วจิ ยั ในช้ันเรียน
การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
วชิ าการเขยี นเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML
โดยการเรียนรรู ว มกนั แบบเพอ่ื นชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method)
ของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 5 หอง 1
ภาคเรยี นที่ 2 ปก ารศึกษา 2561
โรงเรยี นปลายพระยาวทิ ยาคม จงั หวัดกระบ่ี
โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จงั หวัดกระบ่ี
งานวจิ ัยในชั้นเรยี นของกลมุ สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี (สาระคอมพวิ เตอร)
ภาคเรียนท่ี 2 ปก ารศกึ ษา 2561
นางสาวเตชินี ภิรมย
ก
ชื่อเร่ือง การศึกษางานวิจัย เร่ือง การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
วิชาการเขยี นเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML โดยการเรียนรูรว มกัน
ช่ือผวู ิจยั /ตาํ แหนง แบบเพ่ือนชวยเพ่อื น (Peer Tutoring Method) ของนกั เรียนระดบั ชน้ั
วุฒิการศึกษา มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 หอง 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปก ารศึกษา 2561
สถานศกึ ษาที่สงั กดั
การติดตอผวู จิ ยั โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จังหวัดกระบ่ี
ปทท่ี ําวิจัยเสรจ็ นางสาวเตชนิ ี ภริ มย ครูกลมุ สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
ลักษณะกลุมงานวจิ ัย วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต (วท.ม)
โรงเรยี นปลายพระยาวิทยาคม
075 687 020
มนี าคม 2562
กลุมการเรยี นการสอน
บทคดั ยอ
การวิจัยชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาการเขียนเว็บเพจดวยภาษา
HTML โดยการเรียนรูรวมกันแบบเพ่ือนชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method) ของนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 5 หอง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จังหวัด
กระบี่ จํานวน 2 หอง รวมนักเรียน 55 คน โดยเลือกกลุมตัวอยางเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
หอ ง 1 แบบเจาะจง จํานวน 17 คน เครื่องมือท่ีใชในการวิจัย แบบบันทึกการเขาพบปรึกษาอาจารย
ผูสอน แบบทดสอบยอย จาํ นวน 2 ชุด และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอการเรียน
ในรูปแบบการเรยี นรรู ว มกนั แบบเพอื่ นชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method)
ผลการวิจัย พบวา กลวิธีการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพ่ือน “การสอนโดยการจับคู (One-to-
One Tutoring)” โดยใหนกั เรยี นที่มคี ะแนนสอบยอยครั้งที่ 1 มากกวา 5 คะแนน (ผูท ี่มีความสามารถ
ทางการเรียนสูงกวา) จับคูกับนักเรียนกลุมตัวอยาง ทําหนาที่ชวยสอน และเขาพบปรึกษาอาจารย
ผูสอนรวมกัน สงผลใหนักเรียนกลุมตัวอยางที่มีความสามารถทางการเรียนต่ํา เขาใจเน้ือหา และ
สามารถทําขอสอบไดดีข้ึน ดานผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนและหลังการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพื่อน
พบวา รอ ยละ 100 ของกลุมตัวอยางมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนแบบเพื่อนชวยเพ่ือนสูงกวา
กอ นการเรยี นแบบเพอื่ นชวยเพื่อน (เปรยี บเทียบจากคะแนนสอบยอยคร้ังท่ี 1 กับคะแนนสอบยอย
คร้งั ที่ 2) พบวา คาเฉล่ียมีคาเพ่มิ ขึ้นจากคะแนนสอบยอยครั้งที่ 1 เทากับ 1.82 ของกลุมตัวอยางมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนแบบเพ่ือนชวยเพื่อนสูงกวากอนการเรียน และนักเรียนมีความ
พึงพอใจตอการเรียนแบบเพอื่ นชว ยเพ่ือนอยูในระดับมาก และเมื่อแยกเปนรายขอพบวา นักเรียนมี
ความพึงพอใจจากมากไปนอย คือ เกิดความชวยเหลือซึ่งกันและกัน สงชิ้นงานไดอยางมีคุณภาพ
สงเสรมิ การคดิ วิเคราะห และการตัดสินใจ อีกท้ังทําใหนักเรียนเขาใจเนื้อหาและฝกปฏิบัติไดมากข้ึน
และสงเสรมิ ใหน กั เรยี นไดแ ลกเปลย่ี นความรู ความคิด การเรียนรรู วมกนั ตามลาํ ดบั
ข
คาํ นาํ
รายงานการวิจัยฉบับนี้เปนการวิจัยในช้ันเรียน เกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน วิชาการเขียนเว็บเพจดวยภาษา HTML โดยการเรียนรูรวมกันแบบเพ่ือนชวยเพื่อน (Peer
Tutoring Method) ของนกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 หอง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561
โรงเรยี นปลายพระยาวิทยาคม จังหวัดกระบ่ี ซง่ึ การวิจัยในคร้ังน้ีไดใ ชก ิจกรรมคุณภาพดวยการเรียนรู
รวมกันแบบเพ่ือนชวยเพื่อน และนําขอมูลจากการเรียนกอนเรียนเปรียบเทียบกับหลังเรียน เพื่อหา
ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เพอื่ แกป ญหาการเรยี นการสอนและเพิม่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี น
ผูวิจัยหวังวาการวิจัยคร้ังน้ี มีประโยชนส ําหรับผูอานทุกทาน หากมขี อผิดพลาด ผูวิจัย
ยนิ ดีรบั ฟงขอ เสนอแนะ เพอ่ื พฒั นา ปรบั ปรุงการวจิ ัยในโอกาสตอ ไป
เตชินี ภริ มย
ผวู ิจัย
สารบญั ค
บทคดั ยอ หนา
คํานํา
สารบัญ ก
สารบัญภาพ ข
สารบญั ตาราง ค
บทท่ี 1 บทนาํ จ
ฉ
1.1 ความสําคัญและทีม่ าของปญหาท่ที าํ การวิจัย
1.2 วตั ถุประสงคของการวจิ ัย 1
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 2
1.4 ระยะเวลาทําการวิจัย และแผนการดําเนนิ งานตลอดการวิจัย 2
1.5 สมมตุ ฐิ านของโครงการวิจยั 3
1.6 นิยามศพั ท 3
บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎที ่ีเกีย่ วของ 3
2.1 ภาษา HTML
2.2 แนวคิดและทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ งกบั Peer-Assisted Learning 4
2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 6
2.4 งานวิจยั ที่เกีย่ วของ 11
บทที่ 3 ระเบยี บวธิ ีวจิ ัย 12
3.1 ประชากรและกลุมตวั อยาง
3.2 กรอบแนวคิดการวจิ ัย 10
3.3 การสรา งเคร่ืองมือ 10
3.4 เครอ่ื งมอื ที่ใชใ นการวิจยั 11
3.5 การรวบรวมขอมูล 11
3.6 การวิเคราะหขอ มลู 11
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข อ มูล 12
ตอนท่ี 1 ขอมูลของกลุมตวั อยาง
ตอนที่ 2 ขอมลู ของเพ่ือนชวยเพ่ือน 14
ตอนท่ี 3 ผลการเรยี นหลงั ใชการเรยี นแบบเพ่ือนชว ยเพอ่ื น 15
ตอนท่ี 4 ความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีตอการเรยี นแบบเพ่ือนชว ยเพอ่ื น 15
17
ในรายวชิ าการเขียนเว็บเพจดว ยภาษา HTML
สารบัญ (ตอ ) ง
บทที่ 5 สรปุ ผลการวิจยั อภิปรายผล และขอเสนอแนะ หนา
5.1 สรปุ ผลการวิจัย
5.2 อภิปรายผล 18
5.3 ขอเสนอแนะ 18
19
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก 23
ภาคผนวก ก แบบบันทึกการเขาพบปรึกษาอาจารยผ ูสอน 25
ภาคผนวก ข แบบทดสอบ 30
ภาคผนวก ค แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมตี อการเรียนในรูปแบบ
การเรยี นรูรวมกนั แบบเพ่ือนชว ยเพ่อื น (Peer Tutoring Method)
สารบัญภาพ จ
ภาพประกอบท่ี หนา
ภาพท่ี 2.1 การตดิ ตอสอ่ื สารผาน เวิลดไวดเวบ็
ภาพท่ี 2.2 ตัวอยา งการเขียนภาษา HTML ดว ยโปรแกรม Notepad 4
ภาพท่ี 2.3 ตวั อยางการเปดดูเอกสาร HTML ดวยโปรแกรม Internet Explorer 5
ภาพท่ี 3.1 กรอบแนวคิดการวิจัย 6
11
สารบัญตาราง ฉ
ตารางที่ หนา
4.1 รายชื่อนักเรยี นท่สี อบยอย คร้ังที่ 1 ไมผา น
4.2 การจับคขู องกลมุ ตวั อยางและเพือ่ น 14
4.3 เปรียบเทยี บคะแนนสอบยอ ยคร้งั ท่ี 1 กบั คร้ังท่ี 2 15
4.4 แสดงความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ตี อการเรยี นแบบเพื่อนชวยเพ่อื น 16
ในรายวิชาการเขยี นเวบ็ เพจดวยภาษา HTML 17
บทที่ 1
บทนาํ
1.1 ความสาํ คญั และทม่ี าของปญ หาท่ที ําการวจิ ัย
กระแสการเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ประเทศชาติ และโลกไมวาจะเปน
ดา นใดมีผลใหเ กิดเหตกุ ารณตา ง ๆ มากมายตามมาทั้งดานดแี ละไมดี โดยเฉพาะกระแสของเทคโนโลยี
วิทยาการตาง ๆ กาวหนาอยางรวดเร็ว ทุกยางกาวรุดหนาจนตามไมทันชนิดที่เรียกวา “กะพริบตา
ไมไ ด” คํากลาวท่ีวา “นาฬกิ าเดินไปวินาทีเดยี วคุณกล็ าสมัยแลว” เห็นจะเปนความจริง ในยุคขอมลู
ขาวสารไรพรมแดน ขาวเหตุการณความรูตาง ๆ สามารถกดดูไดที่หนาจอคอมพิวเตอร แมแตขาว
เหตกุ ารณท่เี กิดขึ้นประจําวัน หนังสือพิมพยังไมไ ดออกจําหนาย แตก็สามารถกดดูทางอินเทอรเนต็ ได
น่คี ือความเจริญ ความเปลยี่ นแปลงท่ีเราไมอ าจปฏิเสธได (สําลี รกั สทุ ธ์ิ, 2544 : 5-6)
ความเปลยี่ นแปลงดงั กลา วทําใหเ กิดกระแสเรียกรองใหเกิดการปฏิรูปการศกึ ษาข้ึน เนื่องจาก
การศึกษาเปน หัวใจของการพัฒนาประเทศและเปนปจจัยท่สี าํ คัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษยอยาง
แทจริง เพราะผูคนตางเช่ือวาการศึกษา คือ พลังขับเคลื่อนและสรางสรรคสังคม ประเทศชาติให
เปลี่ยนแปลงไปตามความตองการของสังคม น่ันคอื ผูเรียนซึ่งเปน ผลิตผลโดยตรงของการศึกษาใหมี
คุณลักษณะ มีศักยภาพ และความสามารถที่จะพัฒนาตนเอง และสังคมไปสูความสําเร็จไดตาม
เปาหมาย
จากกระแสของการปฏิรปู การศึกษา การจัดการศกึ ษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ
พ.ศ.2542 และท่ีแกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 15 มีจุดเนนที่แตกตางกันไปตาม
หลักสูตรของระดับการศึกษา และในมาตรา 23 ยังไดระบุวา การจัดการศึกษาทุกรูปแบบตองเนน
ความสาํ คัญ ท้งั ความรู คุณธรรม จรยิ ธรรม กระบวนการเรียนรแู ละบูรณาการตามความเหมาะสมของ
แตละระดับ สวนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 น้ันมุงเนน
ความสําคัญทั้งดานความรู ความคิด ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม กระบวนการเรียนรู และ
ความรบั ผิดชอบตอสังคม โดยยึดหลักผูเรียนสําคญั ที่สุด ทุกคนสามารถเรียนรู และพัฒนาตนเองได
ตามธรรมชาติ และเตม็ ศักยภาพ เนนการเรียนรูจากประสบการณจรงิ การฝกทักษะการคิด การเผชิญ
สถานการณแ ละการประยุกตความรูม าใช ( กรมวชิ าการ , 2544)
การจัดการเรยี นการสอน ครูจะตอ งใหความสาํ คญั กบั ผูเรยี นคํานงึ ถึงความตอ งการของผูเรียน
และพยายามสอนโดยใหนักเรียนมีสวนรวมในการแกปญหาตาง ๆ และไดทํากิจกรรมรวมกัน การ
เรียนการสอน จึงมีความจําเปนอยางยิ่งที่ครูจะตองมีการจัดการเรียนการสอนเพื่อใหนักเรียนมีสวน
รว มในการเรียนมากท่ีสดุ และมีการสนับสนนุ ใหมีการชว ยเหลือกันในดานการเรยี นในชนั้ เรียน โดยท่ี
เด็กเกงสามารถชวยเหลือเด็กออน มีความสามัคคีกัน รักกัน และเห็นอกเห็นใจกัน (สุรางค
โควตระกูล, 2547) การเรียนการสอนที่ใหนักเรยี นท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงสอนเพ่ือนนกั เรียนที่
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นตา่ํ เรียกวา “การสอนโดยเพ่ือนชวยเพ่ือน” (Peer Tutoring)
รายวิชาการสรางเวบ็ เพจดวยภาษา HTML เปนภาษาคอมพิวเตอรรูปแบบหนึ่งท่ีมีโครงสราง
การเขียนโดยอาศัยปายระบุ (tag) หรือคําส่ังสําหรับการควบคุมการแสดงผลขอความ รูปภาพ หรือ
วัตถุ ผานโปรแกรมเว็บบราวเซอร ซึ่งจะประกอบไปดวยทฤษฎีและหลักการออกแบบ ขั้นตอน
2
กระบวนการสรา งเว็บเพจต้ังแตเร่ิมตน โดยใชในการเขียน Code ในการสรางเว็บเพจ ผูสอนมักจะ
ประสบปญหาตาง ๆ เชน นักเรียนไมเขาหองเรียนสมํ่าเสมอ เน้ือหามากและยาก การสอนจะตองใช
เวลามาก ซ่ึงเวลาไมเพียงพอตอการเรียนในแตละชั่วโมง จึงทําใหผเู รียนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนใน
รายวชิ าดงั กลา วไมด เี ทาทีค่ วร นอกจากนี้แลวผูเรยี นแตล ะกลมุ มีคุณสมบัติที่แตกตางกัน เชน การรบั รู
และเขา ใจในรายวิชาชาเรว็ ไมเทา กัน ดงั นัน้ การจดั เตรยี มสือ่ การสอน การเลอื กวิธีการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรูจึงเปนสงิ่ สาํ คัญตอ คุณภาพของการจัดการเรยี นรูวชิ าการเขยี นเวบ็ เพจดวยภาษา HTML
จากปญหาดงั กลา ว ผูวิจัยในฐานะครูผสู อนจงึ มีความสนใจและเห็นความสาํ คัญในการจัดการ
เรยี นการสอน แนวทางหนง่ึ ท่ีทําใหผ ูเรยี นสามารถเรียนสมั ฤทธิ์ผลและประสบความสําเร็จวธิ หี นึ่ง คือ
วิธีการเรยี นที่เรยี กวา การเรียนรูรวมกันแบบเพื่อนชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method หรือ Peer
Education in Cooperative Learning Workgroups) (Haller, Cynthia R. and others 2000)
ซึ่งเปนวิธีการเรียนแบบชวยเหลือกัน โดยใชกระบวนการทํางานรวมกัน ทําใหผูเรียนไดแลกเปลี่ยน
เรยี นรู ความเขาใจ เน้อื หาวิชาทดี่ ี สามารถนําความรู ไปอธบิ าย แลกเปลี่ยนชวยเพือ่ นท่ีมีผลการเรียน
ออ น ใหม ีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นทด่ี ีขึน้
1.2 วตั ถุประสงคข องการวิจัย
1) เพือ่ พฒั นารปู แบบการเรยี นเพื่อเออ้ื ตอการเรยี นรู ความเขาใจของนักเรยี น
2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนเรียนและหลังเรียนในรูปแบบการเรียนรู
รว มกนั แบบเพอื่ นชวยเพอ่ื น (Peer Tutoring Method)
3) เพ่ือศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีตอรูปแบบการเรยี นรูรว มกันแบบเพ่ือนชวยเพ่ือน
(Peer Tutoring Method)
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั
1) กลุมเปาหมายท่ีใชในการวิจัย ไดแก นักเรียนโรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม
ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 5 ทีล่ งทะเบยี นเรยี นในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 รายวิชาการเขียนเว็บเพจ
ดวยภาษา HTML จํานวน 1 หอ งเรยี น โดยเปน กลมุ ท่ผี วู จิ ัยเปนผสู อน
2) ตวั แปรท่ศี ึกษา
2.1) ตัวแปรตน ไดแก รปู แบบการเรียนรูรวมกันแบบเพ่ือนชวยเพื่อน (Peer Tutoring
Method) รายวิชา การเขียนเวบ็ เพจดวยภาษา HTML
2.2) ตัวแปรตามไดแ ก
2.2.1) ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
2.2.2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอรูปแบบการเรียนรูรวมกันแบบเพ่ือนชวย
เพื่อน (Peer Tutoring Method)
3
1.4 ระยะเวลาทาํ การวิจัย และแผนการดาํ เนินงานตลอดการวิจัย
แผนการดาํ เนินงานวจิ ัย เดือนท่ี 1 2 3 4 5
ศกึ ษาเอกสาร ตาํ รา วารสาร และงานวจิ ยั
ศกึ ษาและรวบรวมขอ มลู
การจดั ทําระบบการจัดการเรยี นการสอน
ศึกษาปญหาการเรียนในชัน้ เรียนปกติ
นักเรยี นเรียนรูรวมกนั แบบเพื่อนชว ยเพื่อน
ประเมินผล
สรปุ ผลการวจิ ัย
1.5 สมมุติฐานของโครงการวจิ ัย
การวิจัยคร้ังน้ี ผูวิจัยไดกําหนดสมมติฐานไวดังนี้
1) ผูเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวากอนเรียนจากการเรียนรูรวมกันแบบเพื่อนชว ย
เพอ่ื น (Peer Tutoring Method)
2) ผูเรียนมีความพึงพอใจตอรปู แบบการเรยี นรรู ว มกนั แบบเพอ่ื นชว ยเพ่อื น (Peer Tutoring
Method) ในระดบั มาก
1.6 นิยามศัพท
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนของนกั เรียนในวิชาการเขียนเว็บเพจดวย
ภาษา HTML ซ่ึงวดั ไดจากคะแนนจากการทําแบบทดสอบกอนและหลังเรียน แบบทดสอบยอยในแตละหัวขอ
แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ารทดลอง และแบบประเมินการนาํ เสนอผลงานหนา ชั้นเรียน
ความสามารถในการทํางานรวมกับผูอื่นได หมายถึง พฤติกรรมการเรียนในการทํางานกลุม
ไดแก การชว ยเหลอื กลุม มีความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น รับฟงความคิดเห็น และสามารถ
ระบุบทบาทหนาที่ของตนเองในการทํางานรวมกับเพื่อนในกลุมได ต้ังแตวางแผนการทํางาน การ
ดําเนินตามแผนท่วี างไว ตลอดจนการนําเสนอผลงาน ซึง่ สามารถตรวจสอบได โดยการสัมภาษณ แบบ
ประเมนิ ตนเองและเพ่อื นในกลุม ในการทาํ งานเปนกลุม และแผนภาพสังคมมติ ิ
การเรียนแบบรวมมือ หมายถงึ วธิ ีการเรียนท่ีสงเสริมนักเรียนไดรวมมือกันในการเรียนเพื่อ
ชว ยใหเ กดิ การเรียนรูและสามารถทํางานรว มกับผูอ่ืนอยางมีความสุข โดยเนนรูปแบบการตอบทเรยี น
(Jigsaw) และการศึกษาคนควาเปนกลุม (Group Investigation) ท่ีมีการประเมินท้ังดานปรมิ าณและ
คุณภาพ โดยใหผ ูเรยี นมสี ว นรว มในการประเมนิ ดวย
บทที่ 2
เอกสารและทฤษฎีที่เกยี่ วขอ ง
การศึกษางานวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาการเขียนเว็บเพจดวยภาษา
HTML โดยการเรียนรูรว มกันแบบเพ่ือนชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method) ของนกั เรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปที่ 5 หอง 1 ภาคเรยี นที่ 2 ปการศึกษา 2561 มแี นวคิด ทฤษฎี ตลอดจนวรรณกรรมที่
เกีย่ วของซ่งึ เปน แนวทางในการศึกษาอันประกอบดว ย
1. ภาษา HTML
2. แนวคดิ และทฤษฎีที่เกี่ยวของกับ Peer-Assisted Learning
3. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
4. งานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ ง
2.1 ภาษา HTML
WWW
Client Server
- HTML - PHP
- Style Sheet - ASP
- JavaScript - JSP
- VB Script - PERL
- Java Applet - CGI
ภาพที่ 2.1 การติดตอสอื่ สารผาน เวิลดไวดเว็บ
ภาษา HTML (HyperText Markup Language) เปนภาษาหลักท่ีใชในการสรา งเวบเพจ
(Web Page) เปนภาษาประเภท Markup Language เกิดข้ึนจากการพัฒนาระบบ World Wide
Web ในเดือนมนี าคม 1989 โดยนักวิจัยจากสถาบัน CERN (Conseil European Pour La
Recherche Nucleaire) ซ่ึงเปน หองทดลองในเมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอรแ ลนด ช่อื ทิม เบอร
เนอร - ลี (Tim Berners - Lee) ซึง่ ทิม เบอรเนอร - ลี ไดนําแนวความคดิ ในเร่อื ง Hypertext ของ
Vannevar Bush และ Ted Nelson มาใชเพ่ือกระจายขอมลู ในองค ตอมามีการพัฒนาและกําหนด
มาตรฐานโดยองคกรที่ชอ่ื วา W3C (World Wide Web Consortium)
ภาษา HTML เปนภาษาที่มีลักษณะของขอมูลที่เปนตัวอักษรในมาตรฐานของรหัสแอสกี
(ASCII Code) โดยเขียนอยูใ นรปู ของเอกสารขอความ (Text Document) จึงกําหนดรูปแบบและ
5
โครงสรา งไดงาย ภาษา HTML ไดถ ูกพัฒนาขึ้นอยางตอเนอื่ งต้ังแต HTML Level 1 (รุนด้ังเดิม),
HTML 2.0, HTML 3.0, HTML 3.2 และ HTML 4.0 ซึ่งเปนรุนท่ีนิยมเขียนกันในปจจุบัน (ขณะน้ี
W3C ไดพ ัฒนา HTML 4.01 ออกมาแลว เพื่อลองรบั มาตรฐานภาษา XML) จึงทําใหภาษา HTML ใน
ปจ จุบันสามารถแสดงภาพทางกราฟฟก และระบบเสยี งได เพอื่ ตอบสนองในการทํางานในปจ จุบัน
ภาษา HTML สามารถสรางข้ึนไดจากโปรแกรมสรางไฟลขอความ (Text Editor) ท่ัว ๆ ไป
เชน Notepad หรือ Word Processing ได อีกท้ังงายตอการเรียนรเู พราะภาษา HTML ไมมี
โครงสรา งความเปน Programming เลยแมแตน อย และไฟลท่ีไดจากการสรา งเอกสาร HTML ยังมี
ขนาดเล็กอีกดว ย
นามสกลุ ของไฟล HTML จะเปนไฟลนามสกุล .htm หรอื .html ซ่งึ ใชในทั้งระบบปฏิบัติการ
ยูนิกซ (UNIX) และระบบปฏิบัติการ Windows และเรียกใชง านไดจากเว็บบราวเซอร (Web
Browser)
ภาพท่ี 2.2 ตวั อยางการเขยี นภาษา HTML ดว ยโปรแกรม Notepad
6
ภาพท่ี 2.3 ตวั อยา งการเปด ดูเอกสาร HTML ดวยโปรแกรม Internet Explorer
2.2 แนวคิดและทฤษฎที เี่ ก่ยี วของกบั Peer-Assisted Learning
2.2.1 ความเปน มา
“เพื่อนชวยเพื่อน” (Peer Assist) เปนเคร่ืองมอื ท่ีไดรับการพัฒนาข้นึ ใชคร้ังแรกทบ่ี ริษัท
BP-Amoco ซึง่ เปนบริษัทนํ้ามันยักษใหญของประเทศอังกฤษ โดยการสรางใหเกิดกลไกการเรียนรู
ประสบการณผ อู ื่น ซ่ึงเปนเพื่อนรวมอุดมการณหรือรวมวิชาชีพ (peers) กอนที่จะเริ่มดาํ เนินกิจกรรม
หรอื โครงการใด ๆ ท้ังน้คี วามหมายของ “เพอ่ื นชว ยเพอ่ื น” จะเกีย่ วขอ งกบั
- การประชมุ หรอื การปฏิบัตกิ ารรว มกนั โดยมีผูท่ีไดร ับเชิญจากทีมภายนอก หรือทีมอ่ืน (ทีม
เยอื น) เพอื่ มาแบง ปนประสบการณ ความรู กับทีมเจาบา น (ทีมเหยา) ท่เี ปนผรู องขอความชวยเหลือ-
เครอ่ื งมอื สําหรับแบง ปนประสบการณ ความเขา ใจ ความรู ในเรือ่ งตา ง ๆ
- กลไกสาํ หรับแลกเปล่ยี นความรผู านการเช่ือมโยงติดตอระหวางบุคคลสําหรับขอ ดีของการ
ทํา Peer Assist นน้ั ไดแ ก
-- เปนกลไกการเรียนรูกอนลงมอื ทํากิจกรรม (Learning Before Doing) ผาน
ประสบการณผูอ่ืน เพื่อใหรูวาใครรูอะไร และไมทําผิดพลาดซ้ําในส่ิงทเ่ี คยมีผูทําผิดพลาด ตลอดจน
เรยี นลัดวธิ ีการทาํ งานตา ง ๆ ทีเ่ ราอาจไมเคยรมู ากอ นจากประสบการณข องทมี ผชู ว ยภายนอก
-- ชวยใหท ีมเจาบานไดความชวยเหลือ ความคิดเห็น และมุมมองจากทีมผูชวย
ภายนอก ซึ่งอาจนําไปสูแนวทางในการแกปญ หาหรือการทํางานใหม ๆ
2.2.2 แนวคิดทฤษฎี
เม่ือจะเร่ิม "ลงมือทํา" เร่ืองใดเร่ืองหนึ่งที่เราไมเคยทํา หรอื ไมสันทัด หรือยังไดผลไมเปนท่ี
พอใจ ขั้นตอนแรกของการจัดการความรูคือหาขอมูล (ความรู) วาเร่ืองน้ันๆ มีบุคคลหรือกลุมคน ท่ี
ไหน หนวยงานใด ท่ีทําไดผ ลดีมาก (best practice) และถือเปนกัลยาณมิตร (peers) ท่ีอาจชวย
7
แนะนําหรือใหความรูเราได กัลยาณมิตรนี้อาจเปนเพื่อนรวมงานในหนวยงานเดียวกัน อาจเปน
หนวยงานอ่ืนในองคกรเดยี วกัน หรอื เปนคนที่อยูในองคกรอื่นก็ได แลวติดตอขอเรียนรูวิธีทาํ งานจาก
เขา ไปเรยี นรูจ ากหนว ยงาน จะโดยวิธีไปดูงาน โทรศพั ทห รือ e-mail ไปถาม เชญิ มาบรรยาย หรือวิธี
อื่น ๆ ก็ได หลักคดิ ในเร่ืองนีก้ ็คือ มคี นอ่ืนท่ีเขาทาํ ไดดีอยแู ลว ในเรื่องท่ีเราอยากพัฒนาหรือปรับปรุง
ไมค วรเสียเวลาคิดขึ้นใหมดว ยตนเอง ควร "เรียนลดั " โดยเอาอยางจากผทู ่ที ําไดดีอยูแลว เอามาปรับ
ใชกับงานของเรา แลวพัฒนาใหดีย่ิงข้ึน ยํ้าวา การเรยี นรูจากกัลยาณมิตรนี้จะตองไมใชไปลอกวิธีการ
ของเขามาทั้งหมด แตไปเรียนรูแนวคิดและแนวปฏิบัติของเขาแลวเอามาปรับปรุงใชง านใหเหมาะสม
ตอ สภาพการทํางานของเรา
2.2.3 วธิ ีการแบบ “เพ่อื นชวยเพอ่ื น”
วธิ กี ารแบบ “เพอื่ นชว ยเพ่อื น” สามารถทาํ ได ดังนี้
1. กําหนดวัตถุประสงคใหชัดเจนวาทํา “เพื่อนชวยเพ่ือน” ทําไปเพื่ออะไร อะไรคอื ตนตอ
ของปญ หาทตี่ องการขอความชวยเหลือ
2. ตรวจสอบวาใครที่เคยแกปญหาท่ีเราพบมากอนบางหรือไม โดยทําแจงแผนการทํา
“เพ่อื นชว ยเพอ่ื น” ของทีมใหหนว ยงานอื่นๆ ไดร บั รู เพือ่ หาผทู ่รี ใู นปญ หาดงั กลา ว
3. กําหนด Facilitator (คุณอํานวย) หรือผูสนับสนุน และอํานวยความสะดวกใน
กระบวนการแลกเปลี่ยนเรยี นรรู ะหวางทมี เพ่อื ใหไดผลลพั ธต ามตอ งการ
4. คํานึงถึงการวางตารางเวลาใหเหมาะสมและทันตอการนําไปใชงาน หรือการปฏิบัติจริง
โดยอาจเผ่อื เวลาสําหรบั ปญหาท่ีไมคาดคดิ ทอี่ าจจะเกดิ ขนึ้
5. ควรเลือกผูเขารวมแลกเปล่ียนเรียนรูใหมคี วามหลากหลาย (Diverse) ทั้งดานทักษะ
(Skill) ความสามารถ/ความเชี่ยวชาญ (Competencies) และประสบการณ (Experience) สําหรับ
จาํ นวนผูเขารว มแลกเปล่ียนอยูทป่ี ระมาณ 6-8 คนกเ็ พยี งพอ
6. มุงหาผลลัพธหรือส่ิงท่ีตองการไดรับจริง ๆ กลาวคือ การทํา “เพื่อนชวยเพ่ือน” นั้นจะตองมองให
ทะลถุ ึงปญ หา สรางทางเลอื กหลาย ๆ ทาง มากกวา ท่จี ะใชค ําตอบสาํ เรจ็ รปู ทางใดทางหนึ่ง
7. วางแผนเวลาสําหรบั การพบปะสังสรรคทางสังคม หรือการพดู คยุ แบบไมเ ปน ทางการ (นอกรอบ)
8. กาํ หนดบทบาทของแตละฝายใหชดั เจน ตลอดจนสรางบรรยากาศ เพื่อใหเอ้ืออํานวยตอ
การแลกเปลี่ยนเรยี นรรู ะหวา งกนั
9. แบง เวลาทม่ี ีอยูออกเปน 4 สวน คือ
- สวนแรกใชสําหรับทีมเจาบานแบงปนขอมูล (Information) บริบท (Context)
รวมท้งั แผนงานในอนาคต
- สวนท่สี องใชสนับสนุน หรอื กระตุนใหทีมผูชวยซึ่งเปนทีมเยือนไดซักถามในส่ิงที่
เขาจาํ เปนตอ งรู
- สวนท่สี าม ใชเพื่อใหทีมผูชวยซงึ่ เปน ทมี เยอื นไดนําเสนอมุมมองความคิด เพื่อให
ทมี เจา บา นนําส่ิงทไ่ี ดฟ งไปวิเคราะห
- สว นทีส่ ่ี ใชสาํ หรบั การพูดคุยโตตอบ พจิ ารณาไตรต รองสิ่งทไ่ี ดแลกเปลีย่ นเรยี นรรู วมกัน
จากความเปนมา แนวคิดทฤษฎี และวิธีการแบบ “เพื่อนชวยเพื่อน” เราสามารถแบง
ประเภทของ “เพอื่ นชวยเพ่อื น” ได 3 ประเภท ดงั น้ี
8
1. การสอนแบบ “เพอื่ นชว ยเพ่อื น”
กิจกรรมอยางหนึ่งท่ีจัดใหผูเรียนไดชวยเหลือเกื้อกูลกันอยูเสมอ คือ เพื่อนชวยเพ่ือนใน
ลักษณะ เกงชวยออน ซ่ึงเปนวิธีการที่ผูเรียนใหความสนใจมาก คนเกงจะจัดกระบวนการเรียนการ
สอน เพ่ือสงเสริมความสามารถของผูเรียน โดยเฉพาะวิชาการดานคอมพิวเตอร เพื่อใหผูเรียนมีสวน
รว มในการคิด วางแผน ปฏิบัติ และประเมนิ ผล ใหผูเรียนมีโอกาสไดเรียนรู ไดพิจารณา และคนพบ
ความรูความสามารถของตนเองใหผูเรียนมองเห็นภาพลักษณแหงตน ตัวตนในอุดมคติ และการเห็น
คณุ คาตนเอง ตอความสําเร็จในการเรียนการสรางเว็บไซต ภาษา HTML สิ่งเหลานีจ้ ะชวยหลอ หลอม
ใหผเู รียน รักและมีความพรอมที่จะเรียน มีความสุขในการเรียนรู และรวมกิจกรรมการเรียนการสอน
อยางตอ เน่ือง
การสอนดวยวิธีการ “เพื่อนชวยเพ่ือน”
การสอนดวยวิธีการใหเพ่ือนชวยเพื่อนเปนวิธีการที่มุงใหนกั เรียนเกิดแรงจูงใจตอการเรียน
มากขึ้น เนื่องจากนักเรียนทุกคนเปนผูที่มีบทบาทในกิจกรรมการเรียนการสอน การนําวิธีการสอน
แบบเพื่อนชวยเพื่อนมาชวยแกปญหาการจัดการเรียนการสอน ควรจะตองสรางแรงจูงใจแกเพื่อน
นักเรียนที่ชวยสอน ใหไ ดรับผลประโยชนตอบแทนทั้งรูปธรรมและนามธรรม ซ่ึงเปนบันไดข้ันแรกแหง
ความสําเร็จ ดวยการหากิจกรรมท่ีกระตุนใหนักเรียนพรอมท่ีจะใหความรวมมือ ชวยเหลือครูและ
เพอื่ นนักเรยี นอยา งเตม็ ใจและพึงพอใจ
ผูสอนจะมีบทบาทสําคัญในการสงเสริมพัฒนาทักษะความสามารถของผูเรียนใหเต็ม
ศักยภาพ ดวยการออกแบบกิจกรรมที่เปดโอกาสใหผูเรียนใชความรูความสามารถอยางเต็มที่ มี
ความสุข การจัดการเรียนการสอนเพ่ือใหผูเรียนมีความสุข ท้ังกายและใจนั้น จะเริ่มจากการสราง
ความศรัทธาทั้งตอตวั ผูสอน และตอวิชาท่ีเรียน ใหเกิดในตัวผูเรยี น ใหผูเรียนมองเห็นถึงความจริงใจ
ของผสู อน
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ “เพื่อนชว ยเพ่ือน”
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ยอมรับวาผูเรียนเปนมนุษยที่มีศักยภาพ ปฏิบัติตอ
ผูเรียนในลักษณะกัลยาณมิตร และเขาใจในความเปนตัวเขา นอกจากน้ัน การสอนแบบเพื่อนชวย
เพ่ือนหรือการใหผูเรียนชวยสอนกันเองน้ี เปนวิธีการที่จะชวยใหผูเรียนไดรับประโยชนทางดาน
วิชาการดวยกันทั้ง 2 ฝาย การเรียนการสอนแบบน้ีไดมีการพัฒนาและนํามาใชในรูปแบบที่แตกตาง
กันออกไปตามจุดมุงหมายและวิธีการไดรับการตอบสนองความตองการในระดับแรก ๆ กอนเทาน้ัน
เมื่อกาวผา นขัน้ หนึง่ ไป มนษุ ยเ ราจะมีความตอ งการสูงขึ้นไปทีละขั้นเพิ่มข้ึนไปเร่ือยๆ ผูศึกษาไดคดิ คน
นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน การสรางเว็บไซต ภาษา HTML ดวยการดัดแปลงกระบวนการ
สอนซอมเสริมแบบเพื่อนชวยเพื่อน มาบูรณาการเขากบั วิธีการดาํ เนินธุรกิจเครือขาย Direct Sales
(ขายตรง) ดวยการสรางกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดย
สวนรวมสูงข้ึน และเพื่อชวยเหลือนักเรียนทม่ี ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา รวมถึงนักเรียนที่ไมบรรลุ
จุดประสงคการเรียนรู ใหส ามารถเรยี นรผู านตามเกณฑก ารประเมินจดุ ประสงค
9
2. การใหคําปรึกษาแบบ “เพื่อนชว ยเพื่อน”
การใหค ําปรกึ ษาแบบ “เพอ่ื นชว ยเพ่อื น” หมายถึง การใหความชวยเหลือทางดานจิตใจ และ
เปน รากฐานสําคญั ในการสนับสนนุ ผูรบั คาํ ปรกึ ษาใหด ําเนินชีวิตอยางอิสระ โดยปฏิสัมพันธทีจ่ ะ “ให”
และ “รับ” ความชวยเหลือเทาเทียมกันอยางเพื่อน ไดมาฟงความรูสึกและเลาเรื่องราวของตนเอง
เพอ่ื สนับสนุนซ่ึงกันและกัน เพ่ือเสรมิ สรา งความเช่อื ม่ันในตนเอง มีความเขม แข็ง สามารถดํารงชีวิตได
อยางอสิ ระ
การใหคําปรกึ ษาแบบ “เพื่อนชว ยเพ่ือน” แตกตา งจากการใหค าํ ปรกึ ษาอยา งอืน่ อยางไร ?
ในกระบวนการใหคําปรึกษาฉันเพื่อน มีผูรับฟงเรียกวา “ผูใหคําปรึกษาแบบเพ่ือน” (Peer
Counselor) กับผูเลาเร่ือง เรียกวา “ผูรับคําปรึกษาแบบเพื่อน” (Client) โดยแบงเวลาฝายละเทา ๆ
กัน และสลับบทบาทระหวางผูเลาเร่ืองกับผูรับฟงตามเวลาท่ีกําหนด เพ่ือแลกเปลี่ยนประสบการณ
และสนบั สนุนซึ่งกันและกัน จะสงผลท่ีพึงพอใจแกผูรับคําปรึกษาฉันเพื่อน ไดรับรูและเขาใจเร่ืองราว
ของตนอยางแทจ ริง ทําใหยอมรับและรักตนเอง นํามาซ่งึ ความเช่ือม่ันในตนเอง กลาท่ีจะเผชิญความ
เปลี่ยนแปลงตาง ๆ และสามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมไดอยางมีความสุข แตการปรึกษาของผูเชียว
ชาญ หรือหมอผูรบั คําปรึกษาจะเปนฝายที่จะน่ังรบั ฟงเร่ืองราวตาง ๆ เพียงฝา ยเดยี ว และผูเชียวชาญ
หรือหมอจะเปนคนใหคําแนะนําเพื่อใหปฏิบัติตามเทานั้น ดังนั้นการใหคําปรึกษาแบบ “เพ่ือนชวย
เพื่อน” จะสรางความเขาใจ ทศั นคติตางๆและกอใหเกิดการปฏสิ ัมพันธท่ีดีตอ กันระหวางผูรับและผูให
มากกวาการใหค าํ ปรกึ ษาแบบเปน ผูร บั คาํ ปรกึ ษาเพยี งอยา งเดยี ว
ขอตกลง หรอื ขอสัญญาในการใหค าํ ปรกึ ษาแบบ “เพ่อื นชวยเพอื่ น”
ขอตกลงหรอื ขอสัญญาในการใหคาํ ปรกึ ษามขี อทคี่ วรปฏิบตั ิท้งั หมด 4 ขอ ดงั นี้
1. แบง เวลาโดยเทาเทียมกัน การใหคําปรึกษาแบบเพื่อนชวยเพ่ือนใหความสําคัญกับการแบงเวลา
อยางเทาเทยี มกนั เพ่อื จะไดมีการแลกเปลี่ยนประสบการณกนั ไดอยางเต็มท่ี สิ่งหนงึ่ ท่ีตอ งเสมอภาคกันไมว า
จะเปนใครก็ตาม ทั้งสองฝายมีเวลาเทาเทียมกัน โดยการที่ใหผูขอรับคําปรึกษาเปน ผูกําหนดวาตองการเวลา
เทาไหร แตตองไมนานเกินไป ท้ังสองฝายจะตองเปนผูตกลงกันอยางเทาเทียมเสมอ ท่ีตองมีกฎขอนี้ก็เพ่ือ
ปองกันไมใหคนที่พูดเกง แยงเวลาไปหมด จนคนท่ีพูดไมเกงไมไดพ ูดอะไรเลย
2. รักษาความลับเปนสวนตัว การใหคําปรึกษาตองรับประกันไดวาผูใหคําปรึกษาจะไม
เปดเผยหรือพูดเรื่องของผูมารับคําปรึกษา ผูใหคําปรึกษาจะตองเก็บเปนความลับและตองเคารพ
ความเปนสวนตัวของผูที่รับคําปรึกษาเสมอ เพราะเปนการทําใหเกิดการไววางใจและรูสึกปลอดภัย
ทางดานจิตใจแกผูมารบั คําปรึกษา ที่ตอ งมีกฎขอน้ีเพราะวา จะทําใหผูรับคําปรึกษากลาทีจ่ ะพูดเรอ่ื ง
สว นตวั และสามารถปลดปลอ ยไดอยางเตม็ ท่ี ไมเกิดความกงั วล
3. ไมปฏิเสธ ไมตําหนิ เมื่อมีผูมาขอรับคําปรึกษา ผูใหคําปรึกษาตองแสดงใหผูมารับคํา
ปรึกษารับรวู า เรายินดีทจ่ี ะรับฟงปญหาของเขาและเช่ือในสิง่ ท่ีเขาพูดอยางตั้งใจ เมื่อฟงแลวตองไม
ตําหนิหรือวิจารณ และไมปฏิเสธในส่ิงท่ีเขาเลามา ท่ีตองมีกฎขอนี้เพราะวา หากผูรับคําปรึกษาถูก
ปฏเิ สธ หรือถกู ตําหนเิ ขาจะรูสกึ วาตัวเองไมม คี วามสําคญั ทําใหข าดความม่ันใจในตวั เอง
4. ไมใหคาํ แนะนํา ไมชี้ทางแกไข ผูใหคาํ ปรึกษาเม่ือไดรับฟงปญหาจากผูมาขอคําปรึกษา
แลว จะตองไมแสดงความคิดเห็นหรอื แนะนําวิธีการแกปญหา เพราะการแนะนําอาจจะไมเหมาะสม
และไมถูกตองสาํ หรับคนทมี่ าขอคําปรึกษาเสมอไป เพราะผูที่จะเขาใจปญหาน้ันไดดีและจะแกปญหา
10
นั้นไดกต็ องเปนตัวของผูรบั คําปรึกษาเอง โดยเราจะตองเชื่อม่นั วามนษุ ยทุกคนมีพลัง มีความสามรถที่
จะแกป ญ หาของตนเอง อยางนอ ยการท่ีเขาไดมีโอกาสระบายความรสู ึกทเ่ี ก็บกดออกมา ก็จะสามารถ
ทําใหเขาไดเรียบเรียงปญหาและเห็นปญหาของเขาเอง และในเมื่อเขาเห็นชัดวา ปญหาของเขาคือ
อะไร ในท่ีสดุ เขาก็จะสามารถแกไขปญหานั้นได และจะเปนการเรียกความเช่อื มั่นของตัวเองกลับคืน
มาดวย
3. กลวธิ ีการเรียนรูแ บบ “เพ่อื นชว ยเพือ่ น”
กลวิธีการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพื่อน หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรูเปนคูหรือกลุมยอย ให
ผูเรียนมีสวนรวมในการทํากิจกรรม คอยชวยเหลือซ่ึงกันและกัน มีการผลัดเปลย่ี นกันเปนผูสอนและ
ผูเรียน เพ่ือใหไดมาซ่ึงความรูความเขาใจเก่ียวกับบทเรียน ครูผูสอนมีบทบาทหนาที่เปนพียงผูให
คาํ แนะนําและจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู หเ หมาะสมกับผเู รยี น
รปู แบบกลวิธกี ารเรียนรูแบบเพือ่ นชวยเพอ่ื น
นักการศึกษาหลายทานไดประมวลการสอนท่ีมีแนวคิดจากกลวิธีการเรียนรูแบบเพ่ือนชวย
เพอ่ื นไวมากมาย มีรายละเอยี ดดังน้ี
1. การสอนโดยเพื่อนรว มช้นั (Classwide-Peer Tutoring) เปนการสอนท่ีเปดโอกาสให
ผูเรยี นทั้งสองคนที่จับคูกันมีสวนรวมในการเรียนการสอน โดยใหผูเรียนท้ังสองสลับบทบาทเปนทั้ง
นกั เรียนผูส อนทีค่ อยถา ยทอดความรใู หแ กน ักเรียนผูเรียน และนกั เรยี นผูเรียนซง่ึ เปน ผทู ่ไี ดรับการสอน
2. การสอนโดยเพอ่ื นตา งระดับชัน้ (Cross-Age Peer Tutoring) เปนการสอนทีม่ ีการจับคู
ระหวางผูเรียนท่ีมีระดับอายุแตกตางกัน โดยใหผูเรียนทม่ี ีระดับอายุสงู กวาทําหนาท่ีเปนผูสอนและให
ความรู ซง่ึ ผเู รยี นทั้งสองคนไมจาํ เปนตองมคี วามสามารถทางการเรียนที่แตกตา งกนั มาก
3. การสอนโดยการจับคู (One-to-One Tutoring) เปนการสอนที่ใหผูเรียนที่มี
ความสามารถทางการเรียนสงู กวาเลือกจบั คูก บั ผูเรยี นท่ีมีความสามารถทางการเรียนตํ่ากวาดวยความ
สมัครใจของตนเอง แลวทาํ หนา ท่ีสอนในเรื่องท่ตี นมคี วามสนใจ มคี วามถนดั และมีทกั ษะทดี่ ี
4. การสอนโดยบุคคลทางบา น (Home-Based Tutoring) เปน การสอนที่ใหบคุ คลท่ีบาน
ของผเู รียนมีสวนรวมในการสอน ใหความชวยเหลือในการพัฒนาความรูความสามารถแกบตุ รหลาน
ของตนระหวา งท่บี ตุ รหลานอยทู ี่บา น
2.2.4 หลักการใชกลวิธีการเรยี นรแู บบ “เพ่ือนชว ยเพือ่ น”
การใหเพอ่ื นชว ยเพือ่ นจะมปี ระสทิ ธิภาพสงู สุดนนั้ ควรดาํ เนนิ ไปตามหลกั เกณฑ ดงั น้ี
1. เพื่อนผูสอนจะตองมีทักษะท่ีจําเปน เชน ความเขาใจในจุดประสงคของการสอนจาํ แนก
ไดวา คําตอบที่ผดิ และคาํ ตอบที่ถูกตางกันอยางไร รูจักการใหแรงเสริมแกเพ่ือนผูเรียน รูจักบันทึก
ความกา วหนาในการเรยี นของเพ่ือนผูเรียน และมนษุ ยสมั พันธทดี่ กี บั เพอ่ื นผูเ รียน
2. กําหนดจุดประสงคเชิงพฤติกรรมใหชัดเจน ทั้งนี้เพื่อใหบุคคลทั้งสองชวยกันบรรลุ
เปาหมายในการเรียน
3. ครูเปน ผกู าํ หนดขน้ั ตอนในการสอนใหชดั เจนและใหเพ่อื นผเู รยี นดําเนินการตามข้ันตอนเหลานั้น
4. สอนทลี ะขั้นหรอื ทลี ะแนวคิดจนกวา เพอ่ื นผเู รียนเขา ใจดแี ลว จึงสอนขน้ั ตอ ไป
5. ฝก ใหเพ่อื นผูสอนเขาใจพฤติกรรมการแสดงออกของเพื่อนผูเรียนดวยวา พฤติกรรมใด
แสดงวา เพอ่ื นผูเรยี นไมเขา ใจ ทัง้ นจ้ี ะไดแ กไ ขใหถ กู ตอง
11
6. เพ่ือนผูสอนควรบันทึกความกาวหนาในการเรยี นของเพื่อนผูเรียนตามจุดประสงคเชิง
พฤติกรรมท่กี ําหนดไว
7. ครูผูดูแลรับผิดชอบจะตองติดตามผลการสอนของเพ่ือนผูสอนและการเรียนของเพื่อน
ผูเรยี นดว ยวาดาํ เนนิ การไปในลักษณะใด มีปญหาหรือไม
8. ครใู หแรงเสริมแกท ้ัง 2 คนอยา งสมํ่าเสมอ
9. ชวงเวลาในการใหเพอื่ นชว ยเพ่อื นไมควรใชเวลานานเกินไป งานวิจัยระบุวาระยะเวลาที่มี
ประสิทธภิ าพในการใหเพอื่ นชว ยเพ่อื นในระดับชนั้ ประถมศกึ ษาอยูระหวาง 15-30 นาที
10. เพ่ือนผูสอนมีการยกตัวอยางประกอบการสอน จึงจะชวยใหเพ่ือนผูเรียนเรยี นเขาใจ
เน้ือหาไดดียิง่ ขนึ้
2.2.5 ประโยชนข อง “เพอื่ นชวยเพอ่ื น”
1. เปนการเรยี นลดั วิธกี ารเรียน การทํางานตางๆท่ีเราอาจจะเคยทราบมากอน ส่ิงเหลาน้จี ะ
มาจากประสบการณ เทคนิควธิ ีตา งๆของคเู พอ่ื นชวยเพือ่ นหรอื ทมี เพื่อนชว ยเพ่อื น
2. เปนการแลกเปล่ียนความรู ประสบการณ มมุ มองความคิดตางๆรวมกันเพ่ือชวยกัน
พฒั นาความรูเดมิ ที่มีอยูใหมกี ารพฒั นาอยา งตอ เน่ือง
3. สรางความสัมพนั ธและความสามัคคี เพราะกระบวนการเพื่อนชวยเพ่ือนตองเกิดจากการ
ทาํ งานเปน คหู รือเปนทีม ดังนัน้ การมปี ฏิสมั พนั ธอนั ดตี อ กนั ยอมทาํ ใหเ กิดผลการเรยี นรูที่ดตี ามมา
2.3 ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนเปน ความสามารถของนักเรียนในดานตา งๆ ซ่ึงเกิดจากนักเรียนไดรับ
ประสบการณจากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูตองศึกษาแนวทางในการวัดและ
ประเมินผล การสรางเคร่ืองมือวัดใหมคี ุณภาพน้ัน ไดมีผูใหความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว
ดังนี้
สมพร เชื้อพันธ (2547, หนา 53) สรุปวา ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร หมายถึง
ความสามารถ ความสําเร็จและสมรรถภาพดานตางๆของผเู รียนที่ไดจากการเรยี นรูอันเปนผลมาจาก
การเรียนการสอน การฝกฝนหรือประสบการณของแตละบุคคลซึ่งสามารถวัดไดจากการทดสอบดวย
วธิ ีการตา งๆ
พิมพันธ เดชะคุปต และพเยาว ยินดีสุข (2548, หนา 125) กลาววา ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นหมายถงึ ขนาดของความสาํ เรจ็ ท่ไี ดจ ากกระบวนการเรียนการสอน
ปราณี กองจนิ ดา (2549,หนา 42) กลาวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ
หรอื ผลสาํ เรจ็ ที่ไดรบั จากกจิ กรรมการเรียนการสอนเปนการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมและประสบการณ
เรียนรูทางดานพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังไดจําแนกผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไวตาม
ลักษณะของวัตถุประสงคของการเรยี นการสอนท่แี ตกตา งกัน
ดงั น้ันจึงสรปุ ไดวา ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถึง ผลทีเ่ กดิ จากกระบวนการเรียนการสอนที่
จะทําใหนักเรียนเกิดการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรม และสามารถวัดไดโดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ดาน
คือ ดา นพทุ ธิพิสยั ดา นจติ พิสยั และดานทักษะพสิ ยั
12
2.4 งานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วของ
สมพิศ แซเฮง (2559) ไดศึกษาการใชวิธีสอนแบบเพ่ือนชวยเพ่ือน เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตรประยุกต 2 ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบตัรวชิาชีพชั้น ปที่1
โรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย พบวา คะแนนมาตรฐานเฉล่ีย เรื่อง คามาตรฐาน ซึ่งใชวิธีสอน
แบบเพ่ือนชว ยเพ่ือน มคี ะแนนมาตรฐานสงู กวาคะแนนมาตรฐานเฉล่ีย เร่ืองการวัดคา กลางของขอมลู
อยางมนี ัยสําคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .04
อนุสรา พงคจันตา (2558) ไดศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ การเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
รายวิชาเคมีท่ัวไป โดยการเรียนการสอนแบบเพ่ือนชวยเพ่ือนของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุข-
ศาสตร มวี ัตถุประสงคเพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเคมีทั่วไปในนักศึกษาสาขาวิชา
สาธารณสขุ ศาสตร โดยวิธีการเรียนการสอนแบบเพื่อนชวยเพ่ือน และเพ่ือศึกษาสภาพในการให และ
รับคําปรึกษาของนักศึกษาท่ีผานการเรียนการสอนแบบเพื่อนชวยเพื่อน โดยกลุมตัวอยางท่ีใชเปน
นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าสาธารณสขุ ศาสตร ชั้นปท่ี 1 ทีล่ งทะเบียนเรียนในรายวิชาเคมีท่ัวไป ในภาคเรียนที่
1 ปการศึกษา 2556 จํานวน 14 คน เคร่ืองมือท่ีใชในการเก็บรวบรวมขอมูล คือ แบบประเมิน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะหขอมูลโดยการหาคาเฉล่ียสวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคาสถิติ
Pearson correlation ผลการศึกษาพบวา นักศกึ ษากลุม เปา หมายท่ผี านการเรยี นการสอนแบบเพ่ือน
ชวยเพื่อน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมที ่ัวไป คดิ เปนรอยละ 85.71 และจากการศึกษา
ครั้งน้ี พบวา เนื้อหาสวนใหญที่นักศึกษาขอรับคําปรึกษาจะเปนหัวขอท่ีมีเนื้อหาคอนขางยาก และ
เน้ือหาเยอะ และจากการศึกษาคร้งั น้ี พบวา จํานวนคร้ังของการขอรับคําปรึกษามีความสัมพันธกับ
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นในรายวชิ าเคมีทวั่ ไป
สันติ วงษพันธุ (2557) ไดศึกษาเก่ยี วกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใชวิธกี าร
เรยี นการสอนแบบเพื่อนชว ยเพ่อื นของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 2/1 โรงเรียนอสั สัมชัญธนบุริ พบวา
นกั เรยี นมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนผานเกณฑท่ีกําหนดทุกคน และกจิ กรรมกลุมทําใหเกิดบรรยากาศท่ี
ดี ชวยใหนกั เรยี นมีความกระตอื รือรนสนใจ ต้ังใจ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น อีกทั้งชวยกระตุนให
นักเรยี นมีความกระตือรอื รน อยตู ลอดเวลา ชวยสรา งความสามคั คี รจู ักแกป ญหารวมกนั
งานวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการทํางานรวมกับผูอื่นของ
นักศึกษา สาขาวิชาอุตสาหกรรมทองเท่ียว รายวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมทองเท่ียว สาขาวิชา
อุตสาหกรรมทองเที่ยวคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง มีวัตถุประสงคเพ่ือพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการทํางานรว มกับผูอื่นของนักศึกษา ชั้นปที่ 3 โดยใช
การเรยี นแบบรวมมือ ในวิชาการตลาดเพื่ออุตสาหกรรมทองเที่ยว ระหวางเรยี นผูวิจัยใหนกั ศึกษาทํา
แบบทดสอบกอนและหลงั เรียน ประเมินการปฏิบัติการทดลองและการนําเสนอผลงานหนาช้ันเรียน
ทาํ แบบทดสอบยอ ยในแตละหัวขอ สัมภาษณอยางไมเ ปนทางการ นักศึกษาประเมนิ ตนเองและเพื่อน
ในการทํางานเปนกลุม และทําสังคมมิติเกี่ยวกับการทํางานกลุมกอนและหลังการเรียนแบบรวมมอื
ผลการวจิ ัยพบวา นักศกึ ษาที่มีคะแนนหลังเรียนผานเกณฑรอยละ 50 มีจํานวนเพ่ิมข้ึนจาก 8 คนเปน
43 คน แตกตางจากคะแนนกอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 นักเรียนมีทักษะ
ปฏิบัติการ ทักษะการนําเสนอผลงานหนาช้ันเรียน และมีคะแนนทดสอบทายคาบเรียนท่ีเพ่ิมมากข้ึน
อยางตอ เนอื่ ง นักศึกษาสวนใหญพ อใจกับการสอนรูปแบบนี้ มีการชวยเหลือกลมุ ความรบั ผิดชอบ
13
การแสดงความคดิ เห็น การรับฟงความคิดเหน็ หลังการเรยี นแบบรวมมอื โดยเฉลี่ยสูงขึ้นและนักศึกษามี
ความสมั พันธภ ายในหองเรยี นเพ่ิมขน้ึ
บทที่ 3
ระเบียบวิธวี ิจัย
การวิจัย เร่ือง การศึกษางานวิจัย เรอ่ื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน วิชาการเขียน
เว็บเพจดวยภาษา HTML โดยการเรียนรูรวมกันแบบเพือ่ นชวยเพื่อน (Peer Tutoring Method)
ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 หอง 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2561 โรงเรียน
ปลายพระยาวิทยาคม จังหวัดกระบี่ มีแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวของเพ่ือเปน
แนวทางในการศกึ ษา ผวู ิจัยไดด าํ เนนิ การวิจัยตามข้นั ตอนดงั น้ี
1.ประชากรและกลมุ ตัวอยาง
2. กรอบแนวคดิ การวจิ ัย
3. การสรา งเครอ่ื งมือ
4. เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ นงานวจิ ยั
5. การเก็บรวบรวมขอ มูล
6. การวิเคราะหขอมูล
3.1 ประชากรและกลมุ ตัวอยาง
ประชากรท่ีใชใ นการวิจยั ไดแ ก นกั เรยี นโรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2561 รายวิชาการเขียนเว็บเพจดวยภาษา
HTML จาํ นวน 2 หองเรยี น โดยเปน กลุมทผ่ี ูวิจยั เปนผสู อน
กลมุ ตัวอยางท่ีใชใ นการวิจัยไดแกนกั เรียนโรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี
5 หองเรียนที่ 1 ที่ลงทะเบยี นเรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2561 รายวิชาการเขยี นเว็บเพจดวย
ภาษา HTML จํานวน 1 หองเรียน มีนักเรยี นจํานวน 17 คน เลือกแบบเจาะจง โดยเปนกลุมที่ผูวิจยั
เปนผสู อน
3.2 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั
1) ตัวแปรตน ไดแ ก การเรียนการสอนรูปแบบการเรียนรูรว มกันแบบเพ่ือนชวยเพื่อนใน
รายวิชาการเขยี นเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML และเนือ้ หารายวิชาการเขยี นเว็บเพจดว ยภาษา HTML
2) ตวั แปรตามไดแ ก
2.1) ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
2.2) ความพงึ พอใจของนักเรยี นทมี่ ตี อรูปแบบการเรยี นรรู ว มกันแบบเพอ่ื นชวยเพื่อน
11
ตัวแปรตน ตวั แปรตาม
- รปู แบบการเรยี นรูรวมกัน - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
แบบเพอื่ นชวยเพ่ือน - ความพงึ พอใจตอรปู แบบการเรียนรูรวมกนั
(Peer Tutoring Method) แบบเพือ่ นชวยเพื่อน
- เนอ้ื หารายวิชา การเขยี นเวบ็ เพจ (Peer Tutoring Method)
ดวยภาษา HTML
ภาพท่ี 3.1 กรอบแนวคิดการวิจยั
3.3 การสรางเครือ่ งมือ
กรอบแนวคิดการวิจัยกําหนดใหการเรียนแบบเพ่ือนชวยเพื่อนเปนตัวแปรตนท่ีสงผลตอ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาการเขียนเวบ็ เพจดวยภาษา HTML ที่เปนตัวแปรตามจากการศึกษา
คนควาวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวของในการศึกษาคร้ังนี้ กลวิธีการเรียนรูแบบเพ่ือนชวยเพื่อนที่ผูวิจัยเลือก
นาํ มาใช คอื การสอนโดยการจับคู (One-to-One Tutoring) โดยใหนกั เรียนท่ีมีคะแนนสอบยอ ยครั้ง
ที่ 1 มากกวา 5 คะแนน (ผูที่มีความสามารถทางการเรียนสูงกวา) จับคูกับนักเรียนกลุมตัวอยางทํา
หนา ทีช่ วยสอน และเขา พบปรกึ ษาอาจารยผสู อนรว มกนั
3.4 เครือ่ งมือทใ่ี ชในการวจิ ัย
ผูวิจัยพัฒนาเคร่ืองมือจากการศึกษาขอมูลเอกสารท่ีเกี่ยวกับการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพ่ือน
และเอกสารเกีย่ วกับรายวิชาการเขยี นเว็บเพจดว ยภาษา HTML ไดเ คร่อื งมอื วิจยั แตละชนดิ ดังนี้
1. แบบบันทกึ การเขาพบปรึกษาอาจารยผูสอน เปนการบันทกึ การเขาพบปรึกษา ซักถามขอ
สงสัย สอบถาม ติดตามการเรยี นการสอนแบบเพือ่ นชวยเพ่อื นของกลุมตัวอยา ง
2. แบบทดสอบยอ ย คร้ังที่ 1 จาํ นวน 10 ขอ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เพื่อทดสอบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นหนวยท่ี 1-3 ใชอธบิ ายผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนกอ นการเรียนรแู บบเพอื่ นชวยเพื่อน
3. แบบทดสอบยอยคร้งั ท่ี 2 จํานวน 10 ขอ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เพื่อทดสอบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นหนวยที่ 4-6 ใชอธบิ าย ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอนการเรียนรแู บบเพอ่ื นชวยเพื่อน
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมีตอการเรียนในรูปแบบการเรียนรรู ว มกันแบบ
เพื่อนชว ยเพื่อน (Peer Tutoring Method)
3.5 การรวบรวมขอ มลู
ระยะเวลาของการทาํ วิจยั 5 สัปดาห โดยดําเนินการดงั นี้
1) คัดเลอื กกลุมเปา หมาย นกั เรียนระดับมัธยมศึกษาปท่ี 5 หอ ง 1 จํานวน 17 คน
2) สรางแบบทดสอบ 2 ชุด ชดุ ท่ี 1 จํานวน 10 ขอ ชุดท่ี 2 จํานวน 10 ขอ
12
3) ครใู หนักเรยี นทาํ ขอสอบ ชดุ ที่ 1 เพ่อื เกบ็ คะแนนสอบไวใชในการเปรียบเทยี บ
4) ครใู หน ักเรียนทําแบบขอสอบชุดที่ 2 เพ่ือเก็บคะแนนสอบไวใชใ นการเปรียบเทยี บ
5) นาํ ผลคะแนนทไ่ี ดมาเปรยี บเทยี บ ถึงความแตกตางของคะแนน
6) ใหนักเรียนทําแบบประเมินผล ความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีตอการเรยี นในรูปแบบการ
เรยี นรรู ว มกนั แบบเพอื่ นชวยเพือ่ น (Peer Tutoring Method)
3.6 การวเิ คราะหข อมูล
ผูวจิ ยั วิเคราะหข อ มลู ใชค า สถติ ริ อ ยละ คา เฉล่ีย และความเบีย่ งเบนมาตรฐาน
1. หาคาเฉลย่ี ไดแ ก คาเฉลยี่ และคาสวนเบยี่ งเบนมาตรฐานคาคะแนนเฉลี่ย (Mean)
(บุญชม, 2541 : 56)
X = x
n
เม่ือ X แทน คา เฉลย่ี
x แทน ผลรวมทง้ั หมดของความถี่ คูณ คะแนน
n แทน ผลรวมท้ังหมดของความถซี่ ึ่งมีคา เทา กบั จํานวนขอมลู ท้ังหมด
2. หาคารอ ยละ (Percentage) ใชสูตรดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 104)
P = F 100
n
เม่ือ P แทน รอ ยละ
F แทน ความถที่ ี่ตอ งการแปลคาใหเ ปนรอ ยละ
n แทน จาํ นวนความถที่ งั้ หมด
3. หาคาสว นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
S = n x2 x 2
n(n 1)
เม่อื S แทน สว นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
n แทน จาํ นวนคทู ั้งหมด
X แทน คะแนนแตละตวั ในกลุมขอมูล
แทน ผลรวมของความแตกตา งของคะแนนแตละคู
x
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหขอมูล
การศึกษาวิจัย เร่ือง การศึกษางานวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการ
เขียนเว็บเพจดวยภาษา HTML โดยการเรียนรูรวมกันแบบเพื่อนชวยเพ่ือน (Peer Tutoring
Method) ของนักเรยี นระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 5 หอง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 โรงเรียน
ปลายพระยาวิทยาคม จังหวัดกระบี่ ผูว จิ ยั ไดน าํ เสนอผลการวิจยั ออกเปน 4 ตอน ดงั น้ี
ตอนท่ี 1 ขอ มลู ของกลุมตวั อยาง
ตอนท่ี 2 ขอมูลของเพ่อื นชว ยเพ่ือน
ตอนที่ 3 ผลการเรียนหลงั ใชการเรยี นแบบเพื่อนชว ยเพ่อื น
เปรยี บเทียบคะแนนสอบยอยครั้งท่ี 1 กับคะแนนสอบยอยคร้ังท่ี 2
ตอนท่ี 4 ความพึงพอใจของนกั เรยี นท่ีมตี อ การเรยี นแบบเพ่อื นชวยเพ่อื นในรายวชิ าการเขียน
เว็บเพจดว ยภาษา HTML
ตอนที่ 1 ขอมลู ของกลุม ตัวอยาง
ตารางที่ 4.1 รายชื่อนกั เรยี นทส่ี อบยอ ย ครั้งที่ 1 ไมผ าน
ลาํ ดับ ชอ่ื – นามสกุล ผลคะแนนสอบปฏบิ ตั ิยอย คร้งั ท่ี 1
4
1 นาย อภเิ ชษฐ จันสีนาค 3
4
2 นาย รัตนศักดิ์ เสมสุกรี 4
5
3 นาย สาโรจน ขวญั สง 5
4
4 นาย ศุภสนิ จันทรไหม 4
4.13
5 นาย อดิศักด์ิ อทุ ัยแจม 0.64
6 นางสาว สพุ ชิ ญา ขอ ยี่แซ
7 นางสาว ณัฐชา มาลาทอง
8 นางสาว ปานไพลนิ รอดรักษ
คะแนนเฉลย่ี (Mean)
สว นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
จากกลุมประชากรเปา หมาย คือ นักเรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 หอง 1 ท่ีเรียนวิชาการ
เขยี นเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML ในภาคเรยี นที่ 2 ปการศกึ ษา 2561 จํานวน 17 คน ผวู ิจยั ไดท าํ การ
สุม ตวั อยางอยางงา ยจากประชากรเปาหมายทัง้ หมดดว ยการเลอื กจากนกั เรียนทมี่ ีคะแนนสอบยอ ย
15
ครั้งท่ี 1 นอยกวา 6 คะแนน (จากคะแนนเตม็ 10 คะแนน) หรอื สอบไมผ า นไดก ลมุ ตวั อยางทงั้ ส้นิ 8
คน ดงั แสดงในตารางท่ี 4.1
ตอนท่ี 2 ขอมลู ของเพ่อื นชว ยเพอื่ น
ในการวิจัยคร้ังน้ี ผูวิจัยใชการเรียนแบบเพื่อนชว ยเพื่อน โดยใหกลุมตัวอยางหาเพ่ือนทมี่ ีผล
คะแนนสอบครงั้ ท่ี 1 มากกวา 6 คะแนน มาจบั คูเพื่อชวยสอน อธิบาย ติว และเขาปรึกษากับอาจารย
ตลอดภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 พบวาคะแนนเฉลี่ยของการสอบยอยคร้ังท่ี 1 ของเพื่อนชวย
เพื่อนของกลุมตัวอยางมีคาเฉล่ียเทากับ 7.11 คาเบี่ยงเบนมาตรฐานเทากับ 0.60 ซ่ึงกลุมตัวอยางมี
ทั้งหมด 17 คน จึงมีจํานวน 1 คู ทตี่ องจับกันในกลุมเพ่ือน 2 คน กลุมตวั อยาง 1 คน ดังแสดงใน
ตารางท่ี 4.2
ตารางที่ 4.2 การจับคูข องกลมุ ตวั อยา งและเพื่อน
ลาํ ดับ กลุม ตวั อยาง ชอ่ื เพื่อน ผลคะแนนสอบยอ ย
(กลมุ คะแนนสูงกวา 5 คแนน) ครง้ั ที่ 1 (ของเพือ่ น)
1 นาย อภิเชษฐ จนั สนี าค นางสาวเบญจมาภรณ ถมทอง
7
2 นาย รตั นศกั ดิ์ เสมสกุ รี นางสาวเกษณี สง ศรี
นายกอบชยั ผานุกลู 7
3 นาย สาโรจน ขวัญสง นางสาวปารชิ าติ มัธยัสถ 6
4 นาย ศภุ สิน จนั ทรไหม 7
5 นาย อดศิ กั ด์ิ อุทัยแจม นางสาวเบญจวรรณ จินพล
6 นางสาว สุพชิ ญา ขอ ย่แี ซ นางสาวอาทติ ยา บัวบรรจง 7
7 นางสาว ณฐั ชา มาลาทอง นางสาวกญั ญารัตน ชว ยหงษ 8
8 นางสาว ปานไพลิน รอดรกั ษ นายสุรเดช บุญคงทอง 8
คะแนนเฉลย่ี (Mean) 7
สว นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) นายชัยนุวัฒน สุขขงั
7
7.11
0.60
ตอนท่ี 3 ผลการเรยี นหลงั ใชการเรียนแบบเพื่อนชว ยเพ่อื น
เปรียบเทียบคะแนนสอบยอยครั้งที่ 1 กับคะแนนสอบยอยคร้ังท่ี 2 ผูวิจัยจะทําการ
เปรียบเทียบผลการเรยี นของกลุมตวั อยางภายหลังการเรยี นแบบเพ่ือนชวยเพ่ือน โดยการเปรียบเทียบ
ผลคะแนนของการสอบยอยครงั้ ท่ี 2 คือ หลงั จากจับคตู วิ กบั เพ่ือน กับผลคะแนนการสอบยอ ยคร้งั ท่ี 1
วาหลังการเรียนแบบเพื่อนชวยเพ่ือนทําใหผลการเรียนของนักเรียนกลุมตัวอยางเปลี่ยนแปลงไปใน
ทิศทางที่ดีขึ้น โดยพบวามีนักเรียนจํานวน 8 คน หรือคิดเปนรอยละ 47.06 ของกลุมตัวอยางได
คะแนนสอบสูงข้นึ
16
ตารางท่ี 4.3 เปรียบเทียบคะแนนสอบยอ ยคร้งั ที่ 1 กบั ครั้งที่ 2
ลาํ ดับ ชอื่ – นามสกลุ คะแนน คะแนน การเปลย่ี นแปลง รอ ยละ
คร้งั ท่ี 1 ครั้งที่ 2 การเปลี่ยนแปลง
1 นาย อภิเชษฐ จันสนี าค เพิ่มขึ้น
4 7 เพ่ิมข้ึน ของคะแนน
2 นาย รตั นศกั ด์ิ เสมสุกรี 3 7 เพิม่ ขนึ้ เตม็ 10 คะแนน
7 9 เพิ่มขน้ึ
3 นาย ชัยนุวฒั น สขุ ขัง 4 8 เพ่ิมข้นึ 30
7 8 เพม่ิ ขึ้น 40
4 นาย สาโรจน ขวัญสง 4 6 เพม่ิ ข้นึ
5 7 เพมิ่ ขนึ้ 20
5 นาย สรุ เดช บุญคงทอง 6 8 เพม่ิ ข้ึน 40
8 8 เพิ่มขึ้น
6 นาย ศุภสนิ จันทรไ หม 7 8 เพ่มิ ข้นึ 10
5 7 เพม่ิ ขน้ึ 20
7 นาย อดศิ กั ด์ิ อุทยั แจม 4 6 เพ่ิมข้นึ
7 8 เพม่ิ ข้นึ 20
8 นาย กอบชัย ผานกุ ูล 8 9 เพ่ิมข้ึน 20
4 7 เพมิ่ ข้นึ 0
9 นางสาว อาทติ ยา บัวบรรจง 7 8 เพม่ิ ข้ึน
7 7 เพิ่มขนึ้ 10
10 นางสาว เบญจมาภรณ ถมทอง 5.71 7.53 ลดลง 20
1.65 0.87
11 นางสาว สุพชิ ญา ขอยี่แซ 20
10
12 นางสาว ณัฐชา มาลาทอง 10
30
13 นางสาว เกษณี สง ศรี
10
14 นางสาว กญั ญารตั น ชวยหงษ 0
18.24
15 นางสาว ปานไพลิน รอดรกั ษ
11.85
16 นางสาว เบญจวรรณ จินพล
17 นางสาว ปาริชาติ มธั ยัสถ
คะแนนเฉลี่ย (Mean)
สว นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
จากตาราง 4.3 พบวามีนักเรียนจํานวน 17 คน จากกลุมตัวอยาง คิดเปนรอยละ 100 มีผล
คะแนนสอบดขี ึ้น สามารถสอบผา นการสอบยอ ยครัง้ ที่ 2 ไดทุกคน
17
ตอนท่ี 4 ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมตี อ การเรียนแบบเพื่อนชวยเพือ่ น
ในรายวิชาการเขียนเว็บเพจดวยภาษา HTML
ตารางที่ 4.4 แสดงความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ีตอการเรียนแบบเพ่ือนชวยเพอ่ื น
ในรายวิชาการเขยี นเว็บเพจดว ยภาษา HTML
ท่ี รายการ ระดับความพงึ พอใจ ( รอยละ )
คา เฉลี่ย S.D. ระดบั ความพงึ พอใจ
1 เกดิ ความชว ยเหลือซ่งึ กนั และกนั 4.15 0.33 มาก
2 สง ชิ้นงานไดอยา งมคี ุณภาพ 3.85 0.72 มาก
3 ทาํ ใหน ักเรยี นเขาใจเน้ือหา และฝก ปฏบิ ัติไดมากขึ้น 3.55 0.95 มาก
4 สง เสรมิ การคิดวิเคราะห และการตัดสินใจ 3.65 0.77 มาก
5 สงเสรมิ ใหนักเรยี นไดแ ลกเปลี่ยนความรู 3.55 0.81 มาก
ความคดิ การเรยี นรรู วมกัน
รวม 3.75 1.68 มาก
หมายเหตุ
1.00 - 1.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยใู นระดับ นอยทสี่ ุด
1.50 - 2.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยใู นระดบั นอย
2.50 - 3.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยใู นระดบั ปานกลาง
3.50 - 4.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยูในระดบั มาก
4.50 - 5.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยูในระดบั มากทสี่ ุด
จากตารางท่ี 4.4 จะเห็นไดวานักเรียนมีความพึงพอใจตอตอการเรียนในรูปแบบเพื่อนชวย
เพ่ือน รายวิชาการเขียนเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML โดยภาพรวมอยูในระดับ มาก และเม่ือแยกเปนราย
ขอ พบวา นักเรียนมีความพึงพอใจจากมากไปนอ ย คือ เกิดความชวยเหลือซึ่งกันและกัน สงชิ้นงานได
อยางมคี ณุ ภาพ สง เสริมการคิด วิเคราะห และการตัดสินใจ อีกท้ังทําใหนักเรียนเขาใจเนื้อหาและฝก
ปฏิบัตไิ ดมากขน้ึ และสง เสรมิ ใหน กั เรียนไดแ ลกเปล่ยี นความรู ความคิด การเรยี นรรู วมกนั ตามลําดับ
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย อภปิ รายผล และขอเสนอแนะ
การวิจัย เรื่อง การศึกษางานวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น วิชาการเขียน
เว็บเพจดวยภาษา HTML โดยการเรียนรูรวมกันแบบเพอ่ื นชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method)
ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5 หอง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 โรงเรียน
ปลายพระยาวิทยาคม จังหวัดกระบี่ มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนที่เอื้อตอการเรียนรู
ความเขาใจของนักเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนการเรียนและหลังการเรียนแบบ
เพ่อื นชวยเพอ่ื นของกลุม ตวั อยา ง และศึกษาความพึงพอใจตอ การเรยี นแบบเพื่อนชว ยเพ่อื น
5.1 สรปุ ผลการวิจัย
1. เพอื่ พฒั นารปู แบบการเรียนที่เอื้อตอ การเรียนรู ความเขา ใจของนกั เรียน พบวา กลวิธีการ
เรียนรูแบบเพ่ือนชวยเพื่อน “การสอนโดยการจับคู (One-to-One Tutoring)” โดยใหนักเรียนที่มี
คะแนนสอบยอยคร้ังที่ 1 มากกวา 5 คะแนน (ผูท่ีมีความสามารถทางการเรียนสูงกวา) จับคูกับ
นักเรียนกลุมตัวอยาง ทาํ หนาท่ีชวยสอน และเขาพบปรึกษาอาจารยผูสอนรวมกัน สงผลใหนักเรียน
กลมุ ตัวอยางทมี่ ีความสามารถทางการเรียนต่ํา เขา ใจเน้ือหา และสามารถทําขอสอบไดด ีข้นึ
2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนและหลังการเรียนรูแบบเพ่ือนชวยเพื่อน
พบวา รอยละ 100 ของกลุมตัวอยางมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนแบบเพื่อนชวยเพ่ือนสูงกวา
กอ นการเรียนแบบเพอื่ นชวยเพื่อน (เปรียบเทียบจากคะแนนสอบยอยครั้งที่ 1 กับคะแนนสอบยอย
คร้ังท่ี 2) พบวา คาเฉล่ียมีคาเพมิ่ ข้ึนจากคะแนนสอบยอยคร้ังที่ 1 เทากับ 1.82 ของกลุมตัวอยางมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนแบบเพอ่ื นชว ยเพอื่ นสูงกวา กอ นการเรยี น
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจท่ีมีตอการเรียนในรูปแบบการเรียนแบบเพื่อนชวยเพื่อน พบวา
นกั เรียนมีความพึงพอใจตอการเรียนแบบเพื่อนชวยเพ่ือนอยูในระดับมาก และเมื่อแยกเปนรายขอ
พบวา นักเรียนมีความพึงพอใจจากมากไปนอย คือ เกิดความชวยเหลือซ่ึงกันและกัน สงชิ้นงานได
อยางมีคุณภาพ สงเสริมการคดิ วิเคราะห และการตัดสินใจ อีกท้ังทําใหนักเรียนเขาใจเน้ือหาและฝก
ปฏบิ ัตไิ ดมากข้ึนและสง เสรมิ ใหนักเรยี นไดแลกเปลย่ี นความรู ความคิด การเรยี นรูรวมกนั ตามลาํ ดบั
5.2 อภปิ รายผล
จากผลการวิจัย พบวา นักเรียนระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 5 หอง 1 จํานวน 17 คน สามารถ
สรา งเวบ็ เพจดว ยภาษา HTML ในระดบั ขน้ั พ้นื ฐานได โดยจากเดมิ อาจไมสามารถเขียนหรือจํารูปแบบ
ของคาํ ส่ังไดแ ละเม่ือผานการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพอื่ น การทาํ แบบฝกปฏิบัติ นักเรียนสามารถสราง
เว็บเพจดวยภาษา HTML ได ซ่ึงสอดคลองกับสมมติฐานท่ีตั้งไว และยังสอดคลองกับงานวิจัยของ
อนสุ รา พงคจนั ตา (2558) ซ่งึ ไดศึกษาเกี่ยวกับการเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเคมีท่ัวไปโดย
การเรียนการสอนแบบเพ่ือนชวยเพ่ือนของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร มีวัตถปุ ระสงคเ พ่ือ
ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเคมีทั่วไปในนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตรโ ดยวิธีการ
เรยี นการสอนแบบเพ่ือนชว ยเพ่ือนและเพื่อศกึ ษาสภาพในการใหและรบั คําปรกึ ษาของนักศึกษาทีผ่ าน
19
การเรียนการสอนแบบเพือ่ นชว ยเพือ่ น โดยกลมุ ตวั อยา งที่ใชเปน นกั ศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร
ช้ันปที่ 1 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาเคมีทั่วไปในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2556 จํานวน 14 คน
เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวมขอมลู คือแบบประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิเคราะหขอมูลโดย
การหาคาเฉล่ียสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานและคาสถิติ Pearson correlation ผลการศึกษาพบวา
นักศึกษากลุมเปาหมายที่ผานการเรียนการสอนแบบเพื่อนชวยเพื่อนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน
รายวิชาเคมีทั่วไป คิดเปนรอยละ 85.71 และจากการศึกษาคร้ังน้ีพบวาเนื้อหาสวนใหญที่นักศึกษา
ขอรับคาํ ปรึกษาจะเปนหัวขอท่ีมีเนื้อหาคอนขางยากและเนื้อหาเยอะ และจากการศกึ ษาครั้งน้ีพบวา
จาํ นวนคร้ังของการขอรบั คําปรกึ ษากับมีความสมั พันธกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเคมีท่ัวไป
และงานวิจัยของสันติ วงษพันธุ (2557) ศกึ ษาการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชวิธีการเรยี น
การสอนแบบเพื่อนชวยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 2/1 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุริ พบวา
นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนผานเกณฑทก่ี ําหนดทุกคน และกิจกรรมกลมุ ทําใหเกิดบรรยากาศที่
ดี ชว ยใหนักเรยี นมีความกระตือรือรน สนใจ ต้งั ใจ และมคี วามรับผดิ ชอบมากขึ้น อีกท้ังชวยกระตนุ ให
นกั เรียนมีความกระตือรือรนอยูตลอดเวลา ชวยสรางความสามัคคี รูจักแกปญหารวมกัน ทั้งน้ี อาจ
เปนเพราะนักเรยี นตองการแรงกระตนุ เพือ่ นรว มคดิ เพอื่ นท่ีสามารถชวยเหลือได
5.3 ขอเสนอแนะ
ขอเสนอแนะในการนําผลการวจิ ยั ไปใช
จากการเปรยี บเทียบผลการสอบของนักเรยี นเพ่ือที่จะสามารถทําใหนักเรียนไดเกิด
ทกั ษะ ประสบการณ และความเขา ใจในเนื้อหาของบทเรียนใหมากท่ีสุดเพ่ือจะไดไมเ ปนการสูญเปลา
ทางการศกึ ษานักเรียนสามารถปฏบิ ัติสรางเว็บเพจดว ยภาษา HTML ได และใหนักเรียนไดฝกเขียน
โปรแกรมซํ้า ๆ จนกวาจะเกิดความชํานาญและนําไปเปนพื้นฐานของการเขียนเว็บเพจดานตาง ๆ
ประยกุ ตใ ชใหเกิดประโยชนอ ยางเต็มที่
ขอ เสนอแนะ/ขอคดิ เห็นในการศึกษาคนควาตอ ไป
ควรมีการศึกษาการใชการเรียนรูแบบเพื่อนชวยเพื่อนวิธีอื่น ๆ หรือการเรียนแบบมีสวน
รวมแบบตาง ๆ เพ่ือนํามาเปรียบเทียบวาวิธีใดจะเหมาะสมกับการเรียนการสอนมากที่สุด และนํามาใช
ปรบั ปรงุ การเรียนการสอนในครงั้ ตอ ๆ ไป
บรรณานุกรม
การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและความสามารถในการทาํ งานรวมกบั ผอู ืน่ ของนกั ศกึ ษา
สาขาวิชาอตุ สาหกรรมทอ งเท่ยี ว รายวชิ าการตลาดเพ่ืออตุ สาหกรรมทองเทีย่ ว สาขาวชิ า
อุตสาหกรรมทองเที่ยวคณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏลาํ ปาง.วิจยั ในช้นั เรยี น
ฉัตรชยั ไชยวฒุ ิ. (2552). การใชก ระบวนการนเิ ทศแบบเพือ่ นชว ยเพอ่ื นในโรงเรียนอนุบาลสภาพร.
การคน ควา แบบอิสระ ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
ชีวัน บญุ ตนั๋ . (2546). การใชก ลวิธีการเรียนแบบเพ่ือนชว ยเพอ่ื นเพ่อื เพ่มิ พูนความเขาใจในการ
อา นภาษาอังกฤษ และการมองเหน็ คณุ คา ในตนเองของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4.
วิทยานิพนธ ศึกษาศาสตมหาบณั ฑติ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.
ประนอม ดอนแกว . (2550). การใชก ลวิธีการเรียนรูแบบเพอ่ื นชวยเพ่ือนเพอื่ พฒั นาทกั ษะการ
เคล่อื นไหวทางกาย ในการ เลนวอลเลย บ อล ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 1
โรงเรียนเวียงมอกวทิ ยา. การคน ควา แบบอิสระ ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑติ วทิ ยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรและทกั ษะการ คิด
เลขในใจของนกั เรยี นทไี่ ดร ับการสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใชแบบฝกหัดที่เนน ทักษะการ
คดิ เลขในใจกบั นกั เรียนท่ไี ดร บั การสอนโดยใชค ูมือครู. วทิ ยานพิ นธ ค.ม.(หลกั สตู ร และการ
สอน). พระนครศรีอยุธยา : บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรอี ยุธยา.
ถายเอกสาร.
เพอ่ื นชวยเพ่ือน.สบื คน ออนไลน วนั ท่ี 25 มกราคม 2562 สามารถเขาถงึ ไดจ าก
http://beer-bussaba.blogspot.com/2011/05/peer-assisted-learning.html
พมิ พันธ เตชะคุปต. (2548). การเรียนการสอนท่เี นนผเู รยี นเปนศูนยก ลาง. กรุงเทพฯ :
เดอะมาสเตอรกรปุ แบเนจเม็นท.
สมพร เชื้อพนั ธ. (2547). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนคณติ ศาสตรข อง
นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปท ี3่ โดยใชวิธีการจดั การเรียนการสอนแบบสรา งองค
ความรูด วยตนเองกบั การจัดการเรียนการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ ค.ม.
(หลักสูตรและการสอน).พระนครศรีอยธุ ยา : บัณฑติ วิทยาลยั สถาบันราชภัฏ
พระนครศรอี ยุธยา. ถายเอกสาร
สันติ วงษพ นั ธุ. (2557) . การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นโดยใชวธิ กี ารเรียนการสอนแบบ
เพ่อื นชวยเพือ่ นของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 2/1 โรงเรียนอสั สัมชญั ธนบุริ.
อนุสรา พงคจันตา. (2558). การเพ่ิมผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวชิ าเคมที ่ัวไปโดยการเรียนการ
สอนแบบเพอื่ นชว ยเพื่อนของนกั ศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร.
สาํ นักวชิ าวทิ ยาศาสตรสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
อรทยั จนิ ดาไตรรตั น. (2548). บทบาทของกลุมเพ่อื นชว ยเพ่ือนในการชวยเหลือผตู ิดเชือ้ เอชไอวี
ใหม วี ินยั ในการรักษาดว ยยาตา นไวรสั เอชไอวี. การคนควาแบบอสิ ระ
สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.
21
บรรณานุกรม (ตอ)
อัจฉรา บญุ กลน่ิ . (2551). การใหคาํ ปรึกษาแบบเพอื่ นชวยเพอื่ นเพ่ือเพิม่ การควบคุมตนเองของ
ผูหญงิ ทมี่ ีนาํ้ หนกั เกนิ . การคน ควา แบบอิสระ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑติ วทิ ยาลยั
มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
อรศริ ิ เลิศกติ ติสขุ และดวงกมล ลมิ โกมทุ . (2552). การสอนแบบเพื่อนชว ยเพ่อื น.
สามารถเขา ถงึ ไดจ าก http://www.thaigoodview.com/node/42182.
ออนไลน วันที่ 13 เมษายน 2554.
Vicharn Panich. เทคนิค “เพื่อนชว ยเพื่อน”. สามารถเขาถงึ ไดจ าก
http://gotoknow.org/blog/thaikm/2415.
ออนไลน วันท่ี 13 เมษายน 2554.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
แบบบันทึกการเขาพบปรึกษาอาจารยผูสอน
24
ภาคผนวก ข
แบบทดสอบ
26
แบบทดสอบ
ชุดที่ 1
1. ขอใดคอื โปรแกรมทใ่ี ชใ นการสรางเว็บเพจ
ก. Notepad ข. Web Page Marker
ค. Internet Explorer ง.ขอ ข และ ค ถกู ตอง
2. โปรแกรมเวบ็ บราวเซอร (Web Browser) คือขอใด
ก. โปรแกรมที่ใชเชอื่ มตออนิ เทอรเ น็ต
ข. โปรแกรมทใี่ ชเ ปด อินเทอรเน็ต
ค. โปรแกรมทใี่ ชเปดดูเว็บ
ง. โปรแกรมท่ีใชสรา งเวบ็
3. ขอ ใดคอื เว็บเพจ
ก. เน้ือหารายละเอียดของเวบ็
ข. หนาหนงึ่ ๆ ของเว็บไซต
ค. หนา หลกั ของเวบ็ ไซต
ง. สวนท่ีเชอื่ มโยงหากัน
4. ขอใดคอื เว็บไซต
ก.หนา เวบ็ เพจหลายๆ หนา เชอ่ื มโยงกนั ผา นไฮเปอรล งิ ก
ข. สงิ่ ที่เราเรยี กดูผานโปรแกรมเว็บเบราวเซอร
ค. ขอมูลที่ถูกจดั เกบ็ ไวใ นเวิลดไวดเ วบ็
ง. www.facebook.com
5.http://www.abobe.com/support/techdocs/328576.html สวนทีข่ ดี เสนใตใ น URL คอื ขอใด?
ก. host name ข. สวนระบตุ ําแหนง
ค. content identifier ง. ช่ือไฟลข อมลู
6.ขอ ใดเปนประโยชนของเว็บเพจ ?
ก. นาํ เสนอขาวและเหตุการปจ จบุ นั
ข. นําเสนอขาวและเหตกุ ารณป จจบุ นั
ค. มีบริการสาํ หรบั ทําธุรกรรมการเงนิ ออนไลน
27
ง. ถูกทกุ ขอ
7.ขอ ใดคอื ขั้นตอนของ Web Hosting ?
ก. การออกแบบเวบ็ เพจ
ข. การเชือ่ มโยงระหวา งเวบ็ เพจ
ค. อัพโหลดเวบ็ ไซต ง. จองพ้ืนทเ่ี กบ็ ขอมลู เวบ็ ไซต
8. การเขียนโปรแกรมดว ยภาษา HTML นัน้ จะตอ งขึ้นตน และลงทายดวยคําสั่งในขอใด
ก.<html>… </html> ข. [title]… [/title]
ค.<begin>… </begin> ง. [head]…. [/head]
9. เอชทีเอม็ แอล ( HTML) คอื อะไร
ก. ภาษาคอมพวิ เตอรท ใ่ี ชส ําหรบั ควบคุมการแสดงเอกสารบนระบบเครอื ขา ยอนิ เทอรเน็ต
ข. วิธีการเช่ือมโยงขอมลู ระหวางเคร่ืองคอมพวิ เตอรบนระบบเครอื ขายอนิ เทอรเนต็
ค. เคร่ืองคอมพิวเตอรทที่ ําหนาที่ใหบรกิ ารเอกสารเวบ็ บนระบบเครือขายอนิ เทอรเ นต็
ง. ระบบปฏิบัติการท่ีนยิ มใชบนเครื่องคอมพวิ เตอรแมขายของระบบเครือขา ยอินเทอรเ น็ต
10. โดยทัว่ ไปแลวแฟมขอ มูลทเี่ ปนหนา แรกของเวบ็ เพจ จะมชี อ่ื แฟมขอมูลตรงกับขอใด
ก. index.html ข. menu.html
ค. page1.html ง. first.html
28
แบบทดสอบ
ชุดท่ี 2
29
ภาคผนวก ค
แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตอการเรียนในรูปแบบการเรียนรูรวมกนั
แบบเพื่อนชวยเพื่อน (Peer Tutoring Method)
31
แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอการเรียนในรูปแบบการเรียนรูรวมกนั
แบบเพ่ือนชวยเพ่ือน (Peer Tutoring Method)
คําช้ีแจง ใหทําเครือ่ งหมาย ใหต รงกบั ความคิดเห็นของนกั เรยี น
ระดบั 5 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจอยูใ นระดบั มากทีส่ ุด
ระดบั 4 หมายถึง นักเรยี นมีความพึงพอใจอยูใ นระดบั มาก
ระดบั 3 หมายถงึ นักเรียนมีความพึงพอใจอยใู นระดับปานกลาง
ระดบั 2 หมายถงึ นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจอยูในระดับนอ ย
ระดบั 1 หมายถงึ นกั เรียนมีความพึงพอใจอยใู นระดบั นอ ยที่สุด
ขอ ที่ รายการ ระดบั ความพงึ พอใจ
54 3 2 1
1 เกิดความชวยเหลอื ซง่ึ กันและกัน
2 สงชิ้นงานไดอ ยางมคี ุณภาพ
3 ทาํ ใหนักเรยี นเขา ใจเนอื้ หา และฝก ปฏิบตั ไิ ดมากข้ึน
4 สง เสรมิ การคดิ วิเคราะห และการตัดสนิ ใจ
5 สง เสริมใหน ักเรยี นไดแลกเปลี่ยนความรู
ความคดิ การเรยี นรรู ว มกนั
ขอเสนอแนะเพมิ่ เติม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………