The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ms.Achipha Yeesarn, 2024-03-13 11:48:06

วิจัยในชั้นเรียน2.66

วิจัย2.66

การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียน ภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่1 สาขาวิชาการบัญชีห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี โดย นางสาวอชิภา ยี่สาร ตำแหน่ง ครู แผนกสามัญสัมพันธ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


ชื่อวิจัย : การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียน ภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ผู้วิจัย : นางสาวอชิภา ยี่สาร หน่วยงาน : วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ปีการศึกษา : 2566 บทคัดย่อ การวิจัยเรื่องการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียน ภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรีเพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านการ ฟังภาษาอังกฤษ งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษ 2 ) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 3 ) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดย ใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อจำแนกวิเคราะห์ และศึกษาผลการใช้แอปพลิเคชันของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชีห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี19 คน โดยใช้ สถิติการหาค่าเฉลี่ย ( x̄) และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1.) สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ได้เป็นอย่างดี แอปพลิเคชั่นที่ถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนาทักษะด้านการฟังภาษาอังกฤษของนักศึกษาภายใน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรีมากที่สุด คือ Youtube www. Audioenglish.org นักศึกษาส่วนใหญ่ให้เหตุผล ว่าแอปพลิเคชั่นดังกล่าวมีสื่อการสอนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลงสากล หรือติดตามรายการ สอนภาษาจากยูทูปเบอร์ชื่อดังที่มีมากมายหลากหลายให้เลือกชม ทำให้เกิดความเพลิดเพลินและไม่เกิดความ น่าเบื่อหน่ายที่จะเรียนรู้ รองลงมา คือ แอปพลิเคชั่น BBC Learning English โดยนักศึกษาให้เหตุผลในการ เลือกใช้แอปพลิเคชั่นดังกล่าวว่าเป็นการใช้เพื่อการฝึกฟังสำเนียงและการออกเสียงสำเนียงที่ถูกต้อง 2.) จาก การศึกษาประสิทธิภาพของการใช้สื่อที่สร้าง E1/E2 = 75 พบว่านักศึกษามีคะแนนรวมระหว่างเรียน(E1)เฉลี่ย ในระดับดี (x̄ = 79.21) และนักศึกษามีคะแนนสอบหลังเรียน Posttest (E2) เฉลี่ย ในระดับดี (x̄ =82.63 ) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก (x̄ =4.61, S.D. = 0.11) คำสำคัญ: เทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะการฟัง และการสอนภาษาอังกฤษ


Abstract This research is entitled on the use of digital media technology to improve English listening skills as a guideline to increase learning efficiency and develop English listening skills. The objectives of this research were 1) to use digital technology media to improve English listening skills 2) to study the effectiveness of digital technology media 3) to study the satisfaction of learning using digital technology media for analyzing and for studying the results of using applications of 1st-year vocational certificate students in Accounting, Phetchaburi Vocational College, 19 students. Statistics for finding the mean (x̄) and finding the standard deviation (S.D.). The results showed that 1.) Digital technology media can be used to learn and develop English language skills as well. The most used application for improving English listening skills among students at Phetchaburi Vocational College was YouTube, Such applications, there is a variety of teaching materials which can be applied with the learning activities such as watching movies, listening to international music, or following language teaching programs from famous YouTube numbers, there are many choices to choose from them. YouTube materials can make learning fun and not be tedious to learn, The second most favorite was the BBC Learning English application, especially listening to the accent and pronunciation with the correct accent 2.) the study of the efficiency of using the generated media, E1/E2 = 75, it was found that the students had a good overall score during the course (E1) at a good level (x̄=79.21 ) and students had average scores after the Posttest (E2) at a good level (x̄=82.63 ) 3.) the average score of the overall satisfaction with learning using digital technology media was at a high level (x̄= 4.61 , SD = 0.11) Keywords: Digital Technology, Listening Skill, and Teaching English


สารบัญ บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ สารบัญ ข บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ขอบเขตการศึกษา นิยามศัพท์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3 ความหมายของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ความสำคัญของการอ่าน การสอนอ่าน ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 6 กรณีศึกษา ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูลและการดำเนินงานวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 9 บทที่5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 12 สรุป การอภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ บรรณานุกรม ภาคผนวก


บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันการศึกษาเริ่มเปลี่ยนไปเนื่องจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีการเรียนรู้ สารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนและครูเท่านั้น การสอนแบบเดิมอาจลดลง และการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นส่งผลให้มีกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง พัฒนาองค์ความรู้ใหม่จากองค์ความรู้ที่มีอยู่ ทำให้มีประโยชน์มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือเป็นยุคของ เทคโนโลยีสารสนเทศ โลกมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม นำไปสู่การปรับตัวให้ สามารถแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์(รมณียา, 2558) โลกกำลังก้าวล้ำเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ การพัฒนาด้านการศึกษารุดหน้าก้าวไกลตามเทคโนโลยีด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวม ขุมทรัพย์ทางปัญญาไว้อย่างมากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้เรียนขณะนี้ แอปพลิเคชั่นเพื่อการศึกษากำลังเข้ามามีบทบาทและความสำคัญในการเรียนการสอน การใช้สื่อสมัยใหม่ ใน การพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนและนักศึกษา การใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาสามารถใช้ประโยชน์และ สร้างคุณค่าทางการเรียนรู้ได้มากเนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน หรือแอนดรอยด์ เพราะมีความสะดวกสบาย พกพาง่าย เพียงแค่คุณมี โทรศัพท์มือถือ ทุกคนก็สามารถเข้าถึงภาษาอังกฤษได้เพียงแค่ปลายนิ้ว แอปพลิเคชั่นนับเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ในด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านสื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน การจัดการเรื่องภาษา การ จัดระบบทางด้านงานเอกสารการทำงาน และรวมถึงด้านอื่นๆอีกมากมายที่แอปพลิเคชั่นเหล่านี้เข้ามามีบทบาท ในวงการการศึกษาของเราทุกวันนี้ ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการจัด การศึกษาของชาติที่ได้กำหนดให้มีการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษทั้งทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน (อารีรักษ์ และ สิริพร, 2553) แต่กระนั้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษก็มีปัญหามาโดยตลอด ส่งผล ให้นักเรียนไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง (บุบผา, 2555) จนกระทั่งเข้าสู่การเรียน ภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของนักศึกษา อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน (Prapphal, 2001) ปัญหาของเด็กไทยไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนไทยหรือไม่อย่างไร แต่องค์ประกอบมีหลายสาเหตุด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่เรา เห็นได้ชัดที่เป็นรูปธรรม คือระบบการเรียนการสอนที่บ้านเราเน้นให้เด็กเรียนไวยากรณ์มากเกินไปและเรียน เพื่อแค่ให้สอบผ่าน เพราะหน้าที่ของภาษาคือ เพื่อการสื่อสาร จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ภาษา นักวิชาการด้านภาษาต่างยืนยันว่า ทักษะการฟังมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ภาษาอย่างมาก (Rost, 1990;Rubin,1994) และถือว่าเป็นทักษะทางภาษาที่มีความจำเป็นมากที่สุด แต่แสดงให้เห็นได้น้อยซึ่ง Doff


(2001,pp. 198-199) กล่าวว่า ทักษะการฟังเป็นทักษะที่เกิดขึ้นก่อน ทักษะการพูด หากไม่มีทักษะการฟัง บุคคลจะไม่สามารถพัฒนาทักษะการพูดได้ (รุ่งพนอ และ สุชาดา, 2560) ทักษะการฟังภาษาอังกฤษจึงเป็น ทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่จะนำไปสู่ทักษะการพูดการอ่านและการเขียนต่อไป (วาสนา และ ดร.สิทธิพล, 2012) ดังเช่นบทความของมณีรัตน์และอภิราดี ที่ได้กล่าวว่า ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นจุดเริ่มต้นแห่งทักษะการ เรียนรู้และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นจุดสำคัญในการเริ่มต้นการเรียนภาษา การฟังเป็นความสามารถของบุคคลที่จะ ทำความเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นพูด ทักษะการฟังมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะหากผู้ฟังมีทักษะการฟังที่ดีย่อม ส่งเสริมให้ทักษะการพูดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าได้รับการฝึกทักษะการฟังไม่เพียงพอจะมีผลทำให้ไม่ สามารถใช้ภาษาในการสนทนาได้ ดังนั้นควรจะใส่ใจในทักษะการฟังเพื่อให้การฟังประสบผลสำเร็จ (มณีรัตน์ และ อภิราดี, 2560) จากเหตุผลดังกล่าวสรุปได้ว่า เพื่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และให้ผู้เรียนเกิดทักษะฟังภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยซึ่งรับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้รายวิชา การเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 2 เห็นว่า การจัดการ เรียนรู้ด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะการฟังได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะ การฟังภาษาอังกฤษ ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้จะทำให้ ทราบแนวทางการสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลภาษาอังกฤษ และเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษต่อไป 2. คำถามการวิจัย วิธีการใดที่สามารถพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปวส.1 การบัญชี ห้อง 2ได้ 3. วัตถุประสงค์ 3.1 เพื่อใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษนักศึกษาชั้นปวส.1 การบัญชี ห้อง 2 3.2 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล E1/E2 = 75/75 3.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 4. สมมติฐาน (ถ้ามี) การสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในระดับดีมาก


5. กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม 6. ขอบเขตการวิจัย (ประชากร / กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา ระยะเวลา) 6.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล ปีการศึกษา2566 ชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ 1 แผนกวิชาการบัญชี ห้อง 2 จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบ เจาะจง 6.2 ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ วิธีการและกระบวนการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2. ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 6.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ดำเนินการในเดือน มกราคม พ.ศ.2566 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 6.4 เนื้อหาที่ทำวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลโดย แบ่งตามหัวข้อเรื่องดังนี้ 6.4.1 มีวิธีการและกระบวนการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 6.4.2 วิธีการสอนภาษาอังกฤษ 6.4.3 เนื้อหาที่ใช้ในการเรียน วิธีการและกระบวนการใช้ สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ


7. นิยามศัพท์เฉพาะ 7.1 สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล หมายถึง สื่อ youtube, www.audioenglish.org 7.2 ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถในการฟังเสียงและสำเนียงที่ถูกต้องของ คำ กลุ่มคำ หรือประโยค และเข้าใจตามสถานการณ์หรือบริบทที่กำหนด วัดได้จากการที่ผู้เรียนได้สื่อเทคโนโลยี ดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยนำมาใช้ 7.3 การสอนภาษาอังกฤษ หมายถึง การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการ ภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีหลายแนวคิด มีทั้งแนวคิดเกี่ยวกับการจัดหลักสูตร แนวคิดเกี่ยวกับแนวการสอน และ แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ แนวคิดทั้ง 3 นี้ มีส่วนช่วยครูผู้สอนในการตัดสินใจวางแผนจัดการเรียนการสอน การคัดเลือกกิจกรรมประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนเลือกสื่อการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูผู้สอน ที่จะต้องศึกษาทำความเข้าใจเพื่อช่วยให้ การสอนของตนเองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 8. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 8.1 สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียนในวิทยาลัย อาชีวศึกษาเพชรบุรีและสามารถทำให้ผู้เรียนมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษในระดับดีมาก 8.2 ผู้เรียนในวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรีมีทักษะในการฟังภาษาอังกฤษและสามารถพัฒนาตนเองให้ เกิดทักษะ และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาในการดำเนินการวิจัยเรื่อง การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและค้นคว้าข้อมูล พร้อมทั้งสืบค้นและรวบรวมสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1.1 ความหมายของเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1.2 ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1.3 ลักษณะของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1.4 สื่อดิจิทัลกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ 2.2 การพัฒนาทักษะการฟัง 2.2.1 ความหมายการพัฒนาทักษะการฟัง 2.2.2 แนวทางการพัฒนาทักษะการฟัง 2.2.3 ขั้นตอนในการพัฒนาทักษะการฟัง 2.3 การสอนภาษาอังกฤษ 2.3.1 ความหมายของการสอนภาษาอังกฤษ 2.3.2 วิธีการสอนภาษาอังกฤษ 2.3.3 การวัดและประเมินผลการสอนภาษาอังกฤษ 2.4. หลักสูตรรายวิชาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 2.4.1 จุดประสงค์ สมรรถนะและคำอธิบายรายวิชาการอ่านภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล 2.4.2 ความสำคัญของรายวิชาการอ่านภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล 2.4.3 หลักการสอนรายวิชาการอ่านภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลจำเป็นจะต้อง มีการสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการฟัง และมีเจตคติในการเรียนรู้ รายละเอียดของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มีดังนี้ 2.1.1 ความหมายของเทคโนโลยีดิจิทัล สำนักงานที่ดินกล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิทัล (DIGITAL TECHNOLOGY) หมายถึง การนำเทคโนโลยี ดิจิทัล มาใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์และเต็มศักยภาพในการพัฒนาสารสนเทศและนวัตกรรมด้านการพัฒนา


ให้กับผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ SMART LDD หมายถึง องค์การสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิด ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ดิน สำนักงาน ก.พ ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีดิจิทัลคือทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy หมายถึง ทักษะในการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการ สื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กร ให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลหมายถึงทักษะในการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ใน ปัจจุบันมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนา กระบวนการทำงานให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ 2.1.2 ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัล การติดต่อสื่อสารในยุคนี้มีความสะดวกรวดเร็วและเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว เรา สามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดการประยุกต์ในการใช้งานด้านต่างๆ เช่น การจองตั๋ว การซื้อสินค้า และการรับรู้ ข่าวสารผ่านทางเว็บไซด์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านทางอีเมล์ เป็นต้น ซึ่งทำให้เราได้รับความ สะดวกสบาย และประสบผลสำเร็จในงานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านอุตสาหกรรม เครื่องยนต์ และ เครื่องกลต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการดำเนินงานในด้านต่างๆเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานอักด้วย ในปัจจุบันไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรล้วนแล้วต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอาชีพ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้สื่อจากอินเตอร์เน็ตช่วยในเรื่องของการโปรโมทสินค้า การ ซื้อขายสินค้า และการบริการผ่านอินเตอร์เน็ตโดยลูกค้าได้รับความสะดวกสบายโดยไม่ต้องมาซื้อสินค้าที่บริษัท เอง นอกจากนี้นักเรียนและนักศึกษาเองก็มีความจะเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อในการเรียนการสอน และไปใช้ ในการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากตารางเรียน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนมากขึ้น สรุปได้ว่าประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลคือสามารถทำงานได้รวดเร็ว ลดข้อผิดพลาด และสร้างความ มั่นใจในการทำงานมากขึ้น สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ด้วยตัวเอง สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถระบุทางเลือกและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.1.3 ลักษณะของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล รูปแบบของสื่อดิจิทัล ประกอบด้วย 1. CD Training คือ การสร้าง สื่อดิจิทัลในลักษณะที่เป็น CD ที่ใช้ในการสอนการใช้งาน จะเป็น การสอนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น สอนการใช้โปรแกรมMicrosoft Word เป็นต้น นอกจากนั้น CD Training ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องการสอนการทำงานของโปรแกรมต่างๆ จะใช้เป็นการสาธิตการทำงานของ โปรแกรมเป็นต้น 2. CD Presentationคือ การสร้างเป็นสื่อดิจิทัลในลักษณะที่เป็น CD ที่ใช้สำหรับในการนำเสนอในสถานที่ ต่าง ๆ เช่น นำเสนอข้อมูลในที่ประชุม นำเสนอข้อมูลบริษัท ที่เรียกว่า Company Profile


3. VCD /DVD คือ การสร้างสื่อดิจิทัลในลักษณะที่เป็น CD ภาพยนตร์ ที่มีการตัดต่อภาพยนตร์ต่างๆ ใน ลักษณะที่เป็น Movie Clip แล้วนำมาจัดเรียงต่อกันเป็นภาพยนตร์ 1 เรื่อง เป็นต้น 4. E-book และ E-document คือ การสร้างสื่อดิจิทัลในลักษณะที่เป็น การทำเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง สามารถสร้างโดยการแปลงไฟล์เอกสารต่าง ๆ ให้เป็นWebpage หรือเป็น PDF File เป็นต้น สรุปได้ว่าลักษณะของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลคือ สื่อที่มีการนำเอาข้อความ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหวเสียง และ วิดีโอ เป็นต้น โดยอาศัยเทคโนโลยีความเจริญก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยให้ข้อมูลที่เป็นสื่อ ต่างๆ เหล่านั้นมาแปลงสภาพและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการใช้งาน 2.1.4 สื่อดิจิทัลกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยีสื่อดิจิทัลต่างๆมีความสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาที่มีบทบาทและ ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ข้อมูลต่างๆ และการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั่วโลก เทคโนโลยีทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น สนใจ ใส่ใจ ศึกษาภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น สื่อดิจิทัลที่ใช้ในการ เรียนรู้ภาษาอังกฤษเช่น บล็อก ทวิตเตอร์เว็บ แอพพลิเคชั่น ยูทูป ซึ่งการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยี สื่อดิจิทัลเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาและมีความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษที่จะสามารถนำไปใช้ใน การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ข้อมูลต่างๆได้ด้วยตนเองเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อนำไปดำรงชีพใน ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพการใช้งานเทคโนโลยีในปัจจุบันผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือ สื่อดิจิทัล และซอฟต์แวร์ มีบทบาทเป็นอย่างยิ่งในชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะมีความสำคัญต่อ การศึกษาเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนการสอนภาษา เป็นเครื่องมือในการ ฝึกฝนทักษะทางภาษาที่สำคัญของครูในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษของตนเอง เพื่อที่จะได้ต้นแบบของ การฝึกฝนทางแบบทางภาษาจากเจ้าของภาษาการพัฒนาเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะทางภาษา 2.2. การพัฒนาทักษะการฟัง การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้ศึกษาการพัฒนาทักษะ จากเอกสาร ตำรา ดังนี้ 2.2.1 ความหมายการพัฒนาทักษะ พรพิมล ริยาย และธนางกูร ขำศรี(2553) ทักษะการฟัง เป็นทักษะที่สำคัญที่สุด ที่จะ นำไปสู่ทักษะขั้น ต่อๆไป คือ การพูด การอ่านและการเขียน การฟังแยกออกเป็น 2 ระดับ คือระดับ เริ่มต้นจะเน้นในการฟังเสียง ให้นักเรียนจำเสียงได้และสามารถออกเสียงได้ถูกต้องรู้จักสังเกตและ จับได้ว่าเสียงต่างๆ มีความแตกต่างกัน อย่างไร ระดับที่ 2 เป็นการฟังประโยคและเรื่องราวเพื่อ ความเข้าใจ การฝึกทักษะการฟังจึงประกอบไปด้วย การฟังเสียง พยางค์ คำศัพท์ ประโยค การสนทนา และฟังเรื่องราวได้เข้าใจเป็นขั้นสุดท้าย สรุปได้ว่า การ พัฒนาทักษะ หมายถึง การรับรู้ความหมายจากเสียงที่ได้ยิน เป็นการรับสารทางหูการได้ยินเป็นการเริ่มต้นของ การฟังและเป็นเพียงการกระทบกันของเสียงกับประสาทตามปกติ จึงเป็นการใช้ความสามารถทางร่างกาย โดยตรง ส่วนการฟังเป็นกระบวนการทำงานของสมองอีกหลายขั้นตอนต่อเนื่องจากการได้ยินเป็นความสามารถ ที่จะได้รับรู้สิ่งที่ได้ยิน ตีความและจับความสิ่งที่รับรู้นั้นเข้าใจและจดจำไว้ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา ความสำคัญของการฟัง แผนภูมิอัตราส่วนของการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารแต่ละทักษะ


นพเก้า ณ พัทลุง (2562:22) ได้ให้ ความหมายของทักษะการฟัง หมายถึงความสามารถในการจับ ประเด็นใจความหลักจากสิ่งที่ฟังได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนซึ่งเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อน เพราะผู้เรียน ต้องเข้าใจสาระสำคัญจากสิ่งที่พูดอารมณ์และความคิดเห็นของผู้พูดและสามารถตอบสนองระบุความสัมพันธ์ ระหว่างผู้พูดหรือบริบทของการพูดได้ 2.2.2 แนวทางการพัฒนาทักษะ ควรมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังฟังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนและการทำงาน วิธีการพัฒนาทักษะ ฝึก เริ่มต้นจากการนั่งสมาธิให้ได้นานที่สุด โดยค่อยๆ เพิ่มเวลาจาก 5 นาที เป็น 10 นาทีและค่อยๆ เพิ่มจนถึง ระดับชั่วโมงในที่สุด ปกติคนเราจะมีสมาธิในการทำงานอยู่เพียงแค่ 15 นาที ก่อนที่จะหยุดคิดเรื่องอื่นเวลาใช้ เวลาอีกประมาณ 2 - 5 นาที ในการรวบรวมสมาธิกลับมา ดังนั้นการฝึกสมาธิจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เรา ตั้งใจฟังสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน สรุปได้ว่า แนวทางในการพัฒนา ฝึกสมาธิกับสิ่งที่ฟัง ฝึกทักษะจำเฉพาะหัวข้อเรื่องที่เขากำลังพูด ขั้นตอน ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหา จดจำเป็นประโยคสั้นที่สามารถขยายความเข้าใจออกมาโดยง่ายเพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว 2.2.3 ขั้นตอนในการพัฒนาทักษะ การฟังมีความสำคัญและจำเป็นในการดำเนินชีวิต การจะเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ได้หมายถึงการได้ยินชัดเจน และฟังจนจบเรื่อง เพราะนั่นเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการฟังเท่านั้น การเป็นผู้ฟังที่ดีจะต้องเข้าใจสิ่งที่ได้ยินซึ่ง ต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลายปัจจัยร่วมกัน (จุไรรัตน์ลักษณะศิริ และวีรวัฒน์ อินทรพร; ๒๕๕๖: ๑๐๘) ๑. สนใจฟัง การสนใจฟังข้อความหรือเรื่องราว การสนใจฟังข้อความหรือเรื่องราวทั้งในวงสนทนา การบรรยายหรืออื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อเราหวังที่จะเข้าใจหรือได้ประโยชน์จากเรื่องที่ฟัง การฟังแต่ ละครั้งจึงควรฝึกสมาธิให้จดจ่อกับเรื่องที่ฟัง พยายามมุ่งความสนใจไปในเรื่อง ที่กำลังฟัง โดยไม่มีเรื่องอื่น ๆมา รบกวนความคิด เพราะการปล่อยให้ความคิดเรื่องอื่นเข้ามาปะปนเรื่องที่กำลังฟัง ย่อมไม่ได้ประโยชน์ตามที่ กำหนดจุดมุ่งหมายไว้ ๒. ช่างสังเกต ขณะฟังควรสังเกต อวัจนภาษา ของผู้พูดเพราะการสื่อสารนั้นไม่ได้มีแต่วัจนภาษา เท่านั้น หากเป็นการฟังจากบุคคลโดยตรง เราควรสังเกตกิริยาท่าทาง สายตา สีหน้า น้ำเสียงของผู้พูด หรือถ้า เป็นการฟังโดยผ่านสื่ออื่น ๆ อาจต้องสังเกตการใช้เสียง เช่น เสียงหนัก เสียงเบา เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงแหลม เสียงตะโกน เสียงกระซิบเป็นต้น และการใช้น้ำเสียง เช่น น้ำสียงสดใส น้ำเสียงเกรี้ยวกราด น้ำเสียงท้อแท้ น้ำเสียงประชดประชัด เป็นต้น การสังเกต อวัจนภาษานี้จะช่วยให้เข้าใจความคิดและวัตถุประสงค์ของผู้พูดได้ ชัดเจนมากขึ้น ๓. เปิดใจกว้าง ผู้ฟังที่ดีควรเปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น โดยพยายามตัดอคติที่มีต่อผู้ พูดและเรื่องที่ฟัง แม้จะไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบ ก็ควรฟังให้จบเรื่องโดยยังคงความสนใจ ที่จะฟังไว้ให้ได้ด้วยการ พยายามวางใจเป็นกลาง และทำความเข้าใจความคิดของผู้พูดเพื่อนำมาพิจารณาแยกแยะภายหลัง การฟัง เรื่องราวทุกเรื่องด้วยใจเปิดกว้างเป็นการให้โอกาสตนเองได้เรียนรู้เรื่องราวที่หลากหลายทั้งที่รู้แล้วและยังไม่รู้ทั้ง ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพื่อจะได้พัฒนาตนเอง ในด้านการคิดพิจารณาด้วย


๔. หมั่นฝึกฝน พยายามฝึกฟังเรื่องให้หลากหลาย ไม่จำกัดประเภทและขอบเขตเนื้อหา เช่น บท สนทนา ข่าว บทความ ปาฐกถา การอภิปราย โต้วาทีนิทาน เรื่องเล่า เป็นต้น ในช่วงเริ่มต้นของการฝึกฝนอาจ เลือกฟังเรื่องสั้น ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความยาวของเรื่องขึ้น ขณะที่ฟังควรฟังด้วยความสนใจและตั้งใจ พยายามจดจำส่วนที่สำคัญ และทดสอบความเข้าใจเรื่องที่ฟังด้วยการนำส่วนสำคัญที่ จำไว้มาเล่าต่อ โดย สังเกตผู้ฟังเรื่องที่เราเล่าว่าเขาสามารถรับรู้และเข้าใจเรื่องที่เราเล่า ได้หรือไม่การฝึกฝนดังกล่าวนี้ควรหมั่นทำ อย่างต่อเนื่อง ทักษะการฟังจึงจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ๕. จดบันทึก เมื่อมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าต้องการได้ประโยชน์จากการฟัง โดยเฉพาะการฟังเพื่อ แสวงหาข้อมูลและความรู้ควรใช้หลักการคิดไปจดไป เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างสมาธิด้วยเหตุที่สมอง สายตา และมือทำงานประสานกันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อฟังแล้วควรคิดเรียบเรียงถ้อยคำ ให้กระชับแล้วจึงจด แบบสรุปเฉพาะส่วนที่สำคัญ เพื่อช่วยเตือนความจำ ไม่ควรฟังแล้วจดตาม ทุกคำพูด เพราะอาจจดไม่ทัน ด้วย เหตุที่อัตราการพูดย่อมเร็วกว่าการเขียน และเมื่อกลับมาอ่านก็ไม่เข้าใจ เนื่องจากข้อความที่จดไม่มี ความ ต่อเนื่อง และที่สำคัญคือไม่ได้คิดตามเรื่องที่ฟัง มุ่งมั่นแต่จะจด ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์จากการ ฟังตามที่คาดหวัง สรุปได้ว่า ขั้นตอนในการพัฒนาทักษะ การฟังเป็นทักษะที่ต้องฝึก เช่นเดียวกับการพูด การ อ่านและการเขียน ผู้เรียนบางคนคิดว่าการฟังนั้นเป็นทักษะที่ง่ายไม่จําเป็นต้องฝึกฝนก็สามารถฟังได้การฟังจะมี ประโยชน์อย่างยิ่งก็ต่อเมื่อผู้ฟังรู้จักฟัง สิ่งสําคัญที่สุดสําหรับการฟังคือ ผู้ฟังต้องมีความตั้งใจเพื่อจะฟังให้เข้าใจ และ สามารถโต้ตอบกับสิ่งที่ฟังได้ผู้สอนควรสอนทักษะการฟังให้แก่ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอและเน้นการฟังอย่าง หลากหลาย โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฟังเสียงของเจ้าของภาษาและสอนเสียงที่เป็นปัญหา รวมทั้งเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้ฝึกการฟังทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการครูผู้สอนต้องอธิบายเหตุผลหรือวัตถุประสงค์ในการ ฟังให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการฟังอย่างตั้งใจและประสบความสําเร็จในการฟัง สิ่งสําคัญเพื่อการฟังนั้น บรรลุวัตถุประสงค์การวัดและไม่เน้นการทดสอบ แต่ควรประเมินความสามารถในการฟังของผู้เรียนในแง่ของ การประสบความสําเร็จในการสื่อสาร 2.3 กระบวนการในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ กระบวนการฟังเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสื่อสาร เราจึงจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอน กระบวนการในการฟังให้เข้าใจ ดังที่นักการศึกษาหลายท่านได้เสนอกระบวนการในการฟังเพื่อความเข้าใจไว้ ดังนี้ Underwood (1989) เสนอกระบวนการฟังเพื่อความเข้าใจออกเป็น 3 ขั้นตอนได้แก่ 1. การหยั่งรู้ (perceptual) เป็นกระบวนการที่เสียงไปยังความจำเสียงก้องหูซึ่งเป็นส่วนที่รับรู้การได้ ยิน 2. กระบวนการในการตรวจสอบโครงสร้างของประโยค (Parsing) เป็นกระบวนการที่ข้อมูลอยู่ใน ความจำช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วกลั่นกรองข้อมูลให้อยู่ในความจำระยะยาว


3. กระบวนการใช้ให้เป็นประโยชน์ (Utilization) กระบวนการนี้ผู้ฟังได้สร้างข้อมูลหรือความหมาย จากการได้ยินและสามารถเก็บข้อมูลนี้ในความจำระยะยาวเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป Brownell (1996) ได้นิยามกระบวนการฟังเพื่อความเข้าใจออกเป็น 6 ขั้นตอนประกอบด้วย 1. การได้ยิน (hearing) กระบวนการนี้ผู้ฟังตั้งใจฟังสารจากผู้พูด แยะแยกเสียงที่ได้ยิน 2. ความเข้าใจ (understanding) เป็นขั้นตอนที่ผู้ฟังตีความสารที่ได้รับ 3. การจำ (remembering) ขั้นตอนนี้ผู้ฟังจดจำและนึกถึงข้อมูลหรือสารที่ได้รับ 4. การแปลความ (interpreting) กระบวนการนี้ผู้ฟังไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญของข้อมูลที่ได้ฟังจากผู้ พูด ผู้ฟังควรจะแปลความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย 5. การประเมินผล (evaluating) ขั้นตอนนี้ผู้ฟังวิเคราะห์ความหมายที่เหมาะสมให้แก่ผู้พูด Rost (2002) ได้ให้คำนิยามกระบวนการฟังเพื่อความเข้าใจไว้ 4 ขั้นตอน คือ 1. การฟังเป็นกระบวนการรับสารจากผู้พูด (Receptive orientation) 2. การสร้างและนำเสนอความหมาย (Constructive orientation) 3. การสื่อความหมายให้เข้าใจตรงกันกับผู้พูดและการโต้ตอบ (Collaborativeorientation) 4. ความหมายของการฟังเกี่ยวข้องกับจินตนาการ และความรู้สึก(Transformative orientation) Wilson (2008) ได้เสนอแนวคิดกระบวนการฟังเพื่อความเข้าใจว่า การฟังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ปัจจัยในการฟัง และเหตุผลในการสนทนาซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่น ผู้พูดต้องการขอบางสิ่งบางอย่างจากผู้ฟัง (Transactional) 2. การสนทนาเพื่อการสื่อสารระหว่างกัน (Interactional) จะเห็นได้ว่านักการศึกษาต่างก็ได้เสนอกระบวนการในการฟังเพื่อความเข้าใจสอดคล้องกันว่า กระบวนการแรก คือ ผู้ฟังรับสารจากผู้พูด จากนั้นแยกแยะเสียงที่เกิดขึ้น จดจำข้อมูลที่ได้รับ แปลความ และ นำข้อมูลหรือสารที่ได้รับมาตีความ วิเคราะห์ ประเมินค่า จากนั้นนำข้อมูลที่ผ่านกระบวนการฟังเพื่อความ เข้าใจแล้ว ส่งกลับไปยังผู้พูด สื่อความหมายให้เข้าใจ ชัดเจนถูกต้องและเหมาะสม 2.4 แนวทางในการสอนการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ การสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็นทักษะที่จำเป็นและสำคัญต่อการจัดกิจ กรรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ดังนั้น นักทฤษฎีการศึกษาได้เสนอแนวทางในการสอนการ ฟังเพื่อความเข้าใจไว้ ดังนี้ Young (1997) ได้เสนอแนวทางในการสอนการฟังเพื่อความเข้าใจออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1. การสรุปความจากบริบท ผู้เรียนเดาความหมายหรือหัวข้อจากบริบท 2. ระหว่างขั้นตอนการฟังผู้เรียนสามารถกระตุ้นความรู้ภูมิหลังของตนเองจากเนื้อหาของบริบท 3. จากนั้นผู้เรียนใช้การสรุปความเพื่อส่งเสริมการแปลความหมายของข้อความ 4. ขั้นตอนการรู้คิดของการควบคุมตนเองหรือการประเมินตนเองใช้ในการควบคุมความเข้าใจของ ผู้เรียนและประเมินขั้นตอนที่ผู้เรียนใช้ 5. ผลตอบรับต้องสัมพันธ์กับข้อความ


Rost (1991) ได้แบ่งขั้นตอนในการสอนการฟังเพื่อความเข้าใจออกเป็น 6 ประเภทได้แก่ 1. การทำนายข้อมูลหรือความคิดก่อนการฟัง 2. การวางแผนสรุปความของข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้นอยู่กับข้อมูลทีไม่สมบูรณ์และข้อมูลที่ไม่พอเพียง 3. ติดตามผลการฟังในระหว่างการฟังของแต่ละคน 4. ติดตามคำถามที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแปลความหมาย 5. เตรียมข้อมูลที่ตรงประเด็นหรือข้อคิดที่จะนำเสนอ 6. ประเมินผล ตรวจสอบความเข้าใจและปัญหาที่เกิดขึ้นและได้รับการแก้ไข Richards (1992) ได้เสนอขั้นตอนในการสอนการฟังเพื่อความเข้าใจไว้ 2 ขั้นตอนได้แก่ 1. ขั้นตอนการสอนจากล่างสู่บน (Bottom-up processing) เป็นขั้นตอนที่ผู้ฟังใช้ทักษะการฟังเพื่อ เข้าใจข้อความที่ได้ฟัง ผู้ฟังใช้ความรู้ภูมิหลังเกี่ยวกับคำศัพท์และรูปแบบโครงสร้างไวยากรณ์สำหรับ ตีความหมายทางภาษาศาสตร์ผู้ฟังจะเน้นไปที่ความหมายของคำหรือรูปแบบโครงสร้างไวยากรณ์เพื่อทำความ เข้าใจเนื้อหาที่ได้ฟังเท่านั้น 2. ขั้นตอนการสอนจากบนสู่ล่าง (Top-down processing) ขั้นตอนนี้ผู้ฟังต้องใช้ความรู้ภูมิหลังในการ ทำความเข้าใจความหมายจากบริบท ความรู้ภูมิหลังที่จำเป็น คือ เนื้อหาการใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร และคู่ สนทนา ผู้ฟังต้องทำความเข้าใจเนื้อหาโดยรวมจากบริบทแทนที่จะหาความหมายของคำอย่างเดียว สุมิตรา อังวัฒนกุล (2535) ได้เสนอแนะแนวทางในการสอนทักษะการฟังไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 คือการแจ้งให้ผู้เรียนได้ทราบจุดมุ่งหมายของการฝึกทักษะการฟังและการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจ ผู้สอนจะต้องแจ้งให้ผู้เรียนได้ทราบถึงจุดมุ่งหมายเฉพาะหรืองานที่ได้ทำหลังจากฟังแล้ว เช่น เมื่อ ฟังจบแล้วผู้เรียนจะต้องตอบคำถามหรือทำแผนภูมิเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ฟัง ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนได้ฟังข้อความหรือเรื่องราวที่ได้เตรียมไว้ เรื่องที่นักเรียนได้ฟังนั้นควรเป็นอัตราการ พูดปกติ และความถี่ในการฟังนั้นก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฟังซ้ำ ๆ ขั้นที่ 3 ให้ผู้เรียนลงมือทำกิจกรรมหลังการฟัง ขั้นที่ 4 ครูผู้สอนเฉลยคำตอบและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง พร้อมทั้งกล่าว ชมเชยงานของนักเรียนจากแนวทางการสอนการฟังเพื่อความเข้าใจของนักการศึกษาที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ขั้นตอนที่สำคัญ คือการฟังขึ้นอยู่ประสบการณ์ภูมิหลังของผู้เรียนและจากบริบทที่ผู้เรียนฟัง จากนั้น ผู้เรียนแปลความหมาย สรุปความ วิเคราะห์ความเข้าใจในเรื่องที่ฟัง และผู้สอนคอยติดตาม ช่วยเหลือ ประเมินผลผู้เรียนระหว่างการฟัง และสรุปความเข้าใจของผู้เรียนหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมการฟัง 2.5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับการสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษใน รายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ผู้วิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัยใน 2 ประเด็น คือ 1) การ สร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และ 2) การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ขอนำเสนอแต่ละประเด็นดังนี้


2.5.1 งานวิจัยเกี่ยวกับการการสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ณัฎฐพล คุปต์ธนโรจน์(2554) ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ตามแนวเรื่อง โดยใช้กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบท สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน สาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อ เปรียบเทียบความสามารถทางด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษและการใช้กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบท ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียน2060คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และเพื่อศึกษา ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1)ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีค่าเท่ากับ 81.40/ 79.43 ซึ่งถือ ว่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือ 75/75 2) ความสามารถทางด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษและการใช้กลวิธีการเดา ความหมายคำศัพท์จากบริบทของกลุ่มตัวอย่างสูงขึ้นหลังจากที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นที่ดีมากต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัย ที่สร้างขึ้น มยุเรศ ใยบัวเทศ (2558, น. 293-301) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการ เรียนรู้ภาษาตามกระบวนการแบบเมตาคอกนิทีฟเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า 1) ระดับความมีปัญหาในการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนปลายโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.55 ปัญหาการฟังที่นักเรียนมีอยู่ในระดับ มากสามอันดับแรก ได้แก่ ไม่รู้คำศัพท์ บทฟังมีความยาวมากและไม่มีสมาธิในการฟัง ตามลำดับ 2) รูปแบบการ เรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาตามกระบวนการแบบเมตาคอกนิทีฟเพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษา กระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟ เนื้อหา ปฏิสัมพันธ์ ทางการเรียนและระบบบริหารการเรียนรู้ และขั้นตอน 11 ขั้นตอน ได้แก่ (1) เตรียมความพร้อมของผู้เรียน(2) คาดการณ์ก่อนฟัง (3) แนะนำศัพท์ (4) ฟังและตรวจสอบด้วยตนเอง (5) ฟังและตรวจสอบการฟังกับเพื่อน (6) ฟังและตรวจสอบกับสคริปต์ (7) ฝึกทำแบบฝึกหัดการฟัง (8) ฝึกฝนด้วยตนเองตามผ่านคอมพิวเตอร์ช่วยการ เรียนรู้ภาษาตามกระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟ 8.0) ฝึกฝนด้วยตนเองตามอัธยาศัย 8.1) เตรียมความ พร้อมของผู้เรียน 8.2) คาดการณ์ก่อนฟัง 8.3) แนะนำศัพท์ 8.4) ฟังและ ตรวจสอบด้วยตนเอง 8.5) ฟังและ ตรวจสอบกับสคริปต์ 8.6) ฝึกทำแบบฝึกหัดการฟัง (9) สะท้อนคิด(10) ฟังตามอัธยาศัย (11) ทดสอบประจำ หน่วย (3) ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนที่เรียน ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาตามกระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟมี ค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการของความสามารในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจคิดเป็นร้อยละ 16.09 (4)


ผลการศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาในรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่ พัฒนาขึ้น พบว่าผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสูงได้รับประโยชน์สูงสุดจากคลิปวิดิทัศน์และคลิปเสียง ผู้เรียนระดับกลางได้รับประโยชน์สูงสุดจากบัตรคำออนไลน์ ผู้เรียนระดับต่ำได้รับประโยชน์ระดับมากจากคลิป วิดิทัศน์และบัตรคำออนไลน์ ผู้เรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสูงและระดับต่ำมีความถี่ในการใช้งานบัตรคำ ออนไลน์มาก ผู้เรียนระดับกลางมีความถี่ในการใช้งานแบบฝึกหัดออนไลน์มาก 2.5.2 งานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ชายุดา จันทะปิดตา (2555, น. 81) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ในการฟังภาษาอังกฤษ และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมและแบบฝึกเสริมทักษะ การฟังภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกเสริมทักษะ การฟังภาษาอังกฤษ จำนวน 8 บทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนทีมีต่อแบบฝึกเสริมทักษะการฟังภาษาอังกฤษ จำนวน 12 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า(1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการฟังเพื่อการสื่อสารมีค่าเท่ากับ 78.22/83.12 ซึ่งมีประสิทธิภาพ (2) ผลสัมฤทธิ์ในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการฟังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) นักเรียนมีความ คิดเห็นอยู่ในระดับมากต่อแบบฝึกเสริมทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหาและกิจกรรม ศุภวรรณ เทวกุล (2556) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้สื่อ ประสม เพื่อศึกษา 1) การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังของวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อประสม เรื่อง “Tourism Attractions Around our School” 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษด้านการฟังโดยใช้สื่อประสม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง 2 จ้าน วน 25 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ สื่อประสม เรื่อง “Tourism Attractions Around our School”แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนการเรียนรู้ และแบบวัด ความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลการพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษหลังเรียนด้านทักษะการฟังโดยใช้สื่อประสมเรื่อง “Tourism Attractions Around our School”ของนักเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) ความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียน วิชาภาษาอังกฤษด้านการฟังโดยใช้สื่อประสม มีความพึงพอใจในระดับที่สูงมากที่ค่าเฉลี่ย 4.62


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้ง เป็นการวิจัยเกี่ยวกับการสร้างสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ในรายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี วิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 แผนกวิชาการบัญชีห้อง 2 จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นแบบประเมินทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 2.1 ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลโดยดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับชุดฝึกทักษะ ลักษณะ หลักการและขั้นตอนการสร้าง ชุดฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1.2 ศึกษาสภาพการฟังภาษาอังกฤษของนักศึกษาในการเรียนภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยศึกษาจาก เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลและสอบถามจากครูที่ สอนภาษาอังกฤษในสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี 2.1.3 นำข้อมูลจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลและการศึกษาสภาพการฟังภาษาอังกฤษของนักศึกษามาร่างเป็นชุดฝึกพัฒนาทักษะ การฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ดังนี้ 2.1.4 นำร่างชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน พิจารณาความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้อง และความเป็นประโยชน์ 2.1.5 นำชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลไปทดลองใช้กับนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาการบัญชีห้อง 2 ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 19 คน 2.2 แบบสอบบถามความคิดเห็นต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มี ขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 2.2.1 สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลจำนวน 16 ข้อ แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความเหมาะสมของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2) ความเป็นไปได้ของชุดฝึก


3) ความถูกต้องของชุดฝึก 4) ความเป็นประโยชน์ของชุดฝึก แบบสอบถามแบ่งเป็น แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีความหมาย ดังนี้ 5 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด 2.3 แบบประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาแนวการสร้างแบบประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.3.2 กำหนดลักษณะของแบบประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษประกอบด้วย มีลักษณะเป็นแบบ มาตรประมาณค่า 4 ระดับ มีความหมาย ดังนี้ 4 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก 3 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับดี 2 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ 1 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับต้องปรับปรุง 2.3.3 จัดทำแบบประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษมีลักษณะเป็นแบบประเมินมาตรประมาณค่า 4 ระดับ จำนวน..20..ข้อ มีหัวข้อ ประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้วิจัยนำ แบบประเมินทักษะการฟังไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา จำนวน...3.คน จากการหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) มีค่า .80 ถึง 1.00 2.4 แบบสอบถามความพึงพอใจชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมีขั้นตอน การสร้าง ดังนี้ 2.4.1 ศึกษาแนวการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจโดยใช้ชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2.4.2 กำหนดลักษณะของแบบสอบบถามที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ มีลักษณะเป็นแบบมาตร ประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน....20. ข้อ และเป็นแบบคำถามปลายเปิด จำนวน.5...ข้อ มีความหมาย ดังนี้ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยมาก 2.4.3 จัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจ.....มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ


2.4.4 เชิญผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ตรวจสอบความตรงทางเนื้อหา จากการหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) มีค่า .80 ถึง 1.00 2.4.5 นำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างเพื่อหาค่าความเชื่อมั่น ซึ่งมีค่าเท่ากับ .80 3. ขั้นตอนดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยในการพัฒนาทักษะทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้ 3.1 จัดทำแผนการเรียนรู้รายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล เรื่อง การฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล สำหรับใช้สอนผู้เรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชีห้อง 2 จำนวน 19 คน 3.2 จัดหานวัตกรรม (ชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล) เพื่อนำไปใช้ ในกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3 นำชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลให้ผู้เรียนใช้สำหรับฝึกการฟัง ภาษาอังกฤษ ในรายวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล 3.4 ทำการวัดทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้เรียน ในระหว่างการใช้ชุดการฝึก พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และหลังการใช้ชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบวัดทักษะการฟังภาษาอังกฤษฉบับเดียวกัน 3.5 สอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนที่ใช้ชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัลหลังจากการใช้ชุดการฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเครื่องมือที่ ใช้เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้ 4.1 วิเคราะห์เนื้อหาในการจัดทำชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 4.2 ประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่างใช้กับหลังใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะ การฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลด้วย การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ เรียงลำดับจากน้อยไปมาก โดยข้อมูลที่เป็นค่าเฉลี่ยจากมาตรประมาณค่า 4 ระดับ ใช้เกณฑ์พิจารณา ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ทักษะการอ่านอยู่ในระดับต้องปรับปรุง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ทักษะการอ่านอยู่ในระดับพอใช้ ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ทักษะการอ่านอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.00 หมายถึง ทักษะการอ่านอยู่ในระดับดีมาก


4.3 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างใช้ กับหลังใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยการทดสอบประสิทธิภาพของ ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 4.4 วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล หลังการใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเรียงลำดับจาก น้อยไปมาก โดยข้อมูลที่เป็นค่าเฉลี่ยจาก มาตรประมาณค่า 5 ระดับ ใช้เกณฑ์พิจารณา ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด


บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ด้วยชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลนำเสนอเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการสร้าง(พัฒนา) ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพของชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ตอนที่ 3 ความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยี ดิจิทัล ตอนที่ 1 ผลการสร้าง(พัฒนา) ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.1 ผลการใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล การพิจารณาชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ได้ชุดการฝึก ทักษะที่มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของชุดการฝึก ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัลมีหลักการในการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะ จนสามารถฟังภาษาอังกฤษได้สำเร็จ ประกอบด้วย 1) การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2) การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของชุดฝึก เพื่อฝึกให้ผู้เรียนฟังภาษาอังกฤษ ผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล องค์ประกอบที่ 3 วิธีการดำเนินการฝึก เป็นกลไกในการนำชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1) การกำหนดการฝึกทักษะ แบ่งเป็น การฟังจากเสียงต้นฉบับ การฟังเสียงต้นฉบับผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล 2) การวัดทักษะการฟังเสียง แบ่งเป็น การใช้แบบวัดทักษะด้วยตนเอง และการใช้แบบบวัด ทักษะโดยครู องค์ประกอบที่ 4 ตัวชี้วัดคุณภาพของชุดฝึก เป็นการประเมินคุณภาพของชุดฝึก ตาม มาตรฐานการประเมิน ได้แก่ ความเหมาะสมของชุดฝึก ความเป็นไปได้ของชุดฝึก ความถูกต้องของชุดฝึก และความเป็นประโยชน์ของชุดฝึก สรุปได้ว่า ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลประกอบด้วย องค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ดังภาพที่ 4.1 หลักการของชุดฝึ กทักษะ 1. การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษจากต้นฉบับ 2. การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล


ภาพที่ 4.1 ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.2 ผลการตรวจสอบคุณภาพของชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นต่อคุณภาพของชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ ด้านความถูกต้อง และด้านความเป็นประโยชน์ ใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน รายละเอียดดังตารางที่ 4.1 วัตถุประสงค์ของชุดฝึ กทักษะ วิธีด าเนินการฝึ กทักษะ ตัวชี้วัดคุณภาพของชุดฝึกทักษะ เพื่อฝึ กให้ผู้เรียนการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1. การก าหนดวิธีฝึ กทักษะ 1.1 การฟังจากเสียงต้นฉบับ 1.2 การอ่านและฟังตามเสียงต้นฉบับ 1.3 การจับคู่ฝึ กฟัง 1.4 การฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2. การประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1 การใช้แบบประเมินทักษะด้วยตนเอง 2.2 การใช้แบบประเมินทักษะของครู 1. ความเหมาะสมของชุดฝึก 2. ความเป็นไปได้ของชุดฝึก 3. ความถูกต้องของชุดฝึก 4. ความเป็นประโยชน์ของชุดฝึก


ตารางที่ 4.1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในภาพรวม รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. ด้านความเหมาะสม 4.60 .16 มากที่สุด 2. ด้านความเป็นไปได้ 4.65 .10 มากที่สุด 3. ด้านความถูกต้อง 4.55 .10 มากที่สุด 4. ด้านความเป็นประโยชน์ 4.65 .10 มากที่สุด รวม 4.61 .11 มากที่สุด เมื่อพิจารณาคุณภภาพของชุดฝึกเป็นรายด้าน พบว่า 2.1 ด้านความเหมาะสม ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่า ชุดฝึกมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ทุกรายการ ยกเว้นวัตถุประสงค์ของรูปแบบมีความเหมาะสมต่อการพัฒนาทักษะผู้เรียนเหมาะสมในระดับมาก (M = 4.40, SD = .54) รายยละเอียดดังตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านความเหมาะสม รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. หลักการของชุดฝึกมีความเหมาะสมต่อการพัฒนา ผู้เรียน 4.60 .54 มากที่สุด 2. วัตถุประสงค์ของชุดฝึกมีความเหมาะสมต่อการพัฒนา ผู้เรียน 4.40 .54 มาก 3. วิธีดำเนินการฝึกความเหมาะสมต่อการพัฒนาผู้เรียน 4.80 .44 มากที่สุด 4. ตัวชี้วัดคุณภาพของชุดฝึกมีความเหมาะสม 4.60 .54 มากที่สุด รวม 4.60 .16 มากที่สุด 2.2 ด้านความเป็นไปได้ ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า ชุดฝึกมีความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุดทุก รายการ รายละเอียดดังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล


ด้านความเป็นไปได้ รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. หลักการของชุดฝึกมีความสอดคล้องกับการ พัฒนาผู้เรียน 4.60 .54 มากที่สุด 2. ชุดฝึกสามารถนำไปพัฒนาผู้เรียนได้ตามวัตถุประสงค์ 4.60 .54 มากที่สุด 3. วิธีดำเนินการฝึกสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะได้จริง 4.80 .44 มากที่สุด 4. ตัวชี้วัดคุณภาพของชุดฝึกสามารถสะท้อนคุณภาพได้ 4.60 .54 มากที่สุด รวม 4.65 .10 มากที่สุด 2.3 ด้านความถูกต้อง ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่า ชุดฝึกมีความถูกต้องในระดับมากที่สุด ทุก รายการ ยกเว้นความถูกต้องในวิธีดำเนินการฝึกสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะ มีความถูกต้องในระดับมาก (M = 4.40, SD = .54) รายละเอียดดังตารางที่ 4.4 ตารางที่ 4.4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านความถูกต้อง รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. หลักการของชุดฝึกมีความถูกต้องตามเนื้อหา 4.60 .54 มากที่สุด 2. วัตถุประสงค์ของชุดฝึกถูกต้องตามเป้าหมายการพัฒนา 4.60 .54 มากที่สุด 3. วิธีดำเนินการฝึกถูกต้องตามขั้นตอน 4.40 .54 มากที่สุด 4. ตัวชี้วัดคุณภาพของชุดฝึกสามารถวัดได้ตรง ตามมาตรฐาน 4.60 .54 มากที่สุด รวม 4.55 .10 มากที่สุด 2.4 ด้านความเป็นประโยชน์ ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่า ชุดฝึกมีความเป็นประโยชน์ใน ระดับมากที่สุดทุกรายการ รายละเอียดดังตารางที่ 4.5 ตารางที่ 4.5 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล


ด้านความเป็นประโยชน์ รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะตรงตามวิธีการฟังเสียง 4.60 .54 มากที่สุด 2. ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองในการฟังได้เป็นระยะ 4.60 .54 มากที่สุด 3. ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ 4.80 .44 มากที่สุด 4. ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์การฟังการออกเสียง ภาษาอังกฤษในลักษณะอื่น 4.60 .54 มากที่สุด รวม 4.65 .10 มากที่สุด ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพของชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล การนำชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ไปใช้กับผู้เรียนในระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาการบัญชี ห้อง 2 ส่งผลให้ ผู้เรียนเกิดทักษะในการฟังเสียง ภาษาอังกฤษ ได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์การพัฒนาทักษะผู้เรียนที่ตั้งไว้ E1/E2 = ...../...... รายละเอียดดังตารางที่ 4.6


จากตารางที่ 4.6 พบว่านักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน E1 = 79.21 อยู่ในระดับดีและมีคะแนน เฉลี่ยหลังเรียน E2 = 82.63 อยู่ในระดับดี ค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล Pretest ระหว่างเรียน Percent E1 Posttest Percent E2 20 คะแนน 15 คะแนน 15 คะแนน 15 คะแนน 15 คะแนน รวม60 คะแนน 20คะแนน 1 นางสาวกาญติมา เกิดทรัพย์ 10 15 15 14 12 56 82.5 18 90 2 นางสาวชลิตา กลิ่นอ่อน 12 15 15 10 10 50 77.5 16 80 3 นางสาวโชติกา แสงทับทิม 8 15 15 14 15 59 83.75 19 95 4 นางสาวฐิติมา บศุภกัดิ์ 10 15 15 11 8 49 73.75 18 90 5 นางสาวณฐวรรณ ทับทิมแก้ว 15 15 15 14 14 58 91.25 17 85 6 นางสาวนริศรา คนซื่อ 10 15 15 10 13 53 78.75 20 100 7 นางสาวนิรัชพร ชัยอุดม 8 15 15 14 10 54 77.5 18 90 8 นางสาวปราณปรียา สุ่มสม 10 10 10 8 8 36 57.5 10 50 9 นางสาวพศิกา เกตุจันทร์ 7 15 15 14 14 58 81.25 19 95 10 นางสาวพัชราภรณ์ สีเรือง 13 15 15 14 14 58 88.75 15 75 11 นางสาวเพชรียา เพชรพราย 5 15 15 14 14 58 78.75 16 80 12 นางสาวมัทธินี ศิรินันท์ 8 14 15 14 14 57 81.25 14 70 13 นางสาววราภรณ์ มีสุข 14 15 15 14 15 59 91.25 18 90 14 นางสาววิภาดา ปานประทีป 8 12 15 10 10 47 68.75 12 60 15 นางสาวสุกัญญา พึ่งเกิด 8 15 14 14 14 57 81.25 18 90 16 นางสาวเหมวรรณ ฉายาสกุลศิลป์ 8 9 14 12 12 47 68.75 10 50 17 นางสาวอริสรา กันแสน 8 15 15 13 15 58 82.5 16 80 18 นางสาวอาจารียา เลิศสรรสิริ 10 15 15 14 13 57 83.75 20 100 19 นางสาวอารยา แดงนุ้ย 6 15 15 14 11 55 76.25 20 100 รวม คะแนนเฉลี่ย E1 79.21 คะแนน เฉลี่ย E2 82.63


ตอนที่ 3 ความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยี ดิจิทัล การนำชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้กับผู้เรียนใน ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 แผนกวิชาการบัญชี ห้อง 2 พบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อ การเรียนโดยใช้ชุดฝึกอยู่ในระดับมากที่สุด รายละเอียดดังตารางที่ 4.7 ตารางที่ 4.7 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลภาพรวมรายด้าน รายการ ระดับความพึงพอใจ ความหมาย M SD 1. ด้านความเหมาะสม 4.60 .16 มากที่สุด 2. ด้านความเป็นไปได้ 4.65 .10 มากที่สุด 3. ด้านความถูกต้อง 4.55 .10 มากที่สุด 4. ด้านความเป็นประโยชน์ 4.65 .10 มากที่สุด รวม 4.61 .11 มากที่สุด


บทที่ 5 สรุปการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล การ สรุปการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ มีดังนี้ 1. สรุปการวิจัย 1.1 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.1.1 เพื่อใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 1.1.2 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.1.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.2 วิธีดำเนินการวิจัย 1.2.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนวิชาการเรียนภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนกวิชาการบัญชี ห้อง 2 จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง 1.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบบถามความคิดเห็นต่อสื่อเทคโนโลยี เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับ สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล จำนวน 16 ข้อ แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ความเหมาะสมของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ความเป็นไปได้ของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ความถูกต้องของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และความเป็นประโยชน์ของสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล 2) แบบประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน ข้อสอบมีจำนวนทั้งสิ้น 60 ข้อ 1.2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1) เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษจากการศึกษาค้นคว้า ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุดฝึกทักษะการฟัง 2) เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนา ทักษะการฟัง ผู้วิจัยดำเนินการส่งทางไปรษณีย์ และโทรศัพท์ 3) เก็บรวบรวมข้อมูลการหาประสิทธิภาพของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลโดยการประเมิน ทักษะการฟัง 4) เก็บรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจต่อการเรียนโดยการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนา ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการเก็บแบบสอบถามจากผู้เรียนด้วยยตนเอง


1.2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 1) วิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลการศึกษาค้นคว้าตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับ การการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2) วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับข้อมูลจากการสอบถามความคิดเห็นต่อ การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 3) วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยสำหรับข้อมูลจากการประเมินทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 4) วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับข้อมูลจากการสอบถามความพึง พอใจต่อการเรียนโดยใช้การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 1.3 ผลการวิจัย 1.3.1 การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล คือ 2) วัตถุประสงค์ของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อฝึกให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ การฟัง 3) วิธีการดำเนินการฝึก ประกอบด้วย การกำหนดการฝึกทักษะ การประเมินทักษะ การฟัง 4) ตัวชี้วัดคุณภาพของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล โดยประเมินตามมาตรฐานคุณภาพ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความ เหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ ด้านความถูกต้อง และด้านความเป็นประโยชน์ และชุดฝึกมีคุณภาพระดับ มากที่สุดทุกด้าน 1.3.2 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ประสิทธิภาพของ การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์การพัฒนาทักษะผู้เรียนที่ตั้งไว้ E1/E2 = 75/75 โดยจากผลการวิจัยพบว่านักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน E1 = 79.21 อยู่ในระดับดีและมีคะแนนเฉลี่ย หลังเรียน E2 = 82.63 อยู่ในระดับดี 1.3.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล มีคะแนนเฉลี่ย x = 4.61 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเฉลี่ย S.D. = 0.11 อยู่ใน ระดับดีมาก 2. อภิปรายผล การวิจัยเรื่องการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในรายวิชาการเรียน ภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัลของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ผู้วิจัยแบ่งอภิปรายผลเป็น 2 ประเด็น ดังนี้ 2.1 การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ พัฒนาจากการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี งานวิจัย ที่เกี่ยวกับชุดฝึกทักษะการฟัง รวมทั้งศึกษาสภาพปัญหาการฟังของผู้เรียน พบว่าสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของการใช้สื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล 2) วัตถุประสงค์ของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 3) วิธีการดำเนินการฝึก และ 4) ตัวชี้วัด


คุณภาพของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล โดยใช้วิธี การกำหนดวิธีฝึกทักษะ และการประเมินทักษะการฟัง ทำให้ ผู้เรียนเกิดทักษะที่ยั่งยืน ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมีความสอดคล้อง กัน ระหว่างหลักการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการฝึกทักษะ และตัวชี้วัดคุณภาพของการใช้สื่อเทคโนโลยี ดิจิทัลมีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ มีความถูกต้อง และมีความเป็นประโยชน์ โดยการดำเนินการพัฒนา ทักษะการฟัง เพื่อบรรลุเป้าหมาย คือผู้เรียนพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการดำเนินการกำหนดวิธีฝึก ทักษะ ประกอบด้วย การฟังจากเสียงต้นฉบับ การทำแบบทดสอบด้วยตนเอง และการประเมินทักษะการฟัง ด้วย การประเมินทักษะด้วยตนเองการประเมินทักษะของครู ซึ่งมีความสอดคล้องกับ พรพิมล ริยาย และธ นางกูร ขำศรี. (2555). การพัฒนาทักษะการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย. รายงานการวิจัย ภาควิชาศึกษาทั่วไป และสาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร คณะ สังคมศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท–เชียงใหม่. จากผลการวิจัยการใช้แบบฝึกเสริมทักษะเพื่อการ สื่อสาร พบว่า การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การฟังทำให้ทักษะการฟังของนักเรียนสูงขึ้นและนักเรียนมี ความคิดเห็นที่ดีต่อกิจกรรมการฟังและการใช้แบบฝึก เสริมทักษะ ฤทัยรัตน์ ปานจรินทร์ (2555) ศึกษาการ พัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการฟังภาษาอังกฤษ เพื่อการ สื่อสารสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน ถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่า 1) ประสิทธิภาพ ของแบบฝึกเสริมทักษะการฟังเพื่อการสื่อสารมีค่า เท่ากับ 85.53 2) ความสามารถด้านทักษะการฟังเพื่อการ สื่อสารของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะการฟังเพื่อการสื่อสารอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ ในระดับดีต่อกิจกรรมการฟังและแบบฝึกเสริมทักษะการฟัง เพื่อการสื่อสาร ซึ่งสอดคล้องกับ ชมนาท รุ่นใหม่ (2552) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการฟังและการ พูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา พบว่า 1) แบบ ฝึกเสริมทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด/89.58 2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .05 3) ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริม ทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมีค่าเท่ากับ 0.81 ซึ่งมากกว่าสมมุติฐาน 0.75 4) ความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกเสริมทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร อยู่ในระดับ พอใจมาก 2.2 การศึกษาประสิทธิภาพของการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะการฟังพบว่า ผู้เรียนมีทักษะ การฟัง ระหว่างการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล หลังการใช้เป็นไปตามเกณฑ์การพัฒนาทักษะผู้เรียนที่ตั้งไว้ E1/E2 =75/75ทั้งนี้เนื่องจาก ชุดฝึกทักษะการฟัง มีหลักการชัดเจน มีวิธีดำเนินการฝึกทักษะตามขั้นตอนที่ส่งผลให้ ผู้เรียนได้ฝึกหลายครั้ง และฝึกได้ตลอดเวลา และผู้เรียนสามารถประเมินทักษะตนเองได้เป็นระยะอย่าง ต่อเนื่อง สอดคล้องกับวาสนา สิงห์ทองลา ดร.สิทธิพล อาจอินทร์(2555) การพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษา เพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) พัฒนาทักษะ การ


ฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยให้นักเรียนมีคะแนนทักษะการฟังภาษาอังกฤษเฉลี่ยไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีจำ นวนนักเรียน ที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนชุมชนบ้านฝาง สังกัดสำ นักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ที่กำ ลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำ นวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการ ได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้จำนวน 15 แผน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อน ผลการปฏิบัติได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของ นักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบวัดทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษท้ายวงจร3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพ การจัดการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบวัด ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Action Research) มีวงจรปฏิบัติการวิจัย 3 วงจร วิเคราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าร้อยละ และสรุปเป็นความเรียง ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่5 มีขั้นตอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้3ขั้นตอน ดังนี้1) ขั้นนำ เสนอเนื้อหา เป็นขั้นที่ นักเรียนได้ทบทวน ความรู้เดิม เรียนรู้คำ ศัพท์ใหม่ ฝึกอ่านประโยคที่เกี่ยวข้อง กับเนื้อหา สถานการณ์ต่าง ๆ โดยฟังจากครูและมีการใช้สื่อที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ บัตรคำ บัตรภาพ แถบประโยค การเล่นเกม และ ใบ ความรู้2) ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นการฝึกทักษะการฟังโดยการฟังจากครูและเทปบันทึกเสียง มีการฝึกการสนทนา เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน โดยการฝึกรวมกันทั้งชั้นเรียน ฝึกเป็นคู่และฝึกทีละคน โดยเน้นให้นักเรียน 2.3 การศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการ เรียนโดยการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลระดับดีมากทั้งนี้เนื่องจาก สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้ผู้เรียนได้คะแนน ทักษะการอ่านที่ดีขึ้น และจากการฝึกหลาย ๆ ครั้ง และหลากหลายวิธี ทำให้ผู้เรียนมั่นใจมากขึ้น ถือได้ว่า สื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล มีส่วนผลักดันให้ผู้เรียนมีความสนใจเรียนมากขึ้น สอดคล้องกับพีระศักดิ์ จิ้วตั้น (2564)งานวิจัยเรื่อง การศึกษาความพึงพอใจเชิงเปรียบเทียบ ผลกระทบและพฤติกรรม การเรียนจากการใช้ ห้องเรียน Active Learning ในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีวัตถุประสงค์เพื่อ ต้องการศึกษาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับห้องเรียน Active Learning ของมหาวิทยาลัยฯ ได้แก่ พฤติกรรม การเรียนและในห้องเรียนของนักศึกษา ความพึงพอใจต่อการ เรียนการสอนแบบ Active Learning ความพึง พอใจห้องเรียน Active Learning ทางกายภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อาจารย์และนักศึกษาที่ เคยใช้ห้องเรียน Active Learning และห้องเรียนธรรมดา โดยกลุ่มตัวอย่างอาจารย์มี จำนวนทั้งสิ้น 18 ตัวอย่าง ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) แล้วนำเสนอในลักษณะของความเรียง สำหรับ กลุ่มตัวอย่างนักศึกษามีจำนวนทั้งสิ้น 191 ตัวอย่าง ใช้การวิเคราะห์แบบมาตราส่วนประมาณค่า ด้วย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์แบบ T-Test แบบแบ่ง 2 คู่ (Paired Samples T Test) และการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression) ผลการวิจัยสรุปได้โดยสังเขป ดังต่อไปนี้ความ พึงพอใจโดยรวมทุกด้าน ได้แก่ ความเหมาะสมของโต๊ะเรียนและเก้าอี้กระดานไวท์บอร์ด อุปกรณ์


โสตทัศนูปกรณ์ พื้นที่ห้อง แสงสว่างในห้องเรียน อุณหภูมิภายในห้องเรียน และโทนสีผนังห้อง ผู้ตอบ แบบสอบถามมีความพึงพอใจห้องเรียน Active Learning มากกว่า ห้องเรียนธรรมดา และมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 3.1.1 การนำสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ ควรทำความเข้าใจในวิธีดำเนินการให้ชัดเจน โดยศึกษา การใช้ให้ละเอียด พร้อมทั้งประเมินทักษะการฝึกทักษะตามเกณฑ์การประเมินทักษะเป็นระยะ ๆ อย่างเป็น ขั้นตอน 3.1.2 การพัฒนาทักษะการฟังควรมีการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะของผู้เรียน เช่นมีการ ให้คะแนน หรือคำชมเชย 3.1.3 สถานศึกษาควรมีการจัดประกวดการฟังภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ 3.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 3.2.1 ควรมีการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะมากขึ้น 3.2.2 ควรมีระบบการพัฒนาผู้เรียนที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงขึ้น 3.2.3 ควรมีวิธีการในการพัฒนาผู้เรียนที่ส่งเสริมการนำไปใช้ประโยชน์กับผู้เรียน ตนเอง และ สถานศึกษา


บรรณานุกรม รมณียา สุรธรรมจรรยา. (2558). ผลการใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษบนแท็บเล็ตวิชา ภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา ราชบุรี เขต 2. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร. พรพิมล ริยาย และธนางกูร ขำศรี. (2555). การพัฒนาทักษะการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย. รายงานการวิจัย ภาควิชาศึกษาทั่วไป และสาขาวิชา ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร คณะสังคมศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท–เชียงใหม่. อารีรักษ์ มีแจ้ง และสิริพร ปาณาวงษ์.(2553)การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาอังกฤษโดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน สำหรับครูผู้สอนช่วงชั้นที่ 2 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปวีณนุช พุ่มจิต และ อังค์วรา เหลืองนภา.(2561)การใช้แอปพลิเคชันในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านการ ฟัง.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. รุ่งพนอ รักอยู่ และสุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ.(2560) ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักศึกษาไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ในสถาบันการพลศึกษาในเขตภาคกลาง. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. ชายุดา จันทะปิดตา. (2556) การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่4 โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์. บุรีรัมย์. ณัฏฐพล คุปต์ธนโรจน์. (2554) การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษตามแนวเรื่อง โดยใช้กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม. นครปฐม. มยุเรศ ใยบัวเทศ. (2558). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษา ตาม กระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษ เพื่อความ เข้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. (thesis), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, Thailand, Australia. Retrieved from http://search.ebscohost.com/login.aspx?direct=true&db=edsbas&AN=edsbas.4 9D20D47&site=eds-live&authtype=ip,uid Available from EBSCOhost edsbas


สุมิตรา อังวัฒนกุล. ก กิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพมหานคร :จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2535. ข วิธีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2535. ศุภวรรณ เทวกุล. (2556). การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดย ใช้สื่อประสม. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต. มณีรัตน์ กรรณิกา และ อภิราดี จันทร์แสง. (2560). การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้รายการ โทรทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. 11(2): 127-133.


ภาคผนวก


แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษผ่านสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล ของนักศึกษาชั้น ปวส.1 การบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี คำชี้แจง: 1. ผู้ตอบแบบสอบถามคือ นักศึกษาชั้น ปวส.1 การบัญชี ห้อง 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี 2. ขอความกรุณาตอบแบบสำรวจ โดยเติมเครื่องหมาย และเติมข้อความลงในช่องว่างให้ครบถ้วน สมบูรณ์ 3. แบบสำรวจความพึงพอใจมี 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสำรวจ ตอนที่ 2 ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในรายวิชาการเรียน ภาษาอังกฤษผ่านสื่อดิจิทัล ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะอื่นๆ ตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสำรวจ เพศ ชาย หญิง คำชี้แจง กรุณาตอบแบบสำรวจ โดยเติมเครื่องหมาย และเติมข้อความลงในช่องว่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์ หัวข้อประเมิน ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 ด้านที่ 1 ความเหมาะสมของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.1มีความเข้าใจในการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 1.2มีความเข้าใจในการใช้ google application 1.3สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน 1.4ความปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ใช้ ด้านที่ 2 ความเป็นไปได้ของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 2.1 เข้าใจง่าย กระชับ และสะดวกต่อการใช้งาน 2.2 สามารถเข้าใช้งานได้ด้วยตนเอง 2.3 การใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลสอดคล้องกับเนื้อหา 2.4 ความเหมาะสมของเนื้อหากับระดับชั้นของผู้เรียน ด้านที่ 3 ความถูกต้องของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล


3.1 ความชัดเจนของคำสั่งและคำถามของชุดฝึก 3.2 ความสอดคล้องของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลกับจุดประสงค์โดยรวม 3.3ความถูกต้องของภาษาที่ใช้ 3.4 การใช้สื่อเหมาะสมกับเนื้อหา ด้านที่ 4 ความเป็นประโยชน์ของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล 4.1 สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยพัฒนาทักษะด้านการฟัง 4.2 สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเพิ่มความเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น 4.3 สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถนำมาประยุกต์กับการพัฒนา 4.4 ความพึงพอใจโดยรวมของสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อคิดเห็น/ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version