World
War I
จุดชนวน
การลอบสังหารที่เมืองซาราเยโว
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์ชดยุก ฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ รัชทาทสืบทอดราชบังลังก์
จักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการี ได้เสด็จเยี่ยมเยียนเมืองหลวงบอสเนียคือ ซาราเยโว กลุ่มมือลอบ
สังหาร 6 คน (Cvjetko Popović, กัฟรีโล ปรินซีป, Muhamed Mehmedbašić, Nedeljko
Čabrinović, Trifko Grabež, และ Vaso Čubrilović) จากกลุ่มเยาวชนบอสเนียของกลุ่มนิยม
ยูโกสลาเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธโดยกลุ่มแบล็คแฮนด์เซอร์เบีย ได้รวมตัวกันบนท้อง
ถนนที่ขบวนรถพระที่นั่งของอาร์ชดยุกจะผ่านไปโดยมีเป้าหมายที่จะลอบปลงพระชนม์ เป้าหมาย
ทางการเมืองของการลอบสังหารคือเพื่อทำลายจังหวัดสลาฟทางตอนใต้ของออสเตรีย-ฮังการี
ซึ่งออสเตรีย-ฮังการีได้ทำการผนวกดินแดนจากจักรวรรดิออตโตมัน เพื่อให้พวกเขารวมชาติเป็น
ยูโกสลาเวีย
Čabrinović ได้โยนระเบิดใส่รถพระที่นั่งแต่กลับพลาด เลยไปถูกฝูงชนที่อยู่ในบริเวณใกล้
เคียงจนได้รับบาดเจ็บกันทั่วหน้า แต่ขบวนรถพระที่นั่งของแฟร์ดีนันท์ยังเดินหน้าต่อไป มือสังหาร
คนอื่น ๆ ต่างล้มเหลวในการลงมือ ในขณะที่รถพระที่นั่งได้ผ่านพ้นพวกเขาไป
ในประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อแฟร์ดีนันท์กำลังเสด็จกลับจากการเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บ
จากความพยายามลอบปลงพระชนม์ที่โรงพยาบาลในเมืองซาราเยโว ขบวนรถพระที่นั่งได้เลี้ยว
ผิดทางเข้าสู่ถนนที่ซึ่งปรินซีปยืนอยู่โดยบังเอิญ ปรินซีปจึงชักปืนพกยิงใส่อาร์ชดยุกและดัสเชส
โซเฟีย ผู้เป็นพระชายา จนสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทกันเป็นส่วนตัว จักรพรรดิ
ฟรันทซ์ โยเซ็ฟ รู้สึกตกพระทัยและพระโสมนัสอย่างมาก ปฏิกิริยาท่ามกลางประชาชนใน
ออสเตรีย แม้กระนั้นจะเบาบาง แทบจะไม่สนใจแต่อย่างใด ตามที่นักประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า
Zbyněk Zeman ได้เขียนไว้ในภายหลังว่า "เหตุการณ์ครั้งนี้แทบจะล้มเหลวในการสร้างความ
ประทับใจแต่อย่างใด ในวันอาทิตย์และวันจันทร์ (28 และ 29 มิถุนายน) ฝูงชนในกรุงเวียนนาได้
ฟังเพลงและดื่มไวน์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จุดชนวน
การขยายความรุ นแรงในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
เจ้าหน้าที่ออสเตรีย-ฮังการีได้ให้การสนับสนุนให้เกิดการก่อจลาจลต่อต้านชาวเซิร์บในเมือง
ซาราเยโวในเวลาต่อมา ซึ่งชาวบอสเนียโครแอต และชาวบอสนีแอกได้สังหารชาวเซิร์บบอสเนีย 2
คน และสร้างความเสียหายให้กับอาคารที่ชาวเซิร์บเป็นเจ้าของ[48][49] การกระทำความรุนแรง
ต่อเชื้อชาติเซิร์บก็ยังจัดขึ้นนอกเมืองซาราเยโว ในเมืองอื่น ๆ ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
โครเอเชีย และสโลวีเนีย ที่ถูกควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี เจ้าหน้าที่ออสเตรีย-ฮังการีใน
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้จำคุกและส่งผู้ร้ายข้ามแดนชาวเซิร์บที่มีความสำคัญจำนวน
ประมาณ 5,500 คน 700 คน ถึง 2,200 คนได้เสียชีวิตในคุก ชาวเซิร์บอีก 460 คนถูกตัดสิน
ประหารชีวิต มีการจัดตั้งกองทหารอาสาสมัครชาวบอสนิกที่รู้จักกันในชื่อว่า Schutzkorps และ
ทำการประหัตรประหารต่อชาวเซิร์บ
วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม
การลอบปลงพระชนม์ได้นำไปสู่เดือนของการวางแผนทางการทูตระหว่างออสเตรีย-ฮังการี
เยอรมนี รัสเซีย ฝรั่งเศส และบริติช ซึ่งเรียกกันว่า วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการี
ได้เชื่อมั่นว่า เจ้าหน้าที่เซอร์เบีย (โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของแบล็คแฮนด์) มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
แผนการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก และต้องการยุติการแทรกแซงของเซอร์เบียในบอสเนียใน
ที่สุด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีได้ออกแถลงการณ์ในการยื่นคำขาดเดือน
กรกฎาคมต่อเซอร์เบีย ข้อเรียกร้อง 10 ประการที่ทำให้ไม่สามารถยอมรับโดยเจตนาในความ
พยายามที่จะกระตุ้นให้เกิดสงครามกับเซอร์เบีย เซอร์เบียได้ออกคำสั่งให้ระดมพลทหารทั่วไป
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เซอร์เบียได้ยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดของการยื่นคำขาด ยกเว้นข้อที่ 6 ซึ่ง
เรียกร้องให้ผู้แทนออสเตรียได้รับอนุญาตในเซอร์เบียเพื่อแสดงเจตจำนงในการมีส่วนร่วมในการ
สอบสวนคดีการลอบปลงพระชนม์ ภายหลังจากนั้น ออสเตรียได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับ
เซอร์เบียและในวันรุ่งขึ้น ได้ออกคำสั่งให้มีการระดมพลทหารบางส่วน ในที่สุด เมื่อวันที่ 28
กรกฎาคม ค.ศ. 1914 หนึ่งเดือนหลังการลอบปลงพระชนม์ ออสเตรีย-ฮังการีได้ประกาศสงคราม
กับเซอร์เบีย
จุดชนวน
วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม รัสเซียในการสนับสนุนเซอร์เบีย ได้ประกาศระดมพลทหารบางส่วนเพื่อต่อ
ต้านออสเตรีย-ฮังการี] วันที่ 30 กรกฎาคม รัสเซียได้สั่งระดมพลทหารทั่วไป นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
Bethmann-Hollweg ได้รอจนถึงวันที่ 31 เพื่อรับคำตอบที่เหมาะสม เมื่อเยอรมันได้ประกาศ Erklärung
des Kriegszustandes, หรือ "คำแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานะสงคราม" d ไคเซอร์ วิลเฮ็ล์มที่ 2 ทรงขอให้
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ให้ระงับการระดมพลทหารทั้วไปของรัสเซีย เมื่อถูกปฏิเสธ
เยอรมนีได้ยื่นคำขาดเรียกร้องให้หยุดการระดมะลทหาร และให้คำมั่นสัญญาที่จะไม่สนับสนุนแก่เซ
อร์เบีย อีกด้านหนึ่งก็ส่งไปยังฝรั่งเศส เพื่อขอให้ไม่สนับสนุนแก่รัสเซีย หากต้องมาปกป้องเซอร์เบีย เมื่อ
วันที่ 1 สิงหาคม ภายหลังจากรัสเซียตอบกลับ เยอรมนีได้สั่งระดมพลทหารและประกาศสงครามกับ
รัสเซีย นอกจากนี้ยังได้นำไปสู่การระดมพลทหารในออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม
รัฐบาลเยอรมนีได้ประกาศข้อเรียกร้องให้ฝรั่งเศสยังคงวางตัวเป็นกลาง ในขณะที่พวกเขาได้ตัดสิน
ใจว่าจะใช้แผนการใดในการปรับใช้ มันยากมากที่จะเปลี่ยนปรับใช้ เมื่อกำลังดำเนินการอยู่ แผนชลีเฟน
ของเยอรมันที่ได้รับการแก้ไข Aufmarsch II West จะส่งกำลังทหาร 80% ไปทางตะวันตก ในขณะที่
Aufmarsch I Ost และ Aufmarsch II Ost จะส่งกำลังทหาร 60% ในทางตะวันตกและ 40 % ในทาง
ตะวันออก ฝรั่งเศสไม่ได้ตอบโต้ แต่ส่งข้อความแบบผสมโดยสั่งให้ทหารถอนกำลังออกจากชายแดน 10
กม.(6 ไมล์) เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ใด ๆ และในเวลาเดียวกันก็สั่งระดมพลทหารกำลังสำรองของพวก
เขา เยอรมันได้ตอบโต้ด้วยระดมพลทหารกองกำลังสำรองของตนเองและนำไปใช้กับ Aufmarsch II
West คณะรัฐมนตรีบริติชได้ตัดสินใจ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญา ปี ค.ศ.
1839 เกี่ยวกับเบลเยียมที่ไม่ได้ถูกบังคับให้ต่อต้านเยอรมันในการบุกครองเบลเยียมด้วยกำลังทหาร
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม วิลเฮล์มทรงมีรับสั่งให้นายพล เฮ็ลมูท ฟ็อน ม็อลท์เคอ ยังเกอร์ "เคลื่อนทั้ง
กองทัพ...สู่ตะวันออก" ภายหลังจากได้รับรู้ว่าบริติชจะวางตัวเป็นกลาง หากฝรั่งเศสไม่ถูกโจมตี(และอาจ
จะเป็นไปได้ อำนาจยังอยู่ในกำมือ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งต้องคอยยับยั้งวิกฤตการณ์ไอร์แลนด์) ม็อลท์เคอได้
กราบทูลกับไคเซอร์ว่า ความพยายามที่จะโยกย้ายกำลังคนเป็นล้านนั้นเรื่องที่คาดไม่ถึงและนั่นจะทำให้
เป็นไปได้ว่าฝรั่งเศสจะเข้าโจมตีเยอรมันจาก"ทางด้านหลัง" ซึ่งพิสูจน์ได้เลยว่าเป็นความหายนะ แต่วิล
เฮล์มได้ยืนยันว่ากองทัพเยอรมันไม่ควรเคลื่อนทัพเข้าไปยังลักเซมเบิร์กจนกว่าพระองค์จะได้รับโทรเลข
จากพระเจ้าจอร์จที่ห้า ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ ซึ่งทำให้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นความเข้าใจผิด ในที่สุด
ไคเซอร์ทรงรับสั่งกับม็อลท์เคอว่า "ตอนนี้ ท่านจะสามารถทำสิ่งที่ท่านต้องการได้แล้ว
ลำดับเหตุการณ์
28 มิถุนายน 1914 : อาร์คดุยค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยกาฟริโล พรินซิป
28 กรกฎาคม 1914 : ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงคราม
2 สิงหาคม 1914 : จักรวรรดิออตโตมัน และเยอรมนี เซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตร
4 สิงหาคม 1914 : เยอรมนีบุกรุกเบลเยียม , สหรัฐฯ ประกาศเป็นกลาง, สหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนี
10 สิงหาคม 1914 : ออสเตรีย-ฮังการี บุกรุกรัสเซีย เปิดฉากต่อสู้ตรงแนวรบตะวันออก
สิงหาคม 1914 : เกิดการสู้รบที่หมู่บ้านทานเนนแบร์ก ในปรัสเซีย
12 กันยายน 1914 : สู้รบครั้งแรกที่ฝรั่งเศส
3 พฤศจิกายน 1914 : รัสเซียประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน
5 พฤศจิกายน 1914 : สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน
7 พฤษภาคม 1915 : เรือดำน้ำเยอรมนีจมเรือเดินสมุทรลูซิเทเนียของอังกฤษ มีผู้เสียชีวิต 1,198 ราย
22 เมษายน 1915 : เยอรมนีใช้ก๊าซพิษครั้งแรก ในการสู้รบที่เมืองอีเปร เบลเยียม
มิถุนายน 1915-พฤศจิกายน 1917 : สู้รบตามแนวแม้น้ำอิซอนโซ อิตาลี
1915 : สู้รบที่จักรวรรดิออตโตมัน
21 กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 1916 : สู้รบที่แวร์เดิง ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสงครามที่ยาวที่สุด และมีผู้ได้รับผลกระทบเกือบล้านคน
31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 1916 : สหราชอาณาจักรและเยอรมนีสู้รบกันที่คาบสมุทรจัตแลนด์ ทะเลเหนือใกล้เดนมาร์ก
1 กรกฎาคม – พฤศจิกายน 1916 : สู้รบครั้งแรกที่แม่น้ำซอมม์ ฝรั่งเศส โดยอังกฤษสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก
6 เมษายน 1917 : สหรัฐฯ ประกาศสงครามกับเยอรมนี
26 มิถุนายน 1917 : กองกำลังสหรัฐฯ บุกเข้าพื้นที่ฝรั่งเศส
20 พฤศจิกายน 1917 : สู้รบกันที่กองเบร ฝรั่งเศส
3 ธันวาคม 1917 : รัสเซียเซ็นสัญญาสงบศึกกับเยอรมนีเป็นการชั่วคราว
3 มีนาคม 1918 : รัสเซียถอนตัวจากฝ่ายสัมพันธมิตร และถอนตัวจากสงคราม
21 มีนาคม-5 เมษายน 1918 : สู้รบที่แม่น้ำซอมม์ ฝรั่งเศส ครั้งที่ 2
29 กันยายน 1918 : เบลเยียมเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว
30 ตุลาคม 1918 : จักรวรรดิออตโตมันเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว
3 พฤศจิกายน 1918 : ออสเตรีย-ฮังการี เซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว
11 พฤศจิกายน 1918 : เยอรมนียอมรับสัญญาสงบศึกตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้อง เป็นการยุติสงครามโลกอย่างเป็นทางการ
โดยที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะสงคราม
28 กรกฎาคม 1919 : เซ็นสัญญาสนธิแวร์ซายส์ ที่พระราชวังแวร์ซายส์ ฝรั่งเศส
ภายหลังสงคราม
สิ้นสุดสงครามอย่างเป็นทางการ
ภาวะสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างสองฝ่ายยังคงดำเนินต่อไปอีกเจ็ดเดือน จนกระทั่งได้มีการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายกับ
เยอรมนี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 วุฒิสภาสหรัฐไม่ได้ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาฉบับนี้แม้จะได้รับการสนับสนุนจาก
สาธารณชนก็ตาม และไม่ได้มีการยุติการมีส่วนร่วมในสงครามอย่างเป็นทางการจนกระทั่งมติน็อกซ์-พ็อตเตอร์(Knox–Porter
Resolution) ได้ถูกลงนามในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 โดยประธานาธิบดีวาร์เรน จี. ฮาร์ดิง สำหรับสหราชอาณาจักรและ
จักรวรรดิบริติช ภาวะสงครามได้สิ้นสุดลงภายใต้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการสิ้นสุดสงครามปัจจุบัน(คำนิยาม) ค.ศ. 1918 ใน
ส่วนที่เกี่ยวกับ:
เยอรมนี เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1920
ออสเตรีย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1920
บัลแกเรีย เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1920
ฮังการี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1920
ตุรกี เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1920
ภายหลังสงคราม
กำเนิดสันนิบาตชาติ
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เห็นว่าควรจะมีการจัดองค์การระหว่างประเทศเพื่อสันติภาพปราศจากสงคราม ดังนี้นจึงจัดตั้งสันนิบาตชาติ
ขึ้นเพื่อป้องกันสงครามและความขัดแย้งในอนาคต โดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการเจรจาและการทูต รวมทั้ง
พัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น สิทธิแรงงาน ทาส ยาเสพติด การค้าอาวุธ ซึ่งนับเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การแรกที่มี
ภารกิจในด้านนี้ อย่างไรก็ดีเนื่องจากสันนิบาตไม่มีกองกำลังของตัวเองจึงต้องพึ่งพาชาติมหาอำนาจในการดำเนินการตามคำสั่ง
สันนิบาตชาติจึงล้มเหลวในการป้องกันการเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามจบถูกยุบไปและแทนที่ด้วยสหประชาชาติกระทั่ง
ปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงและการกำเนิดประเทศใหม่
ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลให้เกิดการวาดรูปแผนที่ยุโรปใหม่มากมาย ซึ่งได้แก่
จักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี แตกออกเป็นประเทศใหม่ ซึ่งได้แก่ ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย
จักรวรรดิออตโตมาน ได้ล่มสลายไป ทำให้แผ่นดินเดิมบางส่วนถูกแบ่งให้แก่ประเทศผู้ชนะสงคราม
จักรวรรดิรัสเซีย ได้สูญเสียดินแดนฝั่ งตะวันตกไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้กลายเป็นประเทศใหม่ ได้แก่ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย ลิ
ทัวเนียและโปแลนด์
สยามกับสงครามโลกครั้งที่ 1
กองทหารสยามในดินแดนเยอรมนี
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 สยามตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460
สยามจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบ 1,284 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายและ
พลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน
ทหารอาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมโดยการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและอังกฤษ ในการยึดแนวข้าศึก
บริเวณอาณาเขตของเยอรมันทำให้มีทหารเสียชีวิต ระหว่างการรบ
ภายหลังสงคราม สยามได้ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ทำไว้เดิมกับประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมัน
ฯลฯ โดยแก้ไขจากสนธิสัญญาเดิมที่สยามเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ได้ประโยชน์ดีขึ้น นอกจากนี้ สยามยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในผู้ก่อ
ตั้งองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย
ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้
- เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ
- ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสนธิสัญญาแวร์ซาย
- เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ เป็นหลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของ
ประเทศ
- ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอรมันและออสเตรีย-
ฮังการี และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทยมากขึ้น
- ได้ยึดทรัพย์จากเชลย
- เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น
- มีการจัดทหารแบบยุโรป และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก เดิมอยู่ในสังกัด กองทัพบก และต่อมาได้วิวัฒนาการมาจน
กลายเป็น กองทัพอากาศ ในปัจจุบัน
สมาชิกในกลุ่ม
กิรณา ฐิติประพันธ์กุล 3/5 เลขที่40
สุพิชฌาย์ ทรัพย์สำราญ 3/5 เลขที่ 34
ชาคริญา เอี่ยมสุเมธ 3/5 เลขที่ 25
จิรพัส สวนไพรินทร์ 3/5 เลขที่ 18
ทีปกร ไชยดำ 3/5 เลขที่ 41
ธาวิน สังหนู 3/5 เลขที่ 12
อติวิชญ์ สุวรรณประทีป 3/5 เลขที่ 24
สิรภัทร สังข์ซ้อน 3/5 เลขที่ 44
ฟ้าใส สุเมธานนทศุกดิ์ 3/5 เลขที่ 38
จิตตานันท์ จริณพรต่อรักษ์ 3/5 เลขที่17