“การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและการพัฒนาตลาดวัฒนธรรม ข้าวเหนียวสู่การ ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัดอุดรธานี” คณะทำงาน ดร.อรรจนา ด้วงแพง คณะเทคโนโลยี รศ.ดร.สุรัชนี เคนสุโพธิ์ คณะวิทยาการจัดการ ผศ.วราภรณ์ ขยายผล คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ดร.วรางคณา ชินภาส คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีงบประมาณ 2566
คำนำ หนังสือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและการพัฒนาตลาดวัฒนธรรม ข้าวเหนียวสู่การยกระดับเศรษฐกิจ ฐานรากในจังหวัดอุดรธานีคณะทำงานได้เรียบเรียงขึ้นจากผลการดำเนินงานในโครงการย่อยที่ 11.1 ในโครงการ ยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำ โขง (BCG-Naga Belt Road) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกัน ตามหลักการ 4 Ps ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันการศึกษาในพื้นที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน และ เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งโครงการนี้เป็นดำเนินงานปรับเปลี่ยนการเกษตร จากเดิมไปสู่การเกษตรบนฐานองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวให้มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง มูลค่าสูง สร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเกิดความมั่นคงทางอาหาร โดยมีแผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตข้าวด้วยเกษตรสมัยใหม่ ควบคู่กับการ ผลิตพืชหลังนาที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่ การเพิ่มมูลค่าการแปรรูปผลผลิต การใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทาง การเกษตรตอบโจทย์เกษตรกรหมุนเวียน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและวัฒนธรรมข้าวเหนียว ซึ่งเป็น ดำเนินการในจังหวัดที่มีการปลูกข้าวเหนียวและอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด เชียงราย จังหวัดลำปาง จังหวัดอุดรธานี และ จังหวัดนครพนม ผู้เขียนขอขอบคุณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่สนับสนุนงบประมาณและให้ความ อนุเคราะห์ในการดำเนินงานด้านต่างๆ คณะทำงานในโครงการ BCG-Naga Belt Road ทุกท่าน เกษตรกร นักศึกษา สำนักเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุดรธานี ศูนย์วิจัยข้าวอุดรธานี ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอุดรธานีสำนักงานพัฒนาการ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุดรธานี ที่ให้ความร่วมมือจบโครงการบรรลุผลสำเร็จ ดร.อรรจนา ด้วงแพง หัวหน้าคณะทำงาน BCG-Naga Belt Road จังหวัดอุดรธานี
สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 การสร้างเครือข่าย BCG-Naga Belt Road 3 บทที่ 3 วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของข้าวเหนียว 6 บทที่ 4 ต้นแบบผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวที่ใช้ในการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน 28 บทที่ 5. พัฒนาหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชนบนฐานวัฒนธรรมข้าว 44 บทที่ 6 การพัฒนาการตลาดสร้างสรรค์จากวัฒนธรรมข้าว 47
บทที่ 1 บทนำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงบริเวณจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ผลิตข้าวเหนียว ที่สำคัญของ ประเทศ เป็นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำข้าวเปลือกเหนียวส่วนใหญ่ไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางหรือ โรงสีข้าวในพื้นที่เพื่อนำเงินมาใช้หนี้และเพื่อการอุปโภคบริโภคในครอบครัว ในขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวสูงขึ้น แต่ราคาข้าวตกต่ำ โครงการนี้จึงนำเสนอแนวทางในการพัฒนาข้าวเหนียวด้วยการพัฒนายกระดับคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างคุณค่าเพิ่มด้วยการบูรณาการเชื่อมโยงนำวัฒนธรรม ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับประเพณีท้องถิ่น เชื่อมโยงวัฒนธรรมข้าวเหนียวไปสู่กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน โดยมี วัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนา Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และในพื้นที่ จังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากข้าวเหนียว และผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ข้าวเหนียวสำหรับใช้ในการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครพนม 3) เพื่อพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและนครพนม 4) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม ทรัพยากรท้องถิ่น และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับข้าว เหนียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีกิจกรรมการดำเนินงาน ด้วยการจัดเวทีชาวบ้านเพื่อรับฟังความคิดเห็น ของชุมชน สร้างความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนและการตลาดของผลิตภัณฑ์จาก วัฒนธรรมข้าวเหนียว เก็บรวบรวมข้อมูลวัฒนธรรมภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว ได้สำรวจเส้นทาง วัฒนธรรม จำนวน สัมภาษณ์เชิงลึกและจัดสนทนากลุ่ม (Focus group) วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำคลังความรู้ ของชุมชนในรูปแบบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศออนไลน์ จัดทำ Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าว เหนียว จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการแปรรูปและพัฒนาคุณภาพของต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียว จัด กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว “หมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชนที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมข้าวเหนียว” สำรวจรวบรวมข้อมูลของผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และสร้าง Content ทางการตลาด สร้างสื่อ สิ่งพิมพ์/วิดิทัศน์/สื่อทาง online ของสินค้าในชุมชน ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงบริเวณจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ผลิตข้าวเหนียว ที่สำคัญของ ประเทศ เป็นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำข้าวเปลือกเหนียวส่วนใหญ่ไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางหรือ โรงสีข้าวในพื้นที่เพื่อนำเงินมาใช้หนี้และเพื่อการอุปโภคบริโภคในครอบครัว ในขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวสูงขึ้น แต่ราคาข้าวตกต่ำ โครงการนี้จึงนำเสนอแนวทางในการพัฒนาข้าวเหนียวด้วยการพัฒนายกระดับคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างคุณค่าเพิ่มด้วยการบูรณาการเชื่อมโยงนำวัฒนธรรม ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับประเพณีท้องถิ่น เชื่อมโยงวัฒนธรรมข้าวเหนียวไปสู่กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน โดยมี วัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนา Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และในพื้นที่ จังหวัดอุดรธานี 2) เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากข้าวเหนียว และผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ข้าวเหนียวสำหรับใช้ในการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครพนม 3) เพื่อพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและนครพนม 4) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม ทรัพยากรท้องถิ่น และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง กับข้าวเหนียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีกิจกรรมการดำเนินงาน ด้วยการจัดเวทีชาวบ้านเพื่อรับฟัง
2 ความคิดเห็นของชุมชน สร้างความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนและการตลาดของ ผลิตภัณฑ์จากวัฒนธรรมข้าวเหนียว เก็บรวบรวมข้อมูลวัฒนธรรมภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว สำรวจ เส้นทางวัฒนธรรม สัมภาษณ์เชิงลึกและจัดสนทนากลุ่ม (Focus group) วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำคลังความรู้ ของชุมชนในรูปแบบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศออนไลน์จัดทำ Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าว เหนียว จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการแปรรูปและพัฒนาคุณภาพของต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียว จัด กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว “หมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชนที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมข้าวเหนียว” สำรวจรวบรวมข้อมูลของผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และสร้าง Content ทางการตลาด สร้างสื่อ สิ่งพิมพ์/วิดิทัศน์/สื่อทาง online ของสินค้าในชุมชน โดยมีเป้าหมายเชิงคุณภาพ ดังนี้ 1) ข้อมูลในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 2) คลังความรู้ของชุมชน ในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวของพื้นที่จังหวัด อุดรธานี 3) Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 4) ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากข้าวเหนียว ที่ชุมชนสามารถนำมาใช้ในการส่งเสริมกิจกรรมการ ท่องเที่ยวในชุมชนอย่างน้อย 5 ต้นแบบ 5) หมู่บ้านแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียวอย่างน้อย 1 ชุมชน 6) ผลิตภัณฑ์ สินค้า ของใช้ ของที่ระลึก ที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว จำนวน 25 ผลิตภัณฑ์ 7) Content ทางการตลาด ของสินค้าในชุมชน จำนวน 13 ผลิตภัณฑ์ 8) สื่อสิ่งพิมพ์/วิดิทัศน์/สื่อทาง online ของสินค้าในชุมชน 13 ผลิตภัณฑ์ ผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ เกษตรกรในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวคุณภาพสูง ร้านค้าชุมชน มีรายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในชุมชน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและชุมชนมี ผลิตภัณฑ์จากการแปรรูปข้าวเหนียวที่หลากหลาย เช่น ข้าวแต๋นน้ำแตงโม ข้าวเม่า ข้าวเกรียบว่าว เป็นต้น และได้มาตรฐานทางเศรษฐกิจชุมชน และได้รับการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร (อย.) เกษตรกรมี รายได้เพิ่มขึ้นเป็นรายบุคคลและรายครอบครัว ทำให้ชุมชนเกิดเศรษฐกิจภายในชุมชน อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงสังคม/สิ่งแวดล้อม ชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในบริบทวิถีชุมชนอีสานด้านวัฒนธรรมการปลูกข้าวเหนียวส่งผล ต่อการพัฒนาด้านจิตใจ อารมณ์ และกายภาพ ชุมชนรายครอบครัวมีสภาพวิถีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นจาก การทำกิจกรรมในครัวเรือนมากขึ้นในวิถีชุมชน เยาวชนในชุมชนเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตในชุมชนด้วยการ ปลูกข้าวในวิถีชาวนาอีสานมากขึ้นทำให้มีสุขภาพกาย จิตใจ และอารมณ์ที่เข้มแข็งห่านไกลยาเสพติด ชุมชน ได้ร่วมกันในการรักษาสิ่งแวดล้อมในการปลูกและอนุรักษ์ข้าวด้วยพันธุ์ข้าวใหม่ด้วยเทคโนโลยีและได้พันธุ์ ข้าวที่ดีมีผลผลิตสูงและสามารถนำมาแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวได้หลากหลาย พื้นที่ในชุมชนทาง การเกษตรได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักในบริบทการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการทำเกษตรปลอดภัยและแบบยั่งยืนและได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี
3 บทที่ 2 การสร้างเครือข่าย BCG-Naga Belt Road การสร้างเครือข่าย BCG-Naga Belt Road ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญในการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวชุมชนและการพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์จากวัฒนธรรมข้าวเหนียวสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้เครื่องมือจัดกิจกรรมจัดเวทีชาวบ้านเพื่อรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในเครือข่าย BCG-Naga Belt Road ผ่านกระบวนการละลายพฤติกรรม และสร้างความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการ พัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนและการตลาดของผลิตภัณฑ์จากวัฒนธรรมข้าวเหนียว และเพื่อให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นใน การสำรวจเส้นทางและแหล่งข้อมูลวัฒนธรรมและภูมิปัญญาข้าวเหนียว เกิดเครือข่ายความร่วมมือ ของเกษตรกร ใน BCG-Naga Belt Road ผ่านกิจกรรมสันทนาการ การระดมความคิดเห็น เพื่อทำ SWOT Analysis ภาพที่ 1 การทำกิจกรรมสร้างความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมช
4 เกษตรกรในเครือข่าย BCG-Naga Belt Road ร่วมกัน นำเสนอ SWOT Analysis ของการผลิตข้าว เหนียวในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดอุดรธานี ภาพที่ 2 กลุ่มเกษตรกรเครือข่าย BCG-Naga Belt Road นำเสนอ SWOT Analysis ของการผลิต ข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ผลการวิเคราะห์ SWOT เครือข่ายการผลิตข้าวเหนียวของจังหวัดอุดรธานี ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ SWOT เครือข่ายการผลิตข้าวเหนียวของจังหวัดอุดรธานี จุดแข็ง 1. มีกลุ่มเกษตรกรที่ท ำโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์ที่บ้ำนเชียงแหว เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทะเลบัวแดง และมีสินค้ำที่ เป็นอัตลักษณ์คือ ชำบัวแดง ข้ำวชำบัว และน ้ำตำล โตนด 2. มีกลุ่มเกษตรกรที่ด ำเนินกิจกรรมกำรท่องเที่ยวที่อ่ำงน ้ำ พำน และมีอำหำรแปรรูปจำกปลำอ่ำงน ้ำพำน 3. มีกลุ่มเกษตรกรที่อ ำเภอกุดจับที่มีควำมเชี่ยวชำญในกำร กำรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้ำวเหนียว จุดอ่อน 1. ขำดแหล่งเงินทุน/อุปกรณ์ในกำรผลิต 2. กลุ่มไม่เข้มแข็ง ขำดควำมร่วมมือ 3. ขำดองค์ควำมรู้ในกำรท ำเกษตร 4. กำรแปรรูปและกำรตลำด 5. เกษตรกรบำงครัวเรือนขำดโอกำสเข้ำร่วมเพรำะที่ดิน ไม่มีเอกสำรสิทธิ์ 6. ขำดกำรประชำสัมพันธ์ 7. เจ้ำหน้ำที่ภำครัฐมีน้อย 8. ผลิตภัณฑ์บำงตัวยังไม่มี อย.
5 4. มีกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตข้ำวอินทรีย์ที่ผ่ำนกำรรับรอง Organic Thailand ระยะ 3 ปี อยู่ที่อ ำเภอกุดจับ บ้ำนดุง หนองหำน และสร้ำงคอม 5. มีกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตข้ำวปลอดภัย GAP ที่ต ำบลแชแล เสอเพลอ ท่ำลี่ และสีออ อ ำเภอกุมภวำปี 6. มีกลุ่มเกษตกรต ำบลพันดอน อ ำเภอกุมภวำปี ที่สำมำรถ ตัดเย็บ ตัดเย็บเสื้อผ้ำและกระเป๋ำสตรี 7. มีกลุ่มเกษตรกรที่อ ำเภอเพ็ญ ต ำบลสร้ำงแป้นท ำนำแบบ คอนโด 8. มีกลุ่มเกษตรกรที่บ้ำนดุงเลี้ยงสุกรเป็นอำชีพเสริมจำก กำรท ำนำ 9. มีสินค้ำแปรรูปจำกข้ำวที่ส ำคัญคือข้ำวเม่ำของบ้ำนกลำง ใหญ่ อ ำเภอบ้ำนผือ และข้ำวฮำง ของอ ำเภอบ้ำนดุง 10. กลุ่มผู้ปลูกข้ำว อยู่บนเส้นทำงเชื่อมโยงกับแหล่ง ท่องเที่ยว เช่น ทะเลบัวแดง วัดป่ำบ้ำนตำด พิพิธภัณฑ์บ้ำน เชียง ค ำชะโนด ภูพระบำท และหอนำงอุษำ 11, เกษตรกรยังคงสืบสำนประเพณีพื้นบ้ำนของชำวอีสำน ตำมฮีต 12 คลอง 14 9. ยังไม่มีหน่วยงำนหลักส่งเสริมในกำรแปรรูป ขำด อุปกรณ์ในกำรแปรรูป 10. ขำดตลำดจ ำหน่ำยข้ำว และส่งออก ปัญหาอุปสรรค 1. เกิดโรคโควิดระบำด ไม่มีนักท่องเที่ยว 2. ขำดแหล่งน ้ำ รอฝนตกธรรมชำติ 3. ภัยธรรมชำติ ฝนแล้ง น ้ำท่วม 4. ขำดกำรสนับสนุนจำกรัฐ 5. ไม่มีตลำดรองรับ 6. แรงงำนภำคเกษตรรำคำสูง ขำดคนท ำ 7. ปัจจัยกำรผลิต ต้นทุนสูง รำคำปุ๋ยแพง น ้ำมันแพง 8. แหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยต ่ำ 9. องค์ควำมรู้ด้ำนเกษตร กำรแปรรูป กำรตลำด 10. กำรท ำเกษตรเชิงเดี่ยว ต้องสนับสนุนเกษตร ผสมผสำน 11. เกษตรเข้ำไม่ถึงโครงสนับสนุนภำครัฐ เวลำจ ำกัด 12. รำคำผลผลิตตกต ่ำ โอกาส 1. กำรจัดกำรกลุ่ม เช่น กลุ่มข้ำว 2. จัดกำรเรื่องวิสำหกิจชุมชน 3. อยำกให้มหำวิทยำลัยให้ควำมรู้ เรื่องกำรแปรรูป ข้ำวและกำรตลำด 4. หน่วยงำนรำชกำรให้กำรสนับสนุนจำก มรภ. อุดรธำนี 5. มีนโยบำยมำจำกส่วนกลำงให้เกษตรกรเข้ำร่วม 6. กำรเข้ำถึงเทคโนโลยีในกำรสื่อสำรประชำสัมพันธ์ 7. ได้รับกำรสนับสนุนจำกภำครัฐทุกภำคส่วน 8. กำรมีโอกำสเป็นเจ้ำภำพวันพืชสวนโลก 9. สร้ำงเครือข่ำย เชื่อมโยงเครือข่ำย 10. ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง 11. มีเครื่องจักร รถไถ รถเกี่ยวข้ำว เครื่องคั่วข้ำวเม่ำ
6 บทที่ 3 วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของข้าวเหนียว เส้นทางสายวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มีอยู่หลาย เส้นทาง ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัดอุดรธานี 1 เส้นทางรอบอ่างน้ำพาน อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี อ่างน้ำพาน อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ในอำเภอสร้างคอม ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลสร้างคอม, ตำบลนาสะอาด และตำบลเชียงดา มีพื้นที่รวมกว่า 4,300 ไร่ ถือได้ว่าเป็นอ่างเก็บ น้ำขนาดใหญ่อีกแห่งของภาคอีสาน และภายในอ่างเก็บน้ำยังเป็นแหล่งอาศัยของปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด รอบ ๆ ยังรายล้อมไปด้วยทัศนียภาพของป่าชุมชนที่สวยงาม กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้าน เดิมอ่างน้ำ พาน มีสภาพเป็นป่าทุ่งป่าทาม ที่เมื่อฤดูฝนน้ำจะท่วมขังจนเป็นแก้มลิงตามธรรมชาติเมื่อมีการสร้าง ป่าบุ่งป่า ทาม พื้นที่ชุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกับลำน้ำโขง ซึ่งเกี่ยวพันกับวิถีของชาวสร้างคอมคือ การจับปลา และทำปลาร้า เมื่อ ฤดูน้ำหลาก น้ำหลาก แม่น้ำโขงจะเอ่อขึ้นมา ทำให้น้ำพานเป็นสภาพเป็นแก้มลิง น้ำในห้วยหลวง น้ำโขง พัด ตะกอนจากห้วยหลวง ตะกอนจากแม่น้ำโขง ทำให้พื้นที่อ่างน้ำพานมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งผสมพันธุ์ของ ปลา คนสร้างคอมจะทำลอบ ไซ สะดุ้งใหญ่ จับปลา เป็นวิถีชีวิตของคนรอบอ่างน้ำพาน คนบ้านแมด เดิมเป็นคน โคราช จับปลา ปลาน้ำพานจะมีรสชาติที่แตกต่างจาก ปลาในลุ่มน้ำสงคราม ในอดีตอ่างน้ำพานมีความสัมพันธ์ กับชุมชนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามริมอ่างน้ำพานเป็นอย่างมาก ยังเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์นานาชนิดและ พรรณไม้ซึ่งมีคุณค่าทางด้านอาหาร เช่น หน่อไม้ กระโดน หว้า จนมีบริเวณโนนหว้า ซึ่งเป็นหนึ่งในโนนในอ่างน้ำ พาน ถือเป็นเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพราะ เปรียบเสมือนตลาดซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน เนื่องจากดินในทามเป็นดินตะกอนที่มีธาตุอาหารที่ถูกพัดพามากับ สายน้ำหลาก ช่วงฤดูฝน รวมไปถึงการเป็นแหล่งอาศัยหลบภัย ขยายพันธุ์ และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์น้ำ ที่เมื่อโต ขึ้นก็จะว่ายออกมายังแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไปที่ชาวบ้านในพื้นที่สามารถจับมาบริโภค และจำหน่ายสร้างรายได้ เป็นอย่างดี ปัจจุบันป่าบุ่งป่าทามมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นนาปรัง ซึ่งใช้น้ำจากอ่างน้ำพาน และน้ำจากห้วย หลวง มาใช้ในการทำนาปรัง นาปรังข้าวเหนียวทำตอนน้ำลดช่วงหน้าแล้ง เป็นข้าวอายุสั้น ปลูกเดือนพฤศจิกายน เก็บเกี่ยวเดือนมีนาคม เก็บเกี่ยวไว้กินเองในครัวเรือน ที่เหลือจึงทยอยขาย มีพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง 6000- 7000 ไร่ ข้าวเหนียวพันธ์อีแดง (กข 12) และข้าวเหนียวอุบล นิยมปลูกเป็นนาปรัง ถ้าราคาดี จะขายเลย ในอดีต เก็บเกี่ยวใส่ยุ้งฉาง ปัจจุบันจะขายเป็นข้าวสด ส่วนพื้นที่นาปีรอบอ่างน้ำพาน จะอยู่รอบอ่างน้ำพาน จะปลูก กข 6 มะลิ กข 15 พอถูกป่าบุ่งป่าทามถูกทำลายไปหมด ธรรมชาติในอ่างน้ำพานก็มีการเปลี่ยนแปลง ยังเหลือโนนอยู่ สองสามแห่ง เป็นที่อยู่อาศัยของควายทาม เวลาปลูกข้าวนาปี พื้นที่การเลี้ยงควายจะลดน้อยลง ชาวบ้านก็จะเอา ควายไปปล่อยบนทาม (โนน) ย้ายไปมาระหว่างโนนต่างๆ หากินตามน้ำ ควายก็จะมุดน้ำกินหญ้ากินบัว ตั้งแต่
7 เดือนพฤษภาคมไปถึงพฤศจิกายน รวมระยะเวลา 8 เดือน ควายฝูงนี้ ไม่ได้เลี้ยงไว้ทำนา เพราะสมัยปัจจุบัน ชาวนาใช้รถแทรกเตอร์ ควายจึงเป็นเหมือนมูลมังหรือสมบัติทรัพย์สินของครอบครัว ถ้าต้องการเงินก็ขายควาย ให้กับพ่อค้าไป ในอดีตชาวประมงของบ้านแมด ก็จะลงไปจับปลา เอาไปทำปลาร้า นำผือหรือกกเอามาทอเสื่อ มีโนน หมากหว้า มีทางน้ำไหลลงและมีป่าบุ่งป่าทาม ป่ากระซะป่าหน่อไม้ที่มีการจัดตั้งแหล่งอนุรักษ์ปลา คนเข้าไปจับ ปลาไม่ได้ ก็ได้รับการจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ให้ปลาได้มีโอกาสได้ไปวางไข่ ทำให้ปลาเพิ่มจำนวนขึ้น เช่น ปลาขาว อีไท ปลาชะโด ปลาตอง (ปลากราย) ปลาช่อน และปลาอื่นๆ ซึ่งชาวบ้านก็ได้จับปลาเหล่านี้ มาแปรรูปเป็น อาหารประจำถิ่นของอ่างน้ำพาน เช่น หมกปลาตอง หลามปลาช่อน ส้มปลาโด หลามปลาไหล ปลาร้าอ่างน้ำ พาน และปลาวง (ปลาแห้ง) ฯลฯ เป็นอาหารจากปลาที่มีชื่อของอ่างน้ำพาน ความเชื่อของอ่างน้ำพาน จะมีบ่อปู่ โอ (พญานาค) ให้บนบานศาลกล่าวให้ติดทหาร บ้านแมดก็มีจ้ำ ปัจจุบันเมื่อป่าบุ่งป่าทามถูกทำลายลงวิถีชีวิต ชาวประมงก็เปลี่ยนไป จับปลาน้อยลง และหันไปทำนาปรังกันมากขึ้น รายได้จากการขายข้าวมากกว่าการจับ ปลา ถางป่าไปทำนาปรัง เพื่อให้เกิดรายได้มาเลี้ยงครอบครัว พื้นที่สำหรับผสมพันธุ์ของปลาก็น้อยลง ประตูน้ำที่ กั้นน้ำโขงไม่ให้ขึ้นมาท่วม ทำให้สามารถบริหารจัดการน้ำไม่ให้ท่วมพื้นที่ได้ แต่ปลาน้ำโขงไม่สามารถขึ้นมาวางไข่ ได้ ทำให้ปลาน้อยลง การส่งเสริมการทำนาต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนรอบอ่างน้ำพาน ในอดีตชาวบ้านที่อาศัยรอบ อ่างน้ำพานทำอาชีพประมง เนื่องจากอ่างน้ำพานมีปลาอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านโดยเฉพาะชาวบ้านแมดจึงทำ ประมงมาตั้งแต่สมัย 50 ปีที่แล้ว ปลาจากสร้างคอมมีชื่อเสียง คนบ้านแมดเป็นชาวประมงโดยส่วนใหญ่ หาปลา แปรรูปเป็นปลาส้ม ปลาร้า ปลาแห้ง เอาไปแลกข้าวเปลือกแถวอำเภอน้ำโสมหรืออำเภอบ้านผือ เป็นการ แลกเปลี่ยนกัน โดยคนรุ่นพ่อแม่จะหาปลาเป็นหลักทำนาไว้แค่พอกิน คนส่วนมากไม่มีที่นาเยอะ ดำรงชีวิตด้วย การแปรรูปปลาไปแลกข้าวเปลือก ต่อมากรมชลประทานเข้ามาติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อส่งเสริมการทำนา วิถีชีวิต ชาวบ้านก็เปลี่ยนไป ทำนาขายข้าวเพราะข้าวราคาดี ทำนาปีละสองครั้ง นาปีและนาปรัง และทำประมงน้อยลง จากการลงตาข่ายใส่ลอบใส่ไซ ก็จะใช้วิธีช็อตปลา ปลาก็จะหร่อยหลอลง ในจังหวัดอุดร มีอาหารแปรรูปจากปลา ของสร้างคอมมากที่สุด เป็นสินค้าขึ้นชื่อของบ้านแมด ลุงออดเป็นพ่อค้าซื้อปลาไปส่งที่ตลาดอุดร ตลาดหนองคาย ในห้วยหลวงมีการตั้งโพงพาง มีสะดุ้ง เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม เป็นช่วงปลาว่ายกลับลงไปแม่น้ำโขง ทำโพงพางหรือโต่งใหญ่ ดักเป็นไว้เต็มห้วยหลวง มีปลาเนื้ออ่อน ปลานาง ปลาแดง ตัวใหญ่ๆ ชาวบ้านมีรายได้ จากการหาปลาและซื้อปลาไปขายตลาดที่อื่นๆ เมื่อมีวิถีชีวิตการทำนาปรังมาทดแทน ชาวบ้านก็หาปลาแค่พอกิน ปลาก็น้อยลง เปลี่ยนวิธีหาปลาแบบวิถีดั้งเดิมกลายเป็นช็อตปลาทำให้ปลาน้อยลง ค่านิยมที่เปลี่ยนไป ชาวบ้าน ส่งลูกหลานเข้าไปทำงานในเมือง หรือไปทำงานเป็นลูกจ้าง หรือเรียนสูงขึ้น เหลือแต่คนสูงอายุทำการเกษตร ทำ นาก็ทำง่ายๆ จ้างรถไถ ประมงก็ทำเพียงนิดหน่อยเพื่อกินเพื่อขายไม่มากเหมือนแต่ก่อน วิถีชีวิตที่สบายซื้อกินได้ ได้เงินจากลูกที่ไปทำงานในเมือง ได้รับเงินที่ชดเชยจากภาครัฐ ไม่มีมีการทำนาจริงจัง และเปลี่ยนเป็นการทำนา เพื่อให้ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาล ไม่ประณีต หว่านข้าวให้หญ้าขึ้น
8 ภาพที่3 แผนที่บริเวณรอบอ่างน้ำพาน อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี ที่มา: https://www.facebook.com/nampansangkhom/ ภาพที่4 สำรวจพื้นที่ป่าทามบนโนนหว้า ในอ่างน้ำพาน อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี
9 การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ที่รอบอ่างน้ำพาน เพื่อชาวบ้านได้เรียนรู้การทำนามีรายได้จาก การเกษตรแต่ยังสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติรอบอ่างน้ำพานได้ ความยั่งยืนในการอนุรักษ์ป่าบุ่งป่าทาม และอนุรักษ์แหล่งพันธุ์ปลา และส่งเสริมความเข้าใจในการอนรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รอบอ่างน้ำพาน เพื่อเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป 2. เส้นทางกุดจับ บ้านหันเทา บ้านหนองสร้างไพร และบ้านสร้างก่อ ตำบลปะโค บ้านหันเทา เป็นหมู่บ้านที่มีกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว เดิมบ้านหันเทา เป็นที่มีมีภูมิ ปัญญาด้านการปลูกข้าวเหนียวมาแต่บรรพบุรุษ แต่ก่อนบ้านหันเทา ตั้งอยู่บริเวณโคกป่าเก้า ปัจจุบันเรียกว่า บ้านโคกเกษตร สมัยก่อนเกิดโรคระบาดเลยย้ายหมู่บ้านไปอยู่บริเวณวัดป่าบ้านบ่อฮีม ซึ่งเป็นที่ลุ่มมีห้วยแล้ง มี หนองบ่อฮีม มีวัดเก่าเจอโบราณวัตถุเป็นเทวรูปโบราณทิ้งคว่ำ และมีอิฐเก่าเป็นสัญลักษณ์เป็นที่ตั้งของศาสน สถานเก่า ซึ่งชาวบ้านได้ไปตามกลับมาจากผู้ที่เก็บโบราณวัตถุไป จนมีการสร้างศาลาเล็กๆ ขึ้น จนกลายเป็นวัด และโบสถ์ ขึ้นมาในปัจจุบัน อยู่ในบริเวณเดียวกันยังขุดเจอถ้วยชามของเก่าๆ ชาวบ้านก็เก็บรักษาไว้ แต่ยังไม่มี การสำรวจศึกษาประวัติความเป็นมา ทำให้คนในชุมชนซึ่งไม่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุนำผ้าสไบและเครื่องประดับ ตกแต่ง วัดใหม่เชียงคงเป็นวัดประจำบ้านหันเทา และบ้านผักกาดย่า มีโบราณวัตถุเป็นเทวรูปต่างๆ ชาวบ้านเอา สีมาทาด้วยความขาดความเข้าใจในการอนุรักษ์โบราณวัตถุ วัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวบ้านหันเทา มีหนองน้ำ มีสาหร่ายเยอะ ดั้งเดิมมีนายฮ้อยค้าขายวัวควายเอาฝูง วัวควายมาปล่อยไว้ที่ตำบลปะโค ทำให้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวงามได้ผลผลิตดี ประเพณีวัฒนธรรมลง แขกดำนา เกี่ยวข้าว สามระยะ ข้าวดอ ข้าวกลาง และข้าวใหญ่ เวลาหมดข้าวก็ต้องปลูกข้าวดอ เอาไว้กิน ประมาณออกพรรษาประมาณ 23-25 ตุลาคม (ข้าวอายุสั้น 120 วัน พันธุ์หอมภูพาน, หอมนาคา) หลังจากนั้น สองสัปดาห์จะเกี่ยวข้าวกลาง ปัจจุบันคือ กข 12 หลังจากนั้น 15-25 พฤศจิกายน จะเป็นข้าวใหญ่ ปัจจุบันคือ กข 6 และ สันป่าตอง การปลูกข้าวทั้งสามระยะยังคงอยู่กับบ้านหันเทา ที่นาที่อยู่ที่ดอนจะปลูกหอมภูพาน กข 22 ปัจจุบันมีหอมนาคา ก็จะปลูกหอมนาคาเพิ่มเข้าไปอีก การปลูกข้าวบนที่ดอนน้ำน้อยจึงต้องปลูกข้าวอายุสั้น หรือถ้าปลูกข้าวเจ้าก็จะเป็น กข 15 สมัยก่อนบ้านหันเทาปลูกข้าวด้วยการปักดำ เป็นประเพณีของบ้านหันเทา เพราะถ้าปลูกแบบนาหว่านจะมีหญ้าเยอะ ควบคุมไม่ได้ ข้าวไม่มีคุณภาพ ทำให้คนบ้านหันเทายังคงทำนาดำอยู่ เพราะมีวิถีชีวิตทำนาเป็นอาชีพหลัก ช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม เป็นช่วงที่ปลูกและดูแลข้าว ต้องไปนาทุกวัน ดูแลนา ตัดหญ้า ดูแปลงกล้า ดูแลควบคุมน้ำ ดูแลป้องกันนกไม่ให้มากินข้าว ผู้ชายก็ตัดหญ้า ผู้หญิงก็ไปนาเอาข้าวไปส่งให้กับสามี สมัยก่อนสามีต้องเอาควายไปนาแต่เช้า สมัยปัจจุบันก็ขี่ซาเล้งไปแทน สำหรับบ้านหันเทา ยังคงวิถีชีวิตทำนาเหมือนเดือน จากแปลงใหญ่ก็มาจัดสรรค์ให้ลูกแต่คน ทำให้เหลือนาไม่เกิน คนละ 10 ไร่ (เฉลี่ยคนละ 10 ไร่) ถ้าคนไหนมีรายได้ก็จะซื้อที่ดอนไว้ปลูกพืชไร่ ปลูกอ้อย ประเพณีเกี่ยวกับข้าว ก่อนจะดำนา ต้องหาวันปักแฮก (เลี้ยงปู่นา) ต้มไก่ มีศาลตาปู่นา ให้ผีไร่ผีนา หรือผีบรรบุรุษให้รักษาต้นข้าวไว้ ผีป่าอย่ามาใกล้นาผุ้ค่าเด้อ ก่อนดำนาต้อง “ปักแฮกนา” ปักดำนาต้นแรก จะทำ แปลงเล็กๆ ดำไว้ประมาณ 7 ต้น ให้รักษาไม่ให้วัวควายมากิน และจะปักดำวันพฤหัสบดี ให้ต้มไก่ ให้กินข้าวอิ่ม
10 หมดทุกคน ถึงลงดำนาวันแรก ข้าวจะได้เต็มท้องเต็มพุง ปีนี้จะได้ข้าวเยอะพอกินหมดทุกคน รักษานา เวลาจะ เก็บเกี่ยวก็เก็บเกี่ยวด้วยมือ วางเป็นฟ่อนๆ ตากแดดไว้สามวัน แล้วก็มีประเพณีหาบข้าวขึ้นลาน ต้องทาลาน เอา ขี้ควายทาลาน เอาขี้ควายตีเลน เอาขี้ควายเทเหมือนเทปูน พอแห้ง จึงหาบข้าวขึ้นมาไว้ที่ลาน ต้องมีใบคูนใบยอ ต้มไข่ ขันห้า ปั้นข้าว วางไว้ หาบข้าวมาแล้วมาวางไว้ เพื่อไหว้แม่โพสภ แล้วบอกกล่าวว่า “แม่โพสภเอ๊ย สิขนข้าว จากไฮ่นามากองไว้ จะขอขึ้นเหยียบกองข้าวเด้อ” กองข้าวให้เป็นชั้นๆ พูนขึ้น เรียกกองมัดข้าวที่วางพูนขึ้นนี้ว่า “กองลอมข้าว” แล้วจะแข่งกัน วัดว่า กองใครจะสูงใหญ่กว่ากัน อวดแข่งกันว่าใครจะได้ข้าวมากกว่ากัน จากนั้นก็ จะตีข้าว ก็เอาขัน 5 ธูปเทียน ดอกไม้ 5 คู่ กราบกองข้าว ว่าจะตีฟาดข้าว แล้วเอาไว้ตีข้าวคีบยกฟาด ข้าวก็หล่น ผู้ชายตีข้าว มีผู้หญิงตักข้าวสนุ เอาเคียวตัดตอกที่มัดข้าวออก แล้วเอาฟางมากองไว้ ข้าวตีเอาเมล็ดข้าวเปลือก ก็ จะกองโตขึ้นๆ เรียกว่า “กุ้มข้าว” คนนา 10 ไร่ ใช้เวลา 7 วัน ถ้าคนมีนาเยอะ ค่อยๆ ตีไปเรื่อย ๆ พอเสร็จแล้วจะ ขนข้าวขึ้นยุ้ง เอาใบคูนใบยอไปวางไว้ที่ยุ้ง ในอดีตใช้เกวียนขนข้าวที่ตักใส่คุ ใส่กระป๋อง ใส่ตะกร้า ขนข้าวขึ้นเล้า ขอแรงให้ไปช่วยกัน เดินตามเกวียนขนข้าวขึ้นเล้า สมัยต่อมามีรถ มีกระสอบ ก็ใส่กระสอบ ใส่รถขนมาเก็บที่ยุ้ง หรือที่โกดัง เวลาสีข้าวกิน ก็ไปสีโรงสีในหมู่บ้าน ก็คิดค่าบริการเป็นข้าวเปลือก 1 กก.ต่อ 1 กระสอบ
11 ภาพที่5 บริบทของบ้านหันเทา ตำบลปะโค อำเภอกุดจับ บทเพลงที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมข้าว “ปลาข่อใหญ่ เพลงโดย มนต์แคน แก่นคูน” https://www.youtube.com/watch?v=UHeq1KJAgoo “เดือนสามออกใหม่เก้าค่ำได้มายามผู้สาวบ้านภูไท มาค้ำคูนขวัญข้าวตามฮีตคองเก่าละของเผ่าภูไท ถึงแม้เป็นสังคมยุคใหม่ยังรักษาไว้ประเพณีอันดีงาม…” เดือนสามออกใหม่เก้าค่ำ มีงานทำบุญขวัญข้าว หรือการทำพิธีสู่ขวัญข้าว ข้าวที่ขึ้นมาจากลานใหม่ๆ ก่อนจะนำขึ้นไปเก็บในเล้าข้าว หรือยุ้งฉาง ต้องทำพิธีสู่ขวัญข้าวก่อน ปลายเดือน 3 หรือ เดือน 4 ก็จะทำ บุญกุ้มข้าว เอาข้าวเปลือกไปรวมกันที่วัด ฟังสวดเทศมหาชาติ แห่พระเวสสันดร บุญผะเหวด หรือว่าบุญ
12 มหาชาติฟังเทศ ทำพวงดอกไม้ประดับศาลาวัด หรือตกแต่งด้วยด้วยฟางข้าว หรือพวงดอกไม้แห้งที่ศาลาวัด วัน ต่อมาก็แห่ต้นเงิน แห่กัณฑ์หลอน มีต้นเงินเอาแบงค์เสียบไม้ เปิดเพลงฟ้อนรำไปตามหมู่บ้าน หรือแห่กลองยาวก็ ได้ แต่ปัจจุบันก็เปิดเครื่องเสียงเอา ก็มีชาวบ้านมาสนุกสนานมาเต้นมาฟ้อน กัณฑ์หลอน กัณฑ์จอบ คือ กัณฑ์ หลอน เป็นการแห่กัณฑ์เทศน์มา ถึงบริเวณที่พระกำลังเทศน์ก็ถวายกัณฑ์เทศน์โดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นพระสงฆ์ รูปใด กัณฑ์จอบ เป็นกัณฑ์เทศน์ที่กลุ่มผู้ถวายปรารถนาจะถวายเฉพาะภิกษุที่ตนชอบ เคารพศรัทธา ออกจากบุญผะเหวด ก็มาสู่บุญประเพณีที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เริ่มตั้งแต่บุญสงกรานต์ขอแม่ย่าฮีมให้ฝน ตก ตกปะทายแห่ดอกไม้ เก็บดอกไม้ตามป่ามาบูชาพระพุทธรูปตามวัด ดอกไม้ธรรมชาติที่บาน (แห่ดอกไม้หลัง สงกรานต์) การแห่ต้นดอกไม้นี้ชาวบ้านจะแห่กัน 3 รอบ เป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และเมื่อ แห่ครบสามรอบก็จะวางต้นดอกไม้ทุกต้นไว้รอบอุโบสถเพื่อบูชาพระรัตนตรัยทั้งคืน พอตอนเช้าก็จะนำต้นดอกไม้ ออกจากวัดไปซ่อมแซมต้นที่ชำรุดและเปลี่ยนดอกไม้สำหรับใช้ในคืนถัดไป งานประเพณีแห่ดอกไม้ โดยจะมีการ จัดขึ้นในทุก ๆ ปี โดยมีความเชื่อว่าเป็นสิริมงคล ที่ได้นำดอกไม้มาบูชาพระรัตนตรัย ทำให้อยู่ดีมีสุข ฝนตกต้อง ตามฤดูกาล บ้านเมืองร่มเย็น ปราศจากโรคภภัย วัว ควาย สัตว์เลี้ยงขยายคอกออกผลสมบูรณ์ มาคารวะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์เจ้าปู่เจ้าย่า ให้มาช่วยให้ฝนฟ้ามาตามฤดูกาลทำนาได้ผลดี จากนั้น บุญเดือนหก หรือบุญบั้งไฟ จุดบั้ง ไฟและทำพิธีขอฝน จุดขอพญาแถน ให้ฝนตกให้ชุ่มฉ่ำ ปัจจุบันทำบั้งไฟเล็กๆ ก็พอ เพราะหน่วยงานห้ามว่า อันตราย เหลือแต่บางอำเภอยังคงอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะลดลง นอกจากสิ้นเปลือง แล้วยังอันตราย บุญเดือนแปดก็เป็นบุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน (บุญห่อข้าวน้อย) ใช้บูชาผีป่าผี บ้าน ผีบรรพบุรุษ เดือนสิบเป็นบุญกระยาสารท (ไหว้บรรพบุรุษ) ใครไม่ไปในบุญกระยาสารทถือว่าเป็นลูก เนรคุณ เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะถูกปล่อยลงมาในวันเพ็ญบุญกระสารท มารอรับส่วนบุญกับข้าวที่ ลูกหลานส่งให้ ใกล้เทศกาลบุญกระยาสารทจึงจะคั่วข้าวตอกแตก ชาวบ้านจึงเชื่อว่าถ้าคั่วข้าวตอกแตกคั่วตอน วันที่มีคนตาย ถ้าไม่มีคนตายจะไม่คั่ว แต่ถ้าดำนาแล้วใกล้เทศกาลเตรียมคั่วไว้ก่อนประมาณสองเดือนนี่ไม่เป็นไร แต่ถ้าคั่วตลอดปี ชาวบ้านก็จะถามว่า “มีใครตายหรือจึงคั่วข้าวตอกแตก” หรือเรียกว่า ขนมผี เป็นความเชื่อของ คนบ้านหันเทา เลยไม่ค่อยมีแรงจูงใจอยากจะคั่วตลอดปี พอหลังเทศกาลทำขนมกระยาสารทไปก็ไม่ค่อยได้ขาย เพราะเป็นขนมตามเทศกาล จากนั้นก็เป็นบุญออกพรรษา เอาต้นข้าวที่กำลังตั้งท้องมาบูชาพระแม่โพสพ เหมือน เป็นดอกไม้อ่อน ไปดึงต้นข้าวที่ตั้งท้องออกรวงเอามาเป็นดอกไม้บูชาพระ “บุญออกพรรษา บูชามานข้าว” เพื่อให้ข้าวจะติดรวงเยอะ พอออกพรรษาไม่นานจะมี“ข้าวดอ” ได้เกี่ยวมาทำบุญกฐิน มีการแลกเปลี่ยนกัน หรือยกให้กันมาทำข้าวต้มมัดใส่ไส้กล้วยน้ำว้า ข้าวเหนียวใหม่ทำข้าวต้มมัดอร่อย เลยทำไปวัดไปทำบุญถวาย พระ ในบุญกฐิน หรือทำข้าวเม่า แช่ คั่วและตำข้าวเม่า ฟัดเอาเปลือกออก มาช่วยกันหลายๆ คน เป็นช่วงที่ผู้สาว กับผู้บ่าวมาจีบกัน ผู้บ่าวได้ยินเสียงตำครกกระเดือง ก็มาส่องดูว่าได้มีบ้านไหนตำข้าวเม่า ก็จะไปช่วย แกล้ง หยอกเหยียบเท้าผู้สาว เป็นการจีบกันของผู้บ่าวผู้สาวสมัยก่อนก่อน ได้ข้าวเม่ามาแจกกัน คนที่มาตำช่วยกัน ก็เอา ไปแบ่งกัน ขูดมะพร้าว ซาวน้ำตาลใส่ แบ่งกันกิน เอากะโป๋มะพร้าว (กะลามะพร้าว) ที่ขูดแบ่งไปบ้านอื่นๆ ต่อไป ก็เป็นประเพณีเกี่ยวข้าว เกี่ยวนาใครนามัน ใครเกี่ยวไม่เสร็จก็มาช่วยกัน
13 ข้าวเหนียวกับการออกเรือนของผู้หญิงในอดีต สมัยโบราณลูกผู้หญิงต้องไว้ผมยาว ไม่ดัดผม ใส่ ผ้าถุง ถอเสื่อเป็น ถอผ้าเป็น นึ่งข้าวเหนียวเป็น หาบน้ำตำข้าว เป็นคุณสมบัติของผู้หญิงที่จะแต่งงานมีสามีได้ “เฮือนสามน้ำสี่ เป็นลูกผู้หญิงต้องบ้านเรือนสะอาด กระติบข้าวเป็นระเบียบ ฮวดนึ่งข้าวมีข้าวติดฮวดหรือเปล่า ไปดูในครัว โบมไม้มีข้าวติดหรือไม่ ไม้สายข้าวมีข้าวติด ถ้าสะอาดสะอ้านแสดงว่าเป็นกุลสตรี มีคุณสมบัติเหมาะ จะเอาเป็นลูกสะใภ้” 3. เส้นทางอำเภอบ้านดุง ตำบลบ้านชัย และตำบลดงเย็น ภูมิปัญญาการทำข้าวฮาง วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านโนนสะอาด ตำบลบ้านชัย อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ได้นำเอาวัฒนธรรมภูมิปัญญาการทำข้าวฮางของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ข้าวฮางอินทรีย์ “ข้าวฮาง” มาจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ที่ข้าวยังมีอายุไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วลูกไม่มีข้าวกิน ก็ ไปเก็บเกี่ยวเอาข้าวที่ยังไม่ถึงระยะเก็บเกี่ยว มานึ่ง มาสีให้ลูกกิน ในอดีตพื้นที่บ้านโนนสะอาดมีข้าวพันธุ์พื้นเมือง อยู่หลายพันธุ์ต่อมาชาวบ้านเปลี่ยนมาปลูกพันธุ์ กข 6 และริเริ่มการทำนาข้าวอินทรีย์ โดยไถกลบตอซัง ปลูก ปอเทืองแล้วไถกลบ ซึ่งปีแรกยังเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตไม่มาก จากนั้นพอปีที่ 2 และ 3 ผลผลิตจึงค่อยกลับมาได้ ผลผลิตดี จากนั้นจึงมาริเริ่มการแปรรูป ข้าวฮางตามภูมิปัญญาโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่บ้านโนนสะอาด เริ่มจาก การเกี่ยวข้าวในระยะพลับพลึง ใช้มือทดลองบี้ดู เมล็ดข้าวไม่แข็ง เก็บเกี่ยวมาแล้วนึ่งให้สุก 45-60 นาที ตั้งให้เย็น ผึ่งในที่ร่ม 7 วัน บรรจุกระสอบไว้ เมื่อต้องการจะรับประทานหรือขายจึงนำมาสี แล้วแพ็คเป็นถุง ภาพที่6 ข้าวฮางตามภูมิปัญญาโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่บ้านโนนสะอาด ภูมิปัญญาการทำกระติบข้าวจากคล้าของบ้านโนนชัยศิลป์ ตำบลดงเย็น ต้นคล้ำ มีลักษณะเป็น ไม้เนื้ออ่อนมีปล้องยำวเป็นล ำ ขึ้นเป็นกอ มีล ำสีเขียวเข้ม ควำมสูงประมำณ 1 - 2 เมตร สำเหตุที่มีกำรจักสำน กระติบข้ำวจำกไม้ไผ่มำเป็นคล้ำ เพรำะไม้ไผ่เกิดเชื้อรำง่ำย แต่คล้ำทนทำน และเมื่อถูกควำมชื้นจะไม่เป็นเชื้อรำ ด ำ เก็บควำมร้อนได้นำนกว ่ำ กระติบข้ำวจำกต้นคล้ำ ยิ่งใช้สีจะยิ่งเข้มเป็นขึ้นและขึ้นเงำ เก็บควำมร้อนได้ดี สำมำรถส่งไปขำยต่ำงประเทศได้
14 ภาพที่7 กระติบข้าวเหนียวจากต้นคล้าของบ้านโนนชัยศิลป์ บ้านดุงแผ่นดินแห่งศรัทธาและความเชื่อ ศาลหอเจ้าแม่สองนาง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบ้านโนนชัยศิลป์ ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นเคารพของคนที่ต้องการไปสอบเข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ภาพที่8 ศาลหอเจ้าแม่สองนาง บ้านโนนชัยศิลป์ ตำบลดงเย็น จังหวัดอุดรธานี
15 วัดป่าคำเจริญ อยู่ทางเดียวกับไปคำชะโนด วัดป่าคำเจริญ บ้านเหล่าหลวงใต้ ตำบลวังทอง อำเภอ บ้านดุง จังหวัดอุดรธานี วัดป่าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย เดชฯ บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื้อที่จำนวน 100 ไร่ เป็นศูนย์เรียนรู้ธรรมะ ตามหลักการเจริญสมถะ-วิปัสสนา บรรยากาศภายในร่มรื่นมาก มีอุโบสถที่นี่มีเอกลักษณ์สร้างจากไม้สัก และมีสระน้ำด้านหน้าที่สร้างจากหลักการ ของธนาคารน้ำใต้ดิน ภาพที่9 วัดป่าคำเจริญ ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี วัดเหล่าหลวง (ธรรมยุต) บ้านเหล่าหลวง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสาย ธรรมยุต ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า และพลังศรัทธาแห่งองค์พญานาคตระกูลต่างๆ และภายในบริเวณวัดที่เงียบสงบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม ภาพที่10 วัดเหล่าหลวง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี คำชะโนด หรือ เมืองชะโนด หรือ วังนาคินทร์คำชะโนด มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ เกิดจากการทับถม และผสานตัวของซากวัชพืชน้ำจำนวนมากเป็นระยะเวลายาวนาน จนก่อกำเนิดคล้ายกับเป็นผืนแผ่นดินลอยตัวใน
16 รูปแบบเกาะกลางอ่างเก็บน้ำกุดขาม มีต้นชะโนดคล้ายต้นปาล์ม ลำต้นสูง ไม่มีหนาม มีใบเหมือนใบตาล ลำต้นมี ลักษณะเหมือนต้นมะพร้าว ลูกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายหมาก เจริญเติบโตเต็มที่มีความสูง 30 เมตร เมื่อถึงฤดูฝน น้ำ ในแหล่งน้ำสูงขึ้น ป่าชะโนดนี้ไม่จมน้ำที่ตามระดับน้ำที่สูงขึ้น หรือเมื่อระดับน้ำลดลง ป่าคำชะโนดก็มีการปรับ สภาพไปตามระดับน้ำ ป่าชะโนด ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ ตำบลวังทอง, ตำบลบ้านม่วง และตำบลบ้านจันทร์ ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ป่าแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญ ที่ปรากฏในตำนานพื้นบ้านอีสาน ประชาชนใน พื้นที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของพญานาค ปู่ศรีสุทโธ ย่าศรีประทุมมา และสิ่งลี้ลับต่าง ๆ เป็นที่เคารพศรัทธาของคน ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและใกล้เคียง ที่มักจะบอกเล่ากันว่าตนเองเป็นลูกหลานพญานาค และขอให้พญานาคปก ปักรักษาคุ้มครอง ตลอดจนให้เจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ และขอโชคลาภ ภาพที่11 คำชะโนด วังนาคินทร์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี 4. เส้นทางนาคราชเชื่อมโยง อำเภอกุมภวาปี และอำเภอหนองหาน ตำนานผาแดงนางไอ่แห่งบึงหนองหาน บึงหนองหานแต่เดิมเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ เจ้า เมืองชื่อ “พ่อปู่พญาขอม” ครองเมืองด้วยทศพิศราชธรรม มีธิดา เรียกว่า “นางไอ่คำ” มีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม มี ชื่อเสียงเลื่องลือไปด้วย จนกระทั่งมีบุตรชายของพญานาค ชื่อ “ท้าวภังคี” จึงแปลงร่างมาเป็นกระรอกด่อน มี กระดิ่งทองแขวนคอ เมื่อนางไอ่คำ เห็นกระรอกน้อย ก็เกิดความเอ็นดู ให้คนไปจับ ต่อมานายพรานได้ใช้หน้าไม้ ยิงกระรอกจนตาย ก่อนสิ้นใจ ท้าวภังคีจึงอธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีกลิ่นหอม กินยังไงก็ไม่หมด และได้นำ เนื้อกระรอกเลี้ยงคนได้ทั้งเมือง ยกเว้นแต่กลุ่มแม่ม่ายที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอก บริวารของท้าวภังคีเห็นจึงนำเรื่องไป
17 บอกท้าวสุทโธนาคราช จึงโกรธแค้นก็พาบริวารของตนไปถล่มเมืองพญาขอม เมืองถล่มเกิดน้ำท่วมอย่างหนัก เหลือแต่บริเวณที่เป็นที่อยู่ของแม่ม่าย เรียกว่า ดอนแม่ม่าย กับดอนแก้ว นายพรานดึงหน้าไม้จนสายขาด จึง เรียกว่า บ้านดอนสาย ต.ดอนสาย ท้าวผาแดง ซึ่งเป็นคู่รักของนางไอ่คำ ทราบเรื่อง จึงรีบขี่ม้าบักสาม มาช่วยนาง ไอ่คำ วิ่งไปที่บริเวณห้วยสามพาด ม้าบักสามล้มลง ห้วยบริเวณนั้นจึงเรียกว่า ห้วยสามพาด นางไอ่ทิ้งฆ้องลงไป เรียกว่า บ้านน้ำฆ้อง ทิ้งกลองลงไป เรียกว่า บ้านกองสี บ้านเชียงแหว มาจากนายพรานยิงกระรอกตาย แล้วได้นำมาชำแหละเนื้อแบ่งปันกันไปทำอาหาร กิน ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งคนที่ทำหน้าที่ชำแหละ เนื้อกระรอกเผือกนั้น เคยผ่านการบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อสึกออกมา คนท้องถิ่นอีสาน จึงเรียกว่า “เซียง” ส่วนการชำแหละนั้นภาษาท้องถิ่นอีสานเรียกว่า “แหว” เมื่อมีการเรียกชื่อ สถานที่ปรากฏการณ์ในนิทานพื้นบ้าน จึงเรียกว่าบ้านเซียงแหวหรือ “เชียงแหว” อันหมายถึง สถานที่ที่เชียง ชำแหละเนื้อกระรอกนั่นเอง เอกลักษณ์ของบ้านเชียงแหวคือ บุญบั้งไฟ มาจากตำนานที่ พญาขอม ให้มีการแข่งขัน บุญบั้งไฟ เพื่อเลือกลูกเขย ใครจุดบั้งไฟได้สูงที่สุด ก็จะได้แต่งงานกับลูกสาวของพญาขอม นอกจากนี้ ตามประเพณี ฮีตสิบ สอง คองสิบสี่ ยังคงรักษาไว้ เช่น บุญเดือนสาม หรือบุญผะเหวด บุญเดือนห้า คือ บุญสงกรานต์ บุญเดือนหก คือ บุญบั้งไฟ บุญเดือนแปด คือ บุญเข้าพรรษา บุญเดือนเก้า คือ บุญข้าวประดับดิน บุญเดือนสิบ คือ บุญข้าว สาก หรือบุญกระยาสารท บุญเดือนสิบเอ็ด คือ บุญออกพรรษา บุญเดือนสิบสอง คือ บุญกฐิน โดยบุญข้าว ประดับดินคือเอาห่อข้าวน้อยไปแขวนที่วัดเลี้ยงบรรพบุรุษ ส่วนบุญข้าวสาก เอาข้าวไปไว้ในที่ไร่ที่นา ไหว้พระแม่ โพสพ มีภูมิปัญญาในการทำขนมเพื่อใช้ในงานบุญประเพณี เช่น ข้าวตอกแตก ข้าวจี่ ข้าวเคียบ ข้าวต้มมัด ภาพที่12 ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากบัวแดงและข้าวเหนียวของบ้านเชียงแหว มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเชียงแหว คือ หลวงปู่องค์แสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปในสมัยทวาราวดี และมีหิน ศิลาแลงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดสมศรีสะอาด มีลักษณะเป็นโบราณวัตถุ ขุดขึ้นมาจากบึงหนองหาน เสาหินหรือ หลักเสมาอายุสมัยทวารวดี ที่วัดนำมาทำเป็นหลักเสมารอบโบสถ์ ซึ่งเป็นเสาขนาดสูงใหญ่คาดว่าประมาณเกือบ สองเมตร บางชิ้นหัก บางชิ้นครึ่งหนึ่งผังอยู่ในดิน บ่งบอกว่าวัดเดิมนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณมาแต่เดิมตั้งแต่
18 ยุคทวารวดี บริเวณโบสถ์ในปัจจุบัน(สร้างประมาณปี 2513) ตั้งอยู่บนโบราณสถานเก่าแก่ที่สร้างจากหินศิลาแลง ซึ่งทั้งหมดถูกฝังอยู่ใต้ดิน รวมถึงวัตถุโบราณ ไหบรรจุกระดูก และพระพุทธรูปทองคำ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของการปลูกข้าวรอบบึงหนองหาน บ้านเชียงแหวเป็นพื้นที่ที่มีอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่อุดมสมบูรณ์ ต่อมามีการสร้างคันกั้น น้ำขึ้น ทำให้เกิดน้ำท่วม ในอีกฝั่งหนึ่งของคันคู และมีบัวแดงเจริญเติบโตขึ้น กลายเป็นทะเลบัวแดงซึ่งเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอุดรธานี ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของคันกั้นน้ำ ก็ยังคงมีสภาพเป็น นาข้าว ซึ่งมีคลองส่งน้ำ ทำให้สามารถปลูกข้าวได้ทั้งนาปี นาปรัง ภาพที่13 ทะเลบัวแดงและนาข้าวบริเวณบ้านเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี วัดสระมณีบนเส้นทางสายนาคราช วัดสระมณี อยู่ในบริเวณของ บ้านผักตบ ตำบลผักตบ อำเภอ หนองหาน จังหวัดอุดรธานี สร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2338 บริเวณด้านหน้าวัดสระมณี จะมีสระแห่งหนึ่ง ที่มีเรื่อง เล่ากันว่ามีลูกแก้วชนิดหนึ่งลอยขึ้นมาจากสระ และเปล่งแสงประกายงดงามมาก พอเมื่อมีการสร้างวัดนี้ขึ้นมา ชาวบ้านในบริเวณบ้านผักตบ เลยตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดสระมณีโชติ ซึ่งต่อมาจากนั้นหลายปี คำว่า โชติ ก็หายไป เหลือ แต่คำว่า สระมณี รอบโบสถ์ได้สร้างพญานาค 4 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลสีทอง พญาวิรูปักษ์นาคราช, ตระกูลสีดำ พญากัณหาโคตรมะนาคราช, ตระกูลสีรุ้ง พญาฉัพพยาปุตตะนาคราช และตระกูลสีเขียว พญาเอราปถนาคราช ล้อมรอบกำแพงโบสถ์ได้อย่างงดงาม ผสมผสานรูปปั้นเทวดา องค์พิฆเนศ ต่างๆ ภาพที่14 วัดสระมณีอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
19 วิถีชีวิตเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานของตำบลสะแบง ตำบลสะแบง อำเภอหนองหาน มีทรัพยากร ท้องถิ่นที่หลากหลาย ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น มีแหล่งน้ำเป็นลำห้วยหลักที่ไหลผ่านกลางตำบลคือ ลำห้วยวังบอน มีน้ำตลอดปี และลำห้วยด่าน ลำห้วยทั้งสองเป็นลำห้วยหลักที่ชาวบ้านใช้น้ำในการทำเกษตรกรรม และมีตาน้ำพุที่มีน้ำ ใสสะอาดไหลออกมาเป็นต้นน้ำของลำห้วยทั้งสองสาย ยังมีหนองบวมเลา ที่เป็นหนองน้ำขนาด มีบ่อเกลือสินเธาว์ขนาด 50 ไร่ ที่บริเวณหมู่ 4 และหมู่ 8 มีป่าชุมชนอยู่ที่หมู่ 1, 4 และหมู่ 5 ที่ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ มีดินอุดมสมบูรณ์ และนอกจากนี้ยังมีทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เกี่ยวข้องกับด้านวัฒนธรรม ศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ วัดธาตุแก้ว เนรมิตวัดป่าคำน้ำพุซึ่งเป็นที่ตั้งของตาน้ำพุต้นน้ำของห้วยวังบอน วัดปัทมากร วัดป่าบ้านดอนนางคำ และวัดสมชนะ วารี เป็นต้น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโคกหนองนาโมเดล โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชนและหน่วยงานภาคีในพื้นที่ เช่น สำนักงานเกษตรอำเภอหนองหาน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร และสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอหนองหาน เป็นต้น เกษตรกรในหลาย หมู่บ้าน เช่น หมู่ 1, 3 และ 4 รวมกลุ่มทำนาข้าวอินทรีย์ สวนผักอินทรีย์และผักปลอดสารพิษ พืชสมุนไพร เลี้ยง โค, สุกร, กระบือ เพาะพันธ์ุกบ เลี้ยงมดแดง เลี้ยงจิ้งหรีด ไก่งวง เพาะเห็ด ฯลฯ ชาวบ้านในชุมชนมีทักษะอาชีพ ด้านการเกษตร หมู่ 1 ทำสวนมะนาว สวนผัก สวนแตงกวา สวนโกโก้ หมู่ 5 ทำนาปีและนาปรัง หมู่ 6 และ 8 ปลูกพืชเศรษฐกิจ อ้อยและมันสำปะหลัง หมู่ 8 มีสวนมะพร้าวน้ำหอม และบ่อเลี้ยงปลาชะโด ภาพที่15 เส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
20 จัดทำคลังความรู้ของชุมชน ในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวของ พื้นที่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการเผยแพร่ โดยมีรายละเอียดดังนี้ นำเสนอข้อมูลคลังความรู้ผ่านเว็บไซต์ “https://homnagabcg.wixsite.com/homnaga” ที่ทีมงานได้รวบรวมข้อมูลในพื้นที่ชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียมหอมนาคา จังหวัดอุดรธานีเน้น บุญประเพณีในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ยึดถือปฏิบัติตามฮีต 12 สืบทอดกับมาอย่างยาวนาน ซึ่งในแต่ละ เดือนมีบุญประเพณีที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว ได้แก่ 1) บุญคูณลาน คำว่า "คูณ" หมายถึง เพิ่มหรือทำให้มากขึ้น ส่วนคำว่า "ลาน" คือ สถานที่กว้างๆ สำหรับนวดข้าว ซึ่งการนำข้าวที่นวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า "คูณลาน" สำหรับประเพณีบุญคูณลานจัดขึ้นใน
21 เดือนยี่ (สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม) ตามปฏิทินอีสานของทุกปี ทำให้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนยี่" ซึ่ง การทำบุญคูณลานของแต่ละพื้นที่จะจัดขึ้นไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวว่าจะเสร็จเมื่อไร วันที่จะขน ข้าวขึ้นเล้า (ฉางข้าว) จะเป็นวันทำบุญคูณลาน โดยทำพิธีที่แปลงนาของตนเอง ด้วยมีความเชื่อว่าเป็นการ ขอบพระคุณและขอพรจาก “แม่โพสพ” ขอขมาลาโทษที่ได้เหยียบยำผืนแผ่นดินในช่วงทำนา และความเป็นสิริ มงคลแก่ข้าวในลานของตน หลังการสู่ขวัญข้าวเสร็จจะเป็นการขนข้าวขึ้นเล้า (ยุ้ง/ฉาง) ก่อนการขนข้าวขึ้นเล้า เจ้าของข้าวจะต้องไปเก็บเอาใบคูณและใบยอเสียบไว้ที่เสาเล้าทุกต้น ถือเป็นเคล็ดลับว่า ขอให้ค้ำคูณ ยอๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป และเชิญขวัญข้าวพร้อมทั้งแม่โพสพขึ้นไปยังเล้าของเราด้วย ในปัจจุบัน ชาวอีสานร่วมกันทำบุญโดยมีจุดมุ่งหมายคือการร่วมกันจัดหาทุนทรัพย์ถวายวัดใน ชุมชน ซึ่งเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในการทำบุญนั้นชาวอีสานไม่ได้ถวายเป็นปัจจัยหรือเงินแต่อย่างใด หากแต่นำข้าวเปลือกที่เป็นผลผลิตจากหยาดเหงื่อแรงกายของตนมากองรวมกันเป็นกองข้าวใหญ่ไว้ที่ลานวัด บางพื้นที่มักเรียกว่า “บุญกุ้มข้าวใหญ่” แทนบุญคูณลาน จากนั้นนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาสวดเจริญพุทธมนต์ พร้อมประพรมน้ำพุทธมนต์กองข้าวใหญ่ พร้อมทำพิธีสู่ขวัญข้าว และผูกข้อต่อแขนกันในหมู่ไทบ้านที่มาร่วมพิธี เพื่อเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจ ทั้งนี้เชื่อกันว่าผลบุญที่ทำในครั้งนี้จะส่งผลให้การทำนาในปีต่อไปได้ผลงอกเงย เพิ่มพูน คูนให้ใหญ่ให้สูงขึ้นอีก กองข้าวที่กองสูงในลานกองนั้นยังทำให้เห็นถึงพลังศรัทธา และน้ำจิตน้ำใจของ ผู้คนในชุนชนด้วย มองไปทางไหนก็จะเห็นความชื่นมื่นโฮแซวของชาวนาที่ตรากตร่ำทำนามาตลอดฤดูกาล 2) บุญข้าวจี่ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในวันมาฆบูชา บุญข้าวจี่ หรือบุญเดือนสาม จะตรงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม ใน อดีตช่วงนี้เป็นฤดูหลังเก็บเกี่ยวข้าว ชาวอีสานจะนิยมนั่งล้อมวงผิงไฟคุยกัน แล้วจี่ข้าวเหนียวใหม่กันกินแก้หนาว ซึ่งเป็นข้าวจี่ที่มีกลิ่นหอมและนุ่ม บางครั้งมีการใส่ไส้น้ำอ้อยหรือน้ำตาลแดง โรยเกลือหรือทาด้วยไข่ให้ทั่วก่อน นำไปปิ้งไฟให้สุกเหลือง เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสามชาวอีสานจะนำข้าวจี่พร้อมอาหารคาวหวานไปวัดเพื่อถวาย พระภิกษุสงฆ์ พร้อมกับนิมนต์ท่านมารับบิณฑบาต ตามความเชื่อจากเรื่องเล่าสมัยพุทธกาลว่า วันหนึ่งพระพุทธ องค์ได้เสด็จไปบิณฑบาตที่กรุงราชคฤห์ ขณะนั้นนางปุญญทาสี คนรับใช้ของเศรษฐีเจ้าของบ้านกำลังย่างข้าว เหนียวเพื่อรับประทางเอง เมื่อนางได้เห็นพระพุทธองค์มาบิณฑบาต นางไม่มีปัจจัยสิ่งอื่นใดที่พอจะถวายได้ จึง เอาข้าวย่างก้อนนั้นใส่บาตร เมื่อนางใส่บาตรแล้วมีจิตพะวงว่าพระพุทธองค์จะไม่เสวย เพราะเป็นภัตตาหารที่ไม่
22 ประณีต สมัยนั้นข้าวย่างหรือข้าวจี่เป็นอาหารของชาวบ้านที่ค่อนข้างยากจน คงจะโยนให้หมู่สุนัข กา นกกินเสีย กลางทาง พระพุทธองค์ทรงทราบและเข้าใจวาระจิตของนาง จึงได้สั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะลงแล้วประทับ นั่ง แล้วฉันข้าวจี่นั้น หลังฉันเสร็จพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเทศนาให้นางปัณณทาสีฟังจนนางได้บรรลุเป็นอริย อุบาสิกา เพระมีข้าวจี่เป็นมูลเหตุ ด้วยความเชื่อนี้ ชาวอีสานจึงได้จัดให้มีการทำบุญข้าวจี่ทุก ๆ ปี สืบมาจนถึง ปัจจุบันนี้ ชาวอีสานจะร่วมกันทำบุญข้าวจี่กับวันมาฆบูชา เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา 4 ประการคือ 1) เป็นวันเพ็ญเดือนสาม ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ 2) พระสงฆ์ จำนวน 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย 3) พระสงฆ์ที่มาประชุมครั้งนี้ล้วนเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าบวชให้ และ 4) ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ เช้าตรู่วัน เพ็ญเดือนสาม (ขึ้น 15 ค่ำ) ชาวอีสานก่อไฟจี่ข้าวเหนียวเพื่อไปตักบาตรในตอนเช้า และเตรียมอาหารคาวหวาน (จังหัน) ไปถวานพระภิกษุสงฆ์ที่วัด ที่ศาลาวัดชาวบ้านมารวมตัวกันทำพิธีนำถวายข้าวจี่ อาหารคาวหวานแด่ พระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จสวดเจริญพุทธมนต์ ข้าวจี่ที่เหลือจากการฉันนำมาแบ่งกันรับประทาน เชื่อว่าเป็นสิริมงคล และมีโชคลาภ ตอนเย็นที่วัดจะมีการร่วมกันเวียนเทียนมาฆบูชาของชาวอีสาน พระภิกษุสงฆ์ แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับประวัติของบุญข้าวจี่และวันมาฆบูชา หลักธรรมคำสอน และให้พร 3) บุญข้าวประดับดิน หรือบุญเดือนเก้า จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และ สัตว์นรกหรือเปรต เป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ของทุกปี ตามความเชื่อที่มีต่อกันมาของ ชาวอีสานว่าในคืนเดือนเก้าดับ ซึ่งตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เป็นวันที่ประตูนรกสวรรค์เปิด เปิดโอกาสให้ภูตผี ทั้งหลายสามารถกลับมาเยี่ยมญาติพี่น้องบนโลกมนุษย์ ไทบ้านชาวอีสานจะต้องเตรียม “ห่อข้าวน้อย” (ปรัญชัย
23 ฮวดชัย, 2015: 26-29) เพื่ออุทิศบุญกุศลถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ก่อนไปร่วมทำบุญ ซึ่งในห่อข้าวน้อยนั้นจะมีทั้ง อาหารคาวหวาน อาหารแห้ง ไข่ต้ม ผักที่หาได้ตามริมรั้วหัวไร่ปลายนา ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ลำไย พุทรา องุ่น และแก้วมังกร เป็นต้น พร้อมด้วยหมากพลู บุหรี่ ข้าวเหนียวห่อใบตอง นำมาจัดวางในถาดเท่าจำนวนญาติพี่น้อง ที่ล่วงลับจากเราไป ไทบ้านเริ่มทยอยไปวัดพร้อมกับห่อข้าวน้อยตั้งแต่ตี 3ประมาณตี 4 พระสงฆ์ก็นำญาติโยมทำพิธี จากนั้นต่างนำห่อข้าวน้อยไปวางตามธาตุของญาติพี่น้องเรา หรือวางตามโคนต้นไม้รอบวัด หรือที่เรียกว่า “ยาย ห่อข้าวน้อย” (วางเป็นระยะ ๆ ) จะต้องนำไปวางอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกล้องแต่อย่างใด เพียงจุดธูป เทียนแล้วบอกกล่าวให้มารับประทาน ว่ากันว่าบ้านไหนไม่ทำห่อข้าวน้อยมา ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปของบ้านนั้น จะอดอยางหิวโหย ฟ้าสางไทบ้านกลับบ้านมานึ่งข้าวเหนียว ทำกับข้าว แล้วกลับไปใส่ตักบาตรข้าวเหนียวที่วัด พร้อม ถวายพาข้าว (จังหัน)ในรุ่งเช้า พระคุณเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับอานิสงส์ที่ได้ร่วมกันทำบุญข้าวประดับ ดินในครั้งนี้ให้ฟัง หลังจากเสร็จพิธีไทบ้านก็พากันไปนา นำห่อข้าวน้อยไปถวายพระแม่โพสพตามความศรัทธาตาม วิถีคนทำนา พร้อมภาวนาจิตต่าง ๆ เพื่อขอให้ได้หมากได้ผลดี มีอยู่มีกินตลอดไป 4) บุญข้าวสาก (ข้าวกระยาสารท) หรือบุญสลาก (สลากภัตร) จัดขึ้นในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ ตามความเชื่อในการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ ลวงลับไปเช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดิน มีเวลาห่างกัน 15 วัน โดยผู้ที่จะถวายทานจะเขียนชื่อของตนใส่ไว้ที่ของ
24 ถวายทานและใส่ลงในบาตร เมื่อพระภิกษุสงฆ์จับได้สลากของผู้ใด ก็จะเรียกเจ้าของสลากให้นำของที่เตรียมไว้มา ถวายทาน เมื่อใกล้ถึงวันทำบุญหรือก่อนถึงวันไปทำบุญ ไทบ้านจะจัดเตรียมอาหารคาวหวาน มีปลาย่าง อาหารแห้งนาน ข้าวเหนียว ขนมต้ม ผลไม้ และที่ขาดไม่ได้คือข้าวตอกแตกหรือข้าวกระยาสารท จัดเป็นห่อข้าว ใหญ่และห่อข้าวน้อย ปัจจุบันนิยมจัดใส่ถาดให้สวยงามนำไปวัดในวันรุ่งขึ้น คล้ายกับบุญข้าวประดับดิน แต่ไท บ้านจะทำพิธีบุญข้าวสากกันในตอนกลางวันเป็นช่วงเช้าหรือเพลตามเวลาที่เราสะดวก เมื่อถึงเวลทำบุญไทบ้านจะนำห่อข้าวพร้อมปัจจัยไทยทานไปถวายพระภิกษุสงฆ์ที่วัด โดยนำห่อข้าว ใหญ่ (จัดเป็นพาข้าว) ไปถวาย หลังจากพระภิกษุสงฆ์พาทำพิธีให้ศีลให้พรเสร็จ ไทบ้านจึงนำห่อข้าวน้อยไปวาง บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในเขตวัด ส่วนไทบ้านที่มีอาชีพทำนาต่างก็นำห่อข้าวน้อยไปถวายตาแฮก ผีบรรพบุรุษที่ ดูแลผืนนา ตามความเชื่อว่าให้ข้าวในนาที่เพิ่งออกรวงนั้นได้เจริญงอกงาม เป็นอันเสร็จพิธีทำบุญข้าวสาก 8. Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี 4 เส้นทาง 1) เส้นทางหลักอ่างน้ำพาน-คำชะโนด ซึ่งจะเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของ การปลูกข้าวอินทรีย์ริมอ่างน้ำพาน ร่วมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ล่องแพในอ่างน้ำพาน ดินแดน ศักดิ์สิทธิ์คำชะโนด 2) เส้นทางหลักชมธรรมชาติทะเลบัวแดง สัมผัสวิถีชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว เรียนรู้ วัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านตำนานผาแดงนางไอ่ของชุมชนบ้านเชียงแหว และศูนย์เรียนรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ BCG ข้าวเหนียว 3) เส้นทางรองแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมหนองหาน วิถีชีวิตเกษตรอินทรีย์ วัดสระมณี พิพิธภัณฑ์บ้านเชียง
25 4) เส้นทางรองแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมวิถีชีวิตชุมชนข้าวอินทรีย์กุดจับ ภูพระบาท และ วัดป่าภูก้อน ซึ่งในระหว่างเส้นทางจะเชื่อมโยงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเครือข่าย BCG-Naga Belt Road ทั้งหมด 19 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนผู้ปลูกข้ำวเม่ำบ้ำนผักบุ้ง ต.กลำงใหญ่ อ.บ้ำนผือ จ.อุดรธำนี มีผู้ร่วมโครงกำร 50 คน เกษตรกรเป็นผู้ปลูกและแปรรูปข้ำวเม่ำ และเกิดผลิตภัณฑ์ข้ำวเม่ำกรอบ “เกล็ดนำคำ” 2) กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้ำวบ้ำนหันเทำ ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 47 คน เป็น กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้ำว และมีผลิตภัณฑ์แปรรูปข้ำวแต๋น ข้ำวฮำงงอกบดผงพร้อมชง และพัฒนำผลิตภัณฑ์ข้ำว โป่งงำด ำ 3) กลุ่มข้ำวอินทรีย์หนองสร้ำงไพร ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 50 คน เป็นกลุ่มผู้ ปลูกข้ำวอินทรีย์ เริ่มพัฒนำผลิตภัณฑ์ข้ำวโป่งผสมด้วงมะพร้ำว “ค ำด้วง” 4) วิสำหกิจชุมชนแปลงใหญ่ กลุ่มบริหำรกำรใช้น ้ำเกษตรสำมัคคีดีเด่น ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธำนี มี ผู้เข้ำร่วมโครงกำร 51 คน เป็นกลุ่มผู้ปลูกข้ำวอินทรีย์ และริเริ่มพัฒนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจำกสำโทข้ำวเหนียวผสม น ้ำผลไม้สับปะรด 5) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้ำว หมู่ 1 ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 57 คน พัฒนำผลิตภัณฑ์ข้ำวแต๋น และผลิตภัณฑ์ผ้ำย้อมสีธรรมชำติจำกดินนำและฟำงข้ำว 6) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้ำนเชียงแหว อ ำเภอกุมภวำปี จังหวัดอุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วม โครงกำร 33 คน เป็นกลุ่มโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์ และมีกำรแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้ำวเหนียวชำบัว บรำวนี่ข้ำวเม่ำ คุ้ก กี้ข้ำวเม่ำ ชิฟฟ่อนเค้กข้ำวเม่ำ และไอศกรีมข้ำวเม่ำ มีกำรพัฒนำต่อยอดเป็นชุมชนนวัตกรรม Green product มี กำรติดตั้งระบบไฟฟ้ำโซล่ำเซลล์ เพื่อประหยัดพลังงำน มีกำรติดตั้งโรงเห็ดอัตโนมัติ ผลิตเห็ดจำกฟำงข้ำว และ กำกกำแฟ มีกำรท ำฟำร์มเลี้ยงแหนแดง และผลิตดินปลูกจำกแหนแดง ผลิตสินค้ำย้อมสีธรรมชำติจำกดินนำและ ฟำงข้ำว มีกำรปรับปรุงเป็นร้ำนกำแฟ ภำยใต้แบรนด์ “หอมนำคำ คำเฟต์” เพื่อจ ำหน่ำยผลิตภัณฑ์จำกเครือข่ำย 7) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนผู้ผลิตข้ำวรักสุขภำพต ำบลแชแล อ ำเภอกุมภวำปี จังหวัดอุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วม โครงกำร 19 คน เป็นกลุ่มผู้ปลูกข้ำวปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ข้ำวเหนียว มีกำรติดตั้งปั๊มน ้ำพลังงำนแสงอำทิตย์ และริ่เริ่มผลิตข้ำวพองธัญพืช 8) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนกำรเกษตรผสมผสำนท่ำลี่ ต.ท่ำลี่ อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 32 คน มีกำรผลิตข้ำวแต๋นสูตรธัญพืช (ปรับสูตร) และผลิตภัณฑ์ผ้ำย้อมสีธรรมชำติจำกดินนำและฟำงข้ำว 9) กลุ ่มวิสำหกิจชุมชนกลุ ่มนำแปลงใหญ ่ผู้ผลิตข้ำวต ำบลสีออ อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร ่วม โครงกำร 18 คน มีกำรผลิตกำละแมโบรำณ 10) แปลงใหญ ่รำชินีข้ำวเหนียวครบวงจรพันดอน 1 หมู ่ 16 ต.พันดอน อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มี ผู้เข้ำร่วมโครงกำร 46 คน มีกำรแปรรูปขนมไดฟุกุ และเสื้อคลุมจำกผ้ำย้อมสีธรรมชำติจำกดินนำและฟำงข้ำว
26 11) กลุ่มนำแปลงใหญ่บ้ำนเสอเพลอ โนนสวรรค์ ต.เสอเพลอ อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 56 คน มีกำรแปรรูปข้ำวโป่งเสริมโปรตีนจำกจิ้งหรีด 12) กลุ่มแปลงใหญ่ต.เสอเพลอ อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 25 คน ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้ำว เหนียวหอมนำคำ 13) กลุ่มแปลงใหญ่รำชินีข้ำวเหนียวครบวงจรพันดอน 2 ต.พันดอน อ.กุมภวำปี จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วม โครงกำร 51 คน ผลิตภัณฑ์ไดฟุกุ 14) กลุ ่มวิสำหกิจชุมชนเกษตรผสมผสำนบ้ำนดอนนำงค ำ ต.สะแบง อ.หนองหำน จ.อุดรธำนี มี ผู้เข้ำร่วมโครงกำร 29 คน มีผลิตภัณฑ์ข้ำวแต๋น และขิงผงส ำเร็จรูปเสริมผงข้ำวเหนียวด ำ 15) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนเกษตรกรรวมพลังชุมชนเข้มแข็ง ต.หนองไผ่ อ.หนองหำน จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วม โครงกำร 50 คน มีผลิตภัณฑ์ข้ำวนำงเล็ดไผ่ทอง 16) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้ำนโนนสะอำด ต.บ้ำนชัย อ.บ้ำนดุง จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร ่วม โครงกำร 56 คน มีผลิตภัณฑ์ข้ำวฮำง 17) กลุ่มวิสำหกิจชุมชนกำรท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่ำงน ้ำพำน ต.เชียงดำ อ.สร้ำงคอม จ.อุดรธำนี มี ผู้เข้ำร่วมโครงกำร 50 คน มีผลิตภัณฑ์แปรรูปข้ำวกระยำสำรทสูตรโบรำณ ข้ำวหมำกโบรำณ หมอนสมุนไพรใบ ข้ำว และปรับปรุงเป็นร้ำนกำแฟ “หอมนำคำ คำเฟ่ต์” ส ำหรับจ ำหน่ำยผลิตภัณฑ์ของเครือข่ำย ได้รับกำรพัฒนำ เป็นชุมชนนวัตกรรม Eco-tourism โดยติดตั้งโซล่ำร์เซลล์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มำพักแพสเตย์ 18) กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้ำนป่ำเป้ำ ต ำบลดงเย็น อ ำเภอบ้ำนดุง จังหวัดอุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 50 คน มีผลิตภัณพ์แปรรูปกำละแมเสริมกล้วยน ้ำว้ำ และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้ำวเหนียวหอมนำคำ 19) กลุ่มกำรเกษตรเพื่อกำรผลิตและกำรแปรรูป ต.สร้ำงแป้น อ.เพ็ญ จ.อุดรธำนี มีผู้เข้ำร่วมโครงกำร 54 คน มีผลิตภัณฑ์แปรรูปทองม้วนข้ำวเหนียวแดง
ภาพที่ 16 Model เส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้น
27 นที่จังหวัดอุดรธานี
28 บทที่ 4 ต้นแบบผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวที่ใช้ในการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ถูกออกแบบมาในชื่อแบรนด์ “หอมนาคา คาเฟ่ต์” หรือ “หอมนาคา ช็อป” (Homnaga Cafe & Homnaga shop) ซึ่งเป็นรูปแบบร้านกาแฟ และร้านขายสินค้าจากผลิตภัณฑ์ โครงการ BCG-Naga Belt Road โดยชุมชนต้นแบบแห่งการท่องเที่ยว ทั้งชุมชนเชียงแหว และชุมชนอ่างน้ำพาน มี ผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากโครงการ 11.1 ทั้งหมด 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เหนียวแผ่น เบอร์เกอร์ไส้เห็ด ข้าวชาบัว นาคากระยาสารทโบราณ ข้าวหมากข้าวเหนียวดำ และหมอนสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีเสื้อยืดหอมนาคา และ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโครงการ BCG-Naga Belt Road มาขายภายใต้แบรนด์เดียวกัน “หอมนาคา” “Homnaga” ซึ่งสื่อความหมายว่า ผลิตภัณฑ์จาก BCG ข้าวเหนียวหอมบนแผ่นดินพญานาค ภาพที่ 17 หอมนาคา คาเฟ่ต์(Homnaga Café) ภาพที่ 18 เหนียวแผ่น ภาพที่ 19 เบอร์เกอร์ไส้เห็ด
29 ภาพที่ 20 ข้าวชาบัว ภาพที่ 21 นาคากระยาสารทโบราณ ภาพที่ 22 ข้าวหมากโบราณ
30 นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและเบเกอรี่ จากข้าวเหนียวและข้าวเม่า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ เข้ามาในหอมนาคา คาเฟ่ต์ และผลิตภัณฑ์จากโครงการ BCG-Naga Belt Road เพื่อขายใน Homnaga Shop โดยมีกิจกรรมของหอมนาคา คาเฟต์ดังนี้ กิจกรรม หอมนาคา คาเฟ่ หรือ หอมนาคา ช็อป - เครื่องดื่มชา และกาแฟสด (ชาบัวแดงมะนาวโซดา) - เบเกอรี่ทั่วไป และเบเกอรี่ที่มีส่วนผสมจากข้าวเหนียว - ผลิตภัณฑ์จากโครงการฯ และสินค้าในชุมชน - ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร (เช่น ผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ, เสื้อ, กางเกง, กระเป๋า, หมวก และตุ๊กตาพวงกุญแจ ฯลฯ) ผลิตภัณฑ์จากโครงการฯ และสินค้าในชุมชน ลำดับ ผลิตภัณฑ์ กลุ่ม รูปภาพ 1 ไอศกรีมข้าวเม่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี 2 เบอร์เกอร์ไส้ เห็ด 3 เหนียวแผ่น (ขนมทองม้วน ชนิดแผ่น)
31 ลำดับ ผลิตภัณฑ์ กลุ่ม รูปภาพ 4 เห็ดอบแห้ง, เห็ดอบกรอบ พร้อมทาน + น้ำจิ้ม, น้ำพริก เห็ด, เห็ดฝอย, เห็ดหยอง, เห็ด สามรส, เห็ด สวรรค์ 5 ชาบัวแดง 6 ข้าวชาบัว (ข้าว เหนียว) 7 นาคากระยา สารทโบราณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศ อ่างน้ำพาน ตำบลเชียงดา อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี 8 ข้าวฮางงอกผง บด ชงพร้อมดื่ม 9 ข้าวฮางเหนียว และข้าวฮางเจ้า ข้าวฮางงอก เหนียวและข้าว ฮางงอกเจ้า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านโนนสะอาด ต.บ้านชัย อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี 10 ข้าวเม่าแพ็ค สูญญากาศ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าว และแปรรูป ข้าวและเห็ด บ้านผักบุ้ง ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 11 ข้าวแต๋น อินทรีย์ -กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรวมพลังชุมชนเข้มแข็ง ต.หนองไผ่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
32 ลำดับ ผลิตภัณฑ์ กลุ่ม รูปภาพ ข้าวแต๋นสมุน ไพร -กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านดอนนางคำ ต.สะแบง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี -กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการเกษตรผสมผสานท่าลี่ ต.ท่าลี่ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี -กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้าว หมู่ 1 ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี 12 กาละแม กะทิสด กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มนาแปลงใหญ่ผู้ผลิตข้าวตำบลสีออ ต.สีออ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี 13 ข้าวโป่งคำด้วง (ด้วงมะพร้าว) กลุ่มนาแปลงใหญ่บ้านเสอเพลอ โนนสวรรค์ ต.เสอเพลอ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี 14 ข้าวโป่งคำ จิ้งหรีด กลุ่มข้าวอินทรีย์หนองสร้างไพร ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธานี 15 ข้าวโป่ง งาดำ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านหันเทา ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธานี 16 ข้าวฮางผงบด กล้วยน้ำว้า ชงพร้อมดื่ม 17 ข้าวพองธัญพืช กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตข้าวรักสุขภาพตำบลแชแล อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
33 ลำดับ ผลิตภัณฑ์ กลุ่ม รูปภาพ 18 ขนมทองม้วน จากข้าวเหนียว แดงกล้อง วิสาหกิจชุมชน การเกษตรเพื่อการผลิตและการแปรรูป ต.สร้างแป้น อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี 19 ขนมไดฟูกุ จาก ข้าวเหนียวดำ ลืมผัว กลุ่มแปลงใหญ่ราชินีข้าวเหนียวครบวงจรพันดอน 1 หมู่ 16 ต.พันดอน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี 20 ข้าวแพ็ค สูญญากาศ วิสาหกิจชุมชน ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร (เช่น ผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ, เสื้อ, กางเกง, กระเป๋า, หมวก และตุ๊กตาพวงกุญแจ ฯลฯ)
34 ลำดับ รูปภาพ ชิ้นงาน รายละเอียด 1 เสื้อคลุม เสื้อคลุมสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ผลิตจากเส้นฝ้ายแท้ ย้อมสีธรรมชาติจากดิน และฟางข้าว ขนาด Free size สามารถสวมใส่ได้ทังชายและหญิง มีกระเป๋าด้านหน้า สองข้าง 2 กางเกง กางเกงเอวยางยืดสามารถสวมใส่ได้หลายขนาดและสา มาถสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง ตัวผ้าผลิตจากเส้นฝ้าย แท้ย้อมสีธรรมชาติจากดิน และฟางข้าว ขนาด Free size มีกระเป๋าด้านข้าง 3 กระเป๋า Tote กระเป๋า Tote bag สามารถใช้งานได้หลากหลาย รูปแบบและบรรจุสิ่งของได้หลากหลายและสามารถ ใช้ได้ทั้งชายและหญิง ตัวกระเป๋าผลิตจากเส้นฝ้ายย้อม สีธรรมชาติจากดิน และฟางข้าว 4 ตุ๊กตาหมี และ พวงกุญแจ จากเศษผ้า ตุ๊กตาหมีและพวงกุญแจจากผลิตจากเศษผ้าที่เหลือ จากกากการตัดเย็บเสื้อคลุม กระเป๋า กางเกง และ หมวก เป็นผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติจากดิน และฟางข้าว 5 หมวก bucket หมวกทรง bucket สามารถสวมใส่ได้หลายขนาดและ สามารถสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง ตัวผ้าผลิตจากเส้น ฝ้ายแท้ย้อมสีธรรมชาติจากดิน และฟางข้าว
35 ภาพที่ 23 ทดลองจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ “หอมนาคา คาเฟ่ต์” ในงาน NAC2023
36 ภาพที่ 23 (ต่อ) ทดลองจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ “หอมนาคา คาเฟ่ต์” ในงาน NAC2023
37 ผลิตภัณฑ์จากโครงการอื่นๆ จาก Circular Economy และ Green Economy ในชุมชนด้วยการใช้ ประโยชน์และเพิ่มมูลค่า กิจกรรมการเพิ่มมูลค่าฟางข้าวด้วยการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ภาพที่ 24 ผลิตภัณฑ์จากฟางข้าว
38 - การย้อมสีผ้าด้วยผลผลิตจากนาข้าว และการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ภาพที่ 25 ผลิตภัณฑ์จากผ้าย้อมสีธรรมชาติ จากดินนา ดินบวกควาย ฟางข้าว ขมิ้น และแหนแดง
39 - การผลิตวัสดุปลูกด้วยวัสดุเหลือทิ้งในท้องถิ่น ภาพที่ 26 ผลิตภัณฑ์ดินปลูกจากวัสดุเหลือทิ้งในท้องถิ่นและแหนแดง
40 อบรมเชิงปฏิบัติการด้านพัฒนาคุณภาพอาหารแปรรูป การทำขนมจากข้าวเหนียวและข้าวเม่า ภาพที่ 27 อบรมยกระดับการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวและข้าวเม่า
41
42 ภาพที่ 28 อบรมยกระดับเมนูสำรับอาหารอีสาน
43 ภาพที่ 29 ฝึกปฏิบัติการออกแบบจัดจาน (Food designs) สำรับอาหารอีสาน
44 บทที่ 5 พัฒนาหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชนบนฐานวัฒนธรรมข้าว นำกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาดูงานต้นแบบการท่องเที่ยวชุมชนที่วิสาหกิจชุมชนบ้านนาเชือก แลกเปลี่ยน เรียนรู้ในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาไปเป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชน ภาพที่ 30 กิจกรรมศึกษาดูงานชุมชนต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวชุมชนบ้านนาเชือก
45 กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว อ าเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ด ำเนินกำรปรับปรุงสถำนที ่ ให้เป็น “หอมนำคำ คำเฟ่ต์” ยกระดับเมนูส ำรับอำหำรอีสำน ปรับปรุงเมนูเครื่องดื่ม ปรับปรุงผลิตภัณฑ์แปรรูปต่ำงๆ จำกข้ำวเหนียว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภำยใต้ โครงกำร BCG-Naga Belt Road มีกำรแปรรูปผลิตภัณฑ์เหนียวแผ่น เบอร์เกอร์ไส้เห็ด ข้ำวเหนียวชำบัว บรำวนี่ข้ำวเม่ำ คุ้กกี้ข้ำวเม่ำ ชิฟฟ่อนเค้กข้ำวเม่ำ และไอศกรีมข้ำวเม่ำ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจำกเห็ดที่ผลิตจำกฟำงข้ำวภำยใต้ โรงเรือนอัตโนมัติ เช่น น ้ำพริกจำกเห็ด เห็ดสวรรค์ เห็ดอบแห้ง ปรับปรุงโฮมสเตย์ ไฟฟ้ำส่องสว่ำง ติดตั้งฟำร์ม เลี้ยงแหนแดง และผลิตดินปลูกจำกแหนแดง ผลิตสินค้ำย้อมสีธรรมชำติจำกดินนำและฟำงข้ำว มีกำรปรับปรุง เป็นร้ำนกำแฟ ภำยใต้แบรนด์ “หอมนำคำ คำเฟต์” เพื่อจ ำหน่ำยผลิตภัณฑ์จำกเครือข่ำย ภาพที่ 31 ชุมชนต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี