The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Best Thanadech, 2022-12-06 09:26:57

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย
นายธนเดช สุขศรี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕/๖ เลขที่ ๑๑



เสนอ
คุณครูสุวรรณ ชำนาญธุระกิจ

1.ประวัติผู้แต่ง


เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

ผลงาน / งานประพันธ์
1. ลิลิตเพชรมงกุฎ
2. อิเหนาคำฉันท์
3. ราชาธิราช

4. กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์
5. โคลงพยุหยาตราเพ็ชรพวง*
6. สามก๊ก
7. ลิลิตศรีวิชัยชาดก

8. ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร
9. ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

10. สมบัติอมรินทร์คำกลอน
11. กากีคำกลอน

12. เพลงยาวเล่นว่าความ
13. เพลงยาวปรารภ หรือเพลงยาวปรารภถึงเรื่องวัฏฏสงสาร

14. เพลงยาวตำรามโหรี
15. เพลงยาวไหว้ครูมโหรี
16. โคลงภาพฤาษีดัดตน




เจ้าพระยาพระคลัง นามเดิม หน เป็นบุตรของเจ้าพระย
าบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัยกับท่านผู้หญิง
เจริญ เป็นชาวกรุงเก่าที่เจริญเติบโตรับราชการในสมัยธนบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต

ตำแหน่งนายด่านเมืองอุทัยธานี

ในสมัยปลายธนบุรี ได้เกิดการจลาจลวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ขณะนั้นพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้

ยกทัพไปตีเขมร เมื่อได้ข่าวความวุ่นวายในพระนคร ก็รีบยกทัพกลับมาขจัดความเดือดร้อน
ในแผ่นดิน หลวงสรวิชิตมีส่วนสำคัญในการช่วยราชการครั้งนั้นให้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นหลัง

จากที่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

มหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นพระยาพระคลัง

เจ้าพระยาพระคลังเป็นกวีเอกที่ได้รับการยกย่องในด้านกวีโวหารทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง

มีผลงานกวีนิพนธ์มาตั้งแต่สมัยธนบุรี แต่เรื่องที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักแพร่หลายนั้นแต่งขึ้นใน
สมัยรัชกาลที่ 1 เช่น สามก๊ก* กากีคำกลอน* ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก* กัณฑ์กุมารและ

กัณฑ์มัทรี ฯลฯ กล่าวกันว่าท่านเป็นกวีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ท่านถึงอสัญกรรมเมื่อ พ.ศ.2348

2.ความเป็นมา



มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่อง
ราวของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามี
การแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรด
เกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุด
ประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้
สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้จบภายใน ๑ วัน
จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้

เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯให้มีการชำระและ
รวบรวมมหาชาติกลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือกสำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมา
จัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวง

ศึกษาธิการ





จุดประสงค์ในการแต่ง



เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์มหาชาติ
เนื่องจากร่ายยาวหมาเสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพ
ระชาติเป็นพระเสสันดรซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จ
ออกผนวชกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระ
เวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมี ซึ่ง
ทรงบริจาคบุตรทารทาน คือ บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี จึงเป็นชาติที่
สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า “มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”

3.ลักษณะคำประพันธ์



ลักษณะคำประพันธ์
แต่งเป็นร่ายยาว คำประพันธ์ประเภทร่ายยาว หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรค
ขึ้นไป วรรคหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือมากกว่า มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค
คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบตอนมักมีคำ
สร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล”








แผนผังร่ายยาว








ร่ายยาว คือ ร่ายที่ไม่กำหนดจำนวนคำในวรรคหนึ่ง ๆ แต่ละวรรคจึงอาจมีคำน้อย
มากแตกต่างกันไป การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำหนึ่งคำใดใน
วรรคถัดไป จะแต่งสั้นยาวเท่าไรเมื่อจบนิยมลงท้ายด้วยคำว่า แล้วแล นั้นแล นี้เถิด

โน้นเถิด ฉะนี้ ฉะนั้น ฯลฯ เป็นต้น

4.เรื่องย่อ
(เฉพาะตอนที่นำมาเป็นบทเรียน : กัณฑ์มัทรี)



พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่
สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจาก
นั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า
พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก
ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืด
มิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า
ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากัน
กังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดา
เป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้
แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้
ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับ
ถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดร
ทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหา
กับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนาง
กำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญ
หาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมารทั้ง
สองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและ

ทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย

5.ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี



เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อเห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไปร้องไห้
ไป พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไปฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด มืดหมดทั้งแปดทิศ ผล
ไม้ก็ยังมาหล่นจากมือ ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึงกลางทางก็ดันมาเจอสัตว์ทั้งสามตัว คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง
และพญาเสือโคร่ง ยิ่งร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้

อ้อนวอนขอทางกลับ แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง



เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็มไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด
สักพักก็ถึงอาศรม ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียกหาก็ไม่มี พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้ง

สอง คิดว่าลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว



เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก
แต่กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้พระนางมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือนคนเอา
เหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว หากพระเวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว



เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัทรีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้ ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับผิว
เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบคบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไปยัง
ทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนานเพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หาก

เป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว



ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศกลงบ้าง แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้า
เพราะว่า ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์
ราชสีห์ และเสืออีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบายและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่า
พระนางเป็นเพื่อนยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยังไงก็ทนหาผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวน
จนเป็นริ้วรอยเลือดไหล พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วยพระคุณพระกรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัย

ความผิดครั้งนี้ของนางด้วย



เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่กล่าวอะไร พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบบังคม
ออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ รำลึกถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่งมองในน้ำก็มี
แต่น้ำขุ่น มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย
ออกตามหาต่อเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้งสอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้งสอง ทุกอย่างรอบกายที่
ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะเป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า ทั้งดาวเดือนก็ลับ
กิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยวกลับเกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูกอยู่ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้วสายตาที่แม่
จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อยแต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้ง

สองจะสิ้นเสียแล้วเหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน



เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น ทรง
พรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่หยุด คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะ
ไปตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้
ไม่เห็นเสียแล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่ง
ลูกทั้งสองคน แต่เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้ เลยกราบบังคมทูลน้อม
ศีรษะลงต่อพระเวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่องย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่

ไหวไม่ทันได้บังคมทูล พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่มฉัตรทองถูก

สายอัสนีฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที
เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไปก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญ
ของพี่นี้น้อยนักเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอาป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็นบริเวณ
เมรุทอง จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์
จะเอาเมฆหมอกเป็นเพดาน จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง แล้วจะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟ
ประดับ ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น จึงเอาผ้ากับน้ำมา
ประคบเพื่อให้ฟื้น ยกศีรษะพระนางตั้งบนตัก แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้นตื่นขึ้นมา

เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระ
เวสสันดรต่อว่าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว ขอให้พระนางจง
อย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้ หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ
ถึงแม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมี

ยาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย
พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระเวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจ
มาจากป่าไกลยังเหนื่อยอยู่ และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า พระ
กุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จง

ผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์

6.ข้อคิด



1. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก พระนางมัทรีมีความรักในสองกุมารยิ่งนักพระนางทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อ
ค้นหาสองกุมารจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้นเสียงที่ร่ำร้องเรียกหา พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารในป่าโดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตราย
เลยถึง 3 รอบ จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไปในที่สุด (ดูได้จากคำประพันธ์ในหน้า 35 และหน้า 39 ย่อหน้าแรก ในหนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ชั้น

ม.5)



2. ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระ
โพธิญาณ จึงต้องทรงบำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรักที่มีต่อพระลูกรักทั้งสอง ทั้งยังต้องทรงตัด
ความรักความสงสารที่มีต่อพระมเหสีมัทรีด้วย ทั้ง ๆ ที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรงห่วงใยพระลูกรัก และยังต้องเสแสร้ง
แกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรง และยังต้องทรงทนทำเฉยเมยไม่แยแสกับการตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญ

ของพระนางมัทรีด้วย



3. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข เฉกเช่น พระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก ไม่
ว่าพระเวสสันดรจะทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรงก็ตาม อาทิ หาว่าพระนางคบชู้สู่ชาย แม้จะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่ง

นัก แต่พระนางมัทรีก็มิได้ทรงถือโกรธทั้งยังกล่าวชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริงอีกด้วย



4. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เห็นได้จากพระเวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการแก้ปัญหาเฉพาะ
หน้า เพราะเมื่อทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ พระองค์จึงทรงเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์
ทุกข์โศกของพระนางด้วยการทำทีเป็นตัดพ้อต่อว่าด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำ ๆ มืด ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งก็ทำให้
พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกต่อว่าทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้

จริงให้พระสวามีทรงทราบอีกด้วยและครั้นพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางสร่างโศกแล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง



5. การบริจาคบุตรทานบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะกระทำได้ง่าย ๆ เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชก
ทั้ง ๆ ที่ทรงรู้ว่าชูชกจะนำไปเป็นข้ารับใช้ พระองค์ก็ยังมีพระทัยอันแน่วแน่ที่จะทรงกระทำ เพื่อให้บรรจุซึ่งพระโพธิญาณที่ได้ทรงหวังไว้


Click to View FlipBook Version