Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบบั ภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ี่ 10 ฉบบั ที่ 3 เดือนกนั ยายน – ธันวาคม 2560
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการบริหารจดั การสินคา้ ชมุ ชนเพื่อ
ความยั่งยืนทางเศรษฐกจิ *
An Apply of Information Technology with The Management of
Product Community for Sustainable Economic
ดนุชา สลีวงศ์ (Danucha Saleewong) **
ณัตตยา เอี่ยมคง (Nuttaya Iam-Khong) ***
บทคดั ยอ่
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ
บรหิ ารจดั การสนิ คา้ ชุมชน 2) ถ่ายทอดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเคร่ืองมือบริหารจัดการสินค้าชุมชน 3)
พัฒนารูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุม ชนเพ่ือความยั่งยืนทาง
เศรษฐกิจ 4) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือ
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้ผลิตและ
จาหน่ายสินค้าชุมชน จังหวัดปทุมธานี จานวน 152 คน กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชน จาก 4 ตาบล คือ
ตาบลคลองสาม ตาบลลาไทร ตาบลสามโคก และตาบลลาดหลุมแก้ว จานวน 80 คน และผู้นาผู้ผลิตและ
จาหน่ายสินค้าชุมชน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบ
สังเกตการณ์ และการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าความถ่ี ร้อยละ วิธีการสังเคราะห์ข้อความหรือ
สรปุ ขอ้ ความ และการวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาแล้วสรุปผลเป็นความเรยี ง
ผลการวิจัยพบว่า
1. กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนมีช่องทางการขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยผ่านทาง
เฟสบคุ๊ จานวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 46.05 มีความต้องการจาเป็นที่จะมีเว็บไซต์หรือใช้เทคโนโลยีเพ่ือส่งเสริม
การขายสินค้าของตนเอง จานวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 81.58 และมีความต้องการในการเข้าร่วมอบรม
เก่ยี วกบั การใชเ้ ทคโนโลยเี พื่อเพ่มิ ชอ่ งทางการขายสินคา้ เป็นอยา่ งมาก จานวน 135 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 88.82
* ทุนสนบั สนุนการวจิ ัยจากสานกั งานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ
(Research funding from National Research Council of Thailand)
** อาจารย์ คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณฯ์ อเี มล:์ [email protected]
Lecturer of Faculty Education Valaya Alongkorn Rajabhat University
E-mail: [email protected]
*** อาจารยส์ าขาวชิ า คอมพิวเตอร์ธุรกจิ คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณฯ์
อเี มล:์ [email protected]
Lecturer of Computer Business in Faculty of Management Sciences Valaya Alongkorn Rajabhat University
E-mail: [email protected]
2355
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปีที่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดอื นกันยายน – ธนั วาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
2. กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนที่ได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้ความรู้เก่ียวกับการ
ประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความย่ังยืนทางเศรษฐกิจมีความรู้เกี่ยวกับ
การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศหลังการอบรมสูงกว่ากอ่ นการอบรม
3. รูปแบบการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือความย่ังยืนทาง
เศรษฐกจิ ประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบหลัก ได้แก่ 1) ชุมชนผู้ผลิตสินค้าชุมชน (OTOP Community) 2) การมี
ส่วนร่วมของสังคม (Participation) 3) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Learn & Share) 4) การผสมผสาน (Integration)
และ 5) เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Technology)
4. กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนท่ีใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ
บริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ พบว่า ทาให้เกิดความร่วมมือในการทางานร่วมกันใน
ชมุ ชนมากขน้ึ การแพรก่ ระจายของขอ้ มลู และขา่ วสารทาได้ง่ายขนึ้ โดยผนู้ าชุมชนทาหน้าท่ีนาความรู้ที่ได้จากการ
ให้คาปรกึ ษา ไปแนะนา เผยแพร่สู่คนในชุมชนทั้งภายในและนอกตาบล การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนทาได้ดี
ข้ึนจากการที่กลุ่มตัวอย่างเลือกใช้เทคโนโลยีเฟสบุ๊ค และไลน์ในการติดต่อสื่อสารช่วยให้บริหารจัดการสินค้า
ชุมชนได้งา่ ยขนึ้
คาสาคัญ : เทคโนโลยสี ารสนเทศ การบริหารจดั การ สนิ คา้ ชมุ ชน
Abstract
The purpose of this research were to 1) Study the basic of using information
technology in the management of product community. 2) To transfer the information
technology to the management of product community. 3) To develop a model and apply the
information technology with the management of product community for sustainable
economic. 4) To study the results of applying the information technology application model to
management of community product for economic sustainability. The sample consisted of 152
manufacturer and sellers of community products in Pathum Thani province. The group of
manufacturer and sellers community products from 4 sub districts are Klong Sam, Lam Sai,
Sam Kok and Lat Lum Kaeo and 80 person of manufacturer and sellers of community
products. Research instruments include observation interviews and group discussions analysis
of data using induction method and content analysis interpreted.
The results shown that:
The model of apply the information technology with the management of product
community for economic sustainability consists of five components: 1) OTOP Community, 2)
Participation, 3) Learn & Share and 5) Technology. The group of manufacturer and seller were
used application of information technology with the management of product community for
2356
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ่ี 10 ฉบบั ที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม 2560
sustainable economic could improve the collaboration with participation and communication
in the community with distribute of information by leader of community. The leader of
community is responsible of the knowledge and advice to the people in the community
around the sub district. The product of sampling had develop their product by using Facebook
and Line communication technology for more convenience in management purpose.
Keywords: Information Technology, Management, OTOP
บทนา
โครงการหน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ หรือเรียกย่อว่าโอทอป (OTOP) เป็นสินค้าของชุมชนได้มาจาก
การคัดเลือกสินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนของแต่ละหมู่บ้านเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับประชากรในระดับ
รากหญ้าตามโครงการของรัฐเพื่อให้เกิดเป็นชุมชนเข้มแข็ง และได้มีการพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์จนเป็นที่น่า
ใช้งานและแพร่หลาย ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีการประทับตรา “ผลิตภัณฑ์โอทอป” (thaitambon,
2556; สานักส่งเสรมิ ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ และวสิ าหกิจชุมชน กรมพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย, 2556)
ในปัจจุบันน้ีสินค้าชุมชนเริ่มมีปริมาณลดน้อยลงโดยจากการสารวจสภาพปัญหาพบ 3 ปัจจัยหลักที่
ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าชุมชน มีดังนี้ ปัญหาที่สาคัญอันดับแรกเกิดจากความสามัคคีของคนในชุมชนต่อ
การบริหารจัดการ ปัญหาสาคัญรองลงมาคือปัญหาทางการตลาดและการส่งเสริมช่องทางการขายสินค้า
เนื่องจากภาครัฐบาลขาดพเ่ี ลยี้ งในส่วนนจ้ี ึงทาใหส้ ินคา้ ในชุมชนเมอื่ ผลติ ออกมาแล้วขายได้แต่ในชุมชนเท่านั้นขาด
การกระจายสินค้าและรูปแบบส่งเสริมการขาย และปัญหาท่ีเกิดจากวัตถุดิบท่ีเปล่ียนไปเนื่องจากธรรมชาติและ
สภาพแวดล้อมและภัยธรรมชาติ (จุน ฟูจิอิระ, 2550; ชลิดา โป๊ะมา, 2550; อุษณีย์ พากประยูร, 2551)
นอกจากน้ีปัญหาในภาพรวมของสินค้าชุมชนเกิดจากความไม่เอาจริงเอาจังในการพัฒนาของคนในกลุ่มสินค้า
ชุมชนเอง (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, 2552) และสินค้าหรือบริการท่ีมีความเป็นนวัตกรรมมีจานวนน้อย
ส่วนใหญม่ กั จะเกดิ จากการลอกเลียนแบบกัน โดยปัญหาท่ีพบของกลุ่มสินค้าชุมชนสามารถแยกเป็น 7 ด้าน ดังนี้
(ธันยมยั เจียรกุล, 2557)
1. ปัญหาเครือข่ายวิสาหกิจ ขาดการรวมกลุ่มเพ่ือพัฒนาเครือข่ายในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็น
รูปธรรมเพื่อการแลกเปล่ียนและแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเพื่อความร่วมมือในการวิจัย การตลาด
การฝกึ อบรมแบ่งปันทักษะและประสบการณ์ และเข้าสู่ตลาดเปา้ หมายไดค้ รอบคลมุ มากข้นึ
2. ปัญหาด้านการจัดการ นอกจากปัญหาความไม่เอาจริงเอาจังในการพัฒนาของคนในกลุ่มสินค้า
ชุมชนเอง อาจเน่ืองมาจากการไม่ได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านความรู้ แหล่งเงินทุน แหล่งตลาดเป้าหมายและ
เทคโนโลยีผู้ประกอบการยงั ขาดแนวคิดเชงิ ธุรกิจ (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสมี า, 2552)
3. ปัญหาด้านการตลาด พบว่าสินค้าสินค้าชุมชนไม่มีการพัฒนารูปแบบของบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์
ไม่ได้รับรองมาตรฐาน และช่องทางการจาหน่ายท่ียังมีจากัด โดยเฉพาะช่องทางการจัดจาหน่ายพาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ (e-commerce) ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยของต่างประเทศท่ีพบว่า ธุรกิจขนาด
2357
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปีท่ี 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกนั ยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
กล างแล ะ ขนาด ย่ อม ต่างต้ อ งใ ห้ค วาม สาคัญ กั บก าร จั ดจ าห น่ าย ผ่านช่ อ งทางอี -คอ มเ มิร์ ซ เ พ่ื อเ ข้ าสู่ ตล าด
ตา่ งประเทศไดง้ า่ ยยิ่งขึ้นและสามารถสร้างรายได้เพิม่ ขนึ้ (ธันยมัย เจยี รกลุ , 2557)
4. ปัญหาด้านการผลติ ของสินค้าชุมชน คือ การขาดวัตถุดิบขาดเคร่ืองมือการผลิตที่ทันสมัย และไม่มี
ทักษะในการผลิตวัตถดุ ิบท่ีใช้ในการผลติ มคี ณุ ภาพไมส่ ม่าเสมอ
5. ปัญหาด้านการเงินและแหล่งเงินทุนต่า เนื่องจากผู้ประกอบการยังขาดทักษะการบริหารการเงิน
และบญั ชีไมม่ รี ะบบบันทึกบัญชที ่ีถกู ตอ้ งและไมม่ ีการบันทึกรายรับรายจา่ ยของตนเอง
6. ปัญหาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ขาดการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการดาเนินงาน
ขาดทกั ษะแรงงาน โดยเฉพาะทักษะทางด้านภาษา ซึ่งกลุ่มสินค้าชุมชนขาดท้ังเทคโนโลยีสมัยใหม่และขาดทักษะ
ในการใชเ้ ทคโนโลยแี ละทกั ษะทางด้านภาษา
7. ปัญหาขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ทั้งในด้านข้อมูลท่ี
ทนั สมยั ที่เกยี่ วข้องกับการดาเนนิ ธุรกิจใน AEC อันรวมถึงกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับของประเทศสมาชิกใน AEC
รวมถึงความรู้ในการบรหิ ารจัดการธุรกิจและการจัดหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่าให้กับผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการ
เองกม็ กั จะร้สู ึกวา่ การขอการสนบั สนุนจากภาครฐั บางครั้งค่อนข้างยุง่ ยาก ซับซอ้ นหลายขน้ั ตอน
จากปัญหาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าปัญหาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นปัญหาหน่ึงที่มีความสาคัญกับ
กลุ่มสินค้าชุมชน โดยพบว่ากลุ่มสินค้าชุมชนขาดการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ
ขาดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในช่องทางการจัดจาหน่าย การตลาด และการประชาสัมพันธ์ซึ่งส่ิง
เหลา่ น้เี ปน็ สง่ิ สาคัญอยา่ งมากในการพัฒนาสินค้าชมุ ชนให้สามารถอย่ใู นตลาดปจั จุบันได้
เทคโนโลยสี ารสนเทศ เขา้ มามีความสาคัญในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก เน่ืองจากในสังคมปัจจุบันนี้
เป็นสังคมสารสนเทศท่ีพ่ึงพาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการเร่ืองต่างๆ โดย
เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการจัดบริการสังคมพื้นฐานในขบวนการพัฒนาสังคม เช่น
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เป็นต้นเทคโนโลยี
สารสนเทศเข้ามามีบทบาทในด้านเศรษฐกิจโดยสามารถนามาประยุกต์ใช้ประโยชน์และเพ่ิมขีดสามารถในการ
แข่งขันท้ังภาคการผลิตและบรกิ าร ภาคการบริหารจัดการ การตลาด การส่งเสริมการขาย ภาคการเงินการคลังท้ัง
ภายในประเทศ และเพื่อการส่งออก อีกท้ังยังประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม (สานักงานพัฒนาชมุ ชนจังหวัดปทุมธานี, 2555)
ในปจั จุบนั พบวา่ มผี ูข้ ายสินคา้ ชุมชนนากลยุทธ์การดาเนินธุรกิจผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศโดยการ
ใช้สื่อออนไลน์หรือตลาดอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยในการขายสินค้ามากข้ึน จึงเกิดการเสนอขายสินค้าผ่านหน้า
เว็บไซต์ ซ่ึงเป็นวิธีท่ีง่าย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง เนื่องจากเป็นการลดความเสี่ยงจากการไม่
สามารถเห็นสินค้าจริงได้ก่อนการตัดสินใจซื้อ โดยผู้ขายสามารถใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ใน การสร้าง
ความน่าเช่ือให้ตนเอง และผลิตภัณฑ์ท่ีขาย ด้วยการอาศัยการตลาดแบบบอกต่อ(Viral Marketing) รวมทั้งการ
เปดิ ให้ผู้ซ้ือและผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลใน เชิงลึกของผลิตภัณฑ์ ระบบดังกล่าว
ส่งผลให้เกิดการจัดอันดับความนิยมในตัวผลิตภัณฑ์และให้คะแนนผู้ขายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนในประเทศไทยมี
หลากหลายรูปแบบโดยแต่ละรูปแบบแสดงถึงวิถีชีวิตชุมชนชนบท เช่น โอ่งผ้าไหม ผลิตภัณฑ์จากเห็ด ดอกไม้
2358
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบบั ภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ่ี 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกันยายน – ธนั วาคม 2560
ประดษิ ฐ์จากดินญ่ีปุ่น ขนมไทย เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรได้รับการส่งเสริมให้กว้างขวางและมีการบริหาร
จัดการทีด่ ี ที่สามารถเขา้ สู่ตลาดสากลหรือตลาด AEC ได้ (สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ, 2559)
จากการศึกษาข้างต้นผู้วิจัยสนใจในเรื่องปัญหาของสินค้าชุมชน โดยเน้นท่ีปัญหาทางการบริหาร
จัดการ การตลาดและการส่งเสริมช่องทางการขายสินค้า โดยนาแนวคิดเร่ืองของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมา
บริหารจัดการสินค้า ได้แก่ การจัดการข้อมูลสินค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าที่สามารถเข้าถึงผู้ซื้อที่
หลากหลาย การขายสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือตลาดอิเล็กทรอนิกส์มาเป็นช่องทางการส่งเสริมการขาย
การประชาสัมพนั ธ์สินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยเหตุน้ีจะเห็น
ได้ว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าและช่องทางการตลาดได้เพิ่มมากข้ึน ดังน้ัน
ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความ
ย่งั ยืนทางเศรษฐกจิ โดยพัฒนารูปแบบการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อ
ความย่ังยืนทางเศรษฐกิจให้กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนต่างๆ สามารถนาไปประยุกต์ ใช้กับ
สินค้าชุมชนของตนเองได้ อันจะนาไปสู่การพัฒนาศักยภาพสินค้าชุมชนให้สามารถพัฒนาตนเองในการขายและ
ก้าวทันในการเขา้ สู่ประชาคมอาเซียนต่อไป
วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั
1. เพ่ือศึกษาขอ้ มลู พน้ื ฐานของการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการบรหิ ารจดั การสินค้าชมุ ชน
2. เพ่อื ถ่ายทอดการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศมาเป็นเคร่อื งมือบริหารจัดการสินคา้ ชมุ ชน
3. เพ่ือพัฒนารูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อ
ความย่งั ยืนทางเศรษฐกจิ
4. เพอ่ื ศึกษาผลการใช้รปู แบบการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชน
เพ่ือความยงั่ ยืนทางเศรษฐกจิ
วิธีการวจิ ัย
การวจิ ยั คร้งั น้ีใชร้ ะเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research Methodology) ผู้วิจัยได้
เกบ็ ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพ โดยวธิ ีดาเนนิ การวิจัยแบง่ เปน็ 4 ข้นั ตอน ดังน้ี
ข้ันตอนท่ี 1 ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
สนิ คา้ ชุมชน
1. ประชากร คือ ผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนจังหวัดปทุมธานี จานวน
242 ราย (สานกั งานพัฒนาชุมชนจงั หวดั ปทุมธานี, 2555)
2. กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนจังหวัดปทุมธานี จานวน
152 ราย ผู้วิจัยใช้การกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ของ Krejcie and Morgan (1970) ได้จานวนกลุ่มตัวอย่าง
ทั้งหมด 152 ราย
2359
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปีที่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม โดยตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง
เนื้อหา (Content Validity) ของแบบสอบถามจากผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 คน เพ่ือตรวจสอบความครอบคลุม
ครบถ้วนของเนื้อหาและพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับนิยามศัพท์เฉพาะ โดยคัดเลือกไว้เฉพาะ
ข้อคาถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องต้ังแต่ 0.5 ข้ึนไป และหาความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยนาแบบสอบถามที่
สร้างขน้ึ และปรับปรงุ เรยี บรอ้ ยแล้ว ไปทดลองใช้กับประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จานวน 30 คน
นามาหาความเชื่อมัน่ โดยคานวณคา่ สัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาคไดเ้ ท่ากับ 0.785 ถือว่ามีคุณภาพสูงพอที่จะ
นาไปใช้ได้
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผ้วู จิ ัยนาแบบสอบถามที่ได้สร้างขึน้ มาแลว้ แจกให้กับผู้ผลิตและจาหน่าย
สินค้าชุมชน จังหวัดปทุมธานี ในงานแสดงสินค้าโอทอปจังหวัดปทุมธานี ณ ศูนย์การค้า ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต
และงานแสดงสินค้าโอทอป ณ ศูนย์จัดแสดงสินค้า เมืองทองธานี จานวน 152 ชุดด้วยวิธีการเลือกแบบ
เฉพาะเจาะจงผู้ท่ีตอบแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์น้ันต้องเป็นผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนจังหวัด
ปทุมธานเี ท่านัน้ ดาเนินการสอบถาม และรอรบั กลับทันที
5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู โดยการหาคา่ ความถ่ี ร้อยละ
ข้นั ตอนท่ี 2 จัดอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารเพ่อื ใหค้ วามรู้เกยี่ วกบั การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน
การบริหารจัดการสนิ คา้ ชุมชนเพ่อื ความยง่ั ยืนทางเศรษฐกิจ
1. ประชากร คือ ผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนจังหวัดปทุมธานี จานวน
242 ราย (สานักงานพฒั นาชุมชนจงั หวัดปทุมธานี, 2555)
2. กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนจังหวัดปทุมธานี จานวน
80 คน ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมา 4 ตาบล โดยเลือกจาก ตาบลท่ีเป็นพ้ืนที่ให้บริการของ
มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แก่ ตาบลคลองสาม ตาบลลาไทร ตาบลสามโคก
และตาบลลาดหลุมแก้ว กาหนดโควต้าสาหรับผู้เข้าร่วมอบรมตาบลละ 20 คน ได้จานวนผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด
80 คน
3. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ค่มู ือการอบรม ซ่ึงมีการตรวจสอบความเท่ียงตรง
เชิงเน้ือหา (Content Validity) ของคู่มือโดยนาคู่มือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 คน
เพ่ือตรวจสอบความครอบคลุมครบถ้วนของเน้ือหารวมถึงความเหมาะสมของสานวนภาษา ได้ค่าดัชนีความ
สอดคล้องเท่ากับ 1 แบบประเมินการฝึกอบรม ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือโดยหาความเช่ือม่ัน (Reliability)
โดยนาแบบประเมินท่ีสรา้ งขนึ้ และปรับปรงุ เรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้กับกลุ่มท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
จานวน 10 คน นามาหาความเชื่อม่ันโดยคานวณค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาคได้เท่ากับ 0.775 ถือว่ามี
คุณภาพสูงพอที่จะนาไปใช้ได้ และแบบสนทนากลุ่มย่อย โดยมีแนวทางในการสนทนาประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์
สินค้าชุมชน ปัญหาที่พบในการดาเนินธุรกิจ ปัญหาด้านเทคโนโลยีเพ่ือการส่งเสริมการตลาด ความสนใจในการ
เข้าอบรมเพม่ิ ความรู้
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยประชุมปรึกษาหารือร่วมกับวิทยากรเพื่อกาหนดรูปแบบ
กจิ กรรม กาหนดวนั ฝกึ อบรมโดยนัดหมายกบั ผู้เข้าร่วมอบรมผ่านทางองค์การบริหารส่วนตาบล โดยอบรมครั้งละ
3 วัน รวม 12 วัน โดยขออนุญาตผู้นาองค์การบริหารส่วนตาบล ได้แก่ ตาบลคลองสาม ตาบลลาไทร ตาบลสาม
2360
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบบั ภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ
ISSN 1906 - 3431 ปีท่ี 10 ฉบบั ที่ 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560
โคก และตาบลลาดหลุมแก้ว เพ่ือขอความร่วมมือในการจัดอบรม และดาเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการตามวัน
เวลา ท่นี ัดหมาย
ขั้นตอนที่ 3 พัฒนารูปแบบ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้า
ชุมชนเพื่อความยงั่ ยืนทางเศรษฐกิจ
1. ร่างรูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความ
ยง่ั ยืนทางเศรษฐกิจ โดยพฒั นามาจากการสงั เคราะหข์ อ้ มูลในข้ันตอนที่ 1 และขั้นตอนท่ี 2
2. ประเมนิ ร่างรูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือ
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 คน ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จานวน
2 คน ผู้ทรงคณุ วฒุ ิดา้ นบริหารธุรกิจ จานวน 1 คน พจิ ารณาโดยใชแ้ บบตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศในการบรหิ ารจดั การสินค้าชมุ ชนเพ่ือความย่ังยืนทางเศรษฐกจิ
ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
สนิ ค้าชมุ ชนเพอ่ื ความยัง่ ยนื ทางเศรษฐกิจ
การวิจัยในขั้นตอนนี้เป็นการนารูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
สนิ ค้าชุมชนเพ่อื ความย่งั ยนื ทางเศรษฐกจิ ท่ีไดพ้ ัฒนาข้ึนไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ
มีรายละเอียดดังนี้
1. แหล่งข้อมูลด้านพื้นที่สาหรับการทดลองใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ
บริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาจากการให้ความร่วมมือของผู้นาชุมชน
การมีสถานท่ที เ่ี หมาะสมในการวจิ ัย กลุ่มทมี่ ีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้กับสินค้าชุมชนของตนเอง
ซ่ึงพ้ืนท่ีสาหรับการทดลองใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อ
ความยั่งยนื ทางเศรษฐกจิ คือ ตาบลลาดหลุมแก้ว
2. ผู้ใหข้ ้อมลู หลกั ทใี่ ช้ในการทดลองรปู แบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
สินค้าชุมชนเพื่อความย่ังยืนทางเศรษฐกิจ ในข้ันตอนน้ีคัดเลือกผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนต้นแบบ โดย
พิจารณาจากผู้ที่มีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้กับสินค้าชุมชนของตนเอง และเห็นผลของการใช้
อย่างชัดเจนเพ่ือที่จะเป็นต้นแบบในการถ่ายทอดให้กับชุมชนอ่ืนต่อไป โดยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) 2 คน คือ แกนนากลุม่ โอ่งผา้ ไหม และกลมุ่ ฟารม์ เหด็
3. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
สนิ ค้าชมุ ชนเพื่อความยง่ั ยืนทางเศรษฐกจิ ท่ีพัฒนาขึ้นในข้นั ตอนท่ี 3
4. เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ และแบบสังเกต
โดยได้ตรวจสอบความเทยี่ งตรงเชงิ เนื้อหา (Content Validity) ของแบบสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ และแบบ
สังเกต จากเชยี่ วชาญ จานวน 3 คน ไดค้ ่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งเท่ากับ 1
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5.1 คณะผู้วจิ ัยตดิ ต่อไปยังแกนนาผผู้ ลติ และจาหน่ายสนิ คา้ ชุมชน ตาบลลาดหลุมแก้ว ได้แก่ กลุ่ม
ผลิตโอ่งผ้าไหม และกลุ่มฟาร์มเห็ด เพื่อขอความร่วมมือให้เป็นกลุ่มทดลองใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศในการบรหิ ารจดั การสนิ ค้าชมุ ชนเพือ่ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
2361
ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
5.2 คณะผู้วิจัยจัดเตรียมความพร้อมในการทดลองใช้รูปแบบให้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยเป็นการ
กาหนดวนั เวลา เพื่ออธบิ ายองค์ประกอบของรูปแบบ และขน้ั ตอนต่างๆ
5.3 ดาเนนิ การทดลองใช้รูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้า
ชมุ ชนเพื่อความย่งั ยนื ทางเศรษฐกิจ ซงึ่ ในขั้นตอนนีก้ ลุ่มตวั อยา่ งจะมีระยะเวลาในการใช้แตกต่างกัน และผู้วิจัยจะ
เป็นผปู้ ระสานงานใหอ้ งคป์ ระกอบตา่ งๆ ของรปู แบบฯ เปน็ ไปด้วยความเรยี บร้อย
5.4 เก็บข้อมูลจากการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant Observation) การวิเคราะห์
ขอ้ มลู ในขน้ั ตอนนี้ ผ้วู ิจยั ใชว้ ธิ ีการสงั เกตการดาเนนิ การตามรูปแบบของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละองค์ประกอบถึงการ
ใช้รูปแบบและพฤติกรรมการแสดงออก
5.5 เก็บข้อมูลหลังการทดลองใช้รูปแบบฯ เสร็จส้ินแล้ว โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์อย่างไม่
เปน็ ทางการกับกลุ่มตวั อย่าง
6. การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยในข้ันตอนนี้เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยวิเคราะห์
ขอ้ มูลด้วยวธิ ีการสงั เคราะหข์ ้อความหรือสรุปข้อความ การวเิ คราะหเ์ นือ้ หาแลว้ สรุปผลเป็นความเรียง
ผลการวิจยั
ผลการวิจัยเร่ือง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความ
ย่ังยนื ทางเศรษฐกจิ สรุปได้ดงั น้ี
1. กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนมีช่องทางการขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยผ่านทาง
เฟสบุค๊ จานวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 46.05 มีความต้องการจาเป็นที่จะมีเว็บไซต์หรือใช้เทคโนโลยีเพ่ือส่งเสริม
การขายสินค้าของตนเอง จานวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 81.58 และมีความต้องการในการเข้าร่วมอบรม
เกี่ยวกับการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื เพ่ิมชอ่ งทางการขายสนิ ค้าเป็นอย่างมาก จานวน 135 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 88.82
2. กลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนที่ได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการเพ่ือให้ความรู้เกี่ยวกับการ
ประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจมีความรู้เกี่ยวกับ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลังการอบรมสงู กว่ากอ่ นการอบรม
3. รปู แบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความย่ังยืนทาง
เศรษฐกจิ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ชุมชนผู้ผลิตสินค้าชุมชน (OTOP Community) 2) การมี
ส่วนร่วมของสังคม (Participation) 3) แลกเปล่ียนเรียนรู้ (Learn & Share) 4) การผสมผสาน (Integration)
และ 5) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Technology) ดังรูปที่ 1 โดยผลการประเมินรูปแบบประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ท่ีพัฒนาขึ้นในภาพรวมมีความ
เหมาะสมมาก ( ̅ = 4.13, S.D. = 0.52)
2362
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศลิ ปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560
รปู ท่ี 1 รปู แบบการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการบริหารจดั การสนิ ค้าชมุ ชนเพ่ือความยง่ั ยนื ทางเศรษฐกิจ
1.1 OTOP Community ชุมชนผู้ผลิตสินค้าชุมชน หมายถึง กิจกรรมที่ชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกัน
พฒั นาสนิ ค้าชุมชนข้ึน โดยมวี ตั ถุประสงค์เพื่อจดั ระดับสินค้าชุมชนที่จะนาไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อจัดระบบ
ฐานข้อมูลสินค้าชุมชนเพื่อทางานเชิงบูรณาการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพ่ือเสริมสร้างคุณค่าของสินค้าชุมชนให้
เป็นท่ียอมรับแก่บุคคลทั่วไป จนสามารถใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้และความเข้มแข็งให้กับชุมชน และกระตุ้นให้
เกดิ กระบวนการมีสว่ นรว่ มของผู้ผลิต/ผู้ประกอบการสินคา้ ชุมชน และชุมชนในการพฒั นาสินค้าชมุ ชน
1.2 Participation การมสี ่วนรว่ มของสงั คม หมายถงึ การเปดิ โอกาสให้ประชาชนและผู้ที่เก่ียวข้อง
ทุกภาคส่วนของสงั คมได้เข้ามามีส่วนร่วมซ่ึงกันและกันทั้งกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยในท่ีน้ีมี
ผ้นู าชุมชนทเี่ ปน็ ประธานกลมุ่ สนิ คา้ ชมุ ชนเปน็ ผู้นาประชาชนในชุมชนเขา้ รว่ มการพัฒนาสิ่งต่างๆเช่น การให้ข้อมูล
ขา่ วสาร (Information) เก่ียวกับภาครัฐและหน่วยงานที่เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนสินค้าตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
ชอ่ งทางการตดิ ต่อส่ือสารท่ีใช้ในแต่ละด้าน การรับฟังความคิดเห็น (consult) เมื่อชุมชนเกิดปัญหา หรือต้องการ
ความช่วยเหลอื จากภาคส่วนไหนบา้ ง การเลือกประธานกลุ่มของผลิตภัณฑ์ การสารวจเพื่อรับฟังความคิดเห็นของ
กลมุ่ ผผู้ ลติ สินค้าชมุ ชนวา่ ต้องการความรดู้ า้ นใด และตอ้ งการนาไปใช้เพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ในส่วนใด
1.3 Learn & Share แลกเปล่ียนเรียนรู้ หมายถึง การท่ีกลุ่มคนท่ีมีความสนในเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง
รว่ มกนั มารวมตัวกนั และแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ด้วยความสมัครใจ เพือ่ รว่ มสรา้ งความเข้าใจหรือพัฒนาแนวปฏิบัติใน
เรือ่ งนน้ั ๆ ประกอบด้วยบุคคล 2 กลุ่ม คือ ในท่ีนี้กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้เกิดข้ึนจากผู้วิจัยได้ทาการศึกษา
กลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจพัฒนาสินค้าชุมชนมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้า
เพ่ือให้เกดิ ความยั่นยนื ทางเศรษฐกจิ ซ่ึงพบวา่ เปน็ กลุม่ ของฟารม์ เหด็ และโอ่งผ้าไหม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
2363
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปีท่ี 10 ฉบบั ที่ 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
กลุ่มแรก คือ กลุ่มของนักวิชาการ ผู้มีความรู้ ส่วนราชการท่ีทาหน้าท่ีดูแลอานวยความสะดวก
ให้แก่ชุมชน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) หน่วยงานส่วนราชการพัฒนาชุมชนจังหวัด เป็นต้น
นาความรู้ใหมด่ า้ นวิชาการ นวัตกรรม เทคโนโลยสี ารสนเทศ มาเผยแพรแ่ กผ่ ผู้ ลิตสินคา้ ชุมชน
กลมุ่ ทส่ี อง คือ กลุ่มของผผู้ ลิตสินคา้ ชมุ ชนจะแลกเปลีย่ นความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาของตน
ถ่ายทอดสู่นักวิชาการ โดยอธิบายถึงปัญหาที่พบ ความจาเป็น อุปสรรค และโอกาสท่ีได้รับ และรวมถึงความ
ต้องการความช่วยเหลือในส่วนใดบ้าง
ในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประกอบด้วยกระบวนการของการเผยแพร่นวัตกรรม การถ่ายเท
ความคิด การปฏิบัติ ข่าวสารหรือพฤติกรรมจากบุคคลทั้งสองกลุ่มน้ีขึ้น ซ่ึงแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น
นวัตกรรม (Innovation) ท่ีสามารถนาไปเผยแพร่เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบใช้ในชุมชนอ่ืนได้ นามาซึ่งช่องทางการ
สื่อสาร (communication channels) ระหว่างนักวิชาการสู่ชุมชนท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามระยะเวลา
(Time) ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ สร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้แก่คนในชุมชนได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากระบบสังคม
(Social System) ทมี่ ีการนานวตั กรรมมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติ และเม่ือมีผู้ปฏิบัติได้ลงมือปฏิบัติแล้วกระทาจน
กลายเปน็ กจิ วัตรประจาวันซง่ึ แสดงถึงการยอมรับ (Adaption) ในนวัตกรรม และเทคโนโลยีทีไ่ ดถ้ า่ ยทอดไป
1.4 Integration การผสมผสาน หมายถงึ กระบวนการสง่ เสริมชุมชนผผู้ ลติ สินคา้ ชมุ ชน ด้วยการนา
วิธีการมีส่วนร่วมของสังคมด้วยนวัตกรรม การเผยแพร่นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่สามารถรวมกลุ่มให้เกิดการ
สอ่ื สารขนึ้ ระหว่างกลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชน ให้กลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง สามารถประยุกต์ความรู้ที่ได้จากการมีส่วน
ร่วมน้ีไปต่อยอดได้ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ เป็นการนาความรู้ของผู้ผลิตสินค้าชุมชนและนักวิชาการชุมชน
มาผสมผสานกันเพ่ือสร้างมูลค่าให้แก่สินค้าชุมชน และ เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยในการบริหารจัดการสินค้า
ชุมชน การเผยแพร่สินค้าชุมชนให้กว้างข้ึนกว่าการขายสินค้าเฉพาะหน้าร้านในชุมชน หรือ ตามงานแสดงสินค้า
เท่านั้น ทาให้ผู้ผลิตสินค้าชุมชน ไม่จาต้องออกมาขายสินค้าเอง สามารถผลิตและขายสินค้าไปพร้อมกันได้
การผสมผสานจึงเป็นส่ิงช่วย เพิ่มมูลค่าสินค้า กระตุ้นเศรษฐกิจของผู้ประกอบการสินค้าชุมชน และเพิ่มช่อง
ทางการจดั จาหนา่ ยสนิ ค้าได้
1.5 Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถให้ความหมายได้ ดังนี้
เทคโนโลยีดา้ นซอฟต์แวร์ หมายถงึ เคร่อื งมือช่วยในการประมวลผล แสดงผลข้อมูลผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือ
อุปกรณ์ต่างๆ ซ่ึงสามารถแสดงผลได้ท้ังภาพ และเสียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น ซอฟต์แวร์ช่วยในการ
ออกแบบตราสินค้า โปรแกรมช่วยในการเก็บข้อมูลสินค้า โปรแกรมสาหรับคานวณรายการสินค้าเว็บไซต์สาหรับ
เผยแพรข่ อ้ มูลผา่ นสื่อออนไลน์ เวบ็ ไซตส์ าหรับโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า เว็บไซต์สาหรับช่วยติดตามการจัดส่ง
สนิ คา้ แอพพลเิ คช่นั ชว่ ยแสดงตาแหนง่ ที่อยูข่ องผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ี
ประมวลผล แสดงผล และสามารถส่งผ่านข้อมูลออกมาเป็นข้อมูลหรือสารสนเทศที่สามารถจับต้องได้ เช่น ใบ
รายละเอียดสินค้า ใบรายการสินค้า เอกสารเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ เครื่องพิมพ์รูปสัญลักษณ์ตราสินค้า
ฉลากสินค้า เคร่ืองชว่ ยในการบรรจสุ ินค้าเพือ่ การจัดส่ง เคร่ืองพิมพ์รูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ตามขนาดที่ต้องการ
เปน็ ตน้ โดยเทคโนโลยสี ารสนเทศทใ่ี ชใ้ นรปู แบบที่พัฒนานส้ี ามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ไดแ้ ก่
2364
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศลิ ปะ
ISSN 1906 - 3431 ปีท่ี 10 ฉบบั ที่ 3 เดือนกนั ยายน – ธันวาคม 2560
3.5.1 เทคโนโลยีด้านการคน้ หาข้อมูลดว้ ยเครือ่ งมือช่วยในการค้นหาข้อมลู (Search Engine)
เช่น กูเกิล (Google) ยาฮู (Yahoo) บิง (Bing) และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไวไฟ (wifi) ท่ีนามาใช้เพ่ือให้คนใน
ชุมชนสามารถคน้ หาขอ้ มูลเพื่อนามาปรับประยกุ ตใ์ ชก้ ับสินค้าชุมชนของตนเองได้
3.5.2 เทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อข้อมูลซึ่งกันและกัน (Connect) เป็นการนาเทคโนโลยี
สารสนเทศมาช่วยในการเช่ือมต่อข้อมูลต่างๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าชุมชนเป็นการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศในการติดต่อส่ือสาร การแลกเปล่ียนสิ่งต่างๆ การเผยแพร่ เช่น การใช้เทคโนโลยี ยูทูป
(Youtube) เข้ามาช่วยในการหาวิธีการ ข้อมูล ศึกษาข้ันตอนการทา หรือการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ
เทคโนโลยีแอพพลิเคช่ันไลน์ (Line) นาเข้ามาช่วยในการสื่อสารข้อมูล ส่งข้อความ ให้คาปรึกษา และการ
ประชาสัมพันธ์สินค้าผ่านแอพพลิเคช่ันนี้ด้วยไทม์ไลน์ เฟสบุ๊ค (facebook) นามาช่วยในการเผยแพร่รูปภาพใน
ลักษณะชุดข้อมูล เน่ืองจากต้องเผยแพร่ข้อมูลติดกันหลายวัน ให้เกิดเป็นกลุ่มคนในสังคมที่มีความสนใจเรื่อง
เดียวกันเผยแพร่ต่อสาธารณชน และการใชง้ านเทคโนโลยีผา่ นสมารท์ โฟน เพ่ืออัพเดตขอ้ มลู ให้เกดิ ความทนั สมัย
3.5.3 เทคโนโลยีด้านการดาเนินการ (Manage) เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมา
ช่วยดาเนิน/ทางานเกี่ยวกับการกับสินค้าชุมชน เช่น การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด มาช่วยใน การออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ ตราสินค้า คาโฆษณาสินค้า การสร้างนามบัตร การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซล มาช่วยในการ
คานวณ จัดเกบ็ รายช่ือลูกค้า รายการสินค้าท่ีขายได้ การใช้กล้องหรือรูปภาพเพื่อการเผยแพร่และนาเสนอข้อมูล
การรับขอ้ มลู ขา่ วสารด้วยการอา่ นสารสนเทศผ่านเวบ็ ไซต์ เพอื่ ค้นคว้าหาความรใู้ นด้านทส่ี นใจเพมิ่
3.5.4 เทคโนโลยีด้านการจัดการ (Organize) เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมา
จดั การ บริหารการดาเนินการเก่ียวกบั สนิ คา้ ชมุ ชน เช่น คอมพิวเตอร์ และสมารท์ โฟน ใช้ในการสร้างเฟสบุ๊ค หรือ
สง่ ผา่ นขอ้ มลู กบั อุปกรณต์ ่างๆ ช่วยในการจดั เก็บข้อมลู จากซอฟต์แวร์ใหเ้ กิดความคงสภาพของข้อมูล การใช้อีเมล์
ในการติดต่อส่ือสาร ส่งข้อมูลระหว่างผู้ผลิต ผู้ขายสินค้า หรือพ่อค้าคนกลาง และ ผู้ซื้อ ช่วยในการส่งผ่านแคต
ตาล็อกอิเลกทรอนิกส์ได้ ปฏิทินส่วนบุคคล ช่วยในการบันทึกความจา จัดตารางการวางแผนการทางานในแต่วัน
หรอื รายไตรมาสได้
4. การนารูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือความ
ยั่งยืนทางเศรษฐกิจไปทดลองใช้กับชุมชนต้นแบบ คือ กลุ่มผู้ผลิตสินค้าชุมชน อบต. ลาดหลุมแก้ว ได้แก่ กลุ่ม
สินค้าชุมชนฟาร์มเห็ดและกลุ่มสินค้าชุมชนการทาโอ่งผ้าไหม พบว่า การใช้รูปแบบฯ ทาให้เกิดความร่วมมือใน
การทางานร่วมกันในชุมชนมากข้ึน การแพร่กระจายของข้อมูลและข่าวสารทาได้ง่ายข้ึน โดยผู้นาชุมชนทาหน้าท่ี
นาความรู้ท่ีได้จากการให้คาปรึกษาไปแนะนา เผยแพร่สู่คนในชุมชนทั้งภายในและนอกตาบล การพัฒนา
ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนทาได้ดีข้ึนจากการที่กลุ่มตัวอย่างเลือกใช้เทคโนโลยีเฟสบุ๊ค และไลน์ใน การติดต่อส่ือสาร
ชว่ ยให้บริหารจดั การสนิ ค้าชมุ ชนไดง้ า่ ยข้ึน
สรุปและอภปิ รายผล
การวิจัยเร่ือง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือความยั่งยืน
ทางเศรษฐกจิ สามารถสรปุ และอภปิ รายผลตามองคป์ ระกอบของรูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน
การบรหิ ารจดั การสินคา้ ชุมชนเพื่อความย่ังยืนทางเศรษฐกจิ ได้ดังนี้
2365
ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปที ่ี 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
OTOP Community ชุมชนผู้ผลิตสินค้าชุมชน คือ กิจกรรมที่ชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันพัฒนาสินค้า
ชุมชนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดระดับสินค้าชุมชนท่ีจะนาไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อจัดระบบฐานข้อมูล
สินค้าชุมชน เพื่อทางานเชิงบูรณาการของทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างคุณค่าของสินค้าชุมชนให้เป็นท่ี
ยอมรับแก่บุคคลทั่วไป จนสามารถใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้และความเข้มแข็งให้กับชุมชน และกระตุ้นให้เกิด
กระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ผลิต/ผู้ประกอบการสินค้าชุมชน และชุมชนในการพัฒนาสินค้าชุมชน ซ่ึงสอดคล้อง
กับ นันท์นภัส พงศ์โภคินสถิต (2552) พบว่าผู้ประกอบการที่รวมตัวกันประกอบกิจการวิสาหกิจชุมชนในเขต
อาเภอเมืองลาปาง จังหวัดลาปางมีความต้องการที่จะพัฒนาวิสาหกิจชุมชนของตนเองให้เจริญก้าวหน้าในระดับ
มากในดา้ นทิศทางวสิ าหกจิ ชมุ ชน ด้านการวางแผนดาเนินงานของวิสาหกิจชุมชน ด้านการบริหารตลาด ด้านการ
จัดการความรู้และข้อมูลข่าวสาร ด้านการบริหารสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ด้านกระบวนการจัดการสินค้า และ
บริการ ด้านผลลัพธ์การดาเนินงานวิสาหกิจชุมชน และสอดคล้องกับ ชญาภัทร์ กี่อาริโย, ธีรวุฒิ บุณยโสภณ,
ทวีศักด์ิ รูปสิงห์ และวิเชียร เกตุสิงห์ (2559) พบว่าปัจจัยด้านหน่ึงในรูปแบบการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
วสิ าหกิจชมุ ชนในกลมุ่ จงั หวดั ภาคกลางคือ ด้านการจัดทาแผนวิสาหกิจชุมชน ท่ีประกอบด้วย การกาหนดทิศทาง
และเป้าหมาย การวางแผนการดาเนินงาน การมีส่วนร่วมของสมาชิก และการประเมินผลและการติดตามและ
การจดั ทาแผนพัฒนาวสิ าหกจิ ชมุ ชน
Participation การมีส่วนรว่ มของสงั คม คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
ของสังคมได้เข้ามามีสว่ นร่วมซึ่งกันและกันท้ังกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยในที่นี้มีผู้นาชุมชนที่
เป็นประธานกลุ่มสินค้าชุมชนเป็นผู้นาประชาชนในชุมชนเข้าร่วมการพัฒนาส่ิงต่างๆ เช่น การให้ข้อมูลข่าวสาร
(Information) เก่ียวกับภาครัฐและหน่วยงานท่ีเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนสินค้าตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
ช่องทางการตดิ ต่อส่ือสารท่ีใช้ในแต่ละด้าน การรับฟังความคิดเห็น (consult) เมื่อชุมชนเกิดปัญหา หรือต้องการ
ความช่วยเหลอื จากภาคส่วนไหนบ้าง การเลือกประธานกลมุ่ ของผลติ ภัณฑ์ การสารวจเพ่ือรับฟังความคิดเห็นของ
กล่มุ ผผู้ ลติ สนิ คา้ ชุมชนว่าตอ้ งการความรูด้ า้ นใด และต้องการนาไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในส่วนใด ซึ่งสอดคล้อง
กับผลการวิจัยของชูศรี เสรีรักษ์ และคณะ (2552) ที่พบว่า การปรับเปล่ียนคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นคณะกรรมการ
และให้สมาชิกมีส่วนร่วมในกิจกรรมของกลุ่ม สมาชิกท่ีเข้าร่วมเวทีชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้นาความรู้
ใหม่ๆ เพ่ือพัฒนางาน สมาชิกมีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ และสอดคล้องกับสุนิษา กลิ่นขจร (2558) ที่พบว่า
ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชมุ ชนกลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกประคบสมุนไพรต้องมีการเช่ือมโยงเครือข่ายการ
ผลิต การตลาดกับกลุ่มอ่ืนที่ผลิต ผลิตภัณฑ์เดียวกัน ควรมี การประสานงานกับกลุ่มหรือหน่วยงานต่างๆ
เพ่อื สรา้ งองค์ความร้ดู ้านภณั ฑ์ใหม้ ีคุณภาพ มีพลังใน การตอ่ รองดา้ นการตลาด
Learn & Share แลกเปล่ียนเรียนรู้ คือ การที่กลุ่มคนท่ีมีความสนในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งร่วมกัน
มารวมตัวกันและแลกเปล่ียนเรียนรู้ ด้วยความสมัครใจ เพ่ือร่วมสร้างความเข้าใจหรือพัฒนาแนวปฏิบัติในเร่ือง
นั้นๆ ประกอบด้วยบุคคล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก คือ กลุ่มของนักวิชาการ ผู้มีความรู้ ส่วนราชการท่ีทาหน้าที่ดูแล
อานวยความสะดวกให้แก่ชุมชน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) หน่วยงานส่วนราชการพัฒนาชุมชน
จังหวัด เป็นต้น นาความรู้ใหม่ด้านวิชาการ นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ มาเผยแพร่แก่ผู้ผลิตสินค้าชุมชน
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มของผู้ผลิตสินค้าชุมชนจะแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตน ถ่ายทอดสู่
2366
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศลิ ปะ
ISSN 1906 - 3431 ปีที่ 10 ฉบบั ที่ 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560
นักวิชาการ โดยอธิบายถึงปัญหาท่ีพบ ความจาเป็น อุปสรรค และโอกาสท่ีได้รับ และรวมถึงความต้องการความ
ช่วยเหลือในส่วนใดบ้าง ชญาภัทร์ ก่ีอาริโย, ธีรวุฒิ บุณยโสภณ,ทวีศักดิ์ รูปสิงห์ และวิเชียร เกตุสิงห์ (2559)
พบวา่ ปัจจยั ดา้ นหน่ึงในรปู แบบการพฒั นาศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในกลุ่มจังหวัดภาคกลางคือ ด้าน
การส่ือสารและการประสานงานประกอบด้วย การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร การติดต่อประสานงานภายใน
และ ภายนอก และการสรา้ งเครอื ข่าย อีกท้ังยงั สอดคลอ้ งกับยทุ ธจักร พรมชว่ ย (2555) พบว่า ปัจจัยเก่ียวกับการ
ดาเนินงานวิสาหกิจชุมชน ปัจจัยเก่ียวกับผู้นา สมาชิก การมีส่วนร่วมจากภายในและปฏิสัมพันธ์ท่ีดีต่อภายนอก
ปัจจัยเกี่ยวกับระบบข้อมูลข่าวสาร เครือข่าย การผลิตที่เก้ือหนุนแลกเปล่ียนเรียนรู้และการส่ือสารระหว่างผู้นา
และสมาชิกกลุ่มองค์กร ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่สาคัญท่ีมีต่อความสาเร็จในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน
ซ่ึงสอดคล้องกับมินระดา โคตรศรีวงค์ และสถาพร มงคลศรีสวัสด์ิ (2559) พบว่า ผลการดาเนินงานที่เป็นระบบ
ของกลมุ่ ทอผ้าไหมบ้านหวายหลึมมาจากความรับผิดชอบและความเสียสละของผู้นา สมาชิกในกลุ่มมีทักษะและ
ความชานาญในการผลติ จึงทาใหผ้ ลิตภัณฑม์ คี ุณภาพไดม้ าตรฐาน
Integration การผสมผสาน คือ กระบวนการส่งเสริมชุมชนผู้ผลิตสินค้าชุมชน ด้วยการนาวิธีการมี
ส่วนร่วมของสังคมด้วยนวัตกรรม การเผยแพร่นวัตกรรม และเทคโนโลยีท่ีสามารถรวมกลุ่มให้เกิดการส่ือสารข้ึน
ระหวา่ งกลุ่มผูผ้ ลิตสินคา้ ชุมชน ใหก้ ลายเปน็ ชมุ ชนเขม้ แข็ง สามารถประยกุ ตค์ วามรู้ที่ได้จากการมีส่วนร่วมน้ีไปต่อ
ยอดได้ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ เป็นการนาความรู้ของผู้ผลิตสินค้าชุมชนและนักวิชาการชุมชน มาผสมผสานกัน
เพือ่ สร้างมลู ค่าให้แก่สินค้าชุมชน และ เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยในการบริหารจัดการสินค้าชุมชน การเผยแพร่
สินค้าชุมชนให้กว้างข้ึนกว่าการขายสินค้าเฉพาะหน้าร้านในชุมชน หรือ ตามงานแสดงสินค้าเท่านั้น ทาให้ผู้ผลิต
สินค้าชุมชน ไม่จาต้องออกมาขายสินค้าเอง สามารถผลิตและขายสินค้าไปพร้อมกันได้ การผสมผสานจึงเป็นสิ่ง
ชว่ ย เพิ่มมูลคา่ สนิ คา้ กระตนุ้ เศรษฐกิจของผ้ปู ระกอบการสินค้าชุมชน และเพ่มิ ชอ่ งทางการจดั จาหน่ายสนิ ค้าได้
Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ (1) เทคโนโลยีด้านการค้นหาข้อมูล
ด้วยเครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูล (Search Engine) (2) เทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อข้อมูลซ่ึงกันและกัน
(Connect) (3) เทคโนโลยีด้านการดาเนินการ (Manage) (4) เทคโนโลยีด้านการจัดการ (Organize) จากการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศท้ัง 4 ด้าน ในการบริหารจัดการสินค้าชุมชน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ชนาสิน ธาราพิตร
(2556) ที่พบว่า การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความจาเป็นอย่างย่ิงในการดาเนินธุรกิจร้านค้าปลีก โดยการนา
คอมพิวเตอร์มาใช้เป็นฐานข้อมูลสินค้า การใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูล สร้างเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มช่องทาง
การตลาด การใช้ส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศในการติดต่อส่ือสารกับลูกค้าให้รวดเร็วย่ิงข้ึน และที่จาเป็นอย่างยิ่งคือ
ควรจะมีการซ้ือขายสินค้านผ่านอินเทอร์เน็ตหรือมีระบบ e-commerce และสอดคล้องกับงานวิจัยของสุดาวัลย์
ขันสูงเนิน (2559) พบว่า ลูกค้าที่ตัดสินใจซ้ือสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตนั้นมาจากเร่ืองของผลิตภัณฑ์ที่มีความ
หลากหลาย ราคาท่ีถูกกว่าห้างสรรพสินค้า ความสะดวกรวดเร็วในการได้รับสินค้า การประหยัดเวลาและ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดของ Marquardt (1996) กล่าวไว้ว่า การนา
เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ถือเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยส่งเสริมการกระจายความรู้เพ่ือ ส่งเสริมการเรียนรู้ในองค์กร
และยงั ช่วยใหเ้ กิดความสะดวกและง่ายตอ่ การจัดการความรู้และสง่ เสริมการเรียนรู้ในองค์กรให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง
กว้างขวางและรวดเร็ว ดังที่ Watkins and Marsick (1993) ศึกษาวิจัยพบว่า การแสวงหาและประยุกต์ใช้
2367
ฉบบั ภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศลิ ปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกนั ยายน – ธันวาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
เทคโนโลยที ่ีดที ่สี ุดนาไปส่กู ารเรียนรู้ที่ยอดเย่ยี มท่สี ดุ องค์กรทขี่ าดเทคโนโลยีสารสนเทศหรือขาดความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยี จะเสียเปรยี บในด้านการแสวงหา การจดั เก็บ และการถ่ายโอนความรู้ เพราะหากความรู้คือการ
เดินทาง เทคโนโลยี ก็คือ ถนน และถ้าไม่มีถนนก็ไม่สามารถจะเดินทางได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งสอดคล้องกับ
ธันยมัย เจียรกุล (2557) ที่ได้เสนอแนวทางในการปรับตัวของ OTOP ว่า ผู้ประกอบการ OTOP ต้องเร่งพัฒนา
สินค้า ทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าหรือบริการให้ได้การยอมรับในระดับสากล โดยผสมผสานวัฒนธรรม
ภูมิปัญญากับเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนารูปแบบ ต้องสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการของ
ตนเอง สร้างการรับรู้ในตราสินค้าของไทยต่อผู้บริโภคเพ่ือให้เกิดการสร้างคุณค่าหรือมูลค่าเพ่ิมในตัวสินค้า
แนวโน้มท่สี าคญั ในด้านการส่ือสารการตลาดน้ันผู้ประกอบการ OTOP ควรใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)
ในการส่ือสารการตลาดและการส่งเสริมให้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในการจาหน่ายสินค้าและบริการ ของธุรกิจ
โลกออนไลน์ อาทิ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไลน์ เป็นต้นเหมาะสมกับธุรกิจ SMEs ทาให้มีการสื่อสารท่ีเข้าถึง
กลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ด้วยต้นทุนต่า ไม่จาเป็นต้องโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือวิทยุที่มีต้นทุนสูง และที่สาคัญ
ผู้ประกอบการ OTOP ตอ้ งพร้อมรับเทคโนโลยีใหมๆ่ มีการเรยี นรู้เทคโนโลยใี หมใ่ นกระบวนการผลิต พร้อมลงทุน
ในเครอ่ื งจักรอปุ กรณท์ ่ที นั สมัยเพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิตและช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ทันตามความ
ต้องการของตลาด ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ Suh and Kim (2014) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ SMEs ในประเทศ
เกาหลีพบว่าการที่ธุรกิจ SMEs จะก้าวข้ึนเป็นธุรกิจผู้นาในธุรกิจระหว่างประเทศน้ัน ผู้ประกอบการต้องให้
ความสาคัญที่สุดกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี (Technology Innovation) และความพึงพอใจของผู้บริโภค
(Customer Satisfaction) ซ่ึงเน้นที่ราคา คุณภาพของสินค้า และการบริการหลังการขาย เพ่ือให้สินค้าสามารถ
เป็นท่ีต้องการของตลาดสากลได้ และสอดคล้องกับสุดใจ ผ่องแผ้ว และนุจรี ภาคาสัตย์ (2559) ท่ีพบว่า
ความสามารถทางนวัตกรรมมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการ OTOP ท่ีเป็น
SMEs ในประเทศไทย อีกท้ังแนวคิดเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังสอดรับกับนโยบายของ
ประเทศท่ีจะพัฒนาใหป้ ระเทศเปน็ “ประเทศไทย 4.0”
ข้อเสนอแนะ
ข้อคน้ พบจากการวจิ ยั เร่อื งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชนเพ่ือ
ความยงั่ ยนื ทางเศรษฐกิจในคร้ังน้ี มีขอ้ เสนอแนะทค่ี วรนาไปใช้ 3 ระดบั ดงั น้ี
1. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย
ภาครัฐควรมีการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมให้ประสบผลสาเร็จยิ่งขึ้น โดยให้ การ
สนับสนุนในการพัฒนาเร่ืองการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้าชุมชน ประสานหน่วยงาน
ต่างๆ ในการให้ความร่วมมือกันทางานเชิงบูรณาการ มีการแลกเปล่ียนข้อมูลซึ่งกันและกัน ภาครัฐควรมีการ
สนบั สนนุ การฝกึ อบรมให้ความร้กู ับผูผ้ ลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชนอย่างต่อเนื่องและทาอย่างจริงจังให้เห็นผลเป็น
รูปธรรม เน้นเรื่องการอบรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศท่ีช่วยในการบริหารจัดการ การพัฒนาสินค้า
ชุมชน การสง่ เสรมิ การขาย
2368
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ่ี 10 ฉบบั ที่ 3 เดอื นกนั ยายน – ธันวาคม 2560
2. ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ
กลุ่มสมาชิกสินค้าชุมชนควรมีการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง มีผู้นาท่ีดี และมีสมาชิกท่ีให้ความร่วมมือใน
ทุกๆ เรื่อง เพอ่ื ช่วยในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนของตนเอง และเพื่อสร้างช่องทางการจาหน่ายสินค้า
ชุมชนผ่านทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การมีผู้นากลุ่มและสมาชิกในกลุ่มท่ีให้ความร่วมมือและพร้อมจะ
พัฒนาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ จะสามารถช่วยผลักดันให้กลุ่มดาเนินตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นได้อย่างเต็ม
ประสิทธิภาพ อีกทั้งมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ของแต่ละกลุ่มสินค้าชุมชนควรให้การสนับสนุน
ความร่วมมือทางวิชาการ การบริการวิชาการร่วมกับกลุ่มผู้ผลิตและจาหน่ายสินค้าชุมชน โดยส่งเสริมให้
นักวิชาการเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในการให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ เพ่ือใช้ต่อยอดในการพัฒนาสินค้าชุมชน เช่น การให้
องค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการสินค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์
การเพิ่มช่องทางการจัดจาหน่าย การประชาสัมพันธ์ การติดต่อสื่อสารกับผู้ซ้ือที่รวดเร็วและเข้าถึงมากท่ีสุด เป็น
ต้น ซึ่งการที่กลุ่มชุมชนมีการรวมตัวที่เข้มแข็งและมีนักวิชาการท่ีช่วยในการสนับสนุนเป็นพ่ีเลี้ยง จะช่วยให้
สามารถพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าชุมชนให้สามารถแข่งขัยในตลาดสากลได้ และยังส่งผลให้กลุ่มสินค้า
ชมุ ชนเหลา่ นั้นเข้มแข็งและพงึ่ พาตนเองไดอ้ ยา่ งย่ังยืน
3. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยคร้งั ต่อไป
งานวิจัยในคร้ังนี้เป็นการวิจัยที่เก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศซ่ึงเป็นเร่ืองที่มีการเ ปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเรว็ จงึ ควรมีการวจิ ัยอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพื่อที่จะได้พฒั นาองค์ความรดู้ ้านเทคโนโลยสี ารสนเทศให้ทันสมัยอยู่เสมอ
ควรมีการนาผลการวิจัยเรือ่ งน้ีไปทดลองใชก้ บั กลุ่มสินค้าชุมชนในจังหวัดอื่นๆ และมีการเปรียบเทียบผลการใช้ใน
แต่ละจังหวัด แต่ละพื้นท่ี เพื่อหาความสมบูรณ์ของรูปแบบการท่ีเหมาะสมท่ีสุด ควรมีการวิจัยท่ี เน้น
กระบวนการพฒั นาจากการวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนรว่ มให้มคี วามชัดเจนเพอ่ื ให้เกิดการพัฒนาอยา่ งยัง่ ยนื
เอกสารอา้ งอิง
ภาษาไทย
กิตติ สิรพิ ลั ลภ. (2543). “การตลาดอิเลก็ ทรอนกิ ส์.” วารสารบริหารธุรกจิ ปที ่ี 23, ฉบับที่ 87
(กรกฎาคม – กนั ยายน 2543) : 43-55.
จนุ ฟจู อิ ริ ะ. (2550). “การเรียนรู้การจัดการอย่างย่ังยืนจากกล่มุ ทอผา้ โอทอปหนองหญ้าปลอ้ งในภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย.” กทม: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.
ชญาภัทร์ กอ่ี าร,ิ ธรี วฒุ ิ บุณยโสภณ, ทวศี กั ดิ์ รูปสงิ ห์ และวิเชยี ร เกตุสิงห์. (2559). “รปู แบบการพฒั นาศักยภาพ
ผูป้ ระกอบการวิสาหกจิ ชมุ ชนในกลุ่มชมุ ชนในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง.” วารสารวิชาการพระจอมเกล้า
พระนครเหนือ ปที ี่ 26, ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน 2559) : 141-152.
ชนาสิน ธาราพติ ร. (2556). “การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารเพ่ือการดาเนนิ ธุรกจิ ของ
รา้ นคา้ ปลกี ดง้ั เดมิ .” วารสารวิชาการ คณะบรหิ ารธุรกจิ ปีท่ี 8, ฉบับท่ี 2 (พฤศจกิ ายน 2556) :
225-238.
ชลดิ า โปะ๊ มา. (2550). “การศกึ ษาศักยภาพของกลมุ่ ผลติ ภณั ฑส์ ินค้าโอทอปในด้านกรผลิตและชอ่ งทางการจัด
จาหนา่ ย.” มหาวิทยาลยั บรู พา.
2369
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ Veridian E-Journal, Silpakorn University
ปีท่ี 10 ฉบบั ท่ี 3 เดือนกนั ยายน – ธนั วาคม 2560 ISSN 1906 - 3431
ชูศรี เสรีรักษ์ และคณะ (2552). “แนวทางการพฒั นาวิสาหกิจชมุ ชนกองทุนฟน้ื ฟอู าชีพเกษตรหลังการพักชาระ
หน้ี ตาบลหว้ ยนาง อาเภอหว้ ยยอด จงั หวดั ตรัง.” สานักงานเกษตรจังหวัดตรังกรมสง่ เสริมการเกษตร.
ธันยมยั เจยี รกลุ . (2557). “ปญั หาและแนวทางการปรับตัวของ OTOP เพ่ือพรอ้ มรบั การเปดิ AEC.”
วารสารนักบรหิ าร ปที ี่ 34, ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2557) : 177-191.
นันทน์ ภัส พงศ์โภคนิ สถิต. (2552). “การบริหารจัดการของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน อาเภอเมืองลาปาง
จงั หวดั ลาปาง”. วทิ ยานิพนธร์ ัฐประศาสนศาสตมหาบัณฑติ สาขารัฐประศาสนศาสตร์
บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร.
มหาวทิ ยาลัยราชภัฎนครราชสมี า, คณะวิทยาการจัดการ. (2552). “โครงการการพฒั นาและถา่ ยทอด
ความสามารถทางการแข่งขันของวสิ าหกจิ ชมุ ชนด้านการท่องเท่ยี วทางวัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญา
ท้องถิ่นบนพ้นื ฐานของความพอเพียงของหมู่บ้านสินค้าหนึง่ ตาบล หนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ (OTOP)
จังหวัดนครราชสีมา” (รายงานวิจัย). นครราชสีมา: มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครราชสีมา.
มนิ ระดา โคตรศรีวงค์ และสถาพร มงคลศรสี วสั ด.์ิ (2559). “การพัฒนาวิสาหกจิ ชมุ ชนสคู่ วามสาเร็จ กรณศี กึ ษา
กลุม่ ทอผา้ ไหมบ้านหวายหลมึ ตาบลมะบ้า อาเภอทุ่งเขาหลวง จงั หวดั รอ้ ยเอด็ .”
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ
ศลิ ปะ ปีท่ี 9, ฉบับที่ 3 (กนั ยายน – ธันวาคม 2559) : 1632-1645.
ยุทธจักร พรมช่วย (2555). “ความสาเรจ็ ในการพัฒนาวิสาหกิจชมุ ชน : กรณีศกึ ษากลุ่มทอผ้าไหมแพรวา
บ้านโพน ตาบลโพน อาเภอคามว่ ง จังหวดั กาฬสนิ ธุ์.” การศกึ ษาอิสระปริญญารฐั ประศาสนศาสตร
มหาบณั ฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถนิ่ วทิ ยาลยั การปกครองทอ้ งถิ่น มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น.
ราชบัณฑิตสถาน. (2546). “พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542.” พมิ พ์ครั้งที่ 10. กรงุ เทพฯ:
สานักพิมพ์นานมีบคุ๊ สพ์ ับลิเคชน่ั .
สานักงานพฒั นาชุมชนจังหวดั ปทุมธานี. (2555). “สดุ ยอดหนึ่งตาบลหน่ึงผลติ ภัณฑไ์ ทย.” พมิ พค์ รัง้ ที่ 1.
ปทุมธาน:ี ม.ป.ท.
สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ. (2559). “แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม
แหง่ ชาติ ฉบบั ท่สี บิ สอง พ.ศ. 2560 – 2564.” เขา้ ถึงเมือ่ 3 มถิ ุนายน 2560. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=6422.
สานักสง่ เสริมภูมิปัญญาท้องถ่นิ และวสิ าหกจิ ชุมชน กรมพฒั นาชุมชน กระทรวงมหาดไทย. (2557).
เข้าถงึ เมื่อ 3 กุมภาพนั ธ์ 2559. เขา้ ถึงได้จาก http://www.cep.cdd.go.th.
สุดาวัลย์ ขันสงู เนิน. (2559). “ปจั จัยทมี่ ผี ลกระทบตอ่ การตดั สนิ ใจประมูลสินคา้ ผา่ นระบบพาณิชย์
อเิ ล็กทรอนิกส์.” เขา้ ถึงเมื่อ 2 ธนั วาคม 2559 เข้าถงึ ได้จาก
http://www.research.rmutt.ac.th/archives/977.
2370
Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ
ISSN 1906 - 3431 ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 3 เดอื นกันยายน – ธันวาคม 2560
สนุ ิษา กลน่ิ ขจร. (2558). “การพัฒนาศกั ยภาพวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกประคบสมุนไพรบ้านเขานาใน
ตาบลต้นยวน อาเภอพนม จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี.” Veridian E-Journal, Silpakorn University
ฉบับภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ ปที ี่ 8, ฉบับท่ี 2
(พฤษภาคม – สงิ หาคม 2558) : 2643-2655.
สดุ ใจ ผอ่ งแผ้ว และนุจรี ภาคาสัตย์. (2559). “รปู แบบความสามารถทางการแข่งขันของผปู้ ระกอบการ OTOP ท่ี
เปน็ SEMs ในประเทศไทย.” Veridian E-Journal, Silpakorn Universityฉบบั ภาษาไทย
สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ ปที ่ี 9, ฉบบั ท่ี 3 (กนั ยายน – ธันวาคม 2559) :
1659-1675.
อษุ ณีย์ พากประยรู . (2551). “สภาพและปัญหาการสื่อสารการตลาดของธุรกิจหน่งึ ตาบลหนึ่งผลิตภัณฑใ์ นจังหวัด
อุตรดติ ถ์.” สาขานิเทศศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยแม่โจ้.
ภาษาตา่ งประเทศ
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). “Determining Sample Size for Research Activities”.
Educational and Psychological Measurement. 30(3): 607-610.
Marquardt, J.M. (1996). “Building the learning organization: A systems approach to quantum
improvement and global success.” New York: McGraw-Hill.
Rogers, E. M. (1962). “Diffusion of Innovations.” New York: Division of Macmillan Publishing.
Suh, Y., & Kim, M. (2014). “Internationally leading SMEs vs. internationalized SMEs: Evidence of
success factors from South Korea.” International Business Review Volume 23, Issue 1
(February 2014) : 115-129.
thaitambon. (2014). thaitambon. Accessed February 4. Available from http://www.thaitam
bon.com.
Watkins, K.E., Marsick, V.J. (1993). “Sculpting the learning organization lesion in the art and
science of systemic change.” New York: Jossey-Bass Inc.
2371