2104-2113 การส่องสว่าง
ลาแสง
แสงเป็ นพลงั งานรูปหนงึ่ เดนิ ทางในรูปคลนื่ ด้วยอตั ราเร็วสงู 300,000 กิโลเมตรตอ่ วนิ าที แหลง่ กาเนดิ แสงมที งั้ แหลง่ กาเนิด
ท่เี กิดขนึ ้ เองตามธรรมชาติ เชน่ แสงดวงอาทติ ย์ท่เี ป็ นแหลง่ พลงั งานของสงิ่ มชี ีวติ แหลง่ กาเนนิ แสงทีม่ นษุ ย์สร้างขนึ ้ เชน่
แสงสวา่ งจากหลอดไฟ เป็ นต้น
เมือ่ แสงเคลอ่ื นทผี่ า่ นกลมุ่ ควนั หรือฝ่ นุ ละออง จะเหน็ เป็ นลาแสงเส้นตรง และสามารถทะลผุ า่ นวตั ถไุ ด้ วตั ถทุ ี่ยอมให้แสง
เคลอ่ื นที่ผา่ นเป็ นเส้นตรงไปได้นนั้ เราเรียกวตั ถนุ วี ้ า่ วตั ถโุ ปร่งใส เชน่ แก้ว อากาศ นา้ เป็ นต้น ถ้าแสงเคลอื่ นที่ผา่ นวตั ถุ
บางชนดิ แล้วเกิดการกระจายของแสงออกไป โดยรอบ ทาให้แสงเคลอื่ นที่ไมเ่ ป็ นเส้นตรง เราเรียกวตั ถนุ นั้ วา่ วัตถุโปร่ง
แสง เชน่ กระจกฝ้ า กระดาษไข พลาสตกิ ฝ้ า เป็ นต้น สว่ นวตั ถทุ ไ่ี มย่ อมให้แสงเคลอ่ื นท่ีผา่ นไปได้ เราเรียกวา่ วัตถทุ ึบแสง
เชน่ ผนงั คอนกรีต กระดาษแขง็ หนาๆ เป็ นต้น วตั ถทุ บึ แสงจะสะท้อนแสงบางสว่ นและดดู กลนื แสงบางสว่ นไว้ทาให้เกิดเงา
ขนึ ้
การสะท้อนของแสง (Reflection)
เป็ นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตวั กลางที่มีความหนาแนน่ คา่ หนง่ึ มายงั ตวั กลางทีม่ คี า่ ความหนาแนน่ อีกตวั หนงึ่ ทาให้
แสงตกกระทบกบั ตวั กลางใหม่ แล้วสะท้อนกลบั สตู่ วั เดมิ เชน่ การสะท้อนของแสงจากอากาศกบั ผวิ หน้าของกระจกเงาจะ
เกิดการสะท้อนแสงทีผ่ วิ หน้าของกระจกเงาราบแล้วกลบั สอู่ ากาศดงั เดิม เม่ือแสงตกกระทบกบั ผวิ หน้าของตวั กลางใดๆ
ปริมาณและทศิ ทางของการสะท้อนของแสง จะมากหรือน้อย ขนึ ้ อยกู่ บั ธรรมชาตขิ องพนื ้ ผวิ หน้าของตวั กลางทตี่ กกระทบ
จากรูป เมื่อลาแสงขนานตกกระทบพนื ้ ผวิ หน้าวตั ถทุ ่ีเรียบ แสงจะสะท้อนเป็ นลาแสงขนานเหมือนกบั ลาแสงทต่ี กกระทบ
การสะท้อนบนพนื ้ ผวิ หน้าที่เรียบ โดยเรียกวา่ การสะท้อนแบบสม่าเสมอ
การสะท้อนของแสงเม่อื ตกกระทบพนื้ ผิววตั ถุท่เี รียบ
เกิดขนึ ้ เม่อื ลาแสงตกกระทบไปยงั พนื ้ กระจกหรือพนื ้ ผิวทขี่ รุขระจะสง่ ผลให้แสงสะท้อนกลบั ไปคนละทิศละทาง
รังสีตก กระทบ (Incident Ray) คอื รังสขี องแสงท่ีพงุ่ เข้าหาพนื ้ ผวิ ของวตั ถุ
รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คอื รังสขี องแสงท่ีพงุ่ ออกจากพนื ้ ผิวของวตั ถุ
เส้นปกติ (Normal) คือ เส้นทล่ี ากตงั้ ฉากกบั พนื ้ ผวิ ของวตั ถตุ รงจดุ ที่แสงกระทบ
มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) คอื มมุ ที่รังสตี กกระทบทากบั เส้นปกติ
มุมสะท้อน (Angle of Reflection) คือ มมุ ท่ีรังสสี ะท้อนทากบั เส้นปกติ
กฎการสะท้อนของแสง (The Laws of Reflection) มี 2 ข้อ ดงั นี ้
รังสตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นปกติจะอยใู่ นระนาบเดยี วกัน
มมุ ตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อน ดงั ภาพ
สเปกตรัมของแสง
แสงจากดวงอาทิตยเ์ ป็ นแสงขาว ซง่ึ เราสามารถใช้ปริซมึ แยกแสงทเี่ ป็ นองค์ประกอบของแสงขาวออกจากกนั ได้เป็ นแถบสี
ตา่ งๆ 7 สเี รียงตดิ กนั เราเรียกแถบสที ่ีเรียงตดิ กนั นวี ้ า่ สเปกตรัม
ภาพแสดงสเปกตรัมของคล่นื แสงขาว
ปรากฏการณ์รุ้งกินนา้ ก็เป็ นปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ี่หยดนา้ ฝนหรือละอองนา้ ทาหน้าทเ่ี ป็ นปริซมึ แสงจากดวง
อาทติ ย์ท่ีสอ่ งลงมาจะเกิดการหกั เหทาให้เกดิ เป็ นแถบสบี นท้องฟ้ า
ภาพแสดงการเกดิ สเปกตรัมสรี ุ้งของแสงเมอื ลาแสงผ่านปริซึม
จากภาพแสงสแี ดงจะเคลอ่ื นท่ไี ด้เร็วกวา่ แสงสมี ว่ ง ทาให้แสงสแี ดงเปลยี่ นทศิ ทางการเคลอื่ นท่ีน้อยกวา่ แสงสมี ว่ ง เป็ น
สาเหตทุ าให้เกิดการกระจายของแสงขาวเรียงกนั เป็ นแถบสเี กิดขนึ ้
สีของแสง
การมองเห็นสตี า่ ง ๆ บนวตั ถเุ กิดจากการผสมของแสงสี เชน่ แสงขาวอาจเกิดจากแสงเพยี ง 3 สรี วมกนั แสงทงั้ 3 สี ได้แก่
แสงสแี ดง แสงสเี ขยี ว และแสงสนี า้ เงิน หรือเรียกวา่ สีปฐมภมู ิ และถ้านาแสงทเี่ กิดจากการผสมกนั ของสปี ฐมภมู ิ 2 สมี า
รวมกนั จะเกดิ เป็ น สีทุตยิ ภมู ิ ซง่ึ สที ตุ ยภมู แิ ตล่ ะสจี ะมคี วามแตกตา่ งกนั ในระดบั ความเข้มสแี ละความสวา่ งของแสง ดงั
ภาพ
เรามองเหน็ วตั ถทุ เี่ ปลง่ แสงด้วยตวั เองไมไ่ ด้ก็เพราะมีแสงสะท้อนจากวตั ถนุ นั้ เข้าสนู่ ยั ยต์ าของเรา และสขี องวตั ถกุ ็ขนึ ้ อยกู่ บั
คณุ ภาพของแสงทสี่ ะท้อนนนั้ ด้วย โดยวตั ถสุ นี า้ เงินจะสะท้อนแสงสนี า้ เงินออกไปมากท่สี ดุ สะท้อนแสงสขี ้างเคยี งออกไป
บ้างเลก็ น้อย และดดู กลนื แสงสอี น่ื ๆ ไว้หมด สว่ นวตั ถสุ แี ดงจะสะท้อนแสงสอี ดงออกไปมากท่ีสดุ มแี สงข้าวเคียงสะท้อน
ออกไปเลก็ น้อย และดดุ กลนื แสงสอี ่ืน ๆ ไว้หมด สาหรับวตั ถสุ ดี าจะดดู กลนื ทกุ แสงสแี ละสะท้อนกลบั ได้เพียงเลก็ น้อย
เทา่ นนั้ ดงั ภาพ
การหักเหของแสง (Refraction of Light)
เม่ือแสงเดนิ ทางผา่ นวตั ถหุ รือตวั กลางโปร่งใส เช่น อากาศ แก้ว นา้ พลาสตกิ ใส แสงจะสามารถเดนิ ทางผา่ นได้เกือบหมด
เมื่อแสงเดินทางผา่ นตวั กลางชนดิ เดียวกนั แสงจะเดนิ ทางเป็ นเส้นตรงเสมอ แตถ่ ้าแสงเดนิ ทางผา่ นตวั กลางหลายตวั กลาง
แสงจะหกั เห
สาเหตุท่ที าให้แสงเกดิ การหกั เห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตวั กลางหนงึ่ ไปยงั อีกตวั กลางหนงึ่ ซง่ึ มคี วามหนาแนน่ แตกตา่ งกนั จะมีความเร็วไมเ่ ทา่ กนั
ด้วย โดยแสงจะเคลอื่ นท่ีในตวั กลางโปร่งกวา่ ได้เร็วกวา่ ตวั กลางทท่ี บึ กวา่ เช่น ความเร็วของแสงในอากาศมากกวา่
ความเร็วของแสงในนา้ และความเร็วของแสงในนา้ มากกวา่ ความเร็วของแสงในแก้วหรือพลาสติก
การทีแ่ สงเคลอื่ นทผ่ี า่ นอากาศและแก้วไมเ่ ป็ นแนวเส้นตรงเดียวกนั เพราะเกิดการหกั เหของแสง โดยแสงจะเดนิ ทางจาก
ตวั กลางที่มคี วามหนาแนน่ น้อยกวา่ ( โปร่งกวา่ ) ไปยงั ตวั กลางทม่ี คี วามหนาแนน่ มากกวา่ ( ทบึ กวา่ ) แสงจะหกั เหเข้าหา
เส้นปกติ ในทางตรงข้าม ถ้าแสงเดนิ ทางจากยงั ตวั กลางทมี่ ีความหนาแนน่ มากกวา่ ไปยงั ตวั กลางทีม่ คี วามหนาแนน่ น้อย
กวา่ แสงจะหกั เหออกจากเส้นปกติ
ดรรชนีหักเหของตวั กลาง (Index of Refraction)
การเคลอ่ื นท่ีของแสงในตวั กลางตา่ งชนดิ กนั จะมีอตั ราเร็วตา่ งกนั เช่น ถ้าแสงเคลอื่ นทใี่ นอากาศจะมีอตั ราเร็วเทา่ กบั
300,000,000 เมตรตอ่ วินาที แตถ่ ้าแสงเคลอ่ื นทใ่ี นแก้วหรือพลาสตกิ จะมอี ตั ราเร็วประมาณ 200,000,000 เมตรตอ่ วนิ าที
การเปลย่ี นความเร็วของแสงเมือ่ ผา่ นตวั กลางตา่ งชนิดกนั ทาให้เกิดการหกั เห อตั ราเร็วของแสงในสญุ ญากาศตอ่ อตั ราเร็ว
ของแสงในตวั กลางใดๆ เรียกวา่ ดรรชนหี กั เหของตวั กลาง นนั้
ดรรชนีหกั เหของตวั กลาง = อตั ราเร็วของแสงในสญุ ญากาศ/ อตั ราเร็วของแสงในตวั กลางใด ๆ
( อตั ราเร็วของแสงในสญุ ญากาศ = 3 x 10 8 เมตร / วนิ าท)ี
การหกั เหของแสงทาให้เรามองเหน็ ภาพของวตั ถอุ นั หนงึ่ ทจี่ มอยใู่ นก้นสระวา่ ยนา้ อยตู่ นื ้ กวา่ ความเป็ นจริง ท่ีเป็ นเช่นนกี ้ ็
เพราะวา่ แสงจากก้นสระวา่ ยนา้ จะหกั เหเมื่อเดนิ ทางจากนา้ สอู่ ากาศ ทงั้ นเี ้พราะความเร็วของแสงท่เี ดินทางในอากาศเร็ว
กวา่ เดินทางในนา้ จงึ ทาให้เหน็ ภาพของวตั ถอุ ยตู่ ืน้ กวา่ ความเป็ นจริง
ผลท่เี กดิ ขนึ้ จากการหักเหของแสง
เม่ือมองทอี่ ยใู่ นนา้ โดยนยั น์ตาของเราอยใู่ นอากาศ จะทาให้มองเหน็ วตั ถตุ ืน้ กวา่ เดมิ นอกจากนนี ้ กั เรียนอาจจะเคยสงั เกตุ
วา่ สระวา่ ยนา้ หรือถงั ใสน่ า้ จะมองดตู ืน้ กวา่ ความเป็ นจริง เพราะแสงต้องเดินทางผา่ นนา้ และอากาศแล้วจงึ หกั เหเข้าสู่
นยั น์ตา
* มิราจ ( Mirage ) เป็ นปรากฏการณ์เกิดภาพลวงตา ซง่ึ บางครงั้ ในวนั ท่อี ากาศ เราอาจจะมองเห็นสง่ิ ทเ่ี หมือนกบั สระนา้
บนถนน ดงั ภาพ
ทเี่ ป็ นเชน่ นนั้ เพราะวา่ มแี ถบอากาศร้อนใกล้ถนนทรี่ ้อน และแถบอากาศทเี่ ยน็ กวา่ (มคี วามหนาแนน่ มากกวา่ ) อยขู่ ้างบน
รังสขี องแสงจงึ คอ่ ยๆ หกั เหมากขนึ ้ เข้าสแู่ นวระดบั จนในท่ีสดุ มนั จะมาถึงแถบอากาศร้อนใกล้พนื ้ ถนนทีม่ มุ กว้างกวา่ มมุ
วกิ ฤต จึงเกิดการสะท้อนกลบั หมดนน่ั เอง ดงั ภาพ
* รุ้งกนิ นา้ ( Rainbow) เป็ นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทม่ี กั เกิดตอนหลงั ฝนตกใหม่ ยิ่งเฉพาะมแี ดดออกด้วย ซงึ่
ปรากฏการณ์ดงั กลา่ วเกิดจากแสงแดดจากดวงอาทติ ย์ท่ีสอ่ งลงมากระทบกบั หยดนา้ ฝนหรือละอองนา้ แล้วจะเกิดการหกั
เหและการสะท้อนกลบั หมดของแสงทาให้เกิดเป็ นแถบสบี นท้องฟ้ า โดยการหกั เหของแสงในหยดนา้ นนั้ จะแยกสเปกตรัม
ของแสงขาวจากแสงแดดออกเป็นแถบสตี า่ งๆ ดงั ภาพ
การเกดิ ภาพบนกระจกเงาระนาบ
1. ภาพท่เี กดิ จากกระจกเงาระนาบบานเดียว
เมื่อนกั เรียนมองเข้าไปในกระจกเงาระนาบจะเหน็ ภาพตวั เองเกิดขนึ ้ ทห่ี ลงั กระจก ภาพทเี่ หน็ นเี ้กิดจากการสะท้อนของแสง
ท่กี ระจก ระยะทลี่ ากจากวตั ถไุ ปตงั้ ฉากกบั ผิวกระจกเรียกวา่ ระยะวตั ถุ และระยะท่ลี ากจากภาพไปตงั้ ฉากกบั ผวิ กระจก
เรียกวา่ ระยะภาพ
เมอื่ วางวตั ถไุ ว้หน้ากระจกเงาระนาบ เราจะมองเหน็ วตั ถเุ พราะมแี สงจากวตั ถมุ าเข้าตาเรา สว่ นการมองเหน็ ภาพของวตั ถุ
นนั้ เพราะแสงจากวตั ถไุ ปตกกระทบพืน้ ผิวกระจกเงาระนาบแล้วสะท้อนมาเข้าตาเราอีกทหี นง่ึ ภาพท่เี กิดขนึ ้
เรียกวา่ ภาพเสมือน จะปรากฏให้เห็นข้างหลงั กระจก และภาพเสมอื นไมส่ ามารถเกดิ บนฉากได้ ถ้าเรามองทด่ี ้านหลงั ของ
กระจกเงาระนาบเราจะไมเ่ ห็นภาพ เนือ่ งจากภาพเสมอื นนเี ้พยี งปรากฏให้เห็นหลงั กระจก ( เพราะรังสีของแสงสะท้อนเข้า
ตา เหมอื นกบั รังสนี มี ้ าจากข้างหลงั กระจก)
2. ภาพท่เี กดิ จากกระจกเงาระนาบ 2 บาน วางทามุมกัน
ถ้านาวตั ถไุ ปวางระหวา่ งกระจกเงาระนาบสองบานวางทามมุ ตอ่ กนั ภาพทเี่ กิดจากกระจกเงาระนาบบานหนงึ่ ถ้าอยหู่ น้า
แนวกระจกเงาระนาบอกี บานหนง่ึ ภาพนนั้ จะทาหน้าที่เป็ นวตั ถุ ทาให้เกิดการสะท้อนแสงครงั้ ที่ 2 เกิดภาพท่ีสองขนึ ้ โดย
ระยะภาพก็ยงั คงเทา่ กบั ระยะวตั ถุ และถ้าภาพทงั้ สองยงั อยหู่ น้าแนวกระจกเงาระนาบบานแรกอกี ภาพนนั้ จะทาหน้าที่เป็ น
วตั ถใุ นการสะท้อนตอ่ ไปอีกกลบั ไปกลบั มาระหวา่ งกระจกสองบานจนกวา่ ภาพที่อยหู่ ลงั แนวกระจก จงึ จะไมม่ กี ารสะท้อน
ทาให้เกิดภาพอกี
สตู รคานวณ n = (360/ q) – 1
เมอื่ n คือ จานวนภาพทเ่ี กดิ ขนึ ้
q คือ มมุ ทกี่ ระจกเงาระนาบทามมุ ตอ่ กนั ( เหลอื เศษ ให้ปัดเศษทบเป็ นหนง่ึ เสมอ)
การเกดิ ภาพบนกระจกโค้ง
ชนิดของกระจกโค้ง กระจกโค้งแบง่ ออกเป็ น 2 ชนิด ดงั นี ้
1. กระจกโค้งออกหรือกระจกนนู (Convex mirror) คอื กระจกโค้งทม่ี ผี วิ สะท้อนแสงออยดู่ ้านนอกของสว่ นโค้ง สว่ นผิวด้าน
เว้าถกู ฉาบด้วยปรอท
2. กระจกโค้งเข้าหรือกระจกเว้า (Concave mirror) คือ กระจกโค้งทมี่ ผี วิ สะท้อนแสงอยดู่ ้านในของสว่ นโค้ง สว่ นผวิ ด้าน
เว้าถกู ฉาบด้วยปรอท
จากภาพ จดุ C คอื จดุ ศนู ย์กลางของวงกลม ซงึ่ เป็ นจดุ ศนู ย์กลางความโค้งของกระจกด้วย
R คือ รัศมีของทรงกลม เรียกวา่ รัศมีความโค้งของกระจก
P คือ จดุ ท่ีอยบู่ ริเวณก่งึ กลางของผิวกระจก เรียกวา่ ขวั้ กระจก
การสะท้อนของแสงจากกระจกเงาโค้ง
1. กระจกนนู คอื กระจกทีร่ ังสตี กกระทบและรังสสี ะท้อนอยคู่ นละด้านกบั จดุ ศนู ย์กลางความโค้ง
2. กระจกเว้า คอื กระจกที่รังสตี กกระทบและรังสสี ะท้อนอยดู่ ้านเดยี วกบั จดุ ศนู ย์กลางความโค้ง
3. กระจกนนู เป็ นกระจกกระจายแสง ถ้าให้รังสตี กกระทบขนานกบั แกนมขุ สาคญั รังสแี สงจะถ่างออกหรือกระจายออก
โดยรังสแี สงขนานสะท้อนในทศิ ทเ่ี สมือนกบั มาจากจดุ โฟกสั ของกระจกนนู
4. กระจกเว้าเป็ นกระจกรวมแสง ถ้าให้รังสตี กกระทบขนานกบั แกนมขุ สาคญั รังสที ีส่ ะท้อนออกจากกระจกจะลไู่ ปรวมกนั ท่ี
จดุ จดุ หนงึ่ เรียกวา่ จดุ โฟกสั
ภาพท่เี กิดจากกระจกโค้ง
เกิดจากการสะท้อนของแสงและภาพทีเ่ กิดบนฉาก เรียกวา่ ภาพจริง ภาพจริงจะมีลกั ษณะหวั กลบั กบั วตั ถุ สว่ นภาพท่ี
ปรากฏในกระจก โค้งทเ่ี ป็ นภาพหวั ตงั้ และเอาฉากรับไมไ่ ด้เรียกวา่ ภาพเสมอื น กระจกเว้าสามารถให้ทงั้ ภาพจริงและ
ภาพเสมอื น สว่ นกระจกนนู นนั้ ให้ภาพเสมอื นเพยี งอยา่ งเดยี ว
เมื่อวตั ถอุ ยไู่ กลๆ เราถือวา่ แสงจากวตั ถเุ ป็ นรังสขี นาน และเมอื่ รังสตี กกระทบกระจกเว้าจะสะท้อนไปรวมกนั ทจ่ี ดุ โฟกสั ซ่ึง
เป็ นตาแหนง่ ภาพ ดงั นนั้ ระยะจากกระจกเว้าถงึ ตาแหนง่ ภาพก็คอื ความยาวโฟกสั ของกระจกเว้านนั้ เอง
การเขียนทางเดนิ ของแสงบนกระจกโค้ง มขี นั้ ตอนดงั นี ้
จากจดุ ปลายของวตั ถุ ลากเส้นตรงขนานกบั แกนมขุ สาคญั ไปตกกระทบผวิ กระจกแล้วสะท้อนผา่ นจดุ โฟกสั ของ
กระจกเว้า แตถ่ ้าเป็ นกระจกนนู แนวรังสสี ะท้อนจะเสมอื นผา่ นจดุ โฟกสั
จากปลายของวตั ถจุ ดุ เดยี วกบั ข้อ 1 ลากเส้นตรงผา่ นจดุ ศนู ย์กลางความโค้งของกระจกแล้วสะท้อนกลบั ทางเดิม
ตาแหนง่ ท่รี ังสสี ะท้อนไปตดั กนั จะเป็ นตาแหนง่ ของภาพจริง สว่ นตาแหนง่ ที่รัวสสี ะท้อนทีเ่ สมือนไปตดั กนั จะเป็ น
ตาแหนง่ ของภาพเสมอื น
ตัวอย่าง การเขยี นทางเดนิ ของแสงบนกระจกเว้า
การคานวณ
s คอื ระยะวตั ถุ จะมเี ครื่องหมายเป็ น + เสมอ
s’ คือ ระยะภาพ ถ้าภาพจริงใช้เครื่องหมาย + และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –
f คือ ความยาวโฟกสั ของกระจกโค้ง เครื่องหมาย + สาหรับกระจกเว้า และเคร่ืองหมาย – สาหรับกระจกนนู
m คือ กาลงั ขยายของกระจกโค้ง เคร่ืองหมาย + สาหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เครื่องหมาย –
I คอื ความสงู ของภาพ เคร่ืองหมาย + สาหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เคร่ืองหมาย –
O คอื ความสงู ของวตั ถุ จะมีเครื่องหมาย + เสมอ
ประโยชน์ของกระจกโค้ง
1.กระจกนูน นามาใช้ประโยชน์โดยตดิ รถยนต์ รถจกั รยานยนต์ เพอ่ื ดรู ถด้านหลงั ภาพที่เหน็ จะอยใู่ นกระจกระยะใกล้กวา่
เนือ่ งจากกระจกนนู ให้ภาพเสมือนหวั ตงั้ เลก็ กวา่ วตั ถเุ สมอ และชว่ ยให้เหน็ มมุ มองของภาพกว้างขนึ ้ อีกด้วย นอกจากนี ้
กระจกนนู ยงั ใช้ตดิ ตงั้ บริเวณทางเลยี ้ ว เพ่อื ชว่ ยให้มองเห็นรถยนตท์ วี่ ง่ิ สวนทางมา
2.กระจกเว้า นามาใช้ประกอบกบั กล้องจลุ ทรรศน์ เพ่อื ชว่ ยรวมแสงไปตกทแี่ ผน่ สไลด์ ทาให้มองเห็นภาพได้ชดั เจนขนึ ้ ทา
กล้องโทรทศั น์ชนดิ สะท้อนแสง กล้องโทรทศั น์วิทยุ ทาเตาสรุ ิยะ ทาจานดาวเทยี ม เพ่ือรับสญั ญาณโทรทศั น์ ทาจานรับ
เรดาร์ นอกจากนสี ้ มบตั ิอยา่ งหนงึ่ ของกระจกเว้าคือ เมอื่ นามาสอ่ งดวู ตั ถใุ กล้ๆ โดยให้ระยะวตั ถนุ ้อยกวา่ ระยะโฟกสั แล้ว
จะได้ภาพเสมือน หวั ตงั้ ขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุ อยขู่ ้างหลงั กระจก จงึ ได้นาสมบตั ิข้อนขี ้ องกระจกเว้ามาใช้ทากระจกสาหรับ
โกนหนวดหรือกระจกแตง่ หน้า และใช้ทากระจกสาหรับทนั ตแพทย์ใช้ตรวจฟันคนไข้
การเกดิ ภาพจากเลนส์
เลนส์ (Lens) คอื วตั ถโุ ปร่งใสทม่ี ผี ิวหน้าโง สว่ นใหญ่ทามาจากแก้วหรือพลาสติก
ชนิดของเลนส์ แบง่ ออกเป็ น 2 ชนดิ คือ
1. เลนส์นูน (Convex Lens) คอื เลนสท์ ่มี ีลกั ษณะตรงกลางหนากวา่ สว่ นขอบ ดงั ภาพ
เลนส์นูน 2 หน้า เลนส์นูนแกมระนาบ เลนส์นูนแกมเว้า
เลนสน์ นู ทาหน้าทรี่ วมแสง หรือลแู่ สงให้เข้ามารวมกนั ทจ่ี ดุ จดุ หนงึ่ เรียกวา่ จดุ รวมแสง หรือ จดุ โฟกสั ดงั ภาพ
2. เลนส์เว้า (Concave Lens) คอื เลนส์ท่ีมีลกั ษณะตรงกลางบางกวา่ ตรงขอบ ดงั รูป
...................... .................
เลนส์เว้า 2 หน้า.....................เลนส์เว้าแกมระนาบ................เลนส์เว้าแกมนูน
เลนสเ์ ว้าทาหน้าทก่ี ระจายแสง หรือ ถ่างแสงออก เสมอื นกบั แสงมาจากจดุ โฟกสั เสมือนของเลนสเ์ ว้า ดงั ภาพ
ส่วนประกอบของเลนส์
เลนส์นูน เลนส์เว้า
แนวทิศทางของแสงที่สอ่ งมายงั เลนสเ์ รียกวา่ แนวรังสขี องแสง ถ้าแสงมาจากระยะไกลมาก หรือระยะอนนั ต์ เชน่
แสงจากดวงอาทติ ย์หรือดวงดาวตา่ งๆ แสงจะสอ่ งมาเป็ นรังสขี นาน
จดุ โฟกสั ของเลนสห์ รือจดุ F ถ้าเป็ นเลนสน์ นู จะเกิดจากรังสหี กั เหไปรวมกนั ท่ีจดุ โฟกสั แตถ่ ้าเป็ นเลนสเ์ ว้าจะเกิด
จดุ เสมือนแสงมารวมกนั หรือจดุ โฟกสั เสมอื น
แกนมขุ สาคญั (Principal axis) คือเส้นตรงทลี่ ากผา่ นกงึ่ กลางของเลนส์และจดุ ศนู ย์กลางความโค้งของผิวเลนส์
จดุ O คอื จดุ ใจกลางเลนส์ (Optical center)
จดุ C คือ จดุ ศนู ย์กลางความโค้งของผิวเลนส์ ( Center of Curvature)
OC เป็ น รัศมคี วามโค้ง (Radius of curvature) เขยี นแทนด้วย R
F เป็ นความยาวโฟกสั (Focal length) โดยความยาวโฟกสั จะเป็ นคร่ึงหนง่ึ ของรัศมคี วามโค้ง (R = 2F)
การเขยี นทางเดนิ ของแสงผ่านเลนส์
เราสามารถหาตาแหนง่ และลกั ษณะของภาพทเ่ี กิดจากเลนสน์ นู หรือเลนสเ์ ว้าโดยวิธีการเขียนทางเดนิ ของแสงผา่ นเลนส์ได้
ซงึ่ มลี าดบั ขนั้ ตอนดงั นี ้
เขยี นเลนส์ แกนมขุ สาคญั จดุ โฟกสั และจดุ ก่งึ กลางของเลนส์
กาหนดตาแหนง่ วตั ถุ ใช้รงั สี 2 เส้นจากวตั ถุ เส้นแรกคือรังสที ีข่ นานแกนมขุ สาคญั แล้วหกั เหผา่ นจดุ โฟกสั ของ
เลนส์ และเส้นท่ี 2 คอื รังสจี ากวตั ถผุ า่ นจดุ ก่งึ กลางของเลนสโ์ ดยไมห่ กั เห จดุ ท่รี งั สที งั้ 2 ตดั กนั คือ ตาแหนง่ ภาพ
การเกดิ ภาพจริงและภาพเสมอื น มลี กั ษณะดงั นี ้
- ถ้ารังสขี องแสงทงั้ 2 เส้นตดั กนั จริง จะเกิดภาพจริง
- ถ้ารงั สขี องแสงทงั้ สองเส้นไมต่ ดั กนั จริง จะเกิดภาพเสมอื น
ภาพท่เี กิดจากเลนส์
1. ภาพท่เี กดิ จากเลนส์นูน
o เลนส์นนู สามารถให้ทงั้ ภาพจริงและภาพเสมอื น และภาพจริงเป็ นภาพท่ฉี ากสามารถรับได้เป็ นภาพหวั
กลบั กบั วตั ถุ สว่ นภาพเสมือนเป็นภาพทีฉ่ ากไมส่ ามารถรับได้ เป็ นภาพหวั ตง่ั เหมือนวตั ถุ
o ภาพจริงทเี่ กิดจากเลนส์นนู มหี ลายขนาด ทงั้ นขี ้ นึ ้ อยกู่ บั ระยะวตั ถุ และตาแหนง่ ภาพจริงทจ่ี ะเกิดหลงั
เลนส์
o ภาพเสมือนท่ีเกิดจากเลนสน์ นู มขี นาดใหญ่กวา่ วตั ถแุ ละตาแหนง่ ภาพเสมอื นจะเกิดหน้าเลนส์
เลนส์นนู จะให้ทงั้ ภาพจริงและภาพเสมอื น ทงั้ นขี ้ นึ ้ อยกู่ บั ตาแหนง่ ของวตั ถุ ถ้าระยะวตั ถมุ ากกวา่ ความยาวโฟกสั จะเกิด
ภาพจริง แตถ่ ้าระยะวตั ถนุ ้อยกวา่ ความยาวโฟกสั จะเกดิ ภาพเสมอื น
2. ภาพท่เี กดิ จากเลนส์เว้า
เลนสเ์ ว้าให้ภาพเสมือนเพียงอยา่ งเดยี ว ไมว่ า่ ระยะวตั ถจุ ะมากหรือน้อยกวา่ ความยาวโฟกสั และขนาดภาพมขี นาดเลก็
กวาวตั ถเุ ทา่ นนั้
การคานวณหาชนิดและตาแหนง่ ของภาพทีเ่ กิดจากเลนส์
สตู ร 1/f = 1/s + 1/s’
m = I/O = s’/s
s คือ ระยะวตั ถุ ( จะมเี ครื่องหมายเป็ น + เมอื่ เป็ นวตั ถจุ ริง เป็ น – เมื่อเป็ นวตั ถเุ สมอื น)
s’ คือ ระยะภาพ ( ถ้าภาพจริงใช้เครื่องหมาย + และภาพเสมอื นใช้เคร่ืองหมาย –)
f คอื ความยาวโฟกสั ของเลนส์ ( เคร่ืองหมาย + สาหรับเลนส์นนู และเคร่ืองหมาย – สาหรับเลนสเ์ ว้า)
m คือ กาลงั ขยายของเลนส์ ( เครื่องหมาย + สาหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เคร่ืองหมาย –)
I คอื ขนาดหรือความสงู ของภาพ ( เครื่องหมาย + สาหรับภาพจริง และภาพเสมือนใช้เคร่ืองหมาย –)
O คอื ความสงู ของวตั ถุ ( จะมเี คร่ืองหมาย + เสมอ)
ความสว่าง
1. อตั ราการให้พลังงานแสงของแหล่งกาเนิดแสง
แสงเป็ นพลงั งานรูปหนง่ึ และทาให้เกิดความสวา่ งบนพนื ้ ท่ีท่ีแสงตกกระทบ วตั ถทุ ่ีผลติ แสงได้ด้วยตวั เอง เรียกวา่
แหลง่ กาเนดิ แสง เชน่ ดวงอาทติ ย์ เทียนไข และหลอดไฟฟ้ า และปริมาณพลงั งานแสงท่ีส่องออกมาจากแหลง่ กาเนดิ แสง
ใดๆ ตอ่ หนงึ่ หนว่ ยเวลา เรียกวา่ อตั ราการให้พลงั งานแสงของแหลง่ กาเนิดแสง มหี นว่ ยเป็ น ลเู มน(lumen ; lm)
2. ค่าความสว่าง
พลงั งานแสงท่ีทาให้เกิดความสวา่ งบนพนื ้ ทท่ี ่รี ับแสง ถ้าพิจารณาพนื ้ ที่ใดๆ ทีร่ ับแสง ความสวา่ งบนพนื ้ ท่นี นั้ หาได้จาก
F เป็ น อตั ราพลงั งานแสงทีต่ กบนพนื ้ มีหนว่ ยเป็ นลเู มน (lumen : lm)
A เป็ น พนื ้ ท่รี ับแสง มีหนว่ ยเป็ นตารางเมตร m 2
E เป็ น ความสวา่ ง มหี นว่ ยเป็ นลกั ซ์ (lux ; lx)
การตอบสนองของนัยน์ตาต่อความเข้มของแสง
เนือ่ งจากนยั นต์ าเป็ นอวยั วะที่มคี วามไวตอ่ แสงมาก สามารถรับรู้ได้เมอ่ื มีแสงสวา่ งเพยี งเลก็ น้อย เชน่ แสงจากดวงดาวท่ี
อยไู่ กลในคนื เดือนมดื จนถงึ แสงสวา่ งท่ีมีปริมาณมาก ทงั้ นเี ้นื่องจากเรตินาจะมเี ซลลร์ ับแสง 2 ชนดิ คอื
1. เซลล์รูปแท่ง(Rod Cell) ทาหน้าทรี่ ับแสงสวา่ ง ( สลวั ) ทไี่ วมาก สามารถมองเหน็ ภาพขาวดา เซลล์ รูปแทง่ จะไวเฉพาะ
ตอ่ แสงทม่ี ีความเข้มน้อย โดยจะไมส่ ามารถจาแนกสขี องแสงนนั้ ได้
2. เซลล์รูปกรวย(Cone Cell) จะไวเฉพาะตอ่ แสงท่ีมคี วามเข้มสงู ถดั จากความไวของเซลลร์ ูปแทง่ และสามารถจาแนก
แสงแตล่ ะสไี ด้ด้วย เซลลร์ ูปกรวยมี 3 ชนดิ แตล่ ะชนิดจะมคี วามไวตอ่ แสงสปี ฐมภมู ติ า่ งกนั ชนิดท่หี นงึ่ มีความไวสงู สดุ ตอ่
แสงสนี า้ เงิน ชนดิ ที่สองมคี วามไวสงู สดุ ตอ่ แสงสเี ขยี ว และชนดิ ท่ีสามมคี วามไวสงู สดุ ตอ่ แสงสแี ดง เม่อื มแี สงสตี า่ งๆ ผา่ น
เข้าตามากระทบเรตนิ า เซลลร์ ับแสงรูปกรวยจะถกู กระต้นุ และสญั ญาณกระต้นุ นจี ้ ะถกู สง่ ผา่ นประสาทตาไปยงั สมอง เพ่อื
แปรความหมายออกมาเป็ นความรู้สกึ เหน็ เป็ นสขี องแสงนนั้ ๆ
ความเข้มของแสงต่อนัยน์ตามนุษย์
ดวงตาของมนษุ ย์สามารถรับแสงท่ีมีความเข้มน้อยมากๆ เชน่ แสงริบหร่ีในห้องมดื ๆ ไปจึงถึงแสงสวา่ งจ้าของแสงแดด
ตอนเทยี่ งวนั ซง่ึ มคี วามเข้มแสงมากกวา่ ถึง 10 เทา่ นอกจากนดี ้ วงตายงั สามารถปรับให้มองเหน็ ได้แม้ตวั อกั ษรทเ่ี ป็ น
ตวั พมิ พเ์ ลก็ ๆ สามารถบอกรูปร่างและทรวดทรงทแ่ี ตกตา่ งกนั ในทท่ี ีม่ คี วามเข้มของแสงแตกตา่ งกนั มากๆได้ โดยการปรับ
ของรูมา่ นตา ดงั ภาพ
การมองเหน็ วตั ถุ
การมองเหน็ วตั ถุ เกิดจากการท่แี สงไปตกกระทบสง่ิ ตา่ งๆ แล้วเกดิ การสะท้อนเข้าสตู่ าเรา และผา่ นเข้ามาในลกู ตา ไปทาให้
เกิดภาพบนจอ (Retina) ทอี่ ยดู่ ้านหลงั ของลกู ข้อมลู ของวตั ถทุ ม่ี องเหน็ จะสง่ ขนึ ้ ไปสสู่ มองตามเส้นประสาท (optic nerve)
สมองจะแปลข้อมลู เป็ นภาพของวตั ถนุ นั้
ทาความรู้จักคาศัพท์ระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง
ระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง จดั เป็ นงานระบบไฟฟ้ าทมี่ กั จะได้รับการออกแบบเป็ นอนั ดบั แรกเสมอ เมือ่ มีการ
ออกแบบระบบไฟฟ้ าภายในอาคาร และถ้าออกแบบระบบไฟฟ้ าแสงสวา่ งอยา่ งเหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพก็จะสามารถ
ประหยดั การใช้พลงั งานไฟฟ้ าภายในอาคารได้ อยา่ งไรก็ตามควรคานงึ ถงึ ประสทิ ธิภาพการทางานเป็ นหลกั เพราะหากการ
ประหยดั แสงสวา่ งแล้วกอ่ ให้ประสทิ ธิภาพของผ้ใู ช้งานอาคารลดลง เกิดอบุ ตั ิเหตุ หรือการสญู เสยี ต่าง ๆ จากสภาพท่ไี ม่
ปลอดภยั เชน่ นนั้ แล้วก็ถือวา่ ไมเ่ หมาะสมและไมป่ ระหยดั คา่ ใช้จา่ ยสทุ ธิท่ีแท้จริง ดงั นนั้ การออกแบบระบบไฟฟ้ าแสงสวา่ ง
ให้ประหยดั พลงั งานทีแ่ ท้จริง ควรมงุ่ เน้นให้ระบบมกี ารใช้พลงั งานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ มีระดบั การสอ่ งสวา่ งทเ่ี พียงพอ
เหมาะสมตอ่ การใช้งาน และได้คณุ ภาพของแสงสวา่ งท่ดี ี ซงึ่ สง่ิ เหลา่ นคี ้ ือสง่ิ ท่ีแสดงถงึ คณุ ภาพของแสงสวา่ งท่ดี ี หากมี
ความรู้ความเข้าใจพืน้ ฐานเป็ นอยา่ งดี ยอ่ มสามารถออกแบบหรือเลอื กใช้ระบบไฟฟ้ าแสงสวา่ งได้อยา่ งเหมาะสมและมี
ประสทิ ธิภาพ โดยมีรายละเอยี ดดงั นี ้
ฟลกั ซ์การส่องสว่าง (Luminous Flux) คือ ปริมาณแสงทงั้ หมดทสี่ อ่ งออกจากแหลง่ กาเนดิ แสง เชน่ หลอดไฟ
มีหนว่ ยเป็ น ลเู มน (Lumen, lm)
ความเข้มการส่องสว่าง (Luminous Intensity, I) คอื ความเข้มของแสงทีส่ อ่ งออกมาจากแหลง่ กาเนิดแสงใน
ทิศทางใดทิศทางหนงึ่ มกั ใช้แสดงความเข้มของแสงท่ีมมุ ตา่ งๆ ของโคมไฟ มหี นว่ ยเป็ น แคนเดลา (Candela, cd)
ความสอ่ งสวา่ ง (Illuminance, E) คอื ปริมาณแสงท่ตี กกระทบบนพนื ้ ผิวตอ่ พนื ้ ที่ อาจเรียกวา่ ระดบั ความสวา่ ง (Lighting
Illuminance level) เพอ่ื บอกวา่ พนื ้ ที่นนั้ ๆ ได้รับแสงสวา่ งมากน้อยเพยี งใด มหี นว่ ยเป็ น ลเู มนตอ่ ตารางเมตร หรือ ลกั ซ์
(Lux, lx) คา่ ท่เี หมาะสมสาหรับแตล่ ะพนื ้ ท่ีสามารถดคู าแนะนาได้จากมาตรฐาน TIEA-GD 003 ของสมาคมไฟฟ้ าแสง
สวา่ งแหง่ ประเทศไทย
ความสว่าง (Luminance, L) คอื ปริมาณแสงสะท้อนออกมาจากพนื ้ ผวิ ใดๆ ในทิศทางใดทิศทางหนง่ึ ตอ่ พนื ้ ท่ี
หรือเรียกวา่ ความจ้า (Brightness) ซง่ึ ปริมาณแสงท่ีเทา่ กนั เมอ่ื ตกกระทบลงมาบนวตั ถทุ ่ีมสี ตี า่ งกนั จะมปี ริมาณแสง
สะท้อนกลบั ตา่ งกนั ทาให้เหน็ วตั ถมุ ีความสวา่ งตา่ งกนั มหี นว่ ยเป็น แคนเดลาตอ่ ตารางเมตร
อุณหภมู สิ ขี องแสง (Color Temperature) เป็ นการะบสุ ขี องแสงทีป่ รากฏให้เห็น โดยเทยี บกยั สที ีเ่ กิดจากการ
เปลง่ สขี องการเผาไหม้วตั ถดุ าอดุ มคติ (Black body) ให้ร้อนทอ่ี ณุ หภมู ทิ ่ีกาหนด มีหนว่ ยเป็ น เคลวนิ (Kelvin, K) เชน่ แสง
จากหลอดไส้หรือหลอดอนิ แคนเดสเซนต์มอี ณุ หภทู ิสี 2,700 K มีอณุ หภมู ติ ่า แสงทไี่ ด้จะอยใู่ นโทนสรี ้อน (สแี ดง) สว่ น
แสงอาทติ ย์ในชว่ งเวลาเที่ยงวนั ทใ่ี ห้แสงสขี าวนนั้ มีอณุ หภมู ิสปี ระมาณ 5,500 K หรือแสงจากหลอดฟลอู อเรสเซนต์ชนดิ สี
เดย์ไลต์ (Daylight) ท่มี อี ณุ หภมู สิ ี 5,500 K สามารถเปลง่ แสงออกมาเป็ นสขี าว
***อณุ หภูมิสีของแสงจะแตกตา่ งจากอณุ หภูมิความร้อน กล่าวคือ หลอดไฟทีม่ ีอณุ หภูมิสีต่าจะใหโ้ ทนสีอ่นุ (Warm
white) สว่ นหลอดไฟทีม่ ีอณุ หภูมิสีสงู จะใหโ้ ทนสีเย็น (Cool white/ Daylight) ซึ่งจะตรงขา้ มกบั อณุ หภูมิความร้อน การ
เลือกใชแ้ สงทีม่ ีอณุ หภูมิสีตา่ งกนั จะทาใหไ้ ดบ้ รรยากาศท่แตกตา่ งกนั ***
ความเส่อื มของหลอด (Lamp Lumen Depreciation, LLD) คือ อตั ราสว่ นปริมาณแสงทเี่ หลอื อยู่ เมื่อหลอดไฟ
ครบอายใุ ช้งานเทยี บกบั คา่ ฟลกั ซ์การสอ่ งสวา่ งเร่ิมต้น เนื่องจากการเสอ่ื มสภาพของหลอดไฟแตล่ ะชนิด
ดัชนีความถกู ต้องของสี (Color Rendering Index, CRI or Ra) เป็ นคา่ ท่ีบอกวา่ แสงที่สอ่ งไปถกู วตั ถุ ทาให้
เหน็ สขี องวตั ถไุ ด้ถกู ต้องมาก/น้อยเพียงใด คา่ ดชั นนี ไี ้ มม่ หี นว่ ย มคี า่ ตงั้ แต่ 0 – 100 โดยกาหนดแสงอาทติ ย์ชว่ งกลางวนั
เป็ นดชั นอี ้างองิ เปรียบเทียบท่ีมคี า่ Ra = 100 ดงั นนั้ หากหลอดไฟท่มี คี า่ Ra ตา่ จะทาให้สขี องวตั ถพุ ยี ้ นไปได้
ค่าประสทิ ธิผลการส่องสว่างของหลอด (Lamp Luminous Efficacy) คืออตั ราสว่ นระหวา่ งปริมาณแสงที่
หลอดเปลง่ ออกมาได้ (ปริมาณฟลกั ซ์การสอ่ งสวา่ งทอ่ อกจากหลอด โดยทวั่ ไปวดั ทค่ี า่ ฟลกั ซ์การสอ่ งสวา่ งเร่ิมต้น คือ หลงั
หลอดทางานแล้ว 100 ชว่ั โมง) ตอ่ กาลงั ไฟฟ้ าทีห่ ลอด มีหนว่ ยเป็ น ลเู มนตอ่ วตั ต์ (lu/W) เรียกวา่ คา่ ประสทิ ธิผลการสอ่ ง
สวา่ งของหลอด แตถ่ ้าหากคา่ กาลงั ไฟฟ้ าท่ีใช้ ไม่ใช่คา่ กาลงั ไฟฟ้ าท่ีหลอด แตเ่ ป็ นคา่ กาลงั ไฟฟ้ าของวงจรหรือคา่ กาลงั ท่ี
หลอดรวมบลั ลาสต์ จะเรียกวา่ คา่ ประสทิ ธิผลการสอ่ งสวา่ งของวงจร หรือ คา่ ประสทิ ธิผลการสอ่ งสวา่ งของหลอดรวมบลั
ลาสต์ (Circuit Luminous Efficacy or System Luminous Efficacy)
***ค่าประสิทธิผลเป็นค่าที่คลา้ ยกบั ค่าประสิทธิภาพตรงทีเ่ ป็นการเปรียบเทียบสมรรถนะ เพือ่ บอกว่าอปุ กรณ์ดงั กล่าวจะให้
สมรรถนะสงู เพียงใด แต่ต่างกนั ตรงทีค่ ่าประสิทธิภาพนนั้ เป็นการเปรียบเทียบเรื่องเดียวกนั ดงั นน้ั หนว่ ยจึงหกั ลา้ งกนั หมด
ทาใหไ้ ม่มีหนว่ ย จึงนิยมเรียกเป็น ร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ ส่วนค่าประสิทธผลจะเป็นการเปรียบเทียบเรื่องตา่ งกนั จึงยงั คงมี
หนว่ ย***
ดัชนีคุณภาพของบัลลาสต์ (Quality Index) คอื คา่ ทใี่ ช้บอกประสทิ ธิภาพการใช้พลงั งานของบลั ลาสต์
หมายถึง อตั ราสว่ นระหวา่ งกาลงั ไฟฟ้ าที่บลั ลาสต์จา่ ยให้หลอดหรือกาลงั ไฟฟ้ าท่ีหลอด (Lamp power) กบั กาลงั ไฟฟ้ า
สญู เสยี ในบลั ลาสต์ (Ballast loss) เชน่ คา่ ดชั นคี ณุ ภาพขนั้ ตา่ ของบลั ลาสต์กาลงั สญู เสยี ตา่ (Low loss ballast) สาหรับ
หลอดฟลอู อเรสเซนต์แบบหลอดตรง 36 วตั ตค์ วรมคี า่ ไมน่ ้อยกวา่ 6.0
ค่าประสทิ ธิภาพของโคมไฟ (Luminaire Efficiency) คอื คา่ ทใี่ ช้บอกประสทิ ธภาพการให้แสงของโคมไฟ ซงึ่
มาจากคา่ อตั ราสว่ นของแสงโดยรวมท่อี อกจากโคม เมือ่ เทยี บกบั แสงท่ีออกจากหลอดทต่ี ดิ ตงั้ เช่น โคมฟลอู อเรสเซนต์
ตะแกรงโดยทว่ั ไป อาจมคี า่ ประสทิ ธิภาพของโคมไฟ ประมาณ 60 % แตโ่ คมฟลอู อเรสเซนต์ตแกรงแบบประสทิ ธิภาพสงู
จะมีคา่ ประสทิ ธิภาพโคมไฟมาถงึ 80 % ซงึ่ หมายความวา่ หากหลอดเปลง่ แสงออกจากหลอดคดิ เป็ น 100 % เมอ่ื นาหลอด
ประเภทนไี ้ ปติดตงั้ ในโคมไฟประสทิ ธิภาพสงู จะให้ออกจากดวงโคมมากถงึ 80 %
แสงบาดตา (Glare) หมายถึง สภาพแสงที่เข้าตาแล้วทาให้มองเห็นวตั ถไุ ด้ยากหรือมองไมเ่ หน็ เลย ทาให้
สามารถแบง่ แสงบาดตาออกเป็ น 2 ลกั ษณะใหญ่ คอื
- แสงบาดตาแบบไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ (disability glare) เป็ นแสงบาดตาประเภททไี่ มส่ ามารถมองเหน็
วตั ถไุ ด้ เช่น แสงจ้าจากดวงอาทิตย์
- แสงบาดตาแบบไมส่ บายตา (Discomfort glare) เป็ นแสงบาดตาประเภททยี่ งั มองเห็นวตั ถไุ ด้ แตเ่ ป็ นไป
ด้วยความยากลาบากและไมส่ บายตา เพราะมแี สงย้อนเข้าตา เชน่ แสงสะท้อนบนหน้าจอคอมพวิ เตอร์
***การออกแบบแสงสว่างทีด่ ี ตอ้ งจดั ตาแหนง่ ติดตง้ั โคมและเลือกใชโ้ คมไฟใหเ้ หมาะสม เพือ่ ใหเ้ กิดแสงบาด
ตานอ้ ยทีส่ ดุ ซึ่งสามารถพิจารณาไดจ้ ากค่า UGR***
UGR (Unified Glare Rating System) เป็ นเกณฑ์ตามมาตรฐาน CIE หรือ Commission International
del’Eclairage) ในการประเมนิ แสงบาดตาของการให้แสงสวา่ งภายในอาคาร แทนการใช้กราฟแสงบาดตา โดยสเกลของ
คา่ UGR คือ 13 16 19 22 25 และ 28 โดยคา่ 13 หมายถงึ มีแสงบาดตาน้อย สว่ น 28 หมายถงึ มแี สงบาดตามาก
ประเภทของหลอดไฟฟ้ า
จานวนผ้เู ย่ยี มชมหน้านี ้
หลอดไฟฟ้ าแบง่ ออกเป็ น 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ คอื
1. หลอดมีไส้ (Incandescent Lamp)
2. หลอดปลอ่ ยประจุ (Gas Discharge Lamp)
หลอดมไี ส้ ประกอบด้วย
1. หลอด Incandescent
2. หลอด Tungsten Halogen
หลอดปล่อยประจุ ประกอบด้วย
1. หลอดความดนั ไอตา่ ได้แก่
1.1 หลอดฟลอู อเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp)
1.2 หลอดคอมแพคท์ฟลอู อเรสเซนต์ (Compact Fluorescent Lamp)
1.3 หลอดโซเดียมความดนั ไอตา่ (Low Pressure Sodium Lamp)
2. หลอดความดนั ไอสงู ได้แก่
2.1 หลอดไอปรอท (Mercury Vapor Lamp)
2.2 หลอดโซเดยี มความดนั ไอสงู (High Pressure Sodium Lamp)
2.3 หลอดเมทลั ฮาไลด์ (Metal Halide Lamp)
ดงั นนั้ การเลอื กหลอดไฟฟ้ ามาใช้งาน จงึ ต้องพจิ ารณาถงึ คณุ สมบตั ิตา่ งๆ ของหลอดแตล่ ะประเภทให้มี
ความเหมาะสมกบั สภาพงานแตล่ ะประเภทที่ต้องการออกแบบให้แสงสวา่ ง
ข้อควรพิจารณาในการเลอื กใช้หลอดไฟฟ้ า
1. ฟลก๊ั การสอ่ งสวา่ ง (Luminous Flux) หมายถงึ ปริมาณแสงของหลอด หนว่ ยเป็ น lumen
2. ประสทิ ธิผล (Luminous Efficacy) หมายถงึ จานวนปริมาณแสงตอ่ วตั ต์ หนว่ ยเป็ น lumen/watt (lm/w)
3. ความถกู ต้องของสี (Color Rendering) หมายถงึ ความถกู ต้องของสวี ตั ถเุ มอ่ื ถกู สอ่ งด้วยแสงจาก
หลอดไฟ วา่ มีความถกู ต้องมากน้อยเพยี งใด หนว่ ยเป็ นเปอร์เซนต์
4. อณุ หภมู สิ ี (Color Temperature) ของหลอด มีหนว่ ยเป็นองศาเคลวิน (Kelvin)
5. มมุ องศาการใช้งาน (Burning Position) เป็ นองศาในการตดิ ตงั้ หลอดตามท่ีผ้ผู ลติ กาหนด ซง่ึ มีผลตอ่
หลอดบางชนดิ
6. อายกุ ารใช้งาน (Life) เป็ นอายโุ ดยเฉลยี่ ของหลอด หนว่ ยเป็ นชว่ั โมง
7. สถานที่ โดยหลอดไฟต้องเหมาะสมกบั สถานที่นนั้ ๆ เชน่ ห้องเรียน และสนามกีฬาต้องการใช้หลอดไฟ
ตา่ งกนั
8. อณุ หภมู ิ (Temperature) เนื่องจากหลอดบางชนดิ อาจทางานไมไ่ ด้เลยทอ่ี ณุ หภมู ติ า่ มากๆ หรือให้
ปริมาณแสงน้อยลง
9. คณุ ลกั ษณะการทางาน (Operaing Characteristic) ได้แก่เวลาในการจดุ หลอด (start) , การติดใหม่
อกี ครัง้ (restart) และความต้องการในการหร่ีไฟ เน่ืองจากหลอดตา่ งชนดิ กนั ใช้เวลาจดุ ไส้หลอดตา่ งกนั และบาง
ชนดิ ไมส่ ามารถหร่ีได้
10. ราคา (Cost) เป็ นคา่ ใช้จา่ ยทต่ี ้องเสยี ไปในการลงทนุ ตดิ ตงั้ ครัง้ แรก รวมถงึ คา่ บารุงรักษาหลงั ติดตงั้
ภาพแสดงอณุ หภมู สิ ขี องหลอดไฟ
หลอดธรรมดา (Incandescent Lamp)
จานวนผ้เู ยย่ี มชมหน้านี ้
หลอดอนิ แคนเดสเซนตเ์ ป็ นหลอดทไ่ี มป่ ระหยดั พลงั งาน การใช้หลอดประเภทนใี ้ ช้เฉพาะในพนื ้ ท่ที ่ตี ้องการ
วตั ถปุ ระสงค์ทางด้านความสวยงาม แสงสี หรือ กรณีทต่ี ้องการเน้นโดยทหี่ ลอดอ่นื ทาไมไ่ ด้ สามารถหรี่ไฟได้โดยงา่ ย
ราคาถกู และจดุ ตดิ ทนั ที มีอณุ หภมู ิสปี ระมาณ 2500 - 2700 องศาเคลวนิ แตใ่ ห้ดชั นีความถกู ต้อง ของสถี ึง 97 % หาก
จาเป็ นต้องใช้หลอดประเภทนี ้ หลอดฮาโลเจนเป็ นหลอดท่ปี ระหยดั ทีส่ ดุ ในตระกลู นี ้แตก่ ย็ งั ถือวา่ เป็ นหลอดไมป่ ระหยดั
พลงั งานเม่อื เทยี บกบั หลอดชนดิ อ่นื ๆ
กรณีทีจ่ าเป็ นต้องใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์เราสามารถยืดอายกุ ารใช้งานของหลอดได้โดยใช้สวิตช์หร่ี
ไฟ สาหรับหลอดฮาโลเจน การหรี่ไฟอาจทาให้อายกุ ารใช้งานสนั้ หากหลกี เลย่ี งได้ ไมค่ วรใช้หลอดอนิ แคนเดสเซนต์
หรือหลอดฮาโลเจนในการให้แสงสวา่ งมากนกั เนือ่ งจากคา่ ประสทิ ธิภาพผล (ลเู มนตอ่ วตั ต)์ ต่า ซงึ่ ทาให้สนิ ้ เปลอื งพลงั งาน
มาก
หลอดธรรมดา จะมอี ยู่ 2 แบบ คอื
1. แบบขวั้ เกลยี ว
2. แบบขวั้ เขยี ้ ว
ในปัจจบุ นั ท่ใี ช้กนั อยจู่ ะเป็ นแบบขวั้ เกลยี วเป็ นสว่ นใหญ่
ส่วนประกอบของหลอดธรรมดา
ทม่ี า : http://utitpo.blogspot.com/p/blog-page_62.html
หลกั การทางาน
เม่ือจา่ ยกระแสไฟฟ้ าให้กบั หลอด กระแสไฟฟ้ าจะไหลผา่ นหลอด ทาให้ไส้หลอดซงึ่ ทาจากโลหะทงั สเตนเกิด
การเผาไหม้ ทาให้เกิดความร้อนจนสามารถเปลง่ แสงขนึ ้ มาทาให้เกิดแสงสวา่ ง ดงั นนั้ พลงั งานทใี่ ช้กบั หลอดชนดิ นจี ้ ึง
สญู เสยี ไปกบั ความร้อน ประมาณ 90 % เหลอื เป็ นพลงั งานแสง ประมาณ 10 % หลอดชนิดนจี ้ ึงไมป่ ระหยดั ไฟ
ข้อดีของหลอดธรรมดา
1. ให้แสงสวา่ งเป็ นธรรมชาติ
2. ติดทนั ทที ี่เปิ ด ไมต่ ้องรอสตาร์ท
3. ราคาถกู
4. ตดิ ตงั้ และตรวจซอ่ มงา่ ย
5. หร่ีแสงได้ง่าย
ข้อเสยี ของหลอดธรรมดา
1. ไมป่ ระหยดั พลงั งาน โดยหลอดธรรมดา จะมีประสทิ ธิภาพ ประมาณ 10 ลเู มน/วตั ต์
2. อายกุ ารใช้งานสนั้ ประมาณ 1,000 ชวั่ โมง
การใช้งานหลอดธรรมดา
เหมาะกบั การให้แสงสวา่ งโดยทว่ั ๆไป โดยเฉพาะบริเวณทต่ี ้องการความรู้สกึ แบบอบอนุ่ การใช้แสงเน้น
บรรยากาศ เชน่ บ้าน โรงแรม ร้านอาหาร เป็ นต้น
หลอดทงั สเตน (Tungstan Lamp)
จานวนผ้เู ยย่ี มชมหน้านี ้
หลอดไฟฮาโลเจนคอื หลอดอินแคนเดสเซนต์ชนดิ หนงึ่ ทีม่ ไี ส้หลอดทงั สเตนบรรจอุ ยภู่ ายในเชน่ เดยี วกบั หลอด
อินแคนเดสเซนต์ทวั่ ไปซง่ึ อาจนาไปใช้งานภายในบ้านเรือนได้ อยา่ งไรก็ตามหลอดไฟนมี ้ แี ก๊สฮาโลเจน อนั ได้แกโ่ บรมีนหรือ
ไอโอดีน บรรจอุ ยู่ แหลง่ กาเนดิ แสงจากฮาโลเจนจะให้แสงขาวนวลทีช่ ดั เจนโดยมคี า่ ความถกู ต้องของสอี นั โดดเดน่ จงึ ทาให้
หลอดไฟชนดิ นีเ้หมาะอยา่ งยงิ่ สาหรับหลายๆ การใช้งาน
หลอดไฟฮาโลเจนรู้จกั กนั ในช่ือหลอดไฟควอตซ์ฮาโลเจน และหลอดไฟฮาโลเจนทงั สเตน ซง่ึ เป็ นรูปแบบหนง่ึ ที่
พฒั นาขนึ ้ จากหลอดอินแคนเดสเซนต์ที่ค้นุ เคยกนั เป็ นอยา่ งดี หลอดไฟฮาโลเจนมไี ส้หลอดทงั สเตนคล้ายกบั ในหลอดอิน
แคนเดสเซนต์มาตรฐาน แตต่ วั หลอดไฟมีขนาดเลก็ กวา่ ในขณะทใ่ี ห้กาลงั ไฟฟ้ าเทา่ กนั และมกี ารบรรจแุ ก๊สฮาโลเจนใน
หลอด ตวั หลอดแก้วทาด้วยควอตซ์ แก้วซลิ กิ า หรืออะลมู โิ นซลิ เิ กตหลอม หลอดไฟฮาโลเจนมคี วามแข็งแกร่งกวา่
หลอดแก้วแบบมาตรฐานเนื่องจากต้องบรรจแุ รงดนั สงู อณุ หภมู จิ ะสงู ขนึ ้ อยา่ งรวดเร็ว ฮาโลเจนจะร้อนขนึ ้ จนกลายเป็ น
แก๊สท่อี ณุ หภมู ติ ่าลง ฮาโลเจนคอื องค์ประกอบของโลหะโมโนวาเลนต์ชนดิ หนง่ึ ทจี่ ะรวมตวั กนั เป็ นออิ อนประจลุ บ สารฮาโล
เจนมอี ยหู่ ้าชนดิ ได้แก่ ฟลอู อรีน คลอรีน โบรมีน ไอโอดนี และแอสทาทีน หลอดไฟฮาโลเจนมีขนาดกะทดั รัดและให้คา่ ลู
เมนท่ีสงู
หลกั การทางาน
1. เม่อื มกี ระแสไหลผ่านไส้หลอด ทงั สเตนจะทางานทอี่ ณุ หภมู สิ งู ประมาณ 3000 องศาเคลวนิ ภายใน
หลอดแก้วควอทซ์ ท่ีมอี ณุ หภมู ิไมต่ า่ กวา่ 470 องศาเคลวิน ทาให้อนภุ าคของทงั สเตนระเหิดออกจากไส้หลอด
2. ระหวา่ งท่ีอนภุ าคของทงั สเตนซงึ่ ร้อน เคลอ่ื นท่ีหา่ งจากไส้หลอด ก็จะรวมตวั กบั อนภุ าคหรือโมเลกลุ ของสาร
ฮาโลเจน เมือ่ เคลอื่ นท่ีเข้าใกล้ผนงั แก้วควอทซ์มากขนึ ้ กจ็ ะรวมตวั กบั อนภุ าคของสารฮาโลเจนมากย่ิงขนึ ้
3. โมเลกลุ ที่เกิดจากการรวมกนั ของอนภุ าคทงั สเตนและสารฮาโลเจน เมื่ออณุ หภมู ติ า่ ลงจะกลายเป็ นโมเลกลุ ที่
ไมม่ ีเสถียรภาพ และวงิ่ เข้าหาไส้หลอด ระหวา่ งทว่ี ่ิงเข้าหาไส้หลอดอนภุ าคของสารฮาโลเจนจะแยกตวั ออกจากโมเลกลุ
ใหญ่ เนื่องจากความร้อน
4. เม่ือเข้าใกล้หลอดมากขนึ ้ อนภุ าคของสารฮาโลเจนก็จะแยกตวั ออกไปจนหมดเหลอื แตอ่ นภุ าคของทงั สเตน
วิ่งไปจบั ทไ่ี ส้หลอด
การใช้งานหลอดฮาโลเจน
ต้องติดตงั้ ภายในดวงโคมสาหรับหลอดฮาโลเจนโดยเฉพาะ เพ่ือป้ องกนั อนั ตรายท่จี ะเกดิ กบั กระเปาะแก้ว ทงั้ จาก
ความชืน้ และการสมั ผสั กระเปาะแก้วโดยตรง ดวงโคมท่พี บเห็นทวั่ ไปแสดงดงั รูป ซง่ึ ไมว่ า่ จะเป็ นโคมรุ่นใด โครงสร้าง
ภายในแทบไมต่ า่ งกนั โดยเฉพาะใช้กบั หลอดชนดิ ยาวตรง
ข้อดขี องหลอดฮาโลเจน
- คณุ ภาพแสงระดบั สงู โดยมคี า่ ความถกู ต้องของสที ี่ยอดเยยี่ ม (Ra=100)
- ปรับคา่ ความสวา่ งของแสงได้อยา่ งเตม็ ท่ี
- หลอดไฟฮาโลเจนเป็ นมิตรตอ่ สง่ิ แวดล้อมและโดดเดน่ ในการให้แสงสวา่ งเป็ นพิเศษ
- หลอดไฟฮาโลเจนมใี ห้เลอื กในหลากหลายขนาดและรูปทรง และออกแบบมาเพอ่ื ให้เหมาะกบั โคมไฟและการใช้
งานแบบตา่ งๆ
- อายกุ ารใช้งานยาวนานกวา่ หลอดอินแคนเดสเซนต์แบบธรรมดา
- ไมต่ ้องรอชว่ งอนุ่ ตวั หลอดไฟฮาโลเจนเปลง่ แสงสวา่ งเตม็ กาลงั ในทนั ที
- สามารถรักษาคา่ ความสอ่ งสวา่ งให้คงท่ีได้ตลอดอายกุ ารใช้งาน
โดยสรุป:
หากคณุ กาลงั มองหาวิธีทร่ี วดเร็วและงา่ ยดายทสี่ ดุ เม่ือต้องการเปลย่ี นแทนท่หี ลอดไฟแบบดงั้ เดมิ ให้กบั ทกุ จดุ ใน
บ้านของคณุ และยงั ต้องการคณุ ภาพของแสงทส่ี อ่ งสวา่ งชดั เจนและอบอนุ่ หลอดไฟฮาโลเจนคือตวั เลอื กทเ่ี หมาะสมอยา่ ง
ยง่ิ
ระบบการให้แสงสว่าง (Lighting System)
จานวนผ้เู ยี่ยมชมหน้านี ้
การสอ่ งสวา่ งภายในอาคารสานกั งาน บ้านอยอู่ าศยั โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน สามารถประหยดั พลงั งาน
แสงสวา่ งได้มากเมื่อเทยี บกบั การสอ่ งสวา่ งภายในอยา่ งอน่ื การสอ่ งสวา่ งภายในอาคารมคี วามสาคญั สองประการ คือ การ
ให้แสงสวา่ งเพ่อื ใช้งานได้สะดวกสบาย และ การให้แสงเพอ่ื ให้เกิดความสวยงาม ไมว่ า่ จะเป็ นการสอ่ งสวา่ งแบบใดก็ตามก็
ต้องคานงึ ถงึ การประหยดั พลงั งานแสงสวา่ งด้วยสาหรับในยคุ ปัจจบุ นั ที่พลงั งานไฟฟ้ าเป็ นสง่ิ จาเป็ นและหายากยง่ิ
เนอื ้ หาท่ีกลา่ วถงึ ในบทนมี ้ คี วามประสงค์ให้ศกึ ษาแสงสวา่ งเพอ่ื การใช้งานแตล่ ะสถานทว่ี า่ ประกอบด้วยแสงสวา่ ง
เพอ่ื การใช้งานแตล่ ะประเภทอยา่ งไร เพ่อื จะได้นาไปประยกุ ต์ใช้หรือเลือกใช้เพือ่ การประหยดั พลงั งานอยา่ งถกู ต้อง เพราะ
การประหยดั พลงั งานแสงสวา่ งทถ่ี กู ต้อง ต้องไมใ่ ห้เกดิ ความสญู เสยี ทางด้านอน่ื ด้วย เช่น ประหยดั พลงั งานแล้วทาให้ธุรกจิ
สญู เสยี รายได้จานวนมาก หรือประหยดั พลงั งานแล้วทาให้เกิดความเสย่ี งสงู ในการทางานทีท่ าให้เกิดอนั ตรายสงู เป็ นต้น
ดงั นนั้ เนอื ้ หาการประยกุ ตใ์ ช้งานในบทนเี ้ปรียบเสมอื นการกลา่ วถงึ การให้แสงสวา่ งทมี่ ีทงั้ การให้ความสอ่ งสวา่ งมากพอ
สาหรับการทางาน การให้แสงสวา่ งเพือ่ ความสวยงามด้วย ดงั นนั้ ผ้ทู ี่จะนาไปประยกุ ต์ใช้เพื่อให้เกิดความประหยดั พลงั งาน
ก็ต้องพจิ ารณาเลอื กใช้เพอ่ื ให้เข้ากบั การงานของตนเอง
การสอ่ งสวา่ งภายในเพื่อให้ใช้งานได้นนั้ หมายถงึ ต้องให้ได้ระดบั ความสอ่ งสวา่ งอยใู่ นเกณฑ์ทท่ี างานได้โดยไม่
ต้องทาให้เพง่ สายตามากเกินไป สว่ นการสอ่ งสวา่ งให้เกิดความสวยงามนนั้ ก็ต้องอาศยั ความมีศิลป์ ในตวั เพื่อพจิ ารณาใน
แง่การให้แสงแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) หรือการให้แสงแบบสอ่ งเน้น (Accent Lighting)
ระบบการให้แสงสวา่ งนนั้ ขนึ ้ อยกู่ บั การใช้งานของห้อง ผ้อู ยใู่ นห้อง การมองเห็น และสไตล์การตกแตง่ ระบบ
การให้แสงสวา่ งโดยพนื ้ ฐานประกอบด้วย ระบบการให้แสงหลกั (Primary Lighting System) และระบบการให้แสงรอง
(Secondary Lighting System)
ระบบการให้แสงหลกั ซง่ึ หมายถึงแสงสวา่ งพนื ้ ฐานทต่ี ้องใช้เพื่อการใช้งานซงึ่ แยกออกได้เป็ นระบบตา่ งๆดงั นี ้
ก) แสงสว่างท่วั ไป (General Lighting) คอื การให้แสงกระจายทว่ั ไปเทา่ กนั ทงั้ บริเวณพนื ้ ท่ใี ช้งาน ซงึ่ ใช้กบั การ
ให้แสงสวา่ งไมม่ ากเกินไป แสงสวา่ งดงั กลา่ วไมไ่ ด้เน้นเร่ืองความสวยงามมากนกั ดงั นนั้ การประหยดั พลงั งานสามารถทา
ได้ในแสงสวา่ งทว่ั ไปนี ้
ข) แสงสว่างเฉพาะท่ี (Localized Lighting) คือ การให้แสงสวา่ งเป็ นบางบริเวณเฉพาะท่ีทางานเทา่ นนั้ เพ่ือ
การประหยดั พลงั งานไฟฟ้ า โดยไมต่ ้องให้สม่าเสมอเหมอื นแบบแรก เชน่ การให้แสงสวา่ งจากฝ้ าเพดานโดยติดตงั้ เฉพาะ
เหนือโต๊ะหรือบริเวณใช้งานให้ได้ความสอ่ งสวา่ งตามต้องการ การให้แสงสวา่ งลกั ษณะนปี ้ ระหยดั กวา่ แบบ ก) ข้างต้น
ค) แสงสว่างเฉพาะท่แี ละท่วั ไป (Local Lighting + General Lighting) คือ การให้แสงสวา่ งทงั้ แบบทวั่ ไปทงั้
บริเวณ และเฉพาะที่ทีท่ างาน ซง่ึ มกั ใช้กบั งานทต่ี ้องการความสอ่ งสวา่ งสงู ซงึ่ ไมส่ ามารถให้แสงแบบแสงสวา่ งทวั่ ไปได้
เพราะเปลอื งคา่ ไฟฟ้ ามาก เชน่ การให้แสงสวา่ งจากฝ้ าเพดานเพอื่ สอ่ งบริเวณทวั่ ไป และที่โต๊ะทางานติดโคมตงั้ โต๊ะสอ่ ง
เฉพาะตา่ งหากเพ่อื ให้ได้ความสอ่ งสวา่ งสงู มากตามความต้องการของงาน
ระบบการให้แสงสว่างหลกั จะเน้นการออกแบบระบบแสงสวา่ งให้มีความสอ่ งสวา่ งเพยี งพอตามมาตรฐานเพ่อื
การใช้งานในแตล่ ะพนื ้ ท่ีนนั้ ๆ
ระบบการให้แสงรอง หมายถงึ การให้แสงนอกเหนอื จากการให้แสงหลกั เพ่ือให้เกิดความสวยงามเพือ่ ความ
สบายตา ซงึ่ แยกออกได้ดงั นี ้
ก) แสงสว่างแบบส่องเน้น (Accent Lighting) เป็ นการให้แสงแบบสอ่ งเน้นทว่ี ตั ถใุ ดวตั ถหุ นงึ่ เพอ่ื ให้เกดิ ความ
สนใจ โดยทวั่ ไปแสงประเภทนไี ้ ด้มาจากแสงสปอต
ข) แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) หมายถงึ แสงเพ่อื สร้างบรรยากาศทนี่ า่ สนใจ แตไ่ มไ่ ด้สอ่ งเน้น
วตั ถเุ พ่อื เรียกร้องความสนใจ เช่นโคมที่ตดิ ตงั้ ที่เพดานเพ่ือสร้างรูปแบบของแสงที่กาแพง เป็ นต้น
ค) แสงสว่างตกแต่ง (Decorative Lighting) เป็ นแสงทีไ่ ด้จากโคมหรือหลอดทสี่ วยงามเพื่อสร้างจดุ สนใจใน
การตกแตง่ ภายใน
ง) แสงสว่างงานสถาปัตย์ (Architectural Lighting) บางทกี ็เรียก Structural Lighting ให้แสงสวา่ งเพือ่ ให้
สมั พนั ธ์กบั งานทางด้านสถาปัตยกรรม เชน่ การให้แสงไฟจากหลบื การให้แสงจากบงั ตา หรือการให้แสงจากทซี่ อ่ นหลอด
จ) แสงสว่างตามอารมณ์ (Mood Lighting) แสงสวา่ งประเภทนไี ้ มใ่ ชเ่ ทคนิคการให้แสงพิเศษแตอ่ ยา่ งใด แต่
อาศยั การใช้สวติ ช์หรือตวั หรี่ไฟเพอื่ สร้างบรรยากาศของแสงให้ได้ระดบั ความสอ่ งสวา่ งตามการใช้งานที่ต้องการ
ระบบการให้แสงสว่างรอง คือ การออกแบบให้มีแสงสวา่ งให้เกดิ ความสวยงาม หรือเน้นเพื่อให้เกิดความ
สนใจ สบายตา และอารมณ์
ระบบการให้แสงสวา่ งหลกั หมายถึงการให้แสงสวา่ งให้เพยี งพอเพือ่ การใช้งาน เช่น ห้องทางานต้องให้ความสวา่ งที่
โต๊ะทางานให้มคี วามสอ่ งสวา่ งอยา่ งน้อยไมน่ ้อยกวา่ 500 ลกั ซ์ เป็นต้น เม่ือได้ความสอ่ งสวา่ งทโี่ ต๊ะทางานแล้วบริเวณท่ี
เหลอื เชน่ การสอ่ งสวา่ งที่ผ้ามา่ นเพือ่ ให้เกิดวงแสงหรือรูปแบบของแสง หรือการสอ่ งสวา่ งเน้นท่ีต้นไม้ที่ปลกู ในกระถาง
ภายในห้องก็เป็ นแสงสวา่ งรอง คอื เป็ นการให้แสงเพ่อื ความสวยงาม เป็ นต้น
การให้แสงสวา่ งที่ดี ควรมีทงั้ ระบบการให้แสงสวา่ งหลกั และแสงสวา่ งรอง
ระบบการให้แสงสว่าง (Lighting System)
จานวนผ้เู ยย่ี มชมหน้านี ้
การสอ่ งสวา่ งภายในอาคารสานกั งาน บ้านอยอู่ าศยั โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน สามารถประหยดั พลงั งาน
แสงสวา่ งได้มากเมือ่ เทยี บกบั การสอ่ งสวา่ งภายในอยา่ งอนื่ การสอ่ งสวา่ งภายในอาคารมคี วามสาคญั สองประการ คอื การ
ให้แสงสวา่ งเพือ่ ใช้งานได้สะดวกสบาย และ การให้แสงเพื่อให้เกดิ ความสวยงาม ไมว่ า่ จะเป็ นการสอ่ งสวา่ งแบบใดก็ตามก็
ต้องคานงึ ถงึ การประหยดั พลงั งานแสงสวา่ งด้วยสาหรับในยคุ ปัจจบุ นั ที่พลงั งานไฟฟ้ าเป็ นสงิ่ จาเป็ นและหายากยงิ่
เนอื ้ หาท่ีกลา่ วถงึ ในบทนมี ้ ีความประสงค์ให้ศกึ ษาแสงสวา่ งเพื่อการใช้งานแตล่ ะสถานทว่ี า่ ประกอบด้วยแสงสวา่ ง
เพื่อการใช้งานแตล่ ะประเภทอยา่ งไร เพอ่ื จะได้นาไปประยกุ ต์ใช้หรือเลอื กใช้เพื่อการประหยดั พลงั งานอยา่ งถกู ต้อง เพราะ
การประหยดั พลงั งานแสงสวา่ งทถี่ กู ต้อง ต้องไมใ่ ห้เกดิ ความสญู เสยี ทางด้านอ่นื ด้วย เช่น ประหยดั พลงั งานแล้วทาให้ธรุ กิจ
สญู เสยี รายได้จานวนมาก หรือประหยดั พลงั งานแล้วทาให้เกิดความเสย่ี งสงู ในการทางานที่ทาให้เกิดอนั ตรายสงู เป็ นต้น
ดงั นนั้ เนอื ้ หาการประยกุ ต์ใช้งานในบทนเี ้ปรียบเสมอื นการกลา่ วถงึ การให้แสงสวา่ งทมี่ ีทงั้ การให้ความสอ่ งสวา่ งมากพอ
สาหรับการทางาน การให้แสงสวา่ งเพ่อื ความสวยงามด้วย ดงั นนั้ ผ้ทู ี่จะนาไปประยกุ ต์ใช้เพ่ือให้เกิดความประหยดั พลงั งาน
ก็ต้องพจิ ารณาเลอื กใช้เพ่ือให้เข้ากบั การงานของตนเอง
การสอ่ งสวา่ งภายในเพื่อให้ใช้งานได้นนั้ หมายถงึ ต้องให้ได้ระดบั ความสอ่ งสวา่ งอยใู่ นเกณฑ์ท่ที างานได้โดยไม่
ต้องทาให้เพง่ สายตามากเกินไป สว่ นการสอ่ งสวา่ งให้เกิดความสวยงามนนั้ ก็ต้องอาศยั ความมีศลิ ป์ ในตวั เพอ่ื พิจารณาใน
แงก่ ารให้แสงแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) หรือการให้แสงแบบสอ่ งเน้น (Accent Lighting)
ระบบการให้แสงสวา่ งนนั้ ขนึ ้ อยกู่ บั การใช้งานของห้อง ผ้อู ยใู่ นห้อง การมองเหน็ และสไตล์การตกแตง่ ระบบ
การให้แสงสวา่ งโดยพนื ้ ฐานประกอบด้วย ระบบการให้แสงหลกั (Primary Lighting System) และระบบการให้แสงรอง
(Secondary Lighting System)
ระบบการให้แสงหลกั ซง่ึ หมายถงึ แสงสวา่ งพนื ้ ฐานทต่ี ้องใช้เพอ่ื การใช้งานซง่ึ แยกออกได้เป็ นระบบตา่ งๆดงั นี ้
ก) แสงสว่างท่วั ไป (General Lighting) คอื การให้แสงกระจายทว่ั ไปเทา่ กนั ทงั้ บริเวณพนื ้ ทใ่ี ช้งาน ซง่ึ ใช้กบั การ
ให้แสงสวา่ งไมม่ ากเกินไป แสงสวา่ งดงั กลา่ วไมไ่ ด้เน้นเร่ืองความสวยงามมากนกั ดงั นนั้ การประหยดั พลงั งานสามารถทา
ได้ในแสงสวา่ งทว่ั ไปนี ้
ข) แสงสว่างเฉพาะท่ี (Localized Lighting) คอื การให้แสงสวา่ งเป็ นบางบริเวณเฉพาะท่ีทางานเทา่ นนั้ เพ่อื
การประหยดั พลงั งานไฟฟ้ า โดยไมต่ ้องให้สม่าเสมอเหมือนแบบแรก เช่น การให้แสงสวา่ งจากฝ้ าเพดานโดยติดตงั้ เฉพาะ
เหนือโต๊ะหรือบริเวณใช้งานให้ได้ความสอ่ งสวา่ งตามต้องการ การให้แสงสวา่ งลกั ษณะนปี ้ ระหยดั กวา่ แบบ ก) ข้างต้น
ค) แสงสว่างเฉพาะท่แี ละท่วั ไป (Local Lighting + General Lighting) คือ การให้แสงสวา่ งทงั้ แบบทวั่ ไปทงั้
บริเวณ และเฉพาะทที่ ี่ทางาน ซง่ึ มกั ใช้กบั งานทตี่ ้องการความสอ่ งสวา่ งสงู ซง่ึ ไมส่ ามารถให้แสงแบบแสงสวา่ งทว่ั ไปได้
เพราะเปลอื งคา่ ไฟฟ้ ามาก เชน่ การให้แสงสวา่ งจากฝ้ าเพดานเพอื่ สอ่ งบริเวณทวั่ ไป และทโ่ี ต๊ะทางานตดิ โคมตงั้ โต๊ะสอ่ ง
เฉพาะตา่ งหากเพอื่ ให้ได้ความสอ่ งสวา่ งสงู มากตามความต้องการของงาน
ระบบการให้แสงสว่างหลกั จะเน้นการออกแบบระบบแสงสวา่ งให้มคี วามสอ่ งสวา่ งเพยี งพอตามมาตรฐานเพอื่
การใช้งานในแตล่ ะพนื ้ ทีน่ นั้ ๆ
ระบบการให้แสงรอง หมายถงึ การให้แสงนอกเหนือจากการให้แสงหลกั เพ่ือให้เกดิ ความสวยงามเพื่อความ
สบายตา ซงึ่ แยกออกได้ดงั นี ้
ก) แสงสว่างแบบส่องเน้น (Accent Lighting) เป็ นการให้แสงแบบสอ่ งเน้นท่วี ตั ถใุ ดวตั ถหุ นงึ่ เพอ่ื ให้เกดิ ความ
สนใจ โดยทว่ั ไปแสงประเภทนไี ้ ด้มาจากแสงสปอต
ข) แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) หมายถงึ แสงเพ่อื สร้างบรรยากาศท่ีนา่ สนใจ แตไ่ มไ่ ด้สอ่ งเน้น
วตั ถเุ พ่อื เรียกร้องความสนใจ เชน่ โคมทีต่ ดิ ตงั้ ที่เพดานเพื่อสร้างรูปแบบของแสงทกี่ าแพง เป็ นต้น
ค) แสงสว่างตกแต่ง (Decorative Lighting) เป็ นแสงทไ่ี ด้จากโคมหรือหลอดท่ีสวยงามเพ่อื สร้างจดุ สนใจใน
การตกแตง่ ภายใน
ง) แสงสว่างงานสถาปัตย์ (Architectural Lighting) บางทกี ็เรียก Structural Lighting ให้แสงสวา่ งเพ่อื ให้
สมั พนั ธ์กบั งานทางด้านสถาปัตยกรรม เชน่ การให้แสงไฟจากหลบื การให้แสงจากบงั ตา หรือการให้แสงจากทซี่ อ่ นหลอด
จ) แสงสว่างตามอารมณ์ (Mood Lighting) แสงสวา่ งประเภทนไี ้ มใ่ ชเ่ ทคนิคการให้แสงพเิ ศษแตอ่ ยา่ งใด แต่
อาศยั การใช้สวติ ช์หรือตวั หร่ีไฟเพอ่ื สร้างบรรยากาศของแสงให้ได้ระดบั ความสอ่ งสวา่ งตามการใช้งานท่ีต้องการ
ระบบการให้แสงสว่างรอง คือ การออกแบบให้มีแสงสวา่ งให้เกิดความสวยงาม หรือเน้นเพอ่ื ให้เกิดความ
สนใจ สบายตา และอารมณ์
ระบบการให้แสงสวา่ งหลกั หมายถึงการให้แสงสวา่ งให้เพยี งพอเพ่ือการใช้งาน เช่น ห้องทางานต้องให้ความสวา่ งท่ี
โต๊ะทางานให้มคี วามสอ่ งสวา่ งอยา่ งน้อยไมน่ ้อยกวา่ 500 ลกั ซ์ เป็นต้น เมอ่ื ได้ความสอ่ งสวา่ งทโี่ ต๊ะทางานแล้วบริเวณที่
เหลอื เชน่ การสอ่ งสวา่ งที่ผ้ามา่ นเพื่อให้เกิดวงแสงหรือรูปแบบของแสง หรือการสอ่ งสวา่ งเน้นที่ต้นไม้ท่ีปลกู ในกระถาง
ภายในห้องก็เป็ นแสงสวา่ งรอง คอื เป็ นการให้แสงเพื่อความสวยงาม เป็ นต้น
การให้แสงสวา่ งทดี่ ี ควรมีทงั้ ระบบการให้แสงสวา่ งหลกั และแสงสวา่ งรอง
โคมไฟฟ้ า
จานวนผ้เู ย่ียมชมหน้านี ้
โคมไฟฟ้ า
โคมไฟฟ้ าทาหน้าที่บงั คบั ทศิ ทางแสงของหลอดให้ไปในทศิ ทางทต่ี ้องการ โคมไฟฟ้ ามีใช้กนั มากมายหลายชนิด
ขนึ ้ อยกู่ บั การใช้งาน สาหรับโคมไฟฟ้ ากบั การประหยดั พลงั งาน ในทน่ี จี ้ ะกลา่ วถึงโคมไฟฟ้ าทใ่ี ช้ภายในอาคาร เพราะมกี าร
นามาใช้งานกนั มาก จาเป็ นต้องเลอื กโคมไฟฟ้ าทส่ี ามารถประหยดั พลงั งานและมคี ณุ ภาพทดี่ ี
4.1 ปัจจยั ท่คี วรพจิ ารณาในการเลือกโคมไฟฟ้ า
4.1.1 ความปลอดภยั ของโคม
โคมไฟฟ้ าทปี่ ระหยดั พลงั งานต้องได้รับมาตรฐานความปลอดภยั ตามเกณฑ์ด้วย เช่น ต้องไมม่ คี มจนอาจเกิด
อนั ตราย ต้องมรี ะบบการตอ่ ลงดนิ ในกรณีทีใ่ ช้กบั ฝ้ าสงู เพือ่ ไมเ่ ป็ นอนั ตรายกบั คนทีม่ าเปลยี่ นหลอด
4.1.2 ประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้ า (Luminaire efficiency)
โคมไฟฟ้ าทปี่ ระหยดั พลงั งานหมายถงึ โคมท่ีมปี ระสทิ ธิภาพของโคมสงู ท่สี ดุ คอื ให้ปริมาณแสงออกมาจากตวั
โคมเมอื่ เทียบกบั ปริมาณแสงทอี่ อกจากหลอดให้มีคา่ สงู ทส่ี ดุ
4.1.3 ค่าสมั ประสทิ ธ์ิการใช้งานของโคมไฟฟ้ า (Coefficients of Utilization)
คา่ ท่ีได้จากการวดั ประสทิ ธิภาพของโคม โดยที่รวมผลของความสงู และสมั ประสทิ ธิของการสะท้อนของผนงั และ
เพดานโดยผ้ผู ลติ
4.1.4 แสงบาดตาของโคม (Glare)
เป็ นคา่ ที่แสดงคณุ ภาพแสงของโคม ต้องเลอื กโคมที่มีแสงบาดตาอยใู่ นเกณฑ์ท่ยี อมรับได้
4.1.5 กราฟการกระจายแสงของโคม (Distribution Curve)
โคมมีหลายชนดิ ด้วยกนั แตล่ ะโคมก็มกี ราฟกระจายแสงของโคมตา่ งกนั การนาโคมไปใช้ต้องเลอื กกราฟกระจายแสง
ของโคมที่เหมาะสมกบั งาน
4.1.6 การระบายความร้อนของโคม
โคมไฟฟ้ าทีประหยดั พลงั งานควรจะมีการระบายความร้อนได้ดี ถ้ามีอณุ หภมู สิ ะสมในโคมมากเกินไปอาจทาให้
ปริมาณแสงที่ออกจากหลอดลดลง เชน่ โคมไฟสอ่ งลงหลอดคอมแพคก์ถ้าไมม่ ีการระบายความร้อนทด่ี ีปริมาณลดลง
ถึง 40% เป็ นต้น
4.1.7 อายกุ ารใช้งาน
โคมไฟฟ้ าทีประหยดั พลงั งานต้องพิจารณาอายกุ ารใช้งานด้วย เชน่ โคมต้องทาด้วยวสั ดทุ ่สี ามารถใช้งานได้นาน
ตามทตี่ ้องการโดยไมผ่ กุ ร่อน และไมม่ กี ารเปลยี่ นรูปเม่ือมกี ารบารุงรักษาเน่ืองจากการเปลย่ี นหลอดหรือทาความสะอาด
4.1.8 สถานท่ตี ดิ ตงั้
การเลอื กใช้โคมแต่ละชนิดขนึ้ อย่กู บั ว่าต้องการนาไปใช้งานอะไรบ้างต้องการคุณภาพแสงมากน้อย
เพียงใด หรือเน้นในเร่ืองของปริมาณแสงแต่เพยี งอย่างเดยี ว ต้องมกี ารป้ องกันทางกล ป้ องกนั นา้ ฝ่ ุนผงมาก
น้อยเพียงใด
4.2 โคมไฟส่องลง (Downlight)
โคมไฟส่องลง หมายถงึ โคมไฟท่ีให้แสงลงด้านล่าง เหมาะสาหรับใช้งานส่องสว่างท่วั ไปอาจจะเป็ น
ชนิดฝัง ตดิ ลอย แขวน หรือ ก่งึ ฝังก่งึ ลอย ดงั ในรูป 4.1
รูปท่ี 4.1 แสดงโคมไฟส่องลงชนิดต่างๆกนั
4.2.1 โคมไฟส่องลงหลอดอนิ แคนเดสเซนต์
ก) ใช้กบั งานเฉพาะท่ตี ้องการความสวยงาม หรือเปิ ดใช้เป็ นครัง้ คราว
ข) ใช้กบั งานท่ตี ้องการปรับหร่ีแสง
4.2.2 โคมไฟส่องลงหลอดคอมแพกต์ฟลอู อเรสเซนต์
ก) ใช้กบั งานท่ตี ้องการเปิ ดใช้งานนานๆ
ข) โคมไฟท่ีใช้เป็ นชนิดท่ถี กู ออกแบบมาสาหรับหลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์โดยเฉพาะ
ค) โคมไฟส่องลงหลอดคอมแพกต์ฟลอู อเรสเซนต์ มี 2 แบบ คอื หลอดตดิ ตงั้ ในแนวนอน และหลอด
ติดตงั้ ในแนวตงั้
ค1) หลอดตดิ ตงั้ ในแนวนอน มขี ้อดี คอื การกระจายแสงออกจากโคมมากกว่าหลอดติดตงั้ ใน
แนวนอนแต่ ต้ องระวังเร่ ืองการระบายความร้ อนและการเปล่ ียนหลอด
ค2) หลอดตดิ ตงั้ ในแนวตงั้ มขี ้อดี คือ ไม่มปี ัญหาเร่ืองการระบายความร้อน แต่ต้องระวงั เร่ือง
แสงบาดตา
รูปท่ี 4.2 แสดงลกั ษณะของโคมหลอดคอมแพกต์ฟลอู อเรสเซนต์หลอดตดิ ตงั้ แนวนอน
รูปท่ี 4.3 แสดงลกั ษณะของโคมหลอดคอมแพกต์ฟลอู อเรสเซนต์หลอดตดิ ตงั้ แนวตงั้
4.2.3 โคมไฟส่องลงหลอดปล่อยประจุความเข้มสงู
ก) ใช้กบั งานท่มี ีความส่องสว่างสงู หรือบริเวณท่ีเพดานสูง
ข) ใช้กับงานท่ตี ้องการเปิ ดใช้งานนานๆ
ค) ใช้เวลาในการจุดหลอดนานประมาณ 3-10 นาที
4.2.4 ข้อควรระวัง
การเปล่ียนหลอดประหยดั พลงั งานแทนหลอดอนิ แคนเดสเซนต์ภายในโคมเดมิ
ก) ให้ระวงั เร่ืองแสงบาดตา และการระบายความร้อน ถ้าการระบายความร้อนไม่ดปี ริมาณแสง
อาจจะลดลงถงึ 40% และอายกุ ารใช้งานหลอดสนั้ ลง
ข) การกระจายแสงและประสทิ ธิภาพของโคมโดยท่วั ไปลดลง
4.3 โคมไฟส่องขนึ้
โคมไฟสอ่ งขนึ ้ หมายถงึ โคมไฟทีใ่ ห้แสงขนึ ้ ไปด้านบนเพอื่ ให้แสงสะท้อนทีเ่ พดาน และแสงดงั กลา่ วก็จะตกกระทบ
มาทีพ่ นื ้ ทที่ างาน
โคมดงั กลา่ วเหมาะสาหรบั งานท่ีเพดานสงู และเพดานมสี อี อ่ น ใช้กบั บริเวณที่ต้องการความสม่าเสมอของแสง
สาหรับบริเวณทคี่ วามสอ่ งสอ่ งน้อยประมาณ 200-300 ลกั ซ์ และสาหรับห้องคอมพวิ เตอร์ทไ่ี มต่ ้องการแสงสะท้อน
เน่อื งจากโคมไฟสอ่ งลง
โคมดงั กลา่ วมหี ลายชนดิ ด้วยกนั ดงั แสดงในรูปท่ี 4.4
โคมไฟส่องขนึ้ มคี ุณสมบตั แิ ละการใช้งานท่คี วรพิจารณาดงั นี้
ก) มคี วามสมา่ เสมอของแสงและทาให้ห้องทแี่ คบมคี วามรู้สกึ กว้างและมบี รรยากาศดี
ข) โคมไฟสอ่ งขนึ ้ โดยทว่ั ไปให้ประสทิ ธิภาพตา่ แตม่ คี ณุ ภาพแสงสงู คือไมม่ ีแสงบาดทาให้เหมาะกบั งานทีต่ ้องการ
คณุ ภาพแสงสงู เชน่ ห้องคอมพวิ เตอร์ ศนู ย์ควบคมุ
ค) การใช้โคมไฟดงั กลา่ วเพดานต้องสงู มากกวา่ 2.7 เมตรขนึ ้ ไป เพอ่ื ให้ไมเ่ กิดความร้อนทเ่ี พดาน และไมส่ วา่ งจ้า
เกินไป
4.4 โคมฟลอู อเรสเซนต์
หลอดฟลอู อเรสเซนต์เป็ นหลอดไฟท่ีใช้กนั มากเพราะมคี า่ ประสทิ ธิผลการสอ่ งสวา่ งสงู (Luminous Efficacy) โคม
ไฟสาหรับหลอดฟลอู อเรสเซนต์จงึ มีหลายรูปแบบเพอ่ื ให้เหมาะกบั การใช้งานแตล่ ะชนดิ แตกตา่ งกนั ไป ซงึ่ สามารถสรุปเป็ น
ชนิดหลกั ๆได้ดงั นี ้
ก) โคมฟลอู อเรสเซนต์เปลอื ย (Bare Type Luminaires)
ข) โคมฟลอู อเรสเซนต์โรงงาน (Industrial Luminaire)
ค) โคมฟลอู อเรสเซนต์กรองแสง (Diffuser Luminaire)
ง) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรง (Louver Luminaire)
4.4.1 โคมฟลอู อเรสเซนต์เปลอื ย (Bare Type Luminaires)
โคมฟลอู อเรสเซนต์เปลอื ยใช้กบั งานทีต่ ้องการแสงออกด้านข้างท่ตี ดิ ตงั้ สาหรับเพดานท่ไี มส่ งู มากนกั โดยทว่ั ไปไม่
เกิน 4 เมตร และไมพ่ ิถีพถิ นั มากนกั กบั แสงบาดตาจากหลอด เช่น ห้องเก็บของ ท่จี อดรถ พนื ้ ท่ที ่มี ชี นั้ วางของ ท่ีจอดรถ และ
ในพนื ้ ท่ใี ช้งานไมบ่ อ่ ยและไมต่ ้องการความสวยงามมาก
รูปที่ 4.5 แสดงตวั อยา่ งโคมฟลอู อเรสเซนตเ์ ปลอื ย
โคมฟลอู อเรสเซนต์เปลือยมีคุณสมบตั ิและการใช้งานท่คี วรพิจารณาดงั นี้
ก) โคมดงั กลา่ วมรี าคาถกู ทาความสะอาดงา่ ย และให้แสงสวา่ งในทกุ ทิศทาง
ข) โคมดงั กลา่ วไมม่ ตี วั ครอบวตั ถภุ ายนอกสามารถมากระแทกกบั หลอดทาให้หลอดหลดุ ร่วงลงมาได้
ค) โคมดงั กลา่ วมีแสงบาดตาจากหลอด
4.4.2 โคมฟลูออเรสเซนต์โรงงาน
โคมฟลอู อเรสเซนต์โรงงานเป็ นโคมท่มี แี ผน่ สะท้อนแสงเพอื่ ควบคมุ แสงให้ไปในทิศทางทตี่ ้องการ แผน่ สะท้อนแสงอาจทา
จากแผน่ อลมู เิ นียม แผน่ เหลก็ พน่ สขี าว หรือวสั ดอุ ่นื ทีม่ กี ารสะท้อนแสงสงู
รูปที่ 4.6 แสดงตวั อยา่ งโคมฟลอู อเรสเซนต์โรงงาน
โคมฟลอู อเรสเซนต์โรงงานมคี ณุ สมบตั ิและการใช้งานท่คี วรพิจารณาดังนี้
ก) โคมดงั กลา่ วมรี าคาถกู กวา่ โคมหลอดฟลอู อเรสเซนต์แบบเปลอื ย ทาความสะอาดงา่ ยและให้แสงสวา่ งมากใน
ทิศทางทีส่ อ่ งไป
ข) โคมดงั กลา่ วไมม่ ตี วั ครอบวตั ถภุ ายนอกสามารถมากระแทกกบั หลอดทาให้หลอดสามารถหลดุ ร่วงลงมาได้
ค) โคมดงั กลา่ วไมเ่ น้นความสวยงาม และมแี สงบาดตาจากหลอด
4.4.3 โคมฟลอู อเรสเซนต์กรองแสง (Diffuser luminaire)
โดยทวั่ ไปแผน่ กรองแสงมี 3 แบบด้วยกนั คือ
1. แบบเกร็ดแก้ว (Prismatic diffuser)
2. แบบขาวขนุ่ (Opal diffuser)
3. แบบผิวส้ม (Stipple diffuser)
โคมไฟดงั กลา่ วมีแผน่ กรองแสงปิดหลอดทงั้ หมดเพอื่ ลดแสงบาดตาจากหลอด โคมประเภทนมี ้ ที งั้ แบบตดิ ฝังฝ้ า
หรือตดิ ลอยหรือแบบตวั ยู (U-shape) อาจเพมิ่ แผน่ สะท้อนแสงอลมู เิ นียมแบบเงา (Specular surface) หรือ แบบกระจาย
แสง (Diffuser surface) ทดี่ ้านหลงั หลอดเพอ่ื เพมิ่ ประสทิ ธิภาพของโคมไฟ โดยทวั่ ไปจะแนะนาเป็นแบบกระจายแสงทีม่ คี า่
การสะท้อนแสงโดยรวมสงู เทา่ กบั แบบเงา โคมไฟประเภทนเี ้หมาะกบั การใช้งานทตี่ ้องการแสงบาดตาจากหลอดตา่ และไม่
ต้องการความเข้มสอ่ งสวา่ งสงู มากนกั เช่น ในพนื ้ ท่โี รงพยาบาลทไี่ มใ่ ห้แสงรบกวนคนไข้ ห้องประชมุ ทไ่ี มต่ ้องการแสงบาด
ตาและแสงสวา่ งมาก
ก) แบบเกร็ดแก้ว ข) แบบขาวขนุ่
รูปท่ี 4.7 แสดงตวั อยา่ งรูปโคมฟลอู อเรสเซนต์กรองแสงแบบฝังฝ้ า
โคมฟลอู อเรสเซนตก์ รองแสงมีคณุ สมบตั แิ ละการใช้งานทค่ี วรพจิ ารณาดงั นี ้
ก) โคมดงั กลา่ วมีราคาไมส่ งู มากและแสงบาดตาจากหลอดน้อย
ข) โคมดงั กลา่ วมีประสทิ ธิภาพตา่ ไมเ่ หมาะกบั การประหยดั พลงั งาน
ค) โคมดงั กลา่ วเหมาะกบั งานทีไ่ มต่ ้องการแสงบาดตาจากหลอด เชน่ โรงพยาบาล
ง) โคมดงั กลา่ วเหมาะใช้กบั งานกบั ห้อง Clean room และห้องเพดานตา่ เช่น ห้องท่ีมคี วามสงู
ประมาณ 2.3 เมตร เป็ นต้น
4.4.4 โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรง (Louver luminaire)
โคมฟลอู อเรสเซนตต์ ะแกรงมีทงั้ แบบตดิ ลอยและฝังฝ้ า ลกั ษณะของโคมไฟประกอบด้วยแผน่ สะท้อนแสงด้านข้าง
และอาจมแี ผน่ สะท้อนแสงด้านหลงั หลอดเพ่ิมเข้ามาเพอื่ สะท้อนแสงและควบคมุ แสงให้ไปในทิศทางทีต่ ้องการ สว่ นตวั
ขวางจะสามารถลดแสงบาดตา เชน่ ในมมุ ทเ่ี ลย มมุ ตดั แสง โดยทวั่ ไปแผน่ สะท้อนแสงและตวั ขวางจะทาจาก
อลมู เิ นียม (Anodized) ซง่ึ มที งั้ แบบเงา (Specular Surface) และแบบกระจาย(Diffuser Surface) ซง่ึ ขนึ ้ อยกู่ บั ผ้อู อกแบบ
โคมไฟและลกั ษณะการใช้งานของโคมไฟนนั้ ซง่ึ โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงมีสว่ นประกอบตา่ งๆดงั แสดงในรูปที่ 4.8
รูปที่ 4.8 แสดงสว่ นประกอบของโคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรง
โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงจาแนกออกได้เป็ น 3 ชนดิ คือ
ก) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวาง (Profile Mirror Louver Luminaire)
ข) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบพาราโบลกิ จตรุ ัส (Square Parabolic Louver Luminaire)
ค) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบช่องถี่ (Mesh Louver Luminaire)
4.4.4.1 โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวาง มีตวั ขวาง 3 แบบด้วยกนั คอื ตวั ขวางริว้ ตวั ขวาง
เรียบ และ ตัวขวางพาราโบลิกคู่ ซ่ึงเม่ือพจิ ารณาคุณภาพแสงตามแนวยาวของโคมดังกล่าวแบบตัวขวางพารา
โบลิกค่จู ะมแี สงบาดตาน้อยกว่าแบบตวั ขวางริว้ หรือแบบตวั ขวางเรียบ และแสงบาดตาของแบบตวั ขวางริว้
ใกล้เคียงกบั แบบตัวขวางเรียบ ซ่ึงโคมดังกล่าวทงั้ 3 แบบมรี ายละเอยี ดดังนี้
ก) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตัวขวางริว้ เป็ นโคมไฟท่มี ตี ะแกรงทาขนึ้ จากแผ่นสะท้อนแสง
อลมู เิ นียมตามแนวยาวของหลอด โดยจะแบ่งช่องตามแนวยาวให้เท่ากบั จานวนหลอด ส่วนตามแนวขวางของ
หลอดจะมตี วั ขวางแบ่งเป็ นช่องๆซ่งึ โดยท่วั ไปแล้วจะแบ่งโดยประมาณเป็ น 14 ช่องสาหรับโคมยาว 1.2 เมตร
และ 7 ช่อง สาหรับโคมยาว 0.6 เมตร ซ่งึ จานวนช่องนีข้ นึ้ อย่กู บั ผู้ออกแบบและผ้ผู ลิตแต่ละราย ซ่งึ ตวั ขวางของ
โคมทาหน้าท่ี หักเหแสงและจดั มุมภาพของหลอดเพ่อื ลดแสงบาดตา
รูปท่ี 4.9 แสดงตวั อย่างโคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงแบบตัวขวางริว้
โคมไฟชนิดนีโ้ ดยท่วั ไปนิยมใช้ในพนื้ ท่สี านักงานท่ีมกี ารใช้จอคอมพิวเตอร์น้อย ให้ดชู นิดของโคมท่ใี ช้
กับจอคอมพวิ เตอร์ในภาคผนวก ง.
โคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวางริว้ มีคุณสมบตั ิและการใช้งานท่คี วรพิจารณาดงั นี้
ก) เป็ นโคมไฟท่ีมีประสทิ ธิภาพสงู 60-80% (ขนึ้ อย่กู บั การออกแบบและวัสดุท่ใี ช้ในการผลติ )
ข) โดยท่ัวไปค่า S/H สงู จึงสามารถทาให้ใช้จานวนโคมน้อยสาหรับความส่องสว่างท่ีสม่าเสมอ
โดยท่วั พนื้ ท่ี
ค) เหมาะสมกบั การใช้ในพนื้ ท่สี านักงานและพืน้ ท่ที างานท่วั ไป
ง) ห้องทางานท่มี ีจอคอมพวิ เตอร์ หรือ ห้องควบคุมท่ีมจี อมอนิเตอร์ ให้ระวังการใช้โคม ประเภทนี้
เพราะแสงบาดตาจากโคมอาจจะปรากฏบนจอคอมพวิ เตอร์ หรือ จอ
จ)มอนิเตอร์ได้ (ให้ดูในภาคผนวก ง.)
ฉ) ถ้าใช้วัสดุในการผลิตแผ่นสะท้อนแสงท่ีมคี ุณภาพสงู จะสามารถลดแสงสรี ุ้งท่ีเกดิ จากหลอด
ฟลูออเรสเซนต์
ข) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตัวขวางเรียบ เป็ นโคมไฟท่มี คี ุณสมบตั เิ หมอื นโคมฟลอู อเรสเซนต์
ตะแกรงแบบตวั ขวางริว้
ค) โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวางพาราโบลิกคู่ เป็ นโคมไฟท่มี ตี วั สะท้อนแสงทงั้ ตามแนว
ยาวและแนวขวางกบั หลอดขึน้ เป็ นรูปโค้งพาราโบลิก (Parabolic curve) โดยจะแบ่งช่องตามแนวยาวให้เท่ากบั
จานวนหลอด ส่วนตามแนวขวางของหลอดจะมีตวั ขวางแบ่งเป็ นช่องๆซ่ึงโดยท่ัวไปแล้วจะแบ่งโดยประมาณ
เป็ น 14 ช่องสาหรับโคมยาว 1.2 เมตร และ 7 ช่อง สาหรับโคมยาว 0.6 เมตร ซ่ึงจานวนช่องนีข้ นึ้ อย่กู บั
ผ้อู อกแบบและผู้ผลติ แต่ละราย โคมไฟนีโ้ ดยส่วนมากมแี สงบาดตาน้อยกว่าแบบตวั ขวางริว้ จึงเหมาะสาหรับ
การใช้งานในพนื้ ท่สี านักงานท่มี ีจอคอมพวิ เตอร์อย่เู กอื บท่ัวพนื้ ท่ที ่ตี ้องการแสงบาดตาน้อย เช่น ห้องประชมุ
ห้างสรรพสนิ ค้า เป็ นต้น
รูปท่ี 4.10 แสดงตวั อย่างโคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวางแบบพาราโบลิกคู่
โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบตวั ขวางพาราโบลกิ คู่มคี ุณสมบตั แิ ละการใช้งานท่คี วรพิจารณาดงั นี้
ก) เป็ นโคมไฟท่ีมีประสิทธิภาพสูง 60-80% (ขนึ้ อย่กู บั การออกแบบและวัสดุท่ีใช้ในการผลิต)
ข) โดยท่วั ไปค่า S/H สูงพอประมาณ จงึ สามารถทาให้ใช้จานวนโคมน้อยสาหรับความส่องสว่างท่ี
สม่าเสมอโดยท่วั พนื้ ท่ี
ค) แสงบาดตาจากโคมไฟน้อยเหมาะกับการใช้ในพนื้ ท่ีสานักงานท่ีมจี อคอมพวิ เตอร์ทางานอย่ทู ่วั
พืน้ ท่ี
ง) ถ้าใช้วสั ดุในการผลติ แผ่นสะท้อนแสงท่มี คี ุณภาพสูงจะสามารถลดแสงสีรุ้งท่เี กดิ จากหลอดฟลอู อ
เรสเซนต์
4.4.4.2 โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบพาราโบลกิ จตุรัส เป็ นโคมตะแกรงท่ปี ระกอบจากแผ่นสะท้อน
แสงทงั้ ตามแนวหลอดและแนวขวางหลอดเป็ นส่วนโค้ง (Parabolic) ประกอบการขนึ้ เป็ นช่องส่ีเหล่ยี มจตั ุรัสเพ่ือ
ลดแสงบาดตาจากหลอด วสั ดุท่ใี ช้ส่วนมากจะเป็ นแบบเงา (Specular surface) หรือ แบบกระจายแสง (Diffuser
surface) เป็ นโคมไฟท่นี ิยมใช้ในพนื้ ท่ที ่ตี ้องการแสงนุ่มและแสงบาดตาน้อย เช่น ในห้องประชุมระดับผู้บริหาร
ห้องผ้บู ริหาร ห้องประมวลผลข้อมลู ห้องแสดงสนิ ค้า
รูปท่ี 4.11 แสดงตวั อย่างโคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงแบบพาราโบลกิ จตุรัส
โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบพาราโบลิกจตุรัสมีคุณสมบัตแิ ละการใช้งานท่คี วรพจิ ารณาดังนี้
ก) เป็ นโคมไฟท่ใี ห้แสงนุ่ม และแสงบาดตาน้อย
ข) พืน้ ท่รี ะดับเพดานหรือผนังท่ใี กล้เพดานจะมืดเพราะ มุมตัดแสง ของโคมไฟแคบจึงควรระวังใน
การวางตาแหน่งโคมไฟ
ค) โคมไฟชนิดนีใ้ ห้ประสทิ ธิภาพแสงต่ากว่าแบบตัวขวางน้อย แต่คุณภาพแสงดกี ว่า
4.4.4.3 โคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงแบบช่องถ่ี เป็ นโคมฟลอู อเรสเซนต์ท่มี ตี ะแกรงถ่มี าก อย่ใู น
เกณฑ์ประมาณ หน่ึงนิว้ หรือน้อยกว่า ตะแกรงดังกล่าวอาจทาจากวัสดุท่เี ป็ นอลมู เิ นียม หรือวัสดุอย่างอ่นื ซ่ึงมี
ทงั้ แบบตะแกรงขาวธรรมดา หรือเป็ นสีเงนิ เพ่อื ความสวยงาม ลายตะแกรงอาจเป็ นสีเหล่ยี ม หรือวงกลม หรือ
หกเหล่ียม หรือลายสวยงามอย่างอ่ืน โคมฟลอู อเรสเซนต์แบบนีไ้ ม่ประหยดั พลงั งาน แต่เน้นทางด้านความ
สวยงามหรือไม่กเ็ น้นทางด้านคุณภาพแสง เพราะให้แสงบาดตาน้อย ใช้ในพืน้ ท่จี าเป็ นท่ไี ม่ต้องการแสงบาดตา
หรือบริเวณท่ตี ้องการความสวยงาม เช่น เคาน์เตอร์ต้อนรับ หรือประชาสัมพนั ธ์ เป็ นต้น
รูปที่ 4.12 แสดงตวั อยา่ งโคมฟลอู อเรสเซนตต์ ะแกรงแบบช่องถ่ี
โคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงแบบช่องถ่มี คี ุณสมบตั แิ ละการใช้งานท่ีควรพจิ ารณาดงั นี้
ก) เป็ นโคมไฟท่ีมปี ระสทิ ธิภาพไม่สงู เม่ือเทียบกับโคมฟลอู อเรสเซนต์ตะแกรงอย่างอ่นื โดยท่วั ไป ค่า
ระยะห่างระหว่างโคมไฟ ต่อ ความสูงเหนือระนาบทางาน (S/H) มคี ่าต่าจงึ ใช้จานวนโคมมากสาหรับความสว่าง
ท่สี ม่าเสมอโดยท่วั พนื้ ท่ี
ข) ไม่เหมาะกบั พนื้ ท่เี พดานต่าเพราะเม่อื ใช้โคมไฟชนิดนีจ้ ะทาให้เพดานมดื
ค) โคมไฟชนิดนีใ้ ห้แสงบาดตาน้อยเหมาะใช้กบั พนื้ ท่ที ่มี จี อคอมพวิ เตอร์ แต่ไม่ประหยดั พลังงานและ
บารุงรักษายาก
4.5 โคมไฟโรงงานหลอดปล่อยประจุความดนั ไอสูง
โคมไฟประเภทนีโ้ ดยส่วนมากจะมตี วั สะท้อนแสงเป็ นแบบอลูมิเนียม (Aluminium Reflector) หรือ ตวั หัก
เหแสงพลาสตกิ (Plastic Reflactor) อาจจะมเี ลนส์ ปิ ดหน้าหลอดก็ได้ ทัง้ หมดขนึ้ อย่กู บั การใช้งานในแต่ละ
อุตสาหกรรม ความสงู การกระจายแสงของโคมไฟท่ตี ้องการ ซ่งึ การกระจายแสงของโคมไฟมี 2 ลักษณะดงั นี้
4.5.1 โคมแบบลาแสงกว้าง (Wide Beam) เหมาะสาหรับการตดิ ตงั้ ท่คี วามสงู ระดบั 4-7 เมตร
4.5.2 โคมแบบลาแสงแคบ (Narrow Beam) เหมาะสาหรับการติดตงั้ ท่คี วามสูงประมาณ 6 เมตรขนึ้ ไป
นอกจากนีโ้ คมดงั กล่าวจะรูปแบบของแสงเป็ นรูปต่างๆ เช่น วงกลม หรือ ส่ีเหล่ยี ม เป็ นต้น ซ่งึ ลกั ษณะ
รูปแบบของโคมจะเป็ นดังรูปท่ี 4.13
ก) แสงสว่างไม่สม่าเสมอ ข) แสงสว่างสม่าเสมอ ค) แสงสว่างสม่าเสมอมาก
รูปท่ี 4.13 แสดงรูปแบบการกระจายแสงของโคมไฟโรงงานหลอดปล่อยประจุความดนั ไอสูง
จากรูปท่ี 4.13 โคมแบบการกระจายแสงวงกลมเหมาะสาหรับใช้ในพนื้ ท่ที ่ไี ม่กว้างมาก หรือ พนื้ ท่ที ่ไี ม่
พิถพี ถิ นั กบั ความสม่าเสมอของแสง
ส่วนโคมแบบกระจายแสงส่เี หล่ยี มเหมาะสาหรับใช้พนื้ ท่ที ่กี ว้างและต้องการความสม่าเสมอของแสง
โดยท่วั พนื้ ท่ี ซ่งึ จะทาให้สามารถประหยดั โคมไฟและจานวนหลอดได้ดกี ว่าการเลือกโคมไฟแบบการกระจาย
แสงแบบวงกลม
การเลอื กใช้กาลังไฟฟ้ าของหลอดปล่อยประจุความดนั ไอสงู นัน้ จะต้องคานึงถงึ ความสงู ในการติดตงั้
ตารางข้างล่างนีเ้ ป็ นตารางท่แี นะนาให้ใช้เท่านัน้ เพ่ือความละเอยี ดและถกู ต้องควรจะเลือกและคานวณจาก
ข้อมลู และกราฟของโคมไฟแต่ละชนิด
ตารางท่ี 4.1 กาลังไฟฟ้ าของหลอดปล่อยประจุความดันไอสงู กบั ความสงู ต่าสุดสาหรับการติดตงั้
ชนิดและกาลังไฟ้ าของหลอด ความสูงต่าท่สี ุดสาหรับการตดิ ตัง้ (เมตร)
หลอดเมทัลฮาไลด์ 250 วตั ต์ 4
หลอดเมทัลฮาไลด์ 400 วัตต์ 5
หลอดเมทัลฮาไลด์ 1000 วัตต์ 6
หลอดไอปรอท 250 วตั ต์ 4
หลอดไอปรอท 400 วตั ต์ 5
หลอดไอปรอท 1000 วัตต์ 6
หลอดโซเดยี มความดนั สูง 250 วตั ต์ 4
หลอดโซเดยี มความดนั สูง 400 วตั ต์ 6
หลอดโซเดยี มความดนั สงู 1000 วัตต์ 8
รูปท่ี 4.12 แสดงตวั อย่างโคมไฟโรงงานหลอดปล่อยประจุความดันไอสงู
โคมไฟโรงงานหลอดปล่อยประจุความดนั ไอสูงมคี ุณสมบตั แิ ละการใช้งานท่คี วรพจิ ารณาดังนี้
ก) โคมไฟชนิดนีม้ ีนา้ หนักมาก การตดิ ตงั้ ต้องให้ม่นั คงแข็งแรงเหมาะสาหรับการติดตงั้ ในบริเวณ
เพดานสูง แทนหลอดฟลอู อเรสเซนต์
ข) โคมต้องมคี รอบแก้วปิ ดในกรณีท่ใี ช้ในพนื้ ท่ีท่เี กดิ อนั ตรายมากเม่อื หลอดแตกท่ผี ู้ผลติ แนะนา
ค) การใช้วัตต์ต่างกนั ในพนื้ ท่เี ดียวกันให้ระวงั สีของหลอดท่แี ตกต่างกัน
ง) การเลอื กใช้หลอด ชุดควบคุมให้ปฏิบตั ติ ามคาแนะนาของผู้ผลติ เพราะไม่ฉะนัน้ อาจจะทาให้อายุ
การใช้งานสนั้ แสงไม่ได้ตามท่ตี ้องการ สเี พีย้ น และไม่ประหยดั พลังงาน
4.6 โคมไฟสาด
โคมไฟสาดโดยทวั่ ไปใช้สาหรับงานสอ่ งเน้นสถาปัตยกรรมตวั อาคาร หรือเพอ่ื การสอ่ งสวา่ งสาหรับพนื ้ ทข่ี นาดใหญ่
เช่น สนามกีฬา ลานจอดรถ สถานท่กี อ่ สร้าง บริเวณขนถา่ ยสนิ ค้า เป็ นต้น
4.6.1 คุณลกั ษณะทางกลศาสตร์ เนือ่ งจากโคมไฟสาดติดตงั้ อยภู่ ายนอกอาคาร ดงั นนั้ สง่ิ ท่คี วรคานงึ ถงึ คือ
4.6.1.1 ความสามารถในการป้ องกันนา้ และฝ่ ุนผง อยา่ งน้อยควรมีคา่ IP54 (ดตู ารางท่ี 1.2)
4.6.1.2 วสั ดุท่ใี ช้ทาตวั โคม ต้องเป็ นวสั ดทุ ี่ทนการสกึ กร่อนได้ดี มีความแขง็ แรงและทนทานตอ่ การกระแทก
โดยทว่ั ไปโครงสร้างของโคมทาจากอะลมู เิ นยี มหลอ่ ขนึ ้ รูปโดยใช้แมพ่ ิมพ์ (Die-Cast Aluminium)
4.6.1.3 กระจกท่ปี ิ ดหน้าโคมไฟสาด ต้องเป็ นกระจกนริ ภยั ทนความร้อนทเ่ี หมาะกบั การใช้งานภายนอก
อาคาร
4.6.1.4 นา้ หนักของโคมกบั สถานท่ตี ิดตงั้ โคมไฟสาดทตี่ ดิ ตงั้ ในท่สี งู -โลง่ ควรคานงึ ถงึ แรงปะทะของลม
4.6.2 คุณลักษณะทางแสง
4.6.2.1 การกระจายแสงของโคม แบง่ ประเภทของโคมไฟสาดได้ ตามกราฟการกระจายแสงของโคม
ตามท่ี CIE 43 (TC-2.4) 1979 กาหนดคือ
ก) การกระจายแสงสมมาตรสมบรู ณ์ (Rotationally Symmetric distribution)
โคมทีม่ ีการกระจายแแสงสมมาตรสมบรู ณ์นมี ้ ีโครงสร้างง่ายเหมาะสาหรับงานไฟสาดทว่ั ไปท่ี
ไมไ่ ด้เน้นความสมา่ เสมอของแสงมาก
ข) การกระจายแสงสมมาตร 2 ระนาบ (Distribution symmetrical about two planes)
โคมท่มี กี ารกระจายแสงสมมาตร 2 ระนาบ เหมาะกบั งานทตี่ ้องการความสอ่ งสวา่ ง
สมา่ เสมอดกี วา่ แบบ ก)
ค) การกระจายแสงสมมาตร 1 ระนาบ (Distribution symmetrical about one
plane)
โคมท่มี กี ารกระจายสมมาตร 1 ระนาบ เหมาะกบั งานที่ต้องการความสอ่ งสวา่ งสม่าเสมอ
และมกี ารสาดไประยะไกล
ง) การกระจายแสงไมส่ มมาตร (Asymmetric Distribution)
การเลอื กใช้โคมทมี่ ีการกระจายแสงไมส่ มมาตรขนึ ้ อยกู่ บั ลกั ษณะงานซง่ึ กราฟกระจายแสงของ
โคมอาจมีรูปร่างตา่ งกนั ไป
4.6.2.2 มุมลาแสง แบง่ ประเภทของโคมไฟสาดได้ ตามมมุ ลาแสง
ตามท่ี NEMA กาหนด คอื
ก) มมุ กว้าง เหมาะสาหรับสาดอาคารท่ไี มส่ งู มพี นื ้ ทด่ี ้านข้างมากๆ มรี ะยะท่สี าดไมไ่ กลนกั
ข) มมุ ปานกลาง เหมาะสาหรับระยะสาดปานกลาง
ค) มมุ แคบ เหมาะสาหรับสาดอาคารสงู มีระยะทส่ี าดไกล
รูปที่ 4.13 แสดงการแบง่ มมุ ลาแสงของโคมไฟสาดตาม NEMA Field Angle
ตารางที่ 4.2 มมุ ลาแสงสมั พนั ธ์กบั ระยะทสี่ าด
ชนิดลาแสง ย่านมุมลาแสง ระยะท่สี าด
1 10-18 70 เมตร หรือมากกวา่
2 18-29
3 29-48 60-70 เมตร
4 48-70 53-60 เมตร
5 70-100 44-53 เมตร
6 100-130 30-44 เมตร
24-30 เมตร
7 130 ขนึ ้ ไป ตา่ กวา่ 24 เมตร
4.6.3 รูปทรงของโคมไฟสาด ท่พี บเหน็ กนั โดยทวั่ ไปจะมรี ูปทรงสเ่ี หลยี่ มหรือทรงกลม
4.6.3.1 โคมไฟสาดทรงส่เี หล่ยี ม มกั มตี วั ถงั หอ่ ห้มุ ทม่ี ีความแข็งแรงทนทานตอ่
แรงกระแทกได้ดีกวา่ แบบทรงกลม จงึ เหมาะกบั การติดตงั้ ในท่ที ผี่ ้คู นสามารถผา่ นไปมาและ
อาจจะทาให้ตวั โคมเสยี หายได้ โดยทวั่ ไปโคมรูปทรงนจี ้ ะมนี า้ หนกั มากและมีขนาดคอ่ นข้าง
ใหญ่ ไมเ่ หมาะทีต่ ิดตงั้ ในท่ีสงู -โลง่ เพราะจะได้รับแรงปะทะจากลมสงู
มาก
4.6.3.2 โคม ไฟสาดทรงกลม มกั มีตวั ถงั หอ่ ห้มุ เฉพาะอปุ กรณ์ควบคมุ และขวั้
หลอดเทา่ นนั้ แตใ่ นสว่ น ของตวั สะท้อนแสงจะไมม่ ีตวั ถงั หอ่ ห้มุ โดยทว่ั ไปจะมเี ลนสป์ ิ ด
ข้างหน้าเพ่อื ป้ องกนั หลอดอกี ชนั้ หนง่ึ โคมไฟสาดทรงกลมมีรูปร่างกะทดั รัดและมีนา้ หนกั
ไมม่ าก เหมาะสาหรับ ติดตงั้ ในที่สงู -โลง่ เชน่ บนเสาสงู สาหรับสนามกีฬา
4.6.4 โคมและหลอดกบั การเลอื กใช้
โคมไฟสาดอาจใช้หลอดทงั สเตนฮาโลเจน หรือหลอดปลอ่ ยประจคุ วามดนั ไอสงู ก็ได้ ขนึ ้ อยกู่ บั การใช้งาน การเลอื กใช้
โคมและหลอดให้เหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการใช้งานจะชว่ ยประหยดั พลงั งานได้
ก) การสอ่ งป้ ายโฆษณา หรือสถานทก่ี ่อสร้าง ทใ่ี ช้โคมไฟสาดหลอดทงั สเตนฮาโลเจน เนื่องจากโคมมรี าคาถกู แต่
มีปัญหาเรื่องอายกุ ารใช้งานของหลอดสนั้ และต้องใช้พลงั งานไฟฟ้ าสงู ไมป่ ระหยดั พลงั งาน (งานทตี่ ้องการให้เปิดไฟแสง
สวา่ งได้ทนั ที ต้องใช้หลอดและโคมประเภทนี ้ถึงแม้จะไมป่ ระหยดั พลงั งานก็ตาม)
ข) การสอ่ งเน้นสถาปัตยกรรมตวั อาคาร ต้องพิจารณาความสอ่ งสวา่ งรอบข้างเพ่อื เลอื กขนาดวตั ต์และจานวน
ของโคม การใช้โคมไฟสาดหลอดปลอ่ ยประจคุ วามดนั ไอสงู ต้องเลอ่ื กสขี องแสงท่ไี ด้จากหลอดให้เหมาะสมกบั สขี อง
สถาปัตยกรรมทีต่ ้องการสอ่ งเน้น เชน่ หลอดเมทลั ฮาไลด์ ให้แสงสขี าว หลอดโซเดียมความดนั สงู ให้แสงสเี หลอื งทอง
ค) การสอ่ งสวา่ งสนามกีฬาทตี่ ้องการความสอ่ งสวา่ งและความถกู ต้องของสสี งู เพื่อการถา่ ยทอดโทรทศั น์ ควรใช้
หลอดเมทลั ฮาไลด์
ง) การสอ่ งสวา่ งสนาม ลานจอดรถ บริเวณขนถา่ ยสนิ ค้า ท่ไี มต่ ้องการความถกู ต้องของสมี าก แนะนาให้ใช้หลอด
โซเดียมความดนั สงู
4.6.5 ข้อควรระวงั
ก) เนอ่ื งจากหลอดทใ่ี ช้กบั โคมไฟสาดทใ่ี ห้ความเข้มแสงสงู มากอาจเป็ นอนั ตรายตอ่ สายตาได้ จงึ ต้องเลอื กตาแหนง่
ในการติดตงั้ ให้เหมาะสม หรือเลือกใช้โคมไฟสาดที่ออกแบบให้โคมสามารถบงั แสง (Shield Type) เพ่อื ไมใ่ ห้มองเห็นแสงหรือ
ภาพของหลอดปรากฏโดยตรงในมมุ ท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ และช่วยลดแสงบาดตาท่เี กิดจากหลอดและตวั สะท้อนแสงให้มนี ้อยทีส่ ดุ
หรืออาจมตี วั กรองแสงปิ ดที่หน้าโคมซงึ่ อาจเป็ นเลนสห์ รือกระจกท่ีป้ องกนั รังสอี ลั ตราไวโอเลต
ข) โคมทใี่ ช้หลอดเมทลั ฮาไลด์ทมี่ ขี นาดวตั ต์สงู ตวั โคมควรมีสวิตช์ตดั ตอน (Disconnecting Switch) ในการ
ซอ่ ม เพ่ือให้ปลอดภยั และป้ องกนั อนั ตรายจากรังสอี ลั ตราไวโอเลต