The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-10-20 11:06:38

e-books

e-books



“แลลอดวรรณกรรมกบั ศิลปนิ แห่งชาติ สถาพร ศรีสจั จัง”

• ประวตั ิชวี ติ ของสถาพร ศรสี ัจ

สถาพร ศรีสัจจังเกิดเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๓ ที่บ้านน้ำเลือด ตำบลท่ามิหรำ
อำเภอเมอื ง จงั หวัดพัทลงุ เป็นบตุ รชายของนายกระจา่ งและนางเลก็ ศรสี จั จัง เตบิ โตท่ีจงั หวดั พทั ลงุ

เรม่ิ เรียนหนังสอื ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๔ ทีโ่ รงเรยี นวดั ควนนมิ ิต จังหวดั พทั ลุง
จบชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๗ ทีโ่ รงเรียนกันตัง อำเภอกันตัง จังหวดั ตรัง
สอบเข้าชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ ทีโ่ รงเรยี นวิเชียรมาตุ จังหวดั ตรัง จนจบมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓
เข้าศึกษาต่อชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.ศ.๔ - ม.ศ.๕) ทโี่ รงเรยี นสภาราชินี จงั หวัดตรัง
จากนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี จบศิลปะศาสตร์บัณฑิต (ภาษาไทย) คณะมนุษยศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต (ไทยคดีศึกษา - สังคมศาสตร์)
มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ (สงขลา)
สถาพร ศรสี จั จัง ไดใ้ ชน้ ามปากกาว่า “พนม นนั ทพฤกษ”์ แปลว่า ผ้ภู มู ิใจในป่าเขา และใช้นามปากกา
ว่า“อนิ ถา รอ้ งวัวแดง” ในการเขียนบทวิพากษว์ ิจารณก์ ารเมือง
ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ทำงานเปน็ เจ้าหน้าท่มี ูลนธิ ิโกมลคีมทองมลู จังหวดั กรงุ เทพมหานคร
ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทำงานที่ประจำกองบรรณาธิการและเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์หลายสำนักพิมพ์
ได้แก่ หนังสือพิมพ์อธิปัตย์ ของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นิตยสารปุถุชน สํานักพิมพ์ปุถุชน
สํานกั พิมพ์เมด็ ทราย สํานกั พมิ พ์กอไผ่
ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทำงานเป็นผจู้ ัดการโรงงานปลาป่น อําเภอกนั ตัง จังหวดั ตรัง
ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทำงานเป็นนักวิชาการ ประจำสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ อำเภอ
เมอื งสงขลา จังหวัดสงขลา
ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา และเป็นอาจารย์ผู้สอน
ระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ควบคู่ไปกับการรับงานเขียนที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร และได้รับ
การยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศลิ ป์ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๘

• เส้นทางการเป็นนกั เขยี น

การเดินทางของหยดน้ำหมึก “สถาพร ศรีสัจจัง” เติบโตมากับย่าซึ่งท่านเป็นนกั เรื่อง ก่อเกิดเป็นแรง
บันดาลใจให้สนใจเรื่องภาษา วรรณคดี และกวีนิพนธ์ไทย มาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา
ตอนต้นที่โรงเรียนวิเชียรมาตุ สถาพร ศรีสัจจัง ได้เข้าร่วมการประกวดแต่งกลอน และได้รับรางวัลชนะเลิศ
เรื่อยมา เมื่อเข้าศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายท่ีโรงเรียนสภาราชินี สถาพรได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวด



คำกลอนระดับจังหวดั ประกวดคำฉนั ท์ และเรื่องสนั้ เรื่อยมา มผี ลงานตีพมิ พส์ ู่สาธารณะครั้งแรกท่ี “สตรีสาร”
ในคอลมั นศ์ าลากวี และเร่อื งสัน้ เรอื่ งแรกตพี มิ พใ์ น “ชยั พฤกษ์” ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๑๐

เมื่อเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมวรรณศิลป์ มีผลงานตีพิมพ์ใน
หนังสือพิมพ์ในหนังสือม.ช. สัมพันธ์ทองกวาว เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มวลัญชทัศน์ ออกหนังสือหลายเล่ม
แต่เล่มที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ วลัญชทัศน์ฉบับภัยเขียว ในหนังสือเล่มนี้สถาพรเขียนงาน
ร้อยแกว้ ช่อื “โศลกมืดจากภเู ขาบรรทดั ”

ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ร่วมกับเพื่อนที่เป็นนักเขียนพิมพ์หนังสือ “เจ้าชื่อทองกวาว” หนังสือรวมเรื่องส้ัน
และบทกวี หนังสือรวมผลงานเล่มแรกประสบความสำเร็จไม่น้อย ทำให้ตีพิมพ์ต่อจากงานเล่มแรกเป็น
“เจ้าชื่อทองกวาว ขบวนสอง” ใช้ชื่อปกว่า “ต้องฝนยามแล้ง” สถาพร ศรีสัจจัง มีงานกวีนิพนธ์ 3 เรื่อง คือ
“สังคตี แห่งเทวาลยั ” “เธอกบั ฉนั อยู่ในประเทศไทย” และ “ดอกไมห้ มา”

เมื่อจบการศึกษาปริญญาตรีในปี พ.ศ.๒๕๑๕ สถาพรร่วมงานกับมูลนิธิโกมลคีมทอง และเขียนงาน
อย่างสม่ำเสมอทั้งเรื่องสั้นและกวีนิพนธ์ จนกระทั่งกลางปี พ.ศ.๒๕๑๖ ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง
และเป็น ๑ ใน ๑๐๐ คนท่ลี งชือ่ เรียกร้องรฐั ธรรมนูญ อนั เป็นเหตใุ ห้เกิดวกิ ฤตกิ ารณ์ ๑๔ ตลุ า ๑๖

ปี พ.ศ.๒๕๑๗ เข้าทำงานประจำเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์และหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสาร
ปุถุชน เขียนเรื่องสั้น “นกพญาไฟ” ตีพิมพ์ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ สำนักพิมพ์ปุถุชนตีพิมพ์
เรื่องสั้นและบทกวีของสถาพร ศรีสัจจัง ในชื่อ “ก่อนไปสู่ภูเขา” เนื้อหาแนวคิดในหนังสือเล่มนี้สอดคล้องกับ
กระแสความคิดของคนหนุ่มสาวร่วมสมยั หนังสือ “ก่อนไปสู่ภูเขา” จึงได้รับการประกาศเป็นหนงั สือตอ้ งห้าม
เลม่ หน่งึ ใน ๒,๐๔๗ รายการ

หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ สถาพรเดินทางกลับบ้านที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และเข้าทำงาน
เป็นผู้จัดการโรงงานปลาป่น ในห้วงนี้เองที่ชื่อสถาพร ศรีสัจจัง ในบทบาทนักเขียนค่อย ๆ เลือนหายไป
พร้อม ๆ กับการปรากฏของชื่อ พนม นันทพฤกษ์ เข้ามาแทนที่ สถาพรนำวัตถุดิบของวิถีแห่งอันดามัน
มาปั้นแต่งเป็นงานเขียนทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองหลายชิ้น สะท้อนภาพชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนที่กำลัง
เปลี่ยนแปลงดว้ ยผลกระทบจากการพัฒนาทีเ่ น้นดา้ นวตั ถุและการบริโภคนิยม ชี้ให้เห็นแก่นแท้ของชีวิตมนษุ ย์
ที่เกิดมาเพอ่ื ต่อสู้ สถาพรได้รบั การยกยอ่ งเปน็ ศลิ ปินแห่งชาติ สาขาวรรณศลิ ปใ์ นปี พ.ศ.๒๕๔๘

• ผลงานของสถาพร ศรีสัจจัง

ลำดับผลงานรวมเล่มของ สถาพร ศรีสัจจงั
พ.ศ. ๒๕๑๓ รวมเรอ่ื งสัน้ , กวนี ิพนธ์ (เขยี นรวมกบั ผ้อู น่ื ) “เจา้ ชอื่ ทองกวาว”
พ.ศ. ๒๕๑๔ รวมเรือ่ งสน้ั , กวนี ิพนธ์ (เขยี นรว่ มกับผ้อู ื่น) “ต้องฝนยามแลง้ ”



พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมเรอื่ งสั้นและกวนี ิพนธ์ "กอ่ นไปสู่ภูเขา" โดยใชช้ ื่อจรงิ คือ "สถาพร ศรีสัจจัง"
จัดพมิ พ์โดย สำนักพมิ พ์ปุถุชน ไดร้ บั การประกาศเปน็ หนังสือตอ้ งห้าม

พ.ศ. ๒๕๒๓ รวมเรื่องสัน้ "คืนฟ้าฉำ่ ดาว รอยเปอ้ื นและทางเดนิ "
พ.ศ. ๒๕๒๔ รวมเรื่องส้ันและกวนี พิ นธ์ “ยืนต้านพายุ”
พ.ศ. ๒๕๒๔ วรรณกรรมเยาวชน "เดก็ ชายชาวเล"
พ.ศ. ๒๕๒๕ วรรณกรรมเยาวชน "บองหลา"
พ.ศ. ๒๕๒๕ นวนยิ าย "ทงุ่ หญ้า ป่าสูง และวันรุง้ ทอสาย"
พ.ศ. ๒๕๒๖ รวมเรื่องสั้น "ดาวทข่ี ดี เสน้ ฟา้ "
พ.ศ. ๒๕๒๘ กวีนพิ นธ์ "คอื นกว่ายเวง้ิ ฟา้ "
พ.ศ. ๒๕๒๙ กวีนิพนธ์ "ท่วี ่ารกั รักนัน้ "
พ.ศ. ๒๕๓๑ นวนยิ าย "ด่ังผีเสอื้ เถ่ือน"
พ.ศ. ๒๔๓๒ กวนี ิพนธ์ “ณ เพงิ พัก รมิ หว้ ย"
พ.ศ. ๒๕๔๐ วรรณกรรมเยาวชน "ดงคนดี"
พ.ศ. ๒๕๔๑ กวนี ิพนธ์ "ทะเล ปา่ ภู และเพิงพกั "
พ.ศ. ๒๕๔๓ กวนี พิ นธ์ “ฟอ้ งนายหวั ” (ใชน้ ามปากกา อินถา ร้องววั แดง)

• รางวัลและเกยี รตคิ ุณ
๑. เรอื่ งสน้ั ช่ือ "คล่ืนหวั เด่ิง"
- รางวัลช่อการะเกด ประจำปี ๒๕๑๙ จากนิตยสารโลกหนงั สือ
- รางวลั เร่ืองส้ันยอดเยี่ยม ประจำปี ๒๕๒๒ จากสมาคมนักเขยี นแหง่ ประเทศไทย
- ได้รับการแปลเป็นภาษาจนี อังกฤษ มลายู
๒. เรอ่ื งสน้ั ชอ่ื “เหย่อื พราน” ไดร้ ับรางวัลจากนิตยสารแมน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๓
๓. สารคดีเรือ่ ง “วงั ปราจนั ทร์ -ทะเลบนั -บกู ีบากดิ๊ : เสน้ ทางสายยุทธศาสตร์” ได้รับรางวัล
จากนติ ยสารประจำปี ๒๕๒๓
๔. วรรณกรรมเยาวชนเรอื่ ง “เด็กชายชาวเล”
- รางวลั ชมเชย ประเภทหนังสือบนั เทงิ คดสี ำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น (๑๒ – ๑๔ ปี)
จาก คณะกรรมการพฒั นาหนังสอื แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๑๔
- รางวัลชมเชยจากคณะกรรมการส่งเสริมและ ประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๒๔
- ๑ ใน ๕๐๐ เล่ม หนังสือดสี ำหรบั เด็กและเยาวชน ของสมาพนั ธ์องคก์ รเพอื่ พฒั นา
หนังสือและการอา่ น
- ๑ ใน ๕๐๐ เลม่ หนังสือดีทีเ่ ดก็ และเยาวชนไทยควรอา่ น ทนุ สนบั สนนุ การวิจยั จาก
สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ัย



- หนังสือนอกเวลา วิชาภาษาไทย ระดบั มธั ยม
- ได้รบั การแปลเป็นภาษาญป่ี ่นุ
๕. วรรณกรรมเยาวชนเรอื่ ง “บองหลา”
- รางวัลชมเชย ประเภทหนังสือบันเทงิ คดีสำหรบั เดก็ กอ่ นวัยรนุ่ (๑๒ - ๑๔ ปี)

จากคณะกรรมการพฒั นาหนังสือแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๒๕
- ๑ ใน ๕๐๐ เล่ม หนังสือดีสำหรับเดก็ และเยาวชน ของสมาพนั ธอ์ งค์กรเพ่ือพฒั นา

หนงั สอื และการอ่าน
๖. รวมบทกวีนพิ นธช์ อ่ื “คือนกว่ายเวงิ้ ฟ้า”

- รางวัลชมเชย ประเภทหนังสอื กวีนิพนธ์ จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสอื
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๙

๗. วรรณกรรมเยาวชนเรือ่ ง “ดงคนด”ี
- รางวัลชมเชย ประเภทหนงั สอื บันเทิงคดสี ำหนับเด็กก่อนวยั รุ่น (๑๒ – ๑๔ ป)ี
จากคณะกรรมการพัฒนาหนงั สอื แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๑

๘. บทกวีช่อื “ดาวศรทั ธายังโชนจ้าแสง”
- ไดร้ ับการคัดเลอื กเปน็ สรรนิพนธ์ในโครงการวิจัย “กวีนิพนธใ์ นฐานะพลังทาง
ปัญญาของสงั คมรว่ มสมัย พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๔๑” ซึ่งมศี าสตราจารยเ์ กยี รติคณุ
ดร.เจตนา นาควชั ระ เปน็ หวั หนา้ โครงการ เปน็ โครงการวิจัยซึ่งได้รับทนุ
สนับสนุนจากนำนกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั

๙. เรื่องส้ัน หอ้ งพระ
- ไดร้ บั การแปลเป็นภาษาญป่ี นุ่

๑๐. บทกวี ดาวเหนอื
- ได้รบั การแปลเป็นภาษาอังกฤษ

๑๑. ไดร้ บั การยกยอ่ งเชดิ ชูเกยี รติเปน็ ศลิ ปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พุทธศกั ราช ๒๕๔๘

• วรรณกรรม

กุหลาบ มัลลิกะมาส (๒๕๑๙ : ๕) ได้ให้ความหมายของวรรณกรรมว่า คำนี้ใกล้เคียงกับคำว่า
วรรณคดี เพราะแปลมาจากคำว่า Literature เช่นเดียวกัน แต่คำว่า วรรณกรรม นั้นหมายถึง สิ่งซึ่งเขียนข้ึน
ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปใด หรือเพื่อความมุ่งหมายใด เช่น คำอธิบายวิธีใช้กล้องถ่ายรูป รวมทั้งใบปลิว
หนังสอื พมิ พ์ นวนยิ ายก็ลว้ นแลว้ แตเ่ รียกว่า Literature ทัง้ ส้ิน วรรณกรรมจึงมคี วามหมายอยา่ งกว้างที่สดุ

สถาพร ศรีสัจจัง ได้นิยามความหมายของวรรณกรรมไว้ว่า วรรณกรรม หมายถึง ผลิตภัณฑ์



(production) ที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นผลผลิตของรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิตชุดหนึ่งของบริบทพื้นที่
และเวลาหนึ่ง ๆ จุดสำคัญของวรรณกรรมคือ พื้นที่และเวลา ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าวรรณกรรมที่เราเขียน



จะออกมามีเนื้อหาและรูปแบบไหน ไม่ได้กำหนดรูปแบบที่ตายตัว แต่วรรณกรรมจะคล่ี คลายเปลี่ยนไป
ตามการเคล่ือนตัว

วรรณกรรม คือ งานเขียนทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด หรือเพื่อจุดมุ่งหมายใดที่เกิดจากศิลปะแห่ง
การใชถ้ ้อยคำและจินตนาการของผเู้ ขียน

• วรรณกรรมปจั จบุ ัน

คำว่า “วรรณกรรมปัจจุบัน” เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “วรรณกรรมร่วมสมัย” อันก่อให้เกิดปัญหา
เดียวกันว่า วรรณกรรมนั้นร่วมสมัยกับใคร กับผู้เรียน หรือกับผู้สอน คำว่า “ร่วมสมัย” นี้ยังหมายถึง
วรรณกรรมที่แต่งขึ้นในระยะเวลาอันใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาในปัจจุบันนี้ก็ได้ เช่น ไตรภูมิพระร่วง
ของพระมหาธรรมราชาลิไท กับ Divine Comedy ของ Dante แต่งในระยะเวลาห่างกันประมาณ ๓๐ ปี
นับเป็นวรรณกรรมร่วมสมัยกันได้ แต่ทั้งสองเล่มไม่ใช่วรรณกรรมปัจจุบัน หรือมหาภารตะและรามายณะ
กับมหากาพย์ Iliad และ Odyssey ของกรีก แต่ห่างกัน ๓๐๐ ปี ก็ถือเป็นวรรณร่วมสมัยในยุคมหากาพย์
เหมือนกัน นอกจากนี้มีข้อสังเกตอีกอย่างว่า แม้จะเป็นนักเขียนที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกันในเวลานี้
แต่หากนักเขียนคนหนึ่งแต่งวรรณกรรมขึ้นด้วยลักษณะขนบนิยมของวรรณคดีไทยของเก่า โดยมิได้มีส่วนใด
ท่ปี รับปรุงเปลย่ี นแปลงขน้ึ กย็ อ่ มยากจะนบั ว่าวรรณกรรมชนิ้ นั้นเป็นวรรณกรรมปจั จบุ นั

สถาพร ศรีสัจจัง ได้ให้มุมมองความคิดเกี่ยวกับคำว่า “วรรณกรรมร่วมสมัย” ไว้ว่า วรรณกรรม
ร่วมสมัย ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นพรมแดนของการเปลี่ยนแปลง เพราะ มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
โดยสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์การเมือง เนื่องจากกลุ่มคนซึ่งกุมอำนาจรัฐเก่าโค่นล้ม กลุ่มคนรุ่นใหม่ขึ้นไป
แต่ว่าคนรุ่นใหม่ที่ข้ึนไปกไ็ ม่ไดม้ ีอะไรแตกต่าง ก็คือ ต้องการยึดอำนาจทางเศรษฐศาสตร์การเมอื ง เพื่อที่จะข้ึน
ไปแทนที่คนรุ่นเก่าก็เลยเกิดการต่อสู้กันมาโดยตลอด และในยุคปัจจุบันสิ่งที่ผิดแปลกไปทางความคิด
ของมนุษย์ คือ วรรณกรรมต้องเหมือนกับตะวันตก ถ้าไม่เหมือนกับตะวันตกก็หมายความว่า เป็นสิ่งที่ล้าสมยั
ซ่ึงความคิดเหลา่ นท้ี ำใหผ้ ูค้ นในประเทศไทยลมื รากฐานของตนเอง

• ขอบเขตและลกั ษณะของวรรณกรรมปจั จบุ นั

หวั ข้อสำคัญในการเปลีย่ นแปลงทางวรรณกรรมกจ็ ะได้ดังน้ี
๑. ความนิยมในวรรณกรรมสันสกฤต เจริญฟ้นื ฟูข้นึ อกี วาระหนง่ึ แตใ่ นครัง้ นโ้ี ดยการแปล

จากภาษาอังกฤษ
๒. มีการแปล แปลง วรรณกรรมประเภทตา่ ง ๆ จากวรรณกรรมตะวนั ตกโดยเฉพาะจากฉบับ

ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส มีทั้งสารคดี และบันเทิงคดีแบบนวนิยาย เรื่องสั้น และบทละคร ได้เริ่มมีมาตั้งแต่
รชั กาลท่ี ๕ เปน็ ตน้ มา

๓. ความเจริญด้านสื่อมวลชนทวีขึ้นตามลำดับเวลา ทั้งที่เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน วารสาร
นติ ยสาร



๔. ความนิยมในการเขียนร้อยกรองค่อย ๆ ลดลงตั้งเต่สมัยรัชกาลที่ 6 อาจเรียกได้ว่า
เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงด้านการเขยี นร้อยกรองจากแบบเก่ามามลี กั ษณะปัจจุบัน ซึ่งแปลกแตกต่างไปจากเดมิ
สว่ นรอ้ ยแก้วกลับเป็นประเภทของวรรณกรรมท่ีเจริญขน้ึ อย่างรวดเรว็ และเป็นอาชีพของนักเขียนได้โดยเฉพาะ
สือ่ มวลชนและนวนยิ าย

ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวจากขา้ งตน้ จะพบวา่ สิง่ ทจี่ ะกำหนดลักษณะของวรรณกรรมปจั จุบนั มี 3 ประการ คอื
๑. รูปแบบ วรรณกรรมปัจจุบันมีรูปแบบการแต่งขยายตัวมากขึ้นกว่าวรรณกรรมในอดีต

และแต่ละรูปแบบยงั ขยายย่อยออกไปอีกมาก ได้แก่
๑.๑ สารคดี เป็นรูปแบบการเขียนที่มุ่งเน้นเรื่องข้อเท็จจริงความถูกต้องเป็นสำคัญ

สารคดปี จั จุบันแยกประเภทย่อยไดม้ าก
๑.๒ นวนิยายและเรื่องสั้น เป็นรูปแบบการเขียนบันเทิงคดีอย่างใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยม

อยา่ งกว้างขวาง มแี นวการเขียนแสดงไดห้ ลายแบบ
๑.๓ บทละคร บทละครปัจจุบันที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเป็นแบบบทละครพูด

หรือละครเพลงประกอบรีวิว บทละครปัจจบุ ันมีทัง้ ที่เป็นบทละครแปล บทละครแปลง และบทละครที่แต่งขนึ้
โดยใชก้ ลวิธีการแสดงออกแบบตะวันตก

๑.๔ ร้อยกรอง ลักษณะร้อยกรองปัจจุบันมุ่งเน้นในด้านการเสนอ “ข้อคิดเห็น”
มากกว่าการเสนอความไพเราะงดงามตามหลักวรรณศิลป์ ร้อยกรองปัจจุบันจึงมีขนาดสั้น ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ
พื้น ๆ บางทีก้าวร้าว รุนแรง ไมเ่ คร่งครัดในดา้ นฉนั ทลักษณ์

๒. เนื้อหา เนื้อหาของวรรณกรรมปัจจุบันจะสนองอารมณ์ของคนดูและคนอ่านด้วยภาพ
“ของจริง” สิ่งที่ใกล้ตัว สิ่งที่พบเห็นได้จริง ฉะนั้นในขณะที่วรรณกรรมในอดีตเน้นศิลปะการแต่ง วรรณกรรม
ปัจจุบนั จะเนน้ เร่อื งการเสนอ “ขอ้ คดิ ” หรอื “ความคิดเหน็ ” อนั จะเปน็ การจุดไฟปญั ญาใหแ้ ก่ผู้อ่าน

๓. แนวคิดหรือปรัชญาของเรื่อง วรรณกรรมปัจจุบันเสนอแนวคิดอันเป็นความเคลื่อนไหว
ของวรรณกรรมตะวันตกมากแบบขึ้น เช่น เสนอความเป็นจริงทุกแง่ทุกมุม ได้แก่ แนวคิดแบบสัจนิยม
(Realism) เช่น ตะวันตกดิน ละครแห่งชีวิต หนึ่งในร้อย เสนอภาพชีวิตที่เน้นเรื่องความทุกข์ยากร้ายกาจ
ของชีวิต ได้แก่ แนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism ใช้แนวปรัชญาที่แสดงถึงอิสระเสรีของมนุษย์ใน
การเลือกเพื่อการดำรงชีวิตแทนที่จะอยู่ดว้ ยกฎเกณฑ์ กรอบ หรือเงื่อนไขใด ได้แก่ แนวคิดแบบที่เรียกว่า อัตถิ
ภาวนิยม (Existentialism) แนวคิดแบบเหนือจริง (Surrealism) แนวคิดใหม่ ๆ เหล่านี้นับเป็นการสร้าง
ความกา้ วหนา้ และทำใหว้ รรณกรรมปัจจุบันมีแนวการเขยี นแปลกใหม่หลากหลายย่ิงขน้ึ

สถาพร ศรีสัจจัง ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับขอบเขตและลักษณะของวรรณกรรมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปไว้ว่า
เมื่อประเทศไทยรับอิทธิพลตะวันตกเข้ามา พูดได้ว่ากระแสลมตะวันตกพัดแรง หมายถึง พัดเอาสังคมเรา
เปล่ยี นแปลง พูดอกี นัยหนึ่งว่าทำให้เกิดการผสมกลมกลืนเขา้ ไปอยา่ งมีศิลปะแนบเนยี นขึ้น ไมว่ า่ จะเป็นในเรื่อง
ของรปู แบบ เน้อื หา กลวธิ กี ารเขียน แนวคดิ อนั ทำให้วรรณกรรมเปลย่ี นแปลงโฉมหนา้ ไปกวา่ เดมิ และแสดงถึง
ความกา้ วหน้าและมีการเขยี นทแี่ ปลกใหมห่ ลากหลายยิง่ ขึ้น



• พฒั นาการของวรรณกรรมปัจจุบนั

๑. ยคุ เริม่ แรก (พ.ศ.๒๔๔๓-๒๔๗๑)
ช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ตลอดรัชกาลที่ ๖ จนถึงรัชกาลที่ ๗ ระยะเวลาเหล่านี้ สังคมไทย เริ่มมี
การเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว เนื่องจากได้รับอิทธิพลตะวันตก นักเรียนนอกที่ไปเล่าเรียนวิชาการ
ต่าง ๆ จากยุโรปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เดินทางกลับมาพร้อมกับความรู้ ความคิด ค่านิยม วรรณกรรม
โดยมีหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ ที่ออกจำหน่ายมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๐ เป็นต้นมาเป็นสนามสำคัญในการ
เผยแพร่ความรู้ ความคิด ค่านิยมใหม่ ของสังคม วารสาร หนังสือพิมพ์ ตลอดจนบทวรรณกรรมที่มีอิทธิพล
สำคัญในช่วงเวลานี้ เช่น สยามประเภท ตุลวิภาคพจนกิจ ลักวิทยา ถลกวิทยา ทวีปัญญา ผดุงวิทยา ศรีกรุง
เสนาศกึ ษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ไทยเขษม สวนอกั ษร
๒. ยุครุ่งอรณุ (พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๕)
ช่วงระยะเวลา 3 ปี ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดวรรณกรรมประเภทการเมืองหรือวรรณกรรม
เสนอขอ้ คิดเหน็ ขึน้ อย่างมากมาย เนอื่ งจากสภาพสังคมของการเมืองไทยเปน็ แรงผลักดันทีส่ ำคญั ปัญหาสำคัญ
ของประเทศในขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจท่ีเสื่อมโทรม ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมือง ความระส่ำระส่าย
ทางการปกครองด้วย เกิดกลุ่ม “คณะราษฎร์” ภายใต้การนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา ทำการยึดอำนาจ
การปกครองประเทศ เม่ือ ๒๔ มถิ นุ ายน ๒๔๗๕ เพื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาปกครองประเทศ วรรณกรรม
ในช่วงกอ่ นเปลีย่ นแปลงการปกครองจึงเปน็ วรรณกรรมทเี่ น้นสาระและความจริงมากขึน้ วรรณกรรมมีลักษณะ
เป็นไทยแท้ แสดงบุคลิกของตนเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จุดเด่นของวรรณกรรมในยุคนี้ คือ เนื้อหาเข้มข้น
และเสนอข้อคิดอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและการเมือง นักเขียนที่มีอิทธิพลมากในยุคนี้คือกลุ่มสุภาพบุรุษ
อนั ไดแ้ ก่ ศรีบูรพา ดอกไมส้ ด และแม่อนงค์
๓. ยุคเริ่มศลิ ปะเพื่อชวี ิตสมยั ชาตนิ ิยม (พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๘)
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง วรรณกรรมส่วนใหญ่ในระยะนี้จึงสะท้อนภาพของคนชั้นกลาง
และความคิดแบบเสรีนิยมอันเนื่องมาจากหลักการของประชาธิปไตย ที่มุ่งเน้นความเสมอภาคและเสรีภาพ
ของประชาชนเปน็ สำคัญ ปรากฏให้เห็นชดั ในงานวรรณกรรมเกือบทุกชนิ้ นกั เขียนที่เดน่ ในยุคนีค้ ือนักเขียนที่มี
ผลงานร่นุ แรกมาในยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เช่น ดอกไมส้ ด ก.สรุ างคนางค์ วรรณสิริ ดวงดาว ร.
จันทะพิมพะ นักเขียนในกลุ่ม สุภาพบุรุษ-ประชา-มิตร ได้แก่ สด กูรมะโรหิต ไม้ เมืองเดิม แม่อนงค์ ศรีบูรพา
ม.ร.ว.นิมิตร มงคล นวรัตน์ มนัส จรรยงค์ นวนิยายเรื่องสั้น ล้วนแต่เสนอเรื่องราวของคนขั้นกลางและความ
ล้มเหลวในความผนั ผวนของชวี ิตชนชัน้ สูง อนั เปน็ ผลมาจากความเปล่ียนแปลงทางสงั คม ซึ่งบางคร้ังนักเขียนก็
แสดงความคิดเห็นอยา่ งเปน็ กลาง บางครั้งก็แฝงความอาลยั ในอดีต
๔. ยคุ กบฏสนั ติภาพ (พ.ศ.๒๔๘๙-๒๕๐๐)

ระยะเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ วงวรรณกรรมไทยในช่วงระยะเวลานี้เกิดปะทะกันทางความคิด
อย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มความคิด “ศิลปะเพื่อศิลปะ” และ “ศิลปะเพื่อชีวิต” ทำให้เกิดแบ่งแยกนักเขียน
ออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มหนึ่งมีผลงานหนักไปทางเรื่องพาฝันในแนวต่าง ๆ อีกกลุ่มหนึ่ง มีผลงานหนักไป



ในทางเสนอข้อคิดเพ่ือเปลย่ี นแปลงสงั คม ไปสเู่ ป้าหมายเดมิ ทว่ี างไว้ก่อนเปล่ียนแปลงการปกครอง วรรณกรรม
ในช่วงเวลาน้ี จึงเป็นเร่ืองทห่ี นักไปในทางเสนอข้อคิดและอดุ มการณท์ างการเมือง การเรียกร้องความเสมอภาค
และเสรีภาพเพ่อื เปลยี่ นแปลงสังคมไปส่สู ภาพท่ีดีขนึ้ นักเขียนในกลมุ่ แรก ได้แก่ ก.สุรางคนางค์ ว. ณ ประมวญ
มารค สุวัฒน์ วรดิลก อิงอร นอกจากนี้ยังมี ชอุ่ม ปัญจพรรค์ เปลื้อง ณ นคร พ.เนตรรังษี ดวงดาว สรรณสิริ
สภุ ร บุนนาค ฉนั ทิชย์ กระแสสนิ ธ์ุ แสงทอง ป.อนิ ทรปาลิต ยาขอบ ไม้ เมอื งเดมิ เป็นตน้ ส่วนนักเขียนในกลุ่ม
หลังคือ นักเขียนหนุ่มสาวที่เริ่มมีผลงานมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ โดยมีนักเขียนรุ่นเก่าเป็นผู้นำ เช่น
ศรีบูรพา แม่อนงค์ เสนีย์ เสาวพงศ์ นายผี อินมรายุทธ อุชเชนี นิด นรารักษ์ ทวีปวร เปลื้อง วรรณศรี
จิตร ภมู ศิ ักดิ์ เป็นตน้

๕. ยคุ มืดทางปญั ญา (พ.ศ.๒๕๐๑-๒๕๐๕)
เหตุการณ์บ้านเมืองที่สำคัญและมีผลกระทบต่อวงวรรณกรรมในช่วงเวลานี้ที่สำคัญ คือ การปฏิวัติ
รัฐประหารของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ๒ ครั้งในปี ๒๕๐๐-๒๕๐๑ ซึ่งเป็นผลทำให้นักเขียนหัวก้าวหน้า
หรือกลุ่มศิลปะเพื่อชีวิตที่เริ่มสร้างแนวทางใหม่ของวรรณกรรมในยุคก่อนหน้านี้ต้องจำกัดบทบาทของตนลง
อย่างมาก เนื่องจากหลังการรัฐประหารรัฐบาลมุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเมืองโดยเร่งด่วนที่สุด
และขจัดปัญหาคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ วรรณกรรมในระยะนี้จึงเป็นหัวเลี้ยวที่สำคัญที่สุดอีกระยะหนึ่งใน
วงวรรณกรรมปัจจุบันของไทย เพราะทำให้วรรณกรรมทางปัญญาที่ฟักตัวมาอย่างดีเกือบจะสูญหายไป หรือ
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องหยุดอยู่กับที่ ในขณะทีว่ รรณกรรมท่ีเรียกกันในระยะหลังวา่ “วรรณกรรมน้ำเน่า” เฟื่องฟู
ถงึ ขีดสุด
๖. ยุคฉันจงึ มาหาความหมาย (พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๑๕)
หมดยุคเผด็จการเรืองอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ แม้ผู้รับช่วงอำนาจการปกครอง
ตอ่ จะมีแนวทางไม่แตกตา่ งนัก แต่การเปลยี่ นแปลงบรรยากาศทางการเมืองทีต่ ึงเครยี ดมาตลอด ๕ ปี คล่ีคลาย
ลงบ้าง วรรณกรรมในระยะนี้เกิดจากการรวมกลุ่มของนักศึกษาในสถาบันต่าง ๆ ซึ่งเริ่มเบื่อหน่ายบรรยากาศ
เฉ่อื ยชาทางการเมืองและความเน่าเฟะของสงั คม จงึ รวมตวั กันออกหนังสืออิสระแสดงปฏิกริ ิยาต่อความเป็นไป
ของสังคม และได้แพร่ความคิดนี้ในสถาบันการศึกษาในรูปของหนังสือเล่มละบาท หลังจากที่สังคมศาสตร์
ปริทศั น์ถอื กำเนดิ ขน้ึ ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ และได้รบั การตอ้ นรบั จากนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่อย่างมาก หนังสือเล่ม
นี้จึงเปิดฉากลงบทวิจารณ์สังคมอย่างเอาจริงเอาจังในเวลาต่อมา และได้รวบรวมคนรุ่นใหม่ไว้ได้ โดยการต้ัง
ชมรม “ปริทัศน์เสวนา” และเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นและความสามารถในเชิงการประพันธ์ของคนรุ่นใหม่
ด้วย สังคมศาสตร์ปริทัศน์ฉบับนิสิตนักศึกษา ซึ่งได้สร้างนักเขียนนักวิจารณ์รุ่นใหม่ขึ้นอย่างมากในระยะนั้น
เช่น โกมล คมี ทอง รงั สรรค์ ธนะพรพันธุ์ วชิ ัย โชควิวัฒน์ เทพสิริ สขุ โสภา ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์ ดา้ นรูปแบบได้มี
กลวิธีการเขียนแบบใหม่ ๆ เช่น การบรรยายแบบสำนึก (STREAM OF CONSCIOUNESS) งานเขียนประเภท
กงึ่ สญั ลกั ษณ์ กึ่งเหนือจริง (SEMI SURREALISM) การบรรยายความรูส้ กึ แล้วจบลงอย่างไมห่ กั มุม
๗. ยคุ วรรณกรรมเพื่อประชาชน (พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๓๐)



หลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นยุคที่เรียกว่าประชาธิปไตยเบ่งบาน ถนนหนังสือจึงคึกคักเป็นอันมาก
หนังสือเก่าที่นำมาพิมพ์ใหม่ หรือหนังสือใหม่ก็ตามต่างได้รับความนิยมซื้อจนต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายคร้ัง
แสดงให้เห็นความกระหายทางปัญญาของประชาชนที่อดกลั้นไว้เป็นเวลานาน งานสร้างสรรค์ในแนวทาง
เพื่อชีวิตได้รับความสนใจต้อนรับจากผู้อ่านอย่างกว้างขวาง ทั้งงานเก่าและงานใหม่ วรรณกรรมในยุคนี้นับว่า
รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สดุ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ความมั่นใจในชัยชนะ ของประชาชนท่ีสามารถขจัดอำนาจ
เผด็จการไปได้ ทำให้นักเขยี นกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย และคน้ พบ แนวทางการเขียนท้งั รูปแบบและเนื้อหา
สำหรับตนเองมากขึ้น เนื้อหาของวรรณกรรมในช่วงนี้จะเจาะลึกลงไปถึงปัญหาของสังคมในประการต่าง ๆ
ทง้ั การสะท้อนภาพและชี้นำใหเ้ ห็นตน้ ตอของปญั หา

๘. ยุควรรณกรรมปจั เจกชน (พ.ศ.๒๕๓๑-ปจั จุบัน)
วรรณกรรมปัจจุบันจึงมีความหลากหลายออกไปตามความสนใจทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหา
ซึ่งมุ่งตอบสนองปัจเจกบคุ คลมากขน้ึ โดยอาศัยการสร้างและเสพผา่ นระบบออนไลน์ วรรณกรรมซง่ึ เปน็ หนังสือ
กระดาษที่เคยมีบทบาทในยุคก่อนหน้านี้ ก็หันมาสร้างเสพผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( e-books)
ทำให้สำนักพิมพ์และร้านขายหนังสือต้องยกเลิกกิจการไปจำนวนมาก รูปแบบและเนื้อหาของวรรณกรรม
ก็มีความหลากหลายอย่างมาก มีความยืดหยุ่นด้านขนบการแต่งและภาษาอย่างสูง เกิดรูปแบบการนำเสนอ
ใหม่ ๆ ซึง่ ใชเ้ ทคโนโลยีสมยั ใหม่เข้ามามีส่วนออกแบบให้เป็นวรรณกรรมของยุคสมัยอยา่ งกลมกลืน นักเขียนท่ี
มีความโดดเด่นและนักเขียนรุ่นใหม่ในยุคนี้มีจำนวนมาก เช่น วินทร์ เลียววาริณ ปราบดา หยุ่น เรวัตร์ พันธุ์
พิพัฒน์ ศิริวร แก้วกาญจน์ อังคาร จันทาทิพย์ มนตร ศรียงค์ วิสุทธิ์ ขาวเนียม โชคชัย บัณฑิต เดือนแรม
ประกายเรือง วรภ วรภา พลัง เพียงพิรุฬ ซะการีย์ยา อมตยา จเด็จ กำจรเดช โกสินทร์ ขาวงาม นายทิวา โขง
รัก คำไพโรจน์ คำ พอวา เจริญขวัญ วัฒนา ธรรมกูร ธาร ธรรมโฆษณ์ อภิชาต จันทร์แดง พรชัย แสนยะมูล
ปราชญ์ อันดามัน พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ ก้องภพ รื่นศิริ เดือนวาด พิมวนา ประชาคม ลุนาชัย รอมแพง
ปราบต์ เสาวรี จิดาภา เหลอื งเพียรสมทุ วรี พร นติ ิประภา เปน็ ตน้

• ปัจจัยทีท่ ำใหว้ รรณกรรมไทยเปลย่ี นแปลงสยู่ ุคปัจจุบนั

๑. ความเจริญด้านการศึกษา
ส ม ั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด ็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล ้ า เ จ ้ า อ ย ู ่ ห ั ว ท ร ง เ ป ็ น ผ ู ้ ท ี ่ ใ ฝ ่ พ ร ะ ท ั ย ใ น ก า ร ศ ึ ก ษ า
และทรงส่งเสริมการศึกษาเป็นประการสำคัญ พระองค์ทรงปฏิรูปการศึกษาด้วยการโปรดเกล้า ฯ
ให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะในการประพันธ์
กล่าวคือ ได้ทรงพระราชนิพนธ์และแปลบทประพันธ์ชนิดต่าง ๆ ทั้งประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง ต่อมาใน
รัชกาลที่ ๗ คอื มีผูร้ ู้หนงั สอื อ่านออกเขียนไดม้ ากข้นึ ดงั น้นั การสร้างสรรค์วรรณกรรม ซง่ึ เดมิ จำกดั อยเู่ ฉพาะใน
วังเรม่ิ ขยายตัวสสู่ ามญั ชนมากข้นึ ขณะเดยี วกันผอู้ า่ นวรรณกรรมก็ขยายตวั กวา้ งมากขนึ้
๒. การส่งนกั เรยี นไปศกึ ษาต่างประเทศ

๑๐

คนไทยเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษในสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว
โดยศึกษาจากมิชชันนารีอเมริกันซึ่งเข้ามาตั้งสำนักงานในกรุงเทพ ฯ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๑ต่อจากนัน้
มาก็มีการศึกษากันอย่างแพร่หลายจนถึงขั้นส่งนกั เรียนไปศึกษาภาษาและ วิชาการในต่างประเทศ โดยเฉพาะ
ในทวีปยุโรป ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุดหนุนการศึกษาภาษาอังกฤษเป็นอย่าง
มาก บุคคลที่ได้รับไปศึกษาต่อต่างประเทศ บุคคลเหล่านี้กลับมาก็มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกิจการของ
ประเทศในด้านต่าง ๆ ตลอดจนเป็นสื่อนำวัฒนธรรมและความคิด แบบตะวันตกและแบบแผนวรรณกรรม
อยา่ งใหม่ ไดแ้ ก่ หนังสอื พมิ พ์ เร่อื งส้ัน นวนิยาย และละครร้อง มาเผยแพรม่ ากขนึ้

๓. ความเจริญด้านการพมิ พ์และกิจการหนงั สือพมิ พ์

กิจการหนังสือพมิ พ์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดบั น้ัน เป็นส่วนสำคญั ที่ส่งเสริมให้วรรณกรรมตะวนั ตก
เข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วรรณกรรมไทย เนื่องจากหนังสือพิมพ์เป็นสนามให้แก่วรรณกรรมตะวันตก
ทั้งวรรณกรรมสื่อมวลชน เช่น ข่าว บทความ บทสัมภาษณ์ สารคดี และบันเทิงคดี ทั้งที่เป็นนิทานเรื่องแปล
ทงั้ นวนิยายและเรอ่ื งส้นั รวมถงึ รอ้ ยกรองทถ่ี อดความจากวรรณกรรมตา่ งชาติ

๔. ความเจริญทางด้านการประพนั ธ์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการประพันธ์ ทั้งร้อย
แก้วร้อยกรอง และยังทรงสนับสนุนให้มีการแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศอีกด้วย นอกจากพระองค์จะ
ทรงส่งเสริมโดยตรงแล้วยังทรงส่งเสริมการอ่านและการแต่งหนังสือทางอ้อมโดยโปรดเกล้า ฯ ให้รวมหอพระ
มณเฑียรธรรมหอพุทธสงั คหะหอสมดุ วชิรญาณ จัดตั้งเป็นหอสมดุ สาธารณะ เปดิ ให้ประชาชนได้อ่านหาความรู้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งเสริมการประพันธ์ ในสมัยของพระองค์โดยการตั้งสามัคคี
สโมสร ทวีปัญญา สโมสร และวรรณคดีสโมสรขึ้น เพื่อพิจารณาให้รางวัลหนังสือที่ดีทั้งรูปแบบและเนื้อหา
และประทับตราพระราชลัญจกรรูปพระพิฆเนศ ลงบนหนังสือ สิ่งเหล่าน้ีเป็นมูลเหตุของการรับอิทธิพล
วรรณกรรมตะวันตกในไทยดว้ ยงานพระราชนิพนธจ์ ำนวนหน่ึงเปน็ งานแบบตะวนั ตกซึ่งมีทง้ั เร่อื งแปล ดัดแปลง
และได้เกิดเป็น “การโดยเสด็จพระราชนิยม” ทำให้ขนุ นาง ขา้ ราชการ เจา้ นาย ดำเนินตามรอย พระยุคลบาท
วรรณกรรมในสมยั น้ีจึงเจริญรุ่งเรอื งมาก

๕. ความตอ้ งการรปู แบบวรรณกรรมท่สี อดคลอ้ งกับชีวิตจรงิ

จากนโยบายเปิดประเทศและทำประเทศให้ทันสมัยทีเ่ ริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นผลให้ วัฒนธรรม
ตะวันตกหล่งั ไหลเข้ามาอยา่ งรนุ แรง วทิ ยากรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ของตะวันตก ส่งผลใหว้ ิถีชีวิตของคนไทย
เปลี่ยนไป การรับอารยธรรมตะวันตกเริ่มจากชนชั้นสูง (เจ้านายและขุนนาง) ของสังคมเก่า แล้วจึงแพร่ไปยัง
สามัญชนโดยผ่านระบบการศึกษาระบบราชการและการคมนาคม วิทยาการที่ไดร้ บั มาน้ี ทำให้คนไทยรุ่นใหม่มี
ทัศนคติ ค่านิยม และแนวคิดเปลี่ยนแปลงไปจากคนไทยในสังคมเก่า มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็น

๑๑

วิทยาศาสตรม์ ากข้ึน รสนิยมในการอา่ นวรรณกรรมของคนรนุ่ ใหม่จึงเปล่ียนไป คนเหลา่ นตี้ อ้ งการวรรณกรรมท่ี
มเี นอื้ หาใกลเ้ คยี งความเป็นจรงิ ในชีวติ และใช้เหตุผลมากขน้ึ

๖. การเปล่ยี นแปลงทางการเมืองและสงั คม

การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญของไทย คือ การปฏิรูปการบริหารราชการ
แผ่นดิน และการทำให้ประเทศมีความทันสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรับมือกับ
ชาติตะวันตกท่ีกำลัง หลั่งไหลเข้ามา พระองค์จึงเริ่มการปฏิรปู ขนานใหญโ่ ดยโปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกระบบเจา้
เมืองซึ่งสืบ ทอดทางสายโลหิตมาเป็นแบบผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจากกรุงเทพ ฯ ตั้งกระทรวง ทบวง กรม
ขึ้น รับผิดชอบงาน ด้านต่าง ๆ จัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ ปฏิรูประบบสาธารณูปโภค เช่น สร้างถนน
ขุดคลอง สร้างทางรถไฟ ไฟฟ้า โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ
วรรณกรรม ซึ่งแต่เดิมสะท้อนเพียงภาพชนชั้นสูง ก็ได้ขยายวงกว้างออก ไปสู่ชนชั้นอื่น ๆ ในสังคม และมี
ลักษณะตีแผ่นสภาพสังคมอย่างตรงไปตรงมาในแนวสัจนิยม โดยความเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมดังกล่าว
ขา้ งตน้ เปน็ ผลสบื เน่ืองจากการเปล่ียนแปลงทางด้านการเมือง และสังคมเป็นสำคญั

๗. อิทธพิ ลทางดา้ นเศรษฐกจิ และความตอ้ งการของตลาด
อิทธิพลของเศรษฐกิจและความต้องการของตลาดจึงมามีบทบาทในการกำหนดรูปแบบ เนื้อหา
และแนวคิด แทนที่ราชสำนักและบุคคลชั้นสูงในสังคมเดิมคลี่คลายขยายตัวของวรรณกรรมจากอดีต
จนถงึ ปัจจุบนั ช้ใี ห้เห็นลกั ษณะสำคัญประการหนึ่งของวรรณกรรม คือ วรรณกรรมของยุคใดยอ่ มสอดคล้องกัน
สภาพแวดล้อมทางสังคมในบุคคลนั้น ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า วรรณกรรมใด ๆ ก็ตามไม่เคยเกิดขึ้น
ในความว่างเปล่า แต่จะเกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งของสังคม การศึกษา
ความเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรม จึงต้องพิจารณาควบคู่ไปกับความเปลี่ยนแปลงทาง การเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม ในยุคสมัยที่ผลิตวรรณกรรมนั้น กล่าวโดยสรุปความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวรรณกรรม
ไม่ว่าจะเปน็ รูปแบบ เนอ้ื หา หรอื แนวคดิ เป็นการเปล่ียนแปลงทค่ี วบคไู่ ปกบั พัฒนาการทางสงั คมนน่ั เอง

• คณุ คา่ ของวรรณกรรม

๑. คุณค่าทางอารมณ์ หมายถึง แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นจากผู้ประพันธ์แล้วถ่ายโยงมายังผู้อ่าน
ซึ่งผู้อ่านจะตีความวรรณกรรมนั้น ๆ ออกมาซึ่งอาจจะตรงหรือคล้ายกับผู้ประพันธ์ก็ได้ เช่น อารมณ์โศก
อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ เคียดแค้น เป็นต้น โดยวรรณกรรมจะเป็นเครื่องขัดเกลาอัธยาศัย และกล่อมเกลา
อารมณ์ให้หายความหมักหมม คลายความกังวล และความหมกมุ่น หนุนจิตใจให้เกิดความผ่องแผ้วทำให้รู้สึก
ชื่นบานและร่าเริงในชวี ติ

๒. คุณค่าทางปัญญา วรรณกรรมแทบทุกเรื่องผู้อ่านจะได้รับความคิด ความรู้เพิ่มขึ้นไม่มาก
ก็น้อยมีผลให้สติปัญญาแตกฉานทั้งทางด้านวิทยาการ ความรู้รอบตัว ความรู้เท่าทันคน ความเห็นอกเห็นใจ

๑๒

ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องให้ข้อคิดต่อผู้อ่านขยายทัศนคติให้กว้างขึ้น
บางครั้งก็ทำใหท้ ศั นคตทิ ี่เคยผิดพลาดกลบั กลายเป็นถูกตอ้ ง

๓. คุณค่าทางศีลธรรม วรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ๆ อาจจะมีคติหรือแง่คิดอย่างหน่ึง
แทรกไว้ อาจจะเป็นเนอ้ื เร่ืองหรือเป็นคติคำสอนระหวา่ งบรรทัด ซ่ึงวรรณกรรมแต่ละเรอ่ื งให้แงค่ ดิ ไม่เหมือนกัน
บางที่ผู้อ่านที่อ่านอย่างผิวเผิน จะตำหนิตัวละครในเรื่องนั้นว่า กระทำผิดศีลธรรมไม่ส่งเสริมให้คนมีศีลธรรม
แต่ถ้าพิจารณาและติดตามต่อไปผู้อ่านก็จะพบว่า ใครก็ตามที่ไม่อยู่ในศีลธรรมก็จะต้องประสบความทุกข์ยาก
ความล้มเหลว และความเกลียดชังจากสังคม อาจจะเป็นเพราะกรรมของแต่ละคน บางคนประกอบกรรมมา
ต่างกรรม ตา่ งวาระ แตอ่ าจจะพบจดุ จบในกรรมอนั เดียวกันกไ็ ด้

๔. คุณค่าทางวัฒนธรรม วรรณกรรมทำหน้าที่ผู้สืบต่อวัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหนึ่ง
ไปสู่คนอีกรุน่ หน่ึง เปน็ สายใยเชอื่ มโยงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั ของคนในชาติ ในวรรณกรรมมักจะบ่งบอก
คตขิ องคนในชาตไิ ว้

๕. คุณค่าทางประวัติศาสตร์ การบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มุ่งจดแต่ข้อเท็จจริงไม่ช้าก็อาจจะเบื่อ
หน่าย หลงลืมได้ ดังนั้น การใช้วรรณกรรมเป็นเอกสารอ้างอิงทางประวัติประวตั ิศาสตร์จึงอาจคลาดเคลื่อนได้
วรรณกรรมจึงถือเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพในอดีตของแตล่ ะชาติไดอ้ ย่างดีทีส่ ุด เรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์
หลายเรอื่ ง ศกึ ษาไดจ้ ากวรรณกรรมไมม่ ากกน็ ้อย

๖. คุณค่าทางจิตนาการ เป็นการสร้างความรู้สึกนึกคิดที่ลึกซึ้ง จิตนาการต่างกับอารมณ์ เพราะ
อารมณ์คือ ความรู้สึก ส่วนจิตนาการ คือ ความคิด เป็นการลับสมอง ทำให้เกิดความคิดริเริ่ม ประดิษฐ์กรรม
ใหม่ขึ้นมาก็ได้ จิตนาการจะทำให้ผู้อ่านเป็นผูม้ องเห็นการณ์ไกล จะทำสิ่งใดก็ได้ทำด้วยความรอบคอบ โอกาส
จะผิดพลาดมีน้อย นอกจากนั้นจิตนาการเป็นความคิด ฝันไปไกลจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะน้ัน
อาจจะเป็นความคิดถึงสิ่งที่ล่วงเลยมานานแล้วในอดีต หรือสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย โดยหวังว่าอาจจะเกิดขึน้
ในอนาคตก็ได้

๗ . ค ุณ ค ่าทางทักษะเชิงวิจารณ์ การอ่านมากเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ความคิด
และประสบการณ์ให้แก่ชีวิตคนที่มีความรู้แคบมีความคิดตื้น ๆ และประสบการณ์ในชีวิตเพียงเล็กน้อย
มกั จะถูกเรยี กว่า คนโง่ ส่วนคนทม่ี ีความรู้มากแต่ไมร่ ้จู กั วเิ คราะหว์ ิจารณ์นัน้ อาจจะหลงผดิ ทำผดิ ได้ วรรณกรรม
เปน็ สิ่งย่วั ยใุ ห้ผอู้ ่านใชค้ วามคดิ นกึ ตรกึ ตรองตัดสินสิ่งใดดีหรอื ไม่ดี

๘. คุณค่าทางการใช้ภาษา เพราะการเขียนเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการใช้ภาษา
เพือ่ การสื่อสาร เพ่อื รสชาติทางภาษา เพอ่ื จงู ใจเพื่อความตดิ ใจและประทบั ใจ ทำให้ผูอ้ ่านสามารถสงั เกต จดจำ
นำไปใช้ก่อให้เกิดการใช้ภาษาที่ดี เพราะการเห็นแบบอย่างทั้งที่ดี และบกพร่องทั้งการใช้คำ การใช้ประโยค
การใชโ้ วหาร เป็นต้น

๙. คุณค่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างวรรณกรรม และศิลปกรรมด้านตา่ ง ๆ วรรณกรรม
ที่ผู้เขียนเผยแพร่ออกไปบ่อยครั้งที่สร้างความประทับใจ และแรงบันดาลใจ ให้เกิดผลงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น
หรอื ภาพวาดของจกั รพันธ์ุ โปษยกฤต ส่วนมากจะได้แรงบันดาลใจจากวรรณคดี

๑๓

• ประโยชนข์ องการศึกษาวรรณกรรม

๑. ประโยชน์จากการศึกษาวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี การศึกษาวรรณกรรมประเภทบนั เทิงคดี
ย่อมจะทำให้ผู้อ่านได้รับความสนุกเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์สะเทือนใจ อาจเป็นอารมณ์รัก สงสาร เห็นใจ
ขบขัน โกรธ หรือแค้น ฯลฯ และนึกฝันไปตามท้องเรื่อง โดยดื่มด่ำเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
ของผู้เขียน อาจจะเป็นเรื่องความสวยความงาม ความเก่งกล้าสามารถของตัวละคร หรือความลี้ลับมหัศจรรย์
ของศาสตร์บางแขนง เป็นต้น นอกจากนี้ผู้อ่านอาจมีประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น เพราะได้รู้จักประสบการณ์
จำลองของชีวติ ในแง่มมุ ต่าง ๆ

๒. ประโยชน์จากการศึกษาวรรณกรรมประเภทสารคดี ในการศึกษาวรรณกรรมประเภท
สารคดี ผู้อ่านย่อมจะได้ความรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านสภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนในบ้านเมืองหรือความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ ๆ
ของโลก ขณะเดียวกันก็อาจจะได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปะการเขียนของผู้แต่งและทัศนะเชิงวิจารณ์
ของผแู้ ตง่ ไปพรอ้ มกนั ดว้ ย


Click to View FlipBook Version