สอ่ื การสอนเรื่อง :
เครอื่ งดนตรไี ทยภาคกลาง
จัดทาโดย โรงเรียนบา้ นสุไหงโก-ลก
นายเชดิ ศริ วิ ฒั น์ สุขมุ พนั ธพ์ พิ ฒั นา สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 2
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ครู โรงเรยี นบ้านสุไหงโก-ลก กระทรวงศึกษาธกิ าร
วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
เคร่อื งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครื่องดีด
จะเข้
ตัวจะเขน้ ั้นทำจำกไมข้ นุนเซำะด้ำนในกลวงเปน็ โพรงยำวตลอดตัวเปน็ กลอ่ งเสยี งและปิดทบั
ดว้ ยแผน่ ไม้บำง เว้นชอ่ งเสียงไว้เลก็ น้อย บนตวั จะเข้ทำงขวำของผ้ดู ีด โยงสำยไหม 2 สำยสำยลวด 1 สำย (ในปัจจุบันนิยม
ใชส้ ำยเอ็นแทนสำยไหม) วำงพำด “โต๊ะ” ท่ีทำจำกโลหะ ซ่ึงบนโต๊ะนั้นจะมี ช้ินไมไ้ ผเ่ ล็กๆรองรับอีกทหี นึง่ เพ่ือให้เกดิ เสยี งที่
เป็นเอกลักษณ์ของจะเข้ที่เรียกว่ำ “กินแหน” บริเวณด้ำนซ้ำยบนตัวจะเข้ มีชิ้น “นมจะเข้” ท่ีทำจำกไม้โมกวำงเรียง
ลดหลั่นตำมตำแหน่งของเสียงที่ต้องใช้น้ิวกด จำนวน 11นม โดยมีสำยจะเข้ทั้ง 3 สำย ลอยผ่ำนไปยัง “ซุ้ม” ท่ีจะเป็น
ตำแหน่งที่สำยจะวำงพำดอยู่ก่อนท่ีจะไปผูกโยงกับก้ำนลูกบิด โดยลอดผ่ำนช่องเล็กๆท่ีเรียกว่ำ “รำงไหม” ในกำรบรรเลง
จะเข้นั้น ผู้บรรเลงต้องมีอุปกรณ์ในกำรดีด คือ “ไม้ดีด” ซ่ึง ทำจำกไม้เน้ือแข็ง งำช้ำง เขำควำย หรือกระดูกสัตว์ เป็นรูป
แทง่ ยำวทอ่ นกลมปลำยเรียว โดยต้องพนั ตดิ กบั มือขวำของผู้บรรเลงใหแ้ น่น เพ่อื ให้เกิดเสยี งทีด่ งั คมชดั
เคร่ืองดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครื่องดีด
กระจับปี่
กระจับป่ีเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทดีด ชนิดหนึ่งมีมำแต่โบรำณ คำว่ำกระจับปี่นั้น
สันนิษฐำนว่ำเพ้ียนมำจำกช่ือของเครื่องดนตรีท่ีมีลักษณะคล้ำยคลึงกันในภูมิภำคน้ี เช่น
จำปี หรือ จับเปย ของกัมพูชำ กะจำปี ในภำษำมลำยู ซ่ึงน่ำจะมำจำกต้นเค้ำในภำษำบำลี
ที่เรียกพิณชนิดน้ีว่ำ กัจฉปะ ซ่ึงแปลว่ำ เต่ำ อันหมำยถึงรูปร่ำงลักษณะอันเป็นกระพุ้งหรือ
กล่องเสยี งของพณิ ทค่ี ล้ำยกระดองเตำ่ รวมถงึ มีกำรนำกระดองเต่ำมำทำเป็นกระพงุ้ อกี ด้วย
กระจบั ปี่
กระจับปี่ มีส่วนประกอบที่สำคญั คอื
1.กล่องเสียงหรือกระพุ้ง คือส่วนท่ีทำหน้ำที่ให้เกิดเสียงกังวำน ตัวกระพุ้งน้ันทำจำกไม้เนื้อแข็ง
คว้ำนเป็นกลอ่ งเสียงและนำไมแ้ ผ่นบำงมำปิดหน้ำ บำงครั้งจะนำแผ่นโลหะบำงๆขดเป็นวงติดไว้ด้ำนใน
กล่องเพื่อเพ่ิมกำรกำทอนของเสียง ส่วนบนแผ่นไม้หน้ำกระพุ้ง วำงหย่องเพ่ือโยงสำย 4 เส้นจำกส่วน
ลำ่ งสุดของกระพ้งุ พำดผ่ำนหย่องหรอื ฐำนเสียงข้นึ ไปพันไว้กบั ลูกบดิ จำนวน 4 อนั
2.ทวน คือ ด้ำมไม้ยำวซึ่งดำ้ นหนึ่งถำก เรียบเพื่อวำงชน้ิ ไม้ (งำ,เขำสตั ว์) เล็กๆ 11 ช้ิน ซึ่งเรียกว่ำ
“นม”เป็นตำแหน่งในกำรกดสำยตอนปลำยของทวนมีลิ่มไม้สี่ชิ้น เรียกว่ำ “ลกู บิด” ทำหน้ำท่ียดึ โยงเร่ง
เสยี งสำยท้งั 4 ทท่ี ำจำกไหมหรอื เอน็ ซงึ่ วำงตำแหน่งเป็นคู่เสียงเพอื่ เพิ่มควำมดัง พำด ขึงมำจำกกระพุ้ง
พณิ ข้นึ มำยงั ลกู บิดในกำรบรรเลง น้ันผดู้ ดี จะต้องใช้ไม้ดดี ทีท่ ำมำจำกเขำสัตว์ หรืองำช้ำงเหลำบำง ดีด
สำยบริเวณกระพุ้งพิณ เพ่ือให้เกิดควำมไพเรำะนุ่มนวลกระจับปี่เคยใช้บรรเลงในวงมโหรีเคร่ือง 4 ของ
ไทยมำแต่สมัยอยุธยำ แต่ปัจจุบันใช้น้อยมำกเพรำะเสียงไม่สู้ดังนัก จะนิยมอยู่มำกในวงดนตรีพ้ืนบ้ำน
ของกัมพชู ำ
เครือ่ งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองสี
ซออู้
ซอ เปน็ เครื่องดนตรีประเภทสี เกิดเสียงโดยกำรใช้หำงม้ำท่ีผูกติดกับ
คันชักถูเข้ำกับสำยเพ่ือให้เกิดควำมสั่นสะเทือน อีกทั้งยังสำมำรถใช้
น้วิ กดสำยตำมตำแหน่งต่ำงๆเพ่ือให้เกิดเสยี งสงู ต่ำตำมต้องกำร
ซออู้ มสี ว่ นประกอบสำคญั ดงั น้ี ซออู้
1.ทวนซอ หรอื คนั ซอ ทำจำกไมช้ นดิ ตำ่ งเช่น ชงิ ชัน พยงุ ประดู่ มะเกลอื หรือแมก้ ระทง่ั งำชำ้ ง
เป็นต้น นำมำเหลำกลึงเป็นทรงกลม บริเวณใต้ลูกบิดขึ้นไปถึงปลำยซอ (เรียกว่ำ “ทวนบน)กลึงเป็นลักษณะกลม
ตลอดคนั มีลกู แกว้ (วงแหวน) วำงระยะประดับพอสวยงำม ส่วนปลำยด้ำนลำ่ งเรยี วเล็ก สอดทะลุกระบอกซอ
2.ลูกบิด มี 2 ลูก ทำจำกไม้ชนิดต่ำงๆ หรืองำช้ำง กลึงกลมปลำยตัด สอดทะลุทวนซอ ทำหน้ำท่ียึดสำย
โดยลูกบิดด้ำนบนจะผูกสำยทุ้ม (เสียงต่ำ) ลูกบิดด้ำนบน ผูก สำยเอก (เสียงสูง) ทำกำรปรับเสียงโดยกำรหมุน
ลูกบดิ เพ่ือใหเ้ กดิ กำรตึงหยอ่ น ต่ำสงู ตำมตอ้ งกำร
3.กะโหลกซอ ทำจำกกะลำมะพร้ำวชนิดพิเศษตัดส่วนหน้ำออกโดยให้ส่วนท่ีเป็นพูปรำกฏขึ้นด้ำนบน 2 พู
และด้ำนหลงั ซงึ่ เจำะสลักลวดลำยใหเ้ สียงลอดผ่ำนอีก 1 รู ด้ำนหน้ำซอขงึ ด้วยหนังลกู แพะหรอื หนังลกู วัว
4.รัดอก คือบ่วงเชือกทำหน้ำท่ีผูกร้ังสำยซอทั้ง 2 สำย รวมไว้ด้วยกันบริเวณทวนซอ ซ่ึงเป็นตำแหน่งท่ี
ผู้บรรเลงใชน้ ว้ิ กดสำย นิยมใชเ้ สน้ ไหมทมี่ ขี นำดเท่ำกับสำยเอก
5.หมอน คือวัสดุท่ีวำงอยู่บนหนังหน้ำซอเพ่ือรองรับสำยซอทั้ง 2 สำย ทำหน้ำท่ีส่งแรงส่ันสะเทือนสู่หน้ำซอ
และกะโหลกซอ โดยนิยมใชก้ ระดำษกวำ้ ประมำณ 2 ซม. ม้วนใหแ้ นน่ แล้วพันทบั ด้วยผ้ำอกี ชัน้ หนงึ่
6.คันชัก ทำจำกไม้เนื้อแข็งชนิดเดียวกับท่ีทำทวนซอ หรอื งำช้ำง เหลำกลึงเป็นรูปโค้ง ปลำยทั้งสองด้ำนตรึง
ยึดกบั หำงมำ้ หรือเอน็ ขนำดเลก็ จำนวน ประมำณ 250 เสน้ ให้มคี วำมตงึ หยอ่ นพอประมำณ แลว้ จึงแทรกหำงมำ้
เข้ำไปอยบู่ ริเวณเหนอื กะโหลก คั่นกลำงระหว่ำง สำยเอก และสำยทุ้ม
7.สำยซอ ทำจำกไหม ซ่ึงมีขนำดใหญ่เล็กต่ำงกัน กล่ำวคือสำยด้ำนในคือสำยทุ่มจะมีขนำดใหญ่กว่ำเทียบ
เสียงได้ใกล้เคียงกบั เสยี ง“โด”สำยดำ้ นนอกมขี นำดเล็กกว่ำ เรียกวำ่ สำยเอก เทยี บเสยี งได้ใกลเ้ คยี งกับเสียง “ซอล”
เครอื่ งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองสี
ซอด้วง
ซอด้วง เป็นซอสองสำย มีเสียงแหลม ก้องกังวำน คันทวนยำวประมำณ
72 ซม. คันชักยำวประมำณ 68 ซม. ใช้ขนหำงม้ำประมำณ 120 - 150
เส้น กะโหลกของซอด้วงน้ัน แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มำทำ ปำกกระบอก
ของซอด้วงกวำ้ งประมำณ 7 ซม. ตัวกระบอกยำวประมำณ 13 ซม.
ซอดว้ ง
กะโหลกของซอด้วงน้ี ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรืองำช้ำงทำก็ได้ แต่ที่นิยมว่ำเสียงดีน้ันกะโหลก
ซอด้วงต้องทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่วนหน้ำซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง เพรำะทำให้เกิดเสียงแก้วเกิด
ควำมไพเรำะอย่ำงยิ่ง ลักษณะของซอด้วง มีรูปร่ำงเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่ำ ฮู - ฉิน (Huchin)
ทุกอย่ำง เหตุที่เรียกว่ำ ซอด้วง ก็เพรำะมีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องดักสัตว์ เพรำะตัวด้วงดักสัตว์ ทำด้วย
กระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน จึงได้เรียกชื่อไปตำมลกั ษณะน้ันนั่นเอง สำยซอด้วงน้ัน มีเพียงสองสำย คือ
สำยเอก เสียงเปล่ำเป็นเสียง "เร" น้ิวช้ีกดเป็นเสียง "มี" ไลไ่ ปจนถึงน้ิวก้อยเป็นเสียง "ลำ"สูง สำยทุ้ม
เสยี งเปลำ่ เป็นเสียง "ซอล"ต่ำ นิว้ ชี้กดเป็นเสยี ง "ลำ"ต่ำ ไลไ่ ปจนถึงน้ิวนำงเปน็ เสียง "โด“ ซอดว้ งใช้
ในวงเครือ่ งสำย วงมโหรี โดยทำหน้ำทเ่ี ปน็ ผู้นำวงและเปน็ หลักในกำรดำเนนิ ทำนองอำ้ งองิ
เคร่อื งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครื่องตี
ระนำดเอก
ระนำดเอก เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี สนั นิษฐำนว่ำพฒั นำกำรมำจำกกำรนำไม้กรับ หรอื หินที่
มขี นำดตำ่ งกันนำมำวำงเรียงแลว้ กระทบ เคำะ ตี ใหเ้ กิดเสยี งจนกระท่ัง มีกำรพฒั นำสรำ้ งกลอ่ งข้นึ
รองรับเพื่อให้เกิดเสียงที่กังวำนไพเรำะย่ิงขึ้นระนำดเอกของไทยน้ันมีบทบำทสำคัญเป็นผู้นำวงใน
วงดนตรีประเภทตำ่ งๆ เช่น ป่ีพำทยเ์ ครื่องห้ำ ป่ีพำทยเ์ ครื่องคู่ ปี่พำทย์เครื่องใหญ่ ปี่พำทย์นำงหงส์
มโหรี แมก้ ระทั่งวงดนตรรี ่วมสมยั ก็มกั จะนำระนำดเขำ้ ไป ร่วมบรรเลงอยำ่ งแพรห่ ลำย
ระนาดเอก
ระนำดเอก มสี ว่ นประกอบท่สี ำคัญคือ
1.ผืนระนำดในอดีตนิยมใช้ไม้ ไผบ่ ง นำมำผ่ำซีก เรียกวำ่ กำรเกียกไม้แล้วนำไปแช่นำ้ เพ่ือเป็นกำรปรบั ควำมชืน้
ของเน้อื ไม้ และเปน็ กำรปอ้ งกนั มอดปลวกเป็นเวลำหลำยเดือน แลว้ จึงนำมำอบแห้ง ซึ่งเรยี กว่ำ กำรคำไฟ จนกระทั่ง
แห้งสนิทแล้วจึงนำมำเหลำขึ้นรูปให้ได้ขนำดยำวสั้นตำมต้องกำร เจำะรูร้อยเชอื ก แล้วเทียบเสียงโดยกำรใช้ผงตะกั่ว
ผสมข้ีผ้ึงบริสุทธิ์จนได้ท่ีหลอมป้ันเป็นลูกกลม ติดแต่งบริเวณหัวละท้ำยของลูกระนำดเพ่ือให้ได้ระดับเสียงตำม
ต้องกำร ผืนระนำดเอกในอดีตน้ันจะมีลูกระนำดจำนวน 21 ลูก แต่ในปัจจุบันนิยมเพิ่มเป็น 22 ลูก เพอ่ื ควำมสะดวก
ในกำรบรรเลง ทัง้ ยงั นยิ มใช้ไม้เนื้อแข็งชนิดตำ่ งๆ เช่น พยงุ ชิงชนั ประดู่ มำเหลำทำผนื ระนำดแทนไมไ้ ผบ่ งอีกดว้ ย
2.รำงระนำด รำงระนำดเอกนั้นจะมีรูปร่ำงคล้ำยเรือ ทำหน้ำท่ีเป็นกล่องเสียง ที่มุมทั้งสองข้ำงมีแผ่นไม้ปิดหัว
ท้ำย เรียกว่ำโขน ซ่ึงมีตะขอเล็กๆ ทำหน้ำท่ีเก่ียวเชือกร้อยผืนระนำดให้ลอยได้ระดับอยู่เหนือรำง ด้ำนล่ำงตรงกลำง
รำงมีช้นิ ไม้วำงรอง เรียกวำ่ เท้ำระนำด
3.ไม้ระนำด ไม้ระนำดเอกมี 2 ชนิด คอื
3.1.ไมน้ วม ก้ำนไม้ทำจำกไม้ไผแ่ ก่จัดเหลำยำว ตอนปลำยเวน้ ไวเ้ ป็นปุ่มส่ีเหลยี่ มผนื ผ้ำเล็กๆ เพอ่ื เปน็ ตวั ยดึ
หัวไม้ จำกน้นั นำผ้ำดิบตัดใหเ้ ป็นเส้นยำวไดข้ นำดพอเหมำะ นำมำหมนุ พนั รอบปุ่มไมน่ ้ัน เม่ือได้ขนำดพอเหมำะจงึ ทำ
แป้งเปยี ก สักด้ำยทบั เพอ่ื ควำมแขง็ แรง แล้วจึงพันผำ้ ดบิ รอบดำ้ นของหัวไม้อกี ครั้ง
3.2.ไม้แข็ง มีกรรมวิธีคล้ำยกับกำรทำไม้นวม เพียงแต่จะนำไม้ระนำดที่สักด้ำย ติดผ้ำเรียบร้อยแล้วไปชุบ
ยำงรัก เพื่อให้เกิดควำมแข็ง แล้วจึงปิดผ้ำดิบทับด้ำนข้ำงของหัวไม้อีกชั้นหนึ่งในปัจจุบันมีผู้ประยุกต์ใช้วัสดุ
สังเครำะห์อน่ื ๆมำแทนยำงรกั เชน่ หนิ ออ่ น พลำสติค เปน็ ตน้
เครื่องดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองตี
ระนำดทุม้
ระนำดทุ้ม สร้ำงข้ึนในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระนั่งเกล้ำเจ้ำอยู่หัว แต่ให้มีเสียงท่ีทุ้มต่ำ
และประดิษฐ์วิธีกำรบรรเลงท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพำะแตกต่ำงจำกระนำดเอก คือ ให้มีลีลำ
โลดโผน สนุกสนำน สอดคล้อง กบั ระนำดเอก
ระนาดทุ้ม
ระนำดทุ้ม มีสว่ นประกอบที่สำคัญคือ
1.ผืนระนำด นิยมใช้ไม้ไผ่บง นำมำผ่ำซีก เรียกว่ำกำรเกียกไม้ แล้วนำไปแช่น้ำเพ่ือเป็นกำรป้องกันมอด
ปลวกเป็นเวลำหลำยเดือน แล้วจึงนำมำอบแห้ง ซ่ึงเรียกว่ำ กำรคำไฟ จนกระทั่งแห้งสนิทแล้วจึงนำมำเหลำ
ข้ึนรูปให้ไดข้ นำดยำวสั้นตำมต้องกำร เจำะรูร้อยเชือก เทียบเสียงโดยกำรใช้ผงตะก่ัวผสมข้ีผึ้งบริสทุ ธ์ิจนได้ที่
หลอมปั้นเป็นลูกกลมติดแต่งบริเวณหัวละท้ำยของลูกระนำดเพื่อให้ได้ระดับเสียงตำมต้องกำร ผืนระนำดทุ้ม
น้นั จะมีลูกระนำดจำนวน 17-18 ลูก ลกู เสยี งต่ำสดุ มคี วำมยำวประมำณ 42 ซม. กว้ำง 6 ซม. ลกู เสียงสูงสุด
มคี วำมยำวประมำณ 35 ซม. กว้ำงประมำณ 5 ซม.
2.รำงระนำด รำงระนำดทุม้ น้ันจะมรี ปู ร่ำงคล้ำยกล่องสเ่ี หล่ยี มผืนผ้ำ ทำหน้ำที่เป็นกล่องเสยี ง ที่มมุ ทั้งสอง
ข้ำงมีแผ่นไม้ปิดหัวท้ำย เรียกว่ำโขน ซ่ึงมีตะขอเล็กๆ ทำหน้ำที่เกี่ยวเชือกร้อยผืนระนำดให้ลอยได้ระดับอยู่
เหนือรำงดำ้ นล่ำงทัง้ สี่มุมจะมชี น้ิ ไมเ้ ลก็ ๆวำงรอง เรียกวำ่ เท้ำระนำด
3.ไม้ระนำดทุ้ม ก้ำนไม้ทำจำกไม้ไผ่แก่จัดเหลำยำวตอนปลำยเว้น ไว้เป็นปุ่มส่ีเหลี่ยมผืนผ้ำเล็กๆ เพ่ือเป็น
ตัวยึดหัวไม้ จำกน้ันนำผ้ำดิบตัดให้เป็นเส้นยำว ได้ขนำดพอเหมำะ นำมำหมุนพันรอบปุ่มไม่นนั้ เม่อื ได้ขนำดท่ี
ต้องกำรแล้วจึงทำแป้งเปียก สักด้ำย(พันด้ำย)ทับเพ่ือควำมแข็งแรงทนทำนและสวยงำม แล้วจึงพันผ้ำดิบ
รอบด้ำนของ หัวไม้อีกคร้ัง ไม้ของระนำดทุ้มนั้นจะมีควำมนุ่มและขนำดของป้ืนไม้ท่ีใหญ่กว่ำไม้นวมของ
ระนำดเอก
เครื่องดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอื่ งตี
กลองทัด
กลองทัดเป็นกลองขึงหนังสองหน้ำขนำดใหญ่ใช้ไม้ตี หุ่นกลองมีรูปร่ำงเป็น
ทรงกระบอกป่องตรงกลำง ทำจำกไม้เน้ือแข็งเจำะคว้ำนทะลุเป็นกล่องเสียงขึงหน้ำ
กลองด้วยหนัง โค กระบือ ทำยำงรักบริเวณตรงกลำงเพื่อรักษำหน้ำกลองแล้วยึดตดิ กับ
หุ่นกลองด้วยหมุดที่ทำจำกโลหะ งำช้ำง กระดูกสัตว์ ซ่ึงมีชื่อเรียกส่วนน้ีว่ำ “แส้กลอง”
ด้ำนหนึ่งของกลองทัด มีหูโลหะเล็กๆ เรียกว่ำ “หูระวิง” มีหน้ำท่ีเกี่ยวยึดกับขำหย่ังใน
กำรต้ังกลองกบั พืน้ ในเวลำบรรเลงในวงปพ่ี ำทย์ ซ่ึงโดยปกตแิ ล้วจะใชก้ ลองทดั 2 ใบ
เครอ่ื งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองตี
ตะโพนไทย
ตะโพน คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตกี ำกับจังหวะที่มบี ทบำทหน้ำท่ี
สำคัญในวงดนตรีปพี่ ำทย์ มีสว่ นประกอบที่สำคญั 2 สว่ น คือ
1.หุ่นกลอง 2.เทำ้ ตะโพน
ตะโพนไทย
ตะโพน มีส่วนประกอบที่สำคญั 2 ส่วน คอื
1.หุ่นกลอง ทำจำกไม้เนื้อแข็ง ข้ึนรูปเป็นทรงกระบอกป่องตรงกลำง ยำวประมำณ 50 ซม.
แล้วขุดภำยในให้เป็นโพรงทะลุถึงกัน โดยให้ด้ำนหนึ่งใหญ่ เรียกว่ำ”หน้ำเท่ง” มีเส้นผ่ำศูนย์กลำง
ประมำณ 25 ซม. ด้ำนเล็ก เรียกว่ำ “หน้ำมัด” มีเส้นผ่ำศูนย์กลำงประมำณ 22 ซม. แล้วขึงหนังวัว
ทำยำงรักตรงกลำงหน้ำกลองเป็นตำแหน่งของกำรติดข้ำวสุกถ่วงเสียง บริเวณขอบหน้ำกลองท้ังสอง
ด้ำนถักเป็นห่วงเล็กๆ เรียกว่ำ “ไส้ละมำน” โยงร้อยไส้ละมำนท้ังสองด้ำนด้วยหนังเรียด เช่นเดียวกับ
กลองสองหน้ำ บริเวณตรงกลำงของหนุ่ กลองร้อยเชอื กหนังเรยี ดขดั เป็นรัดอกเพ่อื เรง่ เสยี ง ดำ้ นบนพัน
หนังเรียดเป็นหูหิว้ เพ่ือควำมสะดวกในกำรเคลื่อนยำ้ ย
2.เท้ำตะโพน ทำจำกไม้เนื้อแข็ง รองรับหุ่นกลองเพื่อให้ได้ระดับที่เหมำะสม คือ เม่ือวำงบน
เท้ำตะโพน หุ่นกลองจะอยู่ในระดับอกเสมอมือท้ังสองข้ำงของผู้บรรเลงตะโพนไทยนั้น มีบทบำท
สำคญั อย่ใู นวงปีพำทย์โดยมักจะบรรเลงคกู่ บั กลองทัด
เครือ่ งดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครือ่ งตี
ตะโพนมอญ
ตะโพนมอญ คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีกำกับจังหวะที่
มีบทบำทหน้ำที่ สำคัญในวงดนตรีปี่พำทย์มอญ ทำหน้ำที่
หยอกลอ้ กบั เปิงมำงคอก
ตะโพนมอญ
ตะโพนมอญ มีส่วนประกอบท่สี ำคัญ 2 สว่ น คอื
1.หุ่นกลอง ทำจำกไม้เน้ือแข็ง นำมำข้ึนรูปเป็นทรงกระบอกป่องตรงกลำงมีขนำดใหญ่กว่ำ
ตะโพนไทย ยำวประมำณ 70 ซม. แล้วขุดภำยในให้เป็นโพรงทะลุถึงกันโดยให้ดำ้ นหน่ึงใหญ่ เรียกว่ำ
“เม่ิกโนด”กว้ำงประมำณ 42 ซม. ด้ำนเล็ก เรียกว่ำ “เม่ิกโด้ด” กว้ำงประมำณ 35 ซม. แล้วขึง
หนังวัว ทำยำงรักตรงกลำงหน้ำกลองเป็นตำแหน่งของกำรติดข้ำวสุกถ่วงเสียงบริเวณขอบหน้ำกลอง
ทั้งสองด้ำนถักเป็นห่วงเล็กๆ เรียกว่ำ “ไส้ละมำน” โยงร้อย ไส้ละมำนทั้งสองด้ำนด้วยหนังเรียด
เช่นเดียวกับกลองสองหน้ำ บริเวณตรงกลำงของหุ่นกลองร้อยเชือกหนังเรียดขัดเป็นรัดอกเพื่อ
เรง่ เสียง ดำ้ นบนพันหนังเรยี ดเปน็ หูหว้ิ เพ่ือควำมสะดวกในกำรเคลอื่ นยำ้ ย
2.เท้ำตะโพน ทำจำกไม้เนื้อแข็ง รองรับหุ่นกลองเพ่ือให้ได้ระดับที่เหมำะสม และมักจะ
แกะสลกั ลงรกั ปิดทองให้เข้ำชดุ กับเครอื่ งดนตรีอน่ื ๆในวงปี่พำทยม์ อญ
เครือ่ งดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่อื งตี
กลองสองหน้ำ
กลองสองหนำ้ เปน็ กลองรูปทรงกระบอก ทำจำกไมเ้ น้อื แขง็ ด้ำนหนง่ึ เลก็
(20-22 ซม.) ด้ำนหน่ึงใหญ่ (22-24 ซม.) ขึงหนังสองหน้ำ โยงยึดด้วยเชือกที่ทำจำกหนังโค
กระบือ เรียกว่ำ “หนังเรียด” บริเวณกลำงหุ่นกลอง มีหนังเรียดถักเป็นแนวขวำงเพื่อเร่งเสียง
เรียกว่ำ “รัดอก” ที่หน้ำกลองทำยำงรัก ติดข้ำวสุกผสมขี้เถ้ำเพ่ือให้ได้เสียงตำมที่ต้องกำร
กลองสองหน้ำเข้ำมำมบี ทบำทวงป่พี ำทยแ์ ตค่ ร้งั รัชสมยั พระบำทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลำ้ นภำลัย
ในกำรบรรเลงประกอบกำรขับเสภำ เช่น จะใช้บรรเลงคุมจังหวะกำรบรรเลงเพลงเด่ียว
เครื่องดนตรีต่ำงๆ เช่น ปี่ ระนำดเอก ฆ้องวง จะใช้กลองสองหน้ำตีคมุ จังหวะคูก่ ับฉงิ่ เสมอ
เครื่องดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครื่องตี
กลองแขก
กลองแขก หรือ กลองคเู่ ป็นกลองขึงหนงั สองหนำ้ มี 2 ใบ รวมเปน็ หนงึ่ คู่ใบ
ที่เสียงสูงกว่ำเรียกว่ำ กลองแขกตัวผู้ ใบที่เสียงต่ำกว่ำเรียกว่ำ กลองแขกตัวเมีย
สันนิษฐำนว่ำได้รับมำจำกชวำ เดิมมีบทบำทบรรเลงร่วมกับ “ป่ีชวำ” บรรเลงร่วมกัน
เป็นหมู่ เรียกว่ำ “วงป่ีชวำกลองแขก” ใช้ในกระบวนแห่นำเสด็จพระรำชดำเนิน เช่น
กระบวนพหุยำตรำในโอกำสต่ำงๆ ท้ังทำงบกและทำงน้ำ ในกำรประกอบกำรรำอำวุธ
กระบีก่ ระบอง ตอ่ ยมวย หรอื แม้กระท่งั วงบัวลอย และปี่พำทยน์ ำงหงส์ ทใี่ ชป้ ระโคมศพ
กลองแขก
กลองแขก มสี ว่ นประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ
1.หุ่นกลอง ทำจำกไม้จริง หรือไม้เนื้อแข็ง เพ่ือคุณภำพเสียง ควำมสวยงำมและน้ำหนักที่
เหมำะสม ไม้ท่ีนิยมนำมำทำหุ่นกลองแขก เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ ไม้กระพ้ีเขำควำยเป็นตน้ หุ่นกลอง
แขกน้ันจะมีลักษณะเป็นทรงกระบอก หน้ำกลองทั้งสองด้ำนใหญ่ไม่เท่ำกัน หน้ำใหญ่ เรียกว่ำ “หน้ำ
รยุ่ ” หน้ำเล็กเรยี กว่ำ “หนำ้ ตำ่ น” ภำยในหุ่นกลองขุดกลวงทะลุเพอ่ื เป็นกลอ่ งเสยี ง
2.หนังเรียด ในอดีตทำจำกหวำยผ่ำซีกในปัจจุบันนิยมใช้หนัง โค กระบือ ทำหน้ำที่ผูกโยง
หนังหน้ำกลองท้ังสองด้ำนให้เกิดแรงดึงหน้ำกลองทั้งสองด้ำนให้ตึง และสำมำรถสำวเร่งเสียง ให้เกิด
เสยี ง สูง – ตำ่ ตำมท่ีตอ้ งกำร เมื่อสำวหนังเรียดโยงหน้ำกลองท้ังสองแลว้ จะมหี นังเรยี ดอีกหน่ึงเสน้ ท่ี
ทำหน้ำทร่ี วบหนังเรียดให้เปน็ ระเบยี บ ซ่ึงเรยี ก หนงั เรยี ดเสน้ น้นั ว่ำ “รดั อก”
3.หน้ำกลอง ทำจำกหนังแพะ หรือหนังลูกวัว ผ่ำนกระบวนกำรแปรสภำพ เช่น ขูดไขมัน
ตำก นวด(ยำกลอง) เป็นต้น จนได้ท่ีจึงนำมำขึงพำดยึดติดกับหุ่นกลองด้วยหนังเรียด กลองแขกน้ัน
จะต้องบรรเลงเป็นคู่ จึงต้องใช้ผู้บรรเลง 2 คน วำงกลองบนตัก ใช้มอื ตีสลับรับกันตำมรูปแบบเฉพำะ
ของจังหวะเพลงซึ่งเรียกว่ำ “หน้ำทับ” ในปัจจุบันนิยมใช้กลองแขกในวงป่ีพำทย์แทน ตะโพน และ
กลองสองหน้ำ
เครือ่ งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครือ่ งตี
ฆอ้ งวงใหญ่
ฆ้องวงใหญ่ เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตีดำเนินทำนอง มีหลักฐำนปรำกฏมำ
แต่คร้ังกรุงศรีอยุธยำ มีบทบำทหน้ำท่ีสำคัญใน กำรดำเนินทำนองหลักของ
เพลงในรูป แบบกำรประสมวงต่ำงๆ เช่นป่ีพำทย์ เครื่องห้ำ ปี่พำทย์เครื่องคู่
ปี่พำทย์เครื่องใหญ่ มโหรี เป็นต้น โดยบรรเลงเป็น ทำนองห่ำงๆ อีกทั้งยัง
สำมำรถบรรเลง เด่ยี วอวดควำมสำมำรถของนกั ดนตรไี ด้ อกี ดว้ ย
ฆ้องวงใหญ่
ฆอ้ งวงใหญ่ มีส่วนประกอบท่สี ำคญั 2 สว่ นดังน้ี
1.ลูกฆ้อง ทำจำกโลหะชนิดต่ำงๆ ในอดีตนิยมใช้สัมฤทธิ์ (ทองแดง ผสมดีบุก) ปัจจุบันนิยมใช้ทองเหลือง
นำมำข้ึนรูปด้วยวิธีกำรตีโลหะในขณะท่ีร้อนจัดจนเกิดรูปรูปร่ำง (เรียกว่ำฆ้องตี) หรือนำโลหะเหลวเทลงในแม่พิมพ์
(เรียกว่ำ ฆ้องหล่อ) ให้เกิดเป็นลูกฆ้องที่มีลักษณะแผ่เป็นวงกลม ตรงกลำงนูน เป็นตำแหน่งสำหรับกำรตี
(เรียกว่ำ ปุ่มฆ้อง) ด้ำนข้ำงหักงุ้มลงเป็นขอบโดยรอบ (เรียกว่ำ ฉัตร) ท่ีขอบฉัตรด้ำนข้ำง เจำะรูร้อยเชือกหนัง
เพื่อผูกเข้ำกับร้ำนฆ้องด้ำนในของลูกฆ้องบริเวณที่เป็นปุ่มฆ้อง จะหยอดตะกั่วผสมขี้ผ้ึงเพ่ือถ่วงเสียงลูกฆ้องใบนั้นๆ
ให้ตำ่ ลงเพอ่ื ให้ได้ ระดับเสยี งตำมที่ตอ้ งกำร
2.ร้ำนฆ้อง ทำจำกเส้นหวำยโป่งดัดเป็นวงทรง เว้นทำงเข้ำเป็นประตูให้ผู้บรรเลงเข้ำไปอยู่ตรงกลำง ระหว่ำง
หวำยเส้นบน และล่ำง จับยึดกนั ดว้ ย แทง่ ไม้ เรยี กวำ่ “มะหวด” เป็นระยะตลอดวงฆ้อง ด้ำนบนผูกลูกฆ้องดว้ ยเชือก
หนงั เขำ้ กบั ร้ำนฆอ้ ง เรียงจำกลูกใหญ่ท่สี ดุ (เสียงต่ำ) ทำงซ้ำยมอื ไลเ่ รียงไปทำงขวำ ฆ้องวงใหญ่นั้น มีลูกฆอ้ งจำนวน
16 ลูก โดยท่ีเสียงต่ำท่ีสุด ซึ่งเรียกวำ่ “ลูกทวน” เทียบได้ใกล้เคียงกับเสียง “เร” ของสำกล และไล่เรียงลำดับข้ึนไป
จนถึง “ลกู ยอด” ซึง่ อย่ทู ำงขวำสดุ ไม้ตฆี อ้ งมี 2 ชนิด คือ
2.1 ไม้หนัง ก้ำนไม้ทำจำก ไม้ไผ่ติดข้อคุณภำพดี เสียบติดเข้ำกับหันไม้ท่ีทำจำกหนังช้ำง หนังกระบือที่
ผำ่ นกรรมวิธเี ตรียมหนังมำเปน็ อย่ำงดี ให้เสียงทค่ี มดังชัดเจน
2.2 ไม้นวม ก้ำนไม้ทำจำกไม้ไผ่ หรือ ไม้จริง เสียบติดเข้ำกับแป้นผ้ำท่ีม้วนพันขึ้นรูป เป็นทรงกลมและ
สกั ดำ้ ยปดิ ไวโ้ ดยรอบเพอ่ื ควำมสวยงำมและทนทำน ให้เสียงทีน่ มุ่ นวลไพเรำะ
เครือ่ งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอื่ งตี
ฆ้องวงเล็ก
ฆ้องวงเลก็ เปน็ เคร่อื งดนตรีประเภทตดี ำเนนิ ทำนอง ทสี่ รำ้ งขึ้นในรำวรชั สมยั
พระบำทสมเด็จพระน่ังเกล้ำเจ้ำอยู่หัว โดยสร้ำงให้มีขนำดเล็กกว่ำฆ้องวงท่ีใช้อยู่เดิม
ทำให้เกิดเสียงที่สูง ไพเรำะ สดใส ดำเนินทำนองถ่ีกระช้ัน สอดแทรก ไปกับฆ้องวงใหญ่
ใช้อยู่ในวงดนตรีประเภท ปี่พำทย์เคร่ืองคู่ ปี่พำทย์เครื่องใหญ่ เป็นต้น ฆ้องวงเล็กนั้น
มีลูกฆ้องจำนวน 18 ลูก โดยท่ีเสียงต่ำท่ีสุด ซึ่งเรียกว่ำ “ลูกทวน” เทียบได้ใกล้เคียงกับ
เสียง “ที” ของสำกล และไล่เสียงสูงข้ึนเรียงลำดับขึ้นไปจนถึง “ลูกยอด”
(เสียง “มี” แต่ต่ำงกบั ฆอ้ งวงใหญ่ 1 ชว่ งเสยี ง) ซึ่งอยูท่ ำงขวำสุด
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองตี
ฆ้องมอญวงใหญ่
ฆอ้ งมอญ เป็นฆ้องทม่ี รี ูปรำ่ งลกั ษณะแตกตำ่ งจำกฆ้องไทย โดยวำงต้งั โค้งข้นึ ไป
มีกำรแกะสลักประดับกระจกที่สวยงำม มีกำรผูกฆ้องและวิธีกี่บรรเลงที่เป็น
เอกลกั ษณ์ เปน็ เครอ่ื งดนตรสี ำคญั ท่รี ว่ มอยู่ในวงปี่พำทย์มอญ
ฆ้องมอญวงใหญ่
ฆอ้ งมอญ มีสว่ นประกอบทีส่ ำคัญคอื
1.รำ้ นฆ้อง รำ้ นฆอ้ งมอญน้ัน ทำจำกไม้เน้ือแขง็ 3 ส่วน ขุดเจำะเป็นกล่องเสยี งคือส่วนหัว ท้ำย
และ ตรงกลำง แลว้ จึงนำมำประกอบกนั บรเิ วณด้ำนนอกของร้ำนฆ้อง แกะสลักลวดลำยตำมที่นิยมลง
รักปิดทองประดับกระจก ด้ำนหน่ึงแกะเป็นรูปกินนร เรียกว่ำหน้ำพระ (อยู่ด้ำนซ้ำยของผู้บรรเลง)
ส่วนปลำยอีกด้ำนแกะเป็นรูปปลำยหำงของกินนร ด้ำนล่ำงของหน้ำพระและปลำยหำง
ติดห่วงโลหะทั้งสองด้ำนไว้สำหรับสอดคำนไม้ เพื่อควำมสะดวกในกำรเคลื่อนย้ำยตอนกลำงของร้ำน
ฆ้องมีแผ่นไมว้ ำงรองรบั เชน่ เดียวกบั เท้ำของระนำดเอก
2.ลูกฆ้อง ฆ้องมอญวงใหญ่นั้นมีลูกฆ้องท้ังส้ินจำนวน 15 ลูก ทำจำกโลหะ ท่ีหรือหล่อข้ึนรูป
เช่นเดียวกับฆ้องไทย แต่อำจจะมีเนื้อฆ้องท่ีบำงกว่ำเทียบเสียงโดยกำรถ่วงตะก่ัวที่ใต้ลูกฆ้องแล้วถูก
เข้ำกับร้ำน โดยเรียงลำดับจำกซ้ำยไปขวำดังน้ี ฟำ ซอล(ข้ำมหนึ่งเสียง) ซี โด เร (ข้ำมหน่ึงเสียง)
ฟำ ซอล ลำ ซี โด เร มี ฟำ ซอล ลำ เสียงที่ขำดหำยไปจำกกำรผูกเรียงลูกฆ้องมอญวงใหญ่ เรียกว่ำ
“หลมุ ” ซ่ึงเป็นเอกลักษณส์ ำคญั อันทำให้เกิดวธิ ีกำรบรรเลงสุ้มเสียงและสำเนียงทีไ่ พเรำะ
3.ไม้ตีฆ้องมอญวงใหญ่ ทำจำกไม้เน้ือแข็ง เหลำกลึงเป็นท่อนยำวประมำณ 25 ซม. ปลำยไม้
พันดว้ ยเชอื กเป็นแนวยำวแลว้ พันผำ้ ดบิ ทับอีกช้นั หน่ึง
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครอ่ื งตี
ฆ้องมอญวงเลก็
ฆอ้ งมอญ เป็นฆอ้ งทม่ี รี ปู รำ่ งลกั ษณะแตกต่ำงจำกฆอ้ งไทย โดยวำงตง้ั โคง้ ขึ้นไป
มีกำรแกะสลักประดับกระจกท่ีสวยงำม มีกำรผูกฆ้องและวิธีกี่บรรเลงที่เป็น
เอกลกั ษณ์ เป็นเครื่องดนตรสี ำคัญทีร่ ว่ มอยใู่ นวงป่พี ำทย์มอญ
ฆ้องมอญวงเลก็
ฆอ้ งมอญ มีส่วนประกอบท่สี ำคญั คือ
1.ร้ำนฆ้อง ร้ำนฆ้องมอญน้ัน ทำจำกไม้เนื้อแข็ง 3 ส่วน ขุดเจำะเป็นกล่องเสียง คือส่วนหัว
ท้ำย และ ตรงกลำง แล้วจึงนำมำประกอบกันบริเวณด้ำนนอกของร้ำนฆ้อง แกะสลักลวดลำยตำมที่
นิยม ลงรักปิดทองประดับกระจก ด้ำนหน่ึงแกะเป็นรูปกินนร เรียกว่ำหน้ำพระ (อยู่ด้ำนซ้ำยของผู้
บรรเลง) ส่วนปลำยอีกด้ำนแกะเป็นรูปปลำยหำงของกินนร ด้ำนล่ำงของ หน้ำพระและปลำยหำง
ติดห่วงโลหะท้ังสองด้ำน ไว้สำหรับสอดไม้คำนเพ่ือเคลื่อนย้ำย ตอนกลำงของร้ำนฆ้องมีแผ่นไม้วำง
รองรับ เช่นเดยี วกบั เทำ้ ของระนำดเอก
2.ลูกฆ้อง ฆ้องมอญวงเล็กน้ัน มีลูกฆ้อง ทั้งส้ินจำนวน 15 ลูก ทำจำกโลหะท่ีหรือหล่อขึ้นรูป
เช่นเดียวกับฆ้องไทยแต่อำจจะมีเนื้อฆ้องท่ีบำงกว่ำ เทียบเสียงโดยกำรถ่วงตะกั่วท่ีใต้ลูกฆ้องแล้วถูก
เขำ้ กบั รำ้ น โดยเรยี งเสยี งตำมลำดบั เชน่ เดียวกบั ฆ้องไทย (ไมเ่ วน้ “หลมุ ” เช่นฆอ้ งมอญวงใหญ่)
3.ไม้ตีฆ้องมอญวงเล็ก ทำจำกไม้ไผ่แก่ จัด เสียบทะลุแป้นหนังที่ตัดเป็นวงกลมเช่นเดียวกับ
ฆ้องไทยวงเล็ก
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครอ่ื งตี
เปงิ มำงคอก
เปงิ มำงคอก คือเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครื่องตปี ระกอบจังหวะขึน้ หนำ้ ด้วยหนงั
ซ่ึงมีบทบำทหน้ำที่สำคัญอยู่ในวงป่พี ำทยม์ อญ ทำหนำ้ ทีต่ ีขัดจังหวะ หยอกล้อกบั ตะโพนมอญเพ่ือ เพิ่มรสชำติ
สนุกสนำนไพเรำะเปิงมำงคอก คือกำรนำ กลองเปิงมำง 7 ใบท่ีมีขนำดของ หุ่นกลองลดหล่ันกันไป แล้วเทียบ
เสียงสูงต่ำไล่เป็นระดับด้วยกำรสำวกลองให้ตึงขึ้น รวมถึงกำร ติดข้ำวตะโพนเพื่อถ่วงเสียงให้ต่ำลงแล้วจึงนำ
ลูกเปิงมำงท่ีปรับแต่งเสียงแล้วมำร้อยไว้กับแผงไม้รูปคร่ึงวงกลม เรียกว่ำ คอกเปิง (สูงประมำณ 60 ซม.)โดย
ไล่มำจำกทำงซ้ำยมือซึ่งเป็นเสียงต่ำสุด จนกระทั่งทำงขวำมือที่เป็นเสียงที่สูงท่ีสุด โดยผู้บรรเลงจะนั่นอยู่
ภำยในคอกครึ่ง วงกลมน้ัน ใชม้ อื ทง้ั สองข้ำงตี หรอื บำงครั้งก็ใช้ ขอ้ ศอก ศรี ษะ เพ่ือควำมโลดโผนสนกุ สนำน
เครื่องดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครือ่ งตี
กลองยำว
กลองยำวเป็นกลองทีไ่ ดร้ ับควำมนยิ มแพร่หลำย เพรำะมีลีลำสุ้มเสียงท่ีไพเรำะสนกุ สนำนอีกสำมำรถเคล่ือนย้ำยได้สะดวก
เหมำะสมแกโ่ อกำสต่ำงๆ เชน่ บวชนำค ทอดกฐิน ร้องเล่นร่วมกับ ฉิ่งฉำบ กรับ โหม่ง รวมเรยี กว่ำ วงเถิดเทิงกลองยำวนนั้ เปน็
กลองหน้ำเดียวหุ่นกลองทำจำกไม้เน้ือแข็งท่ีหำได้ในท้องถิ่น ข้ึนรูปเป็นทรงกรวย ด้ำนหน่ึงป่อง ออกเป็นกล่องเสียง แล้วเลียว
เล็กยำวออกบำนเป็นดอกลำโพงในตอนปลำย ขึงหน้ำกลองด้วยหนังโค หนังม้ำ ท่ีผ่ำนกรรมวิธีเตรียมหนัง เช่น กำรขูดไขมัน
ตำกแดด ยำหนัง(กำรทุบหนังเพื่อให้เกิดกำรคลำยตัว ยืดหยุ่นท่ีคงที่) เป็นต้น แล้วจึงข้ึนหน้ำขึงโยงด้วยสำยเร่งที่ทำจำกเชือก
หนงั หรอื เชือกไนล่อน พรอ้ มคลุมผำ้ หลำกสี ซึ่งเรยี กวำ่ “กระโปรง” เป็นระบำยเพอ่ื ควำมสวยงำม บริเวณหน้ำกลองทำยำงรกั
ติดข้ำวสุกผสมขี้เถ้ำถ่วงหน้ำ เพ่ือให้เกิดเสียงที่ก้องกังวำน ท่ีริมด้ำนหนึ่งของหูสำยเร่งหนังหน้ำกลองผูกโยงเป็นสำยสะพำย
เพ่ือให้ผู้บรรเลงคล้องสำมำรถเคล่ือนไหวร่ำยรำโดยใช้ทงั้ มือ ศรี ษะ เขำ่ ศอก เท้ำบรรเลงไดส้ ะดวก
เครอ่ื งดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่อื งตี
องั กะลงุ
องั กะลงุ เปน็ เครอ่ื งดนตรีทีเ่ กดิ เสียงโดย กำรกระทบกนั ของกระบอกไมไ้ ผ่ท่ี
ถูกแขวนไว้กับรำงไม้เล็กๆ เมื่อผู้บรรเลงเขย่ำ กระบอก ไม้ไผ่ก็จะเกิดกำรไกว
กระแทกเป็นเสียงที่ไพเรำะ เดิมทีอังกะลุงเป็นเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมืองของชวำ
(อินโดนีเซีย) รำวปี พ.ศ.2451 หลวงประดิษฐไพเรำะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้
นำเข้ำมำปรับปรุงรูปร่ำง และวิธีกำรบรรเลง ขึ้นเป็นเอกลักษณ์แตกต่ำงจำกของ
ชวำ อกี ทง้ั ยงั ประพนั ธ์เพลงข้ึนมำใหมเ่ พือ่ ให้บรรเลงโดย องั กะลุงโดยเฉพำะ เชน่
โหมโรงปฐมดสุ ติ บูเซ็นซอร์ค สมำรัง กะหรัดรำยำ เปน็ ตน้
เครื่องดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอ่ื งตี
กรับคู่ (กรบั ไม)้
กรบั เป็นเคร่ืองดนตรปี ระเภทตี (เคำะ) ทำหน้ำทีก่ ำกับจังหวะ
มีจดุ มุ่งหมำยเพ่อื ให้เกดิ ควำมพรอ้ มเพรยี ง ควบคมุ ควำมช้ำเร็วของท่วงทำนอง
โดยตพี ร้อมกับจงั หวะ “ฉับ” ของฉงิ่
กรับคู่ หรือ กรับละคร ทำจำกไม้ไผ่สีสุกตัดติดปล้องแล้วผ่ำซีก ให้มี
ควำมยำวประมำณ 50 ซม. โดยผู้บรรเลงใช้มือถือข้ำงละอันตีให้จังหวะกำร
แสดงละครหรอื ในกำรฝกึ ซ้อมนำฏศิลปเ์ พ่ือเปน็ สัญญำณในกำรเปล่ยี นทำ่ รำ
เครอ่ื งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอ่ื งตี
กรบั เสภำ
กรับเสภำ เป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ประเภทเครื่องตีไม้ สำหรับตีคุมจังหวะใน
ขณะที่ขับเสภำ กรับเสภำชุดหนึ่งประกอบไปด้วยไม้ 4 ท่อน ทุกท่อนมี
ควำมยำว หนำ และนำ้ หนกั เทำ่ กนั ยำวทอ่ นละประมำณ 20 ซม. รวมน้ำหนกั
ท้งั หมดประมำณ 400 กรัม ทกุ อนั เหลำอยำ่ งประณีตและขัดมันทกุ หน้ำ
กรบั เสภา
กรบั เสภำทำขึ้นจำกไมเ้ นอ้ื แขง็ เชน่ ไม้ชงิ ชนุ หรือไมป้ ระดู่ ทแี่ กร่งและแหง้ สนิท
เหลำให้เป็น 6 หน้ำ โดยทั้ง 5 หน้ำจะขัดเป็นผิวเรียบและรำบเสมอกัน ยกเว้นหน้ำที่ 6 จะเหลำให้มี
พ้ืนที่หน้ำไม้มำกท่ีสุด และมีลักษณะโค้ง ผิวเรียบ มัน ล่ืน เฉพำะหน้ำกรับเสภำส่วนท่ีโค้งนี้เป็นหน้ำ
สำคัญทสี่ ุด ที่ผทู้ กี รบั จะตอ้ งใช้ทกั ษะอนั เปน็ ประณตี ศลิ ป์ ประคบั ประคองและ ควบคุมกำรเคลื่อนไหว
กรับที่วำงอยู่ในอุ้งมือข้ำงละหน่ึงคู่นั้น ตีไปพร้อมกันทั้งสองมือ โดยกระทบหน้ำท่ีโค้งน้ันเข้ำหำกัน
เกดิ เป็นเสยี งที่ประสมกลมกลืน หรือทำให้เสยี งขดั จังหวะกัน เป็นเสยี งพเิ ศษต่ำงๆ เรยี กเสียงเหลำ่ น้ัน
เป็นศัพท์ เฉพำะเร่ืองของกรับเสภำว่ำ เสียงกร้อ เสียงแกร้ กร๊ัก กร๊ิก และเสียงกรอด เป็นต้น และ
ยังต้องกำหนดวิธีกำรตีให้เป็นลีลำต่ำงๆกัน ท่ีเรียกว่ำ ไม้กรับเสภำ อันได้แก่ ไม้ไหว้ครู ไม้กรอ ไม้เดิน
ไม้สกดั ส้ัน ไมส้ กดั ยำว และไม้พิเศษอกี หลำยแบบ ทเ่ี รยี กว่ำ ไมร้ บ
ผู้ที่ได้ฟังกำรตีกรับขับเสภำฝีมือเลิศ มักสงสัยและแปลกใจมำกว่ำ จำกไม้เน้ือแข็ง 4 ท่อน
สำมำรถให้ ควำมงดงำมสงู สง่ ในกำรขบั เสภำไดย้ อดเยย่ี มถึงเพียงน้ี
กรับเสภำที่มีคุณภำพดี และคนตีที่มีทักษะสูงส่ง จะให้เสียงท่ีฟังแล้วเหมือนกับกบหรือเขียด
ร้องในฤดฝู น มีทว่ งทำนองไพเรำะวิเศษสดุ ทหี่ ำชมได้ยำกย่งิ ในทุกวันนี้
เครือ่ งดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครื่องตี
โกร่ง
โกร่งเปน็ เครือ่ งดนตรีประเภทเคร่ืองเคำะกำกับจงั หวะ นยิ มใช้บรรเลงประกอบ
กำรแสดงโขนกลำงแปลง ละคร รวมถึงกำรรำแม่ศรี หรือ เข้ำแม่ศรี ซึ่งเป็นกำรละเล่น
เฉพำะในชว่ งเทศกำลตรษุ สำรทหรอื ตรษุ สงกรำนต์ ซง่ึ หำชมได้ยำกในปัจจุบันโกรง่ ทำจำก
ไม้ไผ่ปล้องยำวตำมควำมต้องกำร ปำดเซำะร่องไปตำมควำมยำวเพื่อให้เสียงไม่อับทึบ
ที่ปลำยทั้งสองด้ำนมี “เท้ำ” ท่ีทำจำกไม้เนื้อแข็งหรือซีกไม้ไผ่รองรับเพ่ือให้สะดวกใน
กำรบรรเลงและเสียงที่ดังกังวำน เวลำบรรเลง ผู้บรรเลงจะใช้ซีกไม้ไผ่แห้งหรือไม้แก่นที่
เหลำถำกเรยี บร้อยแล้วเปน็ ไมต้ โี ดยจะใชม้ อื เดยี วหรอื ทัง้ สองมอื กไ็ ด้
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่ืองตี
เกรำะ
เกรำะทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ ตัดติดข้อ หัวท้ำยผ่ำบำกตรงกลำงท้องปล้อง
ตำมยำว ให้เกิดเสยี งดังกงั วำน ใช้ไม้ตหี รอื เคำะ อำจใช้หลำยลูกโดยเจำะ
รูร้อยเชือกหรือหนัง เพื่อหิ้ว หรือแขวน บำงทีใช้กำรเขย่ำเพื่อให้เกิด
กำรกระทบกันเป็นเสียงใช้เป็นเคร่ืองสัญญำณบอกเหตุ บ้ำงก็นำมำใช้ใน
กำรแสดงละครก็มี
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่อื งเป่า
ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยเพียงออเป็นขลุ่ยขนำดกลำงท่ีมีเสียงไพเรำะนุ่มนวล ตัวเลำขลุ่ยมี
ควำมยำวประมำณ 45 ซม. กว้ำงประมำณ 2.5 ซม. ใช้บรรเลงทั่วไปใน
วงเครื่องสำย มโหรี ป่ีพำทย์ไม้นวม ปี่พำทย์ดึกดำบรรพ์ ทั้งยังเป็นหลักใน
กำรเทยี บเสยี งเครื่องดนตรีในวง และเป็นตำแหน่งของทำงเสียง โดยมีเสียง
ตำ่ สุดเม่ือเทียบกบั ดนตรสี ำกลใกล้เคยี งกับเสียง โด
เครอ่ื งดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเคร่อื งเป่า
ขลุ่ยหลบี
ขลุ่ยหลีบ ขลุ่ยหลิบ หรือขลุ่ยหลีก เป็นขลุ่ยขนำดเล็กท่ีทำขึ้นภำยหลังเพ่ือให้
คู่กับขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยมีควำมยำวประมำณ 35 ซม. กว้ำงประมำณ 2 ซม.
ขลุ่ยหลีบ มีเสียงที่เล็กแหลมสูงกว่ำขลุ่ยเพียงออ 3 เสียง และมีลีลำกำรบรรเลง
ท่ีโหยหวน ถี่กระชับ นิยมใช้บรรเลงในวงเครื่องสำยเคร่ืองคู่ เคร่ืองสำยป่ีชวำ
มโหรเี ครื่องคู่ เป็นต้น
เครื่องดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเคร่อื งเปา่
ปน่ี อก
ปี่นอก เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่ำ ที่กำเนิดเสียงจำกกำร
ส่ันสะเทือนของลิ้นป่ี และเปล่ียนระดับเสียงไปตำมตำแหน่งนิ้วท่ี
ปดิ รู ซึง่ เรยี งอยูบ่ นเลำปี่
ปน่ี อก
ปนี่ อก มสี ่วนประกอบท่ีสำคญั 2 สว่ นคอื
1. เลำปี่ ทำจำกไม้เนอื้ แข็ง ชนดิ ต่ำงๆ เช่น พยงุ ชิงชัน มะเกลอื หรือแม้แต่งำช้ำง และหนิ ออ่ น
โดยกลึงข้ึนรูปให้มีลักษณะบำนท่ีหัวท้ำย ตอนกลำงป่อง ตรงกลำงกลวงตลอด ด้ำนหัวท้ำยมีแป้นไม้
หรือกระดกู สตั ว์ งำชำ้ ง กลงึ เป็นแผ่นบำงขนำดเท่ำควำมกว้ำงของเลำป่ี ติดประกบ เรียกว่ำทวนบน
และทวนล่ำง ในอดีตนั้นทวนล่ำงสำมำรถถอดออกได้เพื่อปรับเสียงปี่ให้สูงขึ้น ตัวเลำป่ีเจำะรู 6 รู
เป็นตำแหน่งของนิ้ว โดยตอนบนเจำะเรียง 4 รู แล้วเว้นช่วงไว้ ตอนล่ำง เจำะอีก 2 รู ซึ่งแตกต่ำง
กับเครื่องเป่ำประเภทขลุ่ย รอบเลำป่ีกลึงเป็นเกลียวควั่นเพ่ือควำมกระชับในกำรจับป้องกัน กำรไหล
ล่ืนเมอ่ื ถือบรรเลง เลำปีน่ อกนั้นมีควำมยำวประมำณ 31 ซม. กว้ำงประมำณ 3.5 ซม.
2. ลิน้ ปี่ ทำจำกใบตำลแห้ง ตัดบำงซ้อนกนั 4 ช้ิน แล้วผูกติดกับแท่งโลหะเลก็ ๆ (เรียกว่ำกำรผูก
แบบตะกรดุ เบ็ด) ซงึ่ ทำจำกนำค ทองเหลอื ง หรือเงิน เรียกวำ่ กำพวด แล้วจึงนำปลำยด้ำนหนึ่งของ
กำพวดเสียบ เข้ำกบั รูบริเวณทวนบนของเลำป่ี แมป้ ี่จะมีรูน้ิวเพียง 6 รู แต่ก็สำมำรถประดิษฐเ์ สียง
ได้มำกกว่ำ 20 เสียง ท้ังยังสำมำรถทำเสียงเลียนเสียงร้องของนักร้องได้อย่ำงสนิทสนมปี่มีบทบำท
สำคัญมำกในวงปี่พำทย์ไทย บรรเลงประกอบกำรแสดงโขน ละครนอก ซึ่งผู้บรรเลงเป็น
ชำย ภำยหลังเมื่อมีกำรปรับปรุงกำรแสดงละครท่ีผู้แสดงเป็นผู้หญิง จึงปรับระดับเสียงของป่ีให้
นุ่มนวลข้ึน จึงเรียกป่ีชนิดท่ีเกิดข้ึนใหม่ว่ำป่ีใน ส่วนปี่ที่ใช้อยู่เดิมจึงเรียกว่ำปี่นอก ส่วนป่ีกลำงน้ัน
ใช้บรรเลงประกอบกำรแสดงหนังใหญ่
เคร่ืองดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอ่ื งเป่า
ปใ่ี น
ป่ใี น เป็นเคร่อื งดนตรีประเภทเป่ำทกี่ ำเนดิ เสยี งจำกกำรสั่นสะเทอื นของลิ้นป่ี
และเปลย่ี นระดับเสียงไปตำมตำแหนง่ นว้ิ ที่ปดิ รซู งึ่ เรยี งอย่บู นเลำป่ี
ปใ่ี น
ปี่ใน มีสว่ นประกอบที่สำคญั 2 ส่วนคอื
1.เลำป่ี ทำจำกไม้เน้ือแข็ง ชนิดต่ำงๆ เชน่ พยงุ ชิงชนั มะเกลือ หรอื แม้แต่งำช้ำง และหินออ่ น
โดยกลึงขึ้นรูปให้มีลักษณะบำนท่ีหัวท้ำย ตอนกลำงป่องตรงกลำงกลวงตลอด ด้ำนหัวท้ำยมีแป้นไม้
หรือกระดูกสัตว์ งำช้ำง กลึงเป็นแผ่นบำงขนำดเท่ำควำมกว้ำงของเลำปี่ติดประกบ เรียกว่ำ ทวนบน
และทวนล่ำง ในอดีตนั้นทวนล่ำงสำมำรถถอดออกได้เพื่อปรับเสียงป่ีให้สูงข้ึนตัวเลำปี่เจำะรู 6 รู เป็น
ตำแหน่งของนิ้ว โดยตอนบนเจำะเรียง 4 รู แล้วเว้นช่วงไว้ ตอนล่ำง เจำะอีก 2 รู ซึ่งแตกต่ำงกับ
เครื่องเป่ำประเภทขลุ่ย รอบเลำปี่ กลึงเป็นเกลียวควั่นเพ่ือควำมกระชับในกำรจับป้องกันกำรไหลลื่น
เม่ือถอื บรรเลง เลำป่ีในนั้นมีควำมยำวประมำณ 41-42 ซม. กว้ำง ประมำณ 4.5 ซม.
2.ล้ินปี่ ทำจำกใบตำลแห้ง ตัดบำงซ้อนกัน 4 ช้ิน แล้วผูกติดกับแท่งโลหะเล็กๆ (เรียกว่ำกำร
ผูกแบบตะกรุดเบ็ด) ซ่ึงทำจำก นำค ทองเหลือง หรือเงิน เรียกว่ำ กำพวด แล้วจึงนำปลำยด้ำนหนึ่ง
ของกำพวดเสยี บเข้ำกับรบู ริเวณทวนบนของเลำป่ี แม้ปี่จะมีรูนิ้วเพยี ง 6 รู แตก่ ส็ ำมำรถประดษิ ฐเ์ สยี ง
ได้มำกกวำ่ 20 เสยี ง ท้ังยงั สำมำรถทำเสยี งเลียนเสยี งรอ้ งของนกั รอ้ งไดอ้ ยำ่ งสนิทสนม
ปี่มีบทบำทสำคัญมำกในวงป่ีพำทย์ไทยบรรเลงประกอบกำรแสดงโขน ละครนอก ซึ่งผู้บรรเลงเป็น
ชำย ภำยหลงั เมอื่ มีกำรปรับปรงุ กำรแสดงกำรแสดงละครที่ผู้แสดงเป็นผู้หญิง จึงปรบั ระดบั เสยี งของป่ี
ให้นุ่มนวลขึ้น จึงเรียกปี่ชนิดท่ีเกิดขึ้นใหม่ว่ำ ป่ีใน ส่วนป่ีท่ีใช้อยู่เดิมจึงเรียกว่ำป่ีนอก ส่วนป่ีกลำงน้ัน
ใช้บรรเลงประกอบกำรแสดงหนงั ใหญ่
เคร่ืองดนตรีไทยภาคกลาง
ประเภทเครอื่ งเป่า
ป่ชี วำ
ปี่ชวำ เป็นเคร่ืองเป่ำท่ีกำเนิดเสยี งจำกกำรสั่นสะเทือนของลิ้นป่ี สันนิษฐำน
ว่ำได้รับอิทธิพลและดัดแปลงมำจำกป่ีไฉนของอินเดีย โดยเข้ำมำมีบทบำท
เก่ียวข้องกับพระรำชพิธีสำคัญต่ำงๆแต่ครั้งอยุธยำตอนต้น เช่น กระบวน
พยุหยำตรำกำรรำอำวุธ กระบี่กระบอง รำกริช หรือเข้ำไปประสม ใน
วงปพ่ี ำทย์นำงหงส์ วงป่ชี วำกลองแขก (วงบวั ลอย) ซง่ึ ใชเ้ ฉพำะพธิ ศี พ เป็นตน้
ปีช่ วา
ป่ีชวำ น้นั มีส่วนประกอบทส่ี ำคัญคอื
1.เลำปี่ ทำจำกไม้เน้ือแข็งหรือ งำช้ำงยำวประมำณ 27 ซม. เหลำกลึงได้รูปเจำะรูเป่ำ 7 รู
โดยเรยี งตำแหน่งนวิ้ คลำ้ ยขลุย่ (ตำ่ งจำก ปใี่ น ปน่ี อก ปีก่ ลำง)
2.ลำโพงปี่ ทำจำกไม้เนื้อแข็งหรืองำช้ำงนิยมใช้เป็นวัสดุเดียวกันกับเลำป่ีสำมำรถถอดแยก
ออกจำกเลำป่ีไดเ้ ปน็ อสิ ระ ตอนปลำยของลำโพงบำงออกเลก็ นอ้ ยเพอ่ื กระจำยเสยี ง
3.ล้ินปี่ ทำจำกใบตำลแห้ง ตัดบำงซ้อนกัน 4 ช้ิน แล้วผูกติดกับแท่งโลหะเล็กๆ (เรียกว่ำกำร
ผูกแบบตะกรุดเบ็ด) ซ่ึงทำจำก นำค ทองเหลือง หรือเงิน เรียกว่ำกำพวด แล้วจึงนำปลำยด้ำนหนึ่ง
ของกำพวดเสียบเข้ำกับรูบริเวณทวนบนของเลำปี่ ลิ้นป่ีของปี่ชวำนั้นจะมีขนำดที่ยำวกว่ำปี่ไฉน
เล็กน้อย
เครอ่ื งดนตรไี ทยภาคกลาง
ประเภทเครอื่ งเปา่
ป่ีมอญ
ปี่มอญ เป็นเคร่ืองเป่ำประเภทใช้ลิ้นป่ีเป็นตัวสร้ำงควำมส่ันสะเทือน
ให้เกดิ เสียง ปมี่ อญมรี ปู รำ่ งคลำ้ ยป่ชี วำแตย่ ำวและใหญ่กว่ำ อีกวัสดุที่ใช้
ทำลำโพงต่ำงกัน ทำให้มีเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ มีบทบำท
สำคญั อย่ใู นวงปพ่ี ำทย์มอญ
ปี่มอญ
ปีม่ อญ มีสว่ นประกอบทสี่ ำคัญคอื
1.เลำปี่ กลึงจำกไม้เนื้อแข็งกลมมีควำมยำวประมำณ 50 ซม. โดยตอนบนใกล้ปำกผู้บรรเลง
จะคอดเล็ก และผำยออกเล็กน้อยในตอนปลำย ด้ำนบนของเลำ ปี่เจำะรูนิ้ว 7 รู เช่นเดียวกับขลุ่ย
เพยี งออ และป่ีชวำ ดำ้ นหลังเจำะรนู ้ิวคำ้ 1 รู ตรงตำแหนง่ ของน้ิวโป้ง
2.ลำโพงป่ี ทำจำกโลหะ ชนิดต่ำงๆ เช่น เงิน ทองเหลือง นำมำตีออกเป็นแผ่นบำงแล้วม้วน
ติดเข้ำกันเป็นลักษณะของดอกลำโพง ปำกลำโพงกว้ำงประมำณ 10 ซม. ส่วนที่บำนออกกว้ำง
ประมำณ 5 ซม.
3.ล้ินป่ี ทำจำกใบตำลแห้ง ตัดบำงซ้อนกัน 4 ชิ้น แล้วผูกติดกับแท่งโลหะเล็กๆ (เรียกว่ำ
กำรผูกแบบตะกรุดเบ็ด) ซ่ึงทำจำก นำค ทองเหลือง หรือเงิน เรียกว่ำกำพวด แล้วจึงนำปลำยด้ำน
หนึ่งของกำพวดเสียบเข้ำกับรูบริเวณทวนบนของเลำป่ี ป่ีมอญนั้นมีขนำดใหญ่กว่ำป่ีทั่วไปกำพวดจึง
ยำวกว่ำ มีควำมยำวประมำณ 8 ซม.
สือ่ การสอนเร่ือง :
เครื่องดนตรไี ทยภาคกลาง
ขอบคณุ : รูปภาพจากเวบ็ ไซตต์ ่างๆ
ทม่ี า : http://tkapp.tkpark.or.th
chert.nes