๔.สัลลาปังคพิไสย (บทโศก) คือ การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า อาลัยรัก บทโศกของนางวัน
ทอง ซึ่งคร่ำครวญอาลัยรักต้นไม่ในบางขุนช้าง อันแสดงให้เห็นว่านางไม่ต้องการตามขุนแผนไป แต่ที่ต้อง
ไปเพราะขุนแผนร่ายมนต์สะกด ก่อนลานางได้ร่ำลาต้นไม้ก่อนจากไปจากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน
ขุนแผนพานางวันทองหนี
ตัวอย่างบทประพันธ์ ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล
นางทุ่มทอดกายสยายเกศ อัศจรรย์หวั่นไหวแต่ในดง
ดังใครตัดเกล้าให้ผุยผง
พ่อคุณทูนหัวแม่หนักใจ มั่นคงทั้งนี้อีจันทา
แม่รีบมาไม่เห็นหน้าเจ้า จะตายตามไปด้วยพระลูกข้า
ลูกแก้วไม่แคล้วจะปลดปลง โศกาแน่นิ่งไม่ติงกาย
แม่ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย
ครวญคร่ำทางร่ำพรรณนา (ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์)
ถอดความได้ว่า
ท้าวยศวิมลถูกคุณไสยจากนางจันทาเทวีจึงออกอุบายให้ท้าวยศวิมลฆ่าพระสังข์ทิ้งเสียทหารจึงจับตัวพระสังข์
ไป ทำให้นางจันท์เทวีผู้เป็นแม่ถึงกับทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้คร่ำครวญเพราะเกิดความสังหรณ์ใจตั้งแต่อยู่ในป่าเมื่อ
รีบกลับมาแล้วไม่เห็นพระสังข์เหมือนใครมาตัดคอคงเป็นเพราะนางจันทาเทวีเป็นแน่แท้ นางจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป
ขอตายตามลูกรักไปแล้วร้องไห้ฟูมฟายจนสลบแน่นิ่งไป
การวิเคราะห์รสวรรณคดีสันสกฤต
๑.ศฤงคารรส (รสแห่งความรัก) เป็นการพรรณนาความรักระหว่างหนุ่มสาวระหว่างสามี ภรรยา ระหว่าง
ผู้ใหญ่กับผู้น้อย บิดามารดากับบุตร ญาติกับญาติ ฯลฯ สามารถทำให้ผู้อ่านพอใจรักเห็นคุณค่าของความรัก
นึกอยากรักกับเขาบ้าง เช่น รักฉันชู้สาว รักหมู่คณะ รักประเทศชาติ อย่างเช่น เรื่องลิลิตพระลอ เต็มไปด้วย
รสรัก (บาลี เรียกรสนี้ว่า รติรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ ตายายให้คิดอางขนาง
บัดนั้น แลเห็นรูปร่างกุมารา
ทูนหัวน่ารักเป็นหนักหนา
พากันเข้าไปในทับนาง เกิดมายังไม่ได้ยินเลย
ตะลึงขึงแข็งไปทั้งตัว ลูกของเจ้าแน่หรือแม่เอ๋ย
พ่อคุณเป็นบุญของยายตา พ่อเอ๋ยรูปร่างช่างสร้างมา
พึ่งพบพึ่งเห็นเป็นเที่ยงแท้ ล้มตายไม่เห็นเป็นหนักหนา
บุญหนักศักดิ์ใหญ่กระไรเลย
ชั่วปู่ชั่วย่าชั่วตายาย (ตอนที่ ๑ กำเนิดพระสังข์)
ถอดความได้ว่า
นางจันท์เทวีและพระสังข์ได้ไปอาศัยอยู่กับตายาย ๆ จึงได้แอบดูพระสังข์ตอนออกมาจากหอยสังข์เพื่อ
ช่วยงานบ้านจึงเกิดความรักความเมตตาในตัวพระสังข์เป็นอย่างมากถึงกับยืนตะลึงในความน่ารัก โดยกล่าวถึงรูป
ร่างซึ่งแสดงให้เห็นถึงคนมีบุญ ซึ่งตายายถือว่าเป็นบุญของตนที่สามารถเห็นพระสังข์ ซึ่งตั้งแต่เกิดมายังไม่เคย
พบเห็นเช่นนี้มาก่อน
๒.หาสยรส (รสแห่งความขบขัน) เป็นการพรรณนาที่ทำให้เกิดความร่าเริง สดชื่น เสนาะขบขัน อาจทำให้ผู้
อ่าน ผู้ดู ยิ้มกับหนังสือ ยิ้มกับภาพที่เห็นถึงกับลืมทุกข์ดับกลุ้มไปชั่วขณะ (บาลีเรียกรสนี้ว่า หาสะรส)
ต ัวอย่างบทประพันธ์
บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองน้อยใหญ่
ต่างคนร้องว่าช่างกระไร เรี่ยวแรงสุดใจเจียวเจ้าเงาะ
หาบเนื้อที่ไหนมานักหนาหนอ ไม่หนักเลยหรือพ่อมาวิ่งเหยาะ
ลางคนบ้างกลัวบ้างหัวเราะ บ้างร้องเยาะงามเหวยลูกเขยพระยา
เด็กเด็กเซ็งแซ่เข้าแห่ห้อม พรั่งพร้อมล้อมหลังล้อมหน้า
บ้างร้องว่าเออเกลอกูมา เฮฮาโห่ฉาวกราวเกรียว
(ตอนที่ ๗ ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ)
ถอดความได้ว่า
หลังจากเจ้าเงาะล่าสัตว์แข่งกับหกเขยชนะ จึงหาบสัตว์ป่ามาเข้าเฝ้าท้าวสามลจำนวนมาทำให้ชาว
บ้านทั้งหญิงและชายต่างร้องถามถึงเรี่ยวแรงอันมหาศาลของเจ้าเงาะที่สามารถหาบของหนักและวิ่งแบบ
เหยาะ ๆ ได้ด้วยบุคลิกลักษณะของเจ้าเงาะทำให้ชาวบ้านที่เห็น บ้างตื่นกลัว บ้างขบขันในท่าทาง โดยเฉพาะ
เด็ก ๆ พากันหยอกล้อเจ้าเงาะและร้องว่าเพื่อนเกลอมาแล้ว
๓.กรุณารส (รสแห่งความเมตตากรุณาที่เกิดภายหลังความเศร้าโศก) เป็นบทพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านหดหู่
เหี่ยวแห้งเกิดความเห็นใจถึงกับน้ำตาไหล พลอยเป็นทุกข์ เอาใจช่วยตัวละคร (บาลีเรียกรสนี้ว่า โสกะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ มเหสีตีทรวงโหยหา
เมื่อนั้น โศกาไม่เป็นสมประดี
ทรงธรรม์ก็เมินดำเนินหนี
พ่างเพียงจะสิ้นชีวา พระพันปีหนีเมียเสียว่าไร
ครั้นจะอ้อนวอนผ่อนผัน น้องแก้วหาขัดขืนไม่
ทุกข์แค้นแสนโศกโศกี มิให้ช้านักสักเจ็ดวัน
มีกรรมจำจากพระบาทแล้ว
จะขอผัดผ่อนต่อนอนไฟ (ตอนที่ ๑ กำเนิดพระสังข์)
ถอดความได้ว่า
นางจันท์เทวีจะถูกเนรเทศจึงร้องไห้คร่ำครวญถึงท้าวยศวิมลแต่ท้าวยศวิมลก็ไม่ได้สนใจกลับเดินหนีนาง
นางจึงคร่ำครวญและคิดว่าการจากพระสวามีนั้นเป็นเคราะห์กรรมที่ทำให้จากกันแต่นางก็ไม่ได้ขัดคำสั่งอันใด
เพียงขอผ่อนผันให้อยู่ไฟหลังคลอดเสียก่อนสักเจ็ดวัน แต่ท้าวยศวิมลไม่ได้ตอบนางแต่อย่างใด
๔.รุทรรส/เราทรรส (รสแห่งความโกรธเคือง) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้ดูผู้อ่านขัดใจฉุนเฉียว
ขัดเคืองบุคคลบางคนในเรื่องบางทีถึงกับขว้างหนังสือทิ้งหรือฉีกตอนนั้นก็มี เช่น โกรธขุนช้างโกรธชูชก
(บาลีเรียกรสนี้ว่า โกธะ)
ตัวอย่างบทประพันธ์ มืดกลุ้มคลุ้มคลั่งดังเพลิงไหม้
ได้ฟัง จะเกรงกลัวใครก็ไม่มี
เยื้องยักแยบคายใส่สี
เหม่อีจันทาชะล่าใจ พาทีเกินตัวไม่กลัวตาย
จองหองพองขนเป็นพ้นนัก ยกย่องหัวหูดูเฉิดฉาย
เพราะเกิดลูกเต้าด้วยเท่านี้ แยบคายทบเทียบเปรียบมา
เหมือนหนึ่งกิ้งก่าได้ทาทอง
มึงประจานใครให้ได้อาย (ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์)
ถอดความได้ว่า
นางจันทาหลังจากวางกลอุบายไล่พระสังข์และมเหสีออกไปได้แล้วจึงให้บุตรี(จันที)พูดถึงทรัพย์สมบัติและ
บัลลังก์ทำให้ท้าวยศวิมลโกรธและด่าทอนางจันทาว่า แม้จะมีลูกด้วยกันนั้นก็ยังชะล่าใจไม่เกรงกลัวใคร หยิ่งจองหอง
เปรียบเหมือนกิ้งก่าได้ทองพูดจาประจานคนอื่นให้เกิดความอับอายอีกทั้งใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นโดยคาดโทษนางจันทาไว้
ทำให้นางจันทาหาวิธีทำเสน่ห์ ไสยศาสตร์ แก่ท้าวยศวิมลในที่สุด
๕.วีรรส (รสแห่งความกล้าหาญ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ดู ผู้ฟัง พอใจผลงานและหน้าที่
ไม่ดูหมิ่นงาน อยากเป็นใหญ่ อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียง เลียนแบบสมเด็จพระนเรศวรชอบความมีขัตติ
มานะของพระมหาอุปราชา จากเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย (บาลีเรียกรสนี้ว่า อุตสาหะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ อมรินทร์ปิ่ นฟ้าฟุ้งเฟื่ อง
เมื่อนั้น ยักเยื้องย่างท่าสง่างาม
ควบม้ามุ่งหมายชายชำเลือง พระอินทร์เหาะขึ้นจากท้องสนาม
ทรงเลี้ยงลูกคลีตีเดาะ เหาะตามติดพันกระชั้นชิด
พระสังข์ไม่พรั่นครั่นคร้าม
(ตอนที่ ๘ พระสังข์ตีคลี)
ถอดความได้ว่า
พระอินทร์ได้แปลงกายลงมาท้าท้าวสามลตีคลีพระสังข์จึงออกไปตีคลีด้วยความกล้าหาญ
ชาญชัยจนได้รับชัยชนะ โดยพระอินทร์ทรงควบม้าด้วยท่าทางสง่างามชำเลืองมองพระสังข์แล้วเดาะ
ลูกคลี อีกทั้งเหาะขึ้นไปจากพื้นสนาม พระสังข์เองก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อพระอินทร์เหาะตามไปอย่าง
กระชั้นชิด
๖.ภยานกรส (รสแห่งความกลัว ตื่นเต้นตกใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ฟัง ผู้ดูมองเห็นทุกข์ เห็นโทษ
เห็นภัยในบาปกรรมทุจริต เกิดความสะดุ้งกลัวโรคภัยสัตว์ร้ายภูตผีปีศาจ บางครั้งต้องหยุดอ่านรู้สึกขนลุกซู่ อ่านเรื่องผี
ต่าง ๆ (บาลีเรียกรสนี้ว่า อุตสาหะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ หกเขยเข็ดขยาดไม่อาจสู้
เมื่อนั้น เอ๊ะอยู่แล้วกระมังครั้งนี้
รุนเมียออกหน้าเจ้าอย่าหนี
เหลียวซ้ายแลขวาหาประตู เต็มทีลงนั่งภาวนา
บ้างเข้าแอบหลังภรรยา ทำเป็นว่าพี่นี้คนกล้า
ความกลัวตัวสั่นไม่สมประดี ก็วิ่งล้มถลาขาแข้งเพลีย
บ้างกำหมัดขัดเขมรหมายเขม้น
ครั้นเห็นเงาะถือไม้ใกล้เข้ามา (ตอนที่ ๗ ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ)
ถอดความได้ว่า
ท้าวสามลให้บรรดาหกเขยหาปลาหาเนื้อ (สัตว์ป่าที่ให้เนื้อเป็นอาหาร) พระสังข์ใช้มหาจินดามนต์เรียกเนื้อ
ทำให้หกเขยไม่สามารถล่าเนื้อได้ จึงได้ตัดปลายจมูกเพื่อแลกกับปลาและตัดหูเพื่อแลกกับเนื้อ เช่น กวาง ทำให้หกเขย
กลัวเจ้าเงาะเป็นอันมากโดยตอนเข้าเฝ้าท้าวสามนต์ด้วยความกลัว จึงเหลียวซ้ายเหลียวขวามองหาเจ้าเงาะ บางคน
แอบอยู่หลังภรรยาโดยผลักให้ภรรยาอยู่ข้างหน้า บางคนเกิดความกลัวถึงกลับลงนั่งพนมมือ บางคนแกล้งกำหมัดเพื่อ
แสดงตนว่ากล้าแต่เมื่อเจ้าเงาะถือไม้เข้ามา จึงพากันวิ่งหนีด้วยความกลัว
๗.พีภัตสรส (รสแห่งความชัง ความรังเกียจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง ชั่งน้ำหน้าตัวละครบางตัว
เพราะจิต (ของตัวละคร) บ้างเพราะความโหดร้ายของตัวละครบ้าง (บาลีเรียกรสนี้ว่า ชิคุจฉะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์
เมื่อนั้น ท้าวสามนต์เห็นเงาะชังน้ำหน้า
เนื้อตัวเป็นลายคล้ายเสือปลาไม่ กลัวใครใจกล้าดุดัน
ผมหยิกยุ่งเหยิงเหมือนเซิงฟัก หน้าตาตละยักษ์มักกะสัน
พระเมินเสียมิได้ดูมัน แล้วมีบัญชาวประชดรจนา
(ตอนที่ ๖ พระสังข์ได้นางรจนา)
ถอดความได้ว่า
หลังจากท้าวสามลให้บรรดาธิดาทั้งเจ็ดเลือกคู่แล้ว นางรจนาไม่ได้เลือกใครจึงได้ให้เจ้าเงาะเข้ามาเฝ้า
ท้าวสามลเห็นจึงได้แสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์โดยมีความเกลียดชังถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้าเงาะ เนื้อตัวลาย
คล้ายเสือปลา (เสือชนิดหนึ่ง) หน้าตาดุท่าทางไม่กลัวใคร ผมหยิกหยองยุ่งเหยิง หน้าตาเหมือนยักษ์ ท้าวสามลจึง
เมินหน้าหนีแล้วรับสั่งประชดนางรจนาให้เลือกคู่
๘.อัพภูตรส (รสแห่งความพิศวงประหลาดใจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้นึกแปลกใจ เอะใจอย่างหนัก ตื่นเต้นนึกไม่ถึง
ว่าเป็นไปได้เช่นนั้นหรืออัศจรรย์คาดไม่ถึงในความสามารถในความคมคายของคารมในอุบายหรือในศิลปวิทยา แปลกใจใน
สุปฏิบัติ (ความประพฤติที่ดีงาม) แห่งขันติ เมตตา กตัญญู อันยากยิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ (รสนี้บาลีเรียก วิมหะยะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์
บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
ต่างว่าภูวไนยมิใช่เงาะ
เห็นพระรูปทองล่องลอยฟ้า หม่อมผัวพระบุตรีคนนี้เหมาะ
บังคมชมเปาะไปทั้งนั้น
เกิดมาพึ่งเห็นเป็นบุญตัว หนุ่มแก่แซ่ซ้องทั้งเขตขัณฑ์
เบียดกันกลางถนนแน่นไป
เทวดาพานำมาจำเพาะ
(ตอนที่ ๘ พระสังข์ตีคลี)
ต่างอำนวยอวยพรพระสังข์ทอง
มาตามดูภูมีนี่นั่น
ถอดความได้ว่า
ชาวเมืองดูการตีคลีของพระสังข์ ด้วยความอัศจรรย์ใจและกล่าวคำสรรเสริญแก่พระสังข์ โดยชาวเมืองหญิงชาย
เห็นพระสังข์ในรูปทองล่องลอยอยู่บนฟ้าต่างพากันพูดว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์พระสวามีของนางรจนาไม่ใช่เจ้าเงาะ
ซึ่งมีความเหมาะสมกันจึงถือกันว่าเป็นบุญตาของผู้ได้พบเห็น อีกทั้งเทวดาพามาพบกัน ต่างพากันมาชื่นชมและอวยพร
ให้แก่พระสังข์อย่างเนืองแน่นเต็มถนนไปหมด
๙.ศานติรส (รสแห่งความสงบ) อันเป็นอุดมคติของเรื่อง เช่น ความสงบสุขในแดนสุขาวดีในเรื่องวาสิฏฐีอันเป็นผลมุ่งหมาย
ทางโลกและทางธรรม เป็นผลให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง เกิดความสุขสงบในขณะได้เห็นได้ฟังตอนนั้นด้วย (บาลีเรียกรสนี้ว่า สมะรส)
ตัวอย่างบทประพันธ์ เห็นสองกษัตริย์นาถา
ครั้นถึงจึงเข้าไปในห้อง พูดจาปราศรัยเป็นไมตรี
ข้าจะเปล่าเปลี่ยวใจอยู่กรุงศรี
บังคมคัลกันตามลำดับมา เคยอยู่ที่นี่ได้อุ่นวัง
พระองค์จะเสด็จกลับไป ให้ลูกแก้วสองรากลับมามั่ง
ทั้งคิดถึงโอรสบุตรี จะได้พึ่งพระสังข์สืบไป
ถ้าพบปะพระอินทร์สิ้นทุกข์แล้ว
มาตรแม้นมีธุระปะปัง (ตอนที่ ๙ ท้าวยศวิมลตามหาพระสังข์)
ถอดความได้ว่า
หลังจากท้าวยศวิมลได้ออกตามหานางจันท์เทวีและพระสังข์โดยให้กลับไปครองเมืองท้าวสามนต์และนางมณฑา
ต่างรู้สึกเสียดายในตัวพระสังข์และนางรจนา แต่ก็ยินยอมในที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในความดีงามของพระสังข์
กล่าวถึงท้าวสามลได้เดินเข้าไปในห้องพบพระสังข์และท้าวยศวิมลทั้งสองจึงไหว้และพูดจากัน ท้าวสามลกล่าวว่าหากพระ
สังข์และท้าวยศวิมลกลับไปวังของตนเองพระองค์คงเหงาและคิดถึงนางรจนา ถ้าหากอยู่สุขสบายดีแล้วก็ขอให้กลับมาเยี่ยม
ตนบ้าง เพราะหวังจะได้พึ่งพระสังข์ต่อไปในภายภาคหน้า
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
๑. การแสดงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร พ่อแม่ก็ยังรักลูกเสมอ
๒. ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณย่อมส่งผลให้ชีวิตเจริญงอกงาม
๓. ความพยายามไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่ยากลำบาก ย่อมส่งผลให้ประสบความสำเร็จ
๔. ธรรมมะย่อมชนะอธรรม
๕. อย่ามองคนเพียงเเค่เปลือกภายนอก
๖. ผู้ทำกรรมดี ประพฤติดี ย่อมเเคล้วคลาดปลอดจากภัยอันตราย
เสนอ
อาจารย์ กัณย์ญภัธสร บัวหอม
สมาชิกในกลุ่ม (ภาษาไทย ค.บ.)
๑.นางสาวยูสรอ ยามา รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๐๕
๒.นางสาวโซรัยญา เบ็ญเลาะห์ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๑๐
๓.นางสาวนาบีลา สะแต รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๒๐
๘.นางสาวนูรฮาสานะห์ เปาะสุดง รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๒๑
๕.นางสาวนูรูลฮุดา หะยีสะนิ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๒๒
๖.นางสาวนาเดีย พุดารอ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๒๙
๗.นางสาวซัยน๊ะห์ ยานยา รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๓๘
๘.นางสาวนูรีฮะห์ สามะ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๓๙
๙.นายอับดุลเลาะ จิตอมะซอ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๕๐๑๐๔๖
สังข์ทอง
ขอขอบคุณครับ/ค่ะ