The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การส่องสว่างหน่วยที่ 1แบบทำE-book

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nainai_690, 2023-10-01 07:58:01

การส่องสว่างหน่วยที่ 1แบบทำE-book

การส่องสว่างหน่วยที่ 1แบบทำE-book

แหล่งก ำเนิดของแสง โดย นายธีรนัย ทรัพย์อยู่ วิชาการส่องสว่าง รหัสวิชา 20104 – 2114


วิทยาลัยเทคนิคตาก นาย ธีรนัย ทรัพย์อยู่ จบหลักสูตร ค.อ.บ.วิศวกรรมไฟฟ้า (ท.อ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตาก ผู้เข้ารับการสอบเพื่อคัดเลือกเป็นครูอัตราจ้างชั่วคราว (แผนกไฟฟ้าก าลัง)


จุดประสงค์รายวิชา 1. ร ู ้ เข ้ าใจแหล ่ งกา เน ิ ดของแสงและค ุ ณสมบ ั ตข ิ องแสง 2. ร ู ้ เข ้ าใจการทา งานของหลอดไฟฟ้ าชน ิ ดตา ่ งๆ 3. ม ี ทก ั ษะเกย ี่วก ั บการเลอ ื กใช ้ งานหลอดและดวงโคม 4. ม ี ความตระหน ั กและเหน ็ ค ุ ณค ่ าเกย ี่วก ั บการส ่ องสว ่ าง


หน ่ วยการเร ี ยนร ู ้ รายวชิ า การส ่ องสว ่ าง • หน่วยที่ 1 แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น • หน่วยที่ 2 หน ่ วยวด ั และค ุ ณสมบ ั ต ิ ของแสง • หน่วยที่ 3 กำรค ำนวณหำปริมำณกำรส่องสว่ำง • หน่วยที่ 4 หลอดไฟฟ้ำ • หน่วยที่ 5 ลักษณะกำรให้แสง • หน่วยที่ 6 โคมไฟฟ้ำ


ข้อตกลงเกี่ยวกับผู้เรียน 1. มีสมุดจดบันทึก ท ำแบบฝึกหัด ทุกหน่วยกำรเรียน 2. เช็คชื่อทุกครั้งที่เข้ำเรียน 3. แต่งกำยเรียบร้อยถูกต้องตำมระเบียบของสถำนศึกษำ 4. เข้ำเรียนไม่น้อยกว่ำร้อยละ 80 ของเวลำเรียนที่ก ำหนด


คะแนนวัดผลประเมินผล จิตพิสัย 20 % ประกอบด้วย เวลำเรียน = 10 คะแนน คุณธรรม จริยธรรม = 10 คะแนน การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง 40 % ประกอบด้วย แบบฝึกหัด (สมุด) = 10 คะแนน งำนมอบหมำย = 10 คะแนน ทดสอบย่อย = 20 คะแนน การประเมินสรุปผลการเรียน 40 % ประกอบด้วย สอบปลำยภำค = 40 คะแนน


กิจกรรมน าเข้าสู่บทเรียน


ค าชี้แจง : ให้นักเรียนบอกแหล่งก ำเนิดแสงที่เห็นได้ใน ชีวิตประจ ำวันมำ คนละ 5 ข้อ โดยให้สแกนคิวอำร์โค้ดเพื่อร่วม กิจกรรม


ควำมรเ ู ้ ก ี ย ่ วกับ แหล่งก ำเนิด ของแสง ความหมายของแสง 1 2 ประวต ัิ และการค ้ นพบแสง 3 ชน ิ ดของแหล ่ งกา เน ิ ดแสงสว ่ าง


แสง คือ การแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความยาว คลื่นที่สายตามนุษย์มองเห็น และมีคุณสมบัติของแสง แสง สามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางและ อัตราเร็วของแสงจะมีค่ามากที่สุดในสุญญากาศคือ ประมาณ 3 x 108 เมตร/วินาที


หน่วยที่ 1 แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น สาระส าคัญ แสงเป็ นพลังงานร ู ปหน ึ่งเคล ื่อนทด ี่้ วยความเร ็ วประมาณ 3 x 108 เมตรต่อวินาทีอย ู่ในร ู ป ของคล ื่น ม ีช่วงความยาวคล ื่นระหว่าง 380 - 780 นาโนเมตร ช่วงความยาวคล ื่นของพลังงานแสง ดังกล่าวท าให้เกิดการมองเห็น แสงสามารถทะลุผ่านวัตถุโปร่งใสและสะท้อนจากผิวของวัตถุทึบแสง ได ้ เม ื่ออน ุ ภาคเหล่าน ี ้ ผ่านเข ้ าส ู่ตาจะท าให ้ เก ิ ดความร ู ้ ส ึ กในการมองเห ็ น ส่วนพลังงานของแสง สามารถเปล ี่ยนเป็ นพลังงานไฟฟ้ า พลังงานกล และพลังงานเคมไี ด ้


หน่วยที่ 1 1.1 แหล่งก าเนิดแสง แหล ่ งก าเน ิ ดแสงม ี ความส าค ั ญในการศ ึ กษาเร ื่องแสง เน ื่องจากม ี ความส ั มพ ั นธต ์ ่ อการให ้ แสงในสถานทต ี่่ างๆ ร ู ปแบบและความส ั มพ ั นธข ์ องแสงท ี่เปล ่ ง ออกจากแหล่งก าเนิดแสง ทิศทาง ปริมาณ และความเข้มของแสง มีผลต่อปริมาณและ ค ุ ณภาพของแสงท ี่น าไปใช ้ แหล ่ งก าเน ิ ดแสงสามารถแบ ่ งประเภทตามล ั กษณะของ แหล่งก าเนิดแสงได้ 2 ประเภท คือแสงจากธรรมชาติ และแสงจากการประดิษฐ์ แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น


หน่วยที่ 1 แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น แสงจากธรรมชาต ิ เป็ นแสงท ี่เก ิ ดจากธรรมชาต ิได้แก่ แสงอาทิตย์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แสงจากสัตว์บางชน ิ ดท ี่ม ี แสงในตัวเอง เช่นห ิ่งห ้ อย จ๊ักจ่ัน งวงช้าง ปลาไหลไฟฟ้ าปลาทะเลน ้าล ึ ก แหล่งก าเนิดแสงจากธรรมชาติเกิดจาก วัตถ ุ ท ี่ม ี อ ุ ณหภ ู ม ิ ส ู งมาก เช่น ดวงอาท ิ ตย ์ หร ื อดาวฤกษ ์ แสงสว่างบนโลกของเรา ส่วนใหญ่ได้มาจากดวงอาทิตย์ แสงจากดวงอาทิตย์จะแผ่พลังงานออกมารอบๆ และส่องมายังโลกด ้ วยซึ่งเป็ นแหล่งกา เน ิ ดแสงท ี่เป็ นธรรมชาต ิ มากท ี่สุด เพราะให้ ค่าสเปกตรัมทค ี่รบถ ้ วน นอกจากน ี้การน าแสงธรรมชาต ิ มาใช ้ในอาคารในปร ิ มาณ ท ี่เหมาะสม ยังช่วยลดค่าใช ้ จ่ายด ้ านพลังงานไฟฟ้ าให ้ กับอาคารได ้ อ ี กด้วย เน ื่องจากแสงจากดวงอาท ิ ตยม ์ ี ความแปรปรวน ปร ิ มาณแสงท ี่มากอาจทา ให ้ เกิด ความร้อน การออกแบบสถาปัตยกรรมของอาคาร จึงต้องเลือกใช้และควบคุมให้ อย ู่ในปร ิ มาณและค ุ ณภาพทเ ี่หมาะสม


แสงจากการประดิษฐ์ ได้แก่ แสงจากไฟฉาย หลอด ไฟฟ้า ตะเก ี ยง เท ี ยนไข และการเผาไหม ้ เชื อ ้ เพล ิ ง ต่าง ๆทั้ ง โทมัส อัล วา เอด ิ สัน ได ้ประด ิ ษฐห ์ ลอดไฟฟ้ าข ึ น ้ ในปี พ.ศ. 2422 ในยุคแรกเป็ น หลอดไฟฟ้ าแบบมไี ส ้ เมอ ื่มก ี ระแสไฟฟ้ าไหลผ่านขดลวดไส ้ หลอดจะร้อน จนเปล่งแสงสว่างออกมา ไส้หลอดท าด้วยทังสเตน และได้มีการประดิษฐ์ เป็ นฟล ู ออเรสเซนต ์ หลอดก ๊ าซด ิ สชารจ ์ และหลอดแอลอ ี ด ีในปัจจ ุ บัน การประด ิ ษฐ ์ ท ี่อาศัยพลังงานไฟฟ้ าเป็ นแหล่งพลังงานท าให ้ อ ุ ปกรณ์ ก าเน ิ ดแสงม ี หลายร ู ปแบบและได ้ พัฒนาให ้ ม ี ความสวยงาม สร ้ าง บรรยากาศได ้ ตามความต ้ องการและมปี ระส ิ ทธ ิ ภาพมากยง ิ่ขน ึ ้ แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1


1.2 พลังงานของแสง แสงสามารถเปลย ี่นเป็ นพล ั งงานร ู ปอน ื่ได ้ แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 พลังงานไฟฟ้า พลังงานกล พลังงานเคมี


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 พลังงานไฟฟ้า เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ (SolarCell) เป็ นส ิ่งประด ิ ษฐ ์ ทางอ ิ เล ็ กทรอน ิ กส ์โดยทา จากสารก ึ่งตัวน า ซิ ล ิ กอน (Silicon) เม ื่อ ด ้ านบนถ ู กแสงซึ่งเป็ นชั้นของสารก ึ่งตัวน าชน ิ ด N-Type จะสร้าง อ ิ เล ็ กตรอนข ึ น้มา เก ิ ดความต่างศักยข ์ึ น้ระหว่างชั้นของสารก ึ่งตัวน า ชนิด P-Type ซึ่งเป็ นด ้ านท ี่ไม่ถ ู กแสง รอยต่อPNก็จะท าหน้าท ี่สร ้ าง สนามไฟฟ้ าภายในเซลล ์ เพ ื่อแยกพาหะน าไฟฟ้ าชน ิ ดอ ิ เล ็ กตรอนไป ท ี่ขั้วลบ และพาหะน าไฟฟ้ าชน ิ ดโฮลไปท ี่ขั้วบวก ท ี่ฐานจะใช ้ สารก ึ่ง ตัวน าชนิด P-Type ขั้วไฟฟ้ าด ้ านหลังจ ึ งเป็ นขั้วบวก (+) ส่วนด้านรับ แสงใช ้ สารก ึ่งตัวน าชน ิ ด N-Type ขั้วไฟฟ้ าจ ึ งเป็ นขั้วลบ (-) ท าให้เกิด แรงดันไฟฟ้ ากระแสตรงทข ี่ั้วไฟฟ้ าทงั้สอง


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 ถ ้ าต่อให ้ ครบวงจรไฟฟ้ าจะเก ิ ดกระแสไฟฟ้ าไหลเว ี ยนข ึ้น ปร ิ มาณของกระแสไฟฟ้ าจะม ี เพม ิ่ข ึ น้ตามความเข ้ มของแสงท ี่ตก กระทบผ ิ วของวัตถ ุ ก ึ่งตัวน าเซลลแ ์ สงอาทต ิ ยช ์ น ิ ดทา จากผล ึ ก ซิ ล ิ กอนขนาดเส ้ นผ่านศ ู นยก ์ ลาง 4 น ิ้ว จะใหก ้ ระแสไฟฟ้ า ประมาณ 2-3แอมป์ แปร์ และให้แรงดันไฟฟ้าวงจรเปิ ด ประมาณ 0.6 โวลต ์ เน ื่องจากกระแสไฟฟ้ าทไี่ด ้ จากเซลล ์ แสงอาทิตย์มีไม่มาก ถ้าจะให้ได้ก าลังไฟฟ้ามากเพียงพอส าหรับ ใช้งาน จึงมีการน าเซลล์แสงอาทิตย์หลายๆ เซลล์มาต่อกันเป็ นแผง เซลลแ ์ สงอาทต ิ ย ์โซล่าโมด ู ล ลักษณะการต่อแผงเซลล ์ แสงอาท ิ ตยข ์ึ น้อย ู่ว่าต ้ องการกระแสไฟฟ้ าหร ื อแรงดันไฟฟ้ าถ ้ าม ี การ ต่อแผงเซลลแ ์ สงอาทต ิ ยแ ์ บบขนาน ก ็ จะทา ให ้ได ้ กระแสไฟฟ้ า เพ ิ่มมากข ึ น้ถ้ามีการต่อแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบอนุกรมก็จะ ทา ใหไ้ ด ้ แรงดันไฟฟ้ าส ู งข ึ น้ รูปการท างานของเซลล์แสงอาทิตย์


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 พลังงานกล เช่น เครื่องจักรกลแสงอาทิตย์ (Sun Engine) หรือ เรดิเอ มิเตอร์ (Radiameter) เม ื่อแสงถ ู กใบพ ั ดของเรดิเอมิเตอร์ ลักษณะเป็ น ก ั งหน ั แฉก ทา ด ้ วยอล ู มเ ิ น ี ยม วางในแนวต ั ง ้ และหม ุ นได ้ รอบแกน ต ั ้ งอย ู่ ภายในกระเปาะแก ้ ว ซึ่งบรรจ ุ อากาศทม ี่ี ความด ั นต่า มากและใบพัดทุก ใบ ด ้ านหน ึ่งทาส ี ด า อ ี กด ้ านหน ึ่งข ั ดม ั น พล ั งงานแสงจะเปล ี่ยนเป็ น พลังงานความร้อนโดยทางผิวสีด าจะมีความร้อนสะสมมากกว่าทางด้าน ผ ิ วข ั ดม ั น อ ุ ณหภ ู ม ิ ทางด ้ านส ี ด าจะส ู งข ึ ้ น ทา ให ้โมเลก ุ ลของอากาศท ี่ ส ั มผ ั สผ ิ วด ้ านน ี ้ ม ี อ ุ ณหภ ู ม ิ ส ู งกว่า จ ึ งท าให ้ เก ิ ดการผล ักดันตัวจาก บริเวณผิวสีด าเร็วกว่าอากาศทางด้านผิวขัดมัน กังหันจึงหมุนไปทางผิว ขัดมันได้ รูปเรดิเอมิเตอร์


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 พลังงานเคมี เช่น การสังเคราะห์แสงของใบไม้ เมื่อใบสีเขียวไม้ ได้รับแสงใบไม้จะมีการปรุงอาหาร กล่าวคือการใช้พลังงานรังสีจากแสง เปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนให้เป็นสารประกอบ คาร์โบไฮเดรตหรือน าตาล หรืออีกอย่างเช่นการถ่ายรูปแบบแผ่นฟิล์ม แสงท าให้เกิดปฏิกิริยาบนแผ่นฟิล์มในการถ่ายภาพ โดยท าให้ซิลเวอร์ คลอไรด์ (Silver Choride) ซิลเวอร์โบรไมด์ (Silver Bromide) หรือ ซิลเวอร์ไอโอไดด์(Silver Iodide) ท ี่ฉาบบนฟิ ล ์ มกลายเป็ นซิล เวอร์แบบคอลลอยด์ (Colloidal Silver) ซึ่งไม่ละลายในน ้ ายาล ้ าง ร ู ป กล้องถ่ายรูปแบบแผ่นฟิล์ม


250,000 ปีก่อนคริสตกาล 1 ได้ค้นพบแสงสว่างจากไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ไม้ https://www.thaipng.com/ 2 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ได้ค้นพบหินน ้ำมัน 3 500 ปีก่อนคริสตกาล ได้คันพบตะเกียงไส้ โดยใช้น ้ามันจากพืชและไขมัน สัตว์เป็นเชื้อเพลิง 4 ค.ศ. 400 ได้ค้นพบตะเกียงโลหะ โดยใช้ไส้ที่มีน ้ามันพืชและ ไขมันสัตว์เป็นเชื้อเพลิง 5 ค.ศ. 1779 ได้ค้นพบแก๊สธรรมชาติและได้แสงสว่างจากการ ตะเกียงแก๊สธรรมชาติ 6 ค.ศ. 1801 ค้นพบการอาร์คของประกายไฟฟ้าจากขั้วอิเล็กโทรด 2 ขั้ว 7 ค.ศ. 1827 ได้มีการผลิตไม้ขีดไฟขึ้นใช้ 8 ค.ศ. 1848 ได้ผลิตเทียนไขขึ้นจากพาราฟินและไขมันสัตว์ 9 ค.ศ. 1853 (อับราฮัม เกสเนอร์) ได้ผลิตตะเกียงน ้ามันก๊าด สามารถปรับความสว่าง ของแสงได้ 10 ค.ศ. 1879 (โทมัส อัลวา เอดิสัน) ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าแบบมีไส้ขึ้นใช้เป็นครั้งแรก


เป็นแหล่งก าเนิดแสง ชนิดแรกที่มนุษย์ใช้ ประโยชน์ ดาว ฤกษ ์ ดาวพร็อกซิมา เซนทอรี ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ โลกมากที่สุด การสะท้อนของ แสงอาทิตย์ที่ส่องผิว ของดวงจันทร์ ท ามาจากพาราฟิน ไขมันวาฬและขี้ผึ้ง การให้ความร้อนแท่น คาร์บอนและ ต่อมาเป็น แท่นทังสเตน ดาว ฤกษ ์ ท ามาจากแก๊ส ธรรมชาติ และ น ้ามันก๊าด https://www.thaipng.com/ ประเภทของแสง


ประเภทของแสง แสงจากธรรมชาติ https://www.lelong.com.my/


แสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ประเภทของแสง


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่1 1.3 ตากับการมองเห็น รูปส่วนประกอบของนัยน์ตา


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 นัยน ์ ตาม ี ลักษณะเก ื อบเป็ นทรงกลมเส ้ นผ่านศ ู นยก ์ ลางประมาณ 1 น ิ้ว และเป็ นล ู กแข ็ งเพราะม ี เน ื้อ แข ็ งหนาห ุ ้ มเป็ นเปล ื อกชั้นนอก จ ึ งทรงร ู ปร่างอย ู่ได ้ เป็ นปกต ิไม่เบ ี ย้ว บรรจ ุ อย ู่ในโพรงกะโหลกศีรษะใต้ หน ้ าผาก ม ี ส่วนประกอบทส ี่า คัญดังน ี้ 1. กระจกตา (Cornea) เป็ นส่วนหน ้ าของเน ื้อแข ็ งเหน ี ยว เป็ นวงกลมรัศม ีประมาณ 8 มม. ส่วนน ี้ โปร่งใส ย ื่นพน ้ ออกไปมากกว่าแนวพน ื้ตาขาว 2. ตาขาว (Sclera) ค ื อส่วนส ี ขาวของนัยนต ์ า ประกอบด ้ วยเน ื้อเย ื่อเหน ี ยวไม่ย ื ดหย ุ่นแต่แข็งแรง ท า หน ้ าทห ีุ่ ม ้ ล ู กตาไว ้ ด ้ านหลังล ู กตา ม ี กล ้ ามเน ื้อย ื ดอย ู่ 6 มัด ช่วยให้กลอกตา ซ้าย ขวา ข ึ น้ลงได ้ 3. ม่านตา (Iris) ทา หน ้ าทเ ี่ป็ นม่านตาสา หรับเปิ ดช่องกลมตรงกลางใหใ้ หญ่หร ื อเล ็ ก ช่วยให้แสง ผ่านเข ้ าไปในล ู กนัยนต ์ าได ้ เหมาะสม เป็ นส่วนทเ ี่ราเหน ็ เป็ นส ี ดา ส ีฟ้ า ส ี น ้าตาล ข ึ น้อย ู่กับเชื อ้ชาต ิ


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 4. ร ู ม่านตา (Pupil) เป็ นร ูเล็กๆกลางม่านตา ทเ ี่ป็ นทางผ่านของแสงเข ้ าไปในตา ร ู น ี จ ้ ะหดเม ื่อ อย ู่ทแ ี่สงจ ้ า และขยายเมอ ื่อย ู่ทม ี่ด ื 5.เลนส์ตา (Lens)หรือเรียกว่า แก้วตา มีลักษณะเป็ นแผ่นใสๆ เหมือนแก้ว คล้ายเลนส์น ู น ธรรมดา มีเอ็นยึดเลนส์ตา (Ciliary muscle) ย ึ ดระหว่าง เลนสต ์ าและกล ้ ามเน ื อ ้ และกล ้ ามน ี ย ้ ึ ด อย ู่โดยรอบทข ี่อบของเลนสต ์ า กล ้ ามเน ื อ ้ น ี ้ ทา หน ้ าทปี่ร ั บเลนสต ์ าให ้โค ้ งออกมาเม ื่อมาเม ื่อมองภาพ ในระยะใกล ้ และปร ั บเลนสต ์ าใหแ ้ บนเมอ ื่มองในระยะไกล 6.กล ้ ามเน ื อ ้ ย ึ ดเลนสต ์ า (Ciliary muscles) ทา หน ้ าท ี่หดและคลายต ั ว เพ ื่อปร ั บความยาว โฟก ั ส ทา ใหเ ้ กด ิ ภาพทชี่ั ดเจนบนจอประสาทตา


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 7. จอประสาทตา (Ratina) อย ู่ด ้ านหล ั งเลนสต ์ า ม ี ล ั กษณะเป็ นผน ั งทปี่ระกอบด ้ วยใยประสาทซึ่งไว ต่อแสง เซลลข ์ องประสาทเหล่าน ี ท ้ า หน ้ าทเ ี่ป็ นจอร ั บภาพ ส่งความร ู ้ สก ึ ผ่านเส ้ นประสาทตา จอประสาท ตาประกอบด้วยเซลล์ 2 ชน ิ ด ค ื อเซลลร ์ ู ปแท่ง (Rod cell) ก ั บเซลลร ์ ู ปกรวย (Cone cell) การท างาน ของเซลลร ์ ู ปแท่งทา หน ้ าท ี่ร ั บแสงทา ให ้ มองเห ็ นร ู ปร่างของว ั ตถ ุ ต่างๆ ได ้ การทา งานของเซลลร ์ ู ปกรวย ทา หน ้ าทร ี่ั บสท ี า ใหม ้ องเหน ็ ว ั ตถ ุ มส ี ต ี่างๆ เซลลร ์ ู ปกรวยจะทา งานได ้ ดต ี้ องมแ ี สงสว่างมาก 8. เส้นประสาทตา (Optic nerves) จ ุ ดรวมเส ้ นประสาทตาทง ั ้ หมดออกจากล ู กตาเข ้ าส ู่สมอง 9. นา ้ ว ุ ้ นตา (Vitreous gel) ล ั กษณะเป็ นของเหลวเหมอ ื นว ุ ้ นรวมต ั วก ั นอย ู่ในถ ุ งบางๆเต็มช่อง ด ้ านหล ั งล ู กตา ช่วยใหล ้ ู กตาร ั กษาร ู ปทรงอย ู่ได ้


เรตินา เรตินาประกอบด้วยเซลล์รับแสง 2ชนิด 1. เซลล์รูปกรวยจะสามารถมองเห็น แม่สีเช่นสีแดงสีน ้าเงินสีเขียว 2. เซลล์รูปแท่งมีรูปแบบเดียวจะเห็น เฉพาะสีขาวและด า https://www.thaipng.com/


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 การมองเห็น การท ี่สายตาปกต ิ คนเราจะมองเห ็ นภาพ จะเหน ็ได ้ ด ี น ั ้ น ประกอบด ้ วย ส่วนส าคัญ 3ส่วนของน ั ยน ์ ตา ค ื อ ล ู กน ั ยน ์ ตา ประสาทตา และสมอง ส่วนท้ายทอย - ล ู กน ั ยนต ์ า ได ้ แก่กระจกตา เลนสต ์ า นา ้ ว ุ ้ นตา และจอประสาทตา ทุกส่วนต้องใสและปกติ - เส้นประสาทตา (Optic nerves) ต ้ องเชื่อมโยงจากล ู กน ั ยนต ์ าไปส ู่ สมองโดยปกติ - สมองส่วนทา ้ ยทอย ทา หน ้ าทร ี่วมภาพทเ ี่หน ็ จากล ู กน ั ยนต ์ าทง ั ้ สองให ้ เกด ิ ภาพท3 ี่มร ี ู ปทรงหร ื อมม ี ต ิิ ทา ใหร ้ ู ้ ระยะใกล ้ไกล ลก ึ หนาบางได้


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 ความผิดปกติของสายตา ความผ ิ ดปกต ิ ของสายตาค ื อ การมองเห ็ นภาพผ ิ ดไปจากท ี่สายตาคน ปกตม ิ องเหน ็ หร ื อมองเหน ็ ภาพช ั ดเจนเฉพาะบางตา แหน ่ งเทา ่ น ั ้ น ซงได้แก่ ึ่ - สายตาส ั ้ น - สายตายาว - สายตาเอียง


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่ 1 สายตาส ั ้ น (Short Sighted Eye) เป็ นความสามารถของสายตาท ี่ มองเห ็ นภาพของว ั ตถ ุ ได ้ ช ั ดเจนเฉพาะส ิ่งท ี่อย ู่ใกล ้ ตา ใกล ้ กว่า 25 เซนต ิ เมตร เท่าน ั ้ น ส่วนว ั ตถ ุ ท ี่อย ู่ไกลออกไปเห ็ นเป็ นภาพพร่ามัว สาเหตุ เกด ิ เน ื่องจาก 1. กระบอกตายาวเกน ิไป ทา ใหภ ้ าพทไี่ปตกจะตกก่อนถง ึ จอประสาทตา 2. เลนส์ตา มีความโค้งมากเกินไป วิธีแก้ไข สา หร ั บคนสายตาส ั น ้ ทา ได ้โดยการใช ้ แว่นหร ื อคอนแทคเลนส์ สวมใส่น ั ยน ์ ตา ท ี่ท าด ้ วยเลนสเ ์ ว ้ า จะช่วยด ึ งภาพของว ั ตถ ุ ไปตกหน้าจอ ประสาทตา


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่1 สายตายาว (Long Sighted Eye) เป็ นความสามารถของ สายตาที่มองเห็ นภาพของวัตถุ ได้ชัดเจนเฉพาะสิ่งที่อยู่ไกลๆตา เทา่นั้น ส่วนวัตถุ ทอี่ยู่ใกล้ ๆ มองเหน็ไม่ชัด สาเหตุ เกดิ เนื่องจาก 1. กระบอกตาสั้นเกิ นไป ทา ให้ภาพที่ไปตกจะตกหลังถึ งจอ ประสาทตา 2. เลนส์ตา มีความโค้งน้อยเกินไป วิธีแก้ไข ส าหรับคนสายตายาว ท าได้โดยการใช้แว่นหรือคอน แทคเลนสส์ วมใส่นัยนต์ า ที่ทา ด้วยเลนสน์ู น เพื่อช่วยดึงภาพของ วัตถุไปตกหลังจอประสาทตา


แหล่งก ำเนิดแสงและกำรมองเห็น หน่วยที่1 สายตาเอียง (Astigmatism) เป็ นคนที่มี สายตาเมื่อมองภาพ วัตถุ ในแนวระดับไม่ชัดเจน แต่มองในแนวดิ่งชัดเจน หรื อมอง ภาพวัตถุ ในแนวระดับชัดเจน แต่มองภาพในแนวดิ่งไม่ชัดเจน สาเหตุ เกดิ เนื่องจาก 1.ความโค้งของเลนสต์ าในแนวระดับไม่สม่ าเสมอเท่ากับความ โค้งของผิ วในแนวดิ่ง จึ งทา ให้แสงที่ผ่านเข้าสู่เลนสต์ าไม่ตัดกันที่จุ ด เดียวกัน วิธีแก้ไข ส าหรับคนสายตาเอียง ได้โดยการใช้แว่นหรือคอนแทค เลนสส์ วมใส่นัยนต์ า ทที่า ด้วยเลนสร์ู ปกาบกล้วยหรื อรู ปทรงกระบอก มาช่วยแก้ความโค้งของผิ วเลนสต์ าใหถ้ ก ู ต้อง


สรุปได้ว่า แสง คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วงความยาว คลื่นที่สายตามนุษย์มองเห็นได้และจะมีการเคลื่อนที่ในแนว เส้นตรงในตัวกลางชนิดหนึ่งๆ โดยจะเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางแต่ ละชนิดด้วยความเร็วไม่เท่ากันด้วยคุณสมบัติของแสง


กิจกรรมหน่วยที่ 1 แหล่งก าเนิดแสงและการมองเห็น ค าชี้แจง : ให้นักเรียนร่วมกิจกรรมจับกลุ่มภำพให้ ถูกต้องโดยให้สแกนคิวอำร์โค้ดเพื่อร่วมกิจกรรม


แบบทดสอบหลังเรียน


จบการน าเสนอ สวัสดีครับ


Click to View FlipBook Version