การถอดบทเรีย รี น การจัด จั การเรีย รี นรู้ โดยใช้ก ช้ ระบวนการวิจั วิ ย จั เพื่อ พื่ พัฒ พั นาสมรรถนะผู้เผู้รีย รี นอาชีว ชี ศึก ศึ ษา สู่โ สู่ ลกอุต อุ สาหกรรมใหม่ รายงาน กลุ่มลุ่ วิจั วิ ย จั การจัด จั การอาชีว ชี ศึก ศึ ษา สำ นัก นั วิจั วิ ย จั และพัฒ พั นาการอาชีว ชี ศึก ศึ ษา สัง สั กัด กั สำ นัก นั งานคณะกรรมการการอาชีว ชี ศึก ศึ ษา
ที่ปที่ รึก รึ ษา ดร.นิรุนิตรุต์ บุตบุรแสนลี ผู้อำผู้ อำนวยการสำ นักนัวิจัวิยจัและพัฒพันาการอาชีวชี ศึกศึษา คณะทำ งาน นางบุษบุกร ภัทภัรพิศพิาล นักนัวิชวิาการศึกศึษาชำ นาญการพิเพิศษ ดร.ภัทภัรนิภนิา กันกัหะคุณคุนักนัวิชวิาการศึกศึษาปฏิบัฏิติบักติาร นางสาวรุ่งรุ่ ทิวทิา ก้าก้นกิ่งกิ่นักนัวิชวิาการศึกศึษาปฏิบัฏิติบักติาร นายศุภศุสินสิบ้าบ้นเกิดกิเมือมืงนอน พนักนังานบริหริารทั่วทั่ ไป (ด้าด้นบริหริารงานทั่วทั่ ไป) สำ นักนัวิจัวิยจัและพัฒพันาการอาชีวชี ศึกศึษา ถนนรามอินอิทรา กม.5-6 แขวงท่าท่แร้งร้ เขตบางเขน กรุงรุเทพมหานคร 10230 โทร. 0 2510 9552-4 ต่อต่ 120 โทรสาร ต่อต่ 170
ก รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ คำนำ เอกสารฉบับนี้เป็นการสรุปองค์ความรู้ข้อคิดเห็น และแนวทางด้านการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน อาชีวศึกษาจากการประชุมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนา สมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ กำหนดจัดขึ้น 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 1 วันที่29 พฤศจิกายน 2565 รุ่นที่ 2 วันที่ 8 ธันวาคม 2565 และรุ่นที่ 3 วันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วม ประชุมและผู้ที่สนใจศึกษา เรื่องการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้ตอบสนองความ ต้องการอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ได้มีแนวทางการประยุกต์ใช้กระบวนการวิจัยในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพการจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบกระบวนการวิจัยในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน อาชีวศึกษาให้มีทักษะ ความรู้ และสมรรถนะที่สามารถดำเนินชีวิตบนเส้นทางสายอาชีพในอนาคตได้ โดยกลุ่มวิจัย การจัดการอาชีวศึกษา สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ดำเนินการสรุปและเรียบเรียงองค์ความรู้ที่ครูผู้สอน อาชีวศึกษาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์แนวคิด และข้อเสนอแนะในการนำเทคโนโลยีมาจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการวิจัย และการบูรณาการเนื้อหาการเรียนรู้มุ่งการผลิตกำลังคนสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ พร้อม แสดงความคิดเห็นเพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ที่ทันสมัย กลุ่มวิจัยการจัดการอาชีวศึกษา สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาและสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา การจัดการเรียนรู้อาชีวศึกษาโดยใช้กระบวนการวิจัยได้เป็นอย่างดีอันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพ การจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนอาชีวศึกษาต่อไป คณะทำงานกลุ่มวิจัยการจัดการอาชีวศึกษา สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา
ข รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ถอดบทเรียนประเด็นที่ 1 : แลกเปลี่ยนประสบการณ์การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัด การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย รวมถึงปัญหา แนวทางแก้ไข และผลลัพธ์ที่ได้ 2 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาเทคโนโลยี 3 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาสามัญ 4 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาอุตสาหกรรม 7 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาศิลปกรรม 9 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาคหกรรม 9 - กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาเกษตรกรรม 10 ถอดบทเรียนประเด็นที่ 2 : แลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการวิจัยในการบูรณาการเนื้อหาการเรียนรู้มุ่งการผลิตกำลังคนสู่กลุ่ม อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 11 - ครูคือผู้อำนวยความสะดวก 11 - การพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของชุมชนและท้องถิ่น 12 - บทเรียนโมดูลหนวยยอยที่สามารถเรียนรูดวยตนเองในทักษะการพูดและเขียนรายงาน โครงงานแบบสรุป (Self Learning Project Work Module : SLPM) ร่วมกับการ เรียนการสอนแบบบูรณาการ 12 - การใช้กิจกรรมการเล่าเรื่อง 13 - การคัดลอกผลงานทางวิชาการ (Plagiarism) 13 - ไม่มีวิธีการสอนใดที่ดีที่สุด 14
ค รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ถอดบทเรียนประเด็นที่ 3 : ระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสูงตอบสนองตามความต้องการของกลุ่ม อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศ 16 บรรณานุกรม 19 ภาคผนวก 20
รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ บทนำ การถอดบทเรียน (Lesson Learned) เป็นหนึ่งเครื่องมือของการจัดการความรู้ การประมวลองค์ ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อให้เห็นถึงรายละเอียดไม่ว่าจะเป็น ที่มา รูปแบบวิธี กระบวนการ อุปสรรค และวิธีการแก้ไขปัญหา ที่ก่อให้เกิดผลของความสำเร็จและไม่ประสบผลของ ความสำเร็จ ผ่านการเล่าเรื่องของแต่ละบุคคล และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันจนนำไปสู่ การบันทึกรายละเอียดและข้อสังเกตที่สำคัญจากการฟัง เพื่อให้เกิดการสร้างความรู้ชุดใหม่ ซึ่งกระบวนการ ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้เล่าประสบการณ์เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง และผู้ฟังก็จะเกิดการเรียนรู้ที่สามารถ นำไปปรับและประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต นอกจากนี้ Chelong, A., & Jeawkok, J.(2020) ยังกล่าวว่า “การถอดบทเรียนเองเป็นการสกัดความรู้ที่มีอยู่ในตัวตน (Tacit Knowledge) ออกมาเป็นบทเรียนหรือ ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ซึ่งผลที่ได้จากการถอดบทเรียนทำให้ได้บทเรียนในรูปแบบชุด ความรู้ที่เป็นรูปธรรม อันนำมาซึ่งการปรับและเปลี่ยนแปลงที่มีความสร้างสรรค์และมีคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น” สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา โดยกลุ่มวิจัยการจัดการอาชีวศึกษา เล็งเห็นถึงประโยชน์ดังกล่าว ข้างต้น จึงดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย เพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านระบบออนไลน์ รวม 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 1 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 รุ่นที่ 2 วันที่ 8 ธันวาคม 2565 และรุ่นที่ 3 วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เพื่อเปิด โอกาสให้ข้าราชการครูและบุคลากรอาชีวศึกษาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์การจัด การเรียนการสอน รวมถึงการสังเคราะห์องค์ความรู้ที่มีประโยชน์จากการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนอาชีวศึกษาให้สูงมากยิ่งขึ้นตอบสนองตามความต้องการของกลุ่ม อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศ และเท่าทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันและอนาคต จากการดำเนินงานที่ผ่านมาของการประชุมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านระบบออนไลน์ ทั้ง 3 รุ่น มีผู้เข้าร่วมในรุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 จำนวน 31 คน รุ่นที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 จำนวน 31 คน และรุ่นที่ 3 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 จำนวน 31 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 93 คน จากการถอดบทเรียนของการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ คณะทำงานได้สรุปและเรียบเรียงการถอด บทเรียนใน 3 ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อมูลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของอาชีวศึกษา ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ประสบการณ์การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย รวมถึงปัญหา แนวทางแก้ไข และผลลัพธ์ที่ได้ ประเด็นที่ 2 ประสบการณ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ในการบูรณาการเนื้อหาการเรียนรู้มุ่งการผลิตกำลังคนสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ และประเด็นที่ 3 การระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสูง ตอบสนองตามความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศ ดังนี้
2 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ถอดบทเรียนประเด็นที่ 1 : แลกเปลี่ยนประสบการณ์การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัย รวมถึงปัญหา แนวทางแก้ไข และผลลัพธ์ที่ได้ โลกยุคปัจจุบันแข่งขันกันด้วยการสร้างนวัตกรรม (innovation) เป็นปัจจัยหลัก เพื่อนํามาใช้ ขับเคลื่อนความอยู่ดีกินดีและความสุขของคนในสังคม และแข่งขันการร่วมมือกับสังคมและประเทศอื่น ไม่ใช่แข่งขันกันด้วยการสั่งสมปัจจัย (factorsaccumulation) เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ทุน หรือแรงงาน เป็นปัจจัยหลักเหมือนสมัยก่อน การจัดการเรียนรู้ของผู้ประกอบวิชาชีพครูก็เช่นกัน จะต้องพัฒนา ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับกระบวนทัศน์ (ParadigmShift หรือMindset Change) ของการจัดการอาชีวศึกษาให้ทันสมัยรอบด้าน และเนื่องมาจาก การจัดการเรียนการสอนในแต่ละยุคสมัย ผู้เรียนทุกคนล้วนมีลักษณะและต้นทุนที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะได้ ต้นแบบหรือโมเดลในการสอนที่ดีก็ต้องตระหนักถึงความสามารถในการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ ตัวผู้เรียนแต่ละคน ปัจจุบันสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาต่างต้องการ มีห้องปฏิบัติการหรือ Lab ที่ทันสมัย ซึ่งมีความเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีโครงการหรือวิธีการพัฒนากำลังคน อาชีวศึกษาให้สามารถตอบสนองนโยบายของรัฐบาล หรือให้สามารถพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อสร้าง ชิ้นงานหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพในอนาคตได้แต่เนื่องจากข้อจำกัด ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผู้สอนจึงต้องปรับเปลี่ยน ตัวเองเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนออกมาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในห้วงสถานการณ์ดังกล่าว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้การเข้าถึงความรู้ทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเรียนรู้จึงต้อง ปรับ รูปแบบจากเดิมที่เคยเน้นถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ไปสู่รูปแบบการมุ่งเน้นใช้ฐานความรู้ และระบบความคิด ที่บูรณาการและเชื่อมโยงความรู้สู่ชีวิตประจำวัน เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการตั้งคำถาม ความรู้ ด้านคณิตศาสตร์ระบบการคิดเหตุผล และการหาความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี เพื่อหล่อหลอมผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ไปใช้ ให้เกิดการสร้างรายได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้านวิชาชีพและทักษะชีวิต โดยครูยุคใหม่จะต้องเปลี่ยนบทบาท จากครูผู้สอนเป็นโค้ช หรือผู้สนับสนุนการเรียนรู้ทำหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ ให้คำปรึกษา ชี้แนะ วิธีการเรียนรู้ วิธีคิดที่สามารถบูรณาการความรู้และเชื่อมโยงความรู้สู่ชีวิตประจำวันให้แก่ผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนการสอนเป็นกระบวนการที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพ ของผู้เรียนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร จากปัญหาของหลักสูตรที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้มีการเสริม เรื่องสมรรถนะสำหรับการเรียนเพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามวัตถุประสงค์รายวิชา โดยเฉพาะด้านวิชาชีพ ที่ต้องให้ความรู้ควบคู่กับทักษะการปฏิบัติเพื่อให้พร้อมสู่ตลาดแรงงานในยุคอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ของประเทศ การวางแผนการจัดการเรียนรู้จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบฐานสมรรถนะมาใช้เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นกระบวนการที่มุ่งพัฒนา ทักษะที่ไม่ได้เน้นให้มีแค่ด้านความรู้ ซึ่งจะใช้ทักษะ (Skill) เป็นตัวนำ โดยมีความรู้ เจตคติ และคุณลักษณะ เป็นทัพหนุนอยู่เบื้องหลัง และการประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Hybrid leaning ซึ่งเป็นการเรียน
3 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ แบบผสมผสานรูปแบบใหม่ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ของชีวิต ที่ เปลี่ยนแปลงไปจึงมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน โดยเป็นรูปแบบการจัดเรียนการสอนที่ทำให้เกิด การเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ ความสามารถ ในการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกัน และการสร้างความรู้ใหม่ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐาน (Research Based Learning : RBL) มีความจำเป็น อย่างยิ่งในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี โดยเป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้ ครูผู้สอนต้องศึกษารายละเอียดองค์ประกอบต่างๆ ให้ถี่ถ้วนตามความเหมาะสม ได้แก่ เนื้อหา กระบวนการ รูปแบบการสอน สื่อที่ต้องใช้ และพื้นฐาน ทางด้านความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ ครูผู้สอนซึ่งเป็นครูนักวิจัยอาชีวศึกษาและครูนักวิจัย RBL หลายท่านได้ถ่ายทอดประสบการณ์การนำ เทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ดังในกรณีตัวอย่างต่อไปนี้ กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาเทคโนโลยี 1) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาการผลิตสื่อมัลติมีเดียเพื่อธุรกิจดิจิทัล เป็นรายวิชาที่มีการนำ เครื่องมือทางดิจิทัลมาใช้ โดยเครื่องมือที่เลือกใช้มีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนกำหนดมาตรฐานขอบเขต การผลิตจัดสร้างที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน การผสมผสานการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงานร่วมกับรูปแบบวิจัย เป็นฐาน (RBL) มาใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงมีความเหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาของการนำเครื่องมือที่มี ความแตกต่างมาใช้ในการพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย และเป็นการฝึกทักษะของผู้เรียนด้วยกระบวนการวิจัย ซึ่งจะบูรณาการการเรียนรู้ที่ลงมือปฏิบัติอย่างมีรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะ ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติงานจริงตามกิจกรรมของแผนการจัดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์รายวิชา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถออกแบบและผลิตจัดสร้างสื่อมัลติมิเดียตามกระบวนการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ 2) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทำสื่อ การเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาผู้เรียน เช่น การทำเว็บไซต์ให้ความรู้ สื่อการเรียน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การนำเอากระบวนการเรียนรู้เข้าสู่รูปแบบการเรียนออนไลน์ เป็นต้น 3) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์การให้ผู้เรียนทำโครงการขนาดเล็กหรือ ที่เรียกว่า Micro project โดยครูผู้สอนจัดทำชุดฝึกทักษะ IoT Education Kit ที่รวบรวมเซ็นเซอร์ต่างๆ สำหรับใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งชุดฝึกทักษะนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการเรียนให้น้อยลง ในส่วนของ การนำการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน (RBL) มาใช้มีวิธีการคือ ใช้ในการพัฒนาระบบ ซึ่งจะให้ ผู้เรียนได้มีการรวมกลุ่มกันคิดร่วมกันค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องที่เรียนมา โดยมีครูผู้สอน เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ จากนั้นจะมีการฝึกเขียนโค้ดโดยครูจะสร้างเว็บไซต์ประเภทบล็อกที่รวม การใช้งานของเซ็นเซอร์ต่างๆ ไว้ครบครัน ผู้เรียนก็จะสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากบล็อกและผู้เรียน
4 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ก็จะสามารถทำ Micro project ขึ้นมา แล้วนำเสนอให้ครูผู้สอนและเพื่อนๆ ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งกันและกัน ซึ่งการนำ RBL มาใช้นี้ ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และได้มีความเข้าใจในตัวบทเรียนมากขึ้น 4) การจัดการเรียนรู้ในการสอน Coding โดยใช้รูปแบบ OPI เป็นการสร้างรูปแบบการจัด การเรียนรู้แบบใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจกระบวนการแก้ปัญหา มองเห็นกระบวนการ และผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนจนสำเร็จ ซึ่งรูปแบบ OPI ประกอบด้วย O คือ Output, P คือ Process และ I คือ Input ในการสอน Coding ครูผู้สอนจะชี้แจงผู้เรียนว่าต้องค้นหา 3 องค์ประกอบดังกล่าวให้ได้ โดยจะ อธิบายว่าคือส่วนใดในด้านการเขียนโปรแกรม อ่านโจทย์ วิเคราะห์โจทย์ให้ได้ และให้พยายามค้นหา คำสำคัญหรือ Keyword ที่สามารถระบุว่าเป็น output ส่วนองค์ประกอบของ Process นั้น ผู้เรียนสามารถ หามาด้วยกระบวนการอะไร โดยสามารถสืบค้น Process มาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดจากสื่อต่างๆ และ ใน Process นั้นจะมี Input ซ่อนไว้คือ เป็นข้อมูลที่จะต้องป้อนเพื่อให้ได้ output ออกมา เมื่อผู้เรียนเข้าใจ กระบวนการใน OPI แล้ว จึงตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มผู้เรียนก่อนในเบื้องต้น หลักในการแบ่งกลุ่มคือ ให้อิสระ แก่ผู้เรียนได้เลือกตามใจตนเองก่อน แล้วจึงตั้งโจทย์ปัญหา จากการที่ได้ดำเนินการสอนผลลัพธ์คือ ผู้เรียน บางกลุ่มจากในห้องทั้งหมด 30 คน กลุ่มละ 5 คน มีประมาณ 3 กลุ่ม จากทั้งหมด 6 กลุ่ม ที่สามารถอธิบาย และระบุองค์ประกอบ OPI ได้ อาจเป็นเพราะศักยภาพในการเข้าใจ OPI ไม่เท่ากัน ครูผู้สอนจึงได้อธิบายซ้ำ อีกครั้งจนกว่าผู้เรียนจะเข้าใจทั้งหมด จากนั้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ Coding ตามโครงสร้างมาตรฐาน ของภาษา ถ้าผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ OPI ได้ตามกระบวนการแล้วจึงสามารถจับประเด็นไปเขียน Coding ได้ผลลัพธ์ตามที่โจทย์กำหนด โดยความยากในการใช้รูปแบบ OPI สอนในช่วงแรก คือ การทำความเข้าใจ กับตัวผู้เรียนก่อนว่าจะสอนในแนวใหม่ เพราะถ้าผู้สอนสาธิตให้ดูการเขียนโปรแกรมและผู้เรียนเขียนตาม ผู้เรียนจะไม่เกิดการเรียนรู้ กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านวิชาสามัญ 1) การจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การพัฒนาทักษะสําคัญในปัจจุบันและอนาคต ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นมาก ซึ่งเน้นการพัฒนาทักษะความฉลาดทางดิจิทัล โดยองค์ประกอบของการฝึกทักษะ ได้แก่ (1) เป้าหมายของการฝึกทักษะ (2) เนื้อหาและการบูรณาการองค์ความรู้ (3) บทบาทการบูรณาการทักษะความฉลาดทางดิจิทัลในสถานศึกษา (4) ปัจจัยความสําเร็จของการฝึก (5) ผลลัพธ์การฝึก และขั้นตอนการฝึกทักษะมี 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียมการ 2) ขั้นฝึกทักษะและ 3) ขั้นประเมินผลการฝึก ทักษะ
5 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ตัวอย่าง ในการจัดการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จึงนำหลักการจัดการเรียน การสอนของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐาน (RBL) ผสมผสานกับรูปแบบ โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning : PjBL) โดยครูผู้สอนได้สร้างแนวทางเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจ กระบวนการที่จะสอน ซึ่งจะมีจุดเน้นในด้านทักษะความฉลาดทางดิจิทัล กระบวนการสอนจะเริ่มจากที่สอน เนื้อหาทั้งหมดก่อนตามเวลาที่กำหนด จากนั้น 5 สัปดาห์สุดท้ายจะให้เป็นการทำโครงงาน โดยจะทำ ความเข้าใจกับผู้เรียนก่อนว่าการทำโครงงานนี้ผู้เรียนจะได้รับทักษะอะไรบ้าง ครูผู้สอนจะสร้างคู่มือ รวมถึง ตัวอย่างให้กับผู้เรียน และมีการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยอธิบายและให้คำแนะนำ ส่วนเรื่องทักษะ ความฉลาดทางดิจิทัลจะแทรกไว้ในบทที่ 2 โดยครูจะมีการอธิบายเพิ่มเติมตลอดเวลา เช่น การทบทวน วรรณกรรมต่างๆ หรือในระดับชั้น ปวช. โครงงานควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งกระบวนการที่ทำให้เกิดทักษะ ดังกล่าวนี้จะมีกรอบข้อกำหนดว่าผู้เรียนจะสืบค้นอย่างไร ฐานข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร จากนั้น จะแบ่งกลุ่มให้สืบค้นข้อมูล แล้วนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์ ตรวจสอบข้อมูล และนำเสนอเพื่อให้ครูผู้สอน พิจารณาความเหมาะสม สุดท้ายแล้วโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นแค่ผลพลอยได้ ในส่วนที่ผู้เรียนได้จริงจะเป็น ในเรื่องทักษะต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ในอนาคต ยกตัวอย่างโครงงานที่ประทับใจ เช่น โครงงานการทำ เนยสด ครูผู้สอนจะให้ผู้เรียนไปสืบค้น จากนั้นอัดเป็นวีดีโอมานำเสนอ ควรแก้ไขส่วนใดจะให้ผู้เรียนไป ค้นคว้าเพิ่มเติม สรุปมีความคิดเห็นว่า การจัดการเรียนรู้รูปแบบ RBL สามารถฝึกร่วมกับการทำโครงงาน วิทยาศาสตร์ได้ และโครงงานวิทยาศาสตร์ก็สามารถที่จะฝึกความฉลาดทางดิจิทัลได้ เพราะฉะนั้นกระบวนการ เรียนรู้ ในลักษณะแบบนี้สามารถฝึกทักษะให้กับผู้เรียนได้ในหลายรูปแบบ โดยอุปสรรคในการจัดการเรียน การสอนดังกล่าวจะเป็นในเรื่องของข้อจำกัดด้านเวลาในการฝึกปฏิบัติและปัญหาการแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) การจัดการเรียนการสอนไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นจึงมีการใช้สื่อเข้ามาช่วยโดยใช้ Google classroom รวมถึงการบันทึกวีดิโอเพื่อไว้ตอบคำถาม หรืออธิบายบทเรียนให้กับผู้เรียนซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป 2) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ครูผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการสอน โดยการทำความเข้าใจและวิเคราะห์ถึงความสามารถการนำกลยุทธ์ใดๆ มาประยุกต์ใช้ในรายวิชา ภาษาอังกฤษได้ เช่น การสอนแบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) มาบูรณาการในรายวิชาภาษาอังกฤษ โดยสะเต็มศึกษาเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ ที่มุ่งให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง โดยจะพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ที่ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ผ่านประสบการณ์ในกิจกรรมการเรียนรู้แบบวิจัย เป็นฐานที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะและสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตาม สังคมปัจจุบันและความก้าวหน้าในศตวรรษที่ 21 สะเต็มศึกษายังช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะด้านความรู้ ทักษะ ทางปัญญา ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงตัวเลขการ สื่อสารและการใช้เทคโนโลยี ฉะนั้น ครูผู้สอนสามารถบูรณาการสื่อและประยุกต์ให้เข้ากับรายวิชา ภาษาอังกฤษ โดยทำความเข้าใจกระบวนการและองค์ประกอบของสะเต็มศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสม
6 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ กับรายวิชา ซึ่งผลลัพธ์ในการสอนก็คือ “ชิ้นงานของผู้เรียน” และเนื่องจากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ผู้เรียนมีความจำเป็นต้องเรียนออนไลน์ ผู้สอนจึงต้องวิเคราะห์ปรับใช้กลยุทธ์ ให้มีความเหมาะสมที่สุด ตัวอย่าง การบูรณาการกับงานสาธิตการเกษตรโดยให้ผู้เรียนทำโครงงานด้วยกระบวนการสะเต็ม ศึกษาแล้วนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ การเรียนรู้เป็นรูปแบบส่งต่อผลงานรุ่นสู่รุ่น คือผู้เรียนรุ่นพี่เรียนวิชา โครงงานรูปแบบภาษาไทยส่งต่อไปให้รุ่นน้อง จากนั้นรุ่นน้องเรียนรู้ สร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ อธิบายวิธีการ ค้นคว้าและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น โดยสร้างเป็นวิดีโอที่ประกอบด้วยขั้นตอนและวิธีการต่างๆ นำเสนอ เป็นรูปแบบภาษาอังกฤษและมีการส่งงานผ่านระบบออนไลน์ 3) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาโครงการ ปัญหาที่พบในผู้เรียน คือ ไม่รู้จะทำโครงการเกี่ยวกับ เรื่องใด ไม่เข้าใจเป้าหมายของการทำโครงการ ครูผู้สอนจึงนำกระบวนการที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถตั้ง คำถามแล้วก็ตอบคำถามให้ได้โดยใช้หลัก 5W1H คือ Who What Where When Why และ How หากผู้เรียนสนใจที่จะทำโครงการเกี่ยวกับเรื่องใดจะต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่จะทำนั้นปัญหาแท้จริงคืออะไร และใครสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องทำความเข้าใจว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไปทำไม และทำอย่างไร และถ้าผู้เรียนสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็จะได้หัวข้อในการทำวิจัย จากนั้นครูผู้สอน นำเข้าสู่กระบวนการทำวิจัย เช่น การที่ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมในกลุ่มย่อย จึงได้เห็นพัฒนาการของผู้เรียน ที่เข้าใจการตั้งปัญหาวิจัยมากขึ้น จากนั้นจะปูพื้นฐานเรื่องวิธีการทำวิจัยในขั้นต่อไป ซึ่งในการจัดการเรียน การสอนจะนำ RBL เข้ามาบูรณาการในรายวิชาคอมพิวเตอร์ชิ้นงานของผู้เรียนก็จะเป็นการพัฒนา โปรแกรมหรือนวัตกรรมที่นำไปใช้งานของครูในวิทยาลัยเอง เช่น พบว่าผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียน ภาษาจีน ผู้เรียนจึงพัฒนาสื่อการสอนโดยบันทึกวิดีโอจากเจ้าของภาษาจีน ซึ่งครูผู้สอนภาษาจีนให้ ความร่วมมือได้ดีมาก และพบว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งครูและผู้เรียนได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้มาก อีกหนึ่งแนวทางการสอนรายวิชาโครงการ โดยสร้างสรรค์ชุดกิจกรรมมาผนวกร่วมกับการสอน ในรายวิชา 5 บท ซึ่งจะเป็นรูปแบบของบทบาทสมมติ ให้ผู้เรียนเป็นเสมือนบบริษัทที่กำลังสร้างสรรค์ผลิต นวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของประเทศ โดยมีภารกิจทั้ง 6 ภารกิจ ประกอบไปด้วย การนำเสนอ Idea ที่มาและปัญหา การเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิเคราะห์ การสรุปและอภิปราย และการ Pitching ในแต่ละภารกิจจะมีคะแนนสะสมให้กับผู้เรียนไปจนถึงภารกิจสุดท้าย ซึ่งเมื่อได้ผู้ชนะเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ชนะ เองจะได้รับทุนเพื่อไปต่อยอดการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมต่อไป 4) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากการสอนตามหนังสือ เรียนเนื้อหาจะมีลักษณะความเรียงจำนวนมาก ทำให้ผู้เรียนมีความรู้สึกไม่สนใจที่จะเรียนรู้จึงสร้าง นวัตกรรมขึ้นมาเป็นเอกสารประกอบการเรียน เพื่อแก้ปัญหาผู้เรียนให้มีทางเลือกในการเรียนที่หลากหลาย มากขึ้น เพราะเอกสารประกอบการเรียนเปรียบเสมือนครูสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทีละขั้นตอน จากง่ายไป ยาก จากสิ่งที่ไม่รู้ไปหาสิ่งที่รู้ ช่วยให้การจัดระบบการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถ ของตนเอง ด้วยการลงมือประกอบกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉงตามลําดับขั้น มีโอกาสได้รับข้อติชมทันที
7 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ และรู้ความก้าวหน้าไปตามความสามารถของแต่ละบุคคล โดยเอกสารประกอบการเรียนในรายวิชา ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ ใบงานสำหรับฝึกทักษะที่สอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สมรรถนะรายวิชาที่เหมาะสมกับระดับของผู้เรียน แบบทดสอบสำหรับวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนที่จะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในเอกสารประกอบการเรียน และเป็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการจัด การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้สำรวจว่าผู้เรียนอยากเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องใดมากขึ้น ก็จะพยายามหาจากแหล่งเรียนรู้หรือเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Google Earth เนื้อหาในเอกสารก็จะสร้างมาในรูปแบบ Mind Mapping หรือเป็นตารางที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าเนื้อหาไม่เป็นเหมือนเรียงความ ไม่น่าเบื่อ ทำให้ อยากเรียนมากขึ้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น โดยมีการติดตามและประเมินผล ของเอกสารที่สร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีการบูรณาการ Hybrid Learning ให้ผู้เรียนสามารถใช้ เครื่องมือสื่อสารช่วยในการเรียนได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเรียนรู้ ทั้งนี้ประสิทธิภาพของ เอกสารประกอบการเรียนนั้นจะสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเอกสารประกอบการเรียนเพียง อย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผู้สอนและผู้เรียน โดยผู้สอนจะต้องศึกษาเอกสารประกอบการเรียนการสอนให้เข้าใจ เช่น ด้านเนื้อหา วิธีการสอน และการใช้สื่อการสอนเป็นอย่างดี ส่วนผู้เรียนจะต้องมีความตั้งใจ ทั้งนี้ผู้สอน ต้องมีการกํากับ ดูแล และเอาใจใส่กับพฤติกรรมของผู้เรียน กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านอุตสาหกรรม 1) การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาช่างยนต์โดยรูปแบบการเรียนรู้การออกแบบเชิงวิศวกรรมร่วมกับ การวิจัยเป็นฐาน โดยสร้างเป็น NLS Model ประกอบด้วย (1) Need analysis การจัดการเรียนการสอนโดยการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษารวบรวมข้อมูล (2) Learning skill development แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ และประเมิน ประสิทธิภาพ (3) Self review แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ การตรวจสอบทบทวนตนเอง และการสะท้อนคิด การวางแผนและออกแบบจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ร่วมกัน และการจัด บรรยากาศการเรียนรู้แห่งการให้กําลังใจจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนมากขึ้น จัดกิจกรรม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จัดเวทีนําเสนอ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์โดยการทํางานเป็นกลุ่ม ในแต่ละขั้นตอนผู้สอนจะได้เห็นผลงานของผู้เรียน ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหา ผู้เรียนจะทราบ ถึงปัญหาว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งผู้เรียนจะต้องศึกษารวบรวมข้อมูลเป็น ขั้นตอนที่ 2 จากการสืบค้นจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อจะวางแผนในการแก้ปัญหา จากนั้นก็จะลงมือ ปฏิบัติในขั้นตอนที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการสร้างต้นแบบ หรือทดสอบ ทดลอง จนได้ประสบการณ์จากการลงมือ ปฏิบัติแล้ว ก็นํามาประเมินประสิทธิภาพใน ขั้นตอนที่ 4 จากการแลกเปลี่ยนแนวคิดหรือประสบการณ์ จากการลงมือปฏิบัติ แล้วก็นําแนวคิดไปปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รู้วิธีการและได้แนวคิดที่ตกผลึกแล้ว
8 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ก็ต้องนําแนวคิดหรือวิธีการนั้นมาเขียนเป็นรายงานในรูปแบบงานวิจัยที่มีกระบวนการขั้นตอนตั้งแต่ การวิเคราะห์ปัญหาในขั้นตอนที่ 5 เพื่อที่นํามาเป็นการสะท้อนคิดสำหรับขั้นตอนที่ 6 ออกมาเป็นความรู้ใหม่ ที่ตนเองได้ค้นพบจากกระบวนการต่างๆ โดยทุกขั้นตอนจะเน้นกระบวนการกลุ่มและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บรรยากาศแห่งการให้กําลังใจทําให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียน มากขึ้น และส่งผลต่อความสามารถ ในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้ การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงทําให้ผู้เรียนมีการเตรียม ความพร้อมมากขึ้น มีทักษะการนําเสนอได้ดีขึ้น และมีความใฝ่รู้มากขึ้นตามมา ตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาช่างยนต์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ การวิเคราะห์ ปัญหาของผู้เรียนในการถอดหรือประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ผู้เรียนก็จะทำตามครูผู้สอนที่ได้สอนตามใบงาน ทำให้พบว่าผู้เรียนถอดหรือประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์โดยไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใด และผู้เรียนไม่รู้วัตถุประสงค์ในการบำรุงรักษาหรือการถอดหรือประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เพราะฉะนั้น จึงได้นำ fishbone diagram มาช่วยในการวิเคราะห์ปัญหา เช่น การที่รถยนต์เบรคไม่อยู่เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง เมื่อทราบปัญหาแต่ไม่รู้สาเหตุ จึงได้มีการฝึกให้ผู้เรียนวิเคราะห์สาเหตุ เมื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ผู้เรียน ทำการรวบรวมข้อมูลโดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง และใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เพื่อแก้ทีละสาเหตุ และแต่ละสาเหตุที่ถูกแก้ไปแล้วทำให้ปัญหานั้นหมดไป พอเริ่มบทเรียนใหม่ก็จะเกิด ปัญหาใหม่ขึ้นมา โดยกระบวนการแก้ไขปัญหาของผู้เรียนเกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัติ ในกระบวนการนี้ ผู้เรียนอาจจะสร้างเครื่องมือหรือแบบจำลองขึ้นมา ซึ่งจะมีการทดสอบและทดลอง พร้อมการนำเสนอ การทดสอบและทดลองด้วย เมื่อถึงขั้นตอนการประเมินประสิทธิภาพก็จะเห็นว่าสิ่งที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ ถ้าแก้ไขปัญหาได้จริงใช้วิธีการใดบ้างเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง สมาชิกในกลุ่มและกลุ่มอื่น โดยการนำเสนอผลการปรับปรุง สำหรับสิ่งที่พบในการตรวจสอบทบทวนตัวเอง ในขั้นตอนการเขียนรายงานวิจัย พบว่า ผู้เรียนยังต้องได้รับการฝึกฝน จึงแก้ปัญหาด้วยการให้เขียนโดยใช้ รูปแบบรายงานวิจัยแผ่นเดียวและให้ระบุขั้นตอนต่างๆ ที่ได้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งแก้ปัญหาได้ช่วงหนึ่ง จากนั้น ในขั้นตอนสะท้อนคิด ผู้เรียนได้นำเสนอผลงาน และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากการสืบค้น กระบวนการ วิธีแก้ปัญหา ซึ่งครูจะต้องกระตุ้นจากการใช้คำถามให้ผู้เรียนเกิดการคิด สิ่งที่ได้ในงานวิจัยคือ การใช้ กระบวนการกลุ่มทำให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาได้ 3) การจัดการเรียนรู้ในแผนกช่างก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรม นำหลักการจัดการเรียน การสอนในรูปแบบ RBL มาประยุกต์ใช้ โดยจะให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มในการทำงาน คุณครูผู้สอนจะให้ คำแนะนำในบางจุดที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ วิธีนี้ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในการทำงานมากขึ้น ยกตัวอย่าง การซ่อมแซมโครงหลังคา รูปแบบต่างๆ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีวิธีการซ่อมแซมแตกต่างกันไป หลังจาก นำเอา RBL มาช่วย ผู้เรียนได้เห็น โครงหลังคาในหน้างานจริงก็จะวิเคราะห์ได้ว่าควรใช้วิธีการซ่อมแซมแบบ ใด ซึ่งจุดเด่นของ RBL นี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไม่ว่าจะเก่งหรือไม่เก่ง ครูผู้สอน ให้ทำงานร่วมกันในภาคปฏิบัติ ทำให้ผู้เรียนได้ช่วยเหลือกันและมีความสุขที่จะทำงานร่วมกันมากขึ้น นอกจากนี้มีการนำ RBL ไปใช้ในการทำสิ่งประดิษฐ์ โดยครูผู้สอนกำหนดโจทย์ให้ว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นต้อง
9 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ จำหน่ายได้ จากนั้นให้ผู้เรียนเสนอเรื่องที่สนใจจะทำ จากนั้นครูผู้สอนพิจารณาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถ ทำออกมาให้เป็นชิ้นงานได้หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ก็จะให้ทำขั้นตอนถัดไปโดยทำตามรูปแบบของการทำวิจัย กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านศิลปกรรม การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาศิลปกรรม ซึ่งนำการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยมาร่วมกับ วิธีการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องของการสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนที่ค่อนข้างยากลำบาก โดยได้ ออกแบบชุดการเรียนรู้ที่ประกอบไปด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ใบความรู้ ใบงาน แบบฝึกปฏิบัติสื่อการเรียนรู้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดเวลาในห้องเรียนให้น้อยลง และเพิ่มเวลาให้กับ การลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนสามารถที่จะศึกษาความรู้ก่อนเข้ามาเรียนในห้องเรียนได้ ทั้งนี้รายวิชาโครงการ ในสาขาดิจัลทัลกราฟิก ได้ให้ผู้เรียนสร้างสรรค์งานใหม่ ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ขั้นตอนแรกคือ การสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้ผู้เรียนเข้าไปเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อค้นหาเรื่องที่สนใจ จะศึกษา หรือเรื่องใดที่สามารถนำมาต่อยอดให้กับชุมชนได้ ขั้นตอนนี้จะฝึกให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าด้วยตนเอง มุ่งเน้นทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยพื้นที่ชุมชนในปัตตานีจะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ว่า จะเป็นวัฒนธรรมการแต่งกาย เช่น ผ้าคลุมฮิญาบ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ผู้เรียนจะต้องคิดและสร้างสรรค์สิ่งที่มีอยู่ แล้วให้เกิดความสวยงามและต่อยอดได้ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้กับ ชุมชน นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ผู้เรียนสนใจ เช่น เสื้อฟุตบอลลายปุลากง ที่นำเอากราฟฟิกมาออกแบบ ลวดลายบนเสื้อ ผู้เรียนจะไม่ใช่แค่เพียงออกแบบ แต่ต้องไปศึกษาภายในชุมชนว่ามีอะไรที่สามารถสื่อสาร หรือสื่อความหมายของความเป็นปุลากงได้ นอกจากนี้ยังเข้าไปศึกษาในสถานประกอบการถึงกระบวนการ ผลิตเสื้อหลังจากการออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว ท้ายสุดเมื่อได้ตัวชิ้นงานแล้วผู้เรียนจะต้องไปส่งมอบให้กับชุมชน และรับฟังคำติชม ข้อเสนอแนะ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ผู้เรียนได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับ กระบวนการเรียนรู้ในทุกขั้นตอน รวมไปถึงการนำองค์ความรู้ที่ผู้เรียนได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์และเกิด ความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนและวิทยาลัย กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านคหกรรม การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาการถนอมและแปรรูปอาหาร เป็นวิชาที่เน้นการบูรณาการความรู้ และทักษะในการเลือกใช้วัตถุดิบทั่วไป และวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น รวมถึงการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ ในการถนอม และแปรรูปอาหาร การตรวจสอบคุณภาพการบรรจุภัณฑ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึง ผู้เรียนจะต้องมีเจตคติ และกิจนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงานด้วยความขยัน เริ่มจากให้ผู้เรียนพิจารณาวัตถุดิบที่ มีในท้องถิ่นทั่วไป โดยผู้เรียนค้นคว้าข้อมูลในอินเทอร์เน็ต แล้วคิดวิเคราะห์ว่าสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์อะไร ได้บ้างที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม นำความรู้ที่ได้มาสร้าง Mind Mapping แล้วเลือกพัฒนา ผลิตภัณฑ์ของตนเองด้วยการทดลองและนำมาสะท้อนกลับ พร้อมร่วมกันอภิปรายและเสนอแนะในกลุ่ม ด้วยความแตกต่างของผู้เรียนผลลัพธ์ที่ได้จึงมีเพียงบางกลุ่มที่ประสบความสำเร็จ จึงนำชิ้นงานหรือ
10 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มดังกล่าวมาให้ผู้เรียนกลุ่มอื่นได้เรียนรู้ร่วมกัน พบว่า ผู้เรียนสามารถสร้างเครื่องมือในการ เก็บข้อมูล ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปรับปรุง แก้ไขชิ้นงาน และมีความพึงพอใจกับชิ้นงานที่ทำได้โดย ครูสังเกตพฤติกรรมและให้ทำแบบสอบถาม กรณีตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในด้านเกษตรกรรม การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยการจัดการเรียนการสอนแบบ RBL โดยเลือกเน้นไปที่รูปแบบที่ 1 คือ การนำผลงานวิจัยมาใช้ในการเรียนรู้ เริ่มจากการนำผลงานวิจัยมาใช้ใน การจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการวิจัยและสามารถพัฒนาผลการเรียน ของตัวผู้เรียนเองด้วย ซึ่งจะนำผลงานวิจัยของตนเองเข้ามาบูรณาการในรายวิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำการวิเคราะห์การใช้เนื้อหารสาระในแต่ละหน่วยการเรียนรู้โดยครูผู้สอนเตรียมเนื้อหางานวิจัยที่จะใช้สอน เช่น เรื่องอาหารสัตว์น้ำ ได้นำผลงานวิจัยของตนเองเกี่ยวกับการศึกษาและพัฒนาอาหารสัตว์น้ำ สรุปเป็นเนื้อหาสาระเพื่อรวบรวมเป็นเอกสารประกอบการเรียน หลังจากนั้นมีการสอนและชี้ประเด็นปัญหา ตั้งข้อคำถามต่างๆ ให้ผู้เรียนมีความสนใจมากยิ่งขึ้น และให้ศึกษาเนื้อหาสาระที่ครูเตรียมมา โดยให้ผู้เรียน เรียนรู้เป็นกลุ่มและเสวนาร่วมกันเพื่อสรุปประเด็นในเรื่องนั้นๆ จะทำให้ผู้เรียนได้เปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้าง ขึ้น โดยจะทำในลักษณะแบบนี้ในทุกหน่วยการเรียนที่มีงานวิจัยของครูผู้สอนที่มีความสอดคล้องกับเนื้อหา นั้นๆ กระบวนการวิจัยเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนมีความสนใจอยากที่จะเรียนรู้มากขึ้น โดยสถานศึกษาได้ให้ ความสำคัญในระดับ ปวช.3 ที่เป็นผู้เรียนก่อนจะจบการศึกษาจึงกำหนดไว้ให้ผู้เรียนรวมกลุ่มกัน 3 คน จะต้องมีผลงานวิจัย จำนวน 1 เรื่อง เพราะฉะนั้น เมื่อถึง ปวช .3 ที่ผู้เรียนจะจบการศึกษาต่างก็มาปรึกษา การสร้างสรรค์งานวิจัย โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้ตั้งแต่ ปวช.1 ที่ได้เรียนมาต่อยอด ในขณะเดียวกันงานวิจัย ของครูผู้สอนก็สามารถพัฒนาต่อยอดได้ เช่น การนำสูตรอาหารต่างๆ ที่พัฒนามาใช้วิจัยร่วมกับผู้เรียน ทดสอบการเจริญเติบโต อัตราการรอดของสัตว์น้ำที่ทดลอง งานวิจัยของครูผู้สอนเองก็มีคุณภาพมากขึ้น สามารถพัฒนาไปถึงการตรวจภูมิคุ้มกัน การตรวจเลือดของสัตว์น้ำ และอื่นๆ ผลลัพธ์พบว่า ผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี มีความชอบทำงานวิจัย ได้เห็นว่างานวิจัยไม่ใช่เรื่องยาก เปิดใจที่จะทำ ข้อดี ของการที่ได้สอนประมง คือ สามารถออกแบบงานวิจัยได้หลากหลาย ทั้งกุ้งหอยปูปลา ทำให้สามารถวาง แผนการทำงานวิจัยได้ทั้งเรื่องขนาดประชากรสัตว์น้ำสามารถกำหนดได้ซึ่งจะแตกต่างจากสัตว์ใหญ่ เช่น โค สุกร เพราะว่าขนาดประชากรหาได้ยาก วางแผนการทดลองยาก ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีมากคือตอบโจทย์ตัวผู้เรียน ทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเปลี่ยนความคิดใหม่ และนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาพัฒนาอาชีพในอนาคตได้ด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐาน ครู ได้นำผลงานวิจัยของตนเองมาใช้สอน จึงสะท้อนถึงคำว่า “ผลงานวิจัยไม่ขึ้นหิ้ง” ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ค้นพบ ตัวเอง รู้วิธีการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายอาชีพ สามารถช่วยเหลือชุมชนให้มีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเอง ได้ จึงเป็นแนวทางการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดของคนในยุค New Normal และการบูรณาการรูปแบบ การเรียนรู้อื่นๆ ร่วมกับรูปแบบ RBL เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เอื้อประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้เรียนมีการแสวงหา
11 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้หรือข้อค้นพบใหม่ พัฒนาให้ผู้เรียนมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป และนำไปถ่ายทอดหรือสอนคนอื่น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และเรียนรู้ด้วยการสร้าง ความรู้เองเป็นทีม (Teaming Active) ประกอบด้วยการได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน (Discussion) การได้ ทดลองปฏิบัติเอง (Practice doing) ทำให้ผู้เรียนได้เจอปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เข้าใจและเรียนรู้ได้มากที่สุด และในระดับสุดท้ายคือการสอนคนอื่น (Teaching) รวมถึงผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน ของครูและมีความสุขในการเรียน ถอดบทเรียนประเด็นที่ 2 : แลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ในการบูรณาการเนื้อหาการเรียนรู้มุ่งการผลิตกำลังคนสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ปัจจุบันการจัดการศึกษามุ่งการพัฒนาการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยนำการวิจัยมาใช้เป็น เครื่องมือเพื่อการจัดการเรียนรู้ โดยการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ทั้งการเรียนในห้องเรียนและชีวิตจริง ทําให้ การเรียนนั้นมีความหมายต่อผู้เรียน สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน เป็นกระบวนการสร้าง คุณลักษณะของผู้เรียนที่พึงประสงค์ ซึ่งครูผู้สอนอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นครูนักวิจัย RBL ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในครั้งนี้ได้เสนอแนวคิดและตัวอย่างเทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ในการบูรณาการเนื้อหาการเรียนรู้ ไว้หลักๆ ดังนี้ 1. ผู้สอนคือผู้อำนวยความสะดวก ในโลกยุคใหม่การเรียนรู้เกิดขึ้นได้กับทุกคนและตลอดเวลา ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนจึงควรสอดคล้องกับแนวการปฏิรูปการศึกษา โดยผู้สอนจะต้องเปลี่ยน บทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก ดังนี้ 1) เป็นผู้ออกแบบและจัดระบบการเรียนการสอน เริ่มตั้งแต่การศึกษาหลักสูตร ตลอดจนวางแผน การเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การผลิตและใช้สื่อการเรียนการสอน การวัดผลและ ประเมินผล รวมไปถึงการจัดระเบียบวินัยในชั้นเรียน 2) เป็นผู้จัดบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ ด้านกายภาพ ได้แก่ การจัดชั้นเรียน ระบบเสียงให้ผู้เรียนรู้สึกสบายและอยากเรียน ส่วนด้านจิตวิทยา ได้แก่ การจัดชั้นเรียนให้ผู้เรียนมีโอกาสทำ กิจกรรมร่วมกัน กล้าคิด กล้าทำ กล้าสื่อสาร ให้โอกาสผู้เรียนได้ประสบความสำเร็จทุกคน 3) เป็นผู้ชี้นำหรือแนะแนวทาง เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าหาความรู้โดยการสังเกต การสำรวจ การทดลองซึ่งเป็นวิธีการให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง 4) เป็นผู้สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน พร้อมที่จะเข้าใจ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน เพื่อให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้อย่างราบรื่น
12 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ 5) เป็นผู้เสริมแรง เพื่อให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่ผู้สอนต้องการ และเป็นการย้ำให้ผู้เรียนมั่นใจ ในการกระทำของตนเอง จะได้พัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเลือกโอกาสในการเสริมแรงให้เหมาะสม 6) เป็นผู้ถามคำถาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดและใช้คำถามเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสติปัญญา ของผู้เรียน 7) เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ เมื่อผู้เรียนลงมือปฏิบัติย่อมต้องการทราบผลการกระทำของตน และลักษณะการสอนจะต้องมีความหลากหลาย สอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดเป็น ทำเป็น มีวิจารณญาณของตนเอง บทบาทที่จำเป็นของผู้สอนในอนาคตคือจะต้องคอยให้คำชี้แนะ ซึ่งเป็นการสอนวิธีหาความรู้ในโลก แห่งความรู้อันมากมายที่ไม่อาจบอกได้หมด ยกตัวอย่างเช่น ฝึกให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม นอกจากจะทำให้ ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกลุ่มแล้ว ยังช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิดเห็นของผู้อื่น เรียนรู้ ที่จะรับฟัง เสนอแนะ และบริหารจัดการกันภายในกลุ่ม เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย ในการจัดผู้เรียนเข้า กลุ่มนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการทำงานกลุ่ม เพราะถ้าสามารถจัดกลุ่มผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ผู้เรียนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหา 2. การพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของชุมชนและท้องถิ่น ในการสอนจะมีโจทย์การพัฒนามาจาก วัตถุดิบในชุมชน หรือ ความต้องการแก้ปัญหาในชุมชน ให้ผู้เรียนได้ฝึกในเรื่องของกระบวนการคิด โดยให้ ผู้เรียนนำในส่วนของภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นหลักมาคิดว่าผู้เรียนจะทำอะไร โดยใช้วิธีการไปถามจากชาวบ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน แล้วนำมาร่วมกันเสวนาแลกเปลี่ยนเรียน จากนั้นผู้สอน จะไปเสริมในส่วนของทฤษฎีรวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เรียนสนใจเกี่ยวกับเรื่องปลาส้ม พอได้หัวข้อมาผู้สอนก็ให้วิจารณ์ต่อว่าในส่วนของปลาส้มเจอปัญหาอะไรบ้างที่คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่อยากซื้อ ผู้เรียนก็บอกว่าอาหารชนิดนี้กลิ่นเหม็น เวลาทอดแล้วติดกระทะ จากนั้นให้ผู้เรียนคิดว่าจะทำอย่างไร มีวิธี แก้อย่างไร ผู้เรียนก็ได้ช่วยกันเสนอแนะไอเดียต่าง ๆ จนสุดท้ายสรุปว่าลองนำมาอบแห้ง ซึ่งวิธีการนี้เป็น การต่อยอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาของท้องถิ่น ผู้สอนก็จะให้ผู้เรียนทำโมเดลสร้างเครื่องอบแห้งโดยใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ที่ โดยมีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม และสามารถนำโมเดลเครื่องอบแห้งโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์นี้ไปเป็นต้นแบบหรือประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ชุมชนได้ 3. บทเรียนโมดูลหนวยยอยที่สามารถเรียนรูดวยตนเองในทักษะการพูดและเขียนรายงาน โครงงานแบบสรุป (Self Learning Project Work Module : SLPM) ร่วมกับการเรียนการสอน แบบบูรณาการ การพัฒนาทักษะการเขียนรายงานโครงงานภาษาอังกฤษ ตามหลักการ RBLด้วยSelf LearningProjectWorkModule (SLPM) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของผู้เรียน โดย SLPM หมายถึง บทเรียนโมดูลหน่วยย่อยที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองในทักษะการพูดและเขียนรายงานโครงงานแบบ สรุป มี 6 หน่วยย่อยเรียงลําดับจากง่ายไปยาก ในเล่มประกอบด้วยคําอธิบาย แบบทดสอบก่อนเรียนหลัง เรียน เนื้อหา ในการจัดการเรียนรู้นี้ยังได้มีการบูรณาการร่วมกับวิชาอื่น โดยผู้สอนต้องพูดคุยตกลงกับผู้สอน ในหลายๆ วิชาก่อนและมีการนำว่าควรทำอย่างไร ประยุกต์ใช้อย่างไร และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
13 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ จากนั้นเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์สอนจากผู้สอนหลาย ๆ ท่านนำมารวมไว้ในรายวิชาของตนเอง ในการจัดการเรียนการสอนจะใช้รูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเน้นการเรียนการสอนตามสภาพจริง การปฏิบัติจริง การเรียนรู้จากธรรมชาติ และการเชื่อมโยงเนื้อหารายวิชาและหลักสูตรที่ผสมผสาน เพื่อให้ ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้อย่างบูรณาการและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการเรียนรู้แบบ บูรณาการเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ของหลักสูตรและ ความต้องการของผู้เรียนโดยการจัดการเรียนการสอนตามแนวนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญ ของความเชื่อมโยงของแต่ละวิชาที่มีต่อกัน และหลังจากเรียนรู้ด้วย SLPM ร่วมกับการเรียนการสอนแบบ บูรณาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมีการพัฒนาในด้านทักษะการเขียนรายงานภาษาอังกฤษดีขึ้น และตัวผู้เรียนเองก็มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักการ RBLด้วยSLPMในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 4. การใช้กิจกรรมการเล่าเรื่อง กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การเล่าเรื่องในการพัฒนา ความสามารถด้านการฟังของผู้เรียน ทำได้โดยการเล่าเรื่องด้วยตนเองพร้อมกับสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน มีการใช้น้ำเสียง เพื่อแทนตัวละครในเรื่องให้ผู้เรียนเกิดอารมณ์คล้อยตามขณะที่ฟัง มีการใช้ท่าทางและ ใช้เทคนิคการแต่งกายประกอบการเล่าเรื่อง (Cosplay หรือ Cos’Play)และการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและจินตนาการเป็นภาพได้ ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนจะให้ความสนใจใน การติดตามเรื่องราว ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้ผู้สอนได้เป็นจุดศูนย์กลางของการเรียนรู้ในบางครั้ง การจัดการเรียนแบบนี้เป็นการจัดกลุ่มของลักษณะการสอน โดยยึดความสำคัญของบทบาทที่มีผลต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียนและการใช้เวลาเรียน (learning time) เป็นเกณฑ์ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนโดย ให้ผู้สอนเป็นศูนย์กลางในบางครั้ง ผู้สอนจะต้องทำหน้าที่ดำเนินการต่าง ๆ เช่น บรรยาย อธิบายให้ผู้เรียน ฟัง สาธิตให้ผู้เรียนดู เป็นต้น ในขณะที่ผู้เรียนซึ่งก็มีบทบาทและมีส่วนร่วมในกิจกรรมเช่นกัน เป็นผู้ฟัง ผู้จด ผู้ตอบคำถาม ตั้งใจฟัง ใช้ความคิดในการตอบคำถามด้วยความสนใจ และผู้เรียนเกิดความเข้าใจ ทั้งนี้ ในกระบวนการสอน ผู้สอนเองควรพยายามเลือกใช้คำศัพท์ที่ไม่ยากจนเกินไป เป็นคำศัพท์ที่เข้าใจง่ายและ สามารถสื่อความหมายได้เหมือนกันแล้วค่อยปรับใช้คำที่ยากเพิ่มขึ้นทีละนิด ซึ่งการใช้กิจกรรมการเล่าเรื่อง นี้ก็ช่วยเพิ่มความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ 5. การคัดลอกผลงานทางวิชาการ (Plagiarism)การสืบค้นข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำวิจัย ปัญหาที่พบในการทำวิจัย คือ การคัดลอกผลงานวิชาการหรือ plagiarism ผู้สอนและผู้เรียนหลายท่าน ขาดความรู้เรื่องการอ้างอิงผลงานของผู้อื่นอย่างถูกต้อง หรือมีการคัดลอกข้อมูลหรือการโจรกรรมผลงาน ของผู้อื่น ซึ่งการกระทําลักษณะนี้มีมานานแล้วทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่คนไทยส่วนใหญ่มักไม่ดำเนินการฟ้องร้องหรือเอาผิดทางกฎหมายกับผู้กระทําผิดเช่นนี้นัก แม้จะเป็น การกระทําที่ผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย เพราะการที่จะได้มาซึ่งผลงานวิจัยที่มีคุณภาพนั้น ผู้วิจัยต้องใช้ ความมานะอุตสาหะเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้สอนอาชีวศึกษาจะต้องมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าผลงาน ทางวิชาการหรือองค์ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นนั้นมีความซ้ำซ้อนกับผลงานของผู้อื่นหรือไม่ จนกระทั่งพบ
14 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ การกระทําในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสังคม ไม่ว่าจะในวงการวรรณกรรม ธุรกิจ เกมคอมพิวเตอร์ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ และการศึกษา อีกทั้งในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่เจริญก้าวหน้า เอื้ออํานวยให้การคัดลอกต่างๆ สามารถกระทําได้โดยง่ายและรวดเร็ว จึงมีการคัดลอกผลงานแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผู้เรียนที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าสารสนเทศต่างๆ โดยนํามาใช้ ตัดแปะข้อความของคนอื่นในผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิง หรือที่เรียกว่า Cyber-plagiarism อันเป็นความมักง่ายและคาดว่าผู้สอนจะจับไม่ได้ วิธีแก้ไขที่สามารถทำได้ง่ายที่สุดคือต้องพัฒนาตัวเอง อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่สามารถจะรออ่านความรู้ต่างๆ จากหนังสือได้เพียงอย่างเดียว เพราะความรู้และเทคโลโลยีสมัยใหม่ได้ก้าวหน้าไปไกล ถ้าหากไม่ได้ติดตามว่าตอนนี้มีการตีพิมพ์เรื่องอะไร ไปแล้วบ้างก็จะไม่รู้ว่ากลไกที่ผู้ทำวิจัยจะทำวิจัยไปสู่การตีพิมพ์นั้นมันเก่าไปแล้วหรือว่าทำซ้ำกับใคร เพราะหากไม่สนใจแล้วอาจมีโอกาสเข้าข่าย plagiarism ได้ จึงมีการบูรณาการลักษณะนี้กับการจัด การเรียนการสอน โดยนำหลัก RBL ไปสอนผู้เรียนให้รู้จักการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากแหล่งต่างๆ (Independent Study Skill) และไม่ลอกเลียนผลงานวิจัยของผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น ผู้เรียนสนใจเรื่องแพะ ก็ไปศึกษาค้นคว้าว่ามีใครเคยทำวิจัยเรื่องนี้ไว้หรือไม่ เนื้อหาเป็นเช่นไรจากนั้นฝึกให้ผู้เรียนวิเคราะห์ และสังเคราะห์ให้ได้ว่า ผลงานที่ตนได้สร้างขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการลอกเลียนแบบผู้อื่น แต่มาจาก การนำเอาความรู้จากแหล่งต่างๆ มาปรับใช้ นอกจากนี้ผู้สอนจะให้ความรู้และแนวคิดในด้านการสืบค้นผลงาน วิชาการ ผลงานด้านวิทยานิพนธ์ และอื่นๆ ที่เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 6. ไม่มีวิธีการสอนใดที่ดีที่สุด การจัดการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐานสามารถเชื่อมโยงกับทฤษฎี การสร้างความรู้ใหม่โดยผู้เรียนเองหรือทฤษฎี Constructivism ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงการได้มาซึ่ง ความรู้ และนำความรู้นั้นมาเป็นของตนได้อย่างไร ทฤษฎีนี้เกิดจากความคิดที่ว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ จากการที่แต่ละบุคคลได้สร้างความรู้ขึ้นและทำให้สำเร็จ โดยผ่านกระบวนการของความสมดุล ซึ่งกลไก ของความสมดุลเป็นการปรับตัวของตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อยู่ในสภาพสมดุล ทฤษฎีดังกล่าว ผู้เรียนจะปะทะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลจะมีระดับแตกต่างกันไป และผู้เรียนจะควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีหลักการว่า การเรียนรู้คือการแก้ปัญหาซึ่งขึ้นอยู่กับ การค้นพบของแต่ละบุคคล และเกิดแรงจูงใจจากภายใน มีความกระตือรือร้น มีการควบคุมตนเองและ เป็นผู้ที่มีการตอบสนองด้วย จุดมุ่งหมายของการสอนจะมีการยืดหยุ่นโดยยึดหลักว่า ไม่มีวิธีการสอนใดที่ดี ที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของการออกแบบการสอนก็ควรจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการสร้างความคิดให้เป็น เครื่องมือสำหรับนำเอาสิ่งแวดล้อมของการเรียนที่มีประโยชน์มาช่วยให้เกิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ครูผู้สอนใช้การสอน ในรูปแบบ RBL ผสมผสานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ เกิดออกมาเป็นขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ใหม่ โดยการพัฒนาแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีจุดเน้นในการเรียนรู้จากวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งมี แนวทางในการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้โดยการอาศัยวิธีการ สร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง รวมทั้งได้มีโอกาสในการสืบค้นด้วยตนเองโดยอาศัยเทคโนโลยีในการค้นคว้า
15 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ในมุมมองจุดประสงค์ในทฤษฎีนี้ที่เกิดขึ้น คือ การที่อย่างน้อยผู้เรียนได้ลงมือทำ สามารถสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุในท้องถิ่น เช่น การใช้วิถีชีวิตชุมชนเป็นฐาน โดยนำคำขวัญจังหวัดมาทำการเรียนรู้ เพื่อให้งานวิจัยผู้เรียนและครูผู้สอนอยู่ในพื้นที่ เพราะสุดท้ายแล้วผู้เรียนก็จะกลับมาทำงานในพื้นที่ทำให้ สามารถดำเนินชีวิตบนเส้นทางอาชีพในท้องถิ่นได้ โดยออกแบบเป็นขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 เปิดประตูความคิด เป็นขั้นที่นำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวผู้เรียน หรือเกิดจากการอภิปรายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจาก เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษาในกรณีที่ยังไม่มีประเด็นใดน่าสนใจ ครูอาจเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้ผู้เรียนยอมรับประเด็นหรือคำถาม ที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ศึกษา เมื่อมีคำถามที่น่าสนใจ และผู้เรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นที่ ต้องการศึกษาจึงร่วมกันกำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ขั้นตอนที่ 2 ตั้งสติหาลู่ทางสอดคล้องกับขั้นตอนระบุปัญหา ตั้งสมมติฐาน เป็นขั้นที่ครูและผู้เรียนร่วมกัน วางแผนสำหรับการจัดการเรียนการสอนภายใต้สภาพแวดล้อม และความต้องการร่วมกัน การออกแบบ การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการที่มีเหตุผลและมีลำดับขั้น จุดมุ่งหมายของการออกแบบการเรียนรู้เป็นไป เพื่อตอบสนองความต้องการของครูและผู้เรียนร่วมกัน โดยพิจารณาจากความต้องการ เพื่อกำหนด รายละเอียดของเนื้อหาที่จะเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และผลงานที่จะทำการศึกษา ขั้นตอนที่ 3 ค้นพบทางสว่าง ซึ่งก็จะอยู่ในขั้นตอนการทดสอบสมมติฐาน ขั้นทดลอง การรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง ทั้งการหาข้อมูล การทดลอง การสร้าง ชิ้นงาน หรือการพบปะเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและสถานที่จริง หลังจากนั้นผู้เรียนจะนำองค์ความรู้ที่ได้สร้าง ขึ้นมานำเสนอ เพื่อเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนภายในกลุ่ม อีกทั้งครูยังได้ตรวจสอบ ได้ว่าถูกต้อง และครบถ้วนหรือไม่ ถ้ายังไม่ถูกต้องหรือครบถ้วน ต้องให้ผู้เรียนย้อนกลับไปเริ่มต้น หาข้อมูล ใหม่หรือเพิ่มเติมอีกครั้งจนกว่าจะสมบูรณ์ ขั้นตอนที่ 4 สร้างลิขิตชีวิตตน คือในส่วนของการสรุปผล เป็นขั้นที่ผู้เรียนต้องสรุปความรู้ที่ได้จากขั้น ปฏิบัติการเรียนรู้ โดยรวบรวมองค์ความรู้และผลงานที่เกิดขึ้นและเก็บบันทึกผลงาน ในรูปแบบของ บทความ สมุดรวบรวมผลงาน (Portfolio) และแผนภาพความคิด (Mind Map) ซึ่งเป็นการแสดงถึง การสร้างองค์ความรู้ขึ้นได้ด้วยตนเองของผู้เรียน และขั้นที่ให้ผู้เรียนทำการแสดงผลงานซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอน สำคัญอีกประการหนึ่งของการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างความรู้ผ่านชิ้นงาน เป็นการแสดงผลิตผลของงาน ความคิด และความพยายามทั้งหมด ที่ผู้เรียนได้สร้างผลงานจากองค์ความรู้ที่ได้สร้างขึ้น และเป็นวิธีการ ที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้นๆ รวมทั้งจัดการความรู้ที่ได้ค้นพบโดยการแสดงออกด้วย วิธีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาหรือปรับปรุงความรู้นั้นให้ง่ายต่อการนำไปใช้ ตลอดจนสามารถต่อยอดและ
16 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ นำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง มีความรู้ใหม่หรือนวัตกรรมเกิดขึ้นจากการเอาความรู้ที่ไม่ เหมือนกันมาผนวกเข้าด้วยกัน รวมทั้งทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกในห้องเรียน ครูและผู้เรียนได้ ร่วมกันวิเคราะห์ พิจารณาองค์ความรู้และผลงานทั้งของตนเองและของสมาชิกในห้องเรียน จากนั้นทำ การวินิจฉัย ตัดสิน ลงสรุป เพื่อพิจารณาความเหมาะสมหรือหาคุณค่าขององค์ความรู้ ผลงาน คุณลักษณะ และพฤติกรรมที่ปรากฏอย่างมีกฎเกณฑ์และมีคุณธรรม ถอดบทเรียนประเด็นที่ 3 : ระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสูงตอบสนองตามความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายใหม่ของประเทศ จากการระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี สมรรถนะสูงตอบสนองตามความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศ บนกระดาน ออนไลน์ พบว่า ข้าราชการครูและบุคลากรอาชีวศึกษาได้เล็งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการจัด การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยที่เพิ่มมากขึ้น และมีความมุ่งหวังที่จะนำกระบวนการดังกล่าวไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียนอาชีวศึกษาร่วมกับกระบวนการจัดการเรียนรู้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น (1) การเรียนรู้แบบเน้น ประสบการณ์ (Experiential learning) ของ Kolb (1984 อ้างถึงใน กิตติภพ ปินทิโย และปริญญภาษ สีทอง, 2022 ) ที่ระบุว่า การจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ การจัดการเรียนรู้ แบบใช้โครงงานเป็นฐานเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเพื่อให้มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ เพื่อพัฒนาชิ้นงานหรือเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์, (2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานเป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้น เรียนกับชุมชนที่มีโดยการมีส่วนร่วมของผู้สอน จากการลงพื้นที่ สัมผัสพื้นที่ และค้นหาปัญหาชุมชนอันเป็น การฝึกทักษะการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่พบจริงในชุมชนด้วยการทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม (นิภาพรรณ เจนสันติกุล, 2021, น.84), (3) การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงตั้งแต่การสำรวจค้นคว้า วางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่เรียนมา และการประเมินผลงานโดย ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้(ธีรพัฒน์ วงศ์คุ้มสิน, 2020, น. 224) (4) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ที่มุ่งเน้นให้บทบาทของผู้สอนจะเปลี่ยนเป็นผู้ออกอำนวยการจัดการเรียนรู้ โดยที่ผู้เรียนจะมีต้องส่วนร่วม ในกิจกรรมการเรียนรู้ได้ลงมือกระทำเพื่อพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทักษะการคิดขั้นสูง การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ (ปรียา สมพืช, 2016, น.261) โดยยังรวมไปถึงการนำ เทคโนโลยีทางการศึกษาที่มีความทันสมัยมาปรับและประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เนื่องจาก ปัจจุบันเทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาสร้างการเรียนรู้เป็น การนำโลกภายนอกเข้ามาสู่ห้องเรียน และเป็นการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานวิธีเช่นนี้จะทำให้ผู้สอน"ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้
17 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ ที่สามารถจะช่วยส่งเสริมความสามารถและทักษะของผู้เรียนให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของ ตลาดแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศ โดยความสามารถและทักษะที่ผู้สอนคาดหวัง ที่จะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอาชีวศึกษา ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ ทักษะการคิด แก้ปัญหา ทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ ทักษะ ทางสังคมและอารมณ์ และทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะที่กล่าวมาทั้งหมดสอดคล้องกับทักษะ ที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 ของ Panich (2012 อ้างถึงในพีระนันท์ นัมคณิสรณ์, 2018 ) และยังได้กล่าวถึงว่า “การศึกษาที่มีคุณภาพสําหรับผู้เรียนในศตวรรษใหม่ต้องเรียนให้บรรลุถึงทักษะของการเรียนรู้ที่แท้ การเรียนจะต้องนําไปสู่ การปฏิบัติจากเนื้อหาความรู้สู่ทักษะในการดํารงชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงและ โลกในอนาคตรวมทั้งปลูกฝังให้เป็นผู้ใฝ่รู้ตลอดชีวิตโดยอยู่บนพื้นฐานความเป็นไทยและฐานคิดปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง” อีกประการหนึ่ง ผู้สอนเองยังไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ทักษะที่เกิดในตัวผู้เรียนเท่านั้น แต่ยัง มีความมุ่งหวังที่จะนำพาผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนในบริบทที่ใกล้เคียงกับวิทยาลัยให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะให้ชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้เรียนเองจะได้การเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของชุมชน และตระหนักถึงการเป็นเจ้าขององค์ความรู้ที่จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ ในการถ่ายทอดให้กับคนในชุมชน อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ส่งเสริม ต่อยอด และสร้างสรรค์นวัตกรรม สู่ชุมชน นอกจากนี้ครูนักวิจัยอาชีวศึกษาที่ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งนี้ ยังเกิดความคิดของ การบูรณาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยมาร่วมกับสถานประกอบการเพื่อหาแนวทางการจัด การเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ที่จะสามารถสร้างสมรรถนะของผู้เรียนอาชีวศึกษาที่สอดรับกับสมรรถนะของ ตลาดแรงงานใน สถานประกอบการภายใต้ของการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน หรือแม้แต่ความคิดใน การหาแนวทางการจัดการเรียนรู้รูปแบบอื่นที่จะช่วยเสริมสร้างสมรรถนะของการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Skills) ในการสร้างแนวคิดทางด้านธุรกิจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากค่านิยมอาชีพในปัจจุบันเรื่องของการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้สอน เองตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ที่จะส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนได้มีทักษะทางด้านการบริหารจัดการ ธุรกิจ การบริหารจัดการการเงิน และการอยู่รอดด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามจากการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ ยังได้พบ ความคิดเห็นที่เป็นข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ พัฒนา และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ทัศนคติต่อการเรียนอาชีวศึกษา ควรหาแนวทางในการสร้างค่านิยมของการเรียน อาชีวศึกษาสูงขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่ทัศนคติของผู้เรียนเพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงค่านิยมของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องไปศึกษาและหากลวิธีที่จะทำอย่างไรให้คนทั่วไปได้เล็งเห็นความสำคัญของฟันเฟืองหลักของกำลังคน ในอาชีวศึกษาที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ประเด็นที่ 2 คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ควรมีการจัดทำคู่มือหลักการและ กระบวนการการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย แบบละเอียด และเป็นบริบทของครูอาชีวศึกษา รวมทั้งมีการยกตัวอย่าง กรณีศึกษาในแต่ละกระบวนการและแต่ละประเภทวิชาเพื่อให้เห็นภาพ
18 รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ อย่างชัดเจน และผู้สอนท่านอื่น ๆ จะได้นำคู่มือไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนการสอน ในห้องเรียน ประเด็นที่ 3 การสนับสนุนการสร้างเครือข่ายและการโค้ชชิ่งสำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่และรุ่นเก่า เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ และเป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะสามารถช่วยกันพัฒนาและปรับปรุง การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย และการเรียนรู้ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ส่งเสริมสมรรถนะของผู้เรียน อาชีวศึกษา ประเด็นที่ 4 การสนับสนุนเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มวิชาเกษตรกรรม เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าถึงและได้ลงมือปฏิบัติด้วยการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบของเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ซึ่งจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาผู้เรียนอาชีวศึกษาเป็นกำลังคนในภาคเกษตรกรรมที่มีความรู้และ ความสามารถที่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่มีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน ดังนั้นการระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อื่นๆ ของข้าราชการครู และบุคลากรอาชีวศึกษา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสูงตอบสนองตามความต้องการของกลุ่ม อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศของทั้ง 3 รุ่นที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นเสมือนการวางรากฐานของกระบวนการทางความคิดที่เป็นเหตุและผลให้ เกิดขึ้นกับผู้เรียนอาชีวศึกษา ผ่านการแสวงหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การออกแบบและสร้างสรรค์ นวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่ความสามารถในการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เชื่อมโยงใน ชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ผู้สอนอาชีวศึกษายังสามารถนำเอาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยไป ผสมผสานกับวิธีการจัดการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบ ตามบริบทของลักษณะและสมรรถนะที่พึงประสงค์ ของแต่ละรายวิชา รวมไปถึงบริบทของสถานศึกษาเองด้วย จากที่กล่าวมาข้างต้นนับได้ว่า การจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัย เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนที่สามารถบ่งชี้ถึงประโยชน์และแนว ทางการเสริมสร้างความสามารถและทักษะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้ดีท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยงแปลงของ โลกในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นคือ การได้มาซึ่งข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไป ปรับปรุงและเพิ่มศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนของอาชีวศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะ ผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งระดับประเทศ และระดับนานาชาติ
รายงานการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ บรรณานุกรม กิตติภพ ปินทิโย และปริญญภาษ สีทอง. (2022). การพัฒนาหลักสูตรการออกแบบเทคโนโลยีตามทฤษฎี การ เรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานสำหรับผู้เรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1: Development of Technology Curriculum Design Based on Experiential Learning Theory in Conjunction with Project Based Learning Management for Grade 7 Students. สิกขาวารสารศึกษาศาสตร์, 9(1), 37-46. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sikkha/article/view/250578/174567 ธีรพัฒน์ วงศ์คุ้มสิน. (2020). การ จัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการนำ ตนเอง. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 46(1), 218-253. https://so04.tcithaijo.org/index.php/socku/article/view/241841/165254 นิภาพรรณ เจนสันติกุล. (2021). กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน: บทสะท้อนจากประสบการณ์ และการเรียนรู้. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มมร วิทยาเขตอีสาน, 2(3), 78- 85.https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jhsmbuisc/article/view/253640/171506 ปรียา สมพืช. (2016). การจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้กรณีศึกษา. Research Journal Phranakhon Rajabhat: Social Sciences and Humanity, 11(2), 260-270.https://so05.tcithaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/article/view/65442/59427 พีระนันท์ นัมคณิสรณ์. (2018). ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21. วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, 33(1), 59-68.https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/246538/167527 Chelong, A., & Jeawkok, J. (2020). การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในมนุษย์. Journal of Graduate Studies Valaya Alongkorn Rajabhat University, 14(2), 241- 250.https://so02.tcithaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/185589/164371
ภำคผนวก
21 เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ ถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย เพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอาชีวศึกษาสู่โลกอุตสาหกรรมใหม่ รูปแบบระบบออนไลน์ รุ่นที่ 1 วันที่29 พฤศจิกายน 2565 รุ่นที่ 2 วันที่8 ธันวาคม 2565 รุ่นที่ 3 วันที่20 ธันวาคม 2565
อุตสำหกรรมเป้ำหมำยใหม่ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวของการลงทุนเฉลี่ยและอัตราการขยายตัว ของ GDP เฉลี่ยอยู่ในระดับที่ต่ า ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทยในระยะ ถัดไปได้ นอกจากนี้ หากต้องการให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว จ าเป็นต้องมีการก าหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้ง มีมาตรการสนับสนุนเพื่อชักจูงการลงทุนในประเทศไทยด้วย กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้น าเสนอเรื่อง ข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย: กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ภายใต้ แนวคิดที่ว่า ประเทศไทยสามารถผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (S - Curve) ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 5 อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (First S - Curve) และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S - Curve) และ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยการ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ผ่านการก าหนดนโยบายอุตสาหกรรมที่เป็น New Growth Engine ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งประกอบด้วย 1. อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้มีรายได้สูงและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต 2. อุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรม เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรและ 3. อุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มเติม ได้แก่ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนา บุคลากรและการศึกษา ซึ่งการจัดเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวสามารถด าเนินการ ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ 1) Build การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร 2) Buy (Recruit) การสรรหาบุคลากรใหม่ 3) Borrow (Short-term) การน าบุคลากรภายนอกมาท างานภายในองค์กรในเวลาและขอบเขตของงาน ที่ก าหนด และ 4) Release การปล่อยให้บุคลากรที่ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ออกจากองค์กร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะ การด าเนินธุรกิจขององค์กรอัตราการแข่งขันทางธุรกิจ และระดับทักษะ ที่มีความต้องการ รูปแบบกำรจัดเตรียมบุคลำกรตำมลักษณะกำรด ำเนินธุรกิจ Core Disruptor กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้น าในการเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่ให้ความส าคัญ กับการน าเทคโนโลยีใหม่ เข้ามาใช้ในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงการปรับเปลี่ยนโมเดล ทางธุรกิจ เป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบุคลากรที่อยู่ภายใต้บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ ล้วนเป็นบุคลากรที่มีทักษะสูง (High-Skill Workforce) ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรม • Software • Technology • Telecom • Media Efficiency Enhancer กลุ่มบริษัทที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพในการด าเนินธุรกิจ โดยเครื่องจักรสามารถเข้าไปทดแทนการท างานของแรงงานได้ ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดที่มีระดับการเติบโตช้าหรือ 22
ค่อนข้างคงที่ กลุ่มบริษัทดังกล่าวมักมีแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะปานกลางถึงต่ า (Low and MidSkill Workforce) ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรม • Retail • Banking and Insurance • Labor-intensive Manufacturing Human – Machine Collaborator กลุ่มบริษัทที่เน้นการท างานร่วมกันระหว่างเครื่องจักรและ มนุษย์ โดยให้ความส าคัญกับเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี ในฐานะส่วนเติมเต็มที่ช่วยให้การท างานของมนุษย์ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้มักอยู่ในตลาดที่มีการเติบโตปานกลางถึงระดับ ที่มีความแข็งแกร่ง แรงงานส่วนใหญ่มีทักษะระดับปานกลางถึงระดับสูง (Mid and High-Skill Workforce) ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรม • Healthcare • Advanced Manufacturing • Asset Management กำรประสำนควำมร่วมมือในกำรจัดเตรียมควำมพร้อมของบุคลำกร ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานแต่ละภาคส่วนช่วยให้การจัดเตรียมความพร้อมของบุคลากร ด าเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาคอุตสาหกรรมจะเป็นผู้ก าหนดความต้องการ ภาคนโยบายสนับสนุน การพัฒนาก าลังคนให้เป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และภาคการศึกษาท าหน้าที่ผลิต บุคลากรที่มีคุณสมบัติและจ านวนตรงตามความต้องการให้แก่ภาคอุตสาหกรรม กำรพัฒนำอุตสำหกรรมใหม่ ที่ต่อยอดจำกอุตสำหกรรมปัจจุบัน 5 อุตสำหกรรมเดิมที่มีศักยภำพ (First S-curve) 1. อุตสำหกรรมยำนยนต์สมัยใหม่ (Next-generation automotive) อุตสาหกรรมยาน ยนต์ถือเป็นรากฐานส าคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของ ประเทศไทยกว่า 40 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีมูลค่า ถึงร้อยละ 5.8 ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ และได้รับการกล่าวถึงอย่างมากจากผู้ประกอบการยานยนต์ ทั่วโลก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ อย่างมากจากเทคโนโลยี สมัยใหม่ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต ควรมีการมุ่งเน้นสาขาต่างๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ดังนี้ 1.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • พัฒนาเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจากการประกอบ ร่วมกับ ผู้ผลิต (OEM) เพื่อน าไปสู่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนรถไฟฟ้าต่อไป • ขยายธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะ ในด้านการออกแบบและจัดท าต้นแบบ (Surface Integration Design & Prototyping) • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพและความแม่นย าสูง (Catalytic Manufacturing) • พัฒนาธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ก้าวทันมาตรฐาน โลก เช่น ชิ้นส่วนระบบความปลอดภัย ชิ้นส่วนระบบก าลังส่ง (Transmission System Parts) • ผลิตจักรยานยนต์ (ขนาดมากกว่า 248 cc) โดยมีการขึ้นรูปชิ้นส่วน ของเครื่องยนต์ 23
2. อุตสำหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart electronics) เป็นเสาหลักส าคัญ ในภาคการส่งออกของประเทศไทย ในปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 24 ของรายได้การส่งออกของประเทศ ในปี พ.ศ. 2557 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นผู้ผลิตส าคัญระดับโลกในอุตสาหกรรม ฮาร์ดดิสก์และวงจรรวม (Integrated Circuits) อีกด้วย ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี เครื่องรับรู้ (Sensors) และวงจรรวม (Integrated Circuits) ที่มีขนาดเล็กลง และมีความ ซับซ้อนมากขึ้น ประเทศไทยควรส่งเสริมอุตสาหกรรมย่อยที่ผลิตอุปกรณ์ซึ่งใช้ เทคโนโลยีระดับสูง มากขึ้น ได้แก่ 2.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตวงจรรวมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น • ผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในยานยนต์ และอุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อุปกรณ์โทรคมนาคม • ออกแบบและผลิต ระบบที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Appliances) ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่าย อินเทอร์เน็ตได้(Internet of Things) • ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเภทสวมใส่ เช่น Fitbits • การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาด เล็ก (Microelectronics) และการออกแบบระบบฝังตัว (Embedded Systems) รวมถึงการผลิตสารหรือ แผ่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ 3.อุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวกลุ่มรำยได้ดี และกำรท่องเที่ยวเชิงสุขภำพ (Affluent, medical and wellness tourism) ถือเป็นอีกหนึ่งก าลังส าคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยถือได้ว่าเป็นผู้น าด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนโยบาย ที่เน้นเรื่องการเพิ่มคุณภาพของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและ ไทย-เที่ยว-ไทย อย่างไรก็ดี แนวโน้มของโลก จะมีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงควรมีการเพิ่มเติมทิศทางส าหรับอนาคตดังนี้ 3.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • ยกระดับป ระสบก า รณ์แล ะคุณค่ าจ ากก า รท่องเที่ยว (Value Proposition) เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงจากประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก • จัดระเบียบและส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่หลากหลายตามสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มคุณค่าและประสบการณ์ เช่น กีฬาทางน้ า (Water Sports) • สนับสนุนธุรกิจทางการแพทย์และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ (Wellness and Rehabilitation) โดยต่อยอดจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medicaltourism) ที่เข้มแข็ง • ส่งเสริมประเทศไทยในการเป็นศูนย์รวมของการแสดงสินค้าและ นิทรรศการระดับนานาชาติ (MICE) 24
4. อุตสำหกรรมกำรเกษตรและเทคโนโลยีชีวภำพ (Agricuture and biotechnology) การเกษตรเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมมากที่สุดภายในประเทศไทย มีมูลค่าถึงร้อยละ 8.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ นอกจากนี้สัดส่วนแรงงานไทยที่ท างานในภาคการเกษตรยังสูงถึง ร้อยละ 40 ส่งผลให้การเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ที่มีความส าคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ ของประชาชน อย่างไรก็ดีในปัจจุบันภาคเกษตรกรรมในไทยยังมีผลิตภาพแรงงานอยู่ในระดับค่อนข้างต่ า จึงมีศักยภาพที่จะสามารถยกระดับจากการน าเทคโนโลยีทางการเกษตรใหม่ๆ มาใช้เกิดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม ย่อยที่เป็นเป้าหมายคือ 4.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • ธุรกิจเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง เช่น การใช้ระบบเครื่องรับรู้(Sensors) การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูง (Advance Danalytics) และระบบอัตโนมัติ • การลงทุนและการวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เช่น การปรับปรุง พันธุ์พืชและสัตว์ • อุตสาหกรรมการคัดคุณภาพ บรรจุ เก็บรักษาพืชผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ระบบเซนเซอร์ตรวจสอบเนื้อในผลไม้ • กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 5. อุตสำหกรรมกำรแปรรูปอำหำร (Food for the future) เป็นอุตสาหกรรม ที่มีความส าคัญระดับสูงต่อประเทศไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้จ านวนแรงงานมากที่สุด มีมูลค่า การลงทุนสูงที่สุด มีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุด และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสูง ที่สุดในบรรดาสาขาต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย ในปัจจุบันมีแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลงในตลาดอาหารทั่วโลกอยู่ 3 แขนง ซึ่งมีโอกาสส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร แนวโน้มดังกล่าว ได้แก่ 1) ความต้องการมาตรฐาน ความปลอดภัยและความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่สูงขึ้นจากผู้บริโภคอาหาร 2) การเพิ่มขึ้นของความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และ 3) การพัฒนา ผลิตภัณฑ์จากแหล่งโปรตีนทางเลือก ซึ่งใช้พลังงานทรัพยากรและต้นทุนในการผลิตน้อยกว่าแหล่งโปรตีน จากสัตว์ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นโอกาส ในการยกระดับอุตสาหกรรม อาหารแปรรูป โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมย่อยดังนี้1.สารสกัด/ผลิตภัณฑ์จากสารสกัด 2. สารออกฤทธิ์ 5.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรฐานด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ในกฎระเบียบความปลอดภัยด้านอาหาร • กลุ่มอุตสาหกรรมวิจัยและผลิตโภชนาการเพื่อสุขภาพ - อาหารที่มีการเติมสารอาหาร (Fortified Foods) - ผลิตอาหารไทยไขมันต่ า พลังงานต่ า และน้ าตาลต่ า - ผลิตสารออกฤทธิ์ (Active Ingredient) และสารสกัด จากวัตถุดิบทางธรรมชาติ 25
- อาหารทางการแพทย์ (Medical Food) และอาหารเสริม (Food Supplement) • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่ใช้โปรตีนจากแหล่งทางเลือก เช่น โปรตีนเกษตร 5 อุตสำหกรรมอนำคต (New S-curve) 1. หุ่นยนต์เพื่ออุตสำหกรรม (Robotics) ในปัจจุบันประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่มี ฐานการผลิตขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้ม ว่าจะมีการใช้วิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติตามสายการผลิตมาก ขึ้น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ศักยภาพของประเทศ ไทยในการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์เป็น อุตสาหกรรมใหม่ เนื่องด้วยอุตสาหกรรมเหล่านี้ นอกจากจะ เพิ่มความต้องการระบบหุ่นยนต์ในประเทศแล้ว ยังมีวิทยาการ องค์ความรู้ และบุคลากรที่สามารถ ได้รับการต่อยอดได้อีกด้วย 1.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม โดยทั่วไปฐานการผลิตหุ่นยนต์มักจะตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกันกับแหล่ง อุตสาหกรรมที่มีความต้องการหุ่นยนต์ประเภทนั้นๆ ดังนั้น ประเทศไทยควรวางแผนสร้างฐานการผลิตหุ่นยนต์ เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศและภูมิภาคอาเซียนโดยตรง อันได้แก่ • หุ่นยนต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ โดยเฉพาะหุ่นยนต์ที่ใช้ ในการเชื่อมโลหะ ซึ่งมีจ านวนมากเป็นอันดับหนึ่งของจ านวนหุ่นยนต์ที่น าเข้า มาสู่ภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน หรือนับเป็นร้อยละ 38 ของจ านวนหุ่นยนต์ที่น าเข้า ทั้งหมด โดยหุ่นยนต์เหล่านี้มักจะมาในรูปแบบแขนหุ่นยนต์ ที่มีแกนเคลื่อนที่แบบหมุน (Articulated Robot) • หุ่นยนต์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตอัดฉีดพลาสติกซึ่งมีจ านวนมากเป็นอันดับ สองของจ านวนหุ่นยนต์ที่น าเข้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน หรือนับเป็นร้อยละ 19 ของจ านวนหุ่นยนต์ ที่น าเข้าทั้งหมด โดยหุ่นยนต์เหล่านี้เป็นแขนหุ่นยนต์ที่มีทั้งรูปแบบแกนเคลื่อนแบบหมุน และรูปแบบแกน เคลื่อนที่แบบเชิงเส้น (Linear Gantry Robot) • หุ่นยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หุ่นยนต์ด าน้ า และหุ่นยนต์ ที่ใช้ ในปฏิบัติการทางการแพทย์โดยมุ่งเน้นรูปแบบที่ผลิตมาเพื่อสรีระของผู้ป่วยชาวเอเชีย โดยอุตสาหกรรม การผลิตหุ่นยนต์ประเภทหลังนี้ ควรจะได้รับการพัฒนาหลังจากที่ประเทศไทยมีประสบการณ์จากการผลิต หุ่นยนต์สองประเภทข้างต้นมาพอสมควรแล้ว 2. อุตสำหกรรมกำรบินและโลจิสติกส์ (Aviation and logistics) อุตสาหกรรมการขนส่ง เป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เพราะนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค อาเซียนแล้ว ประเทศไทย ยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับอินเดียและจีนอีกด้วย นอกจากนี้ยังถือเป็นอุตสาหกรรมส าคัญ เพื่อเอื้ออ านวยแก่อุตสาหกรรมอื่นๆ ส่วนในด้านอุตสาหกรรมการบินเป็นอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะโตเร็วที่สุด 26
ในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีขนาดใหญ่ในประเทศที่มีรายได้สูง แต่ยังไม่มีในประเทศไทย โดยมีอัตรา การขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ส าหรับด้านการ ผลิตและซ่อมบ ารุง และร้อยละ 2.8 ในด้านการขนส่งทางอากาศ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว เนื่องด้วยภูมิศาสตร์ของไทย เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และยังอยู่ในระยะใกล้ (น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงบิน) กับเมืองใหญ่ ของประเทศจีนและประเทศอินเดีย ซึ่งจะมีอัตราการขยายตัวของธุรกิจ สายการบินและจ านวนเครื่องบินสูง ที่สุดในโลก 2.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม ประเทศไทยควรพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่ง และการบินแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุม 5 ชนิดธุรกิจ คือ • กิจการสาธารณูปโภคและบริการเพื่อการขนส่ง เช่น Inland Container Depot (Icd) กิจการขนถ่ายสินค้าส าหรับเรือบรรทุกสินค้า กิจการขนส่งทางรางและ สนามบินพาณิชย์ • ศูนย์รวมกิจการโลจิสติกส์ทันสมัย เช่น การขนส่งทางอากาศ (Air Cargo) ศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย (International Distribution Center: IDC) การขนส่งแบบ Cold Chain และการขนส่งที่ใช้ Big Data and Analytics ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กลาง การขนส่งทางอากาศของอนุภูมิภาคลุ่มน้ าโขงได้ • การบริการซ่อมบ ารุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul: MRO) มุ่งเน้นการซ่อมบ ารุงโครงสร้างเครื่องบินล าตัวแคบ (Narrow-body Airframe Maintenance) ซึ่งจะมีจ านวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในแถบภาคพื้นเอเชีย การซ่อมบ ารุง ชิ้นส่วน (Component MRO) และการซ่อมบ ารุงเครื่องยนต์ (Engine MRO) โดยการ ร่วมทุนกับสายการบิน ผู้ให้บริการซ่อมบ ารุง (Third Party Mro Provider) หรือผู้ผลิต ชิ้นส่วน (OEM) นอกจากนี้ ยังควรพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วน อากาศยาน (OEM) โดยการชักชวนผู้ผลิตระดับที่ 1 และ 2 (Tier 1 and 2) เข้ามาลงทุนในไทยและสนับสนุน ให้ผู้ผลิตที่มีฐานผลิตในไทยอยู่แล้วแต่ยังไม่มีการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน ริเริ่มธุรกิจดังกล่าว ส่วนผู้ผลิตระดับ 3 (Tier 3) ควรสนับสนุนผู้ผลิตในไทยให้เริ่มผลิต ชิ้นส่วนอากาศยาน โดยเริ่มจากชิ้นส่วนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับ ความปลอดภัยก่อน (Non-safety Parts) • การพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานให้เป็นเขตอุตสาหกรรมส าหรับ ธุรกิจที่มี มูลค่าสูง (High-value Manufacturing) อาทิอิเล็กทรอนิกส์ระดับสูงและเวชภัณฑ์ และธุรกิจ ที่ต้องการความเร็วจากการขนส่งทางอากาศ (Time-sensitive Products) เช่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และแฟชั่นควบคู่กับเพื่อการอยู่อาศัยและอ านวยความสะดวกด้วย • การให้บริการฝึกอบรมนักบินและลูกเรือ (Pilot and Cabin Crew) และบุคลากร ด้านเทคนิค (Technician) รวมถึงด้านซ่อมบ ารุงและพนักงานภาคพื้น (Ground Staff) ซึ่งสามารถตั้งขึ้นได้โดยร่วมทุนกับสายการบิน ผู้ผลิตและจัดจ าหน่ายเครื่องบิน ผู้ผลิตอุปกรณ์เพื่อการอบรม หรือจัดตั้งโดยรัฐบาล เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ บุคลากรด้านการบินที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงถึง 460,000 คน ในปี 2577 ในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก 27
3. อุตสำหกรรมดิจิทัล (Digital) ดิจิทัลถือเป็นแนวโน้มส าคัญของโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมภาคการผลิต และผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพิจารณาผลกระทบและศักยภาพ ของประเทศไทยแล้ว จะสามารถแบ่งอุตสาหกรรมย่อยได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่มาจากความต้องการ ด้านดิจิทัลของฐานธุรกิจ และกลุ่มที่ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็น อุตสาหกรรมใหม่เพื่อการส่งออกได้ดังนี้ 3.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม อุตสาหกรรมดิจิทัลที่เกิดจากความต้องการของ รัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภค เพื่อเป็น กลไกขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แบ่งย่อยได้เป็น 5 ประเภท ธุรกิจ คือ • ธุรกิจพัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ ทั้ง Embedded Software, Enterprise Software และ Digital Content และสามารถพัฒนาเป็น พื้นที่นิคม Software Park • ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งในและต่างประเทศ (Domestic and International E-commerce Player) ซึ่งรวมถึงการยกระดับภาคการค้าปลีก ของไทยสู่การใช้ช่องทาง อิเล็กทรอนิกส์ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเริ่มต้นธุรกิจ (Start Up) ส าหรับผู้บริโภคในประเทศ และดึงดูด ผู้ประกอบการ E-commerce ต่างชาติให้เข้ามาลงทุน • จัดตั้งศูนย์รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค (Analytics and Data Center) เพื่อให้บริการการวิเคราะห์ข้อมูลเจาะลึกของตลาด (Consumer Insights) แก่ธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งนี้ สามารถพัฒนาเป็นพื้นที่นิคม Data Center • บริการเกี่ยวกับหน่วยจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลออนไลน์ (Cloud Computing) และการป้องกันอันตรายในโลกออนไลน์ (Cyber Security) เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ มีความคล่องตัว และเติบโตได้ด้วยการใช้ระบบดิจิทัล • พัฒนาเมืองอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของ อุปกรณ์ต่างๆ (Internet of Things - Enabled Smart City) ซึ่งจะเป็นการ พัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรม โทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการยกระดับ คุณภาพชีวิต • อุตสาหกรรมดิจิทัลจากทรัพยากรและจุดแข็งของประเทศไทย ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมใหม่ได้ คือ - อุตสาหกรรมสื่อสร้างสรรค์และแอนิเมชัน (Creative Media and Animation) โดยต่อยอดจากศักยภาพด้านการออกแบบเพื่อยกระดับสู่การเป็นเจ้าของเนื้อหา และร่วมลงทุนกับบริษัทสตูดิโอแอนิเมชันระดับโลก - ศูนย์นวัตกรรม วิจัย และออกแบบส าหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อนาคต โดยพัฒนาศักยภาพเพื่อโอกาสในการจ าหน่ายนวัตกรรมสู่ประเทศ ก าลังพัฒนาอื่นๆ ในภูมิภาค ใกล้เคียง 4. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (BIOFUELS AND BIOCHEMICALS) เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเร็วในอนาคต และเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทย 28
มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ เช่น การที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกมันส าปะหลัง รายใหญ่ที่สุดของโลก มีอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงเอทานอล ที่พัฒนาแล้ว เป็นต้น 4.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม ประเทศไทยควรจะสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพ ที่ต่อยอดจากอุตสาหกรรมผลิต เอทานอลและเคมีในปัจจุบัน ดังนี้ • สร้างอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพครบวงจร โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมกลาง น้ า เช่น การผลิตกรดแลคติกและกรดซักซินิกจากเอทานอล เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอุตสาหกรรมต้นน้ า (ผลิตเอทานอล) และปลายน้ า (อุตสาหกรรมเคมี) ที่มีอยู่แล้วรวมถึงผลิตภัณฑ์เคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ • ยกระดับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยขยาย การใช้เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่สอง (ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ไม่เป็นอาหาร เช่น ซังข้าวโพดและชานอ้อย) และเพิ่มการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่สาม (ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจาก สาหร่ายที่สามารถเพาะเลี้ยงได้) 5. อุตสำหกรรมกำรแพทย์ครบวงจร (Medical hub) เป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ต่อยอดจาก ธุรกิจการรักษาพยาบาล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประเทศไทยมีฐานเดิมที่แข็งแรง โดยเพิ่มธุรกิจด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์จากพื้นฐานด้านอิเล็กทรอนิกส์และ โทรคมนาคม โดยอุตสาหกรรมนี้ เป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้าง เร็วในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว คือร้อยละ 3.2 และอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์จาก พื้นฐานด้านการเกษตรและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ของไทยจะประกอบด้วย 3 ส่วน คือการให้บริการสมัยใหม่ การวิจัย และผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการวิจัยยาผลิตเวชภัณฑ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 5.1 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม • การให้บริการด้านการแพทย์ผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟน (eHealth and mHealth) โดยการใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อและระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Records: EMRs) เพื่อให้ค าปรึกษาทางการแพทย์และให้บริการ รักษาทางไกลกับผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกแทนการเสียค่ารักษา พยาบาลราคาสูง หรือเพื่อให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล การพัฒนา ระบบดังกล่าว สามารถท าได้โดยสถานพยาบาล หรือผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม • การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและติดตามผลระยะไกล (Remote Health Monitoring Devices) ซึ่งมีรากฐานมาจากการพัฒนาของเครื่องรับรู้ (Sensors) และอุปกรณ์การวัดสมัยใหม่ โดยอุปกรณ์วินิจฉัยและติดตามผลระยะไกลสามารถตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มผู้บริโภคสามกลุ่มคือ 1) กลุ่มผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ 2) ผู้สูงอายุ และ 3) ผู้ที่ต้องการวินิฉัยโรคด้วยตนเอง เช่น วัดความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ เป็นต้น • ส่งเสริมการวิจัยยาและการผลิตยาที่ทันสมัย เป็นที่ต้องการของประเทศ ในเอเชีย โดยเน้นการลดกระบวนการและลดระยะเวลาการทดลองยาสมัยใหม่ ให้สอดคล้อง กับความก้าวหน้า 29
ทางเทคโนโลยีและประหยัดเวลาในการทดสอบ เพื่อดึงดูดให้มี การทดสอบและผลิตยาในประเทศไทย เพื่อเอเชียในอนาคต • ส่งเสริมการวิจัยและผลิตชีวเวชภัณฑ์โดยมุ่งเน้นที่การผลิตยาชีววัตถุ คล้ายคลึง (Biosimilar) ซึ่งคือยาสามัญของยาชีววัตถุต้นแบบ (Biologic) ที่มีการวิจัยและจดสิทธิบัตร แต่สิทธิบัตรหมดอายุลงแล้ว ในปัจจุบันยาชีววัตถุเป็นแนวโน้มใน อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ที่มีการเติบโต อย่างรวดเร็วจนมีขนาดใหญ่กว่ายาสามัญทั่วไป และคาดว่าในปี 2560 จะมียาชีววัตถุต้นแบบกว่า 10 ชนิด ที่สิทธิบัตรจะหมดอายุลง ตัวอย่างของยาชีววัตถุเช่น วัคซีน อินซูลิน ยาโรคข้ออักเสบ เป็นต้น ท าได้โดยสถานพยาบาล หรือผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม 2 อุตสำหกรรมเป้ำหมำยเพิ่มเติม 1. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หมายถึง การวิจัย พัฒนา ออกแบบ ผลิต ประกอบรวม ปรับปรุง ซ่อมสร้าง เปลี่ยนลักษณะ แปรสภาพ หรือให้บริการซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการป้องกันประเทศ โดยภูมิทัศน์ ของอุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และพัฒนาการของภัยคุกคามด้านความมั่นคง ซึ่งเทคโนโลยีที่ประเทศไทยต้องการมุ่งเน้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.1 ยานเกราะ เนื่องด้วยสถานการณ์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศส่งผลให้รัฐ จ าเป็นต้องตระหนักถึงยุทธวิธีและยุทธภัณฑ์ทางเทคนิคใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนอง สถานการณ์ได้ อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การพัฒนาขีดความสามารถ ด้านยานเกราะจึงเป็นยุทธภัณฑ์ที่ส าคัญยิ่ง ต่อภารกิจด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย 1.2 ยานพาหนะไร้คนขับภาคพื้นดินและอากาศยาน เช่น อากาศยานไร้คนขับ ทั้งรูปแบบหุ่นยนต์ที่พกพาได้และอากาศยานที่มี ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อใช้ในภารกิจรักษาความปลอดภัย ยานพาหนะขนาดใหญ่ที่มีบทบาทในการสนับสนุนและโจมตี โดยคาดว่าหุ่นยนต์จะเข้ามามีส่วนส าคัญ ในโครงสร้างของกองทัพมากขึ้นในการสนับสนุนหน่วยราบทั้งด้านโลจิสติกส์และการสู้รบ และมีการขยาย การใช้งานอย่างรวดเร็ว แต่มีข้อกังวลส าคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทโดรนอาจกลายเป็นภัยคุกคามได้ หากถูกใช้ โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายและกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ เป้าหมายของการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ คือ การยกระดับประเทศไทย ให้เป็นผู้น าด้านเทคโนโลยี ป้องกันประเทศในระดับภูมิภาค ตอบสนองความต้องการของกองทัพไทยและ พันธมิตรอาเซียน โดยสามารถประยุกต์ เทคโนโลยีป้องกันประเทศไปสู่การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของภาคเอกชน ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตประจ าวันที่จะส่งผลต่อ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และน าไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ รวมถึงความอยู่ดี กินดีให้กับประชาชนในที่สุด อีกนัยหนึ่งคืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศต้องมั่นคง พึ่งพาตนเองได้ และเพิ่มอ านาจ ต่อรองด้านความมั่นคง กับต่างประเทศได้ 30
2. อุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา จะครอบคลุมถึงกิจกรรมการส่งเสริม การศึกษาสายสามัญและสายอาชีพที่มีหลักสูตรอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นพัฒนาทักษะทางอาชีพ และทักษะเฉพาะทางเทคนิค เพื่อน าความรู้ในเชิงทฤษฎีมาใช้จริง ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอด ช่วงชีวิตของคนทุกวัย สนับสนุนการเรียนการสอน ทักษะในยุคดิจิทัล และผลิตบุคลากรเพื่อตอบโจทย์ ความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ได้แก่ 2.1.อุตสาหกรรมต้นน้ า ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนในระบบ (Classroom Learning) ทั้งระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา ระดับอุดมศึกษา การแนะแนว การศึกษาเพื่อการเรียนต่อในระดับสูง และการแนะแนวอาชีพที่นาสนใจ 2.2 อุตสาหกรรมกลางน้ า ได้แก่ การฝึกประสบการณ์ท างานและการฝึกอาชีพ (Internship and Career Training) การประยุกต์ใช้ความรู้และทฤษฎีการทดลองท างานในสภาพแวดล้อม ของโลก การท างานจริง การสร้างความร่วมมือ ระหว่างรัฐและเอกชนในการสนับสนุนผู้จบการศึกษา เข้าสู่อุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ 2.3 อุตสาหกรรมปลายน้ า ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต (Lifelong Learning) การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะชีวิตควบคู่กับทฤษฎีและหลักการส าหรับทุกช่วงวัย การเสริมสร้าง ความรู้และสมรรถนะยุคดิจิทัล (Digital Literacy and Competency) ผลิตบุคลากรให้ตรงกับ ความต้องการของตลาดและหน่วยธุรกิจ 31
ควำมรู้เกี่ยวกับกำรถอดบทเรียน การถอดบทเรียน (Lesson Learned) เป็นทั้งแนวคิดและเครื่องมือเพื่อสร้างการเรียนรู้ ซึ่งเป็นวิธีการ หนึ่งของการความรู้ โดยเป็นกระบวนการดึงเอาความรู้จากการท างานออกมาใช้เป็นทุนในการท างาน เพื่อยกระดับให้ดียิ่ง การถอดบทเรียน จึงเป็นการสกัดความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน (Tacit knowledge) ออกมา เป็นบทเรียน/ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ซึ่งผลที่ได้จากการถอดบทเรียน ท าให้ได้บทเรียน รูปแบบชุดความรู้ที่เป็นรูปธรรม และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เข้าร่วมกระบวนการ อันน ามาซึ่งการปรับวิธี คิด และเปลี่ยนแปลงวิธีการท างานที่สร้างสรรค์และมีคุณภาพยิ่งขึ้น หัวใจหลักของการถอดบทเรียนต้องมี การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit) มีความไว้วางใจ ทั้งตนเองและผู้อื่น (Trust) และมีการเรียนรู้ (Learning) กำรถอดบทเรียน สามารถกระท าได้ 3 ช่วง คือ 1. ถอดบทเรียนก่อนด าเนินการ เป็นการเรียนรู้ก่อนที่จะเกิดข้อผิดพลาด 2. ถอดบทเรียนระหว่างด าเนินการ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการด าเนินงาน 3 ถอดบทเรียนหลังด าเนินการ เป็นการเรียนรู้เพื่อการด าเนินงานในครั้งต่อไป แนวทำงในกำรถอดบทเรียน การถอดบทเรียนควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ 1. มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ควรไปแสวงหาค าตอบว่าได้บทเรียน อะไร 2. หากมีผลสืบเนื่องที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กัน ต้องพยายามตอบให้ได้ว่า "อะไรส าคัญ ที่สุด" และ "ท าไมจึงส าคัญ" เพราะสิ่งนั้นจะมีคุณค่าในการน าไปปฏิบัติต่อ 3. พึงระลึกเสมอว่าบทเรียนมีใช้ความแตกต่างที่เกิดระหว่างสิ่งที่คาดหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งนั้นคือสมมติฐานแต่หากมีสิ่งที่ไม่ได้คาดหมายเกิดขึ้นแสดงว่ามีอะไรท าให้เกิดความแตกต่าง และ "อะไร" ท าให้เกิดความแตกต่างนั้นก่อให้เกิดผลต่อพฤติกรรมอย่างไร สิ่งนั้นคือ บทเรียน วิธีกำรถอดบทเรียน ประกอบด้วย 1. การถอดบทเรียนด้วยการเรียนรู้จากเพื่อน (Peer Assist - PA) เป็นการเรียนรู้ก่อนการท ากิจกรรม โดยเป็นการเรียนรู้จากเขา เขาเรียนรู้จากเรา ทั้งเรา และเขาเรียนรู้ร่วมกัน และสิ่งที่เราร่วมกับสร้าง (เกิดความรู้ใหม่) โดยมีลักษณะเป็นการประชุม/ประชุมเชิง ปฏิบัติ 2. การถอดบทเรียนแบบเล่าเรื่อง (Story Telling) เป็นการเรียนรู้ก่อนหรือระหว่างท ากิจกรรม ด้วยการให้ผู้มีความรู้จากการปฏิบัติ ปลดปล่อย ความรู้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวออกมาแลกเปลี่ยนความรู้ โดยผู้เล่าจะเล่าความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ในตัวที่เกิดจาก การปฏิบัติ ซึ่งผู้ฟังสามารถตีความได้โดยอิสระ และเมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนผลการตีความแล้วจะท าให้ 32
ได้ความรู้ที่สามารถบันทึกไว้เป็นชุดความรู้ ซึ่งการถอดบทเรียนในลักษณะนี้ จะเป็นการสกัดความรู้จากเรื่อง ที่เล่าออกมาว่ามีคุณค่าและสามารถน ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพียงการเล่าเรื่องในอดีต 3. การถอดบทเรียนหลังปฏิบัติการ (After Action Review: AAR) เป็นการจับความรู้ที่เกิดขึ้นสั้นๆ ภายหลังการท ากิจกรรม แล้วน าไปสู่การวางแผน ในครั้งต่อไป ท าให้คนท ารู้สึกตื่นตัวและมีความรู้สึกผูกพันกับงาน โดยโครงการ/กิจกรรมที่ท าครั้งเดียวแล้วจบ ไม่จ าเป็นต้องท า AAR ซึ่งรูปแบบการท า AAR สามารถด าเนินการได้ทั้งระหว่างการท ากิจกรรมเพื่อปรับปรุง/ แก้ไขระหว่างการท างาน หรือ "การท าไป คิดไป แก้ไขไป" และภายหลังสิ้นสุดแต่ละกิจกรรมเพื่อน าไปวางแผน กิจกรรมครั้งต่อไป ประโยชน์จำกกำรถอดบทเรียน ผลที่เกิดขึ้นจากการถอดบทเรียน คือ การเกิดองค์ความรู้ใหม่/นวัตกรรมที่ค้นพบจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีกระบวนการท างานที่พัฒนาขึ้น ได้กระบวนการแก้ไขปัญหา รวมถึงแผนที่ความรู้ เพื่อการผลักดัน เชิงนโยบายและการปฏิบัติการผ่านกลไกเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งสรุปประโยชน์จากการถอดบทเรียน มีดังนี้ 1. ระยะสั้นท าให้เกิดการปรับปรุงเทคนิคการท างาน การถอดบทเรียนจะเป็นกระบวนการกลุ่ม ที่ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง จึงท าให้เกิดการขับเคลื่อนงานไปในทิศทางเดียวกันแนวทางการท างาน ปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโครงการ ชุมชน สังคม และท าให้ผลการด าเนินงาน โครงการดีขึ้น 2. ระยะกลาง ท าให้เกิดความเชื่อมั่นในการท างานและการเผชิญปัญหามากขึ้น และเกิด ความภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของโครงการ ภายหลังจากการน าบทเรียนไปปรับใช้ 3. ระยะยาว ท าให้เกิดต้นแบบการท างานที่ดี (Best Practice) เกิดรูปแบบกระบวนการท างาน ที่มีประสิทธิภาพ เกิดความเข้าใจปัญหาการท างานอย่างเป็นระบบ และเกิดการพัฒนายุทธศาสตร์การท างาน ในระยะต่อไป กล่าวโดยสรุป การถอดบทเรียนมีเป้าหมายส าคัญเพื่อให้เกิดการแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งน ามาของการช่วยให้ปรับวิธีคิดและวิธีการท างานที่สร้างสรรค์ และมีคุณภาพยิ่งขึ้น ประโยชน์ของการถอด บทเรียนจะท าให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท างานเกิดการเรียนรู้ ทบทวน และสกัดบทเรียนเพื่อน ามาพัฒนางาน อย่างเป็นรูปธรรม แบ่งปันให้ผู้อื่นเพื่อน าไปใช้ ประยุกต์ใช้ ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ในวัฏจักรของการจัดการ ความรู้ 33
จำก VUCA world สู่BANI world ในโลกธุรกิจ ค าว่า VUCA กลายเป็นที่นิยมในยุค 2000 เพราะสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เศรษฐกิจและ สังคม มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่แพ้สถานการณ์สงครามเช่นกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวัฒนธรรม จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจ าวันของผู้คนและองค์กร อย่างการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย เป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่องค์กรธุรกิจต่างๆ ที่ต้องท าความเข้าใจและ ปรับตัวให้ทัน อย่างไรก็ตาม วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 อุบัติขึ้นในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงโลกไปมากมายอย่างที่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยนักวิชาการหลายคนเริ่มตั้งค าถามว่าโลกในอนาคตหลังจากนี้ไป (New Normal) จะ เป็นอย่างไร และ VUCA สามารถอธิบายสภาพการณ์ของโลกในยุค New Normal นี้ได้อีกต่อไปไหม? ซึ่งใน ที่สุด Jamais Cascio นักพฤติกรรมศาสตร์ชื่อดังชาวอเมริกา ก็ออกมาไขปริศนาเรื่องนี้ด้วยการน าเสนอ รูปแบบใหม่ที่โลกในอนาคตหลังวิกฤติโควิดต้องพบเจอ และเรียกมันว่า BANI (อ่านว่า บานี่) ซึ่งปรากฏใน ข้อเขียนงานสัมมนาของ IFTF (Institute of the Future เป็น Think Tank หรือองค์กรเสนอความคิดต่อ สังคม) ในปี2016 BANI เป็นกรอบคิดในการอธิบายและพยากรณ์โดยเสนอว่า หลายสิ่งในโลกแตกสลายได้ ง่าย และก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ความเปราะบางนี้มีผลต่อความมั่นคงขององค์กรต่างๆ BANI จะช่วยให้ผู้คนมองโลกจากความเป็นจริง เตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมพร้อมส าหรับโลกธุรกิจในยุค ต่อไปได้ดีขึ้น VUCA World VUCA เป็นค าที่เราได้ยินกันบ่อยมากขึ้น นับตั้งแต่ปี2020 เป็นต้นมา นั่นอาจเป็นเพราะในปีที่ผ่านๆ มา โลกของเราได้เผชิญกับเหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น COVID ที่ท าให้ ชีวิตประจ าวันเปลี่ยนไป , New Norm ที่ท าให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนแปลง และอาจกล่าวได้ว่าขณะนี้คน ส่วนใหญ่ก็เริ่มจะคุ้นชินกับ New Norm จนกลายเป็นวิถีชีวิตประจ าวันไปแล้ว , การเข้ามาของ Generation ใหม่ๆ ที่ได้น าเอาความคิดใหม่ๆและวัฒนธรรมการท างานรูปแบบใหม่ๆเข้ามาด้วย รวมไปถึงการเข้ามาของ เทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ๆ ที่ได้เข้ามา Disruption ธุรกิจบางแห่ง และเกิดการ Transformation ของบาง องค์กร ท าให้บางอาชีพหายไป ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดอาชีพใหม่ๆขึ้นมา และนั่นเองที่ท าให้เราต้องให้ ความใส่ใจกับค าๆนี้กันมากขึ้น เพราะในอนาคตเราอาจไม่สามารถล่วงรู้ได้อีกแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แน่นอนว่าในอดีตเราอาจจะพอท านายได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า แต่ในขณะนี้เวลานี้ เราไม่อาจรู้ว่าภายในปีหน้าหรือปีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงนับจากนี้ไปนั้นล้วนเต็มไปด้วย ความไม่แน่นอน ความผันผวน และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้มันหมายความว่า เราทั้งหมดก าลังอยู่ ในโลกของ VUCA World นั่นเอง ค าว่า VUCA นั้นถูกใช้ครั้งแรกใน U.S. Army War College ซึ่งนักศึกษาทหารได้ใช้ค าย่อนี้เพื่อ อธิบายสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ยากจะคาดเดา มีความซับซ้อนสูง และคลุมเครือเกินกว่าจะ อธิบายได้ซึ่งมันก็ค าอธิบายสถานการณ์หลังจากเหตุการณ์สงครามเย็น ในปี1991 ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง 34
อย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีสงครามอัฟกานิสถานและอิรักนั่นเอง ซึ่งในเวลาต่อมา ค าว่า VUCA ก็เริ่มแพร่หลาย มากขึ้นในวงการอื่นๆด้วย เพื่อน ามาอธิบายสถานการณ์ที่ยากจะอธิบาย คาดเดาไม่ได้และไม่แน่นอน โดย ความหมายของ VUCA นั้นมาจากค า 4 ค า คือ V – Volatility สภำวะที่มีควำมผันผวนสูง ความผันผวน คือ ความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วในโลกธุรกิจและการท างาน ซึ่งความผันผวนนั้นมักมา คู่กับอีกปัจจัยที่ส าคัญคือ Speed ซึ่งก็คือ การเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ข้อนี้ผู้น าต้องค านึงว่าความ เปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในหลักวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว หากองค์กรของ คุณช้าไปเพียงนิดเดียว ก็อาจตามองค์กรอื่นๆไม่ทันได้และแนวทางที่ผู้น าองค์กรสามารถน าไปใช้บริหารทีมก็ คือ ให้พนักงานได้รับการเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้และได้พัฒนาตัวเอง เพราะโลกการท างานนั้นเต็มไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงผันผวน และการแข่งขันที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทักษะหรือ Skills ที่มีในตอนนี้ก็ ไม่รู้ว่าจะยังจ าเป็นอีกหรือไม่ในอนาคตอันใกล้เพราะฉะนั้นในฐานะผู้น าองค์กรไม่จ าเป็นต้องเชื้อเชิญให้ทุกคน ต้องหมกมุ่นกับค าว่า Reskill – Upskill เพียงอย่างเดียว แต่เชื้อเชิญให้ทุกคนมาลองออกแบบชีวิตของตัวเอง เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เพื่อจะได้พัฒนาและเพิ่มทักษะที่จ าเป็นได้โดยที่พนักงานไม่จ าเป็นต้องรอให้ ผู้น ามาบอกว่าต้องท าอะไร หากผู้น าสามารถก าหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และมอบอิสรภาพและความเชื่อใจให้ พนักงาน ความรับผิดชอบและกระบวนการที่ถูกต้องจะเป็นสิ่งที่ตามมาเอง เพราะวิธีที่ดีที่สุดคือการเป็นผู้น าที่ ท าให้ลูกน้องคิดและท าด้วยตัวเองได้นั่นคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเป็นผู้น า โดยคุณอาจปลูกฝังให้ พนักงานมีวิธีการคิดโดยใช้หลักการ 3Y ซึ่งประกอบ Y1 คือ กรอบคิดแบบ Y Shape ที่หาง Y คือการรู้ลึก รู้จริง ส่วนหัว Y คือ “wide” หมายถึงการรู้ กว้าง ไม่ได้รู้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่สามารถเชื่อมโยงความรู้และบูรณาการเข้าด้วยกันได้ Y2 คือ “Why” Start with Why ? เริ่มต้นตั้งค าถามว่า “ท าไม” อยู่เสมอ เพราะสิ่งส าคัญกว่าค าตอบ หรือวิธีการนั้นเริ่มต้นมาจากค าถามที่ถูกต้อง การรู้Why คือการรู้Pain Point รู้ว่าท าสิ่งๆนั้นไปท าไม ซึ่งการรู้ ว่าท าไปท าไมก็คือการรู้ว่าจุดยืนหรือเป้าหมายคืออะไรนั่นเอง Y3 คือการ Think Widely มีความคิดนอกกรอบ โดยใช้หลัก Design Thinking เพราะการมี กระบวนการคิดเชิงออกแบบสามารถช่วยให้แก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ได้และมองเห็นโอกาสในวิกฤต พลิก แพลงออกมาให้เกิดประโยชน์ได้ U – Uncertainty สภำวะที่มีควำมไม่แน่นอนสูง สภาวะความไม่แน่นอน คือ ภาวะที่ผู้น าองค์กรไม่สามารถท านายเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้เพราะล้วนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความไม่แน่ใจ สิ่งที่ผู้น าองค์กรสามารถท าได้ที่สุดก็คือ การตั้งค าถาม อย่างถูกต้อง เพราะหากตั้งค าถามได้ถูกต้องมันจะน าไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องตามมา และแน่นอนว่าการ ตัดสินใจใดๆ ควรปรึกษาผู้อื่นในเรื่องที่จ าเพาะเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญ จะยิ่งท าให้การตัดสินใจดียิ่งขึ้น โดย แนวทางที่ผู้น าควรน ามาใช้บริหารทีมก็คือ ใช้Insight(ข้อมูล) มากกว่า Instinct (สัญชาตญาณ) ยิ่งมีความไม่ แน่นอนสูงมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องพึ่งพิงข้อมูลในการท างานและตัดสินใจในแทบทุกๆเรื่องมากขึ้นเท่านั้น และ 35
เพราะว่าเราก าลังอยู่ในยุค Big Data หรือ Smart Data ท าให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพ มากขึ้นด้วย แต่กลับมีน้อยองค์กรนักที่ตัดสินใจจาก Data Insight จริงๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกใช้ ข้อมูลที่สนับสนุนความคิดหรือสัญชาตญาณของตัวเอง ด้วยความเชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบ ปีบอกให้รู้ว่าความคิดนั้นถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย หรือที่แย่หนักไปกว่านั้นคือบางคนมีชุดข้อมูลแค่เพียงเสี้ยว เดียวแต่กลับเหมารวมว่านี่ต้องเป็น Insight ที่แท้จริงแน่ๆ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่ก าลังมาแรงในยุค VUCA ก็คือ การเลียนแบบการคิดแบบปัญญาประดิษฐ์โดย ใช้Algorithm ในการแก้ปัญหา ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ที่จะใช้Algorithm มาวิเคราะห์data ให้เป็น โดยมี วิธีการและขั้นตอนที่ชัดเจน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปจัดการและแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะต้องยอมรับว่า หน้าที่นี้คงสู้AI ไม่ได้เพราะ AI ท างานได้อย่างถูกต้อง แม่นย ามากกว่าคน อีกทั้งยังสามารถท างานได้แบบ 24/7 ซึ่งเป็นสิ่งที่คนท าไม่ได้เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคนก็คือการออกแบบวงจรและระบบการท างานโดยอิง จาก Algorithm และน าสิ่งที่ได้นั้นมาป้อนให้AI ท างานอีกขั้นหนึ่ง เพราะที่สุดแล้วต่อให้มีAI เข้ามาช่วย จัดการงานต่างๆ มันก็ยังต้องการ “คน” ที่มาควบคุมมันอยู่ดี C – Complexity สภำวะที่มีควำมซับซ้อนมำกขึ้นเรื่อยๆ ความซับซ้อน สับสน ยากจะอธิบายนั้นมักมาพร้อมกับปัจจัยมากมายหลายอย่างที่ต้องน ามาพิจารณา ยิ่งมีปัจจัยมากเท่าไหร่ ความซับซ้อนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หน้าที่ที่ผู้น าควรท าได้ดีที่สุดคือตัดสินใจพิจารณาบาง ปัจจัยที่ส าคัญและจ าเป็นต่อองค์กรจริงๆ เพราะยิ่งมีตัวเลือกมาก ก็ยิ่งก่อให้เกิดความสับสน และใช้เวลาในการ ตัดสินใจมาก โดยแนวทางที่ผู้น าสามารถน าไปใช้บริหารทีมได้ก็คือ Start With Why : ตั้งค าถามที่ท าไมแล้ว กระบวนการที่ถูกต้องจะตามมา หากองค์กรตกอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ต้องท าก็คือ การมีสติและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ซึ่งนั่นถือเป็นทักษะและความสามารถที่ผู้น าทุกคนควรมี และที่ส าคัญ คือการรู้Core Value ขององค์กร จุดยืน และคุณค่าที่องค์กรยึดถือ หากสิ่งเหล่านี้เด่นชัดและคุณมองเห็นมัน อย่างชัดเจน ต่อให้สถานการณ์ซับซ้อนมากเพียงใด คุณก็ย่อมเจอหนทางที่ถูกต้องได้ซึ่งมันก็คือการ Start With Why นั่นเอง หลายๆครั้ง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน หรือการมีตัวเลือกเยอะกลับยิ่งท าให้ ตัดสินใจล าบากมากกว่าเดิม เพราะตัวเลือกที่เยอะนั้นยิ่งท าให้ซับซ้อน A – Ambiguity สถำวะที่มีควำมคลุมเครือ เต็มไปด้วยควำมไม่ชัดเจน ยำกจะคำดเดำค ำตอบ ความคลุมเครือมักเกิดขึ้นเมื่อบางสิ่งบางอย่างไม่ชัดเจน และอาจหมายถึง ขาดการความเข้าใจซึ่งกัน และกัน บางทีอาจหมายถึงการได้รับข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน ท าให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน หน้าที่ของผู้น า ที่ดีที่สุดก็คือ สื่อสารให้ถูกต้อง เพราะการสื่อสารเป็นสิ่งส าคัญมากที่จะท าให้เกิดความชัดเจนขึ้นได้ยิ่งสื่อสาร เคลียร์ก็ยิ่งหลีกเลี่ยงความคลุมเครือและความเข้าใจผิดได้และยิ่งท าให้การด าเนินงานเป็นไปง่ายขึ้น และไม่ ต้องใช้เวลามากในการตีความ ซึ่งผู้น าองค์กรสามารถมีแนวทางในการบริหารทีมให้ชัดเจนได้ดียิ่งขึ้น ท่ามกลางโลกแห่งความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ อาจท าให้ใครหลายคนรู้สึกเคว้ง คว้าง หรืออาจท าให้บางองค์กรไม่มั่นใจ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ส าคัญที่ท าให้เราได้เรียนรู้จาก VUCA World ก็ คือนี่คือโลกสมัยใหม่ที่เราก าลังเป็น และก าลังอยู่ เราอาจมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นใน 36
ทุกๆวันมากนัก นั่นอาจเพราะวิธีการคิดและพฤติกรรมของเราได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็เป็นไปได้ซึ่งเป็นผล มาจากความเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเกิดขึ้นโดยที่เราอาจไม่ทันสังเกตและไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามสิ่งส าคัญที่เราได้รับ รู้จากโลกการท างานยุคใหม่ในปัจจุบันนี้ก็คือ ผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้และเปิดกว้างส าหรับความท้าทายใหม่ๆอยู่ เสมอนั้นจะสามารถเอาชนะความไม่แน่นอนในโลกการท างานในอนาคตได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อปี2020 มีที่ปรึกษาชาวเยอรมัน จากสถาบัน Institute of the Future Staphane Graphmyor ได้แชร์แนวคิดว่า VUCA นั้นไม่ทันสมัยที่จะใช้ในการอธิบายโลกแห่งปัจจุบันและอนาคตที่จะ มาถึง BANI World จึงถูกคิดค้นโดย Jamais Cascio โดยต่อยอดจากแนวคิดทางสังคมวิทยา Liquid Modernity (ที่ว่าทุกอย่างเป็นของไหล ที่คลุมเคลือ ไม่แน่นอน) ของ Zygmunt Bauman ซึ่งกล่าวว่า BANI WORLD เป็นนิยามใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกที่อธิบายมากกว่าลักษณะสถานการณ์ที่ โลกต้องเผชิญ แต่รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากภาวะดังกล่าว ทั้งในมิติขององค์กรและความรู้สึกของบุคลากรใน องค์กรด้วย โดยประกอบด้วย BANI World BANI เป็นมากกว่า “สถานการณ์” (ผันผวน, ไม่แน่นอน, ซับซ้อน, คลุมเครือ) แต่เป็นการมองไปถึง ผลกระทบ “ด้านอารมณ์ของคน” ด้วย เช่น ความกังวล ความหดหู่ความสับสน ฯลฯ (เพราะ Jamais Cascio มาสายมานุษยวิทยา ซึ่งเน้นการศึกษาพฤติกรรมคนด้วย) มันคือ การอธิบายเพื่อให้อะไรๆ ชัดเจนขึ้น เพื่อใช้ เป็น framework ใหม่ในการจัดการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์หรือ การบริหารพัฒนาคน เช่น เมื่อรู้ว่า อะไรที่เปราะบาง Brittle ก็ต้องท าให้เกิดความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้เร็ว กระจายความเสี่ยงได้ ด้านคน ก็ ควรจะสร้างให้เกิด mindset แบบล้มแล้วลุกให้ไว เพราะคุณมีโอกาสจะเจ๊งได้ทุกเมื่อ เป็นต้น โดยความหมาย ของ BANI นั้นมาจากค า 4 ค า คือ B - Brittle เป็นโลกที่เปรำะบำง แทบทุกอย่าง มาเร็วไปเร็ว ความส าเร็จในโลกธุรกิจหลายตัวไม่อาจอยู่คงทนถาวร แถมยังแตกหักได้ ง่าย อาจถูก disrupt ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีรูปแบบธุรกิจ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าตอนนี้ blockchain ก าลังมาแรง แต่หากมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าที่พร้อมใช้งานได้จริงทันที(หรือแม้แต่ ควอนตัม คอมพิวเตอร์) ระบบทั้งหมดก็อาจจะจบทันทีแค่พริบตาได้ธุรกิจที่สร้างขึ้นจากรากฐานที่เปราะบาง อาจพังได้ ในชั่วข้ามคืน องค์กรจึงต้องมีความสามารถในการฟื้นตัวที่รวดเร็ว องค์กรจึงไม่ควรใช้การปฏิบัติงานแบบใด แบบหนึ่งทั้ง 100% แม้แนวทางนั้นจะดูน่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น และดูแข็งแรงก็ตาม ซึ่งความเปราะบางเหล่านี้มัก มาจากหลายสาเหตุแต่หนึ่งในนั้นคือความต้องการที่จะตั้งหน้าตั้งตาท าผลก าไรให้สูงสุด โดยไม่ค านึงถึงหรือไม่ สนใจเรื่องอื่น A - Anxiety-inducing หรือ Anxious สร้ำงควำมกังวล เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความกังวล แม้จะเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ก็อาจท าให้ไม่ สามารถเลือกสิ่งส าคัญในช่วงเวลาที่กดดันและตึงเครียดได้เพราะวิตกกังวลกลัวจะเจอความล้มเหลว อยู่ตลอดเวลา แม้จะรู้ว่าทางเลือกนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด การระบาดของโควิด-19 ท าให้เราได้เห็นการแตก 37
สลายอย่างง่ายดายในทุกระดับ ปัจจุบันไม่มีอะไรมาประกันความมั่นคงของงาน การเปลี่ยนแปลงลักษณะของ งานก็ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่น าไปสู่ความวิตกหวั่นไหว (A) ขององค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนทั้งสิ้น ที่ผ่าน มา เราก็ได้เห็นการฟิวส์ขาดง่ายของคนไทยจ านวนไม่น้อยจากสาเหตุเล็ก ๆ N - Nonlinear หรือ เป็นโลกที่ควำมสัมพันธ์ของสิ่งต่ำงๆ ไม่เป็นเส้นตรง เหตุและผล อาจไม่แปรผันตามกันชัดเจนเหมือนเดิม มีปัจจัยแทรกซ้อน ตัวแปร สถานการณ์อื่นๆ มาส่งผลกระทบ แบบที่เราไม่รู้Linear คือ เส้นตรงซึ่งมีความชันคงที่ หมายถึงสาเหตุและผลไปอย่างควบคู่กัน ลักษณะที่ไม่เป็น เส้นตรงจะท าให้ไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าสาเหตุจะน าไปสู่ผลใหญ่โตเพียงใดในอัตราความเร็วเท่าใด พูดอีก อย่างว่าอดีตไม่อาจเป็นเครื่องชี้อนาคตได้เสมอไป ทุกวันนี้เหมือนเราอยู่ในภาพยนตร์ที่มีจุดจบในแบบที่ไม่ควรจะเป็น ไม่มีตรรกะ เหตุและผลที่เคยใช้ ในการคาดการณ์จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตัวอย่างง่ายๆ ที่สุด คือ วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ที่เราพยายาม คาดการณ์หลายทีว่าจะจบช่วงนั้นช่วงนี้เพราะ ยึดหลักระบาดวิทยา และตามหลักเราควรสร้างให้เกิดภูมิคุ้มกัน หมู่ได้ในปีแรกเลย แต่ทว่า...ก็เป็นอย่างที่เราเห็น กว่าจะจบก็ลากกันมา 3-4 ปีซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะจบจริงหรือ เปล่า I - Incomprehensible หรือ เป็นโลกที่เข้ำใจได้ยำก การใช้ชีวิตในโลกที่เปราะบาง เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สามารถคาดเดาได้ท าให้หลาย เหตุการณ์ไม่มีเหตุและผล การตัดสินใจส่วนใหญ่จึงยากที่จะท าความเข้าใจ จึงต้องเพิ่มสัญชาตญาณเข้ามาช่วย ในการหาค าตอบและท าความเข้าใจสิ่งต่างๆ แม้แต่การใช้big data เข้ามาช่วยก็อาจท าให้งงกว่าเดิมก็มี เพราะเกิดภาวะ “ข้อมูลท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” (Information Overload) เมื่อเราเผชิญกับความรู้สึกวิตก (Anxious) เราต้องใช้Empathy และ Mindfulness เข้ามาช่วย เมื่อ เราเผชิญกับสถานการณ์ที่ Non-linear เราต้องน าบริบทมาวิเคราะห์และเน้นที่การปรับตัว เมื่อเราเจอกับสิ่งที่ เข้าใจได้ยาก (Incomprehensible) เราต้องเพิ่มความโปร่งใส และใช้สัญชาตญาณเข้ามาช่วย 38
รูปแบบกำรจัดกำรเรียนรู้ใหม่ๆ 1. กำรจัดกำรศึกษำฐำนสมรรถนะ (Competency–Based Education: CBE) การจัดการศึกษาฐานสมรรถนะมีลักษณะส าคัญ คือ เป็นการเรียนการสอน ตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้เชิงสมรรถนะที่สังเกตเห็นได้ และวัดได้เป็นการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ความรู้ ทักษะที่แท้จริง และใช้เวลาในการเรียนรู้ โดยการคิดและการลงมือท าด้วยตนเองของผู้เรียน และพัฒนา ก้าวหน้าไปเป็นล าดับ แต่ความสามารถของตนเองผ่านกระบวนการวัดและการประเมินฐานสมรรถนะ ซึ่งจะเน้นการวัดผลการเรียนรู้ จากพฤติกรรมการลงมือท าหรือการปฏิบัติที่สามารถแสดงออกถึงสมรรถนะตามที่ก าหนด แผนภาพความสัมพันธ์ของการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency–Based Education: CBE) จากแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะโดยเริ่มต้นจาก หลักสูตรฐาน สมรรถนะเป็นตัวก าหนดทิศทางสามารถปรับให้เข้ากับบริบทและความต้องการของผู้เรียน มีมาตรฐาน สมรรถนะและจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะที่จัดไว้อย่างเป็นล าดับ เป็นกรอบในการจัดการเรียน การสอน ครูมีเป้าหมายที่จะช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนท าอะไรได้ ในระดับที่ก าหนด ครูจะต้อง วิเคราะห์ว่าผู้เรียน จ าเป็นต้องรู้อะไร จึงจะช่วยให้ท าสิ่งนั้นได้ ซึ่งเอื้อให้มีการบูรณาการความรู้ข้าม ศาสตร์และลดสาระการเรียนรู้ ที่ไม่จ าเป็น ผู้เรียนต้องได้รับความรู้และฝึกใช้ความรู้ในการท ารวมทั้งพัฒนาคุณลักษณะที่ควรจะต้องมี ในการท าสิ่งนั้น ให้ประสบผลส าเร็จได้ในระดับที่ก าหนด เชื่อมโยงไป ยังการจัดการเรียนการสอนสมรรถนะครู ต้องจัดการเรียนรู้เชิงรุก ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการคิด การปฏิบัติการลงมือท าการได้รับข้อมูลย้อนกลับ การปรับปรุง พัฒนา และได้รับการส่งเสริมให้น า ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่ได้เรียนรู้ ไปใช้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ จนเกิดสมรรถนะในระดับที่ต้องการ โดยผู้เรียนแต่ละคนอาจจะใช้เวลาในการเรียนรู้มาก น้อยแตกต่างกันได้ กระบวนการสุดท้ายคือการวัด และประเมินผลฐานสมรรถนะ การวัดสมรรถนะ เป็นการช่วยให้เห็นความสามารถที่เป็นองค์รวมของ ผู้เรียนโดยครูท าการทดสอบพฤติกรรมการปฏิบัติ (Performance Assessment) ของผู้เรียนตามเกณฑ์ ที่ก าหนด (Performance Criteria) ซึ่งจะเน้น 39
การประเมินองค์รวมของสมรรถนะด้วยเครื่องมือประเมิน ตามความเหมาะสม และประเมินเมื่อผู้เรียนพร้อม ที่จะรับการประเมิน หากประเมินผ่าน ผู้เรียนจะ สามารถก้าวสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ขั้นต่อไปได้หากยังไม่ผ่าน ผู้เรียนจะได้รับการสอนซ่อมเสริม จนกระทั่งบรรลุผล ผู้เรียนแต่ละคนจะก้าวหน้าไปตามความสามารถของตน อาจก้าวหน้าไปได้เร็วใน บางสาระ และอาจไปได้ช้าในบางสาระตามความถนัดของตนหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยทั่วไปมี หลักการและลักษณะส าคัญดังกล่าว แต่ในประเทศต่าง ๆ การก าหนดสมรรถนะ และการออกแบบ หลักสูตรอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งมักเป็นไปตามความต้องการ บริบท และลักษณะเฉพาะ ของแต่ละประเทศ 2. กำรเรียนกำรสอนแบบไฮบริด (Hybrid Learning) การเรียนการสอนแบบไฮบริด เป็นระบบการจัดการเรียนการสอนที่หลอมรวมเอาข้อดีในการเรียนรู้ แบบออนไลน์ (Online Learning) และการเรียนรู้ในห้องเรียน (Face-to-Face) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยเน้นการผสมผสานวิธีการสอนที่หลากหลายเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างครูกับนักเรียน และ นักเรียนกับนักเรียน ผ่านเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักศึกษา เกิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และได้ใช้กระบวนการคิด (Thinking System) รวมทั้งสามารถ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ได้มากขึ้น องค์ประกอบของกำรเรียนกำรสอนแบบไฮบริด (Hybrid Learning) การจัดการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์ของการสอนแบบไฮบริดนั้น มีองค์ประกอบ ที่ส าคัญ 5 ประการที่บ่งบอกถึงการเป็นการจัดการเรียนการสอบแบบไฮบริด(Jared M. Carman, 2005; as cited in Pahe, S., 2012) 1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน (Live Events) ซึ่งเป็นลักษณะของการเรียนการสอนแบบ ประสานเวลา (Synchronous) จากเหตุการณ์จริงหรือสถานการณ์จ าลองที่สร้างขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม ในการเรียน เช่น “ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom)” ที่เป็นเหตุการณ์จ าลองในการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป็นต้น 2. การเรียนเนื้อหาแบบออนไลน์ (Online Content) เป็นลักษณะการเรียนที่ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ตามสภาพความพร้อมของแต่ละคน เช่น การเรียนแบบสื่อปฏิสัมพันธ์ (Interactive) หรือการเรียนจากการสืบค้น (Internet Based) เป็นต้น 3. การเรียนแบบร่วมมือ (Collaboration) เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้ผู้เรียน สามารถสื่อสารข้อมูลร่วมกันกับผู้อื่นจากระบบสื่อออนไลน์ เช่น e Mail, Chat, Blogs เป็นต้น 4. การวัดและประเมินผล (Assessment) การเรียนลักษณะนี้ต้องมีการประเมินผล ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระยะ นับตั้งแต่การประเมินผลก่อนเรียนเพื่อตรวจสอบความรู้ พื้นฐานของผู้เรียนก่อนที่จะเรียน การประเมินผลระหว่างเรียน และการประเมินผลหลังเรียนเพื่อวัด และประเมินความรู้ ความสามารถว่ามีพัฒนาการ ความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด อันน าไปสู่การปรับปรุง พัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้น 40
5. วัสดุประกอบการอ้างอิง (Reference Materials) การเรียนหรือการสร้างงาน ในการเรียนรู้แบบนี้ จะต้องมีการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์จากการศึกษาค้นคว้า และอ้างอิงจาก แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มคุณภาพของการเรียนรู้ให้สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นการสืบค้นข้อมูลในระบบ Search Engine หรือโปรแกรมค้นหา เช่น www.google.com, www.yahoo.com หรือ www.ask.com เป็นต้น แนวทำงกำรออกแบบกำรเรียนกำรสอนแบบไฮบริด (Hybrid Learning) Jintavee Khlaisang กล่าวว่า การออกแบบการเรียนการสอนแบบไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพ ควรน าแนวคิดรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนซึ่งเป็นที่นิยมและสามารถน ามาจัดระบบการเรียน การสอน ได้แก่ Disk and Carey Model (2005) Kemp Model (2004) และ Smith and Ragan (1999) อย่างไรก็ดีแบบต่าง ๆ เหล่านี้มีความซับซ้อนกันในเรื่องขององค์ประกอบและขั้นตอนต่าง ๆ แต่ละรูปแบบ มีจุดเด่น จุดเน้นย้ าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮบริดที่นาเสนอต่อไปนี้จะได้น า จุดเด่นของแต่ละรูปแบบการออกแบบระบบการเรียนการสอนดังที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นพื้นฐานในการออกแบบ โดยใช้กรอบทฤษฎีระบบ (ADDIE) ที่ประกอบด้วย ปัจจัยน าเข้า (input) ซึ่งในที่นี้คือขั้นตอนของการวิเคราะห์ (A=Analysis) กระบวนการ (Process) คือ ขั้นตอนของการออกแบบและพัฒนา (DD = Design & Development) ผลลัพธ์ (Output) คือ ชิ้นงานและกระบวนการซึ่งผ่าน การประเมินผลมาแล้ว และปรับแก้ จากผลลัพธ์ที่ได้ในขั้นตอนของการประเมินผล ทั้งในระหว่างการด าเนินงาน (Implementation) และการประเมินผลรวมสุดท้าย (E = Evaluation) ดังภาพ แผนภาพการออกแบบการเรียนการสอนแบบไฮบริด (Hybrid Learning) ด้วยการบูรณาการระบบ การเรียนการสอนต่าง ๆ และ กรอบทฤษฎีระบบเข้าด้วยกัน (ADDIE) วิเครำะห์ A ปัญหา/ความจ าเป็น ลักษณะของผู้เรียน วัตถุประสงค์ เนื้อหาบทเรียน กำรออกแบบ (D) และ กำรพัฒนำ (D) ทฤษฎีการสอน วิธีการสอน สาร เนื้อหาบทเรียน กำรน ำไปใช้ (I) และ กำรประเมินผล (E) ระหว่างขั้นการเตรียมการสอน หลังการเรียนการสอน การติดตามผล เนื้อหาบทเรียน ปัจจัยน ำเข้ำ (Input) กระบวนกำร (Process) ผลลัพธ์(Output) 41
กล่าวคือ การเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning) เป็นรูปแบบการสอนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่นามาใช้ในการเรียนรู้ในยุคแห่งสังคมสารสนเทศในปัจจุบัน ซึ่งเป็นลักษณะการผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้ ทั้งในลักษณะเผชิญหน้า (Face – to - face) และการเรียนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ (Computer- Mediated) ในการสร้างองค์ความรู้ได้อย่างหลากหลาย ปัจจุบันรูปแบบการเรียนการสอนแบบนี้ ได้ถูกน ามาใช้กัน ในการจัดการเรียนรู้ในทุกระดับโดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษา เพื่อลดช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้และทักษะที่จ าเป็นอย่างเต็มศักยภาพอันนาไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียน การสอนแบบผสมผสานหรือไฮบริดจึงเป็นวิธีการสอนรูปแบบหนึ่งที่มีความเหมาะสมต่อการพัฒนาคุณภาพ ของการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี แนวทำงกำรแก้ไขปัญหำและอุปสรรคของกำรเรียนกำรสอนแบบไฮบริด (Hybrid Learning) กับ กำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำไทย ในศตวรรษที่ 21 ปัญหาและอุปสรรคของการเรียนการสอนแบบไฮบริดเกิดหลายประการ โดยเฉพาะ ในประเทศไทยที่การเรียนการสอนแบบไฮบริดยังไม่แพร่หลายมากนัก ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศ ที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดมาแล้วเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาและอุปสรรค ประการที่จะต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนา ดังนี้ 1. การสร้างความตระหนักและตื่นตัวถึงความส าคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริด ของการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน 2.การส่งเสริมและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของรัฐให้กระจายครอบคลุม ทั่วประเทศที่มิได้มีเฉพาะในเมืองหลวงหรือเขตเมืองใหญ่ๆ ได้แก่ ระบบอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้เพื่อผู้เรียน ที่อยู่ในต่างจังหวัดหรือเขตเมืองเล็กๆ จะได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึง มุ่งสู่การจัด การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ 3. การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐในการติดตามและประเมินผล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและพัฒนาความสามารถของผู้ผลิตและผู้ใช้ ตลอดจนประเมินคุณภาพการเรียน การสอนระดับอุดมศึกษาให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้สถาบันการศึกษาผลิตทรัพยากรบุคคลที่ดีมีคุณภาพ ออกสู่สังคมเป็นที่ยอมรับและสามารถแข่งขันกับสถาบันการศึกษาระดับนานาประเทศได้ 3. กำรสอนแบบทันสมัยและเทคนิควิธีสอนแนวใหม่ การเรียนการสอนแนวใหม่ เป็นการน าแนวคิด วิธีการ กระบวนการหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ในการแก้ปัญหา หรือพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมายของ หลักสูตร ซึ่งจะช่วยให้การศึกษาและการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจ ในการเรียนด้วยนวัตกรรมเหล่านั้น และประหยัดเวลา ในการเรียนได้อีกด้วย 42
กำรถ่ำยทอดควำมรู้ส ำหรับผู้เรียนยุคใหม่ ครูสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้โดยการลงมือปฏิบัติเช่นเดียวกับการเชิญชวนให้นักเรียน ร่วมลงมือกับครูด้วย ครูจะอาศัยโอกาสดังกล่าวนี้ในการสังเกตการณ์การท างานและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ที่ค้นพบด้วยกัน การเรียนรู้ลักษณะนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนที่จะท าให้ก้าวกระโดดจากทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ ที่ประสบความส าเร็จ เพราะการเรียนการสอนในยุคใหม่ไม่เพียงแต่สอนนักเรียน แต่ยังต้องดูแลและสร้าง ความสัมพันธ์กับพวกเขาด้วย กระบวนการของการเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนส าคัญ ครูจะกระตุ้น ให้ผู้เรียนตั้งค าถามและตรวจสอบค าถามของพวกเขา วิธีการเช่นนี้จะท าให้หลักสูตรมีความหมายมากขึ้น บทเรียนไม่จ าเป็นต้องจบลงด้วยค าตอบที่ถูก แต่ควรจะเป็นค าตอบที่สามารถขยายผลไปสู่การตั้งค าถาม ของผู้เรียนต่อไป เพราะแนวคิดสมัยใหม่มองว่าความคิดของนักเรียนมีคุณค่า นักเรียนจะใช้พัฒนาความหมาย ของตัวเองแทนการถ่ายโอนความรู้จากครู โดยจะเน้นการคิดเชิงวิพากษ์มากกว่าข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง กิจกรรมการเรียนควรมีความหมายและน่าสนใจให้กับนักเรียน พวกเขาควรได้รับอนุญาต ในการสร้าง พัฒนาและประยุกต์ใช้ความรู้หรือทักษะเพิ่มเติม พวกเขาควรจะมีทางเลือกและได้รับโอกาส ที่จะเป็นนักวางแผน และผู้มีอ านาจตัดสินใจ กิจกรรมควรจะสร้างขึ้นที่ช่วยให้เด็กที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้ ในสถานการณ์ใหม่ เด็ก ควรจะเป็นการสนับสนุนในการหาค าตอบส าหรับค าถามของตัวเองโดยใช้การวิเคราะห์ แนวคิดกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส ำคัญ สรุปได้ ๔ ประการ คือ ๑. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) แผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่ง จัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ นวัตกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) แบบเรียนส าเร็จรูป (Programmed Text Book) เครื่องสอน (Teaching Machine) การสอนเป็นคณะ (Team Teaching) การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) ๒. ความพร้อม (Readiness) ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า ความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียนให้พอเหมาะกับระดับความสามารถ ของเด็กแต่ละคน นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น ศูนย์การเรียน (Learning Center) การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases) ๓. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์ กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จ ากัด อยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น การจัดตารางสอนแบบ ยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) แบบเรียนส าเร็จรูป (Programmed Text Book) การเรียนทางไปรษณีย์ ๔. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมท าให้ มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ 43
จึงจ าเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น การเรียนทางโทรทัศน์ การเรียนทางไปรษณีย์ การเรียนการสอนทางไกล การเรียนทางเว็บไซต์ การเรียนผ่านเครือข่ายแบบเรียนส าเร็จรูป นวัตกรรมกำรสอนแบบใหม่ๆ กำรอ่ำนและกำรเขียน Weblog บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของ บล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือ ข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่อง ส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจิ้น (search engine) หรือ โปรแกรมค้นหา คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหา ข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย เสิร์ชเอนจิ้นส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากค าส าคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการ ผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ห้องเรียนออนไลน์ Quipper School https://school.quipper.com/th/index.html ควิปเปอร์สคูล คือ ฟรีแพลตฟอร์มออนไลน์ ส าหรับคุณครูและนักเรียน ควิปเปอร์สคูล ประกอบด้วยสองส่วนด้วยกัน คือ ส าหรับครูผู้สอน และส าหรับนักเรียน เป็นที่ที่ครูจัดการห้องเรียนออนไลน์ และยังสามารถติดตาม ตรวจสอบผลการเรียนของนักเรียนได้ สามารถเลือกจากบทเรียนและแบบฝึกหัดหลายพัน หัวข้อครอบคลุม หลักสูตรหลัก เพื่อส่งเป็นการบ้านให้นักเรียนทั้งชั้นหรือกลุ่มย่อยในชั้นเรียนได้ ครูสามารถ สามารถแก้ไข จากบทเรียนที่มีอยู่หรือสร้างเนื้อหาและแบบทดสอบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองได้สามารถดูและ ดาวน์โหลด ผลวิเคราะห์คะแนนของนักเรียน อัตราการส่งการบ้าน การบ้านที่ท าเสร็จไปแล้ว จุดแข็งและจุดอ่อน ของนักเรียน ครูท างานกับชั้นเรียนของเขาหรือสามารถท างานร่วมกันระหว่างครู (สองคนหรือมากกว่านั้น) ในชั้นเรียน หรือโรงเรียนเดียวกันได้ Google Classroom https://classroom.google.com/ Classroom เปิดให้บริการ ส าหรับทุกคนที่ใช้ Google Apps for Education ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการท างานที่ให้บริการ ฟรี ประกอบด้วย Gmail, เอกสาร และไดรฟ์ Classroom ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ครูสามารถสร้าง และเก็บงานได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกระดาษ มีคุณลักษณะที่ช่วยประหยัดเวลา เช่น สามารถท าส าเนาของ Google เอกสารส าหรับนักเรียนแต่ละคนได้โดยอัตโนมัติ โดยระบบจะสร้างโฟลเดอร์ของไดรฟ์ส าหรับแต่ละ งานและนักเรียนแต่ละคนเพื่อช่วยจัดระเบียบให้ทุกคน นักเรียนสามารถติดตามว่ามีอะไรครบก าหนดบ้างใน หน้างาน และเริ่มท างานได้ด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว ครูสามารถดูได้อย่าง รวดเร็วว่าใครท างานเสร็จหรือไม่ เสร็จบ้าง ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนโดยตรงได้แบบเรียลไทม์ใน Classroom 44
แหล่งกำรเรียนรู้ส ำหรับครู โทรทัศน์ครู http://www.thaiteachers.tv TEACHERS as LEARNERS http://www.teachersaslearners.com คลังสมองของครูไทย http://www.thinkttt.com DLIT http://www.dlit.ac.th/index.php ศูนย์กลางความรู้แห่งชาติ TKC http://www.tkc.go.th ส านักงานราชบัณฑิตยสภา www.royin.go.th Education World http://www.educationworld.com/ วิชาการดอทคอม http://www.vcharkarn.com สหวิชาดอทคอม http://www.sahavicha.com ทรูปลูกปัญญา http://www.trueplookpanya.com ถามครู http://taamkru.com TK park www.tkpark.or.th เด็กดีดอทคอม www.dek-d.com UTQ http://www.utqplus.com แหล่งเรียนรู้ทำงด้ำนสื่อและนวัตกรรม NECTEC http://www.nectec.or.th แหล่งให้บริกำรเผยแพร่คลิปวีดิทัศน์ Youtube https://www.youtube.com TED-Ed http://ed.ted.com Krutube http://krutube.thinkttt.com/index.php ทวิก (Twig) https://www.twig-aksorn.com เว็บไซต์ให้บริกำรสร้ำงสื่อกำรศึกษำ Prezi https://prezi.com สร้าง presentation Barry Fun English http://www.barryfunenglish.com สร้างใบกิจกรรม Twinkl http://www.twinkl.co.uk สร้างใบกิจกรรม Have Fun Teaching http://www.havefunteaching.com สร้างใบกิจกรรม Puzzle Maker http://www.discoveryeducation.com/free-puzzlemaker Popplet http://popplet.com สร้าง mind map Spider scribe http://www.spiderscribe.net สร้าง mind map Time Toast http://www.timetoast.com สร้าง timeline 45