The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัมมนาเชิงวิชาการ-เอกสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pipraew119, 2021-11-22 02:34:58

สัมมนาเชิงวิชาการ-เอกสาร

สัมมนาเชิงวิชาการ-เอกสาร

อ า ทิ ต ย์ ที่ ๒ ๘ พ ฤ ศ จิ ก า ย น ๒ ๕ ๖ ๔
เวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๒๐ น.

โครงการสัมมนาเชิงวิชาการ

เรื่อง ความเชื่อหลังโรงลิเก

ลงทะเบียน

คำนำ

การจัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "ความเชื่อหลังโรงลิเก"
ในครั้งนี้นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ สาขานาฏยศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินการจัด
โครงการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่องความเชื่อหลังโรงลิเก” จนสำเร็จลุล่วงได้
นั้นต้องขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุขสันติ แวงวรรณ
อาจารย์บุญเลิศ นาจพินิจ และอาจารย์กิตติ เจือเพ็ชร์ ที่ให้ความ
อนุเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดเตรียมงานสัมมนา ทั้งนี้คณะผู้จัดทำโครงการหวัง
เป็นอย่างยิ่งว่าการจัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง ความเชื่อหลังโรง
ลิเก จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจประวัติ จารีต และความเชื่อที่เกี่ยวกับ
โรงลิเกอันก่อให้เกิดคุณค่าของขนบประเพณีสืบต่อไป

คณะผู้จัดทำ

สารบัญ

เรื่ อง หน้ า

โครงการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "ความเชื่อหลังโรงลิเก" ๑
กำหนดการโครงการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "ความเชื่อหลังโรงลิเก"
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับลิเก ๒
ความเป็นมา ส่วนประกอบที่สำคัญของการแสดงลิเก
ประวัติวิทยากร ๓-๑๗

อาจารย์บุญเลิศ นาจพินิจ ๑๘
อาจารย์กิตติ เจือเพ็ชร์ ๑๙
ผศ.ดร.สุขสันติ แวงวรรณ ๒๐



โครงการสัมมนาเชิงวิชาการ
เรื่อง "ความเชื่อหลังโรงลิเก"

หลักการและเหตุผล
หลักสูตรต้องให้ความสำคัญกับการวางระบบผู้สอนในแต่ละรายวิชา โดยคำนึงถึงความรู้

ความสามารถและความเชี่ยวชาญในรายวิชาที่สอน และเป็นความรู้ที่ทันสมัยของอาจารย์ ที่
มอบหมาย ให้สอนในรายวิชานั้น ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ ประสบการณ์และได้รับการ
พัฒนาความสามารถ จากผู้รู้จริง กระบวนการเรียนการสอนสำหรับยุคศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเน้ น
การพัฒนานักศึกษาให้มีความรู้ ตามโครงสร้างหลักสูตรที่กำหนด และได้รับการพัฒนาตาม
กรอบมาตรฐานคุณวุฒิ คุณธรรม จริยธรรม ทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยเฉพาะ
ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทักษะทางด้านภาษา ทักษะการทำงาน ร่วมกัน ฯลฯ ทั้งนี้การ
รักษ์ความเป็นไทยนับเป็นคุณสมบัติที่มีความจำเป็นต่อนักศึกษา สังคมไทยตั้งแต่อดีต จนถึง
ปัจจุบัน มีการสั่งสมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา จารีต ประเพณีและความเชื่อในทุกแวดวง

“ลิเก” นับเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สั่งสมองค์ความรู้และสืบทอดมาอย่างยาวนาน ทั้งมีการ
พัฒนา รูปแบบการแสดง เครื่องแต่งกาย บทการแสดง เครื่องดนตรี ฉาก และอุปกรณ์การ
แสดง เพื่อปรับตัว ให้สามารถดำรงอยู่ภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ และตอบสนองความต้องการ
ของผู้ชมในแต่ละยุคสมัย แต่สิ่งหนึ่ง ที่นักแสดงลิเกได้รับการสืบทอดและยังดำรงไว้ตั้งแต่
อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ จารีตประเพณีและความเชื่อ ทั้งด้านหน้ าและหลังเวทีการแสดง สำหรับ
การแสดงลิเกนั้นถือเป็นข้อปฏิบัติที่ศิลปินลิเกทุกคนต้องปฏิบัติตาม อย่างเคร่งครัด เพราะ
จารีตประเพณีและความเชื่อสำหรับศิลปินลิเกนี้ มีความเกี่ยวโยงกับการดำรงชีวิต ประจำวัน
อาถรรพ์ และศาสนา

ทั้งนี้เพื่อให้ศิลปินลิเก นักศึกษาและบุคคลโดยทั่วไป ที่มีความสนใจเกี่ยวกับประวัติ
ความเป็นมา จารีตประเพณีและความเชื่อต่าง ๆ ของลิเก ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
ประเด็นดังกล่าวมากขึ้น การจัดการสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง ความเชื่อหลังโรงลิเก จึงนับเป็น
ประโยชน์อย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถ นำไปสู่การอนุรักษ์สืบทอด เผยแพร่ ให้คงไว้ซึ่งศิลปะ
วัฒนธรรมพื้นบ้าน (ลิเก) สืบไป

วัตถุประสงค์
๑ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลิเกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
๒ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับจารีต ประเพณีและความเชื่อของลิเกตั้งแต่อดีตถึง ปัจจุบัน

ประโยชน์ ที่ได้รับจากโครงการ
- ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลิเกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
- ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้เกี่ยวกับจารีต ประเพณีและความเชื่อของลิเกตั้งแต่อดีต ถึง
ปั จจุบัน



กำหนดการโครงการสัมมนาเชิงวิชาการ
เรื่อง "ความเชื่อหลังโรงลิเก"

ในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๒๐ น.
ผ่านระบบ Zoom Meeting และ Facebook Live

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔

เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๓.๑๕ น. ลงทะเบียนผู้เข้าร่วมโครงการ
เวลา ๑๓.๑๕ - ๑๓.๓๐ น.
อาจารย์ยุทธนา อัครเดชานัฏ ประธานสาขาวิชา
นาฏยศิลป์ กล่าวต้อนรับวิทยากรและผู้เข้าร่วม
โครงการ

เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. วิทยากรร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “ความเชื่อ
หลังโรงลิเก” โดย ผศ.ดร.สุขสันติ แวงวรรณ
รองคณบดีฝ่ายวิชาการ วิทยาลัย นาฏศิลป์
อ่างทอง และอาจารย์กิตติ เพื่อเพ็ชร์ ศิลปินลิเก
บรรยาย หัวข้อประวัติความเป็นมาของลิเก
อาจารย์วิโรจน์ วีระวัฒนานนท์ (วิโรจน์ หลาน
หอมหวน) ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง
(ลิเก) และ อาจารย์บุญเลิศ นาจพินิจ ศิลปิน
แห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลิเก) บรรยาย
หัวข้อจารีต ประเพณี และความเชื่อหลังโรงลิเก

เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๕.๒๐ น. วิทยากรตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมโครงการ
และร่วมถ่ายภาพ



เกร็ดความรู้
เกี่ยวกับลิเก

ประวัติความเป็นมาของลิเก

ที่มาของลิเก
ลิเก เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษา ฮิบรู ว่า ซาคูร (Zakhur) ซึ่ง

หมายถึง การสวดสรรเสริญพระเจ้าในศาสนายูดาย หรือยิว มาแต่
โบราณหลายพันปี ต่อมาชาวอาหรับเรียกการสวดสรรเสริญพระเจ้าว่า
ซิกร (Zikr) และ ซิกิร (Zikir) ผู้สวดนั่งล้อมเป็นวงโยกตัวไปมา เมื่อการ
สวดแพร่หลายเข้าไปในอินเดียโดยชาวอิหร่าน เรียกว่า ดฮิกิร (Dhikir)
โดยมีการตีกลองรำมะนาประกอบ ครั้นการสวดแพร่มาถึงจังหวัดทาง
ภาคใต้ของประเทศไทย ก็เรียกเป็นภาษาถิ่นว่า ดิเก (Dikay) และจิเก
(Jikay) ชาวมุสลิมนำดิเกเข้ามาสู่กรุงเทพมหานคร ตอนต้นสมัย
รัตนโกสินทร์ การเรียกก็เปลี่ยนเป็น ยิเก หรือ ยี่เก (Yikay)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงเรียกว่า
ลิเก (Likay) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ และใช้เรียกอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้น
มา ส่วนคำว่า ยี่เก ยังคงใช้เรียกกันอยู่ อนึ่ง ลิเกได้ถูกเปลี่ยนชื่อตาม
พระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมทางศิลปกรรม พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็น
นาฏดนตรี และเรียกคำนี้แทนลิเกอยู่ประมาณ ๑๕ ปี ก็กลับมาเรียกว่า
ลิเก เหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน



“ลิเก” มีพัฒนาการที่สลับซับซ้อน
อย่างไรก็ดี ประวัติของลิเกแบ่งออกได้
เป็น ๖ ยุคหลัก คือ ลิเกสวดแขก ลิเก
ออกภาษา ลิเกทรงเครื่อง ลิเกลูกบท
ลิเกเพชร และ ลิเกลอยฟ้า



ยุคลิเกสวดแขก

คือ ยุคที่ชาวไทยมุสลิมเดินทางจากภาคใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐานใน
กรุงเทพมหานคร ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วได้นำการสวดสรรเสริญ
พระเจ้าประกอบการตีรำมะนา (กลองหน้ าเดียวตีประกอบลำตัดใน
ปัจจุบัน) เข้ามาด้วย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ลูกหลานชาวไทย
มุสลิม ก็ใช้ภาษาไทยแทนภาษามลายู สำหรับการแสดงลิเกสวดแขก
นั้น ผู้แสดงชายนั่งล้อมเป็นวงกลม มีคนตีรำมะนาเสียงทุ้มและ
แหลม ๔ ใบ หรือ ๑ สำรับ การแสดงเริ่มด้วยการสวดสรรเสริญ
พระเจ้าเป็นภาษามลายู จากนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอนภาษามลายูตอน
ใต้ เรียกกันว่า ปันตุน หรือ ลิเกบันตน ต่อมาแปลงจากภาษามลายู
เป็นภาษาไทย การแสดงบางครั้งมีการประชันวงร้องตอบโต้กัน จน
กลายมาเป็ นลำตัดในปั จจุบัน



ยุคลิเกออกภาษา

คือ ยุคที่ลิเกนำเพลงออกภาษาของการบรรเลงปี่พาทย์ และ
การสวดคฤหัสถ์ในงานศพสมัยรัชกาลที่ ๕ มาเพิ่มเข้าไปในการ
แสดงลิเก เพลงออกภาษาเป็นการแสดงล้อเลียนชาวต่างชาติที่เข้า
มาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครในขณะนั้น ด้วยการนำการแต่งกาย
น้ำเสียงในการพูดภาษาไทย ปนกับภาษาของตน และเพลงที่ขับร้อง
ในหมู่ชาวต่างชาติเหล่านั้นมาล้อเลียนเป็นที่สนุกสนาน ผู้ชมนิยม
กันมาก เมื่อลิเกนำมาใช้ก็เริ่มต้นการแสดงด้วยการสวดแขก
เป็นการออกภาษามลายู เพราะถือว่าเป็นการแสดงที่ศักดิ์สิทธิ์ และ
เป็นสิริมงคล แล้วจึงต่อด้วยภาษาอื่นๆ เช่น มอญ จีน ลาว ญวน
พม่า เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวา อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) การแสดงออก
ภาษาเป็นการแสดงตลกชุดสั้นๆติดต่อกันไป ต่อมาปรับปรุงการ
แสดงมาเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขก แล้วต่อด้วยชุดออกภาษาแสดง
เป็นละครเรื่องยาวอีก ๑ ชุด

ยุคลิเกทรงเครื่ อง ๗

ยุคลิเกทรงเครื่อง เป็นการแสดงลิเกออกภาษาในส่วนที่เป็นสวด

แขกกลายเป็นการออกแขก มีผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบชาวมลายู

ออกมาร้องเพลงอำนวยพร มีตัวตลกถือขันน้ำตามออกมาให้ผู้แสดง

เป็นแขกประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนที่เป็นชุดออกภาษา

กลายเป็นละครเต็มรูปแบบ ซึ่งวงรำมะนายังคงใช้บรรเลงตอน

ออกแขกแต่ใช้ปี่พาทย์บรรเลง ในช่วงละครเครื่องแต่งกายหรูหราเลียน

แบบข้าราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเรียกว่าลิเกทรงเครื่องลิเกทรง

เครื่องที่แสดงในโรงและเก็บค่าเข้าชม เกิดขึ้นโดยคณะของพระยา

เพชรปาณี ข้าราชการกระทรวงวังโรงลิเกของพระยาเพชรปาณี ตั้งอยู่

นอกกำแพงเมืองหน้ าวัดราชนัดดารามประมาณพ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรง

เครื่องแพร่หลายไปทั่วภาคกลางอย่างรวดเร็ว มีโรงลิเกเกิดขึ้น

มากมาย ต่อมามีการนำเนื้อเรื่อง และขนบธรรมเนียมของละครรำมา

ใช้จนถึงขั้นแสดงเรื่อง อิเหนา ตามบทพระราชนิพนธ์เมื่อเกิด

สงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นในพ.ศ. ๒๔๘๔ ลิเกทรงเครื่องประสบปัญหา

การขาดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกายซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น

ผ้าและเพชรเทียม ในที่สุดการแต่งกายชุดลิเกทรงเครื่องก็หมดไป วง

รำมะนาที่ใช้กับการออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่ พาทย์แทนเพื่ อเป็ นการ

ประหยัด เพลงรานิเกลิงหรือเพลงลิเกเกิดขึ้นโดยนายดอกดิน เสือสง่า

ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เองและต่อมานายหอมหวล นาคศิริ ได้นำเพลง

รานิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดอย่างยาวหลายคำกลอนทำให้มีชื่อเสียง

และมีลูกศิษย์มากมาย

ยุคลิเกลูกบท ๘

ยุคลิเกลูกบทอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงช่วงภายหลังสงคราม

รวมเวลานานประมาณ ๑๐ ปี ลิเกในยุคนี้แต่งกายแบบสามัญ คือเสื้อคอกลม

แขนสั้น โจงกระเบนมีผ้าคาดพุงคล้ายเครื่องแต่งกายของลำตัดในปัจจุบัน ทั้งนี้

เพราะเป็ นช่วงที่อยู่ในสภาวะขาดแคลนแต่การแสดงลิเกก็ยังเป็ นที่นิยมกัน

อย่างกว้างขวาง เนื้อเรื่องที่แสดงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ซึ่งอาศัยพื้น

ฐานของบทละครนอกและละครพันทางอยู่มาก

ยุคลิเกเพชร

ยุคลิเกเพชรเกิดขึ้นในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่
ภาวะปกติก็มีการตกแต่งเครื่องแต่งกายลิเกตัวพระให้หรูหราอีกครั้ง แต่มิได้
กลับไปใช้รูปแบบลิเกทรงเครื่ องนำเพชรมาเป็ นเครื่ องประดับในการแต่งกาย
ของตัวพระ เช่น สวมเสื้อกั๊กปักเพชรเอาแถบเพชรหรือเพชรหลามาทำสังเวียน
คาดศีรษะ คาดสะเอวเพชรแถบเชิงสนับเพลาเพชรเป็นต้น นำการแสดง
ประเภทอื่น ๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้การแสดงเป็นที่นิยมอยู่เสมอ เช่น เพลงลูกทุ่ง
ยอดนิยมการทำฉากสามมิติให้ดูสมจริง เป็นต้น



ยุคลิเกลอยฟ้ า
ยุคลิเกลอยฟ้ า เป็นยุคที่เวทีลิเกเปลี่ยนจากรูป

แบบเดิม ที่มีเวทีดนตรีอยู่ทางขวาของผู้แสดงมา
เป็นเวทีที่วางเครื่องดนตรีอยู่บน ยกพื้นหลังเวที การ
แสดงให้ผู้ชมได้เห็นวงดนตรีทั้งวงและขยายขนาด
เวทีการแสดงออกไปจากเดิม แต่ไม่มีหลังคาจึงเรียก
ว่าลิเกลอยฟ้ าประมาณพ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้น มาเริ่มมี
การนำเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศบทละครพันทางของ
อาจารย์เสรี หวังในธรรม ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากใน
ขณะนั้นมาแสดงเป็ นลิเก

๑๐

ส่วนประกอบที่สำคัญ
ของการแสดงลิเก





การด้น
ลิเกเป็ นการแสดงละครที่อาศัยการ

ด้นเป็นปัจจัยหลัก การด้น หมายถึง การ
ผูกเรื่องที่จะแสดงบทเจรจา และบทร้อง
ท่ารำ อุปกรณ์การแสดง ในทันทีทันใดโดย
มิได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ทั้งนี้โต้โผ และผู้
แสดงมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาก่อนแล้ว
ดังนั้น การด้นจึงมักเป็นการนำเรื่อง คำ
กลอน กระบวนรำ ที่อยู่ในความทรงจำ
กลับมาใช้ในโอกาสที่เหมาะสม น้ อยครั้งที่
โต้โผต้องด้นเรื่องใหม่ทั้งหมดหรือผู้แสดง
ต้องด้นกลอนร้องใหม่ทั้งเพลง

๑๑

การร้องการเจรจา
การร้อง และการเจรจาของลิเก มีลักษณะเฉพาะ ผู้

แสดงจะเปล่งเสียงร้อง และเสียงเจรจาเต็มที่ แม้จะมี
ไมโครโฟนช่วย จึงทำให้เสียงร้อง และเจรจาค่อนข้างแหลม
นอกจากนั้นยังเน้ นเสียง ที่ขึ้นนาสิกคือ มีกระแสเสียง
กระทบโพรงจมูก เพื่อให้มีเสียงหวาน การร้องเพลงสองชั้น
และเพลงราชนิเกลิงนั้น ผู้แสดงให้ความสำคัญที่การเอื้อน
และลูกคอมาก ในการร้องเพลงสองชั้น ผู้แสดงร้องคำหนึ่ง
ปี่พาทย์บรรเลงรับท่อนหนึ่ง เพื่อให้ผู้แสดงพักเสียงและคิด
กลอน ส่วนการเจรจานั้น ผู้แสดงพูดลากเสียงหรือเน้ นคำ
มากกว่าการพูดธรรมดา เพื่อให้ได้ยินชัดเจน อนึ่ง คำที่
สะกดด้วย “น” ผู้แสดงลิเกจะออกเสียงเป็น “ล” นับเป็น
ลักษณะของลิเกอีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ลิเกนิยมแสดง
เรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ที่มีกษัตริย์เป็นตัวเอก แต่ผู้แสดงมักใช้คำ
ราชาศัพท์ที่ไม่ถูกต้อง ด้วยสาเหตุ ๒ ประการคือ ความไม่รู้
และความตั้งใจให้ตลกขบขัน

การรำ ๑๒

การแสดงลิเกใช้กระบวนรำ และท่ารำตาม

แบบแผนนาฏศิลป์ไทย โดยแบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ รำ

เพลง รำใช้บท หรือรำตีบท และรำชุด

รำเพลง
คือ การรำในเพลงที่มีกำหนดท่ารำไว้ชัดเจน เช่น

เพลงช้า - เพลงเร็ว เพลงเสมอ ผู้แสดงพยายามรำเพลง
เหล่านี้ ให้มีท่ารำ และกระบวนรำ ใกล้เคียงกับแบบฉบับ
มาตรฐานให้มากที่สุด

รำใช้บทหรือรำตีบท
คือ การรำทำท่าประกอบคำร้อง และคำเจรจา

เป็นท่าที่นำมาจากละครรำ และเป็นท่าง่ายๆ มีประมาณ
๑๓ ท่า คือ ท่ารัก ท่าโศก ท่าโอด ท่าชี้ ท่าฟาดนิ้ว ท่ามา
ท่าไป ท่าตาย ท่าคู่ครอง ท่าช่วยเหลือ ท่าเคือง ท่าโกรธ
และท่าป้ อง ซึ่งเป็นท่าให้สัญญาณปี่พาทย์หยุดบรรเลง

การแต่งกาย ๑๓

เครื่องแต่งกายของลิเกมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งต่างไปจาก

ละครรำ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงชายมีแบบแผนที่ชัดเจน

กว่าผู้แสดงหญิง เครื่องแต่งกายของลิเกแบ่งได้เป็น ๓

ประเภท คือ ชุดลิเกทรงเครื่อง ชุดลิเกลูกบท และชุดลิเก

เพชร

ชุดลิเกทรงเครื่ อง
เป็นรูปแบบการแต่งกายของลิเกแบบเดิม เมื่อเริ่มมี

ลิเกในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเลียนแบบการแต่งกายของข้าราช
สำนักในยุคนั้น และมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต่อมาบ้าง
จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวัสดุที่ใช้สร้างเครื่องแต่ง
กายลิเกที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศขาดแคลน ชุดลิเก
ทรงเครื่องก็หมดไป คงเหลือให้เห็นเฉพาะในการแสดงสาธิต
เท่านั้น

๑๔

ชุดลิเกลูกบท
เป็ นชุดเครื่ องแต่งกายลำลอง

ของคนไทยในสมัยก่อนสงครามโลก
ครั้งที่ ๒ นิยมแต่งในการแสดงเพลง
พื้นบ้าน เมื่อวัสดุที่ใช้สร้างชุดลิเกทรง
เครื่องขาดแคลน ผู้แสดงจึงหันมาแต่ง
กายแบบลำลองที่เรียกว่า ชุดลิเก
ลูกบท




ชุดลิเกเพชร
เป็ นชุดที่เกิดขึ้นหลัง

สงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยการนำ
เพชรซีก และแถบเพชร มาประดับ
เครื่องแต่งกายชุดลิเกลูกบท สวม
เสื้อกั๊กทับเสื้อตัวเดิมให้ดูหรูหราขึ้น
จากนั้นก็เพิ่มความวิจิตรขึ้น จน
กลายเป็ นเครื่ องเพชรแทบทั้งชุด
สำหรับชุดของผู้แสดงหญิงมีแบบ
หลากหลาย แต่ไม่ประดับเพชรมาก
เท่าชุดของผู้แสดงชาย

๑๕

เวที
เวทีลิเกมี ๒ แบบ คือ เวทีลิเกแบบเดิม และเวทีลิเก

ลอยฟ้ า





ฉาก
ฉากลิเกเป็นฉากผ้าใบเขียนเป็นภาพต่าง ๆ ด้วยสีที่


ฉูดฉาด ฉากลิเกแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ ฉากชุดเดี่ยว ฉากชุด

ใหญ่ และฉากสามมิติ

๑๖

ดนตรี
ดนตรีสำหรับการแสดงลิเก บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์

๒ แบบ คือ วงปี่พาทย์ไทย และวงปี่พาทย์มอญ เพลงที่ใช้
บรรเลงเป็นเพลงในอัตราสองชั้น ที่ใช้กับละครรำของไทย
กับเพลงลูกทุ่งยอดนิยม ที่ผู้แสดงลิเกนำมาร้อง เพื่อเรียก
ความสนใจจากผู้ชม



หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาท

สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถ
บพิตร. //(๒๕๔๖).//ลิเก.//สืบค้นเมื่อ ๑๓ พฤษจิกายน ๒๕๖๔,/
จาก https://www.saranukromthai.or.th/sub/other_sub.php?
file=encyclopedia/saranugrom.htm

๑๗

จารีตและความเชื่อในการแสดง

การแสดงไม่ว่าจะเป็ นในราชสำนักหรือการแสดงนอกราชสำนัก

ต่างก็จะต้องมีจารีตและ ความเชื่อต่างๆ การแสดงลิเกก็มีจารีตและ
ความเชื่อที่สืบต่อกันมา ผู้จัดทำได้ศึกษาจากวิจัยการสัมภาษณ์นาย
บุญเลิศ นาจพินิจ ได้กล่าวถึงความเชื่อในการแสดงลิเกดังนี้
๑. ต้องตั้งพ่อแก่กลางเวทีในระดับที่สูงกว่าศีรษะโดยให้หันหน้ าออก
ไปด้านหน้ าเวที
๒.ก่อนการแสดงจะต้องไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางทุกครั้ง
๓. มีสัมมาคารวะกับผู้อาวุโสในคณะ
๔. สวมยอดจะต้องให้ผู้ที่มีความอาวุโสเป็นผู้สวมให้
๕.การแสดงฉากแรกต้องให้ผิดพลาดน้ อยที่สุด
๖.อุปกรณ์ อาวุธ ห้ามเดินข้ามหรือเหยียบ เมื่อเผลอเดินข้ามหรือ
เหยียบ จะให้ ยกมือขึ้นไหว้
๗.เมื่อมีการโหมโรงห้ามทุกคนเดินบนเวที
๘.ห้ามถมน้ำลายบริเวณหน้ าเวที
๙.เมื่อเสร็จการแสดงแต่ละครั้งในแต่ละบทบาทต้องขอโทษขอขมา ผู้
อาวุโส เพราะในการแสดงนั้นผู้แสดงต้องแสดงไปตามบทบาท อาจมี
การถูกเนื้อต้องตัว มีการล่วงเกินเช่น ตีศีรษะ ใช้เท้าเตะ พูดจาล่วง
เกินต่าง ๆ




(องค์ประกอบของการแสดงลิเก,
๒๕๕๖, หน้ า 18)

๑๘

นายบุญเลิศ นาจพินิจ

ศิ ล ปิ น แ ห่ ง ช า ติ ส า ข า ศิ ล ป ะ ก า ร แ ส ด ง ( ลิ เ ก )

ป ร ะ วั ติ ส่ ว น ตั ว ผลงาน
ไ ด้ รั บ ก า ร ย ก ย่ อ ง เ ชิ ด ชู
เ กี ย ร ติ เ ป็ น ศิ ล ปิ น แ ห่ ง ช า ติ นายบุญเลิศ มีอาชีพด้านการแสดงลิเกมาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน มีผล
ส า ข า ศิ ล ป ะ ก า ร แ ส ด ง ( ลิ เ ก ) งานด้าน การแสดงมากมายเหลือที่จะนับได้พอสรุปผลงานที่สำคัญโดยสังเขป
ปี พุ ท ธ ศั ก ร า ช ๒ ๕ ๓ ๙ ดังนี้

พ.ศ. ๒๕๒๒ แสดงลิเกเรื่อง แม่ให้ข้าฯ มาตามพ่อ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ปราโมทย์ ณ โรงละคร แห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๒๖ แสดงลิเกเรื่อง พระหันอากาศ ในฤดูจัดการแสดงละครพระ
ราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หอวชิราวุธานุ
สรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๖ แสดงลิเกเรื่อง ไม่โกรธ ในฤดูจัดการแสดงละครพระราช
นิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หอวชิรวุธานุสรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๖ แสดงลิเกเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ณ สังคีตศาลา และโรงละคร
แห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๒๖ แสดงลิเกเรื่อง พระอภัยมณีเพื่อหารายได้สมทบทุนสร้าง
ตึกสยามมินทร์ โรงพยาบาลศิริราช ณ โรงละครแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๒๘ แต่งบทถวายพระพรและแสดงลิเก เนื่องในวโรกาส
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราช
สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ โรงละครแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๒๘ แสดงลิเกทรงเครื่องเรื่อง อิเหนา ตอนศึกกระหมังกุหนิง
ณ ศูนย์วัฒนธรรม แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๓๙ แสดงลิเกเรื่อง แผ่นดินทอง เนื่องในงานฉลองพระราชพิธี
กาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ
บริเวณหน้ากองสลาก ถนนราชดำเนิน
พ.ศ. ๒๕๓๙ แสดงลิเกถวาย สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์
ราชสุดาสิริโสภา พัณณวดีเรื่อง พระหันอากาศ ณ โรงละครแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๒ จัดการแสดงมหกรรมลิเกการกุศล เรื่อง “ยอดขุนพล”
โดยนำรายได้ส่วนหนึ่ง ช่วยเหลือเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว จังหวัดอ่างทอง
ณ ศูนย์วัฒนธรรม แห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๕๕ แสดงลิเกเรื่อง รุ่งฟ้า ดอยสิงห์ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่ง
ประเทศไทย

๑๙

ป ร ะ วั ติ ส่ ว น ตั ว นายกิตติ เจือเพ็ชร์

ประกอบอาชีพเป็นผู้แสดงลิเก สังกัดคณะ ศิ ล ปิ น ลิ เ ก ข อ ง จั ง ห วั ด สิ ง ห์ บุ รี คุ ณู ป ก า ร ต่ อ ก า ร
พรเทพ พรทวี และเป็นวิทยากรพิเศษ ศึ ก ษ า ด้ า น ก า ร แ ส ด ง ลิ เ ก

ผลงาน

อ า จ า ร ย์ กิ ต ติ เ กิ ด ใ น ค ร อ บ ค รั ว ที่ มี บิ ด า เ ป็ น ลิ เ ก จึ ง ไ ด้ รั บ
ก า ร ถ่ า ย ท อ ด แ ล ะ ป ลู ก ฝั ง ศิ ล ป ะ ลิ เ ก ม า ตั้ ง แ ต่ เ ย า ว์ วั ย จ า ก
นั้ น ไ ด้ ศึ ก ษ า เ ล่ า เ รี ย น จ า ก ค รู ลิ เ ก ที่ มี ชื่ อ เ สี ย ง ป ร ะ ก อ บ กั บ
ก า ร มี ใ จ รั ก แ ล ะ ศ รั ท ธ า ใ น ศิ ล ป ะ ก า ร แ ส ด ง จึ ง ยึ ด เ ป็ น
อ า ชี พ ห ลั ก ม า เ ป็ น เ ว ล า น า น ก ว่ า ๕ ๐ ปี ทำ ใ ห้ ม า ก ทั้ ง ค ว า ม
ส า ม า ร ถ แ ล ะ เ ชี่ ย ว ช า ญ ด้ า น ลิ เ ก จ น เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ ใ น ทั้ ง ด้ า น
ก า ร ร้ อ ง รำ มี ป ฏิ ภ า ณ ไ ห ว พ ริ บ สื่ อ อ า ร ม ณ์ ไ ด้ เ ข้ า ถึ ง ผู้ ช ม
ส า ม า ร ถ แ ส ด ง ไ ด้ ทุ ก บ ท บ า ท ใ ห้ อ อ ก ม า อ ย่ า ง น่ า ป ร ะ ทั บ ใ จ

ผ ล ง า น สำ คั ญ เ ช่ น ไ ด้ รั บ ร า ง วั ล ช น ะ เ ลิ ศ ใ น ก า ร แ ข่ ง ขั น
โ ค ร ง ก า ร ป ร ะ ก ว ด ลิ เ ก ช า ด ก เ ฉ ลิ ม พ ร ะ เ กี ย ร ติ พ . ศ .
๒ ๕ ๖ ๑ ไ ด้ รั บ เ ชิ ญ เ ป็ น วิ ท ย า ก ร จ า ก ภ า ค รั ฐ แ ล ะ เ อ ก ช น

ตั ว อ ย่ า ง ผ ล ง า น ด้ า น ก า ร เ เ ส ด ง
กำ เ นิ ด หั ว เ วี ย ง - L E G E N D O F H U A W I A N G
รั บ บ ท เ วี ย ด / พ ร ะ ย า ร า ช เ ส น า
เ ข ย เ ถื่ อ น - I L L I C I T S O N - I N - L A W
รั บ บ ท พ ร ะ อ นุ ช า เ พ ช ร ดำ
เ ท ว า ป ร ะ ก า ศิ ต - D E C R E E O F G O D
รั บ บ ท เ จ้ า ช า ย สิ ง ห์ ฆ า ต
อ า นุ ภ า พ แ ห่ ง รั ก - P O W E R O F L O V E
รั บ บ ท ก ษั ต ริ ย์ สุ ร ะ ร า ม สิ ง ห์
ป า ฏิ ห า ริ ย์ แ ห่ ง รั ก - M I R A C L E O F L O V E
รั บ บ ท ก ษั ต ริ ย์ ผ า ท มิ ฬ

๒๐

ผศ.ดร.สุขสันติ แวงวรรณ

ส า ข า ศิ ล ป ะ ด้ า น น า ฏ ย ศิ ล ป์

ป ร ะ วั ติ ส่ ว น ตั ว ผลงาน

ปัจจุบันเดำรงตำแหน่ง ผู้รับผิดชอบ พ.ศ. ๒๕๕๗
หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต การจัดการความรู้ภูมิปัญญา (KM) เรื่องภูมิปัญญาลิเกไทย
สถาบัณฑิตฬฒนศิลป์
พ.ศ. ๒๕๕๘
กำกับการแสดงลิเกเรื่องพระสุวรรณสาม ให้กับคณะลิเกเมืองอ่างทอง

จัดแสดงในการประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน จัดโดยวัดประยุรวงศาวา
สวรมหาวิหาร ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วย
พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๕๘
พ.ศ.๒๕๕๙

กำกับการแสดงลิเกเรื่องขุนช้างขุนแผน ให้กับคณะลิเกเมืองอ่างทอง
จัดแสดงในการประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน จัดโดยกรมส่งเสริม
วัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วย
พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ประจำปี ๒๕๕๙
พ.ศ.๒๕๖๑

กำกับการแสดงลิเกชาดกเรื่องพระเวสสันดร ให้กับคณะลิเกเมือง
อ่างทอง จัดแสดงในการประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน จัดโดยวัด
ประยุรวงศาวาสวรมหาวิหาร ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับรางวัล
ชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ประจำปี ๒๕๖๑

ควบคุม อำนวยการแสดงและกำกับการแสดงให้กับวงดนตรีลูกทุ่งนาฏ
ศิลปอ่างทองเข้าประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ ช่องเวิร์คพอยท์ ได้รับรางวัล
ชนะเลิศในบทเพลงชาย เมืองสิงห์


Click to View FlipBook Version