บทที่ 1 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มีบทบัญญัติหลาย มาตราที่มอบอำ นาจให้รัฐมนตรีหรืออธิบดี กรมพัฒนาธุรกิจ การค้า ไปออกกฎกระทรวงหรือประกาศกำ หนดหลักเกณฑ์ ปฏิบัติเรื่องต่าง ๆ ในทางปฏิบัติ การกำ หนดหลักเกณฑ์ ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี กรมพัฒนาธุรกิจการ ค้าได้มีการหารือร่วมกัน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถาบัน วิชาชีพบัญชี โดยแต่งตั้งคณะทำ งานขึ้นพิจารณาดำ เนินการ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผู้แทนจาก สถาบันวิชาชีพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ทรง คุณวุฒิ ทางด้านบัญชีจากสถาบันการศึกษา เป็นต้น จึงเป็น หลักประกันได้ว่าข้อกำ หนดต่าง ๆ จะเป็นไปโดยรอบคอบ และ สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติของวิชาชีพและเป็นไปตามพระราช บัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ดังหลักการต่อไปนี้ หลักการของพระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ. 2543
1. แก้ไขหลักการจากเดิมที่กำ หนดให้ธุรกิจทั้งนิติบุคคลและบุคคล ธรรมดาที่ประกอบธุรกิจตามประเภทที่รัฐมนตรีประกาศกำ หนดต้อง จัดทำ บัญชีเป็นกำ หนดให้เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้นที่มีหน้าที่จัดทำ บัญชี และเพิ่มกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากรให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีด้วย บุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนไม่ต้องจัดทำ บัญชี เว้นแต่รัฐมนตรีจะออกประกาศ ให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี 2. กำ หนดให้ผู้ทำ บัญชีต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการจัดทำ บัญชีของธุรกิจโดยแบ่งแยกหน้าที่ หนาท และความรับผิดชอบระหว่าง ผู้ทำ บัญชีและผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีให้ชัดเจน ซึ่งมีการเพิ่มโทษจาก กฎหมายเดิม โดยบทกำ หนดโทษมีทั้งโทษปรับและจำ คุก สำ หรับผู้มีหน้า ที่จัดทำ บัญชีและผู้ทำ บัญชีที่กระทำ ความผิด 3. ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำ นาจกำ หนด คุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็น ผู้ทำ บัญชี รวมทั้งกำ หนดข้อยกเว้น ให้ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีหรือผู้ทำ บัญชีไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการ บัญชี ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยให้คำ นึงถึง มาตรฐานการบัญชี และข้อคิดเห็นของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องและ สถาบันวิชาชีพบัญชีประกอบด้วย หลักการของพระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ. 2543 (ต่อ)
4. กำ หนดให้รัฐมนตรีมีอำ นาจออกกฎกระทรวง ยกเว้น ให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีซึ่งเป็น ห้างหุ้นส่วนจด ทะเบียนที่มีทุน สินทรัพย์หรือรายได้ รายการใดรายการหนึ่ง หรือทุกรายการไม่เกินที่กำ หนด โดยกฎกระทรวง ไม่ต้องรับ การตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 5. ลดภาระของธุรกิจในการเก็บรักษาบัญชีและเอกสาร ประกอบการลงบัญชีจาก 10 ปี เหลือ 5 ปี เว้นแต่ในกรณีที่ จำ เป็นในการตรวจสอบบัญชี โดยมีอำ นาจกำ หนดให้ผู้มีหน้าที่ จัดทำ บัญชีเก็บรักษาบัญชีและ เอกสารประกอบการลงบัญชี ไว้เกิน 5 ปี แต่ต้องไม่เกิน 7 ปี 6. กำ หนดให้การจัดทำ บัญชีต้องเป็นไปตามมาตรฐาน การบัญชี และมีการรับรองมาตรฐานการบัญชีที่กำ หนดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการควบคุม การประกอบวิชาชีพสอบบัญชีได้มี มติให้ประกาศใช้แล้วเป็นมาตรฐานการบัญชี ตามกฎหมาย หลักการของพระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ. 2543 (ต่อ)
ในพระราชบัญญัตินี้มีการกำ หนดแบ่งแยก หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่เกี่ยวข้องใน การ จัดทำ บัญชีของธุรกิจไว้ 2 ฝ่าย คือ ผู้มีหน้าที่ จัดทำ บัญชีกับผู้ทำ บัญชี เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีหน้า ที่และ ความรับผิดชอบที่ช่วยทำ ให้การจัดทำ บัญชี ของธุรกิจถูกต้อง ส่งผลให้ข้อมูลในงบการเงินเชื่อ ถือได้ และนำ ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจได้ ดัง นั้นเพื่อให้มีความเข้าใจและนำ ไปปฏิบัติให้ถูกต้องจึง ขอสรุปสาระสำ คัญ พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ เข้าใจได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้จะต้องศึกษาตัวกฎหมายภาย ใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งประกาศ คำ สั่ง ต่าง ๆ จะช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้น สาระสำ คัญพระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ. 2543 (ต่อ)
ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี หมายความว่า ผู้มีหน้าที่จัดให้มีการทำ บัญชีตามพระราช บัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 (มาตรา 4) ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี คือ ประเภทของธุรกิจที่มีหน้าที่จัดให้มี การทำ บัญชี ประกอบด้วย 1) ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ซึ่งได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำ กัด และห้าง หุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 2) บริษัทจำ กัด 3) บริษัทมหาชนจำ กัด 4) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจ ในประเทศไทย ในกรณีนี้ รวมสำ นักงานผู้แทนและสำ นักงาน ภูมิภาคด้วย 5) กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร 6) สถานที่ประกอบธุรกิจเป็นประจำ ซึ่งหมายถึง สถานที่ ประกอบการที่แยกออกไปจาก สำ นักงานใหญ่โดยมีที่ตั้งถาวร ซึ่งมีพนักงานประจำ และมีการดำ เนินกิจการที่จะก่อให้เกิดราย ได้ เช่น โชว์รูม สาขาธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น 7) บุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนที่ประกอบ ธุรกิจในประเทศไทย ว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศ กำ หนดให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี ได้แก่ เมื่อรัฐมนตรี
ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี(ต่อ) • บุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนที่ประกอบ ธุรกิจเป็นผู้ผลิต ผู้จำ หน่าย ผู้มีไว้เพื่อจำ หน่าย ผู้นำ เข้ามาในราช อาณาจักร หรือผู้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าประเภท แถบเสียงเพลง แถบวีดิทัศน์ และแผ่นซีดี • บุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนที่ประกอบ ธุรกิจโรงงาน แปรสภาพ แกะสลัก และการทำ หัตถกรรมจากงาช้าง การค้าปลีก การค้าส่งงาช้าง และผลิตภัณฑ์จากงาช้าง ผู้มีหน้าที่ จัดทำ บัญชีจะดำ เนินการโดย “ผู้ที่กระทำ การแทน” นิติบุคคลหรือ ธุรกิจหมายถึง บุคคลดังต่อไปนี้ 1) หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน 2) กรรมการบริษัทของบริษัทจำ กัดและบริษัทมหาชนจำ กัด 3) ผู้กระทำ การแทนที่ได้รับแต่งตั้งจากนิติบุคคลต่างประเทศของ นิติบุคคลต่างประเทศที่เข้ามา ประกอบธุรกิจในไทย 4) ผู้กระทำ การแทนที่ได้รับแต่งตั้งของกิจการร่วมค้าตาม ประมวลรัษฎากร 5) ผู้จัดการของสถานที่ประกอบธุรกิจเป็นประจำ
หน้าที่และความรับผิดชอบ ของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี มีการกำ หนดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ 1) จัดให้มีผู้ทำ บัญชีซึ่งมีคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำ บัญชีตามประกาศกรมทะเบียนการค้า (มาตรา 19) เว้นแต่ผู้มีหน้าที่ จัดทำ บัญชีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาจะเป็นผู้ทำ บัญชีสำ หรับกิจการ ของตนเองก็ได้ 2) จัดให้มีการทำ บัญชีนับแต่วันเริ่มทำ บัญชี (มาตรา 9) ตามที่ กำ หนด ดังนี้ • ห้างหุ้นส่วนจำ กัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทจำ กัด บริษัทมหาชนจำ กัด ให้เริ่ม บัญชีนับแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียน เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย • นิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในไทย ให้เริ่มทำ บัญชี นับตั้งแต่วันที่เริ่มต้น ประกอบธุรกิจ ซึ่งหมายถึง วันเริ่มมีรายการ ทางบัญชี • กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายถึงวันเริ่มมี รายการทางบัญชี ให้เริ่มทำ บัญชีนับแต่วันเริ่มต้นประกอบกิจการ • สถานที่ประกอบธุรกิจเป็นประจำ ให้เริ่มทำ บัญชีนับแต่วันเริ่ม ประกอบกิจการซึ่งหมายถึง วันเริ่มมีรายการทางบัญชี
3) โดยผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีต้องทำ บัญชีให้ครบถ้วนและถูกต้อง โดยมีหลัก เกณฑ์และวิธีการ ตามที่กฎหมายกำ หนดเกี่ยวกับ (มาตรา 7 (1) - (4)) • ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ • ระยะเวลาที่ต้องบันทึกรายการในบัญชี • ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี • เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี 4) ควบคุมดูแลผู้ทำ บัญชีให้จัดทำ บัญชีให้ถูกต้องและตรงตามความจริง (มาตรา 19) 5) จัดทำ เอกสารประกอบการบันทึกบัญชีได้แก่ บันทึก หนังสือ หรือเอกสาร ใด ๆ ที่ใช้เป็นหลักฐาน บันทึกบัญชี สามารถแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ ใน การ • เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำ โดยบุคคลภายนอก •เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำ โดยผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีเพื่อ ออกให้แก่บุคคลภายนอก • เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำ โดยผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี เพื่อใช้ในกิจการ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีทุกประเภทต้องมี รายการตามประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำ หนดชนิดของบัญชีที่ ต้องจัดทำ ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี ระยะเวลาที่ต้องลง รายการ ในบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี พ.ศ. 2544 หน้าที่และความรับผิดชอบ ของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี(ต่อ)
หน้าที่และความรับผิดชอบ ของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี(ต่อ) 6) ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี เช่น ใบเสร็จรับ เงิน ใบส่งของ ใบสำ คัญรับ - จ่าย ฯลฯ ให้ผู้ทำ บัญชีครบถ้วน เพื่อ ให้บัญชีที่จัดทำ ขึ้นสามารถแสดงผลการดำ เนินงานฐานะการเงิน หรือ การเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและ ตามมาตรฐานการบัญชี 7) ต้องปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือนนับแต่วันเริ่มทำ บัญชีและ ปิดบัญชีครั้งต่อไปทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน ทั้งนี้ ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีจะปิดบัญชีโดยมีรอบปีบัญชีน้อยกว่า 12 เดือน ได้เพียง 2 กรณีเท่านั้น • เป็นรอบปีบัญชีปีแรก ซึ่งมีรอบปีบัญชีน้อยกว่า 12 เดือน • รอบปีบัญชีที่ได้รับอนุญาตเปลี่ยนรอบปีบัญชีจากสารวัตรใหญ่ บัญชีหรือสารวัตรบัญชี 8) จัดทำ งบการเงินซึ่งมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำ หนด ตามประเภทธุรกิจมี 5 แบบ แบบที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน แบบที่ 2 บริษัทจำ กัด แบบที่ 3 บริษัทมหาชนจำ กัด แบบที่ 4 นิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย แบบที่ 5 กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำ หนด รายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน)
หน้าที่และความรับผิดชอบ ของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี(ต่อ) 9) ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็น โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ยกเว้นสำ หรับงบการเงินของห้าง หุ้นส่วนจดทะเบียน (ห้างหุ้นส่วนจำ กัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล) ที่มีทุน ไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้าน บาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ไม่ต้องมีผู้สอบบัญชี รับ อนุญาตตรวจสอบงบการเงินได้ 10) ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลง บัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี โดยให้จัดเก็บ ณ สถานที่ประกอบธุรกิจซึ่งได้แก่ • สถานที่ทำ การ • สถานที่เก็บสินค้าเป็นประจำ •สถานที่ผลิตสินค้าเป็นประจำ •สถานที่ใช้ทำ งานเป็นประจำ
ผู้ทำ บัญชี หมายความว่า ผู้รับผิดชอบในการทำ บัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี ไม่ว่าจะ ได้กระทำ ในฐานะเป็นลูกจ้างของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีหรือไม่ก็ตาม (มาตรา 4) ผู้ทำ บัญชี ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำ หนด ตามประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรื่องกำ หนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำ บัญชี พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ดังนี้ 1. ผู้ทำ บัญชีต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.1 มีภูมิลำ เนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร 1.2 มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำ หน้าที่เป็นผู้ทำ บัญชีได้ 1.3 มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะประกอบวิชาชีพเป็นผู้ทำ บัญชีตามกฎหมาย ว่าด้วยวิชาชีพบัญชี 1.4 ไม่เคยต้องทำ พิพากษาถึงที่สุดให้จำ คุกเนื่องจากกระทำ ความผิดตามฐานความผิดหรือ กฎหมาย ที่กำ หนดในมาตรา 39 (3) แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 เว้นแต่ ต้องคำ พิพากษาหรือพื้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี 1.5 คุณวุฒิการศึกษาของผู้ทำ บัญชีที่สามารถรับทำ บัญชีได้ ดังนี้ ผู้ทำผู้ ทำบัญ บั ชี
ผู้ทำผู้ ทำบัญ บั ชี 2. ผู้ทำ บัญชีต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำ บัญชี ดังนี้ 2.1 ต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีหรือขึ้นทะเบียนไว้กับสภาวิชาชีพบัญชีตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ บัญชี พ.ศ. 2547 2.2 แจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการทำ บัญชีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บไซต์ กรมพัฒนาธุรกิจ การค้า (www.dbd.go.th) พร้อมด้วยสำ เนาหลักฐานภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มทำ บัญชี 2.3 กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการที่แจ้งไว้ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) พร้อมด้วยสำ เนาหลักฐานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ มีการเปลี่ยนแปลง 2.4 กรณีที่มีการยกเลิกการแจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการทำ บัญชี ต้องแจ้งการยกเลิกทางระบบ อิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) พร้อมด้วยสำ เนาหลักฐานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการยกเลิก 2.5 กรณีที่ยกเลิกการแจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการทำ บัญชีแล้วและขอกลับมาแจ้งรายละเอียดที่ เกี่ยวข้องกับการทำ บัญชีใหม่ต้องเข้ารับการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีให้ครบจำ นวนชั่วโมง ตามระยะเวลาที่ขาดหายไปก่อนการยกเลิก แต่เมื่อรวมกันแล้วไม่เกิน 24 ชั่วโมง และแจ้งการขอกลับมา แจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการทำ บัญชีใหม่ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) 2.6 ผู้ทำ บัญชีต้องยืนยันรายชื่อผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีที่รับทำ บัญชีและสถานภาพการเป็นสมาชิกสภา วิชาชีพบัญชีหรือขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) พร้อมด้วยสำ เนาหลักฐานภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปี 2.7 ต้องเข้ารับการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปีปฏิทิน ซึ่งจำ นวน ชั่วโมงการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการบัญชีไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง ตามที่ สภาวิชาชีพบัญชีประกาศกำ หนด 2.8 แจ้งรายละเอียดการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เว็บไซต์ กรม พัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) หลังการทำ กิจกรรมพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี แต่ไม่ เกิน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปีปฏิทิน และต้องเก็บหลักฐานการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทาง วิชาชีพบัญชีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันสิ้นสุดของการทำ กิจกรรมในแต่ละครั้ง 2.9 ผู้ทำ บัญชีรับทำ บัญชีให้กับผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีได้ไม่เกิน 100 รายต่อปีปฏิทิน ไม่ว่าจะเป็นการรับ ทำ บัญชีในรอบปีบัญชีใดก็ตาม
หน้าน้ที่ข ที่ องผู้ทำผู้ ทำบัญ บั ชี ผู้ทำ บัญชี มีหน้าที่ดังนี้ 1. ต้องจัดทำ บัญชีเพื่อให้มีการแสดงผลการดำ เนินงานฐานะการเงินหรือการ เปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ ประกอบการลงบัญชีให้ถูก ต้องครบถ้วน (มาตรา 20) 2. การลงรายการในบัญชี ต้องปฏิบัติดังนี้ (มาตรา 21) (1) ลงรายการเป็น ภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาต่างประเทศให้มีภาษาไทยกำ กับ หรือลง รายการ เป็นรหัสบัญชีให้มีคู่มือคำ แปลรหัสที่เป็นภาษาไทยไว้ (2) เขียนด้วย หมึก ดีดพิมพ์ ตีพิมพ์ หรือทำ ด้วยวิธีอื่นใดที่ได้ผลในทำ นองเดียวกัน
บทกำ หนดโทษ ผู้กระทำ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องรับโทษ ตามลักษณะความผิด ซึ่งในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องมี โทษปรับรายวันจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่น
บทกำ หนดโทษ ผู้กระทำ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องรับโทษ ตามลักษณะความผิด ซึ่งในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องมี โทษปรับรายวันจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่น