เชียงใหม่ จัดทำ โดย นางสาว ชฎาพร โมทิม ม..5/12 เลขที่13
เชีย ชี งใหม่เ ม่ มือ มื งเหนือ ที่หลายๆคนรู้จั รู้ ก จั กันเป็น ป็ อย่า ย่ งดี ถ้าพูดถึงภาคเหนือต้องนึกถึงเชีย ชี งใหม่เ ม่ ป็น ป็ อันแน่ เป็น ป็ เมือ มื งที่เจริญริมีนั มี กท่องเที่ยวไม่ข ม่ าดสาย และมีแ มี ต่สิ่งสิ่น่าสนใจ เช่น ช่ อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ทั้ง ทั้ ธรรมชาติ หรือ รื ว่า ว่ จะเป็น ป็ ห้า ห้ งสรรพสินสิค้า และ เสน่ห์อี ห์ อี กหนึ่งอย่า ย่ งคือผู้คผู้ นในเมือ มื งเชีย ชี งใหม่ มีนิ มี สัย สั น่ารัก รั เป็น ป็ กันเองกับนักท่องเที่ยว
เริ่มริ่ ในวัน วั หยุดยาวช่ว ช่ งเทศกาลปีใปี หม่ วัน วั ที่ 06 มกราคม พ.ศ.2566 เราได้เ ด้ ดินดิทางไปจัง จั หวัด วั เชีย ชี งใหม่ และไปที่ “พิพิพิธพิภัณฑ์ศิลปะร่ว ร่ มสมัย มั ใหม่เ ม่ อี่ยม” เพื่อ พื่ เข้า ข้ ชมผลงานศิลปะของศิลปินปิต่างๆ ซึ่ง ซึ่ พิพิพิธพิภัณนี้ ได้ร ด้ วบรวมผลงานไว้ห ว้ ลากหลาย ให้ค ห้ นที่ชื่น ชื่ ชอบผลงานศิลปะเข้า ข้ มาศึกษา เรีย รี นรู้ และชมผลงาน
โดยผลงานส่ว ส่ นใหญ่ใญ่ นพิพิพิธพิภัณฑ์ศิลปะร่ว ร่ มสมัย มั ใหม่เ ม่ อียม จะเป็น ป็ ผลงานที่สื่อ สื่ ถึงมนุษ นุ ย์เ ย์ป็น ป็ ส่ว ส่ นใหญ่ โดยผลงานบางชิ้นชิ้ ไม่ไม่ ด้เ ด้ กิดจากการวาดและลงสี แต่ใช้เ ช้ ทคนิคนิทำ ผลงานจากเทปมาสร้า ร้ งลวดลาย นอกจากนั้น นั้ ยัง ยั มีผ มี ลงานที่ทำ จากกระดาษหนัง นั สือ สื พิมพิพ์เ พ์ หลือใช้ และเหลือเชื่อ ชื่ ว่า ว่ ศิลปินปิสร้า ร้ งสรรค์ผลงาน ออกมาได้ส ด้ วยงามและมีค มี วามหมายมาก
หลังจากนั้น นั้ เราเดินดิทางออกมาจาก พิพิพิธพิภัณฑ์ศิลปะร่ว ร่ มสมัย มั ใหม่เ ม่ อี่ยม เพื่อ พื่ ไปยัง ยั ห้า ห้ งสรรพสินสิค้า เซลทรัล รั เฟสติวัล วั เชีย ชี งใหม่ เราเดินดิทางด้ว ด้ ยรถโดยสารที่เรีย รี กผ่า ผ่ นแอปพลิเคชั่น ชั่ ทำ ให้เ ห้ ราได้รู้ ด้ ว่ รู้ า ว่ คนเชีย ชี งใหม่ขั ม่ บ ขั รถไวมาก และรถในเชีย ชี งใหม่ ก็เยอะเช่น ช่ กัน เมื่อ มื่ ถึง เราได้แ ด้ วะถ่ายรูป รู กับตู้ถ่ ตู้ ถ่ ายรูป รู และขึ้น ขึ้ ไปทานอาหาร ที่ร้า ร้ นบอนชอน ร้า ร้ นอาหารบางร้า ร้ นไม่มี ม่ ใมี นจัง จั หวัด วั ลำ ปาง เสีย สี ดายมาก อาหารที่นี้อ นี้ ร่อ ร่ ยจริงริๆ หลังจากนั้น นั้ เราลงมาเลือกซื้อ ซื้ เสื้อ สื้ ผ้า ผ้ให้น้ ห้ อ น้ งชาย และเดินดิทางกลับจัง จั หวัด วั ลำ ปาง
หลังจากที่เราเลือกซื้อ ซื้ และทานอาหารเรีย รี บร้อ ร้ ย เราก็ได้ล ด้ งมารอที่จุดรอรถ เพื่อ พื่ รอพ่อ พ่ ของเพื่อ พื่ นมารับ รั ระหว่า ว่ งรอเราได้ม ด้ องเห็น ห็ รถหลากหลายยี่ห้ ยี่ อ ห้ บนท้องถนน ทำ ให้รู้ ห้ ว่ รู้ า ว่ จัง จั หวัด วั นี้เ นี้ จริญริจริงริๆ และหลังจากขึ้น ขึ้ รถ เดินดิทางออกจากจัง จั หวัด วั เชีย ชี งใหม่ทั้ ม่ ทั้ ง ทั้ เพื่อ พื่ น และเราก็ต่างพลอยหลับ จนถึงที่หมาย
ต่อมาในวัน วั ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2566 วัน วั หยุดสุด สุ สัปสั ดาห์ข ห์ องการเรีย รี น เราได้ได้ปเที่ยวกับครอบครัว รั ที่จัง จั หวัด วั เชีย ชี งใหม่ โดยเริ่มริ่เดินดิทางในช่ว ช่ งเช้า ช้ แวะทานอาหารร้า ร้ นสะดวกซื้อ ซื้ และมุ่ง มุ่ หน้า น้ไปที่”ห้ว ห้ ยตึงเฒ่า ฒ่ ” เราใช้เ ช้ วลาเดินดิทางอยู่น ยู่ าน เพราะเราเดินดิทางช่ว ช่ งวัน วั หยุด
พอขับ ขั ถึงห้ว ห้ ยตึงเฒ่า ฒ่ เราก็แวะจ่า จ่ ยค่าเข้า ข้ และเมื่อ มื่ ผ่า ผ่ นเข้า ข้ไปพวกเราเห็น ห็ คนเยอะมาก มีร้ มี า ร้ นอาหารริมริน้ำ เป็น ป็ จำ นวนเยอะมาก แต่พวกเราไม่ไม่ ด้แวะทาน และไปทานอาหารข้า ข้ งนอกแทน เหตุเ ตุ พราะคนมีจำ มี จำนวนเยอะมากเกินไป และที่นี่ก นี่ ว้า ว้ งใหญ่ม ญ่ าก มีสิ่ มี งสิ่ที่น่า น่ สนใจอีก มากมาย
หลังจากที่เราขับ ขั ผ่า ผ่ นเข้า ข้ไปจอดด้า ด้ นใน ทางด้า ด้ นในมีส มี วนหญ้า ญ้ฟางที่นำ มาทำ เป็น ป็ รูป รู สัต สั ว์ต่ ว์ ต่ างๆ มีห มี ลากหลายแบบ ซึ่ง ซึ่ บางอันใหญ่จ ญ่ น สามารถปีน ปี ขึ้น ขึ้ ไปถ่ายรูป รู ได้ โดยยัง ยั มี หย่อ ย่ มผัก ผั สลัด และสะพานไม้ไม้ ผ่ วิว วิ ถ่ายรูป รู มากมายอีกด้ว ด้ ย
นอกจากนั้น นั้ ยัง ยั มีเ มี รือ รืปั่น สิ่ง สิ่ นี้ฮ นี้ อตฮิตมาก จากนัก นั ท่องเที่ยว เพราะถ้าปั่นไปคุณ คุ จะได้ พบกับวิว วิ ที่สวยงามสบายตาเป็น ป็ มากนัก นั แถมยัง ยั มีส มี ะพานทอดออกไปทางน้ำ สวยงามมาก เป็น ป็ จุดถ่ายรูป รู สุด สุ ฮิต
นอกจากนั้น นั้ ยัง ยั มีร มี ถ เอทีวี มีทั้ มี ทั้ ง ทั้ ของเด็ก ด็ และ ผู้ใผู้หญ่และมีท มี างสำ หรับ รั ขับ ขั ขึ้น ขึ้ เฉพาะด้ว ด้ ย สิ่งสิ่นี้คนสนใจน้อยเพราะรถเอทีวีค่ วี ค่ อนข้า ข้ งขับ ขั ยาก แต่ก็ยัง ยั มีจั มี ก จั รยานยืม ยื เผื่อ ผื่ สำ หรับ รั คน อยากชมวิววิน้ำ อยู่
และเมื่อ มื่ ขับ ขั เข้า ข้ไป จะเจอฟาร์ม ร์ แกะขนาดใหญ่ ฟาร์ม ร์ ที่นี่เ นี่ ลี้ยงแกะระบบเปิด ปิ ไม่ไม่ ด้อ ด้ ยู่ใยู่ นคอก ขนแกะนุ่มนุ่ มาก ดัง ดั ปุยนุ่นนุ่ แถมยัง ยั มีจุ มี จุ ดถ่าย รูป รู แกะขนาดยัก ยั ษ์อีก และยัง ยั มีอ มี าหารขาย เพื่อ พื่ป้อ ป้ นแกะ
หลังจากนั้น นั้ เราและครอบครัว รั ขับ ขั ออกมาทาน อาหารข้า ข้ งนอก ร้า ร้ นนั้น นั้ คือก๋วเตี๋ยวปลาเสมิง มิ เป็น ป็ ร้า ร้ นประจำ ของครอบครัว รั กินมาตั้ง ตั้ แต่สมัย มั เรายัง ยั เด็ก ด็ ช่ว ช่ งตอนอยู่เ ยู่ ชีย ชี งใหม่ ร้า ร้ นนี้ข นี้ ายมานานมาก
ก่อนกลับเราได้แ ด้ วะเยี่ย ยี่ มชมสวนสัต สั ว์เ ว์ ชีย ชี งใหม่ พาน้องเข้า ข้ไปชมอควาเรีย รี ม มีสั มี ต สั ว์น้ำ ว์ น้ำ น้อยใหญ่ ให้ตื่ ห้ ตื่ นตาตื่นใจ และได้เ ด้ รีย รี นรู้ ตลอดทางเดินดิ ไม่มี ม่ เ มี บื่อ บื่ เลย ส่ว ส่ นตัวแล้วเราเป็น ป็ คนไม่ช ม่ อบดำ น้ำ อควาเรีย รี มคือสิ่งสิ่ที่ตอบโจทย์เ ย์ ราเลยล่ะ เพราะเราชอบดูป ดู ลา
ก่อนกลับเราได้แ ด้ วะซื้อ ซื้ ขนม ชื่อ ชื่ ร้า ร้ นว่า ว่ บ้า บ้ นอาจารย์ เป็น ป็ ร้า ร้ นขนมสมัย มั ใหม่ มีแ มี ต่ขนมน่าสนใจ เมื่อ มื่ ครอบครัว รั เรามาเชีย ชี งใหม่ ไม่เ ม่ คยไม่แ ม่ วะร้า ร้ นนี่ กลายเป็น ป็ ธรรมเนีย นี มไปแล้วสิ
หาดใหญ่ ญ่ จัด จั ทำ โดย นางสาว สุท สุ ธดา อริยริะเครือ รื ม.5/12 เลขที่37
สงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ ตอนล่าง มีประชากรมากเป็น อันดับ 2 ของภาคใต้ (รองจากน ครศรีธรรมราช) และมีขนาดพื้นที่ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ (รองจากสุราษฎร์ธานี และ นครศรีธรรมราช) มีจังหวัดที่อยู่ ติดกันได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา สตูล และยัง มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐไทรบุรี และรัฐปะลิสของประเทศมาเลเซีย ประวัติ วั ติจัง จั หวัด วั สงขลาและอำ เภอหาดใหญ่
วันที่29 สิงหาคม 2565 คือวันแรกที่เริ่มออกเดิน ทางจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยไปสนามบิน เชียงใหม่ เราไปที่สงขลาเป็นเวลา5วัน4คืน พอถึงสนามบินที่หาดใหญ่ก็มีทางสภานักเรียน ของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยมารอรับขึ้นรถตู้ เพื่อที่เราจะได้ไปเจอเพื่อนๆและโฮสที่เราจะไปนอน ด้วย เพื่อนๆทุกคนได้เตรียมน้ำ และขนมมาไว้ให้พวกเรา หลังจากที่ทักทายกันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไป ตามโฮสที่ได้จัดแจงไว้ และพักผ่อนเพื่อเตรียมตัว ทำ กิจกรรมในวันต่อไป
โรงเรียรีนหาดใหญ่วิท วิ ยาลัย ลั โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เป็นโรงเรียน มัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำ นักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ที่มีชื่อเสียงลำ ดับต้นๆของประเทศ มีเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน โดยขุนนิพัทธ์จีนนคร ต้นตระกูลจิระนคร เป็นผู้ บริจาคที่ดินสร้างโรงเรียน จำ นวน 14 ไร่ และ เทศบาลนครหาดใหญ่ บริจาคเพิ่มเติมอีก 2 งาน รวมเป็น 14 ไร่ 2 งาน ประกอบด้วยอาคารเรียน 8 หลัง มีห้องเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 42 ห้องเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 57 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 100 ห้องเรียน มีนักเรียน ประมาณ 5,500 คน
สัญลักษณ์ประจำ โรงเรียน ตราประจำ โรงเรียน คือ ตรีจักร ตรี สัญลักษณ์แห่งความเป็น ไทย คือ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จักร ความยิ่งใหญ่ ความกล้าหาญ ความคม อันจะปกป้อง สถาบันทั้งสามสีประจำ โรงเรียน คือ ฟ้าแดง ฟ้า ความดีงามอันสูงส่งเป็นเลิศ แดง ความเข้มข้นในความรักสถาบัน ต้นไม้ประจำ โรงเรียน คือ ต้นจามจุรี คติพจน์ประจำ โรงเรียน คือ สุวิชาโน ภวํ โหติ (ผู้รู้ดีเป็นผู้ เจริญ) ปรัชญาของโรงเรียน คือ เรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรม พระพุทธรูปประจำ โรงเรียน คือ พระพุทธลีลาพิลาศ เทพประจำ โรงเรียน คือ พระพิฆเนศวร พระพิฆเนศวร เทพผู้เป็นเลิศทางศิลปวิทยาการทุกแขนง เป็น พระผู้เแทนของสถาบันครู ตามสัจจะปฏิญาณที่ว่า "ผู้ใดบูชา ครู เป็นมงคลแก่บุคคลนั้น" คำ ปฏิญาณ เราคนไทย ใจกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรานักเรียนจะต้องประพฤติตน ให้อยู่ในระเบียบวินัยของ โรงเรียน มีความซื่อ ซื่ สัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น เรานักเรียน จะต้องไม่กระทำ ตนให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตนเอง และผู้อื่น
วันที่30 สิงหาคม 2565 เราต้องตื่นเช้าเพื่อที่จะไปร่วมทำ กิจกรรมที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เราได้เข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมนักเรียนคนอื่นๆและสภา นักเรียนของหาดใหญ่ ที่หาดใหญ่จะเคารพธงชาติเวลา ประมาณ7.45 และเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธงก่อน8.00 ซึ่ง ซึ่ เรารู้ สึกว้าวมากๆเพราะกิจกรรมหน้าเสาธงของโรงเรียนหาดใหญ่ น้อยมากๆ หลังจากทำ กิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จ ทางสภานักเรียนของ หาดใหญ่ก็ได้พาเราไปพิธีเปิดงาน โดนมีการแสดงรำ ต่างๆ และทางเราได้เตรียมกิจกรรมเล็กๆน้อยๆให้ทางหาดใหญ่คือ ทำ ข้าวแต๋นกับทำ ตุงกระดาษ ทุกคนเอนจอยกับข้าวแต๋นและการทำ ตุงมากๆๆ
หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรม ตอนเช้าไปเรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายทางโฮสของเราได้ พามากกินโดนัทร้านอร่อย ใกล้ๆโรงเรียน และพอกิน เสร็จก็พามาวัดเขาคอหงส์ เราได้ไหว้พระทำ บุญและเดิน เที่ยวกันเรียบร้อย ก็ต่อด้วยไปปั่นเป็ดที่สวน สาธารณะ สนุกมากๆๆๆ 1คันสามารถนั่งได้1-2คน เรานั่งกับโฮสเราช่วยกันปั่น เหนื่อยแต่สนุก เราปั่นกัน อยู่ได้สักพักก็ขึ้นมาระบายสี เซรามิกต่อ เรานั่งระบายกัน ริมน้ำ บรรยากาศดีมากๆ หลังจากจบกิจกรรมที่สวน สาธารณะทางโฮสเราก็พาไป กินชาบูต่อกับโฮสบ้านอื่นๆ หลังจากกินเสร็จเราก็กลับ บ้านโฮสและแยกย้ายกันพัก ผ่อนเพื่อเตรียมตัวทำ กิจกรรมในวันพรุ่งนี้
วันที่31 สิงหาคม 2565 เราตื่นเช้าอีกเหมือนเดิม วันนี้เป็นอีกวันที่ตื่นเต้นเพราะเป็นวันที่เราจะได้ไปทดลองเรียน กับเพื่อนๆโรงเรียนหาดใหญ่ เราสามรถเลือกได้ว่าอยากเรียน สายไหนห้องไหน เราได้เรียนภาษาพม่าด้วย ที่นี่มีหลายภาษา มากๆเป็นอีกเรื่องที่น่าประทับใจ คาบแรกเราได้ไปแนะนำ ตัว หน้าชั้น ชั้ เรียนซึ่ง ซึ่ ตื่นเต้นมากๆ แต่เพื่อนๆทุกคนในห้องน่ารักกัน มากและคุณครูที่สอนก็น่ารัก มีเรื่องที่น่าแปลกใจคือโรงเรียนนี้ ไม่ต้องถอดรองเท้าขึ้นตึกและใส่เข้าห้องเรียนได้เลย หลังจาก เราได้ไปลองเรียนกับทางหาดใหญ่ช่วงเช้าแล้ว ช่วงบ่ายพวก เราทางบุญวาทย์ก็ได้ไปเตรียมตัวเพื่อที่จะแสดงกิจกรรมที่เรา ได้ซ้อ ซ้ มและเตรียมกันมา หลังจากแสดงเสร็จเราก็ได้ดูการ แสดงรำ มโนราห์ที่ทางหาดใหญ่ได้จัดเตรียมไว้
หลังจากดูการแสดงจนจบ ทางสภานักเรียนของหาดใหญ่ ได้นำ ผ้ามาปิดตาพวกเรา และให้เราจับมือกันเป็นวงกลม พวกเขาได้จัดเตรียมเซอไพรส์ให้ ใช้เวลาเตรียมอยู่สักพัก แล้วก็ให้เราเปิดผ้าปิดตา เราประทับใจกับสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้ มากๆ ทั้งประทับใจทั้งดีใจ ทางสภานักเรียนของหาดใหญ่ได้ ร้องเพลงให้พวกเราด้วย พวกเราทุกคนซึ้ง ซึ้ กันมากๆ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจอีกวันเลยก็ว่าได้ และหลังจากจบกิจกรรมเราก็กลับบ้านโฮสไปนอนพักผ่อนเพื่อ ทำ กิจกรรมวันต่อไป
ก่อนจะไปดูทริปวันถัดไปเรามาดูประวัติของการ แสดงรำ มโนราห์กันก่อน มโนราห์, มโนห์รา หรือโดยย่อว่า โนรา เป็นชื่อศิลปะการแสดงพื้น เมืองอย่างหนึ่งของภาคใต้ มีรากศัพท์ที่มาจากคำ ว่า “นระ” เป็น ภาษาบาลี – สันสกฤต แปลว่ามนุษย์ เพราะการร่ายรำ แต่เดิม แล้ว การรำ โนราจะรำ ให้เสมือนกับท่าร่ายรำ ของเทวดา เป็นศิลปะการละเล่นอีกอย่างหนึ่งของชาวปักษ์ใต้ซึ่ง ซึ่ มีมาแต่ โบราณและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายก็คือ “มโนห์รา” หรือที่ชาว ปักษ์ใต้นิยมพูดตัดคําให้สั้นลงว่า “โนรา” มโนห์ราหรือในรา เป็นการเล่นที่นิยมกันมากทั่วภาคใต้ไม่ว่างานเทศกาล นักขัต ฤกษ์หรืองานมงคลต่าง ๆ ก็มักจะมีมโนห์รามาแสดงด้วยเสมอ มโนห์ราเป็นการแสดงทํานองเดียวกับละครชาตรีที่เล่นกันแพร่ หลายในภาคกลาง ที่กล่าวว่าเหมือนกันก็คือมีการร่ายรํา มี บทร้อง บทเจรจาและการแสดงเป็นเรื่องราวก็มี
วันที่1 กันยายน 2565 เป็นวันที่เราจะได้ไปชมสถาน ที่ต่างๆในหาดใหญ่และเข้า ตัวเมืองสงขลา เราได้ศึกษาแหล่งเรียนรู้ วัด เขาเก้าแสน มัสยิดกลาง สงขลาและได้ไปหาดสมิหลา อีกด้วย ภาพที่2คือสะพานติณสูลา นนท์ เป็นสะพานที่ยาวที่สุด ในประเทศไทย อยู่ในอำ เภอ เมืองสงขลา และอำ เภอสิงห นคร โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำ กระจาย อำ เภอเมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อำ เภอสิงห นคร ความยาวของสะพาน 2 ช่วงแรก 940 เมตร และ 1,700 เมตร ตามลำ ดับ รวม เป็น 2,640 เมตร ก่อสร้าง ขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดำ รง ตำ แหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อ ของจังหวัด
จุดประสงค์ของการสร้างสะพานแห่งนี้ คือ การรองรับการคมนาคม ทางรถยนต์ โดยไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์ซึ่ง ซึ่ มีไม่เพียงพอกับ ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำ ให้การเดินทางต้องใช้เวลา นาน ทั้งเมื่อข้ามฝั่งมาแล้วก็ยังทำ ให้การจราจรติดขัดในตัวเมืองอีก ด้วย ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลจึงมีนโยบายจะพัฒนาจังหวัด สงขลา และอำ เภอหาดใหญ่ให้เป็นเมืองหลัก โดยกรมทางหลวงเป็น เจ้าของโครงการ และบริษัทจากประเทศไต้หวันเป็นผู้ดำ เนินการ ก่อสร้าง เปิดให้ใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2527 สะพานติณสูลานนท์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 4146 ซึ่ง ซึ่ เชื่อมต่อระหว่างทางหลวงหมายเลข 4083 (ระโนด-เขาแดง) กับ ทางหลวงหมายเลข 407 (สงขลา-หาดใหญ่) ชาวจังหวัดสงขลา นิยมเรียกสะพานนี้ติดปากว่า สะพานติณ สะพานป๋าเปรม สะพาน เปรม หรือสะพานเกาะยอ และถือเป็นสถา
แหลมสมิหลา หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แหลมหิน อยู่ใน เขตเทศบาลเมือง มีหาดทรายขาวสะอาด ทิวสนร่มรื่น ชายทะเลเมือง สงขลา ซึ่ง ซึ่ เปรียบเสมือนห้องรับแขกธรรมชาติที่ต้อนรับผู้มาเยือน เรื่อยมาจนปัจจุบันหาดสมิหลาอยู่ทางตอนเหนือของชายทะเลเมือง สงขลาถัดจากแหลมสนอ่อนทอดยาวไปจรดแหลมสมิหลาที่อยู่ท้าย หาดทางด้านใต้ เป็นชายหาดสวยงามน่าเดินเล่นทรายขาวละเอียด น้ำ ไม่ลึกมาก เล่นน้ำ ได้ดี ตลอดแนวจัดเป็นสถานที่พักผ่อนทางวิ่งออก กำ ลังกาย จุดชมวิวที่มีทิวทัศน์ของเกาะหนู เกาะแมวเป็นฉากหลัง มี ปฏิมากรรมรูปนางเงือกนั่งอยู่บนโขดหิน อันเป็นสัญลักษณ์ของ จังหวัดสงขลา บริเวณแหลมสมิหลามีโขดหินขนาดย่อมยื่นลงทะเล หาดทรายขาวละเอียดมากที่เรียกว่า "ทรายแก้ว" โดยรอบบริเวณได้ จัดสวนหย่อมไว้ดูร่มรื่นเหมาะเป็นที่นั่งพักผ่อนยามเย็นและยังมี บริการขี่ม้าริมชายหาดอันสวยงามอีกด้วย มาทำ ความรู้จั รู้ กจั จักจั กับ กั แหลมสมิห มิ ลาเพิ่ม พิ่ มาทำ ความรู้จั รู้ กจั จักจั กับ กั แหลมสมิห มิ ลาเพิ่ม พิ่
รูปปั้น“นางเงือกทอง” สัญลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัดสงขลา ตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมสมิหลา นักท่องเที่ยวนิยมจะไปถ่ายภาพคู่ กับนางเงือกกันเสมอ นางเงือกทองถูกสร้างขึ้นตามนิยายปรัมปรา ของไทยโบราณ ซึ่ง ซึ่ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ได้บอก เล่าไว้ว่า ในวันดีคืนดีนางเงือกจะมานั่งหวีผมบนชายหาดด้วยหวี ทองคำ วันหนึ่งบังเอิญว่ามีชายชาวประมงเดินผ่านมา ทำ ให้นางเงือก ตกใจ รีบหนีลงทะเลไปโดยลืมหวีทองคำ ไว้ ฝ่ายชาวประมงเห็นดังนั้น ก็เก็บหวีทองคำ ไว้และเฝ้าคอยนางเงือกที่หาดนั้นเสมอ แต่นางเงือก ก็ไม่เคยปรากฏกายให้เห็นอีกเลย นางเงือกทองถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ในท่านั่งหวีผม ซึ่ง ซึ่ได้ หล่อขึ้นด้วยบรอนซ์ร ซ์ มดำ โดยฝีมือการออกแบบ ปั้น และหล่อ โดย อาจารย์จิตร บัวบุศย์ ด้วยราคา 60,000 บาทในสมัยนั้นด้วยเงินงบ ประมาณของเทศบาลสงขลา
วันที่2 กันยายน 2565 คือวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่หาดใหญ่และต้อง กลับไปยังโรงเรียนของเรา พวกเราทุกคนใจหายมากๆ ถึงจะเป็นช่วง เวลาสั้นๆที่รู้จักกันแต่รู้สึกว่าพวกเราสนิทกันมากขึ้น ช่วงเช้าของวันนี้เราเข้าร่วมพิธีปิดงานและได้ทำ กิจกรรมกันนิด หน่อยแล้วต้องรีบไปสนามบินเพราะสนามบินไกลจากโรงเรียนพอ สมควร หลังจากถึงสนามบินพวกเราก็ร่ำ ลาเพื่อนๆทุกคนและกลับมายัง โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยโดนสวัสดิภาพ หลังจบทริปเรารู้สึกประทับใจทริปนี้มากๆ เราเป็นคนไม่ค่อยเข้า สังคม เลยทำ ให้เราคิดว่าเพื่อนๆคงไม่มีใครอยากเข้าหา แต่เอาเข้าจริงทัก คนน่ารักกันมากๆ ทำ ให้เราได้มิตรภาพใหม่ๆ ได้เที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ต่างๆ เรารู้สึกชอบทริปครั้งนี้มากจริงๆ เราหวังว่าทางหาดใหญ่จะมาเที่ยวลำ ปางบ้างเหมือนกัน
หาดใหญ่ เมืองแห่งการเรียนรู้ หาดใหญ่ - สงขลา จัดทำ โดย น.ส.ศศิพิมพ์ อินต๊ะสืบ เลขที่ 39 ม.5/12
หาดใหญ่ เมืองสงขลา โซนน่าเที่ยวของภาคใต้ หาดใหญ่ซึ่งเป็นเมืองศูนย์การค้าของสงขลาที่ คึกคัก เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า ร้าน อาหาร มากมาย มาหาดใหญ่สะดวกครบไปทุก อย่าง แต่ถ้าเข้ามาตัวเมืองสงขลา จะพบกับอีก บรรยากาศ ที่มีความสงบไม่วุ่นวาย มีความ คลาสสิค ด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ควร ค่าแห่งการเยี่ยมชม อีกทั้งยังมีหาดสมิหลา สถาน ที่อันมีชื่อเสียง กับรูปปั้นนางเงือกที่อยู่กับสงขลา มานาน มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมความรู้ที่ หาดใหญ่ จะได้ไปที่ไหนบ้าง ไปดูพร้อมๆกันได้เลย
ในวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน พ.ศ.2565 เราได้มา โครงการกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผสานวัฒนธรรมเหนือใต้ เราพี่น้องกัน มาพร้อมกับเพื่อนๆและพี่ๆในคณะกรรมการ สภานักเรียนและคุณครูผู้ควบคุมกิจกรรมนี้ เราเดินทางโดย เครื่องบินมาถึงสนามบินหาดใหญ่ช่วงดึกๆ ประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากนั้นก็มีเพื่อนๆ จากคณะกรรมการสภานักเรียนของ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย มารับเราโดยใช้รถตู้มารับที่สนาม บินไปยังโรงเรียนหาดใหญ่ ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆที่จะได้ไป เจอเพื่อนและเที่ยวที่หาดใหญ่
เราไปถึงที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ซึ่งถือว่าดึกสำ หรับ ชาวลำ ปางอย่างเรา แต่ชาวหาดใหญ่นั้น ไม่เลย เราไปถึงเจอเพื่อนๆคณะกรรมการ รอต้อนรับพวกเราทุกคนเต็มเลย ยัง ไม่ทันได้เยี่ยมชม เราก็ต้องกลับที่พัก เรา ได้พักกับโฮสต์ที่เป็นครู บ้านคุณครูอยู่ ใกล้สนามบิน ห่างจากโรงเรียนประมาณ 10 กิโลเมตร ระหว่างทางกลับ ได้เห็นวิว ของบ้านเมือง เป็นเมืองที่มีแสงตลอด เวลา ครึกครื้นมากๆ ผ่านตลาดจีน ตลาดกลางคืนหลายที่ ที่พักของเรา เหมือนโรงแรม เป็นบ้าน 3 ชั้น
เช้าวันถัดไป เราตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่ะได้เตรียมตัวไปโรงเรียน หาดใหญ่วิทยาลัย เมื่อไปถึง เราก็ได้เยี่ยมชมโรงเรียน โรงเรียน หาดใหญ่วิทยาลัย เป็น โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัด สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ที่ มีชื่อเสียงลำ ดับต้นๆของประเทศ มีเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน โดยขุนนิ พัทธ์จีนนคร ต้นตระกูลจิระนคร เป็นผู้บริจาคที่ดินสร้างโรงเรียน จำ นวน 14 ไร่ และ เทศบาลนครหาดใหญ่ บริจาคเพิ่มเติมอีก 2 งาน รวมเป็น 14 ไร่ 2 งาน ประกอบด้วยอาคารเรียน 8 หลัง มี ห้องเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 42 ห้องเรียน ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย 57 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 100 ห้องเรียน มีนักเรียน ประมาณ 5,500 คน
ด้านหน้าปลูกต้น จามจุรี จำ นวน 3 ต้น ไว้เป็นต้นไม้ประจำ โรงเรียน ด้านหน้าโรงเรียนเป็นสนามฟุตบอลใช้แข่งขันกีฬา อำ เภอ หาดใหญ่ โรงเรียนเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อได้ครองถ้วยรางวัลชนะเลิศ ฟุตบอลกีฬา จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2492 ต่อมาได้ตั้งชื่อถ้วย ใบนี้ว่า ถ้วยตรี-จักร เป็นสัญลักษณ์กีฬาเด่นของโรงเรียน โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2488 ชื่อว่า โรงเรียนหาดใหญ่ อักษรย่อ ส.ข.3 เป็นโรงเรียน มัธยมศึกษาโรงที่ 3 ของ จังหวัดสงขลา ในระยะต้นเปิดรับเฉพาะ นักเรียนชาย จึงเรียติดปากกันว่า โรงเรียนมัธยมชาย หรือ มอชาย มีชื่อย่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า มชญ.
หลังจากได้ทำ กิจกรรมที่โรงเรียน เพื่อนที่โรงเรียนได้พาเราไป เที่ยวที่ห้าง เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ โดยการขึ้นรถสองแถว จากโรงเรียนไปที่ห้าง ถือว่าค่อนข้างไกล แต่ค่าโดยสารถู กมากๆ ราคา 15 บาท ต่อคน เพราะว่าอาจจะเป็นนักเรียนด้วย คนขับเลยลดให้ เมื่อถึงที่ห้างก็พบว่า ห้างใหญ่มาก และ มีหลายชั้น เป็นห้างที่ทุก คนมากัน เพราะมีครบทุกอย่าง ทั้งอาหารและแหล่งช็อปปิ้ง ต่างๆ อีกทั้งยังมีลานกิจกรรมขนาดใหญ่ไว้ใช้เป็นพื้นที่จัดงานอี เว้นท์ต่างๆ เช่น ลานซ้อมเต้น เพื่ออำ นวยความสะดวกให้ ผู้คนมาฝึกซ้อมเต้นได้ และที่ชอบที่สุดก็คือ มีร้านอาหารดังๆ มากมาย ที่เราไม่เคยกินเช่น บอนชอน หรือ โคอิเตะ(KOI) อีก ทั้งยังมี ร้านเสื้อผ้า H&M ที่หาได้ที่ชั้น 1 ซึ่งใหญ่มากๆ มี เสื้อผ้าอินเทรนด์มากมายให้เลือกซื้อ ซึ่งเราไปเดินชม บรรยากาศเฉยๆ ชั้นใต้ดินมี Food Court ราคาสามารถจับ ต้องได้ เราเดินจนเหนื่อยเพราะมันทั้งกว้าง และ มีหลายชั้น
สถานที่ ที่เราได้ไปต่อจากนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อ มาเยือนหาดใหญ่ ซึ่งก็คือ ตลาดกรีนเวย์ (Greenway Night Market) ที่นี่จะเป็นตลาดกลางคืน อยู่ในตัวเมืองหาดใหญ่ แหล่ง รวมร้านเสื้อผ้าหลากหลายแนว และศูนย์อาหารที่มีให้เลือกหลาย ร้านมากมาย เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 17:00- 22:00 น. โซนของกิน และ โซนช็อปปิ้งแยกกันได้อย่างชัดเจน เร่ได้ ไปเดินที่โซนช็อปปิ้งก่อน เจอเสื้อผ้าหลากหลายแนว ส่วนใหญ่จะ เป็นเสื้อผ้าผู้หญิง ราคาค่อนข้างที่จะถูก สามารถหาซื้อของได้ที่นี่ โซนอาหาร มีอาหารหลากหลาย ที่ชอบมากที่สุดก็คือ ปลาหมึก ย่าง อร่อยมากๆเลย ตลาดกรีนเวย์ รอบๆมีร้านอาหารมากมายเช่น ร้านย่างเนย อยู่ติดกับทางเข้า ซึ่งถือว่าสะดวกและหลากหลายมากๆ
ทางกลับที่พัก เราได้แวะร้านบัวลอยแป๊ะอ้วน ครูบอกว่าเป็น ร้านดัง พอเห็นคนในร้านที่ค่อนข้างจะใหญ่แน่นเอี๊ยด ก็รู้สึก ได้ทันทีเลยว่ามันคงต้องอร่อยมากแน่ๆ คนถึงเยอะขนาดนี้ เราไม่ได้นั่งกินที่ร้านเพราะคนเยอะเกินไปคงรอไม่ได้ เลยสั่ง กลับบ้าน เมนูที่เรากินคือ บัวลอยเย็นใส่ทับทิมกรอบ และ นมสดเย็น เราว่ามันรสชาติอร่อย แต่มันสามารถหาซื้อกิน ได้ทั่วไป แต่ถ้ามีครั้งหน้า จะไปอีกแน่นอนเพราะยังไม่ได้ลอง กินเมนู เฉาก๋วยนมสดภูเขาไฟ+ทับทิมกรอบ เห็นในรีวิวบอก อร่อยมาก ครั้งหน้าต้องไปลองให้ได้
วันถัดไป เราก็ได้ไปทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ที่หาดใหญ่ เราไปโดยรถ โรงเรียนหาดใหญ่ เป็นบรรยากาศแบบ out door สถานที่แรกที่ไป ก็คือ ผ้าทอเกาะยอ (กลุ่มราชวัตถ์แสงส่องหล้า 1) เราข้ามฟาก ไปเกาะยอด้วย แพรขนานยนต์ ผ้าเกาะยอเป็นผ้าทอพื้นเมืองของชาวบ้านในตำ บลเกาะยอ อำ เภอ เมือง จังหวัดสงขลา เป็นผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัด สงขลา ที่มีความประณีตและสีสันที่สวยงามโดยมีการทอยกด อกที่มีลวดลายอ่อนนุ่ม ถือเป็นสัญลักษณ์หัตถกรรมพื้นบ้าน ของภาคใต้และยังเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำ บลหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ OTOP ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ปัจจุบัน ผ้าทอเกาะยอ ยังคงมีการสืบทอดกันมายังรุ่นลูกรุ่น หลานชาวเกาะยอ ด้วยการตั้งเป็นกลุ่มอาชีพ คือ กลุ่มราชวัตถ์ แสงส่องหล้า ที่ ๑ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันถ่ายทอดประสบการณ์ และช่วยแปรรูปผ้าทอเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
หลังจากได้ไปศึกษาแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าทอ เราก็ได้นั่งรถข้าม สะพานติณสูลานนท์ ซึ่ง สะพานติณสูลานนท์ เป็น สะพาน คอนกรีต ที่ ยาวที่สุดในประเทศไทย อยู่ใน อำ เภอเมืองสงขลา และ อำ เภอสิงหนคร โดยเชื่อม เกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำ กระจาย อำ เภอเมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อำ เภอสิงหนคร ความยาวของสะพาน 2 ช่วงแรก 940 เมตร และ 1,700 เมตร ตาม ลำ ดับ รวมเป็น 2,640 เมตร จุดประสงค์ของการสร้างสะพานแห่งนี้ คือ การรองรับ การ คมนาคม ทาง รถยนต์ โดยไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์ซึ่งมีไม่ เพียงพอกับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเชื่อที่คนพูด ต่อๆกันมาก็คือ เมื่อข้ามสะพานนี้ ถ้ากลั้นหายใจตั้งแต่ต้นสะพาน ถึงปลายสะพาน คำ ขอพรจะเป็นจริง ซึ่งเราทำ ไม่ได้ เพราะสะพาน ค่อนข้างที่จะยาวมาก และ ชาวจังหวัดสงขลานิยมเรียกสะพานนี้ ติดปาก ว่า "สะพานป๋าเปรม" "สะพานติณ" หรือ "สะพานเปรม" และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัด
หลังจากข้ามฟาก เราก็ได้ไปอีกหนึ่งสถานที่ ที่น่าสนใจคือ พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา สถาบันทักษิณคดีศึกษาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัด แสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมท้องถิ่น ศิลปหัตถกรรม ตลอด จนประวัติศาสตร์ โบราณคดี อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงให้ เห็นภูมิปัญญาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งมี เอกลักษณ์เฉพาะ การจัดแสดงใช้วัตถุของจริงประมาณ 50,000 ชิ้น นอกจากนี้ยังมี ผสมผสานกับสื่อหลากชนิด อาทิ หุ่นจำ ลอง เสียง ภาพ วิดีทัศน์
พิพิธภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 4 อาคาร โดยแต่ละอาคารจะแบ่งออกเป็น ห้อง ๆ แสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ โบราณวัตถุที่เกิดจาก ภูมิปัญญา ของคนในท้องถิ่น เครื่องประดับศาตราวุธที่ใช้กันในภาคใต้ เช่น กริช มีดชายธง มีดหางไก่ แสดงผ้าทอพื้นเมือง เช่น ผ้าทอพุมเรียง ผ้าทอปัตตานี ห้องแสดงกระต่ายขูดมะพร้าวรูปทรงต่าง ๆ ที่มีรูปแบบหาชมได้ยากห้องแสดงการละเล่นพื้นเมือง เช่น หนังตะลุง โนรา ลิเกป่า ห้องแสดงวิถีชีวิตชาวใต้ เช่น การแสดง การละเล่นและของเล่นเด็กเช่น การเล่นซัดราว การเล่นว่าว ลูกข่าง ห้องแสดงประเพณีการบวช ห้องแสดงการรักษาพยาบาลแบบ โบราณ วันที่เราไปค่อนข้างที่จะร้อน แนะนำ ให้พกน้ำ ดื่ม และใบพัดไป ด้วย เพราะสถานที่ค่อนข้างที่จะกว้าง
อีกสถานที่หนึ่ง ไฮไลต์ก็คือ ย่านเมืองเก่าสงขลา มีประวัติ ความเป็นมาและมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี โดยดูได้จากความเก่า แก่ของตึก อาคาร และบ้านเรือน ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ มีถนนที่ สำ คัญด้วยกัน 3 สาย คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และ ถนนนางงาม ถนนนครนอก จะเป็นถนนที่ติดกับฝั่งทะเลสาป ว่ากันว่าในอดีตบริเวณนี้เป็นท่าเทียบเรือเพื่อการค้าขายและ ขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ ดูได้จากการมีโรงสีข้าวขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันที่แห่งนี้ได้ชื่อว่า หับ โห้ หิ้น หรือที่ชาวสงขลาเรียก กันว่า โรงสีแดง โรงสีข้าวแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาป สงขลา มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับพื้นที่เพาะปลูกข้าว แต่ใน ปัจจุบันได้ยกเลิกกิจการไปเนิ่นนานแล้ว เพราะเกิดจากสภาพ แวดล้อม สังคม เทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาและเจริญเติบโต อย่างรวดเร็ว สถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งเรียนรู้ ให้กับ ผู้คนที่มาเยี่ยมชมที่นี่ เพื่อจะได้รู้ถึงประวัติ ความเป็นมา และ วัฒนธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต จนถึงปัจจุบัน
นอกจากเราจะได้ชมสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมแล้ว ย่านเมือง เก่า จังหวัดสงขลายังมีอาหารการกินที่หลากหลาย ทั้งอาหารคาว หวาน อาหารไทย อาหารจีน ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้าน สุกี้ยากี้นครใน ข้าวสตูเกียดฟั่ง ก๋วยเตี๋ยวหางหมู ก๋วยเตี๋ยวใต้โรง งิ้ว โรตีนางงาม ไอติมโอ่ง ขนมไข่เตาถ่าน คือมีหลากหลายร้าน ให้เลือกซื้อ เลือกชิมอย่างมากจริงๆค่ะ
เราไปกันต่อแบบไม่หยุดพัก สถานที่แห่งนี้ ครูได้ให้คำ เตือนก่อนลง รถว่า สัมภาระเก็บให้มิดชิด เพราะว่า สถานที่แห่งนี้มีลิงเยอะ และ ค่อนข้างที่จะดุ สถานที่แห่งนี้ก็คือ เขาตังกวน เขาตังกวน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำ คัญแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.สงขลา เป็นเนินเขาสูง จากระดับน้ำ ทะเลประมาณ 2,000 ฟุต จากยอดเขาตังกวนนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองสงขลาได้ โดยรอบ บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์พระธาตุคู่เมือง สงขลาซึ่งสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัย ทวาราวดี(อยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำ ทะเลประมาณ 2,000 ฟุต ) ลานชมวิวเขาตังกวน จากยอดเขาตังกวนก็จะมองเห็นวิวของเมือง สงขลาได้แบบ 360 องศา มีที่นั่งให้นั่งชมวิว ลานชมวิวแห่งนี้มีรูป หลวงปู่ทวดอยู่กลางลาน บนฐานที่ยกสูงขึ้นไป ลานชมวิวหน้าพระ เจดีย์หลวงจะมองเห็นตัวเมืองสงขลา ได้กว้างไกลมากๆ ทั้งวิวตัว เมืองและทะเลสาปสงขลา รวมทั้งหาดสมิหลาอีกด้วย