The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พันธะเคมี (พันธะโคเวเลนต์ 1) (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by waranporn.yui, 2023-11-15 23:32:45

พันธะเคมี (พันธะโคเวเลนต์ 1) (1)

พันธะเคมี (พันธะโคเวเลนต์ 1) (1)

10/25/2023 1 1 (Covalent bond) พันธะโคเวเลนต์ 2 พันธะโคเวเลนต์(Covalent bond) คือพันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์ อิเล็กตรอนร่วมกัน ระหว่างธาตุที่มีค่าอิเล็ก โทรเนกาติวิตีสูง (ส่วนใหญ่เกิดระหว่าง ธาตุอโลหะ) 3 - สารประกอบทีอะตอมแต่ละคู่่ยึดเหนี่ ยวกัน ด้วยพันธะโคเวเลนต์เรียกว่าสารโคเวเลนต์ -โมเลกุลของสารทีอะตอมแต่ละคู่่ยึดเหนี่ ยวกัน ด้วยพันธะโคเวเลนต์เรียกว่าโมเลกุล โคเวเลนต์ 4 1. การเกิดพันธะโคเวเลนต์ - อิเล็กตรอนคู่ที่อะตอมทั้งสองใช้ร่วมกัน เรียกว่า อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ (Bonding pair electron) 5 - อิเล็กตรอนคู่ที่ไม่ได้ใช้ในการสร้างพันธะ เรียกว่า อิเล็กตรอนคู่โดดเดียว ่ (Lone pair electron) - อะตอมที่ใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเรียกว่า อะตอมคู่ร่วมพันธะ 6 2. ชนิดของพันธะโคเวเลนต์ ก. พันธะเดียว ่ (single bond) เป็นพันธะ โคเวเลนต์ที่เกิดจากอะตอมคู่ร่วมพันธะท ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ ใช้เส้น ( ) แทนพันธะเดี่ยว ชุดที่ 1 C_T T.to จะเรียกสารตามพันธะ _i °


10/25/2023 2 7 Ex.1 การเกิดพันธะในโมเลกุล Cl2 ( Cl = หมู่7A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 7 โดย ขาด 1e-ทจี่ะครบ 8 ( 17Cl = 1s2 2s2 2p6 3s2 3p5 หรือ = 2, 8 , 7 ) 8 Cl Cl หรือ 9 สูตรโครงสร้าง ลิวอิสแบบจุด สูตรโครงสร้าง ลิวอิสแบบเส้น โดย 10 โครงสร้างลิวอิสแบบจุด โครงสร้างลิวอิส แบบเส้น หรือ 11 อเิลก็ตรอนคู่ร่วมพนัธะ อเิลก็ตรอนคู่โดดเดยี่ว 12 Ex. 2 การเกิดพันธะในโมเลกุล HCl ( Cl = หมู่7A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 7 โดย ขาด 1e-ทจี่ะครบ 8 ( 17Cl =1s2 2s2 2p6 3s2 3p5 หรือ = 2, 8, 7) ( 1H =1s1 หรือ 1H = 1 ) สึ๊ ร่วมกัน ในสํ๊กันะคู่ ใช้ขีะดเพราะ เป็พันนธะติ 0 กาแลนซ์e \ หมู่าคาย3 ร \ อ็ lo • ii. H มียา ตํา • ° CI มีE 7ตัว b อ a t • IH • • ci• → H Cl •


10/25/2023 3 13 ดังนั้น 14 Ex.3 การเกิดพันธะในโมเลกุล CH4 ( C = หมู่4A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 4 โดย ขาด 4e-ทจี่ะครบ 8 ( 6C =1s2 2s2 2p2 หรือ 6 C = 2, 4 ) ( 1H =1s1 หรือ 1 H = 1 ) 15 ดังนั้น H เมอื่สร้างพันธะแล้วจะมอีเิลก็ตรอน = 2 ซงึ่ไม่ครบ 8 16 ข. พันธะคู่(double bond) เป็นพันธะที่เกิดจากอะตอมคู่ร่วมพันธะ ทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ โดยใช้ 2เส้น ( = ) แทน พันธะคู่ 17 ( O = หมู่6A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 6 โดย ขาด 2e-ทจี่ะครบ 8 Ex.1 การเกิดพันธะในโมเลกุล O2 ( 8O =1s2 2s2 2p4 หรือ 8O = 2, 6 ) 18 ดังนั้น H • H.. ฐุ์ H H 8④8 ะ o = อ่


10/25/2023 4 19 Ex.2 การเกิดพันธะในโมเลกุล CO2 ( O = หมู่6A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 6 โดย ขาด 2e-ทจี่ะครบ 8 หรือ 8O = 2, 6 ) ( C = หมู่4A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 4 โดย ขาด 4e-ทจี่ะครบ 8 หรือ 6C = 2, 4 ) 20 ดังนั้น 21 ค. พันธะสาม(triple bond) เป็นพันธะที่เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะ ทั้งสองใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่ โดยใช้ 3 เส้น ( )แทน พันธะสาม 22 Ex.1 การเกิดพันธะในโมเลกุล N2 ( N = หมู่5A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน เท่ากับ 5 โดย ขาด 3e-ทจี่ะครบ 8 ( 7N =1s2 2s2 2p3 หรือ 7 N = 2, 5 ) 23 ดงัน้นั 24 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 1. H2 O • ° ยื๋ ไ อํ๋ ณุ๋÷.....×ะ C.มีe4ตั...... ทบ 0..มีeเตะm ะ จึ......มี0มาเพิ่อีพิ่มก ทําใกลาย ห้เป็0. น • N N ย N±N H ••๐ • • H H 0 H •• H c. ขื่ยั๋ ° จับกับc3ต่อ •• hา H c µ H • H ••


10/25/2023 5 25 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 2. H2O2 26 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 3. C2H2 27 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 4. N2 H4 28 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 5. CH3 OH 29 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 6. CH3 COOH 30 สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบจุด สูตรโครงสร้างแบบเส้น 7. NH2CONH2 H..j: ญุ์ j µ ° H..C. H H c±c H •• มี÷ 0 ฐู่4ตัว ฑึ้ H 5a.m.ะ Hญํ่ญิ๋อ④µ H ฐู๋0 Hอญื่⑤ฐํ่• t อ=4ขาด4 µญู๋ํา0•.. µ H ฐํ๊0H Nsแดง \µ_วู_ ขั๋ H... µ: ณํ๊ Hะะ •วะเขาคน µ m Hn •• • c.am • 0ะเขาคะ Hn N.am Hn


10/26/2023 1 1 กฎออกเตต (Octet rule) - ธาตุเฉื่อย เช่น He, Ne,Ar,Kr เป็นธาตุที่จัดอยู่ใน ประเภทโมเลกุลอะตอมเดียวทุกสถานะ คือใน 1 โมเลกุลของธาตุเฉื่อยจะมีเพียง 1อะตอม - ในธรรมชาติธาตุเฉื่อยเป็นธาตุที่เสถียรมาก และ เกิดปฏิกิริยาเคมีกับธาตุอื่นได้ยาก ธาตุเฉื่อยมีความเสถียร เนื่องจากมีการจัดเรียง อิเล็กตรอนวงนอกสุดเหมือนกัน คือ มี 8 เวเลนต์อิเล็กตรอน (ยกเว้นธาตุ He มี 2 ) เช่น 2 2He = 1s2 = 2 10Ne = 1s2 2s2 2p6 = 2 , 8 18Ar = 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 = 2 , 8 , 8 การจัดอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุ C , N , O 4C = 2 , 4 7N = 2 , 5 8O = 2 , 6 ธาตุเหล่านี้มีเวเลนต์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 8 ในธรรมชาติจะไม่สามารถอยู่เป็นอะตอมเดี่ยว ได้ ซึ่งไม่เสถียร 3 4 การทีอะตอมของธาตุต่าง ๆ รวมตั่ว กันด้วยสัดส่วนทีท าให้มี่เวเลนต์ อิเล็กตรอนเท่ากับ 8 (เหมือน หมู่8A) เรียกว่า กฎออกเตต ข้อยกเว้นส าหรับกฎออกเตต ก. กลุ่มทีไม่ครบออก่เตต ได้แก่สารประกอบของธาตุในคาบที่ 2ของตารางธาตุ เช่น 4 Be = 2 , 2 เวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 5 B = 2 , 3 เวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 3 5 Ex.1 BeCl2 ใน BeCl2 ธาตุ Be จะมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 4 ซึ่งไม่ครบ 8 ในขณะที่ธาตุ Cl ครบ 8 6 ชุดที่ 1-2


10/26/2023 2 Ex. BCl3 ใน BCl3 ธาตุ B จะมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 6 ซึ่งไม่ครบ 8 ในขณะที่ธาตุ Cl ครบ 8 7 ข. กลุ่มทเี่กนิกฎออกเตต Ex. PCl5 8 ใน PCl5 ธาตุ P เกิดพันธะกับ Cl รวม 5 พันธะจึงมีเวเลนต์อิเล็กตรอน เท่ากับ 10 ซงึ่เกนิออกเตต ( 1 พันธะ) สารประกอบอนื่ๆ ของธาตุP ส่วนมาก เป็ นไปตามกฎออกเตต 9 Ex. SF6 10 ใน SF6 ธาตุ S เกิดพันธะกับ F รวม 6 พันธะจึงมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 12 ซงึ่เกนิออกเตต แต่ใน สารประกอบ อนื่ๆ ของธาตุ S ส่วนมากเป็ นไปตาม กฎออกเตต 11 พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ (Coordinate covalent bond) คือ พันธะทเี่กิดขึน้โดยอิเล ็ กตรอนคู่ ร่วมพันธะมาจากอะตอมใด อะตอมหนึ่ งเทา่นั้ น 12 o­ooo 00


10/26/2023 3 พันธะเคมี O S O O O H H X S มีอิเล็กตรอน 12 ตัว (เกิน 8) Ex.1 H2SO4 13 ดังนั้น S จึงให้อิเล็กตรอนกับ O ไป 1 คู่ เพื่อท าให้แต่ละอะตอม มีอิเล็กตรอนครบ 8 ดังรูป 14 พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ 15 Ex.2 H+ + NH3 NH4 + (หมายเหตุ H เสียอิเล็กตรอนไป 1 ตัว จะเกิด H+ เกิดขึ้น) โดย N จาก NH3 มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 1 คู่ เมื่อสร้างพันธะ กับ H+ จะให้คู่อิเล็กตรอนกับ H+ แล้วใช้ร่วมกันเพื่อให้เป็นไปตามกฎออกเตต ได้แอมโมเนียมไอออน (NH4 + ) ดังรูป 16 H+ N H H H + 17 พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ หรือ 18 i.6ตันะ วคะ จากµ...... \ ทุณฺ ษิ๊÷ µµµ จึง ทําใไ ห้ม่ เสถียร \ โคออร์ดิเนตโคเนนช์ Hi <proton, nao ภํ๋รํ๋ญึ nia pn ว่า=เ e.เ | ทน โคฐื๋ \ แน่


10/26/2023 4 Ex.3 H+ + H2 O H3 O+ โดย O จาก H2Oมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 2 คู่ เมื่อสร้างพันธะกับ H+ จะให้ 1 คู่อิเล็กตรอน กับ H+ แล้วใช้ร่วมกันเพื่อให้เป็นไปตามกฎ ออกเตต ได้ไฮโดรเนียมไอออน (H3O+ ) ดังรูป 19 H+ O H H + 20 หรือ 21 Ex.4 BF3 + NH3 BF3NH3 22 หรือ 23 BF. F > Bff F f.ญุ๋ • f กอง ญํ๋←• ร้ f. ← ดูf > ญู๋f


๐ 2 3456า8 C O E0 C 0


11/2/2023 1 เรโซแนนซ์(Resonance) คือ ปรากฏการณ์ที่ท าให้สามารถเขียนโครงสร้าง ลิวอิสได้มากกว่า 1 แบบ ซึ่งการเกิดเรโซแนนซ์จะ ท าให้โมเลกุลมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น โครงสร้างที่ แสดงการเกิดเรโซแนนซ์เรียกว่า โครงสร้าง เรโซแนนซ์ 1 S O O O S O O O S O O O Ex.1 SO3 หรือ 2 หรือ ดังนั้น S O O O โครงสร้างแบบผสม 3 C O O O - - C O O O - - C O O O 2- Ex.2 CO3 2- หรือ 4 ดังนั้น 5 พันธะเคมี โครงสร้างแบบผสม Ex.3 เบนซีน(C6 H6 ) 6 ชุดที่ 2 จะต้องมีพันธะคู่ เข้ามาเกี่ยว เลื่อนไปเรื่อยๆเพราะเป็นตัวเดียวกัน พันธะคู่ จะอยู่ ตรงไหนก็ได้ gmmmimw เลื่อนพันธะมาะตําแหน่ง ได้ไง


11/2/2023 2 การเขียนสูตรและการเรียกชื่ อสารประกอบโคเวเลนต์ การเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์เรียงตามหลักสากล ดังนี้ Si C Sb As P N H Te S At I Br Cl O F การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ 1.อ่านชื่อธาตุที่อยู่ด้านหน้าก่อนตามด้วยธาตุที่อยู่ด้านหลัง โดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น ไ-ด์(ide) 7 2.อ่านระบุจ านวนอะตอมของธาตุด้วยเลขจ านวนใน ภาษากรีก ได้แก่ 8 3 .ถ้าธาตุแรกมีอะตอมเดียว ไม่ต้อง อ่านระบุจ านวนอะตอมของธาตุนั้นแต่ ถ้าธาตุหลังมีเพียงหนึ่งอะตอมก็ต้อง ระบุจ านวนอะตอมด้วยเสมอ 9 10 11 พลังงานพันธะ (Bond Energy) คือ พลังงานที่น้อยที่สุดที่ต้องใช้เพื่อสลาย พันธะโคเวเลนต์หรือพลังงานที่น้อยที่สุดที่ คายออกมา เพื่อสร้างพันธะโคเวเลนต์ 12 มอนอ=มอน เยนตะ รนะ ได้ เอาซะ m ไตร เฮยต. ต๓ระ ออกตะ โ0....0 ะ °↳มาจากmono㱺 อ 0 o 0 oo 0 0 0 0 o 0


11/2/2023 3 13 ความยาวพันธะ (Bond Length) คือ ระยะระหว่าง นิวเคลียสของอะตอมคู่หนึ่งๆ ที่สร้างพันธะกันใน โมเลกุล ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวพันธะกับพลังงานพันธะ ส าหรับธาตุคู่เดียวกัน ยิ่งความยาวพันธะมากเท่าใด ก็จะยิ่ง มีพลังงานพันธะน้อยลงเท่านั้น 14 ดังนั้ น ความยาวพันธะ พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม พลังงานพันธะ พันธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดี่ยว 15 การค านวณพลังงานความร้อนของปฏิกิริยา, การเกิดปฏิกิริยาเคมี คือกระบวนการที่มีการท าลาย พันธะเดิม (สารตั้งต้น) และสร้างพันธะใหม่ (สารผลิตัณฑ์) ความร้อนของปฏิกิริยา คือพลังงานของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป ในรูปความร้อนเมื่อเกิดปฏิกิริยา สามารถหาได้จาก 16 17 Ex.1 จงใช้ข้อมูลจากตาราง 3.12 หน้า 173 ค านวณ พลังานของปฏิกิริยา C2 H4 (g) + O2 (g) CO2 (g) + H2 O(g) (สมการยังไม่ดุล) 18 Ex.2 จากปฏิกิริยา PCl3 + Cl2 PCl5 คายพลังงาน 414 kJ จงค านวณหาพลังงานพันธะของ P-Cl ก าหนดพลังงานพันธะของ (Cl-Cl) = 242 kJ/mol 0 0 0 0 3 2 2 a Sol 3cp.clง cl cl ลง 5cp.cl, ¥ → ะ ทุ นะ นะ ฐื๋ p a EI­.sn ะAH, ง หา ะ _328kt 414ะ ccrcp.zcp.cn 3764 > 5068 44= 242 2cpd 304k เ Jim _4เ 4 242 ะ 2cpปา ×เ5เ ะ 2cpcง


11/5/2023 1 (Shape of covalent molecules) รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 1 จากการศึกษาพบว่าสารที่มีโครงสร้าง ต่างกันจะมีสมบัติต่างกัน ดังนั้นใน การศึกษาสมบัติของสารจึงจ าเป็นต้อง ทราบโครงสร้างโมเลกุลหรือรูปร่างโมเลกุล ของสารนั้นด้วย 2 การจัดเรียงอะตอมต่าง ๆ ในโมเลกุลโคเวเลนต์มี ต าแหน่งและทิศทางที่แน่นอนจึงท าให้โมเลกุลโคเวเลนต์ของ สารต่าง ๆ มีรูปร่างแตกต่างกัน สิ่งที่ใช้บอกรูปร่างโมเลกุล โคเวเลนต์ คือ การจัดเวเลนต์อิเล็กตรอนรอบอะตอม กลางของธาตุในโมเลกุลโคเวเลนต์นอกจากนั้นความ ยาวพันธะและมุมระหว่างพันธะยังสามารถใช้บอกรูปร่าง โมเลกุลได้ด้วย 3 ความยาวพันธะ(Bond length) คือ ระยะทางระหว่างนิวเคลียสของ อะตอมคู่หนึ่งที่สร้างพันธะกัน 4 เช่น ความยาวพันธะระหว่างอะตอม F ในโมเลกุล F2 5 - มุมระหว่างพันธะ(Bond angle)คือ มุมที่ เกิดจากอะตอมสองอะตอมท ากับอะตอม กลางหรือมุมที่เกิดระหว่างพันธะสองพันธะ 6 ชุดที่ 3


11/5/2023 2 มุมระหว่างพันธะจะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับ แรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวและ อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะรอบ ๆ อะตอมกลาง โดย ถือหลักว่าโมเลกุลที่เสถียรจะต้องมีพลังงานต ่า นั่นคือ อะตอมในโมเลกุลต้องจัดเรียงตัวกัน เพื่อให้มีแรงผลักของคู่อิเล็กตรอนให้น้อยที่สุด 7 การท านายรูปร่างโมเลกุลอาจใช้แบบจ าลองการ ผลักกันระหว่างคู่อเิลก็ตรอนในวงเวเลนซ์ (Valence Shell Electron Pair Repulsion model : VSEPR ) โดยพิจารณาเฉพาะอิเล็กตรอนรอบ อะตอมกลางที่อยู่ในระดับพลังงานนอกสุด 8 ซึ่งสามารถเขียนแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่ ต่าง ๆ จากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ 9 [ e-คู่ โดดเดยี่วกบั e-คู่ โดดเดยี่ว] > [ e-คู่ โดดเดยี่วกบั e-คู่ ร่วมพนัธะ] > [ e-คู่ ร่วมพนัธะกบั e-คู่ ร่วมพันธะ] กา หนดสูตรโมเลกุลท่ วัไปเป็น ABxEy โดย A = อะตอมกลาง Bx = จา นวนอะตอมทลี่้อมรอบ อะตอมกลาง Ey = จา นวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดยี่ว ของอะตอมกลาง 10 1. รูปร่างเส้นตรง ( Linear) - สูตรทั่วไป = AB2 E0 , มุมพันธะ = 1800 Ex.1 โมเลกุล BeCl2 11 หรือ อะตอมกลาง Be มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 2 คู่ ซึ่งจะ ผลักกันให้ห่างกันมากที่สุด ท าให้โมเลกุลเป็นรูปร่าง เส้นตรง มีมุมระหว่างพันธะเป็น 1800 12 Ex.H,0 แต่ ฒํ๊ µ⇐ แรงที่ ①>②>③ B A B


11/5/2023 3 Ex.2 โมเลกุล CO2 1800 13 อะตอมกลาง C มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 2 คู่จึง ผลักกันระหว่างพันธะให้ห่างกันมากที่สุด ท าให้ โมเลกุลเป็นรูปเส้นตรง มีมุมระหว่างพันธะ 180 0 14 2. มุมงอ (bent หรือ V-shaped) - สูตรทั่วไป AB2E1 - มุมพันธะ < 120 0 15 เช่น SO2 16 3. มุมงอ (bent หรือ V-shaped) - สูตรทั่วไป AB2E2 - มุมพันธะ < 109.5 0 17 เช่น H2O 18


11/5/2023 4 4. เส้นตรง (Linear) - สูตรทั่วไป AB2 E3 - มุมพันธะ = 180 0 19 เช่น XeCl2 20 5. รูปร่างสามเหลี่ ยมแบนราบ (Trigonal planar) - สูตรทั่วไป = AB3E0 , มุมพันธะ = 1200 เช่น BCl3 21 อะตอมกลาง B มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะเดี่ยว3 พันธะ ซึ่งผลักกันให้ห่างกันมากที่สุด ท าให้โมเลกุล เป็นรูป สามเหลี่ยมแบนราบ มีมุมระหว่างพันธะเป็น 1200 22 สรุป โมเลกุล หรือไอออนโคเวเลนต์ใด ๆ ถ้าอะตอม กลางมี 3 พันธะ (ไม่ค านึงถึงชนิดของพันธะ) และไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวโมเลกุลหรือ ไอออนนั้นจะมีรูปร่างเป็น สามเหลี่ ยมแบนราบ 23 6. พรีะมดิฐานสามเหลี่ ยม (Trigonal pyramidal) - สูตรทั่วไป AB3 E1 - มุมพันธะ < 109.5 0 24 เช่น NH3


11/5/2023 5 25 7. รูตัวที(T-shaped) - สูตรทั่วไป AB3 E2 - มุมระหว่างพันธะ = 90 0 ,180 0 26 เช่น ClF3 27 8. รูปร่างทรงสี่ หน้า (Tetarhedral) - สูตรทั่วไป = AB4E0 , มุมพันธะ = 109.50 Ex. โมเลกุลมีเทน (CH4 ) 28 อะตอมกลาง C มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะเดี่ยว 4 พันธะ ซึ่งผลักกันให้ห่างกันมากที่สุดท าให้โมเลกุล เป็นรูปทรงสี่หน้า มีมุมระหว่างพันธะเป็น 109.50 29 สรุป โมเลกุล หรือไอออนโคเวเลนต์ใด ๆ ถ้าอะตอม กลางมี 4 พันธะ (ไม่ค านึงถึงชนิดของพันธะ) และไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวโมเลกุลหรือ ไอออนนั้นจะมีรูปร่างเป็น ทรงสี่ หน้า 30 B Bก่B ก่


11/5/2023 6 9. ทรงสี่ หน้าบดิเบยี้ว (distorted tetrahedral หรือ see-saw) - สูตรทั่วไป AB4 E1 - มุมพันธะ = 120 0 ,90 0 31 เช่น SF4 32 10. สี่ เหลี่ ยมแบนราบ (square planar) - สูตรทั่วไป AB4 E2 - มุมพันธะ = 90 0 33 เช่น XeF4 34 11. รูปร่างพรีะมิดคู่ฐานสามเหลี่ ยม (Trigonal bipyramidal) - สูตรทั่วไป = AB5 E0 , มุมพันธะ = 1200 และ 900 Ex. โมเลกุล PCl5 35 อะตอมกลาง P มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะเดี่ยว 5 พันธะ ซึ่ง ผลักกันให้ห่างกันมากที่สุด ท าให้โมเลกุลเป็นรูปพีระมิดคู่ ฐานสามเหลี่ยม มีมุมระหว่างพันธะเป็น 1200 และ 900 36


11/5/2023 7 สรุป โมเลกุลหรือไอออนโคเวเลนต์ใด ถ้าอะตอม กลางมี 5 พันธะ (ไม่ค านึงถึงชนิดของพันธะ) และไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรูปร่างโมเลกุล หรือไอออนจะเป็นแบบ พรีะมิดคู่ฐาน สามเหลี่ ยม 37 12. พรีะมิดฐานสี่ เหลี่ ยม (square pyramidal) - สูตรทั่วไป AB5 E1 - มุมระหว่างพันธะ = 90 0 ,180 0 38 เช่น IF5 39 13. รูปร่างทรงแปดหน้า (Octahedral) - สูตรทั่วไป = AB6E0 , มุมพันธะ = 900 Ex ในโมเลกุล SF6 40 อะตอมกลาง S มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะเดี่ยว 6 พันธะ ซึ่ง ผลักกันให้ห่างกันมากที่สุด ท าให้โมเลกุลเป็นรูปทรงแปด หน้า มีมุมระหว่างพันธะเป็น 900 หรือ 41 สรุป โมเลกุลหรือไอออนโคเวเลนต์ใด ๆ ถ้าอะตอมกลางมี 6 พันธะ (ไม่ค านึงถึงชนิดของพันธะ) และไม่มี อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว รูปร่างโมเลกุลหรือไอออนเป็น แบบ ทรงแปดหน้า 42 พีระมิด คู่ ฐานสิ่ เหลี่ยม


Click to View FlipBook Version