การประยุกต์ใช้เทคนิคการสร้างแผนที่ มโนทัศน์ในงานวิจัย (Application of Concept Mapping in Research) ผศ.ดร. รจเรศ นิธิไพจิตร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การประยุกต์ใช้เทคนิคการสร้าง แผนที่มโนทัศน์ในงานวิจัย ผศ.ดร. รจเรศ นิธิไพจิตร กลุ่มวิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)
การประยุกต์ใช้เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์ในงานวิจัย (Application of Concept Mapping in Research) รจเรศ นิธิไพจิตร 1. เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์ 2. วิจัย พิมพ์ครั้งที่ 2 ธันวาคม 2563 สงวนลิขสิทธิ์การผลิตและการลอกเลียนหนังสือเล่มนี้ไม่ว่ารูปแบบใดทั้งสิ้น ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนก่อน
คำนำ หนังสือ “การประยุกต์ใช้เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์ในงานวิจัย” ได้ รวบความหมาย และแนวคิดของการสร้างแผนที่มโนทัศน์ รูปการสร้างแผนที่ มโนทัศน์รูปแบบต่างๆ กระบวนการและขั้นตอนในการสร้างแผนที่มโนทัศน์ แบบบูรณาการ และการประยุกต์ใช้แผนที่มโนทัศน์ในงานวิจัย ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลจากหนังสือและงานวิจัย รวมทั้งประสบการณ์ โดยตรงของผู้เขียน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะสามารถเข้าใจ กระบวนการและขั้นตอนต่างๆที่ได้บรรยายในหนังสือ และสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในงานวิจัยของท่านได้ รจเรศ นิธิไพจิตร ธันวาคม 2564
สารบัญ คำนำ สารบัญ บทที่ 1 แผนที่มโนทัศน์คืออะไร...............................................................................................1 บทที่ 2 เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์................................................................................5 บทที่ 3 ความแตกต่างของการสร้างแผนที่มโนทัศน์ทั้ง 2 แบบ.....................................10 บทที่ 4 เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบบูรณาการ.................................................14 บทที่ 5 การเตรียมการ..............................................................................................................18 บทที่ 6 การระดมสมองรวบรวมความคิด............................................................................21 บทที่ 7 การจัดเรียงความคิดและให้คะแนนความคิด.......................................................23 บทที่ 8การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................28 บทที่ 9 การตีความแผนที่.........................................................................................................53 บทที่ 10การนำแผนที่มโนทัศน์ไปใช้....................................................................................56 บทที่ 11 การประยุกต์ใช้แผนที่มโนทัศน์ในงานวิจัย.........................................................60 เอกสารอ้างอิง..............................................................................................................................74
P a g e | 1 บทที่ 1 แผนที่มโนทัศน์คืออะไร แผนที่มโนทัศน์ (concept maps) คือ กลุ่มของความคิดหรือความรู้ที่ถูก จัดเรียงตามความสัมพันธ์หรือเป็นกลุ่มที่คล้ายคลึงกัน เทคนิคการสร้างแผนที่มโน ทัศน์ (concept mapping) ถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกโดย Joseph D. Novak เมื่อ ปี 1972 โดยลักษณะแผนที่มโนทัศน์จะเป็นการจัดเรียงความคิดหรือมโนทัศน์ (concept) จากข้างบนลงข้างล่าง โดยมโนทัศน์ทั่วไปหรือมโนทัศน์ที่เป็นหลักการ ใหญ่ๆจะอยู่ด้านบนและมโนทัศน์ย่อยจะอยู่ต่อเรียงลำดับลงไปในทิศทางด้านล่าง และด้านข้าง นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงแต่ละมโนทัศน์ด้วยลูกศรที่ติดคำเชื่อม (linking words) ดังภาพที่ 1 แผนที่มโนทัศน์นี้จะให้ชื่อว่า แผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 ซึ่งเชื่อกันว่า การจัดเรียงความคิดแบบนี้ เป็นการจัดเรียงตามภาพในสมองของ คนเรา ต่อมา William Trochim ได้พัฒนาเทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 หรือเรียกว่าเทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบกลุ่ม (group concept mapping) ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการรวบรวมความคิดของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องหรือมีความ สนใจในเรื่องเดียวกัน โดยมีกระบวนการกลุ่มที่เป็นระบบ มีแบบแผนและเป็น ขั้นตอนในการรวบรวมความคิดและจัดกลุ่มความคิดเพื่อสร้างเป็นแผนที่มโนทัศน์ นอกจากนี้ยังมีนำการวิเคราะห์ทางสถิติมาช่วยในการสร้างแผนที่มโนทัศน์ ลักษณะ ของแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 จะเป็นลักษณะของกลุ่มความคิดที่คล้ายคลึงกันซึ่งมี แสดงกลุ่มของความคิดเป็นจุดที่อยู่ในกรอบรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ แสดงดัง ภาพที่ 2
P a g e | 2 ภาพที่ 1 แผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1
P a g e | 3 ภาพที่ 2 แผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 กระบวนการการสร้างแบบที่มโนทัศน์ทั้งสองแบบ จะช่วยจัดเรียงความคิด ที่กระจัดกระจายให้มีความเป็นระบบระเบียบมากขึ้น โดยเฉพาะแผนที่มโนทัศน์ แบบที่ 2 มีการนำวิธีทางสถิติมาช่วยในการสร้างแผนที่มโนทัศน์ซึ่งแสดง ความสัมพันธ์ของความคิดเป็นแบบกลุ่มย่อย (cluster) ซึ่งในกลุ่มย่อยนี้จะ ประกอบด้วยความคิดที่มีความคล้ายคลึงกันมาอยู่ด้วยกันซึ่งอาจเรียกความคิดที่ รวมเป็นกลุ่มย่อยว่า “มโนทัศน์” (concept) การสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 นั้น มักจะนำไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการ เรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาและสามารถเชื่อมโยงความรู้
P a g e | 4 ต่างๆได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น (Novak & Canas, 2007) นอกจากนี้ แผนที่มโน ทัศน์แบบที่ 1 ยังถูกนำไปใช้ในกระบวนการแก้ปัญหาของการรักษาโรคที่เป็นระบบ มากขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การนำแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 ไปช่วยในการแก้ปัญหา ผู้ป่วยสมองเสื่อมในสถานดูแลผู้ป่วยระยะยาว (long term care setting) ใน ประเทศอังกฤษ (Aberdeen, Leggat, & Barraclough, 2010) การสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา อาชีพ เช่น การออกแบบโปรแกรมการอบรม การสร้างแบบสอบถาม การ ประเมินผลโครงการ เป็นต้น ข้อดีของการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 นั้น คือ สามารถทำในกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย ทำให้ได้ความคิดที่หลากหลายและ กว้างขวาง นอกจากนี้ ยังนำเอาวิธีวิเคราะห์ทางสถิติ มาช่วยในจัดกลุ่มความคิด ซึ่ง เป็นที่มาของการสร้างความคิดรวบยอดอย่างเป็นระบบ และสามารถนำไปประยุกต์ ได้ทุกสาขาอาชีพ
P a g e | 5 บทที่ 2 เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์ เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 เป็นกระบวนการที่สามารถทำได้ ทั้งโดยบุคคลคนเดียวหรือเป็นกลุ่มคน เริ่มต้นด้วยการกำหนดขอบเขตของความรู้ หรือสิ่งที่สนใจ เช่น สิ่งส่งเสริมการพัฒนาการของเด็ก วิชาภาษาอังกฤษสำหรับ บุคคลากรสาธารณสุข ชีววิทยาของแมลง เป็นต้น จากนั้นจึงสร้างเป็นคำถาม เจาะจง (focus question) ซึ่งคำถามเจาะจงนี้ ควรจะเป็นคำถามประเภท “อย่างไร” “ทำไม” “เพราะเหตุใด” ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะมาจากวัตถุประสงค์การ เรียนรู้ของสิ่งที่สนใจ เช่น ทักษะภาษาอังกฤษที่จำเป็นบุคคลากรสาธารณสุขเป็น อย่างไร หลังจากนั้น จะเป็นการระดมสมองเป็นหาคำตอบสำหรับคำถามเจาะจง ซึ่ง เมื่อได้ความคิดที่ได้ระดมมาทั้งหมด ต่อมาให้นำแต่ละความคิดมาจัดเรียงกันจาก ข้างบนลงมาข้างล่างโดยที่เรียงลำดับจากความคิดที่เป็นหัวเรื่องหรือความคิดทั่วไป จนถึงความคิดที่มีความจำเพาะเจาะจงซึ่งจะอยู่ด้านล่างสุด แต่ละความคิดจะ เชื่อมโยงกันด้วยลูกศรซึ่งมีคำเชื่อมอยู่บนลูกศร ความคิดบางความคิดอาจไม่ถูก นำมาใส่ในแผนที่มโนทัศน์เนื่องจากอาจจะซ้ำกับบางความคิดหรือไม่มีความ เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับความคิดใดๆเลย แผนที่มโนทัศน์แรกที่ได้มาเรียกว่าแผนที่ มโนทัศน์เบื้องต้นหรือร่างแผนที่มโนทัศน์แผนที่มโนทัศน์เบื้องต้นนี้จะถูกนำมา ทบทวนและปรับปรุงให้ดีขึ้นจนในที่สุดเป็นแผนที่มโนทัศน์ที่มีความสมบูรณ์และ ครอบคลุม สุดท้ายจะได้แผนที่มโนทัศน์ที่สามารถตอบคำถามเจาะจงได้ตัวอย่าง แผนที่มโนทัศน์ดังแสดงในภาพที่ 3 ซึ่งเป็นแผนที่มโนทัศน์ที่ได้จากการพัฒนาซึ่งเริ่ม มาจากคำถามเจาะจงว่า “เหตุใดจึงมีฤดูกาล”
P a g e | 6 ภาพที่ 3 แผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 ที่ตอบคำถามเจาะจงว่า “เหตุใดจึงมีฤดูกาล” ส่วนเทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 จะเป็นกระบวนการกลุ่ม ซึ่ง เป็นกระบวนการที่เป็นระบบมีขั้นตอน กระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 จะมีขั้นตอนทั้งหมด 6 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นเตรียมการ การระดมสมอง การจัดกลุ่มและ ให้คะแนนความคิด การวิเคราะห์ข้อมูล การตีความ และการประยุกต์ใช้แผนที่มโน ทัศน์ดังแสดงในภาพที่ 4 ซึ่งรายละเอียดของแต่ละขั้นตอน มีดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการ ในขั้นตอนนี้จะมีการคัดเลือกผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการโดย จะคัดเลือกจากประสบการณ์การทำงานในด้านที่เกี่ยวข้องกับแผนที่มโนทัศน์ที่ ต้องการจะสร้างขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริหารหรือผู้ที่มีส่วนร่วมในองค์กรจะช่วยกัน พัฒนาคำถามเจาะจงเพื่อให้ตอบวัตถุประสงค์ของการสร้างแผนที่มโนทัศน์มากที่สุด
P a g e | 7 ขั้นที่ 2 ขั้นระดมสมอง ในขั้นตอนนี้ผู้มีส่วนร่วมจะมาประชุมกันเพื่อระดมสมองให้ ได้ความคิดต่างๆที่สามารถตอบคำถามเจาะจงได้ กฎของขั้นตอนนี้คือ ผู้มีส่วนร่วม ทุกคนมีหน้าที่แสดงความคิดเห็นโดยให้เขียนความคิดเห็นลงในกระดาษ A4 ให้มาก ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผู้มีส่วนร่วมแต่ละคนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ความคิดเห็นของคนอื่นๆได้ ผู้มีส่วนร่วมแต่ละคนมีหน้าที่เพียงเสนอความคิดเห็น ของตนเอง และอธิบายความคิดเห็นของตนเองเพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมคนอื่นได้เข้าใจ และมีความกระจ่างแจ้งในความคิดนั้น ๆ ในขั้นตอนนี้ความคิดต่าง ๆ จะถูกรวบรวม และนำมาแสดงที่กระดานหรือจอรับภาพฉายโปรเจ็คเตอร์ เพื่อให้ทุกคนได้เห็น ความคิดทั้งหมดร่วมกัน โดยความคิดที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจะนำมารวมกัน หรือตัดออก ขั้นที่ 3 การจัดกลุ่มและให้คะแนนความคิด ในขั้นตอนนี้ความคิดต่างๆ จะถูก รวบรวมและนำมาจัดเรียงใส่หมายเลขของแต่ละความคิด แล้วนำแต่ละความคิดมา พิมพ์ลงในบัตรคำ เพื่อนำมาแจกจ่ายให้ผู้มีส่วนร่วมทุกคน ผู้มีส่วนร่วมแต่ละคน จะ ได้รับบัตรความคิดคนละ 1 ชุด ซึ่งในแต่ละชุดนั้นจะมีความคิดทั้งหมดที่รวบรวมได้ และใส่หมายเลขแล้ว หลังจากนั้นผู้มีส่วนร่วมจะต้องจัดกลุ่มความคิดโดยให้ความคิด ที่คล้ายคลึงกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งผู้มีส่วนร่วมสามารถใช้เกณฑ์ใดก็ได้ในการจัด กลุ่มความคิด ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกคน โดยจะมีกฎว่า ผู้มีส่วนร่วมสามารถจัด กลุ่มความคิดเป็นกี่กลุ่มก็ได้ แต่จำนวนกลุ่มต้องมากกว่า 1 กลุ่ม และน้อยกว่า จำนวนทั้งหมดของบัตรที่มีใน 1 ชุด ตัวอย่างเช่น ถ้าบัตรความคิด 1 ชุดมีจำนวน ทั้งหมด 50 ใบ ผู้มีส่วนร่วมจะสามารถจัดกลุ่มความคิดที่มีจำนวนกลุ่มได้ตั้งแต่ 2 กลุ่มจนไปถึง 49 กลุ่ม นอกจากนี้ผู้มีส่วนร่วมจะต้องตั้งชื่อของกลุ่มบัตรความคิด โดยชื่อที่ตั้งจะต้องสัมพันธ์กับความคิดในแต่ละกองนั้นๆ หรือเป็นคำบรรยายที่แสดง ถึงรายละเอียดของความคิดย่อยในกลุ่มนั้นๆ หลังจากนั้น ผู้มีส่วนร่วมจะต้องให้
P a g e | 8 คะแนนแต่ละความคิดซึ่งอาจให้คะแนนลงในบัตรความคิดนั้นเลยหรือจะรวบรวม ความคิดทั้งหมดแล้วพิมพ์เป็นแบบสอบถามซึ่งมีรายการความคิดทั้งหมด ลำดับ คะแนนความคิด และเกณฑ์ให้คะแนน แล้วให้ผู้มีส่วนร่วมให้คะแนนแต่ละความคิด ซึ่งจะมีลำดับคะแนนเป็น 1-5 หรือ 1-7 ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้ลงคะแนน ความสำคัญของแต่ละความคิด จากความสำคัญน้อยที่สุดซึ่งมีคะแนนเท่ากับ 1 ไป จนถึงความสำคัญมากที่สุดซึ่งมีคะแนนเท่ากับ 5 เป็นต้น ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นตอนนี้ ข้อมูลจากขั้นที่ 3 จะถูกนำมาวิเคราะห์ ทางสถิติ โดยข้อมูลการจัดกลุ่มความคิดจะถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์ แบบ multidimensional scaling และ hierarchical cluster analysis ซึ่งจะ สร้างเป็น แบบผังกลุ่ม (cluster map) ข้อมูลการให้คะแนนจะนำมาคำนวณเป็น ค่าเฉลี่ยของแต่ละความคิดหรือของแต่ละกลุ่มของความคิด นอกจากนี้ ข้อมูลการให้ คะแนนความสำคัญและความเป็นไปได้ จะถูกนำมาวางพิกัดในแนวระนาบของแกน ตั้ง (Y) และแกนนอน (X) เพื่อนำมาคัดเลือกความคิดที่มีความสำคัญและเป็นไปได้ ในการประยุกต์ใช้สูง เพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ ขั้นที่ 5 การตีความแผนที่ ในขั้นตอนนี้ ผู้มีส่วนร่วมจะมาประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อ อภิปรายเกี่ยวกับกลุ่มความคิดที่ได้รับการจัดกลุ่มในแผนผังกลุ่ม และค่าเฉลี่ยของ คะแนนความสำคัญและความเป็นไปได้ที่ได้ในแต่ละความคิด หรือ ในแต่ละกลุ่ม ความคิด นอกจากนี้ ผู้มีส่วนร่วมจะช่วยกันคิดหัวข้อหรือชื่อของแต่ละกลุ่มความคิด ที่สัมพันธ์กับความคิดย่อยในกลุ่มนั้นๆ เพื่อเป็นการค้นหาความคิดรวบยอดของ แผนผังที่ได้ ขั้นที่ 6 การประยุกต์ใช้แผนที่มโนทัศน์ ในขั้นตอนนี้ ผู้มีส่วนร่วมจะร่วมกันอภิปราย และวางแผนการนำแผนผังมโนทัศน์ไปใช้ การให้รายละเอียด และขั้นตอนของการ
P a g e | 9 ประยุกต์ความคิดย่อยๆที่ได้ในแผนผัง การกำหนดเวลาเริ่มต้น และผู้รับผิดชอบใน แต่ละกิจกรรมหรือโครงการ ภาพที่ 4 แสดงขั้นตอนทั้งหมดของกระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2
P a g e | 10 บทที่ 3 ความแตกต่างของการสร้างแผนที่มโนทัศน์ทั้ง 2 แบบ การสร้างแผนที่มโนทัศน์ตามหลักการของ Novak (แบบที่ 1) และ Trochim (แบบที่ 2) มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ การค้นหาแนวคิดและจัดเรียง หรือเรียงลำดับแนวคิดหรือความรู้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหลักการมีความแตกต่างกัน ในรายละเอียดและขั้นตอนการดำเนินงาน ดังแสดงในตารางที่ 1 การสร้างแผนที่ มโนทัศน์ของ Trochim เป็นกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งมีกระบวนการของการจัดกลุ่มและให้ คะแนนความคิดและนำวิธีการวิเคราะห์ทางสถิติมาประยุกต์ใช้ด้วย ในทางตรงข้าม การสร้างแผนที่มโนทัศน์ของ Novak เป็นกระบวนการที่สามารถทำได้ทั้งแบบคน เดียวหรือเป็นกลุ่มคน มีการจัดเรียงความคิด แต่ไม่มีการให้คะแนนและไม่มีการนำ วิธีวิเคราะห์ทางสถิติมาประยุกต์ใช้ การสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบของ Novakถึงแม้ไม่มีการนำสถิติมาใช้ แต่จะ ได้แผนที่มโนทัศน์ที่มีความเชื่อมโยงและครอบคลุม รวมทั้งสามารถนำไปใช้ในการ วางแผนที่เป็นระบบและมองเห็นภาพและการเชื่อมโยงได้อย่างชัดเจน ส่วนการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบของ Trochim นั้น มีกระบวนการของ การได้มาซึ่งแผนที่ที่เป็นระบบและมีแบบแผนการทำงานที่ชัดเจน นอกจากนี้ยัง สามารถสร้างมโนทัศน์จากบุคคลคนที่มีความหลายหลายสาขาอาชีพ มีระดับ การศึกษาที่มีความแตกต่างกัน โดยมีความสามารถรวบรวมความคิดที่ดูกระจัด กระจายมาสร้างเป็นแนวคิดหรือมโนทัศน์ร่วมกันได้ ดังตัวอย่างของการศึกษาของ Lobb, Pinto, and Lofters (2013a) ได้ศึกษาถึงอุปสรรคในการเข้าถึงการคัดกรอง โรคมะเร็งของผู้อพยพชาวเอเชียใต้ที่อาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งผู้มีส่วนร่วมใน กระบวนการกลุ่มถูกคัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่ายจากตัวแทนของ 3 กลุ่มคน ได้แก่
P a g e | 11 ตัวแทนของชาวเอเชียใต้ที่อาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา 24 คน แพทย์ในงานบริการ ปฐมภูมิ 10 คน ตัวแทนจากองค์กรสุขภาพ 6 คน และตัวแทนจากองค์กรให้บริการ ในชุมชน 13 คน รวมทั้งหมด 53 คน หากสามารถนำกระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์ทั้ง 2 แบบมาบูรณาการ ร่วมกัน จะทำให้ได้กระบวนการหรือแผนที่ที่มีความครอบคลุมและมองเห็นภาพรวม รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงได้ดียิ่งขึ้น ดังที่จะได้กล่าวในบทถัดไป
ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบความแตกต่างของกระบวนการสร้างแผลำดับ คุณลักษณะของแผนที่มโนทัศน์ Novak 1 กระบวนการกลุ่มหรือเดี่ยว กลุ่ม หรือ เดี่ย2 มีกระบวนกร จำเป็นในกระบวน3 เริ่มด้วยคำถามเจาะจง มี 4 การระดมสมอง มี 5 การจัดเรียงความคิด มี โดยจัดเรียงจากหัวข้อหัวข้อที่จำเพา6 การให้คะแนนความคิด ไม่มี
P a g e | 12 ผนที่มโนทัศน์ของ Trochim และ Novak Trochim ยว กลุ่ม นกลุ่ม จำเป็น มี มี ทั่วไปไปยังยัง าะ มีการจัดกลุ่มความคิดโดยเกณฑ์ในการจัดกลุ่มขึ้นอยู่กับผู้มี ส่วนร่วมแต่ละคน มี โดยเกณฑ์การให้คะแนนจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ของกิจกรรมนั้นๆ เช่น อาจให้คะแนนตาม ความสำคัญ ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง และเป็น ความสำคัญของผลลัพธ์ที่ได้
ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบความแตกต่างของกระบวนการสร้างแผลำดับ คุณลักษณะของแผนที่มโนทัศน์ Novak 7 การวิเคราะห์ทางสถิติ ไม่มี 8 ซอฟท์แวร์ CmapTool
P a g e | 13 ผนที่มโนทัศน์ของ Trochim และ Novak Trochim มี ได้แก่ multidimensional scaling และ cluster analysis ls Concept Systems®
P a g e | 14 บทที่ 4 เทคนิคการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบบูรณาการ การสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบบูรณาการ (Integrated concept mapping) เป็นการนำหลักการของการสร้างแผนที่มโนทัศน์ของทั้ง Trochim และ Novak มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน โดยใช้กระบวนการทั้ง 6 ขั้นตอนของ Trochim เป็น หลัก แล้วนำกระบวนการของ Novak มาใช้ในขั้นตอนที่ 5 คือ การตีความแผนที่ ดังแสดงในภาพที่ 5 ภาพที่ 5 ขั้นตอนการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบบูรณาการ ดังภาพ จะเห็นว่าขั้นตอนทั้ง 6 ขั้นเป็นขั้นตอนของกระบวนการสร้างแผนที่มโน ทัศน์แบบที่ 2 หรือของ Trochim เป็นหลัก เนื่องจากแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 2 จะได้ ผลลัพธ์ออกมาในรูปของกลุ่มของความคิดหรือที่เรียกว่า มโนทัศน์(concept) โดย
P a g e | 15 แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วย ความคิดย่อยๆที่เกิดจากการระดมสมองของผู้มีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม กลุ่มความคิดเหล่านี้ ไม่ได้มีการแสดงความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน ดังเช่น แผนที่มโนทัศน์ที่ได้จากวิธีการของ Novak การบูรณาการแผนที่มโนทัศน์ คือ นำความคิดและมโนทัศน์ที่ได้จากกระบวนการของ Trochim มาจัดเรียง เพื่อ หาความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะทำให้ได้แผนที่มโนทัศน์ที่มีความสมบูรณ์ และสามารถนำเอาไปใช้จริงได้ ซึ่งจะคล้ายๆกับการศึกษาของ Yampolskaya (2004) คือ นำความคิดและมโนทัศน์ที่ได้จากกระบวนการของ Trochim มาสร้าง เป็น logic model เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง (ภาพที่ 6) ภาพที่ 6 Logic model ภาพที่ 6 แสดงตัวอย่างของ logic model (Foundation, 2004) ซึ่งประกอบ 1) input หรือ ทรัพยากรที่ใช้ ใน model นี้ คือ target population และ conditions 2) activities คือ กิจกรรมที่ต้องทำตามแผนเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ ต้องการ และ 3) Outcome คือ ผลลัพธ์ที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งใน model นี้
P a g e | 16 แบ่งเป็น ผลลัพธ์ระยะสั้น (short-term outcomes) และ ผลลัพธ์ระยะยาว (longterm outcomes) โดยกระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์ของ Trochim ถูกนำใช้ใน ส่วนประกอบของ activities หรือ กิจกรรม ส่วนประกอบอื่นๆ เป็นการระดมสมอง เพื่อหาความสัมพันธ์กับกิจกรรมที่ได้ ซึ่งคล้ายๆกับกระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์ แบบ Novak อย่างไรก็ตาม logic model นี้ ยังเป็นการนำความคิดในมโนทัศน์ ย่อย มาใส่ในส่วนประกอบหนึ่งของ model แต่ยังไม่ได้ นำความคิดที่ได้มาจัดเรียง อย่างเป็นระบบตามกระบวนการแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 การนำความคิดย่อยและ ชื่อกลุ่มย่อยของแต่ละมโนทัศน์มาจัดเรียงอีกครั้งหนึ่ง ตามหลักของแผนที่มโนทัศน์ แบบที่ 1 แสดงดังภาพที่ 7 ภาพที่ 7 เป็นแผนที่มโนทัศน์ที่ได้จากการบูรณาการแผนที่มโนทัศน์แบบที่ 1 และแบบที่ 2 ร่วมกัน
ภาพที่ 7 แผนที่มโนทัศน์แสดงถึงกระบวนการจัดการผู้ป่วยสมองเสื่อม
P a g e | 17 มซึ่งใช้กระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์แบบบูรณาการ
P a g e | 18 บทที่ 5 การเตรียมการ ในขั้นเตรียมการณ์นี้ จะมี 2 กระบวนการ คือ 1) การคัดเลือกผู้มีส่วนร่วม ในกระบวนการกลุ่ม และ 2) การพัฒนาคำถามเจาะจง (focus question) และ เกณฑ์การให้คะแนน การคัดเลือกผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการกลุ่มเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อ กระบวนการสร้างแผนที่มโนทัศน์ Trochim แนะนำว่า การสร้างแผนที่มโนทัศน์ที่ดี ที่สุด ต้องมาจากผู้ส่วนร่วมที่มีความหลากหลายและเกี่ยวข้องกับงานที่สนใจมาก ที่สุด เช่น หากต้องการสร้างแผนที่มโนทัศน์เกี่ยวกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ต้องการดำเนินการทางธุรกิจ จะต้องประกอบด้วยตัวแทนจาก กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร พนักงานบริษัท ลูกค้า เป็นต้น แต่อาจมีบางกรณีที่การสร้างแผนที่มโน ทัศน์ อาจใช้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ไม่หลากหลายมาก เช่น การวางแผนเร่งด่วนของ บริษัทแห่งหนึ่ง อาจใช้เพียงผู้บริหารและพนักงานบริษัท หากสมาชิกในองค์กรที่สนใจมีจำนวนมาก เช่น ชุมชนหรือหมู่บ้าน การสุ่ม เลือก (sampling) ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่มีการนำมาใช้ อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้อง ใช้วิธีการสุ่ม ควรใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ(stratified random sampling) หรือ การคัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยทั่วไป ขนาด ของกลุ่มจะอยู่ประมาณ 10-20 คน ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถจัดประชุมกลุ่มได้สะดวก และได้ความคิดที่หลายหลาย
P a g e | 19 การพัฒนาคำถามเจาะจง เพื่อใช้ในขั้นตอนของการระดมสมองจะทำโดย การจัดประชุมกลุ่มย่อยของผู้มีส่วนร่วมหรือผู้บริหารองค์กร โดยกระบวนกรควรนัด ประชุมผู้มีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคำถามเจาะจง ซึ่งทำได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น หาก ต้องการที่จะพัฒนาแผนกลยุทธ์ขององค์กร ผู้มีส่วนร่วมอาจสนใจที่เป้าหมายและ พันธกิจขององค์กร กิจกรรม หรือ บริการขององค์กร คำถามเจาะจงเป็นประโยคที่ ใช้เป็นแนวทางในการระดมสมองเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการสร้างแผนที่มโน ทัศน์ ซึ่งการพัฒนาคำถามเจาะจง ควรจะมีการคาดการณ์ ความคิดที่จะได้จาก คำถามเจาะจงนั้น โดยทั่วไป มักจะหลีกเลี่ยงคำถามที่มีสองนัยยะ เช่น “จงระบุ ประโยคหรือข้อความสั้นๆที่บ่งบอกถึงเป้าหมายขององค์กรและความต้องการของ ลูกค้า” เพราะเมื่อถึงขั้นตอนของการจัดกลุ่มข้อความ ผู้มีส่วนร่วมจะพยายามแยก ข้อความเป็น 2 กลุ่ม และในท้ายที่สุดแผนที่มโนทัศน์ก็จะมีเพียง 2 กลุ่ม ซึ่งอาจจะ บดบังมโนทัศน์ที่แท้จริงได้โดยหลักการแล้ว มโนทัศน์หรือกลุ่มความคิดสุดท้ายที่ได้ จากการระดมสมอง ควรมีระดับเดียวกันของหลักการทั่วไปและโครงสร้างทาง ไวยากรณ์ของความคิดหรือมโนทัศน์ที่ได้ ยกตัวอย่างเช่น มโนทัศน์ที่ได้จากการ ระดมสมองจะเป็นความคิดหรือข้อความที่บรรยายถึงการบริการที่จำเพาะของ องค์กรหรือบริษัท ซึ่งแต่ละข้อความจะให้ความหมายที่มีลักษณะเดียวกัน (เช่น จะ ไม่มีทั้งประโยคคำถามและประโยคบอกเล่า) ซึ่งถือว่าเป็นความคิดหรือมโนทัศน์ที่ น่าสนใจของการบริการที่มีศักยภาพ การพัฒนาเกณฑ์การให้คะแนนจะพิจารณาถึงข้อมูลที่มีประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ในการวางแผนจะเป็นประโยชน์ถ้าจะถามผู้มีส่วนร่วมว่า จะให้คะแนน ความสัมพันธ์ของความคิดที่ได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ควรเน้นกระบวนการในการ วางแผน ในการประเมินผล จะเป็นประโยชน์หากมีการถามว่า จะต้องลงแรงมาก เท่าไรในแต่ละส่วนของโปรแกรม หรือ พวกเขามีความเชื่อถือมากแค่ไหนถึง
P a g e | 20 ผลกระทบที่จะมีต่อโปรแกรม ตัวอย่างของ เกณฑ์การให้คะแนน เช่น จะให้คะแนน ความคิดแต่ละความคิดจาก 1 ถึง 5 ตามลำดับความสำคัญในกระบวนการวางแผน ซึ่ง 1 หมายถึง ลำดับความสำคัญที่ต่ำสุดหรือไม่สำคัญ และ 5 หมายถึง ลำดับ ความสำคัญที่มากที่สุด
P a g e | 21 บทที่ 6 การระดมสมองรวบรวมความคิด การระดมสมองเพื่อรวบรวมความคิด ซึ่งจะสะท้อนถึงมโนทัศน์ทุกด้านของ เรื่องที่สนใจ ซึ่งจะใช้ “คำถามเจาะจง” เป็นตัวนำการระดมสมอง กฎของการระดม สมองคือ ให้ผู้มีส่วนร่วมแสดงความคิดออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมี ข้อห้ามว่า ไม่ให้มีการวิจารณ์ความคิดของผู้อื่น แต่อาจสอบถามเป็นความเข้าใจที่ ชัดเจนได้ โดยกระบวนกรต้องพิมพ์หรือเขียนความคิดเห็นของผู้มีส่วนร่วมให้ทุกคน ได้เห็นทุกความคิดร่วมกัน เช่น อาจเขียนใส่กระดานไวท์บอร์ด กระดาษฟลิบชาร์ต หรือ พิมพ์ใส่คอมพิวเตอร์และฉายลงบนจอใหญ่เพื่อให้ทุกคนได้เห็น อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้มีส่วนร่วมบางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจที่จะแสดงความคิดเห็นในบางประเด็น กระบวนกรสามารถอนุญาตให้ผู้มีส่วนร่วมเสนอความคิด โดยการเขียนความคิดใส่ กระดาษแบบไม่ต้องระบุชื่อของผู้เขียน ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยทาง ลับ โดยทางทฤษฎี ไม่มีการจำกัดจำนวนของความคิดที่ระดมได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนความคิดที่มากเกินไป อาจทำให้ยากในทางปฏิบัติ ดังนั้น Trochim จึง กำหนดให้จำนวนความคิดที่ระดมได้ ไม่ควรเกิน 100 ความคิด ซึ่งการลดจำนวน ของความคิดอาจทำได้โดยการรวบความคิดที่คล้ายกันไว้ด้วยกัน หรือบางครั้งจะใช้ การสุ่มเลือก โดยให้ผู้มีส่วนร่วมตรวจสอบว่า ความคิดที่ถูกสุ่มเลือกมานั้น ครอบคลุมความคิดที่ตนเองได้แสดงหรือไม่ซึ่งบางครั้ง มีการใช้การวิเคราะห์แบบ thematic analysis โดยวิธีใช้คำสำคัญ (keyword) เพื่อรวบรวมคิดและลดจำนวน ความคิดลง
P a g e | 22 หลังจากการระดมความคิด ความคิดต่างๆจะถูกแสดงเพื่อดูคำหรือประโยค ที่ใช้ว่าเป็นคำฟุ่มเฟือยหรือเป็นการใช้คำที่เป็นภาษาพูดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ การระดมสมองสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งอาจจะเป็นการสกัดมาจาก เอกสาร หรือรายงานประจำปี การสัมภาษณ์ หรือแบบสอบถาม หรือการใช้การ ระดมสมองแบบออนไลน์เป็นต้น
P a g e | 23 บทที่ 7 การจัดเรียงความคิดและให้คะแนนความคิด หลังจากที่ได้ชุดความคิดจากการระดมสมองตาม “คำถามเจาะจง” ต่อไป จะเป็นขั้นตอนการหาความสัมพันธ์ของแต่ละความคิดที่ได้ โดยทั่วไปจะใช้การจัด กลุ่มและให้คะแนนความคิดตามเกณฑ์ที่ได้คิดไว้ การจัดกลุ่มความคิดนั้น โดยทั่วไปจะนำความคิดแต่ละความคิดพิมพ์จะบน กระดาษแข็งขนาด 3×5 นิ้ว แล้วจึงนำบัตรความคิดที่ได้1 ชุดแจกให้แก่ผู้มีส่วนร่วม แต่ละคน โดยให้แต่ละคนจัดแบ่งกลุ่มบัตรความคิดตามแต่ที่แต่ละคนเห็นสมควร ไม่ มีเกณฑ์การแบ่งกลุ่มที่แน่นอน โดยมีกฎว่า แต่ละความคิดจะต้องอยู่ได้เพียง 1 กลุ่ม โดยจำนวนกลุ่มที่สามารถจัดได้จะต้องเป็นจำนวนตั้งแต่ 2 กลุ่ม จนถึง N – 1 กลุ่ม โดยที่ N เท่ากับ จำนวนบัตรความคิดทั้งหมด ไม่สามารถจัดบัตรความคิดให้เหลือ เพียง 1 กลุ่มหรือ N กลุ่มได้ดังนั้น ผู้มีส่วนร่วมแต่ละคนจึงอาจมีเกณฑ์การแบ่งกลุ่ม ที่หลากหลาย ดังนั้น กระบวนกรจะต้องอธิบายการจัดแบ่งกลุ่มความคิดต่อผู้มีส่วน ร่วมว่า ควรจะเป็นการแบ่งกลุ่มที่สมเหตุสมผลมากที่สุด โดยความคิดที่อยู่ในกลุ่มจะ มีความคล้ายหรือเหมือนกันในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งในบางการศึกษา พบว่า ผู้มีส่วน ร่วมอาจมีการจัดแบ่งกลุ่มความคิดได้หลายครั้ง เมื่อได้ข้อมูลการแบ่งกลุ่มความคิดของผู้มีส่วนร่วมแต่ละคนแล้ว ข้อมูลที่ได้ จะนำไปใส่ในตารางของโปรแกรมเอ็กซ์เซล ดังแสดงในภาพที่ 8 โดยตารางนี้ จะนำ หมายเลขบัตรความคิดใส่ในหัวตารางที่แถวแรกและคอลัมน์แรก โดยหมายเลขบัตร ใดที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะใส่หมายเลข “1” ในช่องที่ตรงกับหมายเลขนั้นๆ หมายเลขบัตรใดไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ช่องที่ตรงกับหมายเลขนั้นจะเป็น “0” ตัวอย่างเช่น บัตรหมายเลข 5, 9 และ 10 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ช่องในตารางที่
P a g e | 24 ตรงกับหมายเลข 5, 9 และ 10 จะถูกบรรจุหมายเลข 1 ทั้งในแถวและคอลัมน์ที่ตรง กับหมายเลขดังกล่าว ช่องอื่นๆจะถูกบรรจุด้วยหมาย 0 ดังแสดงในภาพที่8 ดังนั้น ช่องที่มีหมายเลขตรงกันทั้งแนวตั้งและแนวนอนจะถูกบรรจุด้วยหมายเลข 1 จะเห็น ว่าทุกตารางและแกนสมมาตรหมายเลข “1”ที่อยู่แนวทแยง แผ่นงาน 1 แผ่นงานจะ แสดงการจัดกลุ่มความคิดของผู้มีส่วนร่วม 1 คน เมื่อแผ่นงานได้ถูกสร้างและใส่ ข้อมูลครบตามจำนวนของผู้มีส่วนร่วมทุกคน ข้อมูลในแต่ละแผ่นงานจะถูกนำมา บวกรวมกันในแผ่นงานสุดท้าย ดังแสดงในภาพที่ 9 – ภาพที่ 8 แสดงการจัดกลุ่มความคิดและนำข้อมูลการจัดกลุ่มลงในตารางเอกซ์เซล
P a g e | 25 ภาพที่ 9 สมุดงานเอ็กซ์เซลที่เป็นผลบวกของทุกสมุดงาน ตัวเลขในแต่ละช่อง แสดงถึงจำนวนคนที่จัดกลุ่มบัตรความคิดตรงกัน ดังนั้น จำนวน ตัวเลขสูงสุดจะเท่ากับจำนวนทั้งหมดของผู้มีส่วนร่วม ดังในรูป แสดงว่ามีผู้มีส่วน ร่วมทั้งหมด 14 คน ซึ่งตารางสุดท้ายนี้จะถูกนำไปวิเคราะห์ทางสถิติ นอกจากนั้น แต่ละความคิดจะถูกให้คะแนนตามเกณฑ์การให้คะแนน เช่น ความสำคัญ หรือความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ลำดับคะแนนจะ เป็น 5 หรือ 7 ตามสเกลของไลเคิร์ท (Likert scale) ส่วนข้อมูลการให้คะแนนความคิดนั้น สามารถนำข้อมูลการให้คะแนนมา เรียงตามเลขที่ของบัตรความคิด และนำมาคิดเป็นค่าเฉลี่ยของคะแนนในแต่ละบัตร ความคิด ดังภาพที่ 10 จะเห็นว่า คะแนนความสำคัญของแต่ละความคิดที่ถูก ประเมินโดยผู้มีส่วนร่วม 14 คน ประเมินคะแนนความสำคัญแบบไลเคิร์สเกล 1-5 ต่อบัตรความคิดทั้งหมด 10 บัตร คิดค่าเฉลี่ย (mean) ของแต่ละความคิดตามเลขที่ บัตรความคิดลงช่องด้านล่างของแต่ละเลขที่บัตร
P a g e | 26 ภาพที่ 10 การนำข้อมูลการให้คะแนนมาใส่ในตารางเอ็กซ์เซล คะแนนความคิดเฉลี่ยของแต่ละความคิด สามารถนำมาจัดกลุ่มเป็นกลุ่ม ย่อยแล้วหาเป็นคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม ดังแสดงในภาพที่ 11 เมื่อได้ค่าเฉลี่ยของคะแนนของแต่ละบัตรความคิด ให้นำไปสร้างเป็นกราฟ ความสัมพันธ์กันระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนความเป็นเป็นไปได้และความสำคัญ ดัง แสดงในภาพที่ 12
P a g e | 27 ภาพที่ 11 คะแนนความคิดเฉลี่ย แบ่งตามกลุ่มย่อยความคิด ภาพที่ 12 การนำคะแนนเฉลี่ยของความเป็นไปได้และความสำคัญของแต่ละบัตร ความคิดมาใส่ในกราฟโดยให้แกนตั้ง (y) เป็นความสำคัญและแกนนอน (x) เป็น ความเป็นไปได้
P a g e | 28 บทที่ 8 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นแรก ทำการวิเคราะห์โดย ให้แต่ ละความคิดซึ่งแทนด้วยหมายเลข ซึ่งมีตำแหน่งแสดงเป็นจุดอยู่บนแผนที่ เรียกว่า แผนที่จุด (point map) จุดที่มีตำแหน่งใกล้กัน แสดงถึงความคิดนั้นได้จัดอยู่ในกลุ่ม เดียวกัน หรือ หมายถึง ผู้มีส่วนร่วมส่วนใหญ่ได้จัดให้ความคิดเหล่านั้นอยู่ในกลุ่ม เดียว จุดความคิดที่อยู่ห่างกัน หมายถึง ความคิดนั้นไม่ค่อยได้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มความคิดทั้งหมด ให้เป็นกลุ่มย่อย โดยจุดที่อยู่ในตำแหน่งใกล้กันจะ อยู่ในกลุ่มย่อยเดียวกัน ขั้นตอนสุดท้ายคือ การนำข้อมูลการให้คะแนนมาหา ค่าเฉลี่ย แล้วนำไปใส่ในแต่ละตำแหน่งความคิดแต่ละจุด เรียกว่า the point rating map หรือแต่ละกลุ่ม เรียกว่า the cluster rating map ในขั้นตอนแรก เป็นกระบวนการสร้างแผนที่ โดยใช้ตารางเอ็กซ์เซลที่ได้ จากขั้นตอนการจัดเรียงความคิดมาวิเคราะห์โดยสถิติ two-dimensional nonmetric multidimensional scaling การวิเคราะห์แบบนี้ สามารถเปรียบเทียบได้ กับการสร้างแผนที่ของประเทศต่างๆ โดยมีข้อมูลคือ ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลาง ของแต่ละจังหวัดหรือของรัฐ เมื่อเรามีข้อมูลของระยะห่างของศูนย์กลางของแต่ละ จังหวัดหรือของรัฐ เรานำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์โดยสถิติmetric multidimensional scaling เราจะได้แผนที่ประเทศไทย ซึ่งมีจุดที่แสดงถึง ศูนย์กลางของแต่ละจังหวัด ในการวิเคราะห์แบบนี้ เราสามารถกำหนดได้ตั้งแต่ 1 dimension ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของข้อมูลกับจำนวนของ dimension ซึ่งในกระบวนการ
P a g e | 29 สร้างแผนที่มโนทัศน์Trochim ได้กำหนดให้ใช้ 2 dimension เพื่อให้เหมาะกับการ แสดงแผนที่ในลักษณะที่มี 2 แกน คือ แกนตั้ง (y) และแกนนอน (x) การวิเคราะห์ต่อมา คือ การวิเคราะห์แบบ hierarchical cluster analysis โดยจะวิเคราะห์หลังจากที่ได้point map จากการวิเคราะห์ multidimensional scaling มาแล้ว โดยนำข้อมูลของตำแหน่งที่อยู่บน point map นำวิเคราะห์ต่อ ด้วย cluster analysis โดยพบว่า วิธีWard’s algorithm เป็นวิธีที่ให้ผลการ วิเคราะห์ที่มีความเหมาะสมที่สุด ในขั้นตอนนี้ การเลือกจำนวนกลุ่มที่เหมาะสมเป็น อีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักวิเคราะห์ ซึ่งการเลือกจำนวนกลุ่มควรจะมี ความสัมพันธ์และเหมาะสมกับความคิดย่อย ๆ ที่อยู่ในแต่ละกลุ่มนั้น การใช้ cluster tree จะช่วยให้การพิจารณาง่ายขึ้น ถ้าเป็นไปได้ผู้มีส่วนร่วมทุกคนควรมี ส่วนในการเลือกจำนวนกลุ่ม อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยากที่จะให้ผู้มีส่วน ร่วมทุกคนมาร่วมในกระบวนการนี้ เนื่องจากการนัดประชุมครั้งที่ 2 นั้น จะต้องให้ การวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้นก่อน ขั้นตอนการวิเคราะห์อย่างละเอียด มีดังนี้ 1. นำข้อมูลของแผ่นงานสุดท้ายของตารางเอ็กซ์เซลที่เป็นผลบวกรวมของ ทุกแผ่นงาน (ภาพที่ 13) ถ่ายไปยังตารางในแผ่นงานของโปรแกรม SPSS อาจใช้วิธี ถ่ายโอนข้อมูล (export) โดยตรง หรือใช้การคัดลอกจากตารางเอ็กเซลล์แล้วนำไป วางที่แผ่นงานของโปรแกรม SPSS ดังแสดงในภาพที่ 14 ซึ่งควรเปลี่ยนชื่อของหัว สดมภ์เป็นตัวอักษรเช่น S01, S02, S03, … เป็นต้น
P a g e | 30 ภาพที่ 13 แสดงการแผ่นงานที่นำผลบวกของแผ่นงานเดี่ยวมารวมกัน ภาพที่ 14 ผลรวมของการจัดกลุ่มความคิดที่นำมาจากตารางเอ็กซ์เซลถ่ายลงใน ตารางการวิเคราะห์ของโปรแกรม SPSS
P a g e | 31 2. ให้เลือกคำสั่ง Analyze, Scale และ Multidimensional scaling (PROXSCAL) (ภาพที่ 15) ภาพที่ 15 การเลือกคำสั่งเพื่อจะวิเคราะห์ Multidimensional scaling
P a g e | 32 3. กล่องตอบโต้Multidimensional Scaling: Data Format จะขึ้นมาให้ เลือก Create proximities from data ภายใต้หัวข้อ Data Format และเลือก One matrix source ภายใต้หัวข้อ Number of Sources แล้วกดปุ่ม Define (ภาพที่ 16) ภาพที่ 16 กล่องตอบโต้ที่ 1 Data Format และ Number of Sources
P a g e | 33 4. กล่องตอบโต้ Multidimensional Scaling (Create Proximities from Data จะปรากฏขึ้น ให้เลือกตัวแปรทั้งหมดในช่องสี่เหลี่ยมด้านซ้ายมือไปไว้ ในช่อง Variables: แล้วกดปุ่ม Model (ภาพที่ 17) ภาพที่ 17 การคัดเลือกตัวแปรเพื่อวิเคราะห์
P a g e | 34 5. กล่องตอบโต้ Multidimensional Scaling: Model จะขึ้นมา ให้เลือก Interval ในช่อง Proximity Transformations และในช่อง Dimensions ให้เลือก Minimum =2 และ Maximum = 2 จากนั้นให้กดปุ่ม Continue (ภาพที่ 18) จะ ย้อนคืนไป กล่องตอบโต้ Multidimensional Scaling (Create Proximities from Data (ภาพที่ 17) ให้กดปุ่ม Measure ภาพที่ 18 การเลือก Model
P a g e | 35 6. กล่องตอบโต้Multidimensional Scaling: Measure จะปรากฏขึ้นมา ให้เลือก Interval: Euclidean distance ในช่อง Measure เลือก Standardized: None ในช่อง Transform Values และเลือก Between variables ในช่อง Create Distance Matrix หลังจากนั้นให้กดปุ่ม Continue (ภาพที่ 19) แล้วจะ กลับมาที่กล่องตอบโต้ Multidimensional Scaling (Create Proximities from Data) อีกครั้งหนึ่ง ให้กดที่ปุ่ม OK ภาพที่ 19 การเลือกวิธีการวัด
P a g e | 36 7. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจะได้แผนที่จุด (point map) ออกมาพร้อม ค่าสถิติ ดังแสดงในภาพที่ 20 นอกจากนี้ ในภาพถัดไป (ภาพที่ 21) Final Coordinates เป็นการแสดงค่าพิกัดของแต่ละจุดบนแผนที่จุด ซึ่งเราจะใช้ข้อมูลนี้ นำไปวิเคราะห์ต่อในขั้นตอนของ Hierarchical cluster analysis ภาพที่ 20 แผนที่จุด (point map) ที่ได้จากการวิเคราะห์ และค่าสถิติที่ได้
P a g e | 37 ภาพที่ 21 Final Coordinates 8. ให้เลือกและทำสำเนาค่าพิกัดในภาพที่ 21 มาลงในตารางเอ็กซ์เซล (ภาพที่ 22) แล้วจึงทำสำเนาเพื่อไปวางในตารางข้อมูล SPSS (ภาพที่ 23)
P a g e | 38 ภาพที่ 22 ทำสำเนาข้อมูลพิกัด (Final Coordinates) จาก SPSS มาลงในไฟล์เอ็ก เซลล์
P a g e | 39
P a g e | 40 ภาพที่ 23 ทำสำเนาจากข้อมูลในไฟล์เอ็กเซลล์มาลงในโปรแกรม SPSS 9. เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลโดยเลือกที่ Analyze> Classify> Hierarchical Cluster … (ภาพที่ 24)
P a g e | 41 ภาพที่ 24 การวิเคราะห์ข้อมูล Hierarchical Cluster Analysis โดยโปรแกรม SPSS 10. กล่องตอบโต้Hierarchical Cluster Analysis จะปรากฏขึ้น ให้เลือก ตัวแปร DIM_1 และ DIM_2 จากช่องซ้ายมายังช่อง Variable (s): เลือก Cases ใน ช่อง Cluster และเลือกทั้ง Statistics และ Plots ในช่อง Display จากนั้นให้กดที่ ปุ่ม Statistics (ภาพที่ 25) ภาพที่ 25 การย้ายตัวแปร (DIM_1 และ DIM_2) จากช่องด้านซ้ายมาใส่ในช่อง Variables(s)
P a g e | 42 11. กล่องตอบโต้Hierarchical Cluster Analysis: Statistics จะปรากฏ ขึ้นเลือกที่ Proximity matrix และ Range of solutions จากนั้นให้ใส่ “3” ใน ช่องสี่เหลี่ยมด้านหลัง Minimum number of clusters และ“20” ในช่องสี่เหลี่ยม ด้านหลัง Maximum number of clusters แล้วกดปุ่ม Continue (ภาพที่ 26) ภาพที่ 26 การเลือกค่าสถิติ(Statistics) ในกล่องตอบโต้ Hierarchical Cluster Analysis: Statistics