา) 3) ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปี กและผมประป่ าอยู่ในทรงเดียวกัน และผมปี กท า เป็ นมวยด้วย เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมก าไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่าสมัยใด สร้อย ตวัสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้สิ่งที่ใหม่กวา่สมยัใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวน งูรัดต้นแขน การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้น ใหต้วัเหลืองดงัทองผดัหนา้ขาวยอ้มฟันดา ยอ้มนิ้วและเลบ็ดว้ย ดอกกรรณิการ์ให้สีแดง


14 การแต่งกายของคนช้นัสูงนุ่งซิ่นยกจีบหนา้ห่มตาด สวมเส้ือริ้วทอง (ทา ดว้ยผา้ไหม สลบัดว้ย เส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบนหรือ ผ้าถุง การห่มสไบมี 2แบบ คือ 1) ห่มคลอ้งคอตลบชายไปขา้งหลงัท้งั 2ขา้งกนับนเส้ือ ริ้วทอง และใช้ เจียระบาด (ผ้าคาดพุง)คาดทบัเส้ือปล่อยชายลงตรงดา้นหนา้ 2) ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เส้ือเมื่ออยกู่บับา้น ชาย ไวท้รงมหาดไทย ทาน้า มนัหอม การแต่งกาย สวมเส้ือคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผา้ห่มคลอ้งคอแลว้ตลบชาย ท้งัสองไปขา้งหลงันุ่งโจงกระเบน ส่วนเจา้นายจะทรงสนับเพลาก่อน แลว้ทรงภูษา จีบโจง มี ไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


15 ที่มารูปภาพ:https://mgronline.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 1.2.3) สมัยกรุงธนบุรี( พ.ศ. 2310 – พ.ศ. 2325 ) ภายหลงัสงครามสิ้นสุดลง พระเจา้กรุงธนไดม้ีความสัมพนัธ์กบัต่างประเทศมากข้ึน เพื่อฟ้ืนฟู เศรษฐกิจ เพื่อช่วยใหป้ระชาชนมีความเป็นอยู่ดีข้ึน จึงเปิดการคา้ขายติดต่อกบั ประเทศจีน ส่วนชาวยโุรป ชาติต่างๆ ที่เคยเข้ามา ติดต่อค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา น้ันได้พากันอพยพ ออกไปค้าขายอยู่ใน ประเทศอื่นๆ เสียหมดเพราะ บ้านเมืองตกอยู่ ในสภาพยุคเข็ญเป็ นจลาจลเสียช้านาน และประกอบกับ ทางยุโรป ก าลังยุ่งยาก กับการท าศึกสงคราม ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 จึงท าให้การติดต่อ ไมตรีกับ ชาวยโุรปชาติต่างๆ ตอ้งยตุิลง ชวั่ระยะหน่ึง


16 ที่มารูปภาพ:http://www.thaitopwedding.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 ส าหรับประเทศจีนน้นัติดต่อคา้ขายดว้ยกนัจนตลอดราชการและพระองค์ทรงสนบัสนุน กบั ประเทศน้ี มาก จึงมีการน าเอาวัฒนธรรมการแต่งกายบ้าง เครื่องแพรพรรณ เช่น ผ้าแพรจีน นิยมนา มานุ่งมากข้ึน หญิง ( เนื่องจากการขาดแคลนผา้สมยัน้นัเพราะเป็นการ สร้างกรุงใหม่หลงัจากกรุงศรีอยุธยาแตก) จึง ได้กลับมานุ่งผ้าถุง อีกโดย ขมวดชายพกไว้ตามสบาย ห่มสไบรัดหน้าอกอย่างธรรมดา นิยมใช้ผ้าแพร อาจจะไดม้าจาก ประเทศจีน ชายเริ่มมีการนุ่งกางเกง เพราะสมยัน้ีไดม้ีชาวจีน มารับราชการทหารด้วย เป็นอนัมากและ เพื่อให้สะดวก ในการออกรบ ส่วนเส้ือน้นัน่าจะเป็นแบบคอกลม แขนข้ึนท่อน ผ่าอก แล้วมีกระดุม ผ้าขดไว้ มีกระเป๋ าใหญ่ข้างละใบ ส าหรับใส่ของ พบจาก ข้อความ ที่ว่า ”ทัดพวงมาลา” ของหนงัสือกฤษณาสอนนอ้งแสดงวา่สมยัน้ีนิยมไว้ผม ทรงแบบใหม่ เรียก ”ผมทัด” คือ ผมที่เป็ นพู่ ตรง ชายผมตกที่ริมหูท้งัสองขา้ง ส าหรับ ห้อยดอกไม้จากขอ้ความที่ว่า ”เสยผม”แสดงว่าผมทรงน้ีมีการไว้ ผม ขา้งหนา้ส้ัน แต่ก็ยาวพอจะใชม้ือเสย ไปขา้งหลงัได้ยาวกวา่ ปีกแน่ๆ และไม่มีการแสกผม


17 ลักษณะการแต่งกายของในสมัยกรุงธนบุรี ผู้หญิง -ทัดดอกไม้ -สไบรัดอกใช้แพรจีน -นุ่งผ้าถุง ผู้ชาย -สวมเส้ือหมอ้ฮ่อม -นุ่งกางเกงแพรจีน ที่มารูปภาพ:https://keamthakorn.wordpress.com/ .สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


18 1.2.4) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์(พ.ศ. 2325-ปัจจุบัน) การแต่งกายในสมยัรัตนโกสินทร์ระยะเริ่มแรกยงัคงรับช่วงต่อจากสมยัอยธุยาตอนปลาย เนื่องจาก คนไทยส่วนใหญ่สมยัตน้รัตนโกสินทร์มาจากกรุงศรีอยุธยา ฉะน้ัน ความรู้ความคิด ความเชื่อ และ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ จึงไม่ผิดแผกแตกต่างจากสมัยอยุธยามากนัก ต่อมาได้วิวัฒนาการไปตาม สภาพสังคม สิ่งแวดลอ้มทางวฒันธรรม การติดต่อกบันานาประเทศ ฯลฯ ซ่ึงจา แนกลกัษณะเฉพาะของ การแต่งกายในแต่ละยคุไดค้ร่าว ๆ ดงัต่อไปน้ี รัชกาลที่ 1-3 (พ.ศ. 2325-2394) การแต่งกายในสมยัน้ีจึงยงัคงยดึแบบอยธุยาตอนปลายเช่นกนั ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


19 ผู้หญิง ในราชส านัก สตรีนุ่งผ้ายกหรือผ้าลายทอง ห่มสไบเฉียงด้วยผ้าปักหรือผ้าแพรที่พับเหมือนอัด กลีบ ผมตดัไวเ้ชิงส้ัน (เนื่องดว้ยในสมยัอยธุยาตอนปลายเกิดสงคราม หญิงตอ้งตดัผมส้ันเพื่อปลอมตวั เป็ นชายสะดวกในการหนีภัยจากพม่า) ผู้ชาย ชายนุ่งผา้ม่วงโจงกระเบนสีต่าง ๆ สวมเส้ือคอปิด ผา่อกแขนยาวแต่โดยปกติไม่นิยมสวมเส้ือ การแต่งกายของขุนนางในสมยัรัตนโกสินทร์ตอนตน้จะสวมเส้ือเขา้เฝ้าในฤดูหนาวเท่าน้นั ราษฎร ราษฎรทวั่ ไป สตรีนุ่งโจงกระเบน สวมเส้ือรัดรูป ผา่อกแขนกระบอก ตามปกติเมื่ออยกู่บับา้น นิยมห่มผ้าแถบ ซึ่งมีวิธีห่ม 4 แบบคือ 1. ใช้คาดนมแล้วเหน็บริมผา้ขา้งบนซุกลงไปใหต้ิดกบัส่วนที่คาดนมปล่อยชายทิ้งลงไปขา้งหนา้ สตรีที่มีอายนุิยมห่มแบบน้ีส่วนมากเป็นผา้แถบธรรมดาไม่มีจีบ 2. ห่มคาดนม แลว้เอาชายขา้งหน่ึงพาดบ่าทิ้งชายลงไปขา้งหลงัเรียกวา่ห่มสไบเฉียง (ไม่เรียก ผา้แถบเฉียง) ห่มแบบน้ีส่วนมากเป็นสไบจีบ หญิงสาวและหญิงกลางคนนิยมห่มแบบน้ีมกัเป็นคนช้นัสูง หรือผู้มีฐานะ 3. ห่มตะเบงมานหรือตะเบง็มาน เอาผา้คาดตวัแลว้เอาชายท้งัสองที่เท่ากนัมาคาดนมไขวข้้ึนไป ผกูกนัไวท้ี่ตน้คอการห่มแบบน้ีไม่นิยมกนัจะห่มเมื่อทา งานหนงัหรืองานที่ตอ้งยกแขนข้ึนลง เช่น ตา ขา้ว 4. คล้องคอ ให้ชายผ้าห้อยลงมาขา้งหนา้เท่ากนัตรงกนัขา้มกบัผชู้ายที่ห่มสองไหล่ทิ้งชายไวข้า้ง หลงัการห่มแบบน้ีตอ้งสวมเส้ือดว้ย ห่มกนัท้งัหญิงสาวและกลางคนข้ึนไปและมกัเป็นชาวสวน การห่ม ชนิดน้ีมกัจะห่มไปเที่ยวหรือไปงานรื่นเริงต่าง ๆ ทรงผม สตรีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไว้ผมปี ก คือ ไว้ผมยาวเฉพาะบนกลางศีรษะควนั่ผมรอบศีรษะเป็นรอย จนเห็นขอบชัดเจน (คล้ายผมทรงมหาดไทย ของผู้ชายต่างกันที่ผู้หญิงไม่โกนรอบกลางศีรษะอย่างผู้ชาย) ปล่อยจอนที่ขา้งหูยาวลงมาแลว้ยกข้ึนทดัหูเรียกวา่“จอนหู” บางคร้ังใชจ้อนหูเกี่ยวดอกไมใ้หห้อ้ยอยู่ ข้างหูเรียกว่า “ผมทัด” ก็มีที่เรียกวา่“ผมปีก” น้นัเพราะมองเห็นเชิงผมเป็นขอบอยา่งถนดัชดัเจน


20 ส่วนผชู้ายน้นัจะตดัทรงมหาดไทย ทรงมหาดไทยน้นัมี2แบบ ไดแ้ก่ 1.มหาดไทยโกน 2.มหาดไทยตัด เด็กชายและหญิง ไว้ผมจุกจนอายุ 11 หรือ 13 ปี จึงโกนจุก แล้วไว้ผมตามแบบของผู้ใหญ่ต่อมา รัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2394-2411) ระยะน้ีเป็นช่วงของการเปิดประเทศติดต่อกับชาวตะวันตก ซ่ึงก าลังแสวงหาอาณานิคม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็นแนวความคิดของชาวตะวันตกจึง ทรงด าเนิน นโยบายท้งัทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอด จนปรับปรุงเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่าง ใหส้อดคลอ้งกบัแนวนโยบายของต่างประเทศซ่ึงยกปัญหาเหล่าน้ีข้ึนมาอา้งเพื่อแทรกแซงกิจการภายใน ของประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยู่หวัโปรด ใหข้า้ราชการสวมเส้ือเขา้เฝ้าเป็นคร้ังแรกดว้ย ทรงมีพระราชด าริวา่การไม่สวมเส้ือน้นัดูลา้สมยัและชาวต่างประเทศจะ มองคนไทยวา่เป็นพวกชาวป่า ที่มารูปภาพ:https://www.vogue.co.th/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


21 ทรงผม เมื่อคร้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยู่หัวโปรดให้ส่งฑูตไปยุโรปให้คณะทูตเลิกไวผ้มมหาดไทย เปลี่ยนเป็นไวผ้มท้งัศีรษะและตดัยาวอย่างฝรั่งแต่เมื่อคณะทูตกลบัมาถึงกรุงเทพฯก็ตดัผมมหาดไทย ตามเดิม อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่ารัชกาลที่ 4 ริเริ่มการไวผ้มสมยัใหม่แบบฝรั่ง ดังปรากฏหลักฐาน จากพระบรมฉายาลกัษณ์ของพระองคแ์ละพระราชโอรส ซ่ึงเริ่มมีผปู้ฏิบตัิตามกนัต่อมา สตรี สตรีในราชส านัก นุ่มผ้าจีบลายทอง ห่มสไบปัก ใช้เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ทับทรวง (เครื่องประดับอก) พาหุรัด (เครื่อประดบัแขนหรือทองตน้แขน) สะอิ้ง (สายรัดเอว) สร้อยสังวาล (สร้อยยาวใช้คล้องสะพาย แล่งที่เรียกว่าสร้อยตัว) ตุ้มหูเพชร แหวนเพชร ฯลฯ และยังคงไว้ผมปี กเหมือนรัชกาลต้น ๆ ราษฎร สตรีนิยมสวมเส้ือคอกลม ปิดคอแขนยาวทรงกระบอก รัดรูป นุ่งผา้ลายโจงกระเบนทบัเส้ือคาดแพรหรือ ห่มสไบเฉียงทบัตวัเส้ืออีกทีหน่ึง สวมกา ไลที่ขอ้เทา้ (การสวมกา ไลขอ้เทา้น้ีเป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย ว่า ผู้สวมก าไลข้อเท้าเป็ นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน) ไม่สวมรองเท้า บางพวกนิยมห่มสไปจีบ ส่วนผมยัง คงไวป้ีกถอนไรผม ไวเ้ลบ็ผดัหนา้ตามปกติเมื่ออยกู่บับา้นก็ห่มผา้แถบ ถา้ทา งานกลางแจง้จึงจะสวมเส้ือ แขนกระบอก แขนลีบยาวถึงขอ้มือ ผ่าอกติดกระดุม บางทีเมื่อทา งานที่ตอ้งยกแขนข้ึน-ลง ก็ห่มตะแบง มานเช่นเดียวกบัสมยัก่อน ส่วนการห่มผา้แถบ(คาดอก)ยงัคงมีเรื่อยมาจนกระทงั่คนรุ่นเก่าหมดไป และ ภายหลังเห็นว่าไม่สุภาพ การห่มผ้าแถบจึงหมดไปในที่สุด เด็กยงันิยมไวผ้มจุก ถา้เป็นเด็กหญิงใส่เส้ือคอกลมระบายลูกไม้ที่คอ แขน ฯลฯ หากเป็ นผู้มีฐานะ บรรดา พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่มักมีเครื่องประดับทองเงินแต่งตัวให้เด็ก


22 ที่มารูปภาพ:https://www.silpathai.net/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 รัชกาลที่5 (พ.ศ. 2411-2453) การเปลี่ยนแปลงเรื่องเครื่องแต่งกายมาเริ่มแบบจริงจงัในสมยัรัชกาลที่5 เริ่มเกิดเส้ือราชปะแตน อีกท้งัทรงผมผูช้ายก็เลิกไวท้รงมหาดไทย หลงัจากที่รัชกาลที่5 ทรงเสด็จไปต่างประเทศคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ. 2413 ทรงทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ผู้ตาม เสด็จไวผ้มยาวต้งัแต่ก่อนออกเดินทาง จากน้นัพระองคท์รงเปลี่ยนแบบพระเกศาดว้ย ขา้ราชการท้งัหลาย ก็เปลี่ยนตามพระราชนิยม ทา ใหท้รงมหาดไทยเริ่มเสื่อมความนิยม


23 ที่มารูปภาพ:https://www.sirimontrabrand.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 ทรงผม ช่วงการเปลี่ยนทรงผม เอนก นาวิกมูล บรรยายว่าขุนนางผูใ้หญ่บางรายยกัยา้ยตดัผมขา้งล่างส้ันขา้งบน ยาว เรียกกันว่า “ผมรองทรง” (คร่ึงไทยคร่ึงฝรั่ง) จึงถือวา่ผมแบบรองทรงเริ่มเกิดมาต้งัแต่สมยัน้นั เครื่องแต่งกาย สา หรับเส้ือราชปะแตนน้นัเกิดข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2415 เริ่มตน้จากที่รัชกาลที่5 ทรงเห็นวา่เส้ือนอกแบบฝรั่งใส่ แลว้ร้อนอบอา้วเพราะตอ้งมีเส้ือใน ผา้ผูกคอจึงทรงคิดฉลองพระองคค์อปิด กระดุม 5 เม็ด ไม่ต้องสวม เส้ือช้นั ใน เรียกกนัวา่ “ราชปะแตน” เพราะมาจาก “ราช” กับ “Pattern” (รูปแบบ) ผู้หญิง ผูห้ญิงก็มีเปลี่ยนแปลงทรงผมเช่นกนัเปลี่ยนจากผมปีกแบบเก่ามาไวผ้มยาวเริ่มเพิ่มเส้ือแขนยาวแลว้จึง ห่มสไบทับในช่วง พ.ศ. 2416 โดยโปรดฯ ใหผ้หู้ญิงในราชสา นกัใส่เส้ือแขนยาว ชายเส้ือเพียงบ้นัเอว และห่มแพร สไบเฉียงบ่านอกเส้ือและใหส้วมเกือกบู๊ตกบัถุงเทา้ตลอดน่อง และยงัเกิดเส้ือลายลูกไมแ้ละ เส้ือแขนพองแบบหมูแฮม


24 ที่มารูปภาพ:https://www.sirimontrabrand.com/ .สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468) ช่วงต้นรัชสมัยยังคงลักษณะการแต่งกายเช่นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มีบางอย่างที่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงบา้ง ผูห้ญิงนุ่งโจงกระเบนแต่นิยมใช้ผา้ม่วงเช่นเดียวกับผูช้าย สวมเส้ือผ่าอกแต่คอลึก กว่าเดิม แขนยาวเสมอศอก มีแพรบางสะพายทบัเส้ืออีกทีทรงผมของผูห้ญิงมีการไวผมยาวเสมอต้นคอ ้ และดดัเป็นลอนแบบชาวยุโรป มีการใชเ้ครื่องส าอางแต่งหนา้ผูช้ายนุ่งผา้โจงกระเบนเส้ือราชประแตน มีการสวมเส้ือครุยแขนยาวจรดขอ้มือตวัเส้ือยาวคลุมเข่าสวมทบัเส้ืออีกช้นัหน่ึงและทรงผมตดัแบบชาว ยุโรป


25 ที่มารูปภาพ:https://www.sirimontrabrand.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566 ช่วงปลายรัชสมัยทรงโปรดให้ผู้หญิงไว้ผมยาวเกล้ามวย นุ่งซิ่น และฟันขาว โดยเฉพาะทรงผม ที่เป็นที่นิยมในสมยัน้นัเป็นผมบ๊อบที่ตดัส้ันระดบั ใบหูตอนล่าง ท้งัสองขา้งยาวเท่ากนัและตดัขา้งหลงัให้ โค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อย และทรงที่นิยมคือผมชิงเกิ้ล(Shingle) ลกัษณะตดัส้ันเหมือนผมบ๊อบแต่ซอยผม ด้านหลังให้ลาดเฉียงลงไปคล้ายหลังคาลาด ส าหรับเจ้านายและผูด้ีสมยัน้ันนิยมเอาสายสร้อยหรือผา้มา คาดรอบศรีษะเหมือนอินเดียแดงในภาพยนตร์ส าหรับเส้ือจะเป็นเส้ือตวัยาวหลวมๆ สวมทบัซิ่นอีกที หน่ึงส่วนมากใช้ผา้ลูกไม้ฝรั่งปักเป็นลวดลายด้วยลูกปัดและไข่มุก นิยมใส่เครื่องประดับ เช่นสร้อย ไข่มุก ต่างหูห้อยระย้า เพื่อให้เข้ากับเครื่องแต่งกายที่ปักด้วยลูกปัดและไข่มุก ส าหรับผู้ชายนุ่งกางเกง แบบฝรั่งและนิยมนุ่งกางเกงแพรแบบล าลองจนถึงสมัยรัชกาลที่ 8 นอกจากน้ีมีการปรับปรุงการแต่งกาย ท้งัของทหารและพลเรือนเพื่อให้สอดคลอ้งกบัสากลนิยม เนื่องจากมีการจัดส่งทหารไทยไปร่วมรบใน สงครามโลกคร้ังที่ 1 ในยุโรป


26 ลักษณะการแต่งกาย ผู้หญิง สวมเส้ือลูกไมห้รือเส้ือผา้แพรคอกวา้ง แขนยาวเสมอศอก นุ่งผา้ซิ่นหรือผา้โจงกระเบน ไว้ผมยาวประบ่า เสมอต้นคอหรือท า “ผมบ๊อบ” นิยมคาดศีรษะด้วยผ้าหรือไข่มุก หรือไว้ผมยาว และตลบไว้ท้ายทอย เรียกว่า “ผมโป่ ง” และผมชิงเกิ้ล(Shingle) ลกัษณะตดัส้ันเหมือนผมบ๊อบแต่ซอยผมดา้นหลงัใหล้าดเฉียง ลงไปคล้ายหลังคาลาด ในส่วนเครื่องประดบัน้นัผูห้ญิงจะนิยมคาดศรีษะดว้ยผา้หรือไข่มุกและใส่ไข่มุก เป็ นเครื่องประดับ ผู้ชาย สวมเส้ือคอกลมผา้ขาวบางหรือสวมเส้ือราชปะแตน นุ่งผา้โจงกระเบนหรือกางเกงผ้าแพร เวลาออกงาน จะใส่สูททบัและผกูหูกระต่ายแบบฝรั่ง ตัดผมแบบยุโรป \ ที่มารูปภาพ:https://www.silpathai.net/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


27 รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2477) เป็นยุคที่คนไทยมีโอกาสไดไ้ปศึกษายงัต่างประเทศมากข้ึนประกอบกบัมีการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็ นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนไทยจึงมีความ สนใจในวฒันธรรมของชาติตะวนัตกมากข้ึนสา หรับวฒันธรรมการแต่งกายของชาติตะวนัตกไดเ้ขา้มามี บทบาทอย่างมากในวฒันธรรมการแต่งกายของชาวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งกายของชาวอเมริกนั ที่กา ลงัเฟื่องฟูในช่วงน้นั ผู้หญิง ผูห้ญิงมีการนุ่งกระโปรงกันมากข้ึน และมีการประยุกต์การนุ่งผา้ซิ่นแบบเดิมมาตดัเป็นผา้ถุง ส าเร็จ ซึ่งเป็ นผ้าถุงที่เย็บพอดีเอวโดยไม่ต้องคาดเข็มขัด นิยมสวมเส้ือหลวมไม่เขา้รูป ตวัยาวคลุมสะโพก ไม่มีแขน ใส่สายสร้อย และตุ้มหูยาวแบบต่างๆสวมก าไล ส่วนทรงผมนิยมดัดเป็ นลอน และมีผ้าคาดผม ผู้ชาย ผูช้ายตน้รัชสมยันิยมนุ่งผา้ม่วงสวมเส้ือราชปะแตน สวมถุงเทา้รองเทา้และสวมหมวกกะโล่ ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรเห็นว่า การแต่งกายของ ขา้ราชการที่แต่งกนัอยใู่นเวลาน้นัมีความลา้สมยัไม่เหมาะกบั ประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นจากชาวต่างชาติที่เขา้มาติดต่อในประเทศ จึงประกาศให้ยกเลิกการนุ่งผา้ม่วง โดยให้นุ่งกางเกงขายาวตามแบบฝรั่งแทน ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


28 ลักษณะการแต่งกาย หญิง สวมเส้ือหลวมตวัยาวคลุมสะโพกแขนส้ันหรือไม่มีแขน นิยมแต่งชายเส้ือดา้นซา้ยดว้ยโบวผ์กูทิ้งชายยาว นุ่งผา้ซิ่นเสมอเข่าที่ตดัเยบ็เป็นถุงสา เร็จและเป็นซิ่นที่ไม่มีเชิง หรือนุ่งกระโปรงยาว ชาย สวมเส้ือคอกลมผา้ขาวบางหรือสวมเส้ือราชปะแตน นุ่งผา้โจงกระเบนหรือกางเกงผา้แพรเวลาออกงาน จะใส่สูททับ และสวมกางเกงขายาว ทรงผม ผหู้ญิงน้นัจะไวผ้มส้ันดดัลอน เรียกวา่ “ทรงซิงเกิล” นิยมติดโบว์ที่ผม ส่วนผชู้ายจะตดัผมส้ัน เครื่องประดับ ผู้หญิงนิยมติดโบว์ที่ผม ใส่ต่างหู สร้อยคอไข่มุกเส้นยาว และสวมก าไลมือ ผูช้ายน้นัจะสวมหมวกกะโล่ หรือหมวกสักหลาด ที่มารูปภาพ:https://www.silpathai.net/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


29 รัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 – 2489) รัชกาลที่8เป็นยคุรัฐนิยม 25 มกราคม 2484รัฐบาลประกาศใชร้ัฐนิยมฉบบัที่10ในสมยัน้นัจอม พล ป. พิบูลสงคราม เป็ นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายในการสร้างชาติไทยเข้าสู่ความเป็ นอารยประเทศ ได้ เปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็ น มีกระบวนการสร้างชาติในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริม วัฒนธรรม เช่น มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งกายออกมาหลายฉบับ โดยการให้ผู้หญิงเลิกห่มสไบ หรือคาดผา้แถบ เปลี่ยนมาสวมเส้ือเลิกนุ่งผา้โจงกระเบน เปลี่ยนมาใชผ้า้ถุงเยบ็ส าเร็จแทน และให้สวม รองเทา้ ส่วนผูช้ายให้สวมเส้ือเลิกนุ่งผา้โจงกระเบนหรือกางเกงผ้าแพร เปลี่ยนมาใส่กางเกงขายาว และ สวมรองเทา้แทน นโยบายรัฐนิยมดงักล่าวน้ีทา ให้ประชาชนท้งัผูห้ญิงและผูช้ายตอ้งหันมาใส่เส้ือ และ นุ่งผา้ถุงส าเร็จรูปหรือสวม ซ่ึงพยายามช้ีให้เห็นว่าการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยน้ันจะมีส่วนช่วยรัฐใน การส่งเสริมวัฒนธรรมและการสร้างชาติให้วิวฒันาถาวร ท้งัน้ีไดม้ีการกา หนดแนวทางการแต่งกายให้ ประชาชนถือปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและความเป็ นระเบียบของการแต่งกายของคนใน ชาติโดยไดก้า หนดเครื่องแต่งกายออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ก่เครื่องแต่งกายธรรมดาใช้ในที่ชุมชนที่ สาธารณะ เครื่องแต่งกายทา งานแบ่งเป็นการทา งานทวั่ ไปและการทา งานเฉพาะและเครื่องแต่งกายตาม โอกาสต่างๆ ที่มารูปภาพ:https://www.vogue.co.th/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


30 ลักษณะการแต่งกาย หญิง สวมเส้ือแบบใดก็ได้แต่ตอ้งคลุมไหล่นุ่งผา้ถุงสา เร็จรูปหรือนุ่งกระโปรง สวมรองเทา้ ชาย สวมเส้ือแขนยาวคอเปิดหรือปิดก็ได้สวมกางเกงขายาวแบบสากล สวมรองเทา้ ทรงผม ผหู้ญิงจะดดัผมใหเ้ป็นลอนและสวมหมวกไว้ส่วนผชู้ายน้นัจะไวท้รงผมแบบสากลและสวมหมวก เครื่องประดับ ในสมยัน้ีผหู้ญิงและผชู้ายส่วนมากจะสวมหมวก ที่มารูปภาพ:https://www.winnews.tv/ . สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


31 รัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489-2559) ในปีพ.ศ. 2503 มีเหตุการณ์เกี่ยวกบัการแต่งกายที่ตอ้งบนัทึกไว้นนั่คือ เกิดชุดประจา ชาติของฝ่าย หญิงส าหรับเป็ นเครื่องแต่งกายหลัก แสดงเอกลักษณ์ไทยโดยตรง ต้นเดิมของเรื่ องที่ปรากฏไว้อย่างแจ่มชัดในหนังสือพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถชื่อหนังสือ “ความทรงจ าในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ซึ่ง เป็ นหนังสือที่ กล่าวถึงการตามเสด็จเยือนยุโรปและอเมริกา 14 ประเทศอย่างเป็ นทางการของ พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนินีนาถ เมื่อ ปี พ.ศ. 2503 รวมเวลา ถึง 6 เดือน ในการตระเตรียมการคร้ังน้นัสมเด็จฯ ทรงกล่าวว่า “การตระเตรียมเส้ือผา้เครื่อง แต่งกายก็นบัเป็น เรื่องส าคัญส าหรับผู้หญิงเรา” เพราะต้องเสียเวลาไปนานและหลายเดือน ในหลายฤดูกาล นอกจากน้นัที่ สา คญัยงิ่คือประสบปัญหาเรื่อง “เส้ือผา้ที่จะใชเ้ป็นแบบฉบบั”คือ ชุดประจา ชาติที่เหมาะสมกบัสมยั ด้วยปัญหาน้ีเอง พระองค์โปรดฯ ให้ช่วยกันคน้พระบรมรูปของพระมเหสีเก่ามาทอดพระเนตร พิจารณา แต่ก็ทรงเห็นว่า ชุดต่าง ๆ ในอดีตเหล่าน้ีไม่เขา้กบัสมยัปัจจุบนัเลย บางชุดก็บวกเอา เส้ือแบบ ฝรั่งเขา้มาผสมผา้นุ่งเสียดว้ยซ้า เช่น ชุดที่สมเด็จพระศรีพชัรินทราบรมราชินีนาถทรง ฉลองพระองคแ์ขน พองแบบขาหมูแฮม เป็นตน้ ส่วนพระบรมราชินีในรัชกาลที่6แมจ้ะทรงนุ่งซิ่น ก็จริงแต่ฉลองพระองค์ ข้างบนกลับเป็ นแบบฝรั่งสมยัหลงัสงครามโลกคร้ังแรกเสียอีก ดงัน้นัจึงทรงตดัสินพระทยัให้คิดแบบข้ึนใหม่โดยใหห้ม่อมหลวงมณีรัตน์บุนนาคไปพบ กบัอาจารยท์ ี่ มีความรู้ทางประวตัิศาสตร์ช่วยกนัคน้ควา้และออกแบบข้ึน ในที่สุดก็เกิดเป็นชุดไทย ที่มีความเป็นไทย ออกมานบัแต่น้นัชุดเหล่าน้ีภายหลงัเรียกวา่“ชุดไทยพระราชนิยม” ส่วนมาก นิยมใชผ้า้ไหม และผา้ซิ่น เป็ นหลัก มีชื่อชุดและกาลเทศะส าหรับใส่ในงานต่างกัน และเป็ นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย จนเป็ นที่ คุน้ตาและเป็นการแต่งกายสา หรับชุดประจา ชาติฝ่ายหญิงโดยแทจ้ริง ชื่อชุดไทยพระราชนิยม ไดแ้ก่ 1. ไทยเรือนต้น ใช้แต่งในงานที่ไม่เป็ นพิธี และต้องการความสบาย เช่น ไปเที่ยว 2. ไทยจิตรลดา เป็ นชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้รับประมุขต่างประเทศเป็ นทางการหรืองาน สวนสนาม 3. ไทยอมรินทร์สา หรับงานเล้ียงรับรองตอนหวัค่า อนุโลมไม่คาดเขม็ขดัได้ 4. ไทยบรมพิมาน ชุดไทยพิธีตอนค ่า คาดเข็มขัด 5. ไทยจักรี คือชุดไทยสไบ 6. ไทยดุสิต ส าหรับงานพิธีตอนค ่า จัดให้สะดวกส าหรับสวมสายสะพาย


32 7. ไทยจักรพรรดิ เป็ นแบบไทยแท้ 8. ไทยศิวาลัย เหมาะส าหรับเมื่ออากาศเย็น ที่มารูปภาพ:https://www.baanjomyut.com/ . สืบค้นเมื่อวันที่: 29 มกราคม 2566


33 2. แนวทางในการต่อยอดการแต่งกายในชีวิตประจ าวัน 2.1 ชุดผ้าไทยกบัการต่อยอด ชุดผา้ไทยไดร้ับความนิยมมากข้ึน มีการผลิตเพื่อตอบสนองความตอ้งการที่มากข้ึน ทา ให้ นกัออกแบบและผผู้ลิตเริ่มหาแนวคิดในการพฒันาเพื่อสร้างความแตกต่าง 1. การต่อยอดในกระบวนเตรียมเส้นด้ายและการทอ เช่น การใช้วัสดุอื่นมาทอร่วมกับผ้า การ พัฒนาเส้นใย การทอด้วยเทคนิคใหม่ๆ เช่นการทอเส้นไหมด้วยนิต ให้เป็ นผ้ายืด 2. การต่อยอดในกระบวนการตกแต่งส าเร็จ เช่นการนา ผา้ไทยดว้ยเทคนิคสะทอ้นน้า การใส่กลิ่น ในผ้า การท าเทคนิคเคลือบหรือ ลามิเนต ( การใช้ผ้าฉาบติดกับวัสดุอื่น เช่น แผ่นยาง เพื่อใช้ท า กระเป๋ า รองเท้า ผ้าม่าน) 3. การพฒันาลวดลายบนผา้ผืนจากแบบด้งัเดิม เช่นการวาดลายน้า ทองลงบนผา้มดัหมี่การทา ผา้ บาติกแบบซอ้นสีหลายๆ ช้นัการมดัยอ้มดว้ยเทคนิคที่แตกต่าง 4. การพฒันาผลิตภณัฑใ์นรูปแบบใหม่ๆ นอกจากเส้ือผา้ผา้ไทยยงัไดร้ัยการต่อยอดเป็นผลิตภณัฑ์ อื่นๆ เช่น สินค้า ตกแต่งบ้าน ของใช้ กระเป๋ า รองเท้า ยุคน้ีจึงทา ให้มีสินคา้ที่ทา จากผา้ไทยมี ความหลากหลายรูปแบบมากยงิ่ข้ึน 2.2 ตัวอย่างการต่อยอดผ้าไทยในรูปแบบต่าง ๆ มากขึน้ 1) แบรนด์WISHARAWISH ชื่อนักออกแบบ วิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ลักษณะเด่นของแบรนด์ ที่มา และแรงบันดาลใจ ใชผ้า้ไทยเอกลกัษณ์ในการสื่อสาร ซ่ึงเป็นวสัดุที่วิชระวิชญ์มีความคุน้เคยมาต้งัแต่สมยัเด็กและ ปัจจุบนัเริ่มหาไดค้่อนขา้งยากจึงเป็นที่มาในความสนใจที่จะสร้างการสื่อสารผา้ไทยในมิติใหม่การ ออกแบบและตัดเย็บ โดยใช้ผ้าไทยเป็ นองค์ประกอบหลัก วัสดุที่ใช้ สี และลวดลายผ้าไทยจากภูมิภาคต่างๆ เช่น ผ้าไหม, ผ้าบาติก, ผ้าฝ้ ายย้อมคราม เป็ นต้น โอกาสและการน าไปใช้ ชุดผ้าไทยที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจ าวัน


34 ลักษณะเด่นของเสื้อผ้า และเทคนิคพิเศษ ใช้ผ้าไทยเป็ นวัสดุหลัก เน้นงานคราฟต์ที่เป็ นงานฝี มือ มีการประยุกต์มาให้ดูสากล บวกกับงานเย็บ มือที่ประณีต และความแปลกใหม่ของแพทเทิร์น ใช้การตัดเย็บที่มีความซับซ้อน ยุค และช่วงเวลาของแบรนด์ที่ก่อต้ังก่อนปี2546 ปัจจุบันมากกว่า 16 ปี ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


35 2) TERMTEM STUDIO ชื่อนักออกแบบ แพรวา รุจิณรงค์ ลกษณะเด่นของแบรนด์ ที่มา และแรงบันดาลใจ คุณแพรวา รุจิณรงค์หลงรักการทอผา้มาต้งัแต่ยงัเด็ก ซึมซบัวฒันธรรม ความเป็ นมาและความรู้ ต่างๆ ผา่นครอบครัวที่เป็นตน้แบบในการใชช้ีวิตทุกดา้น เมื่อโตข้ึนเธอจึงเลือกเรียนวิชาศิลปะการ ออกแบบพัสตราภรณ์ และตัดสินใจท างานกับกรมหม่อนไหมในฐานะนักวิชาการออกแบบ และเป็ น เจ้าของ “เติมเต็มสตูดิโอ” สตูดิโอทอผ้า ที่เธอออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานผ้าไทยรูปแบบใหม่ออกมา อยา่งสม่า สมอรวมท้งัจดัเวิร์คช็อปถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอผา้และงานคราฟตอ์ื่นๆ อยเู่ป็นประจา ลักษณะเด่นของสินค้า และเทคนิคพิเศษ พ้ืนฐานเทคนิคการทอผา้เป็นวิธีด้งัเดิมของไทยที่สืบทอดกนัมาแต่ไดม้ีการทดลองใชว้สัดุใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน คิดหาเทคนิคที่เหมาะสมกบัโจทยข์องงานแต่ละชิ้น ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


36 3) TORBOON ชื่อนักออกแบบ บุญทวี เจริญพูนสิริ ลักษณะเด่นของแบรนด์ ที่มา และแรงบันดาลใจ ความรู้สึกหลงรักในงานศิลปะ และงานออกแบบบวกกับอุดมการณ์ที่อยากจะสืบทอดศิลปะ วิถี ชีวิต ความสร้างสรรค์และภูมิปัญญาของภูมิลา เนาทอ้งถิ่นของตนเอง กลุ่มลูกคา้ผหู้ลงใหลในสินคา้ที่ผลิตจากทอ้งถิ่น สินคา้ที่ผลิตจากธรรมชาติและภูมิปัญญา วัสดุที่ใช้ สี และลวดลาย ผ้าทอย้อมสีธรรมชาติ และครามมาสกัดเป็ นหมึกส าหรับเพนต์ลงไปบนผืนผ้า ลักษณะเด่นของสินค้า และเทคนิคพิเศษ เอกลักษณ์ของ Mann Craft สีครามจะมีสีอ่อน และมีการทดลองทา สิ่งใหม่ๆ เช่น การยอ้มสีIndigo Spectrum ไล่เฉดสีครามต้งัแต่อ่อนจนเขม้จดัไดถ้ึง 52 เฉดสี คิดค้นหมึกครามส าหรับเพนต์ลงบนผ้าแทน การยอ้มแบบด้งัเดิม พฒันาลวดลายผา้ทอมดัหมี่ลายลูกแกว้หรือลายเก่าแก่ต่างๆ ใหอ้ยใู่นฟอร์มร่วม สมยัผสมเทคนิคพิมพผ์า้แบบอินเดียมาสร้างคอลเลกชนั่ใส่ลูกเล่นสร้างสรรคส์นุกๆ เหล่าน้ีทา ใหแ้บ รนด์มีความเป็ นศิลปะสูง และมีตัวตนชัดเจน และยังเน้นความคลาสสิก หยิบมาใช้กี่ปี ก็ไม่มีตกยุค ที่มารูปภาพ:https://twistthaitrends.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ : 29 มกราคม 2566


37 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการ ในการศึกษาคร้ังน้ีคณะผู้จัดท าดา เนินตามข้นัตอน ดงัน้ี 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2. วัสดุและอุปกรณ์ 3. ข้นัตอนการดา เนินงาน 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย นกัเรียนในโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลยัช้นัมธัยมศึกษาปีที่3/9 จา นวน 45คน 2.วัสดุและอุปกรณ์ 2.1 แบบฟอร์มการส ารวจ (แบบกระดาษ) ตัวอย่างแบบฟอร์มการส ารวจแบบกระดาษ ตัวอย่างแบบฟอร์มการส ารวจแบบกระดาษ (1)


38 ตัวอย่างแบบฟอร์มการส ารวจแบบกระดาษ (2)


39 2.2 แบบฟอร์มการส ารวจ (Google form) ตัวอย่างแบบฟอร์มการส ารวจแบบ google form ส่วนที่ 1 คือคา ช้ีแจงในแต่ละตอน ส่วนที่ 2 คือ การกรอกขอ้มูลทวั่ ไปของผปู้ระเมิน


40 ส่วนที่ 3คือ การกรอกประเมินความพึงพอใจของผู้ประเมิน 3.ขั้นตอนการด าเนินงาน 3.1 สอบถาม สัมภาษณ์ จากครู ผู้ปกครอง และบุคคลที่รู้เกี่ยวกับการแต่งกายชุดประจ าชาติไทย 3.2 ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ทางอินเตอร์เน็ต 3.3รวบรวม และวิเคราะห์ขอ้มูลจากสิ่งที่ไดม้า 3.4 สร้างแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ 3.5 ส ารวจตามกลุ่มเป้ าหมาย 3.7 รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสรุป


41 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินความพงึพอใจเรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาตไิทย ระดับมัธยมศึกษาปี ที่3/9ได้ผลดังนี้ ตารางที่1 แบบประเมินความพึงพอใจเรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปี ที่ 3/9 จ านวน 45คน รายละเอียด ระดับความพึงพอใจ 5 4 3 2 1 1.ด้านเนื้อหาโครงงาน 1.1 มีความรู้เกี่ยวกับชุดประจ าชาติไทย 24 (53.3%) 15 (33.3%) 6 (13.3%) - - 1.2 ทราบถึงลักษณะของชุดประจ าชาติไทย 23 (51.1%) 14 (31.1%) 8 (17.8%) - - 1.3ความเป็ นมาของชุดประจ าชาติไทย 21 (46.7%) 20 (44.4%) 4 (8.9%) - - 1.4รายละเอียดเน้ือหาของโครงงานที่มีความถูกตอ้ง ชัดเจนสมบูรณ์ 30 (66.7%) 11 (24.4%) 4 (8.9%) - - 2. ด้านคุณค่าและประโยชน์ของโครงงาน 2.1การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเหมาะสม 29 10 6 - -


42 (64.4%) (22.2%) (13.3%) 2.2การส่งให้เกิดกระบวนการแสวงหาความรู้ จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ 22 (48.9%) 15 (33.3%) 8 (17.8%) - - 2.3 สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างเหมาะสม 21 (46.7%) 15 (33.3%) 9 (20.0%) - - 3.ด้านรูปแบบการน าเสนอ 3.1รูปแบบการน าเสนอมีความเหมาะสมกับเวลาที่ท าการ น าเสนอ 39 (86.7%) 3 (6.7%) 3 (6.7%) - - 3.2 บุคลิกภาพมีความเหมาะสมต่อการน าเสนอ 37 (82.2%) 5 (11.1%) 3 (6.7%) - - 3.3ได้รับข้อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ 24 (53.3%) 12 (26.7%) 9 (20.0%) - - จากตารางที่ 1 พบว่าแบบประเมินความพึงพอใจ เรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย ในเรื่องรูปแบบการน าเสนอมีความเหมาะสมกับเวลาที่ท าการน าเสนออยู่ในระดับ 5คิดเป็ นร้อย 86.7 เรื่องความเป็ นมาของชุดประจ าชาติไทยอยู่ในระดับ 4 คิดเป็ นร้อยละ 44.4 และเรื่องสามารถน าไปใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้อย่างเหมาะสม อยู่ในระดับ 3คิดร้อยละ 20.0


43 ตารางที่ 2 แสดงผลแบบประเมินความพึงพอใจ เรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทย นกัเรียนช้นั มัธยมศึกษาปี ที่ 3/9 จ านวน 45 คน รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย ระดับคุณภาพ 1) มีความรู้เกี่ยวกับชุดประจ าชาติไทย 4 ดี 2) ทราบถึงลักษณะของชุดประจ าชาติไทย 5 ดีมาก 3) ความเป็ นมาของชุดประจ าชาติไทย 5 ดีมาก 4)รายละเอียดเน้ือหาของโครงงานที่มีความถูกตอ้ง ชัดเจนสมบูรณ์ 5 ดีมาก 5) การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเหมาะสม 5 ดีมาก 6) การส่งให้เกิดกระบวนการแสวงหาความรู้จาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ 5 ดีมาก 7) สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่าง เหมาะสม 5 ดีมาก 8) รูปแบบการน าเสนอมีความเหมาะสมกับเวลาที่ท า การน าเสนอ 5 ดีมาก 9) บุคลิกภาพมีความเหมาะสมเป็นอยา่งยงิ่ 5 ดีมาก 10) ได้รับข้อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ 5 ดีมาก รวม 49 รวมท้งัฉบบั 4.9 จากตารางที่ 2 พบว่านกัเรียนช้นั มัธยมศึกษาปี ที่ 3/9 จ านวน 45 คน ที่ได้ท าแบบประเมิน ความพึงพอใจเรื่องการแต่งกายในชุดประจ าชาติไทยอยู่ในระดับคุณภาพที่…ดีมาก ค่าเฉลี่ย…4.9 0 2 4 6 8 10 5 ดีมาก 4 ดี 3 ปานกลาง 2 พอใช้ 1 ปรับปรุง แผนภูมิแสดงความพงึพอใจต่อโครงงาน


Click to View FlipBook Version