การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดย นางสาวอุไร ชื่อมี ตำแหน่ง ครูอัตราจ้าง โรงเรียนศรีบุณยานนท์ จังหวัดนนทบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
คำนำ ผู้รายงานเลือกวิชา วิทยาศาสตร์ 4 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยใน การสรุปบทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เนื่องจากต้องการให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ของมนุษย์และสัตว์ สูงขึ้น การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ใน ครั้งนี้ ผู้รายงานหวังว่านักเรียนจะได้พัฒนากระบวนการคิด มีเจตคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ 4 และทำให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ 4 สูงขึ้น ผู้รายงานขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนศรีบุณยานนท์ และเพื่อนร่วมงานทุกท่านที่ให้ ความอนุเคราะห์ในการจัดทำรายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สำเร็จลงด้วยดี อุไร ชื่อมี
เรื่อง : รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้รายงาน : นางสาวอุไร ชื่อมี ปีที่รายงาน : พ.ศ. 2566 บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 จำนวน 39คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566ของโรงเรียนศรีบุณยานนท์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ซึ่งได้จากวิธีการสุ่มแบบเจาะจง จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน ผลการศึกษาสามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นปีมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อาจเป็น เพราะการใช้ผังมโนทัศน์เป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิด และเกิดการเรียนรู้ อย่างเข้าใจที่ แท้จริงเพราะมีกระบวนการที่ให้นักเรียนสามารถค้นพบหลักความคิดรวบยอด และการสรุปผลได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนในการเป็นนักคิดที่มีคุณภาพ รู้จักการวิเคราะห์และเชื่อมโยง สามารถตีความ และตีกรอบองค์ความรู้ได้ มีความรับผิดชอบโดยสังเกตได้จากนักเรียนได้ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมโดย ทำผังมโนทัศน์มาส่งตามกำหนดเวลาและตั้งใจทำผังมโนทัศน์อย่างสวยงาม
กิตติกรรมประกาศ รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม นี้ สำเร็จได้ด้วยดีเพราะผู้รายงานได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจาก ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีบุณยานนท์ ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่ให้ความกรุณาในการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้ได้แก่ นางสาวนุชรา กุลรักษา ตำแหน่งครู และนางสาวพฤภา หอมยก ข้าราชการ บำนาญ โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ขอขอบพระคุณครูทุกท่านในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียน ศรีบุณยานนท์ ที่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นกำลังใจแก่ผู้รายงานมาโดยตลอด ความดีทั้งหลายที่เกิดจากการรายงานครั้งนี้ ผู้รายงานขอมอบให้เป็นเครื่องบูชาบุพการี บูรพาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่าน อุไร ชื่อมี
สารบัญ หน้า คำนำ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา 26 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 31 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ 33 บรรณานุกรม 66 ภาคผนวก 71
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา การเรียนการสอนเป็นกระบวนการเพื่อหวังผลเชิงคุณภาพ ให้ได้ผู้เรียนที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนอง การพัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนแบบมีคุณภาพทั้งในด้านความรู้ ทักษะและ สมรรถภาพสมองในด้านต่าง ๆ ซึ่งโดยปกติ จะพิจารณาจากคะแนนสอบที่กำหนดให้ หรือคะแนนที่ได้จาก งานที่ครูมอบหมาย หรือทั้งสองอย่าง บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียน การสอน ที่จะส่งผลต่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ครู อาจารย์ การพัฒนาการเรียนการสอนของครูผู้สอน จึงมี ผลกระทบทางตรงกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมาก การเรียนการสอนเป็นองค์ประกอบ หนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน กล่าวคือนักเรียนที่เรียนดีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มี สติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก แต่ต้องเป็นคนที่ต้องรู้จักใช้เวลา ต้องรู้จักวิธีเรียนวิธีทำงานให้ได้ผลดี การเรียน การสอนที่ดี จะช่วยให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถสร้างเสริมเติมเต็ม กระบวนการคิดมีความรู้ และทักษะที่จำเป็น ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาของชาติ โดยเน้น ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ สรุปและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ ใช้ได้อย่าง เหมาะสมสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต ดังนั้น ครูผู้สอนควรพัฒนาเทคนิคการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้มีความคิดรวบยอด หลักที่ครอบคลุมตามมาตรฐานการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เหตุผลประกอบการ ตัดสินใจและมีมุมมองได้อย่างหลากหลาย สามารถอธิบายและอ้างอิงได้บนพื้นฐานที่มีอยู่อย่างเพียงพอ โดยครู ผู้สอนมีบทบาทในการวางแผนการเรียนรู้ กระตุ้น แนะนำส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการ แสวงหาความรู้ โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำ เป็น รักการอ่านและ เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องผสมผสานสาระความรู้ต่าง ๆ ได้สัดส่วนที่สมดุลกันส่งผลให้ ผู้เรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น (พรระวี ภักดีณรงค์, 2555) จากการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เมื่อให้นักเรียนสรุปบทเรียนหลังจากการเรียนการสอน นักเรียนจะใช้วิธีขีดเส้นใต้ ใจความสำคัญ ๆ แล้วนำข้อความนั้น ๆ มาเขียนเรียงต่อกัน โดยไม่มีการเชื่อมโยงเนื้อหาใช้ภาษา ของตนเอง ทำให้เนื้อหาและใจความสำคัญไม่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ส่งผลให้นักเรียนจดจำเนื้อหาได้ ในระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการช่วยให้ผู้เรียนสรุปสาระสำคัญได้ โดยการใช้
ผังมโนทัศน์ ระบายสีให้สวยงาม เพราะจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ พอสรุปได้ว่าผังมโนทัศน์ เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้แบบจัดระบบความคิด แล้วนำมาวิ เคราะห์เนื้อหาเพื่อสรุปออกมาเป็นเนื้อหาตามความเข้าใจของ ผู้เรียน ช่วยเพิ่มพูนความจำ สามารถตีความและตีกรอบองค์ความรู้ได้ อีกทั้งการเรียนโดยใช้ ผังมโนทัศน์ จะช่วยให้ผู้เรียนสนใจเรียน รับรู้และเรียนรู้ได้ดีขึ้น เพราะการใช้ผังมโนทัศน์เป็น การจัดกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ และเป็นการเชื่อมโยงกระบวนการคิดอย่างต่อเนื่อง สามารถ เชื่อมโยงความรู้และกระบวนการคิดไปยังองค์ความรู้อื่น เพื่อให้เกิดเป็นความรู้ในองค์รวมและเป็นความรู้ ถาวร ได้แสดงออกทางศิลปะอย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการนำเอาผังมโนทัศน์มาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนช่วยในการ สรุปบทเรียนจะทำให้เกิดการเรียนรู้ตามความสามารถของผู้เรียนอย่างสร้างสรรค์ และเป็นระบบ เกิดการเชื่อมโยงความคิดอย่างต่อเนื่องเกิดเป็นองค์ความรู้ถาวรขึ้น จากเหตุผลที่กล่าวมา จึงทำให้ผู้วิจัย สนใจการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ขึ้นมาเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.2.1 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการ สรุปบทเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 ขอบเขตประชากร 1.3.1.1 ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน ศรีบุณยานนท์ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 148 คน
1.3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 คน ซึ่งได้จากวิธีการสุ่มแบบ เจาะจง 1.3.2 ขอบเขตเนื้อหาวิชาที่ใช้วิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของ มนุษย์และสัตว์ที่ทำการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งมีรายละเอียดของเนื้อหาดังนี้ 1.3.2.1 บทที่ 2 เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ประกอบด้วย 6 หัวข้อ ได้แก่ 1) ระบบย่อยอาหาร 2) ระบบหมุนเวียนเลือด 3) ระบบหายใจ 4) ระบบขับถ่าย 5) ระบบประสาทและการแสดงพฤติกรรม 6) ระบบสืบพันธุ์ เมื่อทำการสอนจบแล้ว แต่ละหัวข้อจะมีแบบฝึกหัดให้นักเรียนฝึกทำ ถ้าการเรียนใน บทเรียนได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จะมีการให้นักเรียนสรุปในรูปผังมโนทัศน์ในแต่ละหัวข้อ และทำการสอบเพื่อ ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 ครั้ง 1.3.3 ขอบเขตตัวแปร 1.3.3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปเนื้อหา เรื่อง ระบบต่าง ๆ ใน ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ 1.3.3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ 1.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สร้างกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม 1.5 สมมติฐานการวิจัย การใช้ผังมโนทัศน์สรุปบทเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงขึ้นหลังจาก ใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1 มโนทัศน์ (Concept Map) หมายถึง ความคิด ความเข้าใจที่สรุปเกี่ยวกับการจัด กลุ่ม สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดจากการสังเกต หรือการได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้น แล้วใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน จัดเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะ ทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น 1.6.2 กรอบมโนทัศน์ หมายถึง แผนผังหรือแผนภาพ ที่แสดงความสัมพันธ์ของมโน ทัศน์ เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีระบบ และเป็นลำดับขั้น โดยอาศัยคำหรือข้อความเป็นตัวเชื่อมให้ ความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ต่างๆเป็นไปอย่างมีความหมาย ซึ่งอาจจะมีทิศทางเดียว สองทิศทาง หรือ มากกว่าก็ได้ กรอบมโนทัศน์ในบางครั้งอาจเรียกว่า “แผนภาพโครงเรื่อง” 1.6.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หมายถึง ความชำนาญและความคล่องแคล่ว ใน การคิดและปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และใช้ในการ แก้ปัญหาต่าง ๆ 1.6.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนทดสอบก่อนและหลังการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.7.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์รายวิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงขึ้น 1.7.2 ได้สื่อการเรียนการสอน และสามารถนำผังมโนทัศน์มาใช้ทบทวนบทเรียนได้ อีกทางเลือก หนึ่งนอกเหนือจากตำราเรียน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการจดจำเนื้อหาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ 17.3 เป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ผังมโนทัศน์ ช่วยสรุป บทเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาอื่น ๆ อีกต่อไป
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าไว้ ดังต่อไปนี้ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผังมโนทัศน์ 2.1.1 ความหมายของผังมโนทัศน์ 2.1.2 กระบวนการของ Concept Mapping 2.1.3 หลักการในการเขียนผังมโนทัศน์ 2.1.4 ขั้นตอนการสร้างผังมโนทัศน์ 2.1.5 รูปแบบของผังมโนทัศน์ 2.1.6 รูปแบบการใช้ผังมโนทัศน์ 2.1.7 บุคคลทางการศึกษากับการใช้ผังมโนทัศน์ 2.1.8 ข้อดีของการใช้ผังมโนทัศน์ช่วยสอน 2.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ 2.2.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม 2.2.2 ทฤษฎีความพึงพอใจ 2.2.3 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ 2.2.4 ทฤษฎีแรงจูงใจ 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ผังโมทัศน์ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผังมโนทัศน์ 2.1.1 ความหมายของผังมโนทัศน์ ประชาสรรณ์ แสนภักดี (2555) ได้กล่าวถึงความหมายของผังมโนทัศน์ไว้ว่า การเขียน ผังมโนทัศน์ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Concept Mapping เป็นเครื่องมือที่จัดอยู่ในกลุ่มของ การ สร้างภาพความคิด (Visualize Thinking) ที่ได้รับความนิยม และนำไปใช้หลากหลาย โดยเฉพาะการ นำไปใช้ในห้องเรียนของโรงเรียนในต่างประเทศ มีคำที่คล้าย ๆ กัน ก็คือ Mind Mapping ซึ่งเป็นการ เขียนผังความคิด นอกจากนั้นยังมีส่วนของ MindScape หรือแผนภาพของเขตความคิด ทั้งสามคำ หรือสามเครื่องมือนี้มีบางอย่างที่ เกี่ยวข้องกันโดยส่วนที่ซ้อนทับกันของเครื่องมือทั้งสามนี้ก็คือ เป็นการ ถ่ายทอดภาพในใจ (Mental Model) ออกมาสู่ภาพที่มองเห็น หรือจับต้อง หรือจัดการได้ (Visualize
Thinking) หรือในแง่ ของการจัดการความรู้ (Knowledge Management - KM) มันก็คือ การแปลง ความรู้ ที่เป็น Tacit Knowledge ออกมาเป็น Explicit Knowledge นั่นเอง 2.1.2 กระบวนการของ Concept Mapping เจนเนตร มณีนาคและคณะ (2546 อ้างโดย ประชาสรรณ์ แสนภักดี , 2555) ได้พูดถึง กระบวนการเขียนผังมโนทัศน์ ไว้ในหนังสือสร้างองค์กรอัจฉริยะ ในยุคโลกาภิวัฒน์ไว้ว่า กระบวนการ เขียนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) คือ กระบวนการที่จะช่วยให้กลุ่มคนวิเคราะห์ปัญหา วิเคราะห์ โครงการใหม่ ๆ ด้วยการระดมความคิด (Brainstorming) มีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากกลุ่ม โดย แต่ละคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ ในภาพที่ 2 แสดงให้เห็นกระบวนการของ Concept Mapping ได้อย่างชัด ภาพที่ 2กระบวนการ Concept Mapping ที่มา : William M.K. Trochim (2007)
เจนเนตร มณีนาค และคณะ (2546 อ้างโดย ประชาสรรณ์ แสนภักดี , 2555) ได้กล่าวถึงขั้นตอน ของกระบวนการ Concept Mappingไว้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. Preparation Step – ขั้นของการเตรียมการ เป็นขั้นตอนที่ผู้ริเริ่มมีความคิดใหม่ ๆ หรือมีโครงการใหม่ ๆที่ต้องการจะทำ การวิเคราะห์ ผู้ริเริ่มนี้จะเป็นผู้รวบรวมสมาชิกภายในกลุ่ม (สอดคล้องกับ ชุมชนนักปฏิบัติ ( Community of Practice - CoP) ของการจัดการความรู้ -KM) จะเป็นจำนวนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับ ลักษณะปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข จากนั้นจะทำตารางนัดหมายไว้คร่าว ๆ หลังจากนั้นจะทำการนัดหมาย การประชุมครั้งแรก ขั้นตอนนี้จะเป็นการกล่าวถึงโครงการ หรือความต้องการของโครงการ วัตถุประสงค์ คืออะไร ต้องการผลลัพธ์อะไรบ้าง และการทำงานร่วมกันทางความคิดจะเป็นอย่างไร 2. Generation Step - ขั้นของการสร้างความคิด คือการที่ทุกคนในกลุ่มเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมา ข้อมูลที่ได้อาจจะ มาจากตำรา งานวิจัย หรือแหล่งความรู้ ( Sources of Knowledge) ที่หลากหลาย อาทิ ห้องสมุด อินเตอร์เน็ต หนังสือ วารสารวิชาการ ฐานข้อมูลความรู้ต่าง ๆ หรือบางครั้งอาจจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ ( Center of Excellence - CoE) ขั้นตอนนี้จะ สนใจที่จำนวนของความคิดมากกว่าคุณภาพของความคิด ผู้นำการประชุมหรือวิทยากร กระบวนการ (Facilitator) จะมีบทบาทที่สำคัญในช่วงเวลานี้ เป็นอย่าง มากที่จะกระตุ้นให้ สมาชิกนำเสนอ ความคิดเห็น 3. Structure Step –ขั้นการจัดโครงสร้างความคิด สมาชิกในกลุ่มจะช่วยกันจัดกลุ่มของความคิด ( Ideas Grouping) รวมทั้งการ จัดลำดับช่วงชั้นของความคิด (Basic Ordering Ideas - BOIs) 4. Representation Step – การวิเคราะห์ผังมโนทัศน์ เป็นขั้นตอนที่จะวิเคราะห์คุณภาพของความคิด วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ( Relationship) วิเคราะห์ประเด็น เชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้อง รวมทั้งวิเคราะห์ส่วนขาด หรือสิ่งที่ตกหล่นยัง ไม่มีใครมอง 5. Interpretation Step –การตีความและแปลความหมาย เป็นขั้นตอนในการทำความเข้าใจ และแปลผลของผังมโนทัศน์ เป็นขั้นตอนที่ จะต้องนำผังมโนทัศน์ออกมาสื่อสารให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่าย ไม่สำคัญว่าเขียนมันออกมาได้ แต่สำคัญว่า เขียนแล้ว ชาวบ้านอ่านเข้าใจด้วย ซึ่งตัวชาวบ้านเองก็จะต้องฝึกอ่าน ผังมโนทัศน์ให้เป็นด้วย 6. Utilization Step–การนำไปใช้ประโยชน์
เป็นการนำ Concept Mapping ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน เช่น การนำไปใช้เป็น Strategic Map หรือการนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิด ( Conceptual framework) ใน การดำเนินงานวิจัย หรือวิเคราะห์เพื่อ แก้ปัญหาขององค์กรหรือหน่วยงาน จากความหมายและกระบวนการของ Concept Mapping สามารถสรุปได้ว่า การ เขียนผังมโนทัศน์เป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการความรู้ที่ได้รับให้เป็นความรู้ที่สามารถเขียนออกมาเป็นแผนภาพ โดยมีกระบวนการอย่างเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่การเตรียมการการสร้างความคิด การจัดโครงสร้างความคิด การวิเคราะห์ผังมโนทัศน์ การตีความและแปลความหมาย ไปจนถึงการนำ Concept Mapping ไปใช้ ประโยชน์ เช่น การใช้เป็นกรอบแนวคิด หรือวิเคราะห์เพื่อ แก้ปัญหาขององค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ 2.1.3 หลักการในการเขียนผังมโนทัศน์ การเขียนแผนที่มโนทัศน์ (Concept Mapping) มีหลักการคือ การเชื่อมโยงความคิด (Node) ด้วยเส้นเชื่อมโยง (Relationship) ที่มีคำอธิบายบนเส้นความสัมพันธ์ (Label) โดยเป็นการ อธิบายความสัมพันธ์เพื่อแสดงทิศทางของความสัมพันธ์ ด้วยทิศทางของหัวลูกศร ( Direction) (ประชาสรรณ์ แสนภักดี , 2555)โดยสามารถอธิบายออกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ 1. เขียนตัวหนังสือเป็นแบบตัวพิมพ์ใหญ่ กรณีภาษาอังกฤษหรือตัวหนาและเน้นคำกรณี เป็นภาษาไทยสำหรับประเด็นความคิด (Node) 2. ใช้กระดาษแบบไม่มีเส้น (Unlined paper) เพื่อไม่ให้เส้นที่อยู่บนกระดาษ มาขีด กรอบความคิด หากเลี่ยงไม่ได้ก็ให้เส้นบรรทัดอยู่ในแนวตั้ง (Vertical) 3. เชื่อมคำที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันด้วยเส้น ( Link line) หากมีความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็ แตกเส้นเชื่อมออกไปด้านข้างดังในภาพข้างบน 4. เขียนต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องหยุดส่งผ่านความคิดให้เกิดความลื่นไหลไปเรื่อย ๆไม่ต้องหยุดว่าความคิดควรจะอยู่ตรงไหนเขียนลงไปก่อน (เราสามารถเคลื่อนย้ายหรือลากเส้น ความสัมพันธ์ได้ทีหลัง) 5. เขียนทุกอย่างลงไปโดยไม่ต้องตีความ หรือพยายามหาคำอธิบายใด ๆ เพราะ กระบวนการจะหยุดชะงักในการคิด 6. หากถึงทางตันของการคิดก็ลองมองไปรวม ๆ ทั้งภาพผัง มโนทัศน์เพื่อดูว่ายังมีส่วน ใดตกค้างหรือหลงเหลือที่ยังไม่ได้เขียนลงไปหรือไม่ 7. บางครั้งอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ สี หรือรูปทรง (shape) เพื่อแยกแยะหรือจัด หมวดหมู่ความคิด
2.1.4 ขั้นตอนการสร้างผังมโนทัศน์ 1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน 2. เขียน/วาดมโนทัศน์ หลักตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ หากเป็นข้อความให้เขียนคำ บรรจงตัวใหญ่ ๆ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ หากเป็นภาพวาดให้ลงสีสันให้เด่นสะดุดตา โดยใช้ สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต เพราะจะช่วยให้เราสามารถประหยัดเวลาได้ เมื่อย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง 3. เขียน/วาดมโนทัศน์รองที่เป็นหัวเรื่องสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักไป รอบ ๆโดยให้เขียนเป็นคำที่มีลักษณะเป็นหน่วยหรือเป็นคำสำคัญ ( Key Word) สั้น ๆ ที่มีความหมายบน เส้น ซึ่งเส้นแต่ ละเส้นจะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลาง ไม่ควรเกิน 8 กิ่ง 4. เขียน/วาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รอง แตกออกไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ กิ่ง โดยเขียนคำ หรือวลี บนเส้นที่แตกออกไป กรณีใช้สีทั้งมโนทัศน์รองและย่อยควรเป็นสีเดียวกัน 5. พยายามใช้ภาพหรือสัญลักษณ์ สื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด เป็น การช่วยการทำงานของสมองดึงดูดสายตาและช่วยความจำ 6. ลงสีและตกแต่งผังมโนทัศน์ ให้สวยงาม เพราะสีช่วยยกระดับความคิด เพลินตา และ ช่วยกระตุ้นสมองซีกขวา 7. คำ วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้นอาจใช้วิธีการทำให้เด่นเช่นการล้อม กรอบหรือใส่กล่องเป็นต้น 8. เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ควรปล่อยให้สมองคิดอย่างมีอิสระมากที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้ 2.1.5 รูปแบบของผังมโนทัศน์ (Type of Concept Mapping) การเขียน Concept Map สามารถเขียนได้หลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามความถนัด และวัตถุ ประสงค์ของการใช้งาน ช่วยให้เราประยุกต์เรื่องต่าง ๆให้เกิดประโยชน์กับการทำงานได้เป็น อย่างดี โดยแสดงให้เห็นในภาพ ที่ 3 ถึงภาพที่ 8 ดังต่อไปนี้
1. Spider Concept Map แบบใยแมงมุมหรือดาวกระจาย 2. Hierarchy Concept Map แบบช่วงชั้นของความคิด ภาพที่ 3การเขียนมโนทัศน์แบบ Spider Concept Map ภาพที่ 4การเขียนมโนทัศน์แบบ Hierarchy Concept Map
3. Flowchart Concept Map แบบการ Flow ของงานก่อนหลัง 4. System Concept Map แบบเชิงระบบเชื่อมโยง 5. Picture Landscape Concept Map แบบแผนภาพ ภาพที่ 5การเขียนมโนทัศน์แบบ Flowchart Concept Map ภาพที่ 6การเขียนมโนทัศน์แบบ System Concept Map
ภาพที่ 7การเขียนมโนทัศน์แบบ Picture Landscape Concept Map ภาพที่ 8การเขียนมโนทัศน์แบบ Multidimensional / 3D Concept Map 6. Multidimensional / 3-D Concept Map แบบสามมิติ
ส่วนการวาดตกแต่ง Concept Map นั้นมีทั้งรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบไม่มีรูปภาพประกอบ ดังแสดงในภาพที่ 9 และ แบบมีรูปภาพประกอบ ดังแสดงไว้ในภาพ ที่ 10 แต่โดยทั่วไปแล้วผู้สอนมักจะให้นักศึกษาหรือผู้เรียน ทำผังมโนทัศน์ แบบมีรูปภาพประกอบ เพราะเป็นการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่าผังมโนทัศน์แบบไม่มีรูปภาพประกอบ ภาพที่ 9ผังมโนทัศน์แบบไม่มีรูปภาพประกอบ
ภาพที่ 10ผังมโนทัศน์แบบมีรูปภาพประกอบ
2.1.6 รูปแบบการใช้ผังมโนทัศน์ 2.1.6 .1 ใช้ระดมพลังสมอง 2.1.6 .2 ใช้นำเสนอข้อมูล 2.1.6 .3 ใช้จัดระบบความคิดและช่วยความจำ 2.1.6 .4 ใช้วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่าง ๆ 2.1.6 .5 ใช้สรุปหรือสร้างองค์ความรู้ 2.1.7 บุคคลทางการศึกษากับการใช้ผังมโนทัศน์ 2.1.7 .1 อาจารย์/ครู (Teacher/Lecturer) กลุ่มนี้จะใช้ ในการสรุปกรอบมโนทัศน์ของเนื้อหา วิชาการที่จะใช้ ในการเรียนการสอน รวมทั้งการผลิตเอกสารประกอบการเรียนการสอนการบรรยายเรา จะพบเห็นการใช้ Concept Mapping จำนวนมาก เช่นผังเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในวิชาชีวะวิทยาหรือวิชาเคมี ทางด้านการแพทย์ เป็นต้น 2.1.7.2 นักเรียน/นิสิต/นักศึกษา (Student/Learner) กลุ่มนักเรียนนิสิตนักศึกษาจะได้ประโยชน์ จากการใช้ผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) ในด้านการสรุปความเข้าใจของตนเองที่มีต่อเนื้อหาวิชาการ ที่กำลังเรียนอาจจะใช้ ในขั้นตอนของการจดบันทึก การฟังบรรยายหรือการสรุปบทเรียนและความเข้าใจ จากการอ่านเอกสาร หนังสือวิชาการ การเข้าฟังการบรรยาย ซึ่งถือเป็น การ เรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อย่างแท้จริง เพราะผังมโนทัศน์ จะช่วยเสริมสร้างให้นักศึกษา มีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้ 1) เป็นนักคิดที่มีคุณภาพ รู้จักการวิเคราะห์และเชื่อมโยง 2) สามารถตีความและตีกรอบองค์ความรู้ได้ 3) มีความรับผิดชอบและเป็นฝ่ายรุกต่อการเรียนรู้ 4) สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเป็นระบบแต่ ยืดหยุ่น 5) สามารถขยายความมองออกไปนอกห้องเรียนนอกสถาบันการศึกษา 6) เป็นผู้ที่มองรอบด้านที่เข้าใจและมีทัศนะที่เป็นบวกต่อข้อมูลและข้อ โต้แย้ง 7) เห็นความคิดของตนเองและพร้อมที่จะแสดงความคิดเห็นสื่อสารผู้อื่นได้อย่าง ชัดเจนและดีขึ้น 2.1.8 ข้อดีของการใช้ผังมโนทัศน์ช่วยสอน 2.1.8.1 ช่วยให้ผู้เรียนสนใจเรียน 2.1.8.2 รู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องธรรมชาติสร้างสรรค์สนุกสนาน 2.1.8.3 ไม่ซ้ำซาก ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ง่าย
2.1.8.4 ผู้เรียนรับรู้และเรียนรู้ได้ดีขึ้น 2.1.8.5 ผู้เรียนสามารถเรียนให้ เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าเดิม 2.1.8.6 กระดาษลดลง 2.1.8.7 ลดปัญหาการนำเสนอความคิดที่ยาก 2.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ 2.2.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom 1976) (อ้างจากปรียาพรวงศ์อนุตร โรจน์ , 2535 : 115 – 117 ) บลูม ได้เสนอทฤษฎีการเรียนรู้ในโรงเรียนไว้ ดังนี้ 2.2.1.1 พื้นฐานของผู้เรียนเป็นหัวใจในการเรียน ผู้เรียนแต่ละคนจะเข้าชั้น เรียนด้วยพื้นฐานที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ต่างกัน ถ้าเขามีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะไม่แตกต่างกัน 2.2.1.2 คุณลักษณะของแต่ละคนเช่นความรู้ที่จำเป็นก่อนเรียนแรงจูงใจใน การเรียนและคุณภาพของการสอนเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ เพื่อให้แต่ละคนและทั้งกลุ่ม มีระดับการเรียนรู้ที่ สูงขึ้น องค์ประกอบที่จะทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษาจะประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1) อุปกรณ์การสอน (Instructional Material) อุปกรณ์ให้สอนผู้เรียนได้ สะดวกและเข้าใจง่าย 2) กระบวนการสอนของครู (Teaching Process) จากวิธีการถ่ายทอดความรู้ ของครูให้ผู้เรียนเข้าใจ ภาพที่ 11 ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม
3) กระบวนการของผู้เรียนในการเรียนการสอน (Student Processing of Instruction) เน้นกระบวนการเรียนรู้ของตัวผู้เรียน โดยอาศัยความตั้งใจ เอาใจใส่และความสามารถใน การรับรู้และเรียนรู้ 4 ) สภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ทา ง บ้ า นแ ละกา รย อม รั บ ข องสั งคม ( Home Environmentand Social Support System) เช่น เพื่อน วิทยุ โทรทัศน์ หนังสื่อพิมพ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อ การเรียนรู้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ โดยการฟัง การพบเห็นการติดต่อบางครั้งเกิดการเรียนรู้โดยไม่ รู้ตัว และบางครั้งก็เป็นการเลียนแบบ วัลลภจันทร์ ตระกูล (2543 : 2 – 3) ได้กล่าวไว้ว่าการเรียนการสอนในห้องเรียนจะมีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอนวิธีการสอน สื่อการสอน ผู้เรียนและสิ่งอำนวยความสะดวก องค์ประกอบเหล่านี้ จะมี ความสัมพันธ์ กัน ภาพที่ 12 องค์ประกอบการเรียนรู้ของบลูม ภาพที่ 13แผนภูมิองค์ประกอบในการเรียนการสอน
2.2.2 ทฤษฎีความพึงพอใจ (Satisfactiontheory) ความพึงพอใจ (satisfaction) เป็นทัศนคติที่เป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็น เป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ ค่อนข้างสลับซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดความพึงพอใจโดยตรงแต่ สามารถวัดได้โดยทางอ้อมจากการ วัดความคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้น และการแสดงความคิดเห็นนั้นจะต้องตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง จึงจะ สามารถวัดความพึงพอใจนั้นได้ ราชบัณฑิตยสถาน (2546) กล่าวไว้ว่า “พึง” เป็นคำช่วยกริยาอื่น หมายความว่า “ควร” เช่น พึงพอ หมายความว่า พอใจ ชอบใจ และคำว่า “พอ” หมายความว่า เท่าที่ ต้องการ เต็มความต้องการ ถูกชอบ เมื่อนำคำสองคำมาผสมกัน “พึงพอใจ” จะหมายถึง ชอบใจ ถูกใจ ตามที่ต้องการ Skinner (1972 อ้างโดย อุทัยพรรณ สุดใจ, 2544) มีความเห็นว่า การปรับพฤติกรรมไม่ สามารถทำได้โดยเทคโนโลยีทางกายภาพและชีวภาพ แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีของพฤติกรรม คือ เสรีภาพ และความภาคภูมิ จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของการศึกษา โดยการทำให้มีความเป็นตัวของตัวเอง รับผิดชอบต่อการกระทำเสรีภาพ คือ ความเป็นอิสระจากการควบคุมวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยน หรือปรับปรุง รูปแบบใหม่ให้แก่สิ่งแวดล้อมนั้น โดยทำให้อำนาจการควบคุมอ่อนลง จนเกิดความรู้สึกว่าตนเองมิได้ถูก ควบคุม หรือต้องแสดงพฤติกรรมใด ๆ ที่เนื่องมาจากการกระทำที่ควรได้รับการยกย่อง ยอมรับมากเท่าไร จะต้องเป็นการกระทำที่ปลอดปล่อยจากการบังคับหรือสิ่งควบคุมใด ๆ มากเท่านั้น นั่นคือ สัดส่วน ปริมาณของการยกย่อง ยอมรับที่ให้แก่ การกระทำ จะเป็นส่วนกลับกับความเด่น หรือความสำคัญของ สาเหตุ ที่จูงใจให้กระทำ นอกจากนี้ Skinner ได้ให้ข้อคิดกับครู ว่าจงทำให้เด็กเกิดความเชื่อว่า เขาอยู่ใน ความควบคุมของตัวเขาเอง แม้ผู้ควบคุมที่แท้จริง คือ ครู 2.2.3 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ (Hierarchy of needs theory) Abraham S.Maslow (1970 อ้างโดย สำนักบริการข้อมูลและสารสนเทศ , 2552)ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of needs theory) ตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุดเป็น 5 ขั้น โดย มาส-โลว์ ได้จำแนกความ ต้องการทั้ง 5 ขั้นของมนุษย์เป็น 2 ระดับใหญ่ ๆ คือระดับต่ำ (Lower-order) ได้แก่ ความต้องการ ทางกายภาพและความต้องการความมั่นคงสำหรับความต้องการในระดับสูง (Higher-order Needs)ได้แก่ ความต้องการทางสังคม ความต้องการได้รับการยกย่องและความต้องการความสำเร็จในชีวิตซึ่งความ แตกต่างของความต้องการทั้ง 2 ระดับ คือ ความต้องการในระดับสูง เป็นความพึงพอใจที่ 10 เกิดขึ้น ภายในตัวบุคคลขณะที่ความต้องการในระดับต่ำเป็นความพึงพอใจที่เกิดจากภายนอก เช่น ค่าตอบแทน เป็นต้น
1. ความต้องการระดับกายภาพ (Physiological Needs) เป็นความต้องการทางร่างกายขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่จำเป็น ต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ อากาศ น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ความต้องการทางเพศ เป็นต้น 2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety or Security Needs) เมื่อความต้องการด้านร่างกายได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการ ความมั่นคงปลอดภัย ก็จะเข้ามามีบทบาทในพฤติกรรมของมนุษย์ ความปลอดภัยดังกล่าวมี 2 รูปแบบ คือความต้องการความปลอดภัยทางด้านร่างกาย และความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งความต้องการ ความปลอดภัยทางด้านร่างกายได้แก่ การมีความปลอดภัยในชีวิต การมีสุขภาพดี เป็นต้น ส่วนความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การมีอาชีพการงานมั่นคง 3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เมื่อความต้องการทั้ง 2 ประการได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการใน ระดับที่สูงกว่าจะเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมของมนุษย์ความต้องการทางสังคม ได้แก่ ความต้องการการ ยอมรับในผลงานความเอื้ออาทรความเป็นมิตรที่ดี ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและความรักจาก ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน 4. ความต้องการได้รับการยกย่องสรรเสริญในสังคม (Esteem Needs) หมายรวมถึง ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสำเร็จ ความรู้ ความสามารถ การนับถือตนเองความเป็นอิสระและเสรีภาพในการทำงาน ต้องการมีฐานะเด่นและเป็นที่ยอมรับนับถือ ของคนทั้งหลาย 5. ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (Self-actualization Needs) เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนอง ทั้ง 4 ระดับ แล้วมนุษย์จะทำงาน เพื่องาน คืออยากรู้ว่าตนมีศักยภาพแค่ ไหนและพยายามพัฒนาศักยภาพของตนไปสู่จุดสูงสุดการทำงาน เกิดจากสนใจและรักในงานที่ทำ และทำเพราะได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตนให้ถึงจุดสูงสุด
2.2.4 ทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation Theory) ทฤษฎีแรงจูงใจ (สำนักบริการข้อมูลและสารสนเทศ, 2552) เชื่อกันว่า การเกิดพฤติกรรมมีสาเหตุต่าง ๆ กันจึงได้อธิบายความเชื่อมั่นว่าพฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีสิ่งเร้ามา เป็นเครื่องชักนำและทำให้เกิดการตอบสนองในรูปของพฤติกรรมทฤษฎี นี้เน้นสิ่งเร้าที่ เกิดจากภายนอก มากกว่าสิ่งเร้าภายในแม้แต่ความต้องการ หรือแรงขับที่เกิดขึ้นก็ ถือเอาเฉพาะ ที่สังเกตเห็นได้การจูงใจ หรือแรงจูงใจ (Motivation) จึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นแก่บุคคลในการใช้ความพยายามผลักดันให้เกิด การกระทำอย่างต่อเนื่องและมี แนวทางที่แน่นอนเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการแรงจูงใจภายในเกิดมา จากความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างบุคคลกับสิ่งที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยส่วนแรงจูงใจ ภายนอกเป็นผลมาจาก สิ่งแวดล้อมทฤษฎีแรงจูงใจ มักเน้นที่กระบวนการโดยยอมรับว่าแรงจูงใจ เป็นผลที่เกิดจากความเชื่อของ บุคคลเกี่ยวกับความคาดหวังความเป็นเสมือนเครื่องมือและการมีคุณค่าที่เหมาะสมหรือคุณค่าสอดคล้อง ตามความต้องการของแต่ละคนจึงจะส่งผลต่อแรงจูงใจโดยสาระ ทฤษฎีนี้เชื่อว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะ เกิดขึ้น ถ้าตนสามารถคาดหวังได้ว่าเมื่อทำงานสำเร็จแล้วก็จะได้รับสิ่งที่ต้องการได้จากงานนั้น จึงควร ได้รับรางวัล ผลตอบแทนและรางวัลผลตอบแทนต้องมากเท่าไรจึงลงมือทำงานนั้น ซึ่งก็คือการเสริมแรง นั่นเอง ภาพที่ 14 ทฤษฎีความตอ้งการตามลา ดบัข้นัของมาสโลว์(Maslow’s Hierarchy of Needs)
จากทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึก ที่เกิดขึ้นข้างในจิตใจของบุคคลที่มี ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาให้เห็นว่า ชอบใจมี ความสุข ใน การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยกระตุ้นให้ ผู้เรียนทำงานที่ได้รับ มอบหมายให้ประสบผลสำเร็จ โดยวิธีการวัดความพึงพอใจสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต ดังนั้นถ้าครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ ผู้เรียนเกิด ความพึงพอใจ จะทำให้ ผู้เรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายหรือการปฏิบัติ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ และมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับดี การสร้างความพึงพอใจในการเรียน ต้องมีการสร้างความพอใจ ในการเรียนตั้งแต่ เริ่มต้นให้แก่ผู้เรียนซึ่งการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ สื่อมโนทัศน์ จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนที่เข้าใจได้ลึกซึ้ง เป็นนักคิดที่มีคุณภาพรู้จักการวิเคราะห์และเชื่อมโยงอีกทั้งยัง ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนโดยครูผู้สอนเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกหรือ ให้คำแนะนำ ปรึกษา ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ ผังมโนทัศน์ สามารถแบ่งงานวิจัยออกเป็น 2 ประเด็น ตามความมุ่งเน้นในการศึกษาวิจัย ได้แก่ 2.3.1 งานวิจัยที่มุ่งพัฒนารูปแบบการสรุปใจความสำคัญโดยใช้ผังมโนทัศน์ 2.3.2 งานวิจัยที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การใช้ผังมโนทัศน์เป็นรูปแบบ การเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนารูปแบบการสรุปใจความสำคัญของเนื้อหาวิชาการที่เรียน ทำให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหา และถือเป็นการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงงานวิจัย ที่มุ่งพัฒนารูปแบบการสรุปใจความสำคัญโดยใช้ผังมโนทัศน์ได้กล่าวไว้ ในงานวิจัยชั้นเรียนของ อาจารย์ อมรรัตน์อยู่แบน และ อาจารย์ประนอม นุกูลกิจ โดยมีเนื้อหาโดยย่อ ดังนี้ ภาพที่ 15 ทฤษฎีแรงจูงใจ
อมรรัตน์ อยู่แบน (2551) ได้ทำการวิจัย เรื่อง“การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ ผังมโนทัศน์ ช่วยในการสรุปบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1” มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการใช้ผังมโนทัศน์ ช่วยในการ สรุปบทเรียน เรื่องสารและสมบัติ ของสาร วิชาวิทยาศาสตร์ และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่เรียน โดยใช้ผังมโนทัศน์ ช่วยสรุปบทเรียน เรื่องสารและสมบัติของสาร วิชาวิทยาศาสตร์ การวิจัยนี้เป็นวิธีการวิจัยเชิงทดลองแบบหนึ่ง กลุ่มวัดก่อนเรียน-หลังเรียน กลุ่มทดลองได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน เรื่อง สารและสมบัติของสาร และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น การเก็บรวบรวม ข้อมูลประกอบด้วยการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ทดลองสอนโดยใช้ผังมโนทัศน์ ช่วยสรุปบทเรียน และเมื่อนักเรียนเรียนจบแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนการ วิเคราะห์ข้อมูลได้วิเคราะห์ ประสิทธิภาพของบทเรียนและ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบและคำนวณหาค่า สถิติร้อยละ และ ทดสอบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ ก่อนเรียนและหลังเรียน ใช้สถิติ t-test ผลวิจัย พบว่า การใช้ ผังมโนทัศน์ ช่วยสรุปบทเรียนที่พัฒนาขึ้นครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนโดยใช้ ผังมโนทัศน์ช่วยสรุปบทเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ ประนอม นุกูลกิจ (2549) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การใช้ผังมโนทัศน์เพื่อพัฒนาทักษะ การสรุปบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น ม. 2 โรงเรียนราษฎร์นิยม” มีวัตถุประสงค์ การวิจัยเพื่อฝึกทักษะ การสรุปเนื้อหาโดยใช้ผังมโนทัศน์ และเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวิตสัตว์ โดยใช้กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 34 คนมีการ ดำเนินการสอนตามแผนการสอนทดสอบก่อน – หลังเรียนเรื่องชีวิตสัตว์ และประเมินความพอใจต่อการ เขียนผังมโนทัศน์ ได้ผลการวิจัยว่า ผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ผลปรากฏ เช่นนี้ เป็นเพราะผู้เรียนได้ลงมือกระทำจริงได้ แสดงออกซึ่งศิลปะมี ความสุขสนุกสนาน ไม่เคร่งเครียด เรียนด้วยความสบายใจเกิดองค์ความรู้แบบถาวรส่วนเจตคติ ในการ สร้างผังมโนทัศน์ เรื่องชีวิตสัตว์ มีค่าเฉลี่ยของการเห็นด้วยร้อยละ 43.53 โดยเห็นด้วยต่อการสรุปใจความ สำคัญร้อยละ 43.53 เห็นด้วยกับการเกิดความรู้ที่คงทนร้อยละ 38.25 เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำไปใช้ กับวิชาอื่นร้อยละ 44.12 แสดงว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการสรุปบทเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ เรื่องชีวิต สัตว์ ส่วนงานวิจัยที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะเน้นผลจากการใช้ผังมโนทัศน์ มีการ เปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังที่มีการใช้ผังมโนทัศน์ และนำเสนอคะแนนสอบออกมาในรูปแบบ ตารางแล้วใช้วิธี การทางสถิติพื้นฐาน อันได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ มาเป็นตัวเปรียบเทียบคะแนนสอบ และ
การใช้ ค่าสถิติ t-testนอกจากนี้ ยังมีการวัดผลด้านเจตคติ จากการใช้ผังมโนทัศน์ ซึ่งงานวิจัยที่นำผัง มโนทัศน์มาใช้ มีมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปรากฏอยู่ในงานวิจัยชั้นเรียนของ อาจารย์ มิสแสงธิราเจริญ นาน และรายงานของ อาจารย์โชติ คำเด่นเหล็ก โดยมีเนื้อหาโดยย่อ ดังนี้ มิสแสงธิราเจริญนาน (2553)ได้ทำการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่อง เชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์ ในรายวิชาว .40226 โดยใช้ ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3” ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนระดับชั้น ม.6/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 10 คนที่ไม่สามารถจะจดจำและเข้าใจเนื้อหาบทเรียนเรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดำ บรรพ์ ได้ โดยได้ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หิน น้ำมัน และปิโตรเลียมจากนั้นให้นักเรียนฝึกการเขียนผังมโนทัศน์ เรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ำมัน และปิโตรเลียมแล้วทำการทดสอบหลังเรียนในเรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ อีกครั้ง นำมาหาค่าเฉลี่ย คะแนนสอบด้วยการใช้สถิติ พื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ยได้ผลจากการวิจัย คือ นักเรียนส่วนใหญ่ ที่เขียนผังมโนทัศน์ เรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ำมัน และ ปิโตรเลียม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดียิ่งขึ้น โชติคำ เด่นเหล็ก (2550) ได้เขียนรายงาน “ผลการใช้สื่อการสอนผังมโนทัศน์ เรื่อง พันธะเคมี ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ 3 เคมีพื้นฐาน ว 40103” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาสื่อการสอนผังมโนทัศน์ เรื่อง พันธะเคมี จำนวน 3 เรื่อง คือ พันธะ ไอออนิก พันธะโคเวเลนต์ และพันธะโลหะ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชา วิทยาศาสตร์ 3 เคมี พื้นฐาน ว 40103 ช่วงชั้นที่ 4 ปีที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 92 คนเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ เรียนโดยใช้สื่อการสอนผังมโนทัศน์เรื่องพันธะเคมีโดยใช้ t-test (Pair sample test) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และนักเรียนมีเจตคติต่อการใช้สื่อการสอนผังมโนทัศน์เรื่องพันธะเคมีอยู่ในระดับมาก การใช้ผังมโนทัศน์ส่วนใหญ่ มักจะใช้กับวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ เพราะ วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่มีส่วนสำคัญอยู่สองส่วน คือ ส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ และส่วนที่เป็น กระบวนการแสวงหาความรู้ ส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ ได้แก่ ข้อเท็จจริง มโนมติ หลักการกฎและทฤษฎี ที่ ต้องอาศัยการจดจำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจ แล้วนำไปคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อให้เกิด ประโยชน์ ในสืบเนื่องไปสู่ กระบวนการแสวงหาความรู้ ดังนั้นเราสามารถนำการเขียนผังมโนทัศน์ ไปใช้กับรายวิชาอื่นที่ต้องอาศัยการจดจำเนื้อหา ดังผลงานการวิจัยชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยของ ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร และการวิจัยและพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของอุไรวรรณ นิลนวล โดยมีเนื้อหาโดยย่อ ดังนี้
ฉัตรบงกชศรี วัฒนสาร (2547) ได้ทำโครงการวิจัย เรื่อง “การใช้ผังมโนทัศน์ เพื่อ พัฒนาศักยภาพการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย อย่างเป็นระบบ: ประเมินจากการทัศนศึกษาโบราณสถานใน กรุงเทพมหานคร และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อนำเสนอนวัตกรรมการสร้าง ผังมโนทัศน์ สำหรับการเรียนการสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับโบราณวัตถุสถานในท้องถิ่น วิชาโบราณคดี และ วิชาถิ่นฐานไทยโดยใช้กระบวนการทัศนศึกษาโบราณสถานเป็นเครื่องมืออธิบายเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ และสะท้อนภาพอดีต ในประวัติศาสตร์ และอารยธรรมไทยและมีการวัดระดับการเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ เพื่อนำเสนอแนวทางในการเพิ่มศักยภาพของนักศึกษาในการเรียนวิชาดังกล่าว โครงการวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐาน คือ นวัตกรรมผังมโนทัศน์และการทัศนศึกษาเป็นตัวแปรต้นที่ช่วย พัฒนาศักยภาพในการเรียนการสอนวิชาประวัติ ศาสตร์ไทยแบบทดสอบก่อนและหลังทัศนศึกษา เป็นตัว แปรตามที่ช่วยชี้วัดสัมฤทธิ์ผล ของการใช้นวัตกรรมผลที่ได้รับ จากการวิจัยมีความสอดคล้องกับ สมมุติฐานที่ตั้งเอาไว้ กล่าวคือ นักศึกษาที่ ลงทะเบียนเรียนวิชาความรู้เกี่ยวกับโบราณวัตถุสถานในท้องถิ่น ซึ่งใช้ผังมโนทัศน์ ในกิจกรรมการเรียนการสอนส่งผลให้การทำแบบทดสอบหลังการทัศนศึกษา ของ นักศึกษาสูงขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็น และสามารถแบ่งระดับการเรียนรู้ ออกเป็น 2 ระดับ คือ นักศึกษามีผล การเรียนรู้ ระดับสูง 28 คน มีผลการเรียนรู้ ระดับปานกลาง 2 คน เมื่อนักศึกษากลุ่มเดียวกันนี้ ลงทะเบียนเรียนวิชาโบราณคดี โดยที่ผู้สอนมิได้ใช้นวัตกรรมผังมโนทัศน์ ในการเรียน การสอน ทำให้ได้พบว่า ผลของการทำแบบทดสอบหลังการทัศนศึกษากลุ่มนี้มีคะแนนปรากฏออกมาแบบ หลากหลายและแบ่งระดับการเรียนรู้ ออกเป็น 2 ระดับ คือ มีผลการเรียนรู้ระดับปานกลาง 21 คน และ มีผลการเรียนรู้ระดับต่ำ 9 คน ส่วนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน วิชาถิ่นฐานไทยซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษา ที่มี พื้นฐานการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี และเป็นนักศึกษาวิชาเอกสังคมศึกษาจึงทำให้สามารถ ทำแบบทดสอบหลังการทัศนศึกษาอยู่ในระดับสูง 14 คน ระดับปานกลาง 14 คน ส่วนระดับต่ำ มีเพียง 2 คน อุไรวรรณ นิลนวล (2553) ได้ทำการวิจัย เชิ งทดลอง (Experimental research) เรื่อง “การวิจัยและพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิคร่วมกันอ่านเขียน (CIRC) ร่วมกับผังมโนทัศน์ (Concept maps) โดยบูรณาการหลัก เศรษฐกิจพอเพียง” ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยแบบ One-Group Pretest-Posttest Design กลุ่มเป้าหมาย ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนชุมชนยอดแก่งสงเคราะห์ อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2553 จำนวน 36 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย 4 ประเภท ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิคร่วมกัน อ่านเขียน (CIRC) ร่วมกับผังมโนทัศน์
(Concept maps) โดยบูรณาการหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ ทดสอบที่ได้ผลการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิ ภาพเท่ากับ 83.84/86.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ได้ค่าดัชนี ประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 0.7549 หมายความว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.49 และเมื่อทำการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ ที่ระดับ .05 นอกจากนี้ ยังมีการวัดระดับความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำการ วิเคราะห์แล้วได้ผล คือ นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ พอสรุปได้ว่า ผังมโนทัศน์ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบ จัดระบบความคิด แล้วนำมาวิเคราะห์ เนื้อหาเพื่อสรุปออกมาเป็นเนื้อหาตามความเข้าใจของผู้เรียน ช่วยเพิ่มพูนความจำ สามารถตี ความและตี กรอบองค์ความรู้ได้ อีกทั้งการเรียนโดยใช้ ผังมโนทัศน์ จะช่วยให้ ผู้เรียนสนใจเรียนรับรู้ และเรียนรู้ได้ดีขึ้น สามารถเรียนให้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าเดิม มีเจตคติที่ดี ต่อการเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนในระดับที่ดีขึ้น
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน ศรีบุณยานนท์ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi ExperimentalResearch) ซึ่งทำการทดลอง ตามแบบแผนการวิจัยแบบศึกษากลุ่มเดียววัดสองครั้งก่อน – หลัง (The one group Pretest Posttest design) มีแบบแผนการวิจัยดังนี้ ตาราง 1 แสดงแบบแผนการวิจัย Pretest Treatment Posttest T1 X T2 เมื่อ X แทน การเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยสรุปบทเรียน T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน T2 แทน การทดสอบหลังเรียน 3.2 ประชากร /กลุ่มตัวอย่าง 3.2.1 ประชากรของการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียน ศรีบุณยานนท์ ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 คน 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 3.3.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
3.4 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ 3.4.1 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.4.1.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดผลประเมินผลวิธีการสร้างแบบทดสอบและการ เขียนข้อสอบกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3.4.1.2 ศึกษาผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและเนื้อหาวิทยาศาสตร์จากคู่มือครูและหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ โดยแบ่งพฤติกรรมที่ต้องการวัดเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้าน ความรู้– ความจำ 2) ด้านความเข้าใจ 3) ด้านการนำไปใช้และ 4) ด้านวิเคราะห์ กำหนดเกณฑ์การ ให้คะแนนดังนี้ ตรวจให้คะแนนจากกระดาษคำตอบโดยข้อที่ตอบถูกให้คะแนนเป็น 1 คะแนนข้อที่ตอบ ผิด ไม่ได้ตอบหรือตอบเกิน 1 ข้อ ให้ 0 คะแนน 3.4.1.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ แบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือกโดยใช้ตารางวิเคราะห์ข้อสอบจำนวน 30 ข้อ โดยสร้างให้ครอบคลุมจุดประสงค์ การเรียนรู้ ซึ่งสามารถจำแนกพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้ ดังนี้ 1) ด้านความรู้ ความจำ จำนวน 6 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 20.00 2) ด้านความเข้าใจ จำนวน 10 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 33.33 3) ด้านการนำไปใช้ จำนวน 4 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 13.33 4) ด้านการวิเคราะห์ จำนวน 10 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 33.33 3.4.1.4 วิธีการหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 1) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ใน ร่างกายมนุษย์และสัตว์ที่สร้างขึ้นจำนวน 30 ข้อ ให้ผู้เชี่ยวชาญทางการสอนวิทยาศาสตร์ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงกับเนื้อหา โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม กับลักษณะพฤติกรรมที่วัด เพื่อปรับปรุงแก้ไขโดยการคัดเลือกข้อสอบที่มีดัชนีความสอคล้อง (IOC) มาก ว่าหรือเท่ากับ 0.05 ขึ้นไป 2) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่คัดเลือกและปรับปรุง แก้ไขแล้วนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 3) ตรวจผลการทดสอบจากแบบทดสอบ จากนั้นนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมา วิเคราะห์ข้อมูลต่อไป 3.5 การดำเนินการวิจัย / การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 3.5.1 เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ที่เรียนวิชา วิทยาศาสตร์มาจำนวน 1 ห้องเรียน จาก 10 ห้องเรียน 3.5.2 ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารกับการดำรงชีวิต และเรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ และสัตว์ ใช้เวลาบทละ 30 นาที แล้วนำผลการสอบมาตรวจให้คะแนน 3.5.3 ดำเนินการทดลองโดยผู้วิจัยดำเนินการสอนเอง แล้วให้นักเรียนสร้าง ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียนแล้วระบายสีให้สวยงาม เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระยะเวลาในการทดลอง 18 คาบ ๆ ละ 50 นาที 3.5.4 เมื่อสิ้นสุดการสอนตามที่กำหนด ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารกับการดำรงชีวิต และเรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 3.5.5 ทำการตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ แล้วนำผลคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ โดยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้ 3.6.1 วิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินสำหรับผู้เชี่ยวชาญ นำแบบสำรวจความคิดเห็น สำหรับผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้สูตร ดังนี้ สูตรในการคำนวณ N R IOC = Σ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R คือ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ΣR คือ ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป
3.6.2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ใช้ค่าสถิติดังนี้ 3.6.2.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาสตร์ โดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent Sample 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้ค่าสถิติ ดังต่อไปนี้ 3.7.1 สถิติพื้นฐาน 3.7.1.1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ใช้สูตรดังนี้ สูตร X̅ = Σx N เมื่อ X̅ แทนคะแนนเฉลี่ย Σx แทนผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทนจำนวนคะแนนในกลุ่มตัวอย่าง 3.7.1.2 หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สูตรดังนี้ สูตร S.D = √ NΣX2−(Σx) 2 N(N−1) เมื่อ S.D แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน Σx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด Σx 2 แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง N แทน จำนวนของคนในกลุ่มตัวอย่าง 3.7.2 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 3.7.2.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องจากแบบตรวจสอบความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Object congruence) ระหว่างข้อคำถามกับพฤติกรรมที่ต้องการวัดของแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ สูตร IOC = ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ พฤติกรรมที่ต้องการวัด
ΣR แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 3.7.3 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 3.7.3.1 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คำนวณจากสูตร t-test for Dependent Sample โดยใช้สูตร สูตร t = ΣD √ nΣD2−(ΣD) 2 n−1 ; df = n − 1 เมื่อ t แทน ค่าที่ใช้พิจารณาการแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังการทดลองและก่อน การทดลองของแต่ละตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของ มนุษย์และสัตว์ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ ต่างๆ ที่ใช้แทนความหมาย ดังต่อไปนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง X̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนของกลุ่มตัวอย่างจากการทดลองก่อนเรียนและหลัง เรียน S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ΣD แทน คะแนนของผลต่างของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ΣD 2 แทน คะแนนของผลต่างของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนยกกำลัง สอง t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t – test แบบ Dependent Sample ** แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอตามลำดับดังนี้ 4.2.1 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และ สัตว์วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน ผู้วิจัยได้นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน มาเปรียบเทียบกัน โดยวิธีการทาง สถิติt – test แบบ Dependent Sample ได้ผล ดังแสดงในตาราง 2
ตาราง 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ ช่วยในการสรุปบทเรียน การทดสอบ N x̅ S.D. t ก่อนเรียน 39 16.56 2.80 8.15** หลังเรียน 39 21.83 3.70 ∗∗ t(.05 ; df35) = 1.697 จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนที่ใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน มีค่าเฉลี่ยของ การทดสอบก่อนเรียน เท่ากับ 16.56 คะแนน และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.80 คะแนน มีค่าเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียน เท่ากับ 21.83 คะแนน และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.70 คะแนน ค่าที่ได้จากการทดสอบมีค่าเท่ากับ 8.15 ซึ่งมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน มีคะแนนการทดสอบหลังเรียน สูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีบุณยานนท์เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi ExperimentalResearch) 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 5.1.2 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์วิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน 5.1.3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการ สรุปบทเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ 5.2 สมมติฐานการวิจัย 5.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงขึ้น หลังจาก ใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน 5.3 วิธีการดำเนินการวิจัย 5.3.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียน ศรีบุณยานนท์ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566จำนวน 39 คน ซึ่งได้จากการ สุ่มแบบเจาะจง 5.3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5.3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5.3.3 วิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 5.3.3.1 เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ที่เรียน วิชาวิทยาศาสตร์มาจำนวน 1 ห้องเรียน จาก 11 ห้องเรียน 5.3.3.2 ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ใช้เวลา 30 นาที แล้วนำผลการสอบมาตรวจให้คะแนน
5.3.3.3 ดำเนินการทดลองโดยผู้วิจัยดำเนินการสอนเองจากนั้น เมื่อสอนจบแล้ว ให้นักเรียนใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ ระยะเวลาในการทดลอง 18 คาบ ๆ ละ 55 นาที 5.3.3.4 เมื่อสิ้นสุดการสอนตามที่กำหนด ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ 5.3.3.5 ทำการตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์แล้วนำผลคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ โดยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 5.4.1 หาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5.4.2 หาค่าสถิติตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC: Index of Item Object congruence) ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวิทยาศาสตร์ 5.4.3 หาค่าสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ก่อน เรียน กับหลังเรียน โดยใช้ t- test แบบ Dependent Samples 5.5 สรุปผลการวิจัย 5.5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 5.6 อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน ผลการศึกษาสามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลัง เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นปีมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 อาจเป็นเพราะการใช้ผังมโนทัศน์เป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิด และเกิด
การเรียนรู้ อย่างเข้าใจที่แท้จริงเพราะมีกระบวนการที่ให้นักเรียนสามารถค้นพบหลักความคิดรวบยอด และการสรุปผลได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนในการเป็นนักคิดที่มีคุณภาพ รู้จักการ วิเคราะห์และเชื่อมโยง สามารถตีความและตีกรอบองค์ความรู้ได้ มีความรับผิดชอบโดยสังเกตได้จาก นักเรียนได้ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมโดยทำผังมโนทัศน์มาส่งตามกำหนดเวลาและตั้งใจทำผังมโน ทัศน์อย่างสวยงาม จากการทบทวนวรรณกรรมในทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (1976 , อ้างจากปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2535 : 115-117) ได้ระบุไว้ว่า ครูผู้สอนต้องใช้องค์ประกอบทั้งอุปกรณ์การสอนและ กระบวนการสอนของครูเป็นองค์ประกอบให้นักเรียนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษา ซึ่งมีความ สอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยของ ประนอม นุกูลกิจ (2549) ที่การวิจัยเรื่อง “การใช้ ผังมโนทัศน์เพื่อ พัฒนาทักษะการสรุปบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น ม. 2 โรงเรียนราษฎร์นิยม” ผลการศึกษาการสรุป เนื้อหาโดยใช้ผังมโนทัศน์ มีประโยชน์ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เหตุที่ผลปรากฏเช่นนี้เป็น เพราะผู้เรียนได้ลงมือกระทำจริง ได้แสดงออกซึ่งศิลปะ มีความสุข สนุกสนาน ไม่เคร่งเครียด เรียนด้วย ความสบายใจ เกิดองค์ความรู้แบบถาวร ดังนั้นการใช้ผังมโนทัศน์มาช่วยสรุปเนื้อหาบทเรียน จึงมีความ เหมาะสมที่จะใช้เป็นคู่มือครูเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนของครู และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของ นักเรียน การสอนมีประสิทธิภาพและผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร จากเหตุผลดังกล่าวเป็นข้อสนับสนุนด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 5.7 ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และการ วิจัย ดังนี้ 5.7.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 5.7.1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรพิจารณาความเหมาะสมด้านเวลา เพื่อให้ผู้เรียนและครูผู้สอนได้เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่เพราะการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องให้ผู้เรียนมีเวลาในการทำกิจกรรมเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ผ่านการ ทดลอง/ปฏิบัติที่ไม่ได้เน้นการท่องจำเพียงอย่างเดียว
5.7.1.2 ครูผู้สอนควรนำผลการวิจัยนี้ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนในวิชาอื่นด้วย โดยเฉพาะวิชาที่มีการทำโครงงาน เพื่อให้นักเรียนสามารถทำโครงงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลงาน ชิ้นงาน เป็นที่ประจักษ์และเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและ ประเทศชาติ ตลอดจนถึงสามารถรายงานผลโครงงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 5.7.1.3 ครูควรศึกษาเนื้อหา รูปแบบและวิธีการเขียนผังมโนทัศน์ให้มีความชำนาญและ ถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้เขียนผังมโนทัศน์ได้ถูกต้อง ตามหลักการโดยอาจแบ่งเวลาในคาบเรียนทำ การสอน เนื้อหาเกี่ยวกับผังมโนทัศน์ และการใช้ผังมโนทัศน์ รวมถึงประโยชน์ที่คาดว่านักเรียนจะได้รับจากการใช้ ผังมโนทัศน์ให้เข้าใจก่อน เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือในการทำกิจกรรมการทำผังมโนทัศน์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 5.8 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 5.8.1 ควรมีการส่งเสริมการสร้างเอกสารประกอบการสอนเนื้อหาอื่น ๆ ของวิชา วิทยาศาสตร์ ในส่วนที่ต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้ ภาคทฤษฎี ควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานเพื่อนำไปใช้ในการ จัดการเรียนรู้และพัฒนาประสิทธิภาพการสอน 5.8.2 ควรมีการวิจัยการใช้สื่อการสอนประเภทอื่น ๆ หรือ เครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้าง ประสิทธิภาพการสอน เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพราะการจัดการเรียนการสอน ในปัจจุบัน มีการเรียนการสอนแบบบูรณาการทำให้มีความจำเป็นในการใช้สื่อการเรียนการสอนที่มี รูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้น ควรจะมีการดำเนินการวิจัยถึงสื่อในรูปแบบอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้บรรลุจุดหมายแห่งการจัดการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษา
บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2546. กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊ค พับลิเคชั่น, 2546 เจนเนตร มณีนาค และคณะสร้างองค์กรอัจฉริยะ ในยุคโลกาภิวัตน์ผู้จัดพิมพ์บริษัทซัมซิสเท็มจำกัด , 2546 ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร. การใช้ผังมโนทัศน์เพื่อพัฒนาศักยภาพการศึกษาประวัติศาสตร์ ไทยอย่าง เป็นระบบ : ประเมินจากการทัศนศึกษาโบราณสถานในกรุงเทพมหานครและจังหวัด พระนครศรีอยุธยา (2547). สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2565. http://researchbychatbongkoch.blogspot.com/2010/06/blog-post.html โชติ คำเด่นเหล็ก. รายงานผลการใช้สื่อการสอนผังมโนทัศน์ เรื่องพันธะเคมีที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ 3 เคมีพื้นฐาน ว 40103 (2550)โรงเรียน ราชดำริ . สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2565. www.rd.ac.th/reserch/index.htm ภก.ประชาสรรณ์แสนภักดี ศูนย์. รู้จักกับการเขียนผังมโนทัศน์. ศูนย์ฝึกอบรมภูมิปัญญาสู่สากล Glocalization Training Center - KhonKaen. สืบค้นเมื่อ วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 . http://www.prachasan.com/cmap/aboutcmap.html ประนอม นุกูลกิจ. การใช้ผังมโนทัศน์เพื่อพัฒนาทักษะการสรุปบทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น ม. 2 โรงเรียนราษฎร์นิยม. สืบค้นเมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 . http://edchem.multiply.com /journal/item/27/27?&show_interstitial =1&u=%2Fjournal%2Fitem ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. จิตวิทยาการศึกษา. สื่อเสริมกรุงเทพฯ : กรุงเทพฯ, 2535 มิสแสงธิ ราเจริญนาน.การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ใน รายวิชาว 40226 โดยใช้ ผังมโนทัศน์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 /3. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565. swis.act.ac.th/html_edu/act/temp_emp_research/726.pdf วัลลภ จันทร์ตระกูล. สื่อการเรียนการสอน. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ: กรุงเทพฯ, 2543
วิชชุดา เตียวสกุล. ผลการใช้กิจกรรมแนะแนวกลุ่มต่อนิสัยในการเรียนและทัศนคติทางการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2529 ศิริลักษณ์ ไทรหอมหวน. การจูงใจ. เอกสารคำสอนกระบวนวิชาสุขภาพจิต: ภาควิชาจิตวิทยา คณะ มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2550 อมรรัตน์ อยู่แบน. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุปบทเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสารชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. โรงเรียนศึกษาสมบูรณ์อนุสรณ์ สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565. http://www.learners.in.th/blogs/posts/235130 อุทัยพรรณ สุดใจ. ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการที่มีต่อการให้บริการขององค์กรโทรศัพท์แห่งประเทศ ไทยจังหวัดชลบุรี . วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , 2544 อุไรวรรณ นิลนวล. การพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ เทคนิคร่วมกันอ่านเขียน (CIRC) ร่วมกับ ผังมโนทัศน์ (Concept maps) โดยบูรณาการหลักเศรษฐกิจพอเพียง .โรงเรียนชุมชนยอดแก่งสงเคราะห์ อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 . สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565. http://www.cyk.ac.th/?name =download&file=readdownload&id=8
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก - ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์
ตาราง 3 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ลำดับข้อ ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 รวม (IOC) 1 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 21 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 22 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 23 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 24 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 25 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 26 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 27 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 28 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 29 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 30 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ภาคผนวก ข - คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ และสัตว์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน - ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ผังมโนทัศน์ ช่วย ในการสรุปบทเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent Sample
ตาราง 4 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และ สัตว์ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสรุป บทเรียน คนที่ ก่อนเรียน X1 หลังเรียน X2 ผลต่าง (D) (X2 - X1) D 2 1 15 22 7 49 2 12 20 8 64 3 13 21 8 64 4 19 25 6 36 5 18 24 6 36 6 14 22 8 64 7 13 18 5 25 8 17 21 4 16 9 16 22 6 36 10 17 20 3 9 11 14 18 4 16 12 18 24 6 36 13 16 22 6 36 14 16 24 8 64 15 18 22 4 16 16 13 19 6 36 17 20 24 4 16 18 18 25 7 49 19 20 25 5 25 20 22 26 4 16 21 19 24 5 25
คนที่ ก่อนเรียน X1 หลังเรียน X2 ผลต่าง (D) (X2 - X1) D 2 22 18 23 5 25 23 20 25 5 25 24 20 23 3 9 25 18 23 5 25 26 22 26 4 16 27 16 26 10 100 28 21 24 3 9 29 15 22 7 49 30 21 25 4 16 31 12 22 10 100 32 11 25 14 196 33 13 16 3 9 34 9 21 12 144 35 14 19 5 25 36 11 18 7 49 37 11 25 14 196 38 13 16 3 9 39 9 21 12 144 ΣD = 219 ΣD 2 = 1880