มาตรา 341-344
ประมวล
กฎหมายอาญา
ลักษณะ 12
หมวด
3
ความผิด
เกี่ยวกับทรัพย์
นางสาวรักชนก แก้วเจริญ
641081283
ผู้จัดทำ
ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย อ า ญ า ลั ก ษ ณ ะ 1 2 ห ม ว ด 3
ความผิดฐานฉ้อโกง
ความผิดฐานฉ้อโกง
ถือเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ ซึ่งหมายถึงผู้เสียหายและผู้กระทํา
ความผิดสามารถเจรจา คืนทรัพย์สิน หรือชำระค่าเสียหายเพื่อยุติคดี
แต่ยกเว้น "ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน” ผู้เสียหายต้องดําเนินการ
แจ้งความ หรือฟ้องคดีภายในเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่ทราบเรื่องและ
รู้ตัว ผู้กระทําผิด ไม่เช่นนั้น คดีจะขาดอายุความ
การฉ้อโกงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ซึ่งผู้กระทำมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย
ตั้งแต่แรก โดยการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิด
ข้อความจริง ทำให้ผู้ถูกหลอกลวง ทำ ถอน หรือ
ทำลายเอกสารสิทธิ และผลของการหลอกลวงนั้น
ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือบุคคลที่สาม
ผู้กระทำจะต้องระวางโทษ
สาระสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกง มีดังนี้
1. ผู้ ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ
ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
ข้อความเท็จจะต้องเป็นเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ใช่เหตุการณ์
ในอนาคต
ข้อความเท็จแค่เพียงบางส่วนก็ได้
ผู้กระทำต้องรู้ว่าเป็นเท็จ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นหรือคาดคะเน
วิธีการแสดงโดยใช้อุบายต่าง ๆ อาจทางวาจา พูดจาหว่านล้อม หรือ
แสดงกิริยา ท่าทาง ลายลักษณ์อักษร หรือวิธีอื่น ๆ ก็ได้ หรือปกปิด
ความจริง คือ เพื่อจะให้ได้ทรัพย์สินผู้กระทำจึงปกปิด ไม่ยอมบอก
ประมวลกฎหมายอาญา
ลักษณะ12 หมวด3
สาระสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกง มีดังนี้
2. การหลอกลวงดังกล่าว ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง
หรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ
ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
การหลอกลวงต้องกระทำก่อนที่จะได้ทรัพย์สิน
หากผู้ถูกหลอกลวงไม่หลงเชื่อ แต่ให้ทรัพย์สินเพราะสงสาร หรือเพื่อ
จะใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นเพียงความผิดฐานพยายามฉ้อโกง
ถ้าผู้ถูกหลอกลวง ไม่เชื่อจึงไม่ให้ทรัพย์ หรือเชื่อแต่ไม่ให้ทรัพย์หรือ
ไม่มีทรัพย์จะให้ ผิดฐานพยายามฉ้อโกง
กรณีทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ คือ เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่ง
การก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ หรือระงับสิทธิ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา 1(9) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ถ้า
ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ไม่ผิดฉ้อโกง
ต้องเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ใช่ทรัพย์สินของตนเอง
สาระสำคัญของความผิดฐานฉ้อโกง มีดังนี้
3. มีเจตนาทุจริต ต้องมีเจตนาทุจริตก่อนหรือขณะหลอกลวง
เพื่อให้ส่งทรัพย์สินหรือให้กระทำการใด ๆ ดังกล่าว
นอกจากมาตรา 341 ดังกล่าว ยังปรากฏความผิดเกี่ยวกับฉ้อโกงใน
ลักษณะอื่น ตามาตรา 342 ถึงมาตรา 348 มีสาระสำคัญดังนี้
1. ถ้าการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความ
อ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5
ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 342
2. ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
ต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าว กระทำโดยแสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความ
อ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
6 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 140,000 บาท
ตามมาตรา 343
3. ถ้ามีเจตนาทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้ประกอบ
การงานอย่างใด ๆ แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน
หรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคล
เหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่
เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 344
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
"ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ
แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด
ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดย
การหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่ง
ทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคล
ที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือ
บุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลาย
เอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน
ฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสาม
ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ"
ความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดง
ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งชัด และต้องมีเจตนามา
ตั้งแต่ต้น
จากนั้นโดยผลของการหลอกลวงนั้น ผู้กระทำผิดได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก
ลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลาย
เอกสารสิทธิ แต่หากมีเจตนาทุจริตและทำการหลอกลวงในภายหลังจากได้ทรัพย์สินไป
แล้ว ดังนี้ก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอก
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341
1.ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่ง
ควรบอกให้แจ้ง
2.โดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม
หรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
3.โดยทุจริต (เจตนาพิเศษ)
การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้นมีอยู่สองส่วน คือ การแสดงข้อความอัน
เป็นเท็จ และอีกส่วนหนึ่งคือการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาฎีกา
ที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10577/2557
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันนำโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองราคาประเมิน
ที่ดินมาหลอกลวงโจทก์ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาทั้งสองและคดีแพ่ง
โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลอกลวงว่าขอนำที่ดินโฉนดเลขที่ 67633 และ 70225
ตีใช้หนี้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อหนังสือรับรองราคาประเมินว่าที่ดินตามโฉนดที่ดิน
เลขที่ 70225 มีราคาประเมิน 1,302,000 บาท จึงรับโอนที่ดินและถอนคำร้อง
ทุกข์ และถอนฟ้องทั้งสามคดี ความจริงที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินเพียง
117,180 บาท ไม่ได้มีราคาประเมินตามหนังสือรับรองดังกล่าว
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับประโยชน์เพียงไม่ถูกดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่ง
เท่านั้น ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ด้วยการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้อง
ชำระหนี้แก่โจทก์ การถอนฟ้องคดีแพ่งนั้นโจทก์สามารถฟ้องใหม่ได้ภายในอายุ
ความ การที่โจทก์ถอนคำร้องทุกข์คดีอาญาทั้งสองคดีและถอนฟ้องคดีแพ่งก็
ไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ เพราะคำฟ้องคดีแพ่งและคำร้องทุกข์
ไม่ใช่เอกสารสิทธิ จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342
ฉ้อโกง
(แสดงตนเป็นคนอื่น)
ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้กระทำ
1.แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
2.อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอก
ลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอ
แห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
คำพิพากษาฎีกา
ที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2559
การที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงเอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายที่ 1 ในขณะที่ผู้เสียหาย
ที่ 1 มีอาการป่วยทางจิต ซึ่งเป็นบุคคลที่มีภาวะแห่งจิตต่ำกว่าปกติ และย่อม
ถูกหลอกลวงได้โดยง่ายกว่าคนปกติทั่วไปนั้น ถือเป็นการกระทำความผิดฐาน
ฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้เสียหายที่ 1 ผู้ถูกหลอกลวง จึง
เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 342 (2) หาใช่เป็นเพียงความผิดตาม ป.อ.
มาตรา 341 ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้
ฎีกา ศาลฎีกาจึงเพียงแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสี่เสียใหม่ให้ถูกต้อง แต่ก็
ไม่อาจเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสี่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ฉ้อโกงประชาชน
ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อ
ประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา 342
อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ฉ้อโกงประชาชน
องค์ประกอบภายนอก
กระทำความผิดฐานฉ้อโกงมาตรา 343 นี้เป็นเหตุที่ทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น
อีกเหตุหนึ่งเช่นเดียวกับมาตรา 342 ดังนี้จึงต้องมีองค์ประกอบความผิดฐาน
ฉ้อโกงตามมาตรา 341 ครบถ้วนเสียก่อนและมีเหตุในมาตรานี้เพิ่มขึ้นมาจึงจะ
ต้องรับโทษหนักขึ้น
กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนหรือด้วยการปกปิด
ความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนเหตุที่ทำให้รับโทษหนักขึ้นคือ ฉ้อโกง
ได้กระทำต่อประชาชน หมายความถึงบุคคลทั่วไปไม่จำกัดว่าเป็นผู้ใดและไม่ถือ
จำนวนมากหรือน้อยเป็นสำคัญ (ฎ.1573/2534)
ข้อสำคัญ ลักษณะของการหลอกลวงต้องเปิดกว้างต่อประชาชนทั่วไปหรือ
ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่เจาะจงตัวบุคคลเช่นชักชวนหลอกลวงประชาชน
ในหมู่บ้าน (ฎ.811/2534) เป็นต้น และจะกระทำด้วยวิธีการใดก็ได้ เช่นประกาศ
โฆษณาบริเวณหน้าที่ทำการของจำเลย (ฎ.1846/2533) ลงข่าวประกาศทาง
หนังสือพิมพ์ (ฎ.135/2547) เป็นต้นเมื่อได้มีการแสดงความเท็จต่อประชาชน
เป็นการทั่วไปแล้ว จะมีคนที่ทราบข้อเท็จจริงกี่คนไม่สำคัญหากมีผู้ใดผู้หนึ่งแม้
คนเดียวหลงเชื่อจนผู้กระทำได้ทรัพย์สินไปเป็นการฉ้อโกงประชาชนแล้ว
องค์ประกอบภายใน
เจตนา การกระทำความผิดตามมาตรานี้ต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 และ
เจตนาโดยทุจริต อันเป็นองค์ประกอบภายในของความผิดฐานฉ้อโกงตาม
มาตรา 341
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ฉ้อโกงประชาชน
คำพิพากษาฎีกา
ที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 5292 / 2540
มาตรา 343 ไม่ได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงว่า มากหรือน้อย แต่
ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญ และไม่จำเป็นที่
จำเลยจะต้องกระทำการดังกล่าวด้วยตนเองมาตั้งแต่ต้นทุกครั้ง เพียงแต่
จำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายบางคน แล้วมีการบอกกันต่อไป
เป็นทอดๆ เมื่อผู้เสียหายคนหลังทราบข่าวและมาสอบถามจำเลย จำเลยได้
ยืนยันแสดงข้อความอันเป็นเท็จนั้น และให้ผู้เสียหายไปติดต่อที่แฟลตทุกครั้ง
อันถือได้ว่าเป็นสำนักงานของจำเลยกับพวก แม้จะไม่มีประกาศรับสมัครงาน
ปิดไว้ก็ตาม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 343
สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความ
ได้และมีโทษหนักกว่าความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 โดยการกระ
ทำความผิดนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นการฉ้อโกงตามมาตรา 341 ซึ่งได้กระทำ
ต่อประชาชนโดยทั่วไป สาระสำคัญของความผิดฐานนี้จึงต้องดูว่าการกระทำ
ความผิดนั้นได้กระทำต่อประชาชนหรือไม่ ทั้งนี้ คำว่าประชาชนไม่ได้มีบท
นิยามหรือคำจำกัดความไว้ในประมวลกฎหมายอาญา แต่ตามพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตสถานหมายถึงบรรดาพลเมืองซึ่งมีความหมายถึงชาวเมือง
ทั้งหลาย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344
ฉ้อโกงแรงงาน
ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบ
คนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ
ให้แก่ตน หรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่
ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคล เหล่า
นั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้าง
แก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่
เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
องค์ประกอบความผิดของมาตรา 344
1. หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตน
หรือให้แก่บุคคลที่สาม
2. โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงาน
หรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน
องค์ประกอบภายใน
1. เจตนาธรรมดา
2. โดยทุจริต (เจตนาพิเศษ)
การหลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปตามมาตรา 344 ไม่จำเป็น
ต้องหลอกลวงครั้งเดียวครบสิบคน แม้จะหลอกลวงมาครั้งละคนสอง
คนจนกระทั่งครบสิบคน ถ้าหากผู้กระทำมีเจตนาหลอกลวงให้ได้ครบ
สิบคนมาตั้งแต่แรกแล้วก็มีความผิดเช่นเดียวกัน
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344
ฉ้อโกงแรงงาน
คำพิพากษาฎีกา
ที่น่าสนใจ
หลอกลวงรับสมัครงาน แต่ความจริงไม่มีงานให้ทำ ไม่เป็นความผิดตาม
มาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2510
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล
คือ การทำงานของผู้ที่ถูกหลอกให้ประกอบการงานให้แก่ตนหรือบุคคลที่สาม โดยจะไม่
ใช้ค่าแรงงาน ฯลฯ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยหลอกเพื่อให้ส่งเงินเท่านั้น ไม่ได้หลอกให้
ทำงาน เพราะไม่มีงานให้ทำ จึงไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประสงค์ต่อผลตามมาตรา 344
จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4279/2539
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผลคือ
การทำงานของผู้ถูกหลอกลวงให้ประกอบการงานให้แก่ตนหรือบุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้
ค่าแรงงาน หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานต่ำกว่าที่ตกลงกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่
2 ที่ได้กระทำในนามบริษัท โดยอ้างว่ามีงานให้ทำก็ดี การรับผู้เสียหายเข้าทำงานก็ดี
การคืนเงินประกันการทำงานเมื่อครบกำหนด 6 เดือนแล้วก็ดี ล้วนเป็นอุบายทุจริตคิด
ตั้งเรื่องขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อและมอบเงินให้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่
2 หลอกลวงผู้เสียหายให้ส่งมอบเงินแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น มิได้มีเจตนาหลอก
ลวงเพื่อให้มาทำงาน เพราะความจริงแล้วไม่มีงานให้ทำ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดให้มี
การทำงานในช่วงแรก ๆ และจ่ายเงินเดือนให้ก็เป็นวิธีการในการหลอกลวงอย่างหนึ่ง
ซึ่งต่อมาภายหลังก็ไม่มีงานให้ทำและไม่จ่ายเงินเดือนให้ กรณีจึงมิใช่เป็นการกระทำเพื่อ
ประสงค์ต่อผลตาม ป.อ. มาตรา 344 ไม่มีความผิดตามมาตรานี้
บรรณานุกรม
หนังสือ
เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. กฎหมายอาญาภาคความผิด เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 6,
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ พลสยามพริ้นติ้ง, 2553.
ฐานข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์
ฐิดารัตน์ นรินทรางกูร ณ อยุธยา. (15 มีนาคม 2565). การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ในความผิดฐานฉ้อโกง. https://oja.coj.go.th/
สำนักงานกิจการยุติธรรม. (30 ตุลาคม 2562). Law เป็นประเด็น 1
ฉ้อโกงประชาชน. https://www.facebook.com/
ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย. (8 กรกฎาคม 2560). ความผิดฐาน
ฉ้อโกงแรงงาน. https://wichianlaw.blogspot.com/
อธิวัฒน์ ช่อผูก. (ม.ป.ป.). ความผิดฐานฉ้อโกง.http://athiwatlawyer.com/