The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาและการออกแบบหลักสูตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panidachenghom, 2021-09-02 04:03:05

การพัฒนาและการออกแบบหลักสูตร

การพัฒนาและการออกแบบหลักสูตร

การพฒั นาหลักสูตร

ความหมายของการพฒั นาหลักสตู ร

มนี กั การศึกษาใหค้ วามหมายของคาว่า “ การพัฒนาหลกั สูตร ” ไวด้ ังนี้

สงดั อุทรานนั ท์ ได้กล่าวถงึ ความหมายของการพัฒนาหลกั สตู รวา่
“ การพัฒนา ” ตรงกบั คาในภาษาองั กฤษวา่ “Development” มีความหมายอยู่ 2 ลกั ษณะ คือ
• การทาใหด้ ีข้นึ หรอื ทาให้สมบูรณ์ขึ้น
• การทาใหเ้ กิดขึ้น

ด้วยเหตุน้ีการพฒั นาหลักสตู รจงึ มีความหมายใน 2 ลกั ษณะ คอื การทาหลกั สตู รทมี่ ีอยู่แล้วให้ดีขนึ้ หรือสมบรู ณ์
ข้ึน กบั การสร้างหลักสูตรขนึ้ มาใหม่ โดยไม่มีหลักสตู รเดิมเปน็ พืน้ ฐานเลย

ทาบา (Taba) ได้กล่าวไว้ว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การเปล่ียนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้
ไดผ้ ลดยี ิง่ ข้นึ ทง้ั ในด้านการวางจุดมุง่ หมาย การจดั เนอ้ื หาวชิ า การเรยี นการสอน การวดั ผลประเมินผล และอืน่ ๆ เพอื่ ให้
บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ท่ีวางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นการเปล่ียนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ตงั้ แตจ่ ุดมุง่ หมายและวธิ กี าร และการเปลยี่ นแปลงหลกั สูตรนีจ้ ะมีผลกระทบกระเทอื นทางด้านความคิดและความรู้สึกนึก
คิดของผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่
เปลย่ี นแปลงแนวคดิ พ้ืนฐาน หรอื รปู แบบของหลักสูตร ”

กู๊ด (Good) ได้ให้ความเห็นว่า “ การพัฒนาหลักสูตรเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ การปรับปรุงและเปล่ียนแปลง
หลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหน่ึงเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน
จดุ มงุ่ หมายของการสอน วสั ดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทง้ั การประเมนิ ผล สว่ นคาวา่ เปล่ยี นแปลงหลกั สตู ร หมายถงึ การแก้ไข
หลกั สตู รใหแ้ ตกต่างไปจากเดิม เปน็ การสร้างโอกาสทางการเรียนข้นึ ใหม่ ”

เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander) ให้ความหมายว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
การจัดทาหลักสูตรเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือเป็นการจัดทาหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน การพัฒนา
หลักสตู ร อาจหมายรวมถงึ การสร้างเอกสารอืน่ ๆ สาหรับนกั เรียนด้วย ”

จากความหมายของการพัฒนาหลักสูตรท่ีนักการศึกษาได้กล่าวไว้ข้างต้น ทาให้สามารถอธิบาย สรุป
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร(Curriculum Development) หมายถึง การจัดทา
หลกั สตู ร การปรับปรงุ การเปลย่ี นแปลงหลักสตู รใหด้ ีขึ้น เพอื่ ใหเ้ หมาะกับความต้องการของบคุ คล และสภาพสังคม

ทฤษฎีหลักสตู ร

ทฤษฎีหลักสูตร (Curriculum Theory) หมายถึง ข้อความที่อธิบายความหมายของหลักสูตรโดยช้ีให้เห็นถึง
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบตา่ งๆ ช้ีนาแนวทางการพัฒนาการใช้และการประเมินผลหลกั สูตรประกอบกนั (รศ.ดร.
ประพิมพ์พรรณ โชคสุวัฒนสกุล.หลักสตู รมธั ยมศกึ ษา.2534:34)

ทฤษฎีการพฒั นาหลกั สตู รของ Hilda Taba เป็นทฤษฎีท่ีชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจถึงองค์ประกอบและส่วนประกอบด้าน
ตา่ งๆ ที่สาคัญของหลกั สูตร ทห่ี ลอมรวมกนั เป็นหลักสูตรคุณภาพที่ใช้ในการเรียนการสอนใหเ้ กิดประสิทธิภาพ ดงั น้ัน ถา้
ต้องการให้หลักสูตรเปน็ เครอ่ื งมือในการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรนาแนวทางนั้นไปทดลองและปรับใชใ้ น
การเรียนการเรียนการสอนให้เหน็ จริง จึงจะสง่ ผลให้หลักสูตรน้นั กลายเปน็ หลักสูตรที่สมบูรณ์ และเป็นทย่ี อมรับของทุก
ฝ่าย
หนา้ ทข่ี องทฤษฎี
1. จดุ มงุ่ หมายของวิทยาศาสตร์ คือ การเขา้ ใจปรากฏการณ์ท่ีศึกษา นักปรชั ญายังหาคาตอบสาหรับคาถามของพวกเขา
ความรู้คืออะไร ความจริงคืออะไร อะไรคือคณุ คา่
2. ทฤษฎีมาจากคาในภาษากรีกว่า theoria connoting แปลว่า “การต่ืนตัวของจิตใจ” มันเป็นชนิดของ “มุมมองที่
บริสทุ ธ์ิ” ของความจรงิ ทฤษฎี อธิบายความเปน็ จริง ทาให้ผูค้ นตระหนักถึงโลกของพวกเขาและปฏสิ มั พนั ธ์

แบบจาลองการพัฒนาหลกั สตู ร

SU Model

SU Model คือ รปู แบบจาลองโลกแห่งการศึกษา โดยประกอบด้วยวงกลม ซง่ึ เปรียบเสมอื นโลกทีม่ อี งค์ประกอบ
สาคัญ 3 ประการ คือ 1.พ้ืนฐานทางปรัชญา 2.พื้นฐานทางจิตวิทยาและ3.พ้ืนฐานทางสังคม โดยมีสามเหล่ียมแห่ง
การศกึ ษาท่ีมอี งคป์ ระกอบ 3 ด้าน ไดแ้ ก่

ดา้ นความรู้ กากบั ดว้ ยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรชั ญาสารตั ถนิยม (Essentialism) ซง่ึ มีแนวคดิ ใน
การจัดการเรยี นการสอนเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ท่ี
มแี นวคดิ ในการจัดการเรยี นการสอนดว้ ยเหตผุ ล เรียนรู้ในส่ิงที่เป็นเนือ้ หาสาระท่มี ัน่ คง

ด้านผู้เรียน กากับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ซ่ึงมีแนวคิดที่ให้บุคคลมีเสรีภาพใน
การเลอื กดว้ ยตนเอง มีแนวทางการจดั การศึกษาโดยให้ผเู้ รียนไดม้ โี อกาสเลอื กประสบการณใ์ นการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง

ด้านสังคม จะกากับด้วยปรชั ญาการศึกษาปฏิรปู นยิ ม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดในการจัดการศกึ ษา
ให้กบั ผู้เรยี นควรเปน็ ไปเพ่อื การพฒั นาสงั คม เน่อื งจากสงั คมมปี ัญหา

ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต้องตอบสนองด้านผู้เรียน ด้านสังคมและด้านความรู้ โดยต้ังอยู่บนพื้นฐาน
ทางการพัฒนาที่สาคัญ คือ พื้นฐานทางสังคม พื้นฐานทางจิตวิทยาและพ้ืนฐานทางปรัชญาและภายในสามเหล่ียม
การศึกษาจะประกอบด้วยสามเหลี่ยมเล็กๆ ส่ีภาพ ซึ่งเป็นการจาลองข้ันตอนในการจัดทาหลักสูตรของ Tyler โดย
ประกอบดว้ ย 4 ขน้ั ตอน ดังน้ี

- ข้ันตอนที่หน่ึง คือ การวางแผนหรือ Planning ซึ่งจะเห็นว่ากากับด้วยความรู้ (Knowledge) และจะ
สอดคลอ้ งกบั คาถามที่หนง่ึ ของไทเลอร์ คือ มจี ุดมงุ่ หมายอะไรบา้ งในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา เพราะวา่ หลกั สูตร
ตอ้ งวางแผนใหม้ ีเนือ้ หาครบคลมุ ในส่ิงท่ีผ้เู รียนตอ้ งรแู้ ละตอ้ งเรียน

- ขน้ั ตอนท่ีสอง คือ การออกแบบหรอื Design ซึง่ จะเห็นวา่ กากับดว้ ยผู้เรยี น (Learner) และจะสอดคล้อง
กับคาถามที่สองของไทเลอร์ คือ มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายใน
การศึกษา เพราะวา่ หลกั สตู รตอ้ งออกแบบมา เพื่อใหจ้ ดั กจิ กรรมหรือประสบการณ์ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความร้แู กน่ ักเรียน

- ขั้นตอนท่ีสาม คือ การจัดการหลักสูตรหรือ Organize ซึ่งจะเห็นว่ากากับด้วยผู้เรียน (Learner), ความรู้
(Knowledge) และสังคม (Society) และจะสอดคล้องกับคาถามที่สามของไทเลอร์ คือจัดประสบการณ์การเรียนรู้
อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เพราะว่าการจัดการหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพ คือ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมี
ประสิทธิภาพ เพ่ือให้นักเรียนเกิดความรแู้ ละบรรลวุ ัตถปุ ระสงคพ์ ร้อมกบั สามารถนาความรู้ทีไ่ ด้ไปใช้ในการอยู่ในสังคม

- ขน้ั ตอนที่สี่ คือ การประเมนิ หรอื Evaluate ซงึ่ จะเหน็ วา่ กากบั ดว้ ยสังคม (Society) และจะสอดคล้องกับ
คาถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ ประเมินประสิทธิ์ผลของประสบการณ์ในการเรยี นอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรยี น
ความรูแ้ ละการจดั การเรยี นการสอนจะทาให้นกั เรียนไดค้ วามรู้ที่สามารถนาไปใช้ในสังคม

หลักการพัฒนาหลักสตู รของไทเลอร์(Tyler’s Rationale)

ไทเลอร์ (Tyler) ศาสตราจารย์ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้กาหนด หลักการพัฒนาหลักสูตรท่ีเป็น
หลักการร่วมสมัยท่ีนักพัฒนาหลักสูตรใช้กันมาจนถึง ปัจจุบัน เรียกว่า หลักการของไทเลอร์ (Tyler’s Rationale) โดย
นกั พัฒนาหลักสูตร ควรตอบคาถาม 4 ขอ้ ดังน(ี้ Tyler. 1949: 1)

1. จดุ ม่งุ หมายทางการศกึ ษาทโ่ี รงเรียนควรบรรลุคืออะไร
2. มีประสบการณท์ างการศกึ ษาอะไรท่สี ามารถทาให้บรรลุ จุดมงุ่ หมาย
3. ประสบการณท์ างการศึกษาเหล่านีส้ ามารถจดั ใหม้ ีประสิทธภิ าพไดอ้ ยา่ งไร
4. เราจะทราบได้อยา่ งไรวา่ บรรลจุ ุดมงุ่ หมายทก่ี าหนดไว้

ไทเลอร์มีฐานคิดและมุมมองต่อการพัฒนาหลักสูตรอย่างเป็นระบบ โดยใช้จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เป็น
จุดเริม่ ต้นของการพฒั นาหลกั สตู ร เมื่อกาหนดจุดมุ่งหมายของหลกั สตู รแล้วจะนาไปส่กู ารกาหนดประสบการณก์ ารเรียนรู้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ สอดคล้องกับ จอห์น ดุย (John Dewey) ศาสตราจารย์
ทางด้านปรัชญา มหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่ได้เขียนไว้ ในหนังสือ How We Think ว่า จุดมุ่งหมายคือส่ิงท่ีควบคุม
กระบวนการพัฒนา หลักสูตร “end controls the process of thinking” Dewey. (1910: 15) จากการวิเคราะห์
หลักการของไทเลอร์ทาให้เห็นว่ากระบวนการพัฒนา หลักสูตร ประกอบด้วยข้ันตอนหลัก 4 ข้ันตอน ท่ีนักพัฒนา
หลักสูตรดาเนินการ ไปตามลาดับและมีลักษณะเป็นวงจร ไดแ้ ก่ 1) การกาหนดจดุ ม่งุ หมายของหลกั สูตร 2) การกาหนด
ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ 3) การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ และ 4) การประเมนิ ผลการเรียนรดู้ งั แผนภาพต่อไปนี้

รปู แบบการพัฒนาหลกั สตู รของทาบา

แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรตามรูปแบบของทาบา (Hilden Taba) มีลักษณะจากล่างขึ้นบน (grassroots
approach) โดยใช้วธิ ีอปุ นยั ทาบาเสนอไว้ว่า หลักสูตรควรมาจากครูผู้สอนมากกวา่ ผู้บรหิ ารระดบั สงู กระบวนการพัฒนา
หลักสูตรของทาบามที ้งั หมด 7 ขัน้ ตอน ดงั นี้

ข้ันท่ี 1 วิเคราะห์สภาพปัญหา สารวจความต้องการและความจาเป็นต่างๆ ของสังคม ศึกษาพัฒนาการของ
ผ้เู รยี น กระบวนการเรียนรู้ และธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ ซงึ่ เปน็ แนวทางทส่ี าคญั ในการกาหนดจดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร

ข้ันที่ 2 การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โดยอาศัยข้อมูลท่ีได้จากข้ันท่ี 1 เป็นหลัก ควรเป็นส่ิงท่ีปฏิบัติได้
จรงิ และเป็นแนวทางในการเลือกและจดั ประสบการณ์การเรียนรู้

ขัน้ ท่ี 3 การเลอื กเน้ือหาสาระ ต้องใหส้ อดคล้องกับจดุ มุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ เนอื้ หาทคี่ ัดเลือกบรรจลุ งในหลักสูตร
จะตอ้ งมคี วามสาคญั และถูกต้อง

ข้นั ที่ 4 การจัดรวบรวมเน้อื หาสาระ พิจารณาถึงความเหมาะสมในการที่จะใหผ้ ู้เรยี นไดร้ ับความรู้ใดก่อนหลงั ซึง่
จะต้องมีความตอ่ เนอื่ งและเปน็ ลาดบั ข้ันตอน

ข้ันท่ี 5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ เป็นการศึกษาถึงกระบวนการเรียนรู้ และวิธีการสอนแบบต่างๆ
จะตอ้ งวางแผนเลอื กประสบการณ์ให้เหมาะสมกับเนอ้ื หาสาระและผเู้ รียน

ขน้ั ที่ 6 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้เลือกแลว้ เปน็ การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ให้เปน็ ไปตามลาดับ
ขนั้ ตอนท่ีบรรลุตามจุดประสงคท์ ี่วางไว้

ขน้ั ที่ 7 การประเมนิ ผล เปน็ การพจิ ารณาว่าหลักสตู รประสบผลสาเรจ็ มากน้อยเพยี งใด มปี ญั หาหรอื ขอ้ บกพร่อง
ในขัน้ ตอนใด เพื่อจะได้ทาการปรับปรงุ แกไ้ ขต่อไป

รปู แบบการพฒั นาหลกั สูตรของเซเลอรแ์ ละอเลก็ ซานเดอร์

เซเลอรแ์ ละอเลก็ ซานเดอร์ (Saylor and Alexander 1981, P. 30-39) ได้เสนอแนวคิดว่า การพฒั นาหลกั สตู ร
จะไมด่ าเนนิ ไปในลักษณะเสน้ ตรง การจะเรม่ิ ทีข่ นั้ ตอนหรอื กระบวนการก็ได้ ดังนี้

ข้ันที่ 1 การกาหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และขอบเขต โดยกาหนดขอบเขตของเป้าหมายไว้4 ประการ คือ
ประสบการณก์ ารเรยี นร้ทู ีห่ ลากหลาย พัฒนาการของบุคคล ความสามารถทางสงั คม ทกั ษะการเรยี นรู้ และความชานาญ
เฉพาะด้าน

ขั้นท่ี 2 การออกแบบหลักสูตร เป็นการตัดสินใจโดยใช้เป้าหมาย วัตถุประสงค์และขอบเขต พร้อมท้ังพิจารณา
ขอ้ มลู อ่ืนๆ ประกอบ เช่น ธรรมชาตขิ องวิชา ความสนใจของผูเ้ รยี น และสังคม เปน็ ต้น

ข้ันท่ี 3 การนาหลักสูตรไปใช้ เป็นการตดั สนิ ใจเกี่ยวกับการนาวิธสี อนต่างๆ ท่ีได้ออกแบบไวไ้ ปปฏบิ ตั วิ ธิ กี ารสอน
รวมทง้ั สื่อต่างๆ ทน่ี าไปใช้ต้องเหมาะสมสอดคล้องกับจุดม่งุ หมายการสอน

ขั้นท่ี 4 การประเมินผลหลักสูตร ผู้สอนจะต้องเลือกใช้วิธีประเมินผลแบบต่างๆ เพ่ือบอกความก้าวหน้าของ
ผูเ้ รยี น รวมท้ังประสทิ ธภิ าพการสอน ผลสมั ฤทธ์ขิ องผู้เรยี น รูปแบบการพฒั นาหลักสูตร

รปู แบบการพฒั นาหลักสตู รของโอลิวา (Oliva)

1.จุดมุ่งหมายของการศึกษา (Aims of Educatioj ) และหลักการปรัชญาและจิตวิทยาจากการวิเคราะห์ความ
ตอ้ งการจะเป็นของสงั คมและของผ้เู รียน

2.วิเคราะห์ความต้องการจาเป็นขอุมชนที่สถานศึกษาน้ันๆ ความต้องการจาเป็นของผู้เรียนในชุมชน และ
เนือ้ หาวชิ าที่จาเปน็ เพ่อื ใช้ในการจดั การเรียนการสอน

3. เป้าหมายของหลกั สูตร (Curriculum Goals) โดยอาศัยข้อมูลจากขน้ั ที่ 1 และ 2
4. จุดประสงค์ของหลักสูตร (Curiiculum Objectives) อาศัยข้อมูลจากขั้นที่ 1, 2 และ3 แตกต่างจากข้ันที่ 3
คือมลี ักษณะเฉพาะเจาะจงเพือ่ นาไปส่กู ารประยกุ ต์ใช้หลกั สตู ร และการกาหนดโครงสร้างหลักสูตร
5. รวบรวมและนาหลักสตู รไปใช้ (Organization and Implementation of the curriculum) เป็นขั้นของการ
กาหนดโครงสร้างหลกั สูตร
6. กาหนดเปา้ หมายของการสอน (Instructional Goals) ของแต่ละระดบั
7. กาหนดจุดประสงคข์ องการจัดการเรียนการสอน (Instructional Objectives) ในแตล่ ะรายวชิ า
8. เลือกยุทธวิธีในการสอน (Selection of Strategies) เป็นขนั้ ที่ผู้เรียนเลอื กยุทธวิธที เี่ หมาะสม
9. เลือกเทคนิควิธีการประเมินผลก่อนท่ีนาไปสอนจริง คือ 9A (Preliminary selection of evaluation
techniques) และกาหนดวิธีการประเมินผลหละงจากกิจกรรมการเรียนการสอนส้ินสุด คือ 9B (Find selection of
evaluation techniques)
10. นายุทธวธิ ไี ปปฏบิ ตั จิ ริง (Implementation of Strategies) เป็นขัน้ ของการใชว้ ิธกี ารทีก่ าหนดในขัน้ ที่ 8
11. ประเมนิ ผลการจดั การเรยี นการสอน (Evaluation of Instruction) เป็นขน้ั ที่เมื่อการดาเนนิ การจัดการเรียน
การสอนเสร็จสน้ิ ก็มีการประเมินผลตามท่ไี ด้เลือกหรือกาหนดวิธีการประเมินในข้นั ท่ี 9
12. ประเมินหลกั สูตร (Evaluation of curriculum) เปน็ ขน้ั ตอนสุดท้ายท่ีทาใหว้ งจรครบถ้วน การประเมินผลท่ี
มใิ ชป่ ระเมินผเู้ รียนและผูส้ อน แตเ่ ป็นการประเมนิ หลกั สตู รท่จี ัดทาขึ้น

การพัฒนาหลกั สตู ร

กระบวนการพฒั นาหลักสูตร มสี าระสาคัญโดยสรุปดงั น้ี

1. การวิเคราะหข์ ้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมลู ทางด้านความต้องการ ความจาเป็นและปญั หาทางสงั คม เศรษฐกจิ
การเมืองและการปกครอง ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา ปรัชญาการศึกษา ความ
ต้องการของผเู้ รียน ตลอดจนวิเคราะห์หลกั สตู รเดิม เพ่ือพิจารณาข้อบกพรอ่ งทค่ี วรปรบั ปรุงแกไ้ ข

2. การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะกรรมการดาเนนิ งานจะต้องรว่ มกันพจิ ารณากาหนดจุดมุ่งหมาย
ของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ท่ีจบหลักสูตรน้ันๆ มุ่ง
พัฒนาผู้เรียนท้ัง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย โดยกาหนดทั้งจุดมงุ่ หมายท่ัวไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ
แต่ละรายวิชา ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคานึงถึงพัฒนาการทางรา่ งกาย และจิตใจ ตลอดจนปลูกฝังนิสัยท่ีดีงาม
เพอื่ ให้เปน็ พลเมืองดี

3. การกาหนดเนอ้ื หาและประสบการณก์ ารเรียนรู้ หลังจากได้กาหนดจุดมงุ่ หมายของหลักสูตรแล้ว ก็ถงึ ขั้น
การเลือกสาระความรู้ต่างๆ ที่จะนาไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้
วิชาความรู้ท่ีถูกต้องเหมาะสม กระบวนการข้ันนี้จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเน้ือหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลาดับเนื้อหา
เหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพ้นื ฐานของเน้ือหาใดบา้ ง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถกู ตอ้ ง
สมบูรณท์ ง้ั แง่สาระและการจัดลาดับทเี่ หมาะสม ตามหลกั จิตวทิ ยาการเรยี นรู้

4. การนาหลักสูตรไปใช้ เป็นข้ันของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ซึ่งเป็นขั้นตอนท่ีมีความสาคัญ และ
เก่ียวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนจะต้อง
ศกึ ษาทาความเขา้ ใจ และมีความชานาญในการใช้หลกั สูตร ซงึ่ ครอบคลมุ ถงึ การเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน
การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในโรงเรยี นเพื่อเสริมหลกั สูตร การนิเทศการศกึ ษา และการบริหารการบริการหลักสูตร
ฯลฯ นอกจากนใี้ นข้นั นยี้ งั ครอบคลุมถึงการนาหลกั สตู รไปทดลองใชก้ ่อนนาไปเผยแพรด่ ้วย

การออกแบบหลกั สูตร

กระบวนการพฒั นาหลกั สูตรเริ่มต้นจากระบบการรา่ งหลักสูตร ระบบการนาหลักสูตรไปใช้ และระบบการ
ประเมนิ หลกั สูตร ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

1. ระบบการร่างหลักสูตร ประกอบด้วย การกาหนดหลักสูตร โดยดูความสอดคล้องกับเน้ือหาวิชา สภาพ
สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง หลังจากนั้นเริ่มกาหนดรูปแบบหลักสูตร ได้แก่ การกาหนดหลักการโครงสร้าง
องค์ประกอบหลักสูตร วัตถุประสงค์ เนื้อหา ประสบการณ์การเรียนและการเมินผลหลังจากน้ันดาเนินการตรวจสอบ
คณุ ภาพหลักสตู รโดยผ่านผู้เชยี่ วชาญ หรอื การสัมมนา และมกี ารทดลองนาร่อง พร้อมท้งั รวบรวมผลการวิจัยและปรับแก้
หลักสูตรกอ่ นนาไปใช้

2. ระบบการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย การขออนุมัติหลักสูตรจากหน่วยงานหรอื กระทรวงดาเนินการวาง
แผนการใช้หลักสูตร โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากร จัดงบประมาณและ
วัสดุหลักสูตร บริการสนับสนนุ จัดเตรยี มอาคารสถานท่ี ระบบบริหารและจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร และติดตามผล
การใช้หลักสูตร หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบการบริหารหลักสูตร โดยการดาเนินการตามแผนกิจกรรมการเรียนการสอน
แผนการสอน คมู่ ือการสอน คู่มือการเรยี น เตรียมความพร้อมของผู้สอน ความพร้อมของผู้เรียนและการประเมนิ ผลการ
เรยี น

3. ระบบการประเมินผล ประกอบด้วย การวางแผนการประเมินผลการใช้หลักสูตร ท้ังการประเมินย่อย
การประเมินรวบยอด การประเมินระบบหลักสูตร ระบบการบริหารและสัมฤทธ์ิของผู้เรียน หลังจากนั้นเก็บรวบรวม
ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและรายงานข้อมลู ตามลาดบั

พน้ื ฐานในการจดั ทาหลกั สตู ร

1. พ้นื ฐานทางด้านปรชั ญาการศึกษา

ปรัชญาการศึกษา หมายถึง อุดมคติ อุดมการณ์อันสูงสุดซ่ึงยึดเป็นหลักในการจัดการศึกษา มีบทบาทใน
การเป็นแม่บทเป็นต้นกาเนิดความคิดในการกาหนดความมุ่งหมายของการศึกษา และเป็นแนวทางในการจัดการศกึ ษา
เพราะเป็นสง่ิ ทช่ี ่วยกาหนดทิศทางในการจดั การศึกษา ชว่ ยกาหนดหลักการและ จดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร รวมท้ังสิ่งอ่ืนท่ี
จะตามมาคือ การเลอื กเนอื้ หาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และการประเมินผลเปน็ ต้น ปรชั ญาการศกึ ษาตา่ ง ๆ มีดงั น้ี

ปรัชญาสารัตถนิยมหรือสาระนิยม (essentialism) ถือว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การจัดการศึกษา
ตามแนวคิดนี้จึงมีลักษณะเป็นการถ่ายทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของสังคมเพราะเห็นว่า สิ่งท่ีนามาสอนน้ัน ดีงาม
ถกู ตอ้ ง และกลั่นกรองมาดีแล้ว เนอ้ื หาวชิ าทน่ี ามาสอนจะเปน็ การเตรยี มผเู้ รียนให้มชี ีวิตที่ดี เชน่ การอ่าน การเขียน เลข
คณิต ประวัติศาสตร์วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น การจัดการเรียนรู้ยึดครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เน้นการถ่ายทอด

ความรูใ้ หผ้ เู้ รยี น รบั รูแ้ ละจา คานึงถงึ เนื้อหาสาระมากกว่าความแตกต่างระหวา่ งบุคคล วธิ ีสอนทใ่ี ช้มากคือการบรรยาย
หรือการพดู ของครู ผเู้ รยี นตอ้ งอยใู่ นระเบยี บวนิ ัยจนสามารถทาสิ่งตา่ ง ๆ ได้ การประเมนิ ผลเน้นดา้ นความรู้

ปรัชญานิรันตรนิยม (parennialism) ปรัชญานี้มีความเช่ือว่า การจัดการศึกษาควรให้เรียนในสิ่งที่ดีงาม
ม่ันคง มีเสถียรภาพ เนื้อหาวิชาท่ีเรียนจะเป็นวิชาท่ีพัฒนาเชาวน์ปัญญาและจิตใจ เช่น วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์
ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรณ์ศิลปะการพดู คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และดนตรี วิธีสอนใช้การฝึกฝนทางปญั ญา
เช่น การอ่าน การเขยี น การฝกึ ทกั ษะ การทอ่ งจา การคานวณ และการถามตอบ

ปรัชญาพิพัฒนาการนยิ ม หรือปรัชญาพิพัฒนนยิ ม หรือปรัชญาววิ ัฒนาการนยิ ม (progressivism) ปรัชญา
การศึกษาน้ีถือว่าการศึกษาเป็นเคร่ืองมือของสังคมในการถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่ชนรนุ่ หลัง การจัดการศึกษาตามแนวน้ี
จะมุ่งส่งเสริมพฒั นาการเดก็ ทกุ ด้าน เนน้ การปฏิบตั ิจรงิ และความสมั พันธก์ ับสภาพจริง การจดั การเรยี นรยู้ ดึ ผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง วิธีการใช้มากคือ การทาโครงการ การอภิปรายกลุ่ม และการแกป้ ัญหาเปน็
รายบุคคล

ปรชั ญาอตั นิยม หรือปรัชญาอตั ถภิ าวนยิ ม หรือปรชั ญาสวภาพนิยม (existentialism) ปรชั ญาน้ี มคี วามเชอ่ื
วา่ ทุกคนสามารถกาหนดชวี ติ ของตนเองจงึ เนน้ การปรับตัวใหเ้ ข้ากบั สภาพของสังคม เผชิญกบั ปัญหาต่าง ๆ การจัดการ
ศึกษาจึงให้ ผเู้ รียนมอี ิสระในการเรยี นรู้ การตัดสินใจ สอนให้เด็กเปน็ ตวั ของตวั เอง มีเสรภี าพในการเรียน และเลือกเรียน
มีความรบั ผิดชอบในตนเอง ครผู ู้สอนเปน็ เพียงผู้ชี้แนะแนวทาง การจดั การเรยี นรเู้ นน้ พฒั นาการของผู้เรยี นแต่ละคน วิชา
ทีเ่ รียนเป็นวชิ าทพี่ ัฒนาความสามารถของบคุ คลเฉพาะ ลงไป เชน่ ศลิ ปะ ปรชั ญา วรรณคดี การเขียน การละคร เปน็ ตน้

ปรชั ญาปฏริ ูปนิยม (reconstructionism) ปรัชญาน้ีมคี วามเชอ่ื วา่ การศกึ ษาเปน็ เครือ่ งมือในการเปลยี่ นแลง
สังคมโดยตรง เน้นการจัดการศกึ ษาเพ่ือสร้างสงั คมให้ดี รู้จักการอย่รู ว่ มกนั ในสงั คม ชว่ ยแกป้ ญั หาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ในสงั คม
สง่ เสรมิ ความเป็นประชาธิปไตย ดงั นนั้ ผเู้ รยี นต้องหาประสบการณ์ดว้ ยตนเองใหม้ าก การจดั หลักสตู รยึดอนาคตเปน็
ศูนย์กลาง ม่งุ พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีความรู้ ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรปู สงั คมให้ดขี น้ึ เนือ้ หาวชิ าเนน้ หนกั ใน
หมวดสังคมศกึ ษา ด้านพฤติกรรมศาสตร์ อิทธพิ ลของชุมชน ใช้วิธสี อนแบบใหผ้ ู้เรยี นคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง เน้นการ
อภิปราย การแสดงความคิดเห็นในเรือ่ งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเรือ่ งปัญหาของสังคม พร้อมใหข้ อ้ เสนอแนะในการปฏริ ปู สงั คม
ด้วย ตารางสอนจัดแบบยดื หยนุ่ (flexible schedule) การประเมนิ ผลวดั พฒั นาการทุกด้านของผเู้ รียนและทศั นคติ
เกย่ี วกับสังคม

2. พืน้ ฐานทางดา้ นจิตวิทยา

ในการจัดทาหลักสูตรน้ัน นักพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงอยู่เสมอว่าต้องพยายามจัดหลักสูตรให้สนองความ
ต้องการและความสนใจของผเู้ รียนอย่างแท้จรงิ ด้วยการศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกบตวั ผู้เรียนว่าผเู้ รียนเป็นใคร มคี วาม
ต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร ซ่ึงเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับจิตวิทยาทั้งสิ้น โดยเฉพาะจิตวิทยา
พัฒนาการ (developmental psychology) และจิตวิทยาการเรียนรู้ (psychology of learning) ซึ่งจิตวิทยา
ทัง้ 2 สาขานจ้ี ะเก่ียวขอ้ งกบั การจัดทาหลักสูตรโดยตรง นอกจากน้ีนักพัฒนาหลักสูตรยังใหค้ วามสาคญั กบั จิตวิทยาท่ัวไป
(generalpsychology) ในสว่ นท่เี กีย่ วกบั การสง่ เสริมการเรียนรู้ของมนุษยด์ ้วยเช่นกัน จิตวิทยาพฒั นาการกับการพัฒนา

หลักสูตร ทาให้ทราบถึงความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ เจตคติ และศักยภาพด้านต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกันของ
ผ้เู รยี นแต่ละคนองคป์ ระกอบของพัฒนาการของมนุษย์ มี 2 ประการคือ

1. วุฒภิ าวะ (maturity) หมายถงึ กระบวนของความเจรญิ เติบโตสงู สุดของอนิ ทรยี ใ์ นรา่ งกายทที่ าใหเ้ กดิ ความ
พรอ้ มท่ีจะทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงในขณะนนั้ โดยไมต่ ้องอาศัยการฝึกฝนหรอื เรียนรู้ใด ๆ หรอื เป็นไปโดยธรรมชาติ

2. การเรียนรู้ (learning) เปน็ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอันเปน็ ผลมาจาก ประสบการณ์ การเรยี นรอู้ าจเกดิ ขน้ึ
ดว้ ยการจงู ใจ หรอื อาจเกิดขึ้นโดยไม่ตัง้ ใจกไ็ ด้

พฒั นาการและการเจรญิ เตบิ โตของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คอื
1. พัฒนาการทางด้านร่างกาย (physical development) เป็นการเปล่ียนแปลงในด้านโครงสร้างท้ังขนาด

รูปรา่ ง และการทางานของอวยั วะตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย
2. พัฒนาการทางดา้ นสตปิ ญั ญา (mental development) เปน็ ความเจริญงอกงามท่บี ง่ บอกถึงการเพมิ่ พูน

ความสามารถในการประกอบกิจกรรมอย่างมีประสทิ ธิภาพ และรวบรวมความรคู้ วามเข้าใจไวเ้ ป็นหมวดหมู่ เปน็
พัฒนาการทางด้านความคิด ความจา และความเข้าใจ

3. พัฒนาการทางด้านอารมณ์ (emotion development) เป็นพัฒนาการทางด้านความรู้สึกและทัศนคติ
ของบุคคล

4. พัฒนาการทางด้านสังคม (social development) เป็นการเปล่ียนแปลงทางด้านพฤติกรรมของบุคล
ตง้ั แตเ่ กดิ จนกระทัง่ ตาย เปน็ ความสามารถของบุคคลในการปรับตวั ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสงั คม และวฒั นธรรมที่
อาศยั อยู่ตลอดถงึ การพัฒนาทางด้านบุคลิกภาพ และพฒั นาการทางด้านศีลธรรมดว้ ย

3. พืน้ ฐานทางด้านสงั คมและวัฒนธรรม

บทบาทหน้าที่ทส่ี าคญั ของการศกึ ษา คอื การอนุรกั ษแ์ ละถา่ ยทอดวฒั นธรรมที่ดงี ามและสงั คมไปสคู่ นรุ่นหลงั และ
ปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางสังคมให้สอดคล้อง ความเจรญิ ก้าวหนา้ ทางวิทยากรด้านต่าง ๆ รวมทง้ั สนองความ
ต้องการและช่วยแก้ปญั หาสงั คมในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ันการศึกษา จงึ เปน็ เครอื่ งมือในการควบคมุ การเปล่ยี นแปลงของสังคม
ให้เป็นไปในทิศทางที่พ่ึงปรารถนา การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องให้มีความสอดคล้องกับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมท่ี
แปรเปล่ยี นไดอ้ ยเู่ สมอ จงึ จะสามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการของสังคมไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

ดังน้ันในการพัฒนาหลักสูตรจะต้องพิจารณาว่าใช้หลักฐานกับคนในสังคมใดก็ต้องคานึงถึงลักษณะของคนใน
สังคมน้ันว่าจะให้มีลักษณะแบบใด ลักษณะใดที่ต้องการให้เกิดข้ึนและลักษณะใดไม่พึงประสงค์ แล้วกาหนดใช้ใน
หลักสตู รและแนวดาเนินการของหลักสูตร

การศึกษาจึงทาหน้าท่ีทานุบารุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมเก่าที่ดีงาม คัดสรรค์วัฒนธรรมใหม่ที่เข้ามาว่า
วัฒนธรรมใดควรรบั ไว้ วฒั นธรรมใดควรปรับปรุงแกไ้ ขใ่ ห้เหมาะสมกบั สภาพของสังคม วัฒนธรรมใดควรสกัดกัน้ โดยการ
บรรจุวัฒนธรรมที่สังคมต้องการถ่ายทอดและสงวนรักษาไว้ในหลักสูตร สกัดกั้นวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ท่ีจะเข้ามา
ทาลายความเปน็ เอกลักษณข์ องชาตขิ องสังคม

ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคานึงถึงวัฒนธรรมประจาชาติ ความเปล่ียนแปลงของวัฒนธรรม การยอมรับ
และปรับปรุงวัฒนธรรมในสังคมใหส้ อดคล้องกับความเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นไปในทางที่เหมาะสมกบั สังคม นอกจากนี้ใน
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรจะต้องฝึกให้ผู้เรียนมีวิจารณญาณในการพิจารณาวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่และท่ีกาลัง
หลั่งไหลเข้ามาในสังคมว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรควรตัดสินใจรับไวห้ รือไม่ รวมทั้งการสร้างภูมิต้านทานต่อวัฒนธรรมทไ่ี ม่พงึ
ประสงค์ใหเ้ กิดข้นึ ในตัวผ้เู รยี นดว้ ย เพ่อื ตอบสนองความต้องการของสังคมและพฒั นาสงั คมไปพร้อมกนั

การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design)

การออกแบบหลกั สูตรอาศยั แนวคดิ จากคาถามขอ้ ที่ 2 ของไทเลอร์ คือ การเลือกประสบการณก์ ารเรียนรอู้ ย่างไร
ทช่ี ่วยใหผ้ ้เู รียนบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของการเรยี นรู้ (Tyler, 1969)

การออกแบบหลักสูตร คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับรปู รา่ งหรือการจัดเค้าโครงในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร การ
ออกแบบหลักสูตรจะเกี่ยวข้องกับการกาหนดจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ของหลักสูตร อันจะนาไปสู่การจัดโครงสร้าง
เน้ือหาสาระ ช่วยให้ครูเลือกและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะสมซึ่งจะเก่ียวข้องกับภาระงาน 4 เรื่อง คือ
จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ ประสบการณ์การเรียนรู้การสอน และการประเมิน การออกแบบหลักสูตรที่แตกต่างกันให้
คณุ ภาพที่หลากหลายท้งั ความรู้และประสบการณ์ การออกแบบหลักสูตรต้องพิจารณาเร่ืองเศรษฐกิจเป็นอันดบั แรกและ
ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของการจัดการสอน การจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระและงานที่มอบหมาย เรื่องของเวลาและ
การจัดสรรทรัพยากร จะต้องตอบให้ได้ว่าผู้เรียนจะเรียนอะไร จะจัดโครงสร้างที่เรียนอย่างไร หลักสูตรจะแสดงใน
รูปแบบใดและจะจัดโครงสร้างอย่างไร ผ้อู อกแบบหลักสตู รตอ้ งตอบคาถามเหลา่ นใี้ ห้ได้

หลักสูตรโดยท่ัวไปถูกออกแบบตามสาขาวิชา (Discipline) เช่น วิศวกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์
หรือออกแบบตามขอบขา่ ยเนอ้ื หาสาระ (Field) เชน่ ศิลปะ หน้าท่ีพลเมอื ง สังคมศกึ ษา หรือออกแบบเปน็ หนว่ ย (Unit)
เช่น หน่วยดนตรีแจ๊ส หน่วยส่ือสารมวลชน หรือออกแบบตามศูนย์กลางการจัดระเบียบ (Organizing Centers) เช่น
กระบวนการ โครงการ ภาระงาน หรือออกแบบตามการติดตามความสนใจ (Personal Persuits) เช่น ชมรมแอร์โรบกิ
ชมรมประกอบอาหาร

การออกแบบหลกั สตู รตามแนวคิดของออรน์ สไตนแ์ ละฮนั กิน (Ornstein and Hunkins, 1998)
ไดส้ รุปการจัดกลมุ่ แนวคดิ การออกแบบหลกั สตู รไว้ 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่
1. การออกแบบหลักสูตรท่ีเน้นเน้ือหาวิชา (Subject-centered Design) ซ่ึงอาศัยแนวคิดปรัชญาการศึกษาท่ี

สาคัญ คือสารัตถะนิยมและนริ ตั รนิยมเป็นหลัก ได้แก่ หลักสูตรแบบรายวิชา (Subject Design)หลักสูตรแบบสาขาวิชา
(Discipline Design) หลักสูตรแบบหมวดวิชา (Broad Fields Design) หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (Correlation Design)
และ หลกั สูตรเน้นกระบวนการ (Process Design)

2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (Learner-centered Design) เป็นหลักสูตรที่มองประโยชน์
ของผู้เรยี นโดยคานงึ ถึงความต้องการและความสนใจของผูเ้ รียน ได้แก่ หลกั สูตรเนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคญั (Child-centered
Design) หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (Experience-centered Design) หลักสูตรแบบจิตนิยม (Romantic/ Radical
Design) และ หลักสูตรมนุษยนิยม (Humanistic Design)

3. การออกแบบหลักสูตรท่ีเน้นปัญหาสังคมเป็นสาคัญ(Problem-centered Design) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น
ภาระหน้าที่ ชีวิตภายในสังคม สถานการณ์ในสังคม เน้นสภาพของสังคม ปัญหาสังคมเป็นหลัก ได้แก่ หลักสูตรเน้น
สถานการณ์ของชีวิต (Life-situation Design) หลักสูตรแกนกลาง(Core Design) และหลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูป
สังคม (Social Problems and Reconstructionist Design)

การออกแบบหลักสตู รตามแนวคิดของปริ้นส์ ลาลวานี (Princess Lalwani, 2012)
1. การออกแบบหลักสตู รที่เน้นเนอื้ หาสาระเปน็ สาคัญ (Subject-centered Curriculum Design)
มุ่งเน้นเน้ือหาสาระเป็นฐาน ให้ความสาคัญกับการจัดการในเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องท้ังกระบวนการ กลยุทธ์

และทักษะชวี ติ เชน่ การแก้ปญั หา การตัดสินใจหรอื ทีมงาน
2. การออกแบบหลักสตู รที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั (Learner-centered Curriculum Design) มีสาระสาคญั อยู่ท่ี

ความคาดหวงั เกย่ี วกบั ผเู้ รยี นที่จะได้สารวจความต้องการในชวี ิตของตนเอง ครอบครัว หรือสิ่งแวดลอ้ มในทอ้ งถ่นิ ผ้เู รยี น
จะไมถ่ ูกกาหนดให้เปน็ ผกู้ ระทา แต่จะได้รบั การสนับสนนุ ให้เรียนร้โู ดยการมีปฎิสมั พนั ธ์กับผู้สอนและสิง่ แวดลอ้ ม การให้
ความสาคญั กบั ประสบการณ์ของผเู้ รียน ได้เรยี นร้แู บบเปิดและเปน็ อสิ ระ โดยเลอื กกิจกรรมจากครจู ดั ใหห้ ลากหลาย

3. การออกแบบหลักสูตรท่ีให้ความสาคัญกับความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน (Learner-centered Curriculum
Humanistic Design) การเรียนรใู้ นอดุ มคติของของมนุษยเ์ กีย่ วข้องกบั ความคดิ ความรสู้ กึ และการกระทา แนวคิดในการ
พฒั นาตนเองในทางบวก (Positive self-concept) และทกั ษะระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal skills)

4. การออกแบบหลักสูตรแบบปัญหาเป็นฐาน (Problem-centered Curriculum Design) เป็นการสนับสนนุ
ชีวิตจริงของผู้เรยี น เพราะต้องเสาะแสวงหาความรูแ้ ละแกป้ ัญหา ปัญหาต่าง ๆเก่ียวข้องกบั สถานการณ์ในชีวิตจริง โดย
การฝึกการแก้ปญั หาในโรงเรียนด้วยการเลอื กประเดน็ ปญั หาในเชิงปรัชญาหรือเชิงจริยธรรมในแต่ละทอ้ งถิน่

5. การออกแบบหลักสตู รตามกระบวนการการพฒั นาหลักสูตร (Curriculum Development Models Design)
มีทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการสอนและการเรียนรู้ หลักสูตรแบบน้ีให้ความสาคัญกับจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของ
หลักสูตร เป็นการออกแบบโดยกลุ่มนักวางแผนการศึกษามีการตัดสินใจท่ีมาจากฝ่ายการเมืองและกลุ่มตัวแทนสังคม
ตา่ งๆ แนวคดิ การออกแบบหลกั สตู รมดี งั น้ี

5.1 การออกแบบหลกั สตู รกลมุ่ (Deductive Models) ให้ความสาคัญกบั การกาหนดจดุ มุ่งหมายของ
การศกึ ษาและการระบวุ ัตถปุ ระสงค์เฉพาะที่แสดงความสาเร็จ ไทเลอร์กล่าวว่าการออกแบบหลักสูตรดว้ ยธรรมชาติและ
โครงสรา้ งความรู้ตอ้ งมุง่ ตอบสนองความตอ้ งการจาเป็นของผู้เรียน

5.2 การออกแบบหลักสูตรกล่มุ (Inductive Models)เป็นการออกแบบตามแนวคดิ ของทาบาซึ่งเชอ่ื
ว่าผู้สอนจะต้องเปน็ ผู้เร่ิมต้นกระบวนการด้วยการสร้างหนว่ ยการเรียนการสอนสาหรับผู้เรียนในโรงเรยี นดว้ ยตนเอง

อ้างองิ

มารตุ พฒั ผล.(2556).แนวคิดหลักการพฒั นาหลกั สูตร.กรุงเทพฯ:บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
จริ าพร หนุ สงู เนิน.(2555).สรปุ องค์ความรู้ การพัฒนาหลกั สูตร.สืบค้นเม่ือ 18 กรกฎาคม 2564,

จากเวบ็ ไซต์:https://sites.google.com/site/karphathnahlaksutr66/home/kar-phathna-hlaksutr
http://pam0916890825.blogspot.com/2018/09/taba.html?m=1
https://sites.google.com/site/curriculumdevelopementgroup1/srup-khwam-ru/2-kar-xxkbaeb-hlaksutr


Click to View FlipBook Version