The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการบรรยายที่โรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by รณชัย หวังกวดกลาง, 2024-02-14 23:47:33

เอกสารประกอบการบรรยายที่โรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์

เอกสารประกอบการบรรยายที่โรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์

เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ เอกสารประกอบการบรรยาย “ศิลปะ กานท์เสนาะเสียงสำเนียงศัพท์” สุนทรียรสร้อย- กรองไทย นี้เอย เสนาะเสน่ห์ใน โสตสร้อย ดุจเสียงทิพย์คำไกร เกริกเกียรติ ทั่วนา สูงต่ำหวานหยดย้อย ยิ่งล้ำคำสยาม (รณชัย หวังกวดกลาง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ นันทนาการครื้นเครงทำนองเพลงเตาะแตะ ลางต้นล้มตั้งตละปัก รากหักขึ้นแทงระแหงหงาย กะตุ้มกะติ้มเกะกะปะกันตาย ยอดหวายพันคลุมอยู่ซุ้มเซิง เป็นนํ้ากรังรังเรอะอยู่เฉอะฉะ เขยอะขยะขยุกขยุยดูยุ่ยเหยิง รุงรังรุกรุยเป็นปุยเซิง กะพะกะเพิงพันผูกลูกหวายไป (ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วยกทัพ) ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำประพันธ์ โดยทั่วไปงานเขียนแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ งานเขียนที่เป็นร้อยแก้วและงานเขียนที่เป็นร้อยกรอง ซึ่งงานเขียนประเภทร้อยกรองแบ่งย่อยได้ ๕ ชนิด ดังนี้ ๑. โคลง ได้แก่ โคลงสี่สุภาพ โคลงสอง โคลงสาม โคลงดั้น เป็นต้น ๒. ฉันท์ ได้แก่ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นต้น ๓. กาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์สุรางคนาง ๒๘ กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นต้น ๔. กลอน ได้แก่ กลอนสี่ กลอนหก กลอนแปด กลอนสุภาพ เป็นต้น ๕. ร่าย ได้แก่ ร่ายยาว ร่ายสุภาพ เป็นต้น กลอนสุภาพ เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีคำในแต่ละวรรคได้ ๗-๙ คำ กลอน ๑ บทจะประกอบด้วย ๔ วรรค คือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และ วรรคส่ง หลักการแต่งกลอนสุภาพ กลอนสุภาพรุ่งเรืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กวีที่มีฝีมือยอดเยี่ยมทางกลอนที่ โดดเด่น คือ สุนทรภู่ สำนวนกลอนของสุนทรภู่แทบทุกวรรคทุกบทล้วนโดดเด่นด้านการเล่นคำสัมผัส โดยเฉพาะสัมผัสใน เป็นการเพิ่มความไพเราะให้ผลงาน กลอนสุภาพเรียกอีกอย่างว่า “กลอนตลาด” ๑. กลอน ๑ บทมี ๒ บาท แต่ละบาทจะมี ๒ วรรค เช่น พงศ์กษัตริย์ตรัสห้ามด้วยความรัก หวังจะหักอาดูรให้สูญหาย โอ้น้องแก้วแววตาจะลาตาย แสนเสียดายดังใครล้วงเอาดวงใจ (พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีได้นางเงือก) ๒. แต่ละวรรค จะมีได้ตั้งแต่ ๗-๙ คำ เช่น โน่นม่านหมอกมุงทุ่งดอกไม้ ยังหวานไหวในทรวงทุกห้วงฝัน อรุณเผยก็ล่วงลาคราเหมันต์ ยังชื่นขวัญแม้ว่าเวลาจร (รณชัย หวังกวดกลาง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ๓. บาทที่ ๑ เรียกว่า บาทเอก มี ๒ วรรค คือ วรรคสดับกับวรรครับ ๔. บาทที่ ๒ เรียกว่า บาทโท มี ๒ วรรค คือ วรรครองกับวรรคส่ง ฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ ๑. พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕,๖ ของวรรคที่ ๒ ๒. พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕,๖ ในวรรคที่ ๔ ๓. สัมผัสระหว่างบทพยางค์สุดท้ายของบทที่ ๑ หรือวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรค ที่ ที่ ๒ ของบทถัดไป การสัมผัส สัมผัสเป็นลักษณะสำคัญของคำประพันธ์ไทย ลักษณะสัมผัสมีดังนี้ ๑. สัมผัสพยัญชนะหรือสัมผัสอักษร คือ มีพยัญชนะต้นของคำเหมือนกัน เช่น เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ ขอบเขตเขาคลุมชอุ่มเขียว รุกขชาติดาษใบระบัดเรียว พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง (ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง) ๒. สัมผัสสระ คือ ถ้ามีสระเดียวกัน หากมีตัวสะกดต้องเป็นเสียงพยัญชนะสะกดในมาตราเดียวกัน เช่น เจ้าปักเป็นพระลอดิลกโลก ถึงกาหลงทรงโศกกำสรดสุด แสนคะนึงถึงองค์อนงค์นุช พระทรงเสี่ยงสายสมุทรมาเป็นลาง (ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ๓. สัมผัสใน คือ สัมผัสที่อยู่ในวรรคเดียวกัน มีทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะ เช่น พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย (พระอภัยมณี) ๔. สัมผัสนอก คือ สัมผัสระหว่างคำ ที่อยู่ต่างวรรคกันเป็นสัมผัสบังคับของกลอน ๕. สัมผัสระหว่างบท คือ ถ้าแต่งกลอนมากกว่า ๑ บท ต้องมีการส่งสัมผัสให้คำสุดท้ายของวรรค ส่งไปสัมผัสคำสุดท้ายของวรรครับ(วรรค ๒) ในบทถัดไปนอกจากนี้ยังมีการสัมผัสอื่นดังนี้ ๖. สัมผัสซ้ำเสียง คือ รับส่งสัมผัสด้วยคำที่ออกเสียงเหมือนกัน เช่น มารค มาก เป็นต้น ๗. สัมผัสเลือน คือ รับส่งด้วยเสียงสระสั้นยาวต่างกัน เช่น ส่งเสียง อาย รับด้วย อัย ๘. ชิงสัมผัส คือ ใช้เสียงตรงกับคำที่ส่งสัมผัสก่อนตำแหน่งที่รับสัมผัสจริง (ในการแข่งขัน หากมีการสัมผัสซ้ำ สัมผัสเลือน และชิงสัมผัส ถือว่าผิด) เสียงของคำท้ายวรรคของกลอนสุภาพ เสียงของคำสุดท้ายในแต่ละวรรคของกลอนมีข้อกำหนดในเรื่องเสียงของวรรณยุกต์ เป็นตัวกำหนด ด้วยการกำหนดเรื่องเสียงนี้ ถือว่าเป็นข้อบังคับทาง ฉันทลักษณ์ อย่างหนึ่งของกลอนสุภาพ อันมีข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ๑. คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ (วรรคสดับ) คำสุดท้ายลงเสียงวรรณยุกต์ได้คือ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจัตวา ยกเว้น เสียงสามัญ ห้าม ๒. คำสุดท้ายวรรคที่ ๒ (วรรครับ) คำสุดท้ายลงเสียงวรรณยุกต์ได้คือ เสียงเอก เสียงโท เสียงจัตวา แต่นิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียงสามัญ เสียงตรี ๓. คำสุดท้ายวรรคที่ ๓ (วรรครอง) คำสุดท้ายลงเสียงวรรณยุกต์ เสียงสามัญ เสียงตรี แต่นิยมใช้ เสียงสามัญ ๔. คำสุดท้ายวรรคที่ ๔ (วรรคส่ง) คำสุดท้ายลงเสียงวรรณยุกต์ เสียงสามัญ เสียงตรี เสียงจัตวา แต่นิยมใช้เสียงสามัญ ....สุดท้ายการเขียนกลอนและการเขียนกวีนิพนธ์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร....


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ “ที่เธอถาม” และทะเลยังคงคลี่คลื่นเคลื่อน โยนเม็ดน้ำด่างเปื้อนให้แดดเผา ลมบ่ายระบายบ่ายมาบางเบา และแดดบ่ายแต่งเงาให้หาดงาม ฟ้าสูงยาวใส-สีฟ้าสวย คลี่ห่มผืนผวยสีหวานหวาม แก่วงแววตาที่ทอดตาม ไปตั้งคำถามให้ตอบคำ ม่วง-ดอกผักบุ้งทะเลนั้น คลี่กลีบยืนยันรอยแดดย่ำ คลี่กลีบบานใบเบิกระบำ รับการกระทำโดยแดดทาม สุดสายตาเพิ่งไปเบื้องหน้า คือเส้นขอบฟ้าที่เธอถาม บัดนี้ถักแถบเป็นริ้วงาม คลุมความลับไว้เช่นวันวาน นั่งนิ่ง,นั่งนิ่ง - เพ่งภาพนั้น ความคิดตีบตันไปทุกด้าน นานนัก-เพ่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน เวิ้งน้ำทุกด้านก็เปล่าดาย ไม่มีคำตอบที่เธอถาม ไม่มีนิยามให้ยึดได้ เห็นเพียงขอบฟ้านั้นแรฟาย แต่งเพิ่มเติมสายสีป่านทองฯ เธอถามฉันว่า-ขอบฟ้านั้น มีผู้ใดกันเป็นเจ้าของ มีผู้ใดหรือได้ถือครอง มีใครจับจองเป็นเจ้าแดนฯ


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ง่ายง่ายซื่อใส-ในคำถาม หากลึก-ด้วยความที่หนักแน่น เนื้อแห่งคำถามคล้ายถามแทน สังคมแบบแผนปัจจุบัน น้ำเสียงเปลี่ยวเศร้าและสงสัย แปลกหน้ากระไรได้ปานนั้น เหมือนมีชีวิตอยู่วันวัน ในบ่วงแร้วอันไร้ตัวตน กับความสดใสแห่งวัยสาว ใครแต้มตาวาวให้ดูหม่น ใครเปลี่ยนแววหวัง-เป็นกังวล ใครแต้มทุกข์ทนให้แก่เธอฯ ใครบ้าง-รู้กฎการเคลื่อนคลื่น ที่ริกริกตื่นอยู่เสมอ ใครหรือที่คล้ายจะได้เจอ คำตอบเสนอคำถามนั้น หรือเส้นขอบฟ้ามีเจ้าของ มีผู้ถือครองดั่งเธอหวั่น หรือเธอเพียงถามเพราะรู้ทัน แร้วบ่วงปัจจุบัน-ของสังคม (พนม นันทพฤกษ์)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ “ฤดูดอกไม้บาน” คือผู้รู้สีปีกผีเสื้อ ว่าเอื้ออวยใจให้รู้ฝัน และรู้ว่าค่าแห่งแสงตะวัน แท้ส่องเพื่อเอื้อปันเช่นนั้นไป รู้เจิมเติมใจให้รู้จัก หนทางแห่งรักที่ยิ่งใหญ่ คือใจรู้จักการรักใคร โดยไม่หวังจักได้รักคืน (พนม นันทพฤกษ์) แบบทดสอบ ๑. เราจะได้กลับมาพบกันอีก.......... หรืออาจ...........จนสุดขอบ.......ฝัน เฝ้ารอด้วย..............ว่าสักวัน เราจะได้...........นิรันดร ๒. ฟ้ายังมีจันทร์..........อยู่ข้าง......... จันทร์ยังดาริ...........เป็นเพื่อน......... ยิ่งดึก.........หนาวน้ำ...........ใจบาง........... ยิ่ง...........เศร้าไร้นาง.........ข้างใจ ตัวอย่างกลอนบทเดียวจบ กุมภาพันธ์มาย้ำเตือนเดือนแห่งรัก จงแน่นหนักกุมใจไว้คงมั่น คำว่ารักที่สองเราเข้าใจกัน อย่าให้ใครมาคั่นจนสั่นคลอน ไม่จำเป็นต้องมีเขาเราอยู่ได้ แต่ทำไมใจเราเฝ้าโหยหา ไม่มีเขาเราก็ยังมีชีวา โถแก้มเราเปื้อนน้ำตาทำไมกัน ได้เพียงสิทธิ์เลือกตั้งทั้งชีวิต แต่ไร้สิทธิ์เลือกเธอเสมอมั่น โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเนิ่นนานวัน เมื่อไหร่กันจะเปิดใจให้เลือกเธอ เมื่อเธอเลือกการจากลาอย่าหวนกลับ ใจแตกยับโดนย่ำยีจนมีแผล ถึงเธอจะมางอนง้อก็ไม่แคร์ จะไม่แลจะไม่สนคนหลอกลวง ผู้แต่ง : รณชัย หวังกวดกลาง


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ บันทึกความรู้ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................... .................................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................. ............................... “ตะวันงาม” ตะวันเอ๋ยตะวันงาม ที่โค้งครามขอบคุ้งรุ้งทอสาย ละอองฝนไหวติงพริ้งประกาย ดุจเเสงฉายก่องเก็จของเพชรนิล เปรียบเเสงธรรมส่องใสทุกใจมนุษย์ ย่อมพิสุทธิ์งามเลื่อมมิเสื่อมสิ้น เมื่อประกายธรรมสว่างทุกเเดนดิน ย่อมชีวินสุขสมร่มเย็นเอย. (ผู้แต่ง : รณชัย หวังกวดกลาง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ “ปรารถนา” ออกไปเถิด ออกไปเปิดโลกบ้างในย่างย่ำ ออกไปดูเมฆต่างเมืองอันเรืองล้ำ เมฆที่ไร้สีดำมาทาบทา ออกไปเถิด ออกไปเปิดใจตนไปค้นหา ไปสัมผัสไปรับรู้ดูด้วยตา เพื่อสนองปรารถนาหัวใจตน ออกไปเถิด ออกไปเปิดโลกทัศน์ลบสับสน ใช่อยู่รอความหวังในวังวน ที่ลึกล้นลึกลับซับซ้อนปม ออกไปเถิด ไปก่อเกิดสิทธิ์เสรีที่เหมาะสม ไปสัมผัสฟ้าพรายเพลงสายลม ไปชื่นชมแดดอุ่นละมุนใจ เมื่อเธอมีย่างก้าวที่ก้าวกล้า เธอย่อมสมปรารถนากับฝันใหม่ เปื้อนเปรอะเลอะบ้างช่างประไร ดีกว่ามืดบอดใบ้ในเหวลึก. (ผู้แต่ง : รณชัย หวังกวดกลาง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ “เส้นทางฝัน” หากวันนี้เธอเหนื่อยนักจงพักบ้าง ระหว่างทางยาวไกลไขว่คว้าฝัน ค่อยลุกขึ้นหมายมุ่งในรุ่งวัน เเล้วดุ่มดั้นสานก่อฝันต่อไป เธออาจท้ออาจอ่อนล้าเเต่อย่าหวั่น เพราะความฝันดุจเพชรนิลค่ายิ่งใหญ่ หากชีวิตมิมีหมุดจุดหมายใด มีชีวิตอยู่ได้เหมือนไม่มี ระหว่างทางเธอจงเพียรเรียนรู้โลก เรียนรู้สุขรู้โศกโลกวิถี เรียนรู้เล่ห์กลอุบายทั้งร้าย-ดี เรียนรู้การใช้ชีวีของชีวัน เห็นนางกวักงามตาอยู่หน้าบ้าน กำลังใจเบ่งบานเต็มลานฝัน ขอจงกวักความสดใสมาให้กัน กวักรักมั่นฉัน-เธอเอี่ยวร้อยเกี่ยวใจ. (ผู้แต่ง : รณชัย หวังกวดกลาง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ความเป็นมาของการอ่านทำนองเสนาะ จากการศึกษาประวัติและความเป็นมาของการอ่านทำนองเสนาะ มีนักวิชาการหลายท่าน สันนิษฐานว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น หากแต่มีการใช้คำว่า “ทำนองเสนาะ” อย่างเป็นทางการเมื่อการศึกษาไทยเข้าสู่ระบบโรงเรียนในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวซึ่งคำว่า“ทำนองเสนาะ” นั้น หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ท่านเป็นผู้คิดค้นคำขึ้น โดยมี “พระวรเวทย์พิสิฐ” ได้นำไปใช้ครั้งแรกที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ จากนั้นอาจารย์กำชัย ทองหล่อ ได้นำไป เขียนลงในหนังสือเรียนหลักภาษาไทย จึงทำให้คำว่าทำนองเสนาะเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นและใช้มา จนถึงปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างการท่องบทอาขยานและการอ่านทำนองเสนาะ ท่องบทอาขยาน หมายถึง การท่องจำคำประพันธ์ตามระดับชั้นต่าง ๆ โดยไม่ต้องดูเนื้อหามุ่งเน้น การจำและข้อคิดที่ได้จากการท่อง อ่านทำนองเสนาะ หมายถึง การอ่านคำประพันธ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความเสนาะ ไพเราะ มุ่งเน้นให้ เกิดสุนทรียภาพและความเพลิดเพลิน หลักการอ่านทำนองเสนาะ ๑. อ่านให้ถูกอักขรวิธี คือ ไม่อ่านผิดสระผิดพยัญชนะและผิดวรรณยุกต์ ออกเสียงพยัญชนะแต่ละ ตัวให้ชัดเจน เช่น จ/ฉ/ช/ถ/ธ/ฑ/ฐ ฯลฯ ออกเสียงคำควบกล้ำให้ชัด ๒. อ่านไม่ตกหล่นหรือเพิ่มคำ คือ ไม่ต่อเติม ไม่ตู่ตัว และต้อง รู้จักอ่านคำแปรเสียง เพื่อให้เกิด เสียงสัมผัส เช่น เห็นก้อนหินศิลาน่าอาวรณ์ ต้องอ่านแปรเสียง “ศิลา” เป็น “ศินลา” เพื่อให้เอื้อสัมผัสกับคำ ว่าหิน เป็นต้น ๓. อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์ประเภทนั้น ๆ อาทิ กาพย์ยานี ๑๑ กลอนบทละคร กลอน ดอกสร้อย เป็นต้น ๔. อ่านให้สื่ออารมณ์ของคำประพันธ์ที่อ่าน ๕. ต้องอ่านด้วยใจรักจริง ๆ ไม่ฝืนใจอ่าน การสวดโอ้เอ้วิหารราย การสวดโอ้เอ้วิหารรายนั้นมีมานานแล้วตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย เนื่องจากชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ พุทธศาสนา ดังนั้น จึงนิยมฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือพุทธประวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พระพุทธ องค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรและทรงบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่นักปราชญ์ราชบัณฑิตในสมัยสุโขทัย นิยมนำมาเล่าให้กันฟังจนเป็นที่แพร่หลายในสังคม ซึ่งปรากฏในศิลาจารึกนครชุมด้านที่ ๑ เมื่อครั้งสมัยสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถได้เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ได้โปรดให้ประชุมสงฆ์และนักปราชญ์


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ราชบัณฑิต โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานแต่งมหาชาติคำหลวงจนครบ ๑๓ กัณฑ์ เพื่อเอาไว้สวดใน เทศกาลเข้าพรรษาในวิหารพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงอุทิศวังเป็นวัด มีการสวดและฝึกซ้อมสวดโอ้เอ้ กันตามบริเวณโดยรอบวิหาร จึงเป็นที่มาของคำว่า “โอ้เอ้วิหารราย” ซึ่งแต่เดิมบทที่ใช้สวดนำมาจากเรื่อง “มหาชาติคำหลวง” แต่ในปัจจุบันนี้เนื้อหาที่นิยมนำมาสวดคือ “กาพย์พระไชยสุริยา” และปัจจุบันจะสวดอยู่ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สวดเนื่องในวันสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา เป็นต้น การสวดโอ้เอ้วิหารรายนั้นมีทั้งหมด ๓ ทำนองประกอบด้วย ๑. ทำนองกาพย์ยานี ๑๑ /สาธุสะ/ละ เออ เฮอะ เออ เฮอะ เอย/จะ/ เหิ่ง เอิ่ง เอ่ย /ขอไหว้/ เหิ่ง เอิ่ง เอ่ย เฮอะ เอย /พระ /เหิ่ง เอิ่ง เอ่ย /ศรีไตร/เออ เฮอะ เออ เฮอะ เอย /สะ/เอ๋ย/ระณา/เอ่อ เออ เฮอะ เอิง เอิง เงย เอ๊ย ๏ สาธุสะ/จะ/ขอไหว้ พระ/ศรีไตร/สะ/ระณา พ่อแม่/แล/ครูบา เท/วะดา/ใน/ราศี ๏ ข้าเจ้า/เอา/ ก ข เข้า/มาต่อ/ ก/ กา มี แก้ไข/ใน/เท่านี้ ดี/มิดี/อย่า/ตรีชา ๏ จะร่ำ/คำ/ต่อไป พอ/ล่อใจ/กุ/มารา ธรณี/มี/ราชา เจ้า/ภารา/สา/วะถี ๏ ชื่อพระ/ไชย/สุริยา มี/สุดา/มะ/เหสี ชื่อว่า/สุ/มาลี อยู่/บูรี/ไม่/มีภัย ๏ ข้าเฝ้า/เหล่า/เสนา มี/กิริยา/อะ/ฌาศรัย พ่อค้า/มา/แต่ไกล ได้/อาศัย/ใน/ภารา ๏ ไพร่ฟ้า/ประ/ชาชี ชาว/บูรี/ก็/ปรีดา ทำไร่/เขา/ไถนา ได้/ข้าวปลา/แล/สาลี ๏ อยู่มา/หมู่/ข้าเฝ้า ก็/หาเยา/วะ/นารี ที่หน้า/ตา/ดีดี ทำ/มะโหรี/ที่/เคหา ๏ ค่ำเช้า/เฝ้า/สีซอ เข้า/แต่หอ/ล่อ/กามา หาได้/ให้/ภริยา โล/โภพา/ให้/บ้าใจ (ฉบับหอสมุดวชิรณาณ)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ๒. ทำนองกาพย์ฉบัง ๑๖ ขึ้นกงจงจำ/ เออ เฮอะ เอ่อ เอ้อ เอ๊ย /สำคัญ/ทั้งกน/ เอิง เอย /ปนกัน/รำพัน/ เออ เอ่อ /มิ่งไม้/ เอยฮะ เอ้อ เออ เอ่ย เฮ้อ..เอ๊ย /ในดง/ เฮิง เอย ๏ ขึ้น/กงจงจำ/สำคัญ ทั้งกน/ปนกัน รำพัน/มิ่งไม้/ในดง ๏ ไกร/กร่างยางยูง/สูงระหง ตลิงปลิง/ปริงประยงค์ คันทรง/ส่งกลิ่น/ฝิ่นฝาง ๏ มะ/ม่วงพวงพลอง/ช้องนาง หล่นเกลื่อน/เถื่อนทาง กินพลาง/เดินพลาง/หว่างเนิน ๏ เห็นกวาง/ย่างเยื้อง/ชำเลืองเดิน เหมือน/อย่าง/นางเชิญ พระแสง/สำอาง/ข้างเคียง ๏ เขาสูง/ฝูงหงส์/ลงเรียง เริงร้อง/ก้องเสียง สำเนียง/น่าฟัง/วังเวง ๏ กลางไพร/ไก่ขัน/บรรเลง ฟังเสียง/เพียงเพลง ซอเจ้ง/จำเรียง/เวียงวัง ๏ ยูงทอง/ร้องกะโต้ง/โห่งดัง เพียงฆ้อง/กลองระฆัง แตรสังข์/กังสะดาน/ขานเสียง ๏ กะลิงกะลาง/นางนวล/นอนเรียง/พระยาลอ/คลอเคียง แอ่นเอี้ยง/อีโก้ง/โทงเทง ๏ ค้อนทอง/เสียงร้อง/ป๋องเป๋ง เพลินฟัง/วังเวง อีเก้ง/เริงร้อง/ลองเชิง ๏ ฝูงละมั่ง/ฝังดิน/กินเพลิง ค่างแข็ง/แรงเริง ยืนเบิ่ง/บึ้งหน้า/ตาโพลง ๏ ป่าสูง/ยูงยาง/ช้างโขลง อึงคะนึง/ผึงโผง โยงกัน/เล่นน้ำ/คล่ำไป ฉบับหอสมุดวชิรณาณ


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ๓. ทำนองกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ขึ้นใหม่/ เอ่อ เฮอะ เอิง เอย..เฮอะ เอ่อ เออ เอ้อ เอ่อ เอ๊ย /ในกน/ เฮ่อ../ก กา/เหิ่ง เอิ่ง เอ่อ เอ๋ย /ว่าปน/เอย /ระคน/ เหิ่ง เอิ่ง เอ่อ เอ๋ย /กันไป/เฮ่อ/เอ็นดู/เหิ่ง เอิ่ง เอย เอ๋ย /ภูธร/เอย/มานอน/เหิ่ง เอิ่ง เอ่อ เอ๋ย /ในไพร/เฮ้อ /มณฑล/เหิ่ง เอิ่ง เอ่อ เอ๋ย /ต้นไทร/เอย/แทนไพ/เอ่อ เออ ฮือ..เออ เอ่อ เอ้อ /ชยนต์สถาน/ เอย..เออ เฮอะ เออ เฮอะ เอิง เอิง เอย ๏ขึ้นใหม่/ใน กน ก กา/ ว่าปน ระคน/กันไป เอ็นดู/ภูธร มานอน/ในไพร มณฑล/ต้นไทร แทน/ไพชยนต์สถาน ๏ ส่วนสุ/มาลี วันทา/สามี เทวี/อยู่งาน เฝ้าอยู่/ดูแล เหมือนแต่/ก่อนกาล ให้พระ/ภูบาล สำราญ/วิญญาณ์ ๏ พระชวนนวลนอน เข็ญใจ/ไม้ขอน เหมือนหมอน/แม่นา ภูธร/สอนมนต์ ให้บ่น/ภาวนา เย็นค่ำ/ร่ำว่า กันป่า/ภัยพาล ๏ วันนั้น/จันทร มีดา/รากร เป็นบ/ริวาร เห็นสิ้น/ดินฟ้า ในป่า/ท่าธาร มาลี/คลี่บาน ใบก้าน/อรชร ๏ เย็นฉ่ำ/น้ำฟ้า ชื่นชะ/ผะกา วายุ/พาขจร สาระพัน/จันทน์อิน รื่นกลิ่น/เกสร แตนต่อ/คล้อร่อน ว้าว่อน/เวียนระวัน ๏ จันทรา/คลาเคลื่อน กระเวนไพร/ไก่เถื่อน เตือนเพื่อน/ขานขัน ปู่เจ้า/เขาเขิน กู่เกริ่น/หากัน สินธุ/พุลั่น ครื้นครั่น/หวั่นไหว


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ ๏ พระฟื้น/ตื่นนอน ไกลพระ/นคร สะท้อน/ถอนฤทัย เช้าตรู่/สุริยน ขึ้นพ้น/เมรุไกร มีกรรม/จำไป ในป่า/อารัญ (ฉบับหอสมุดวชิรณาณ) ประวัติและความเป็นมาของการขับเสภา ความเป็นมาของการขับเสภานั้น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวถึงการกำเนิดของเสภา ใน กฎหมายตราสามดวงเรียก“คุก”ว่าเป็น“เสภา”ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นการขับเป็นเรื่องราวที่มีความยาว ทั้งนี้ สาเหตุที่เรียก“คุกว่าเสภานั้น”อาจเป็นเพราะคนในคุกมีการเล่าเรื่องในลักษณะของการขับให้มีท่วงทำนองและ น้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง จึงเรียกว่าขับเสภาก็เป็นได้ เรื่องราวที่นิยมขับขณะนั้นคือ เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือ เป็นเรื่อง“ทัณฑกรรมของวรรณกรรม”เลยก็ว่าได้ โดยมีคนในคุกเป็นพระเอกคือขุนแผน ดังนั้นการขับเสภาจึง มีจุดกำเนิดมาจากในคุกนั่นเอง ภายหลังการขับเสภาไม่ใช่มีเฉพาะในคุกเท่านั้น แต่ยังแพร่หลายและได้รับ ความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนทั่วไป เพราะสมัยก่อนการขับเสภาถือเป็นอาชีพ อาชีพหนึ่งที่สร้างรายได้ให้ นักขับเสภา เพราะผู้คนให้ความนิยม หากเปรียบเทียบกับปัจจุบันคงเป็นนักร้องนักดนตรีที่ได้รับความนิยม ผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เช่น นักร้องหมอลำหรือคอนเสิร์ตที่สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่ ผู้รับชมรับฟัง การขับเสภาสมัยก่อนจะขับทั้งในงานมงคลและงานอวมงคล เช่น งานโกนจุก งานบวช งานศพ เป็นต้น การขับเสภานั้นเป็นการเล่าเรื่องราวใส่ทำนอง เพื่อมุ่งให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้ฟัง ใน ระยะแรกเริ่มการขับจะอาศัยเสียงของคนขับเพียงอย่างเดียว ภายหลังมีการนำมาประยุกต์เพื่อให้ได้อรรถรสใน การฟัง โดยนำมาขับประกอบกับเครื่องดนตรี ประกอบกับไม้กรับ รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า“เสภาทรงเครื่อง” นักขับเสภาที่มีชื่อเสียงได้รับความนิยม และเป็นต้นแบบในการขับเสภาให้ชนรุ่นหลัง เช่น หลวงเสนาะดุริยพันธุ์ หมื่นขับคำหวาน เป็นต้น สังเกตได้ว่าบุคคลใดที่มีความเป็นเลิศในด้านการใช้เสียง มักจะมีชื่อที่เป็น เอกลักษณ์และชื่อนั้นล้วนสื่อถึงในเรื่องของการใช้เสียง หากกล่าวถึงการขับเสภาในสมัยปัจจุบันนี้ถือว่าได้รับ ความนิยมมากพอสมควร โดยเฉพาะในวงการศึกษา มีการจัดประกวดการฝึกอบรมในเรื่องของการอ่านทำนอง เสนาะ และการขับเสภากันอย่างแพร่หลาย ในมหาวิทยาลัยก็มีการเปิดสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิชา ภาษาไทย หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ในแง่มุมของกลอนเสภานั้น ไม่แตกต่างไปจากกลอนสุภาพในด้านของ การประพันธ์แต่อย่างใด แต่จะแตกต่างตรงที่การเรียกชื่อวรรคของกลอนเท่านั้นเอง ที่ได้ศึกษามาเราเข้าใจว่า กลอนสุภาพ ๑ บท จะมีด้วยกัน ๔ วรรค คือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครองและวรรคส่ง แต่กลอนเสภาจะไม่ได้ เรียกชื่อแต่ละวรรคเหมือนกับกลอนสุภาพ “หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก)” กล่าวไว้ในหนังสือประชุมลำ นำว่า กลอนเสภานั้นในแต่ละวรรคเรียกดังนี้


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ -วรรคที่ ๑ นารีเรียงหมอน -วรรคที่ ๒ ฉะอ้อนนางรำ -วรรคที่ ๓ ระบำเดินดง -วรรคที่ ๔ หงส์ชูคอ โดยทั่วไปการขับเสภามีการเกริ่นใน ๒ รูปแบบ คือ การเกริ่นยาวและเกริ่นสั้น นักขับเสภาจะเกริ่น อย่างไรนั้นพิจารณาดูจากตัวบทที่ใช้ขับ การขับเสภานั้นลักษณะการเอื้อนจะไม่มีข้อจำกัดเหมือนการอ่าน ทำนองเสนาะ จะเอื้อนจะใส่ลูกเล่นส่วนใดอย่างไรขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและไหวพริบของผู้ขับหรือที่นักขับ เสภาเรียกว่า“ทางในการขับเสภา” ตัวอย่างเช่น กลอนเสภาจากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนชมเรือนขุนช้าง ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ จำได้ไม่ผิดในตาพี่ เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง ปักเป็นมยุราลงรำร่อน ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา วินันตกหัศกันเป็นหลั่นมา การวิกอิสินธรยุคนธร อากาศคงคาชลาสินธุ์ มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน ไกรลาสสะอาดเอี่ยมอรชร ฝูงกินนรคนธรรพ์วิทยา" ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง สมสองต้องจิตเป็นหนักหนา ได้ร่วมรสรักร้างที่ห่างมา เสน่หาขุนแผนแสนอาวรณ์ นางหยิบใบยางมาต่างพัด โบกปัดยุงริ้นที่บินว่อน ปรนนิบัติมิให้ขัดอนาทร จนผัวนอนหลับสนิทด้วยเหนื่อยนัก นั่งอยู่ข้างผัวตัวคนเดียว ให้เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาเศร้าใจหนัก พอมนตร์หายคลายหลงพะวงรัก เห็นประจักษ์ทุกข์ร้อนก็ถอนใจ (ฉบับหอสมุดวชิรณาณ) \


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ กลอนเสภาจากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนพานางวันทองหนี สกุณากาแกก็แซ่ซ้อง ชะนีร้องเหนี่ยวไม้ในไพรสณฑ์ เห็นแสงพระอาทิตย์ผิดพิกล วะโหวดโหวยเวียนวนว่าเลือดย้อย เสียงเย็นเห็นยะยวบอยู่ปลายไม้ ไหวไหวผัวโวยโหยละห้อย พอเห็นคนแล่นโลดกระโดดลอย ลูกน้อยตามแต้กลัวแม่ทิ้ง ฝูงลิงไต่กิ่งลางลิงไขว่ ลางลิงแล่นไล่กันวุ่นวิ่ง ลางลิงชิงค่างขึ้นลางลิง กาหลงลงกิ่งกาหลงลง เพกากาเกาะทุกก้านกิ่ง กรรณิกากาชิงกันชมหลง มัดกากากวนล้วนกาดง กาฝากกาลงทำรังกา (ฉบับหอสมุดวชิรณาณ) การเห่เรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระอธิบายว่าเรือลำใดที่มีคนพายเป็น จำนวนมาก ย่อมต้องมี “สัญญาณ” ให้ฝีพายพายอย่างพร้อมเพรียงกัน จึงเป็นมูลเหตุให้เกิดการเห่เรือขึ้น ในประเทศไทยมีการเห่เรืออยู่ ๒ ประเภท คือ เห่เรือหลวง กับ เห่เรือเล่น การเห่เรือหลวงนั้นแต่เดิมใช้ภาษา สันสกฤตครั้นเวลาล่วงผ่านไปจึงเลือนหาย แต่อย่างไรก็ตามยังคงสืบทอดทำนองในการเห่เรือมาจนถึงปัจจุบัน จนเป็นที่รู้จักในทำนอง ช้าละวะเห่ มูละเห่ และ สวะเห่ บทเห่เรือส่วนใหญ่ที่ยังปรากฏอยู่จะเป็นบทพระราช นิพนธ์ของชนชั้นสูง และสำนวนที่นับว่าดีและได้รับความนิยมที่สุดคือ สำนวนของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ โดยแต่ง ด้วยคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพและกาพย์ยานี ๑๑ เรียกว่า “กาพย์เห่เรือ” โคลงสี่สุภาพ ปางเสด็จประเวศด้าว ชลาลัย ทรงรัตนพิมานชัย กิ่งแก้ว พรั่งพร้อมพวกพลไกร แหนแห่ เรือกระบวนต้นแพร้ว เพริศพริ้งพรายทอง (เกริ่นโคลง)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ กาพย์ยานี ๑๑ พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย กิ่งเเก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน (ช้าละวะเห่) นาวาแน่นเป็นขนัด ล้วนรูปสัตว์แสนยากร (มูละเห่) เรือริ้วทิวธงสลอน สาครลั่นครั่นครื้นฟอง เรือครุฑยุดนาคหิ้ว ลิ่วลอยมาพาผันผยอง พลพายกรายพายทอง ร้องโห่เห่โอ้เห่มา สรมุขมุขสี่ด้าน เพียงพิมานผ่านเมฆา ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดงแย่งมังกร สมรรถชัยไกรกาบแก้ว แสงแวววับจับสาคร เรียบเรียงเคียงคู่จร ดั่งร่อนฟ้ามาแดนดิน สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรมมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม เรือชัยไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม เสียงเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน “ช้าแลเรือ (ลูกคู่รับ เฮ เฮ เฮ) (สวะเห่) เฮโฮ้ เฮโฮ้ (ลูกคู่รับ เฮโฮ้ เฮโฮ้) เฮโฮ้ เฮเฮ (ลูกคู่รับ เฮโฮ้ เฮเฮ) เจ้าเอ๋ยก็พาย (ลูกคู่รับ พี่ก็พาย) พายเอ๋ยพายลง (ลูกคู่รับ พายลงให้เต็มพาย) โอ้ละเห่เห (ลูกคู่รับ โอ้เห่ เฮ เฮ เฮ) โอ้เห่มารา (ลูกคู่รับ โอ้เห่มารา โอ้เห่มารา) โอ้เห่เจ้าคะ (ลูกคู่รับ โอ้เห่เจ้าคะ มาระไชโย) ศรีชัยแก้วพ่อเอ๋ย (ลูกคู่รับ ชัยแก้วพ่ออา...เฮ)” (ฉบับหอสมุดวชิรณาณ)


เอกสารประกอบการบรรยาย โดย นายรณชัย หวังกวดกลาง ครูโรงเรียนสวายวิทยาคาร สพม.สุรินทร์ เอกสารอ้างอิง กำชัย ทองหล่อ. (๒๕๒๕). หลักภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : เจริญรัตน์การพิมพ์. นันทา ขุนภักดี. (๒๕๓๔). “คีตวรรณกรรม : นานาทำนองร้อยกรองไทย.”ใน การประชุมทางวิชาการ เอกลักษณ์ไทยใส่ใจในภาษา. ___________. (๒๕๕๘). การอ่านทำนองร้อยกรองไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มติชน ปากเกร็ด. รณชัย หวังกวดกลาง. (๒๕๖๖). รวบรวมและเรียบเรียงประกอบการบรรยาย“รายวิชาศิลปะการอ่านออก เสียง.”ณ สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยสุรินทร์. รณชัย หวังกวดกลาง. (๒๕๖๗). รวบรวมและเรียบเรียงประกอบการบรรยาย“ค่ายรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ กานท์ เสนาะเสียงสำเนียงศัพท์.” ณ โรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์


Click to View FlipBook Version