The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fangartwm, 2019-10-08 00:10:07

1110061313273950_14121310104836

1110061313273950_14121310104836

ใบความรู้เร่ืองระบบนิเวศ วชิ าวิทยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 1

ระบบนิเวศ
(ECOSYSTEM)

1. ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem)
ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในแหล่งท่ีอยแู่ หล่งใดแหล่งหน่ึง

ระบบนิเวศเป็นหน่วยที่สาคญั ท่ีสุดในการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม เพราะประกอบ
ไปดว้ ยส่ิงมีชีวติ หลากหลายชนิด มีการแลกเปล่ียนสสาร แร่ธาตุ และพลงั งานกบั สิ่งแวดลอ้ ม โดยผา่ นห่วงโซ่
อาหาร (food chain) มีลาดบั ของการกินเป็นทอด ๆ ทาใหส้ สารและแร่ธาตุมีการหมุนเวยี นไปใชใ้ นระบบจนเกิด
เป็นวฏั จกั ร ทาใหม้ ีการถ่ายทอดพลงั งานไปตามลาดบั ข้นั เป็นช่วง ๆในห่วงโซ่อาหารได้ การจาแนก
องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ ส่วนใหญจ่ ะจาแนกไดเ้ ป็ นสององคป์ ระกอบใหญ่ ๆ คือ องคป์ ระกอบที่มีชีวติ และ
องคป์ ระกอบที่ไม่มีชีวิต

 สิ่งมีชีวติ (Organism)หมายถึง สิ่งท่ีตอ้ งใชพ้ ลงั งานในการดารงชีวิต
 ประชากร (Population)หมายถึง สิ่งมีชีวติ ท้งั หมดที่เป็นชนิดเดียวกนั อาศยั อยใู่ นแหล่งท่ีอยเู่ ดียวกนั ณ

ช่วงเวลาเดียวกนั
 กลุ่มส่ิงมีชีวติ (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวติ ต่างๆ หลายชนิด มาอาศยั อยรู่ วมกนั ในบริเวณใดบริเวณ

หน่ึง โดยสิ่งมีชีวติ น้นั ๆ มีความสัมพนั ธ์กนั โดยตรงหรือโดยทางออ้ ม
 โลกของส่ิงมีชีวติ (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกนั
 แหล่งที่อยู่ (Habitat)หมายถึง แหล่งท่ีอยอู่ าศยั ของกลุ่มสิ่งมีชีวติ ต่างๆ ท้งั บนบกและในน้า
 ส่ิงแวดลอ้ ม (Environment)หมายถึง ส่ิงที่มีผลตอ่ การดารงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ

2. ประเภทของระบบนิเวศ หากใชเ้ กณฑแ์ หล่งท่ีอยใู่ นการแบง่ ประเภทของระบบนิเวศ สามารถแบง่ ได้ 2
ประเภท คือ

1. ระบบนิเวศบนบก (terrestrial ecosystem) หมายถึงระบบนิเวศท่ีกลุ่มสิ่งมีชีวติ ภายในระบบนิเวศ
อาศยั อยบู่ นพ้นื ดิน เช่นระบบนิเวศบนขอนไม้ ระบบนิเวศในทุ่งหญา้ ระบบนิเวศในป่ า เป็นตน้

2. ระบบนิเวศในนา้ (aquatic ecosystem) หมายถึงระบบนิเวศที่กลุ่มส่ิงมีชีวติ ภายในระบบอาศยั อยใู่ น
แหล่งน้าต่างๆ เช่น ระบบนิเวศในสระน้า ระบบนิเวศในทะเล ระบบนิเวศในตูป้ ลา เป็นตน้

3. องค์ประกอบของระบบนิเวศ
การจาแนกองคป์ ระกอบของระบบนิเวศแยกตามหนา้ ที่ในระบบ ไดแ้ ก่พวกที่สร้างอาหารไดเ้ อง

(autotroph) และสิ่งมีชีวติ ไดร้ ับอาหารจากสิ่งมีชีวติ อื่น (heterotroph) อยา่ งไรกต็ ามการจาแนกองคป์ ระกอบของ
ระบบนิเวศโดยทวั่ ไปมกั ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีมีชีวติ (biotic) และองคป์ ระกอบที่ไม่มีชีวติ (abiotic)

2.1 องคป์ ระกอบที่มีชีวติ (biotic component) ไดแ้ ก่
2.1.1 ผผู้ ลิต (producer or autotrophic) ไดแ้ ก่สิ่งมีชีวติ ท่ีสร้างอาหารเองได้ จากสาร

ใบความรู้เร่ืองระบบนิเวศ วชิ าวิทยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 2

อนินทรียส์ ่วนมากจะเป็นพืชท่ีมีคลอโรฟิ ลล์
2.1.2 ผบู้ ริโภค (consumer) ไดแ้ ก่ส่ิงมีชีวติ ท่ีไมส่ ามารถสร้างอาหารเองได้ (heterotroph)

ส่วนใหญ่เป็ นสัตวท์ ่ีกินสิ่งมีชีวติ อื่นเป็นอาหาร เน่ืองจากสัตวเ์ หล่าน้ีมีขนาดใหญ่จึงเรียกวา่ แมโครคอนซูมเมอร์
(macroconsumer) แบง่ ออกเป็น

ก. ผบู้ ริโภคพชื (Herbivoe) สิ่งมีชีวติ ท่ีกินแตพ่ ชื เป็นอาหาร เช่น ววั ควาย ชา้ ง
มา้ ยรี าฬ ฯลฯ ซ่ึงเป็นสตั วท์ ี่ไมด่ ุร้าย

ข. ผบู้ ริโภคสตั ว์ (Carnivore) ส่ิงมีชีวติ ที่กินแต่เน้ือสัตว์ เป็ นผลู้ ่าในระบบนิเวศ
มีลกั ษณะดุร้าย ตวั ใหญ่ เช่น สัตว์ สิงโต ถา้ ตวั เล็กจะหากินเป็นฝงู หมาใน ปลาปิ ลนั ยา

ค. ผบู้ ริโภคท้งั พืชและสตั ว์ (Omnivore) สิ่งมีชีวติ ท่ีกินท้งั พืชและสตั วเ์ ป็น
อาหาร เช่น คน เป็ด ไก่ สุนขั แมว ฯลฯ

ง. ผบู้ ริโภคซากพชื ซากสัตว์ (Scavenger) สิ่งมีชีวติ ที่กินซากเป็นอาหาร เช่น
แร้ง ไส้เดือน มด ปลวก ฯลฯ

2.1.3 ผยู้ อ่ ยสลายซาก (decomposer, saprotroph, osmotroph หรือ microconsumer)
ไดแ้ ก่สิ่งมีชีวติ ขนาดเลก็ ที่สร้างอาหารเองไม่ได้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา (fungi) และแอกทีโนมยั ซีท
(actinomycete) ทาหนา้ ที่ยอ่ ยสลายซากส่ิงมีชีวติ ที่ตายแลว้ ในรูปของสารประกอบโมเลกลุ ใหญใ่ หก้ ลายเป็น
สารประกอบโมเลกุลเล็กในรูปของสารอาหาร (nutrients) เพ่ือใหผ้ ผู้ ลิตนาไปใชไ้ ดใ้ หม่อีก

2.2 องคป์ ระกอบที่ไมม่ ีชีวิต (abiotic component) ไดแ้ ก่
2.2.1 สารอนินทรีย์ (inorganic substances) ประกอบดว้ ยแร่ธาตุและสารอนินทรียซ์ ่ึง

เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในเซลลส์ ่ิงมีชีวติ เช่น คาร์บอน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และน้าเป็นตน้ สาร
เหล่าน้ีมีการหมุนเวยี นใชใ้ นระบบนิเวศ เรียกวา่ วฏั จกั รของสารเคมีธรณีชีวะ (biogeochemical cycle)

2.2.2 สารอินทรีย์ (organic compound) ไดแ้ ก่สารอินทรียท์ ี่จาเป็นตอ่ ชีวติ เช่นโปรตีน
คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และซากสิ่งมีชีวติ เน่าเป่ื อยทบั ถมกนั ในดิน (humus) เป็นตน้

2.2.3 สภาพภูมิอากาศ (climate regime) ไดแ้ ก่ปัจจยั ทางกายภาพท่ีมีอิทธิพลตอ่
สิ่งแวดลอ้ ม เช่น อุณหภมู ิ แสง ความช้ืน อากาศ และพ้นื ผวิ ที่อยอู่ าศยั (substrate) ซ่ึงรวมเรียกวา่ ปัจจยั จากดั
(limiting factors)

กระบวนการหลกั สองอยา่ งของระบบนิเวศคือ การไหลของพลงั งานและการหมุนเวยี นของ
สารเคมี การไหลของพลงั งาน (energy flow) เป็นการส่งผา่ นของพลงั งานในองคป์ ระกอบของระบบนิเวศ ส่วน
การหมุนเวยี นสารเคมี (chemical cycling) เป็นการใชป้ ระโยชนแ์ ละนากลบั มาใชใ้ หม่ของแร่ธาตุภายในระบบ
นิเวศ อาทิเช่น คาร์บอน และ ไนโตรเจน

พลงั งานท่ีส่งมาถึงระบบนิเวศท้งั หลายอยใู่ นรูปของแสงอาทิตย์ พชื และผผู้ ลิตอ่ืนๆจะทาการ
เปลี่ยนพลงั งานแสงใหเ้ ป็นพลงั งานเคมีในรูปของอาหารที่ใหพ้ ลงั งานเช่นแป้ งหรือคาร์โบไฮเดรต พลงั งานจะ
ไหลต่อไปยงั สัตวโ์ ดยการกินพืช และผผู้ ลิตอื่นๆ ผยู้ อ่ ยสลายสารที่สาคญั ไดแ้ ก่ แบคทีเรียและฟังไจ (fungi)ในดิน
โดยไดร้ ับพลงั งานจากการยอ่ ยสลายซากพืชและซากสตั วร์ วมท้งั ส่ิงมีชีวติ ต่าง ๆ ที่ตายลงไป ในการใชพ้ ลงั งาน

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 3

เคมีเพ่อื ทางาน สิ่งมีชีวติ จะปล่อยพลงั งานความร้อนไปสู่บริเวณรอบๆตวั ดงั น้นั พลงั งานความร้อนน้ีจึงไมห่ วน
กลบั มาในระบบนิเวศไดอ้ ีก ในทางกลบั กนั การไหลของพลงั งานผา่ นระบบนิเวศ สารเคมีตา่ งๆสามารถนา
กลบั มาใชไ้ ดอ้ ีกระหวา่ ง สังคมของสิ่งมีชีวติ และสิ่งแวดลอ้ มท่ีไม่มีชีวติ พชื และผผู้ ลิตลว้ นตอ้ งการธาตุคาร์บอน
ไนโตรเจน และแร่ธาตุอื่นๆในรูปอนินทรียสารจากอากาศ และดิน

การสังเคราะห์ดว้ ยแสง(photosynthesis)ไดร้ วมเอาธาตุเหล่าน้ีเขา้ ไวใ้ นสารประกอบอินทรีย์ อาทิ
เช่น คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน สัตวต์ า่ งๆไดร้ ับธาตุเหล่าน้ีโดยการกินสารอินทรีย์ เมแทบบอลิซึม
(metabolism) ของทุกชีวติ เปล่ียนสารเคมีบางส่วนกลบั ไปเป็นสารไมม่ ีชีวติ ในส่ิงแวดลอ้ มในรูปของสารอนินทรีย์
การหายใจระดบั เซลล(์ respiration) เป็นการทาให้โมเลกุลของอินทรียสารแตกสลายออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
และน้า การหมุนเวยี นของสารสาเร็จลงไดด้ ว้ ยจุลินทรียท์ ี่ยอ่ ยอินทรียสารที่ตายลงและของเสียเช่นอุจจาระ และ
เศษใบไม้ ผยู้ อ่ ยสลายเหล่าน้ีจะกกั เกบ็ เอาธาตุตา่ งๆไวใ้ นดิน ในน้า และในอากาศ ในรูปของ สารอนินทรีย์ ซ่ึง
พืชและผผู้ ลิตสามารถนามาสร้างเป็นสารอินทรียไ์ ดอ้ ีกคร้ัง หมุนเวยี นกนั ไปเป็นวฏั จกั ร

ที่มา:http://www.phschool.com/atschool/science_activity_library/images/photosynthesis.jpg
ภาพที่ 1

ระดบั การกนิ อาหาร และห่วงโซ่อาหาร (trophic level and food web) ลาดบั การถ่ายทอดอาหารจาก

ระดบั หน่ึงไปสู่อีกระดบั เรียกวา่ ห่วงโซ่อาหาร (food chain) (ดงั ภาพที่ 2)ภาพ สัตวพ์ วก herbivore เป็นสัตวก์ ิน
พืช สาหร่ายและแบคทีเรีย จดั เป็นผบู้ ริโภคแรกเริ่ม (primary consumers) พวก carnivore ซ่ึงจะกินผบู้ ริโภค
เรียกวา่ ผบู้ ริโภคลาดบั สอง (secondary consumers) ไดแ้ ก่สัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม ขนาดเล็ก สตั วฟ์ ันแทะ นก กบ และ
แมงมุม สิงโตและสตั วใ์ หญ่ที่กินพชื ( herbivores) ในนิเวศแหล่งน้าส่วนใหญ่เป็นปลาขนาดเลก็ ที่กินแพลงคต์ อน
สัตว์ (zooplankton) รวมถึงสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ใตท้ อ้ งน้า ระดบั การกินที่สูงข้ึนมาอีกคือผบู้ ริโภคลาดบั สาม
(tertiary consumers) ไดแ้ ก่งู ที่กินหนู บางแห่งอาจมีผบู้ ริโภคลาดบั สี่ (quaternary consumers) ไดแ้ ก่นกฮกู และ
ปลาวาฬ

ห่วงโซ่อาหารจะไม่สมบรู ณ์ถา้ ไม่มีผยู้ อ่ ยสลาย(detritivore หรือ decomposer) ไดแ้ ก่ จุลินทรีย์
(โพรแคริโอต และ ฟังไจ) ซ่ึงจะเปลี่ยน อินทรียสารเป็นอนินทรียสาร ซ่ึงพืชและผผู้ ลิตอื่น ๆสามารถ นากลบั ไป

ใบความรู้เร่ืองระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 4

ใชไ้ ดอ้ ีก พวก scavenger คือสตั วท์ ่ีกินซาก เช่น ไส้เดือนดิน สตั วฟ์ ันแทะและแมลงที่กินซากใบไม้ สัตวท์ ่ีกินซาก
อื่นๆไดแ้ ก่ ปูเสฉวน ปลาดุก และอีแร้ง เป็ นตน้

ภาพท่ี 2 ตวั อยา่ งห่วงโซ่อาหาร (food chain) หวั ลูกศรแสดงเส้นทางการลาเลียงอาหารจากพืชผผู้ ลิตผา่ นไปสู่
ผบู้ ริโภคแรกเร่ิมท่ีกินพืช (herbivore) ผบู้ ริโภคลาดบั สอง ผบู้ ริโภคลาดบั สามไปจนถึงผบู้ ริโภคลาดบั ส่ีที่กินเน้ือ

(carnivore)
ที่มา : (http://wps.aw.com/bc_campbell_ essentials _2/ 0,7641,708230-,00.html)

ภาพที่ 3 ฟังไจ (fungi) กาลงั ยอ่ ยสลายซากขอนไม้
จากภาพที่ 2 สามารถห่วงโซ่อาหารไดอ้ ีกรูปแบบดงั น้ี
ห่วงโซ่อาหารท่ี 1 พืช  แมลง  หนู  งู  เหยยี่ ว
ห่วงโซ่อาหารที่ 2 แพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์ ปลาขนาดเลก็  ปลาขนาดใหญ่  ปลาฉลาม

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 5

สายใยอาหาร (food web) ระบบนิเวศจานวนนอ้ ยท่ีประกอบไปดว้ ยห่วงโซ่อาหารเดี่ยวๆโดยไม่มีสาขา

ยอ่ ยๆ ผบู้ ริโภคแรกเริ่มหลายรูปแบบมกั จะกินพชื ชนิดเดียวกนั และผบู้ ริโภคแรกเริ่มชนิดเดียวอาจกินพชื หลาย
ชนิดดงั น้นั สาขายอ่ ยของห่วงโซ่อาหารจึงเกิดข้ึนในระดบั การกินอ่ืนๆดว้ ย ตวั อยา่ งเช่น กบตวั เตม็ วยั ซ่ึงเป็น
ผบู้ ริโภคลาดบั สองกินแมลงหลายชนิดซ่ึงอาจถูกกินโดยนกหลายชนิด นอกจากน้ีแลว้ ผบู้ ริโภคบางชนิดยงั กิน
อาหารในระดบั การกินที่แตกต่างกนั นกฮกู กินหนูซ่ึงเป็นผบู้ ริโภคแรกเร่ิมที่กินสตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั บางชนิด
แตน่ กฮูกอาจกินงูซ่ึงเป็ นส่ิงมีชีวติ ท่ีกินเน้ืออีกดว้ ย ส่ิงมีชีวิตท่ีกินท้งั พืชและสัตว์ รวมท้งั มนุษยด์ ว้ ย(omnivore) จะ
กินท้งั ผผู้ ลิตและผบู้ ริโภคในระดบั การกินตา่ งๆ ดงั น้นั ความสัมพนั ธ์เชิงการกินอาหารในระบบนิเวศจึงถูกถกั ทอ
ใหม้ ีความละเอียดซบั ซอ้ นมากยงิ่ ข้ึนจนกลายเป็นสายใยอาหาร (food web)

ภาพท่ี 4 สายใยอาหารแบบไมซ่ บั ซอ้ น ทิศทางหวั ลูกศรหมายถึง ใครบริโภคใคร
(ผทู้ ่ีอยตู่ าแหน่งตน้ ของลูกศรจะถูกกินโดยผทู้ ี่อยตู่ าแหน่งปลายลูกศร)และ
ทิศทางการ เคลื่อนยา้ ยของสารอาหารจะถูกส่งผา่ นไปตามทิศทางของลูกศร

ที่มา : (http://wps.aw.com/bc_campbell_ essentials _2/ 0,7641,708230-,00.html

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 6

การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ

การถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหาร การถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหารอาจแสดงในในลกั ษณะของ

สามเหล่ียมพรี ามิดของสิ่งมีชีวติ (ecological pyramid) แบ่ง ได้ 3 ประเภทตามหน่วยที่ใชว้ ดั ปริมาณของลาดบั ข้นั
ในการกิน

1. พรี ามดิ จานวนของส่ิงมีชีวิต (pyramid of number) แสดงจานวนส่ิงมีชีวติ เป็ นหน่วยตวั ต่อพ้นื ท่ี โดยทวั่ ไป
พรี ะมิดจะมีฐานกวา้ ง ซ่ึงหมายถึง มีจานวนผผู้ ลิตมากที่สุด และจานวน ผบู้ ริโภคลาดบั ต่างๆ ลดลงมา แตก่ ารวดั
ปริมาณพลงั งานโดยวธิ ีน้ี อาจมีความคลาดเคล่ือนไดเ้ น่ืองจากส่ิงมีชีวติ ไม่วา่ จะเป็นเซลลเ์ ดียว หรือหลายเซลล์
ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ไส้เดือน จะนบั เป็ นหน่ึงเหมือนกนั หมด แต่ความเป็นจริงน้นั ในแง่ปริมาณพลงั งาน
ที่ไดร้ ับหรืออาหารท่ีผบู้ ริโภคไดร้ ับจะมากกวา่ หลายเทา่ ดงั น้นั จึงมีการพฒั นารูปแบบในรูปของพิรามิดมวลของ
ส่ิงมีชีวติ

pyramid of number

2. พรี ามิดมวลของส่ิงมีชีวติ (pyramid of mass) โดยพริ ามิดน้ีแสดงปริมาณของส่ิงมีชีวติ ในแตล่ ะลาดบั ข้นั ของ
การกินโดยใชม้ วลรวมของน้าหนกั แหง้ (dry weight) ของสิ่งมีชีวติ ต่อพ้ืนท่ีแทนการนบั จานวนพีรามิดแบบน้ีมี
ความแมน่ ยามากกวา่ แบบที่ 1 แต่ในความเป็นจริงจานวนหรือมวล ของส่ิงมีชีวติ มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
เช่น ตามฤดูกาลหรือ ตามอตั ราการเจริญเติบโต ปัจจยั เหล่าน้ี จึงเป็นตวั แปร ท่ีสาคญั อยา่ งไรก็ดีถึงแมม้ วลท่ีมาก
ข้ึนเช่นตน้ ไมใ้ หญ่ จะผลิตเป็ นสารอาหารของผบู้ ริโภคไดม้ ากแตก่ ย็ งั นอ้ ยกวา่ ที่ผบู้ ริโภคไดจ้ าก ส่ิงมีชีวติ เล็กๆ
เช่น สาหร่ายหรือแพลงกต์ อน ท้งั ๆที่มวล หรือปริมาณของสาหร่ายหรือแพลงกต์ อนนอ้ ยกวา่ มาก ดงั น้นั จึงมีการ
พฒั นาแนวความคิดในการแกป้ ัญหาน้ี โดยในการเสนอรูปของพีรามิดพลงั งาน (pyramid of energy)

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 7

pyramid of mass

3. พรี ามิดพลงั งาน (pyramid of energy) เป็นปิ รามิดแสดงปริมาณพลงั งานของแตล่ ะลาดบั ช้นั ของการกินซ่ึงจะมี
ค่าลดลงตามลาดบั ข้นั ของการโภค

pyramid of energy

ท่ีมาของภาพ : http://www.gang_diary.th.gs/web-g/a-tiam/page6.html

ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวติ ในระบบนิเวศ

ในระบบนิเวศกลุ่มส่ิงมีชีวติ จะมีความสัมพนั ธ์กนั ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ถา้ พจิ ารณาจากการได้
ประโยชนห์ รือเสียประโยชน์ของฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง เราสามารถแบ่งความสัมพนั ธ์ระห่างส่ิงมีชีวติ ออกเป็น 3
ลกั ษณะ คือ

1. ส่ิงมีชีวติ ท่ีอาศยั อยรู่ ่วมกนั โดยตา่ งฝ่ ายต่างใหป้ ระโยชน์ซ่ึงกนั และกนั (+/+) หมายถึงส่ิงมีชีวติ ที่อยู่
ร่วมกนั ในแหล่งที่อยเู่ ดียวกนั น้นั ไดป้ ระโยชนด์ ว้ ยกนั ท้งั สองฝ่ าย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 ภาวะการไดป้ ระโยชนร์ ่วมกนั (protocooperation) เป็นการอยรู่ ่วมกนั ของส่ิงมีชีวิต 2 ชนิดท่ีไดร้ ับ

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 8

ประโยชน์ร่วมกนั โดยท่ีสิ่งมีชีวติ ท้งั สองไม่จาเป็ นตอ้ งอยรู่ ่วมกนั เสมอไป สามารถแยกกนั อยไู่ ด้ เช่น แมลงกบั
ดอกไม้ นกเอ้ียงกบั ควาย ปลาการ์ตูนกบั ดอกไมท้ ะเล เพล้ียกบั มด

1.2 ภาวะพ่งึ พากนั (mutualism) เป็นการอยรู่ ่วมกนั ของสิ่งมีชีวติ ที่ตอ้ งอยรู่ ่วมกนั ตลอดชีวติ ถา้ แยก
จากกนั จะไม่สามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้ เช่น รากบั สาหร่าย ท่ีเรียกวา่ ไลเคน (Lichen) โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก

2. ส่ิงมีชีวติ ท่ีอาศยั อยกู่ นั โดยฝ่ ายหน่ึงไดป้ ระโยชน์อีกฝ่ ายหน่ึงไม่ไดป้ ระโยชน์แต่กไ็ มเ่ สียประโยชน์
(+/0) เรียกวา่ ภาวะเก้ือกลู หรืออิงอาศยั ( commensalism) เช่น ปลาฉลามกบั เหาฉลาม พลูด่างบนตน้ ไมใ้ หญ่

3. ส่ิงมีชีวติ ที่อยรู่ ่วมกนั ในลกั ษณะฝ่ ายหน่ึงไดป้ ระโยชนอ์ ีกฝ่ ายหน่ึงเสียประโยชน์(+/-) แบ่งเป็น 2
ลกั ษณะ คือ

3.1 ภาวะล่าเหยอื่ (predation) ส่ิงมีชีวติ ท่ีไดป้ ระโยชนเ์ รียกวา่ ผลู้ ่า สิ่งมีชีวติ ที่เสียประโยชนเ์ รียกวา่
เหยอ่ื เช่น เสือล่ากวาง งูล่ากบ

3.2 ภาวปรสิต (parasitism)เป็นภาวะท่ีสิ่งมีชีวติ ชนิดหน่ึงไปอาศยั กบั สิ่งมีชีวติ อีกชนิดหน่ึง โดยผถู้ ูก
อาศยั เรียกวา่ host เป็นผเู้ สียประโยชน์ ส่วนผอู้ าศยั เรียกวา่ ปรสิต(parasite) เป็นผไู้ ดป้ ระโยชน์ เช่น กาฝากกบั ตน้
มะมว่ ง หาบนศีรษะคน เห็บบนตวั สุนขั

การหมนุ เวยี นสารในระบบนิเวศ

ในระบบนิเวศน์ ท้งั สสารและแร่ธาตุต่างๆ จะถูกหมุนเวยี นกนั ไปภายใตเ้ วลาที่เหมาะสมและมีความ
สมดุลซ่ึงกนั และกนั วนเวยี นกนั เป็นวฏั จกั รท่ีเรียกวา่ วฏั จักรของสสาร (matter cycling) ซ่ึงเปรียบเสมือนกลไก
สาคญั ท่ีเช่ือมโยงระหวา่ ง สสาร และพลงั งานจากธรรมชาติสู่สิ่งมีชีวติ แลว้ ถ่ายทอดพลงั งานในรูปแบบของการ
กินต่อกนั เป็นทอดๆ ผลสุดทา้ ยวฏั จกั รจะสลายใน ข้นั ตอนทา้ ยสุดโดยผยู้ อ่ ยสลายกลบั คืนสู่ธรรมชาติ วฏั จกั รของ
สสารท่ีมีความสาคญั ต่อสมดุลของระบบนิเวศ ไดแ้ ก่ วฏั จกั รของน้า วฏั จกั รของไนโตรเจน วฏั จกั รของคาร์บอน
และ วฏั จกั รของฟอสฟอรัส

1. วฏั จักรของนา้

พ้นื ผวิ ของโลกประกอบดว้ ยแหล่งน้าประมาณ 3ใน4 ส่วน น้าเป็นสิ่งจาเป็นอยา่ งยงิ่ ต่อส่ิงมีชีวติ ทุกชนิด
เพราะน้าเป็ นองคป์ ระกอบส่วนใหญ่ของเซลล์ เป็นตวั กลางสาคญั ของกระบวนการต่างๆ ในส่ิงมีชีวติ และเป็น
แหล่งท่ีอยกู่ ารหมุนเวยี นเปล่ียนแปลงของน้าหรือวฎั จกั รของน้า คือ ปรากฎการณ์ที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ โดย
เร่ิมตน้ จากน้าในแหล่งน้าตา่ ง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่น้า ลาคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายน้าของพชื
จากการขบั ถ่ายของเสียของส่ิงมีชีวติ และจากกิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นการดารงชีวิตของมนุษย์ ระเหยข้ึนไปใน
บรรยากาศ กระทบความเยน็ ควบแน่นเป็นละอองน้าเลก็ ๆ เป็นกอ้ นเมฆ ตกลงมาเป็นฝนหรือลูกเห็บสู่พ้ืนดินไหล
ลงสู่แหล่งน้าตา่ ง ๆ หมุนเวยี นอยเู่ ช่นน้ีเรื่อยไป และปัจจยั ที่ช่วยใหเ้ กิดวฏั จกั รของน้า คือ

1. ความร้อนจากดวงอาทติ ย์ ทาใหเ้ กิดการระเหยของน้าจากแหล่งน้าตา่ ง ๆ กลายเป็นไอน้าข้ึนสู่
บรรยากาศ

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวิทยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 9

2. กระแสลม ช่วยทาใหน้ ้าระเหยกลายเป็นไอไดเ้ ร็วข้ึน
3. มนุษย์และสัตว์ ขบั ถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหง่ือ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอน้าสู่
บรรยากาศ

4. พชื รากตน้ ไมเ้ ปรียบเหมือนฟองน้า มีความสามารถในการดูดน้าจากดินจานวนมากข้ึนไปเก็บไวใ้ น
ส่วนต่าง ๆ ท้งั ยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลาตน้ แลว้ คายน้าสู่บรรยากาศ ไอเหล่าน้ีจะควบแน่นและรวมกนั
เป็นเมฆและตกลงมาเป็นฝนตอ่ ไป ดงั ภาพ

วฏั จกั รของน้า

2. การหมุนเวยี นก๊าซไนโตรเจนในระบบนิเวศ(Nitrogen Cycle)
สารประกอบไนโตรเจนจะมีอยใู่ นดิน ในน้า และเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของอากาศท่ีห่อหุม้ โลก เป็ นแร่
ธาตุหลกั สาคญั 1 ใน 4 ธาตุท่ีส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดตอ้ งการ เพื่อนาไปสร้างโปรตีนสาหรับ การเจริญเติบโต ใน
บรรยากาศมีกา๊ ซไนโตรเจน ประมาณร้อยละ 78 แต่ส่ิงมีชีวติ ไม่สามารถนามาใชไ้ ดโ้ ดยตรง แตจ่ ะใชไ้ ดเ้ ม่ืออยู่
ในสภาพในรูปของสารประกอบไนโตรเจนคือ แอมโมเนีย ไนไตรทแ์ ละไนเตรท ไนโตรเจนในบรรยากาศ จึง
ตอ้ งเปลี่ยนรูปใหอ้ ยใู่ นสภาพที่ส่ิงมีชีวติ ส่วนใหญจ่ ะใชไ้ ดก้ ารหมุนเวยี นของไนโตรเจนจึงตอ้ งผา่ นส่ิงมีชีวติ
เสมอ
วฏั จกั รน้ีจึงประกอบดว้ ยขบวนการตรึงไนโตรเจน (Nitrogen Fixation) ขบวนการสร้างแอมโมเนีย
(Ammonification) ขบวนการสร้างไนเตรด (Nitrification) และขบวนการสร้างไนโตรเจน (Denitrification)
ขบวนการเหล่าน้ีจะตอ้ งอาศยั แบคทีเรีย จุลินทรีย์ อ่ืน ๆ จานวนมาก จึงทาใหเ้ กิดสมดุลของวฏั จกั รไนโตรเจน
นอกจากจะถูกตรึง โดยสิ่งมีชีวติ เช่นแบคทีเรียในปมรากพชื ตระกลู ถวั่ แลว้ ไนโตรเจนในบรรยากาศ ยงั ถูกตรึง
จากธรรมชาติอีกดว้ ย เป็นตน้ วา่ เม่ือเกิดฟ้ าแลบข้ึนมา ไนโตรเจนในทอ้ งฟ้ าจะเปล่ียนแปลงทางเคมี ฟิ สิกส์
ก่อใหเ้ กิดสารประกอบไนเตรดข้ึนมา จากน้นั จะถูกน้าฝนชะพาลงสู่พ้ืนดิน โดย พืชใชไ้ นโตรเจนในรูปของ
สารประกอบ ไดแ้ ก่ เกลือแอมโมเนีย เกลือไนไตรด์ เหลือไนเตรต เพอื่ นาไปสร้างสารประกอบตา่ งๆ ในเซลล์

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 10

ส่วนสตั วไ์ ดร้ ับไนโตรเจนจากการกินอาหารที่ต่อเน่ืองมาเป็นลาดบั ซ่ึงจะมีการถ่ายทอดจากพชื มาตามห่วงโซ่
อาหารและสายใยอาหาร การขบั ถ่ายของสัตว์ ซ่ึงสารขบั ถ่ายอยใู่ นรูปสารประกอบไนโตรเจน คือ แอมโมเนีย ทา
ใหม้ ีไนโตรเจนกลบั คืนสู่บรรยากาศเช่นกนั ดงั ภาพ

วฎั จกั รไนโตรเจน

3. การหมุนเวยี นของคาร์บอนในระบบนิเวศ
คาร์บอน (C) เป็นธาตุสาคญั ที่เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของอินทรียส์ ารในร่างกายส่ิงมีชีวติ

เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมนั ฯลฯ และเป็นสารอินทรียท์ ี่มีอยใู่ นระบบนิเวศ ในบรรยากาศ มี กา๊ ซ
คาร์บอนไดออกไซดซ์ ่ึงเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ที่พชื นามาใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะห์แสง ในระบบนิเวศการ
หมุนเวยี นของคาร์บอนตอ้ งผา่ นส่ิงมีชีวติ เสมอ แต่คาร์บอนในธรรมชาติเกิด จากการสะสมของตะกอนซากพืช
ซากสัตวใ์ ตผ้ วิ โลก เป็นเวลานานจนมีการเปลี่ยนสภาพเป็ น ถ่านหินและปิ โตรเลียม ซ่ึงเป็นพลงั งานแหล่งใหญ่
เม่ือมีการนามาใชป้ ระโยชน์เป็นเช้ือเพลิงก็ จะมีการคืนคาร์บอนกลบั สู่บรรยากาศในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์
และหมุนเวยี นกลบั ใหพ้ ืช นาไปใชป้ ระโยชนต์ ่อไป ดงั น้นั คาร์บอนจึงหมุนเวยี นเป็นวฎั จกั รที่อยใู่ นระบบนิเวศ
อยา่ งสมดุล วฏั จักรคาร์บอน หมายถึง การท่ีแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากกอากาศถูกนาเขา้ สู่ส่ิงมีชีวติ
หรือออกจากสิ่งมีชีวติ คืนสู่บรรยากาศ และน้าอีกหมุนเวยี นกนั ไปเช่นน้ีไมม่ ีที่สิ้นสุดโดย

แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและน้าถูกนาเขา้ สู่สิ่งมีชีวติ
ผา่ นกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช (CO2) จะถกู เปล่ียนเป็นอินทรียสารที่มีพลงั งานสะสมอยู่
ตอ่ มาสารอินทรียสารที่พชื สะสมไวบ้ างส่วนถูกถ่ายทอดไปยงั ผบู้ ริโภคในระบบต่าง ๆ โดยการกิน
CO2 ออกจากส่ิงมีชีวติ คืนสู่บรรยากาศและน้าไดห้ ลายทาง ไดแ้ ก่

ใบความรู้เร่ืองระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 11

1.การหายใจของพชื และสตั ว์ เพ่ือใหไ้ ดพ้ ลงั งานออกมาใช้ ทาใหค้ าร์บอนท่ีอยใู่ นรูปของอินทรีย
สารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระในรูปของ CO2
2.การยอ่ ยสลายส่ิงขบั ถ่ายของสตั วแ์ ละซากพชื ซากสัตว์ ทาใหค้ าร์บอนที่อยใู่ นรูปของ
อาหารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระในรูปของ CO2
3.การเผา่ ไหมข้ องถ่านหิน น้ามนั และคาร์บอเนต เกิดจากการทบั ถมของ
ซากพชื ซากสัตวเ์ ป็นเวลานาน

วฏั จกั รของคาร์บอนสมั พนั ธ์กบั วฏั จกั รน้าเสมอ ความสมดุลของ CO2 ในอากาศ

เกิดจากการแลกเปลี่ยนของ CO2 ในอากาศกบั น้า ถา้ ในอากาศ CO2มากเกินไป

ก็จะมีการละลายอยใู่ นรูปของ H2CO3

(กรดคาร์บอนิก) ดงั สมาการต่อไปน้ี

CO2+H2O H2CO3

วฎั จกั รคาร์บอน

4. การหมุนเวยี นฟอสฟอรัสในระบบนิเวศ

ฟอสฟอรัสเป็ นธาตุสาคญั 1 ใน 3 ชนิด สาหรับการเจริญเติบโตของพืช ในสตั ว์ ฟอสฟอรัสเป็น ธาตุ
สาคญั ต่อการสร้างโครงสร้างของร่างกายใหแ้ ขง็ แรง เป็นส่วนประกอบท่ีสาคญั ของกระดูก และฟันเก่ียวขอ้ งกบั
การใชพ้ ลงั งานของเซลลใ์ นระบบนิเวศการหมุนเวยี นฟอสฟอรัสโดยพชื นาฟอสฟอรัสจากธรรมชาติเขา้ มาใน
ลกั ษณะ ของสารประกอบฟอสเฟตที่ละลายน้าได้ แลว้ นาไปสะสมไวใ้ นเซลลต์ ่างๆ เม่ือสตั วก์ ินพชื ก็จะ ไดร้ ับ
ฟอสฟอรัส โดยผา่ นกระบวนการกินเขา้ สู่ร่างกาย สตั วน์ าฟอสฟอรัสท่ีไดไ้ ปสร้างกระดูก และฟัน และใชใ้ น

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 12

ขบวนการอ่ืนๆ เมื่อสัตวแ์ ละพชื ตายลง ซากพืชซากสัตวจ์ ะทบั ถมลงสู่ดิน ฟอสฟอรัสบางส่วนพชื จะดูดซึมไปใช้
ใหม่ บางส่วนถูกแบคทีเรียบางกลุ่มที่อยใู่ นดิน ยอ่ ยสลาย เป็นกรดฟอสฟอริก ทาปฏิกิริยากบั สารในดิน เกิดเป็น
สารประกอบฟอสฟอรัส กลบั คืนไปทบั ถม เป็นหินฟอสเฟต ในดิน ในน้า ในทะเล และมหาสมุทร โดยเฉพาะใน
ทะเล สารประกอบของฟอสฟอรัสจะรวมกบั ซากของหินปะการัง เปลือกหอย และโครงกระดูกสตั วต์ ่างๆ เมื่อ
ผา่ นกระบวนการสึกกร่อนตาม ธรรมชาติ แพลงตอนพชื และสัตวใ์ นทะเลนาเอาสารประกอบของฟอสฟอรัส
ดงั กล่าวไปใชเ้ ป็น ห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารในทะเลและมหาสมุทรต่อไป ฟอสฟอรัสกจ็ ะหมุนเวยี นคืนสู่
ธรรมชาติเป็นวฎั จกั รเช่นน้ีไปไม่มีที่สิ้นสุด ดงั แผนภาพ

วฏั จกั รฟอสเฟต

ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงขนาดของประชากรในระบบนิเวศ

ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั เช่น มนุษย์ สตั ว์ พืช หรือส่ิงอื่นที่
รวมอยใู่ นแหล่งท่ีอยหู่ รือสถานที่เดียวกนั ในช่วงระยะเวลาเดียวกนั เช่นจานวนประชากรมดแดงในรังบนตน้
มะม่วงหนา้ โรงเรียนเม่ือเดือนธนั วาคม 2554 มีอยู่ 5500 ตวั

ประชากรมนุษย์ (human population) หมายถึง กลุ่มของคนท่ีรวมอยใู่ นที่เดียวกนั และระยะเวลาเดียวกนั
แต่โดยทว่ั ไปแลว้ เมื่อกล่าวถึงประชากรมนุษยม์ กั จะใชค้ าวา่ ประชากร เช่น ชายหญิงในกรุงเทพมหานคร ปี 2554
มี 12 ลา้ นคน เป็นตน้ การกล่าวถึงประชากร โดยปกติจะตอ้ งระบุแหล่งที่อยขู่ องประชากร และระบุช่วงระยะเวลา
ดว้ ยเสมอ ท้งั น้ีเพราะจานวนหรือขนาดประชากรของสิ่งมีชีวติ ต่างๆท่ีอยใู่ นสถานท่ีแต่ละแห่งแตล่ ะช่วงเวลาจะมี
การเปล่ียนแปลงตลอดเวลา เน่ืองจากมีการเกิด การตาย การยา้ ยถ่ินที่อยทู่ ้งั การยา้ ยเขา้ และการยา้ ยออกจากพ้ืนที่
ทาใหจ้ านวนประชากรมีการลดลงหรือเพ่ิมแลว้ แต่กรณี เช่นการเกิด กบั การยา้ ยเขา้ ทาใหแ้ ประชากรเพิ่มข้ึน การ
ตาย และการยา้ ยออกทาใหป้ ระชากรลดลง ถา้ ท้งั สองอยา่ งมีอตั ราเท่ากนั จานวนประชากรจะเท่าเดิม แต่กถ็ ือวา่ มี
การเปลี่ยนแปลงของประชากร

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 13

สรุปขนาดของประชากรสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 3 ขนาดดงั น้ี
1. ประชากรที่มีขนาดคงที่ แสดงวา่

อตั ราการเกิด + อตั ราการยา้ ยเขา้ = อตั ราการตาย + อตั ราการยา้ ยออก
2. ประชากรที่มีขนาดเพม่ิ ข้ึน แสดงวา่

อตั ราการเกิด + อตั ราการยา้ ยเขา้ > อตั ราการตาย + อตั ราการยา้ ยออก
3. ประชากรที่มีขนาดลดลง แสดงวา่

อตั ราการเกิด + อตั ราการยา้ ยเขา้ < อตั ราการตาย + อตั ราการยา้ ยออก
ความหนาแน่นของประชากร คืออตั ราส่วนระหวา่ งจานวนประชากรสิ่งมีชีวติ กบั พ้ืนท่ี
ความหนาแน่นประชากร = จานวนประชากรท้งั หมด

พ้ืนท่ี

ตวั อย่าง เช่น นบั ผีเส้ือในสวนที่มีพ้ืนที่ 20 ตารางเมตรเมื่อเดือน ธนั วาคม 2554 ไดจ้ านวน 100 ตวั

ความหนาแน่นของประชากรผเี ส้ือ = 100 = 5 ตวั ต่อตารางเมตร
20

สาเหตุของการเปลย่ี นแปลงของจานวนประชากร
ขนาดของประชากรในแตล่ ะแหล่งที่อยหู่ รือในระบบนิเวศหน่ึงๆ อาจดูไดจ้ ากอตั ราการเกิด การตาย การ
อพยพเขา้ และการอพยพออก โดยอตั ราดงั กล่าวมีสาเหตุมาจากปัจจยั ภายในและปัจจยั ภายนอกแหล่งที่อยู่ การ
เปลี่ยนขนาดของประชากรเราสามารถดูไดจ้ ากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอ้ มที่อยรู่ อบๆประชากรน้นั แต่
บางคร้ังเป็นการยากท่ีจะทราบถึงการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน เพราะส่ิงแวดลอ้ มอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งชา้ ๆ จน
ดูไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง หรือบางกรณีก็จะเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว เช่น ในกรณีเกิดภยั ธรรมชาติอยา่ งรุนแรง เช่นการ
เกิดน้าทว่ มใหญใ่ นเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ปี 2554 เราสามารถสรุปปัจจยั ท่ีทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงขนาด
ประชากรในระบบนิเวศไดด้ งั น้ี

1. การเปล่ียนแปลงสภาพส่ิงแวดลอ้ ม สภาพแวดลอ้ มที่ไมม่ ีการเปล่ียนแปลงเลย หรือการเกิดการ
เปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วและรุนแรง สามารถลดจานวนประชากรลงได้

2. กิจกรรมตา่ งๆของมนุษย์ การถางป่ า การทาไร่เลื่อนลอย เพื่อทาฟาร์มเล้ียงสตั ว์ เพ่ือการสร้างท่ี
อยอู่ าศยั และการอ่ืนๆอีกมากมายของมนุษย์ เป็นเป็ นลดจานวนประชากรสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศน้นั ๆ

3. จานวนผลู้ ่า ถา้ มีผลู้ ่าเพ่ิมข้ึนจะทาใหจ้ านวนเหยอื่ ลดลงอยา่ งรวดเร็ว
4. ทรัพยากรธรรมชาติมีอยา่ งจากดั ทาใหเ้ กิดการเก่งแยง่ เพ่อื ครอบครองทรัพยากร ทาให้เกิดการ

ลม้ ตายของประชากร
5. การเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วของสิ่งมีชีวติ หน่ึงๆในระบบนิเวศทาใหเ้ กิดความหนาแน่นของ

ประชากรน้นั จึงทาใหเ้ กิดการอพยพยา้ ยถิ่น
6. ศตั รูทางธรรมชาติและเช้ือโรค หรือโรคระบาด ทาใหเ้ กิดการตายมากข้ึน เช่นการระบาดของ

ไขห้ วดั นก หรือ การระบาดของโรคซาร์ เป็ นตน้

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 14

ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม

ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resource) หมายถึง สิ่งที่มีอยแู่ ลว้ ในธรรมชาติ มนุษยส์ ามารถนามาใช้
ประโยชน์เพ่ือการดารงชีวิต ซ่ึงแบ่งเป็น 2 ประเภท

1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแ้ ลว้ ไมห่ มดสิ้น ไดแ้ ก่
1) ประเภทที่คงอยตู่ ามสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย เช่น พลงั งาน จากดวงอาทิตย์ ลม
อากาศ ฝ่ นุ ใชเ้ ท่าไรกไ็ ม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จกั หมด
2) ประเภทที่มีการเปล่ียนแปลงได้ เน่ืองจากถูกใชใ้ นทางที่ผดิ เช่น ที่ดิน น้า ลกั ษณะภูมิประเทศ ฯลฯ
ถา้ ใชไ้ ม่เป็นจะก่อใหเ้ กิดปัญหาตามมา ไดแ้ ก่ การปลูกพชื ชนิดเดียวกนั ซ้า ๆ ซาก ๆ ในท่ีเดิม ยอ่ มทาใหด้ ินเสื่อม
คุณภาพ ไดผ้ ลผลิตนอ้ ยลงถา้ ตอ้ งการใหด้ ินมีคุณภาพดีตอ้ งใส่ป๋ ุยหรือปลูกพชื สลบั และหมุนเวยี น
2. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแ้ ลว้ หมดสิ้นไป ไดแ้ ก่
1) ประเภทที่ใชแ้ ลว้ หมดไป แตส่ ามารถรักษาใหค้ งสภาพเดิมไวไ้ ด้ เช่น ป่ าไม้ สัตวป์ ่ า ประชากรโลก

ความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้าเสียจากโรงงาน น้าในดิน ปลาบางชนิด ทศั นียภาพอนั งดงาม ฯลฯ ซ่ึงอาจทาให้
เกิดข้ึนใหมไ่ ด้

2) ประเภทท่ีไม่อาจทาใหม้ ีใหม่ได้ เช่น คุณสมบตั ิธรรมชาติของดิน พร สวรรคข์ องมนุษย์ สติปัญญา
เผา่ พนั ธุ์ของมนุษยช์ าติ ไมพ้ มุ่ ตน้ ไมใ้ หญ่ ดอกไมป้ ่ า สัตวบ์ ก สตั วน์ ้า ฯลฯ

3) ประเภทท่ีไม่อาจรักษาไวไ้ ด้ เม่ือใชแ้ ลว้ หมดไป แต่ยงั สามารถนามายบุ ให้ กลบั เป็นวตั ถุเช่นเดิม
แลว้ นากลบั มาประดิษฐข์ ้ึนใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ สงั กะสี ทองแดง เงิน ทองคา ฯลฯ

4) ประเภทท่ีใชแ้ ลว้ หมดสิ้นไปนากลบั มาใชอ้ ีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ามนั กา๊ ซ อโลหะส่วนใหญ่ ฯลฯ
ถูกนามาใชเ้ พยี งคร้ังเดียวกเ็ ผาไหมห้ มดไป ไมส่ ามารถนามาใชใ้ หมไ่ ด้

ส่ิงแวดล้อม(Environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยา่ งที่อยรู่ อบตวั เราท้งั ที่มีชีวติ และไม่มีชีวติ ท้งั ที่เกิดข้ึน
เองตามธรรมชาติและส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ประกอบดว้ ยสิ่งท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม รวมเรียกวา่
สภาพแวดล้อม ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีมีความสัมพนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั อยา่ งแนบแน่นและเป็นประโยชนต์ ่อการดารงชีวติ ของ

มนุษย์ ส่ิงแวดลอ้ ม แบง่ ได้ 2 ประเภทใหญๆ่ คือ
1. ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ
ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ (Natural Environment) เป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น ดิน น้า

อากาศ ป่ าไม้ สัตวป์ ่ า ฯลฯ สิ่งแวดลอ้ มประเภทน้ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติอาจใชเ้ วลาเร็วหรือชา้ เพียงใดข้ึนอยกู่ บั
ชนิดและประเภท

สิ่งแวดลอ้ มทางธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1) สิ่งมีชีวติ (Biotic Environment) เป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนโดยธรรมชาติ มีลกั ษณะและคุณสมบตั ิ

เฉพาะตวั ของส่ิงมีชีวติ เช่น พืช สัตวแ์ ละมนุษยเ์ ราอาจจะเรียกวา่ ส่ิงแวดลอ้ มทางชีวภาพ (Biological Environment)
ก็ได้

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวิทยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 15

2) ส่ิงไมม่ ีชีวติ (Abiotic Environment) เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติที่ไม่มีชีวติ อาจจะมองเห็น
หรือไมก่ ไ็ ด้ เช่น ดิน น้า ก๊าซ อากาศ ควนั แร่ธาตุ เมฆ รังสีความร้อน เสียง ฯลฯ เราอาจเรียกวา่ สิ่งแวดลอ้ มทาง
กายภาพ (Physical Environment) ไดเ้ ช่นกนั

2. ส่ิงแวดลอ้ มท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน
ส่ิงแวดลอ้ มท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน (Man-Make Environment) เป็นสิ่งที่มนุษยใ์ ชค้ วามรู้ความสามารถท่ี

ไดร้ ับการสั่งสอน สืบทอด และพฒั นากนั มาตลอด ซ่ึง ไดแ้ บง่ ไว้ 2 ประเภทคือ
1) ส่ิงแวดลอ้ มทางวตั ถุ หรือสิ่งแวดลอ้ มที่สามารถมองเห็นได้ เช่น บา้ นเรือน เคร่ืองบิน โทรทศั น์

ฯลฯ ส่ิงเหล่าน้ีสร้างข้ึนเพอื่ อานวยความสะดวก หรือตอบสนองความตอ้ งการในการดารงชีวติ บางอยา่ งอาจมี
ความจาเป็น แต่บางอยา่ งเป็นเพียงส่ิงฟ่ ุมเฟื อย

2) ส่ิงแวดลอ้ มทางสังคม หรือส่ิงแวดลอ้ มท่ีเป็ นนามธรรม (Social Environment) หรือ ( Abstract
Environment) เป็นส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนเพ่ือความเป็นระเบียบสาหรับอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข ส่ิงแวดลอ้ มทาง
สงั คมไดแ้ ก่ระบอบการปกครอง ศาสนา การศึกษา อาชีพ ความเช่ือ เจตคติ กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี
ระเบียบขอ้ บงั คบั ฯลฯ สิ่งแวดลอ้ มท่ีมองไม่เห็นจะแสดงออกมาในรูปพฤติกรรม

โดยสรุปแลว้ ในระบบนิเวศทุกระบบจะประกอบดว้ ยสิ่งมีชีวติ และส่ิงไมม่ ีชีวติ ซ่ึงมีความสมั พนั ธ์และ
เป็นสิ่งแวดลอ้ มซ่ึงกนั และกนั สิ่งต่างๆท่ีอยใู่ นระบบนิเวศเราอาจเรียกชื่อวา่ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม

นอกจากน้ีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มจะอยรู่ วมกนั เป็นกลุ่มคละกนั ไปโดยอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีกฎ
ระบบ ขอ้ บงั คบั ท้งั ท่ีเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติและท้งั ที่มนุษยก์ าหนดข้ึนมา การอยรู่ ่วมกนั ของสิ่งเหล่าน้ีจะแสดง
พฤติกรรมร่วมกนั ภายในขอบเขต และแสดงเอกลกั ษณ์ของกลุ่มออกมาอยา่ งชดั เจน กลุ่มของสิ่งมีชีวติ เหล่าน้ี
เรียกวา่ ระบบนิเวศ หรือระบบส่ิงแวดลอ้ ม ดงั น้นั ผลจากการกระทาที่มนุษยน์ าทรัพยากรธรรมชาติมาใชใ้ น
ปริมาณมากจึงมีผลทาใหส้ ่ิงแวดลอ้ มเกิดการเปล่ียนแปลงไปดว้ ย เราสามารถสรุปสาเหตุปัญหาส่ิงแวดลอ้ มได้
ดงั น้ี

1. การเพม่ิ ของประชากร
2. การขยายตวั ทางดา้ นเศรษฐกิจ
3. ความเจริญกา้ วหนา้ ทางวชิ าการดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง การดาเนินงานอยา่ งมีประสิทธิภาพตอ่ ส่ิงที่เกิดข้ึนตาม
ธรรมชาติและใหป้ ระโยชน์ต่อมนุษย์ ท้งั ในดา้ นการจดั หา การเก็บรักษา การซ่อมแซม การใชอ้ ยา่ งประหยดั
รวมท้งั การสงวนเพอ่ื ใหท้ รัพยากรธรรมชาติน้นั สามารถใหผ้ ลไดอ้ ยา่ งยาวนาน

การจัดการส่ิงแวดล้อม หมายถึง การดาเนินงานอยา่ งมีประสิทธิภาพเพ่ือใหส้ ิ่งท่ีอยรู่ อบตวั เรามีผลดีต่อ
คุณภาพชีวติ นนั่ คือจะตอ้ งดาเนินงานอยา่ งมีประสิทธิภาพเพื่อใหส้ ่ิงท่ีอยรู่ อบตวั เรามีผลดีต่อคุณภาพชีวติ นน่ั คือ
จะตอ้ งดาเนินการป้ องกนั ไมใ่ หเ้ กิดปัญหาภาวะมลพษิ ที่จะมีต่อการดารงชีวติ อยอู่ ยา่ งมีความสุขและปลอดภยั

การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม หมายถึง การดาเนินการต่อทรัพยากรธรรมชาติและ

ใบความรู้เรื่องระบบนิเวศ วชิ าวิทยาศาสตร์ ว 22102 ม.3 16

สิ่งแวดลอ้ มอยา่ งมีประสิทธิภาพ ท้งั ในดา้ นการจดั หา การเกบ็ รักษา การซ่อมแซม การใชอ้ ยา่ งประหยดั การสงวน
รักษา เพอ่ื ใหท้ รัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มนนั่ สามารถเอ้ืออานวยประโยชน์แก่มนุษยไ์ ดใ้ ชต้ ลอดไปอยา่ ง
ไมข่ าดแคลน หรือมีปัญหา

การพฒั นาและอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม

การพฒั นา หมายถึง การทาใหส้ ่ิงต่างๆอยใู่ นสภาพดีข้ึนกวา่ เดิมและเจริญกา้ วหนา้ ข้ึน
การอนุรักษ์ หมายถึง การรู้จกั ใชท้ รัพยากรอยา่ งฉลาด การใชป้ ระโยชน์น้นั จะตอ้ งเกิดผลดีตอ่ ส่วนรวม
มากท่ีสุด รู้จกั ใชป้ ระโยชนใ์ หไ้ ดเ้ ป็นเวลายายนานท่ีสุด ใหม้ ีการสูญเสียทรัพยากรอยา่ งเปล่าประโยชนน์ อ้ ยที่สุด
รวมท้งั ตอ้ งกระจายการใชป้ ระโยชนแ์ ก่ประชากรของประเทศอยา่ งทว่ั ถึงดว้ ย
การพฒั นาทยี่ ่ังยนื (Sustainable development) หมายถึง การพฒั นาที่มีการคานึงถึงความเสียหายของ
ส่ิงแวดลอ้ ม มีการป้ องกนั ปัญหาที่เกิดแก่สิ่งแวดลอ้ ม หรือถา้ จาเป็นจะตอ้ งเกิดความเสียหายนอ้ ยท่ีสุด ฉะน้นั การ
พฒั นาท่ียงั่ ยนื จึงเป็ นในรูปแบบการใชท้ รัพยากรท่ีมีการบารุงรักษา ใชใ้ นขอบเขตจากดั สามารถใชท้ รัพยากรแลว้
กลบั คืนสู่สภาพเดิมได้
การพฒั นาแตกต่างจากการเจริญเติบโต คือ การพฒั นา(development) หมายถึง การปรับปรุงในเชิย

คุณภาพใหด้ ีข้ึน โดยที่ยงั มีการรักษาระดบั ทรัพยากรพ้ืนฐาน ส่วนการเจริญเตบิ โต (growth) หมายถึง การ
ปรับปรุงในเชิงคุณภาพใหส้ ูงข้ึน

---------------------------


Click to View FlipBook Version