The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by watittu Thummajong, 2019-10-19 04:49:34

warehousemanagement

warehousemanagement

การจัดการสินค้าคงคลัง

1.องค์ประกอบของการจัดการสนิ ค้าคงคลัง (The Element of Inventory Management)

สินค้าคงคลงั (Inventory) จดั เป็นสินทรัพย์หมนุ เวียนชนิดหนง่ึ ซง่ึ กิจการต้องมีไว้เพื่อขายหรือผลติ
หมายถงึ - วตั ถดุ ิบ คือสงิ่ ของหรือชิน้ สว่ นท่ีซือ้ มาเพ่ือใช้ในการผลิต

- งานระหวา่ งกระบวนการผลติ เป็นชิน้ งานท่ีอยใู่ นขนั้ ตอนการผลิตหรือรอคอยที่
จะผลติ ในขนั้ ตอนตอ่ ไปโดยที่ยงั ผา่ นกระบวนการผลติ ไมค่ รบทกุ ขนั้ ตอน

- วสั ดซุ อ่ มบํารุง คือ ชิน้ ส่วนหรืออะไหลเ่ คร่ืองจกั รที่สํารองไว้เผ่ือเปลี่ยนเม่ือ
ชนิ ้ สว่ นเดมิ เสียหายหรือหมดอายกุ ารใช้งาน

- สินค้าสําเร็จรูป คือ ปัจจยั การผลติ ท่ีผา่ นทกุ กระบวนการผลติ ครบถ้วน พร้อมท่ี
จะนําไปขายให้ลกู ค้าได้

- แรงงาน
- เงินลงทนุ
- เคร่ืองมือ เคร่ืองจกั ร อปุ กรณ์
1.1 บทบาทของสินค้าคงคลังในซัพพลายเชน สินค้าคงคลงั มีวตั ถปุ ระสงค์ในการ
สร้างความสมดลุ ในซพั พลายเชน เพ่ือให้ระดบั สนิ ค้าคงคลงั ตา่ํ สดุ โดยไมก่ ระทบตอ่ ระดบั การ
ให้บริการ โดยปัจจยั นําเข้าของกระบวนการผลิตท่ีมีความสําคญั อยา่ งยิ่งคือ วตั ถดุ บิ ชิน้ สว่ นและ
วสั ดตุ า่ งๆ ท่ีเรียกรวมกนั วา่ สินค้าคงคลงั ซงึ่ เป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ท่ีสดุ ของต้นทนุ การผลิต
ผลติ ภณั ฑ์หลายชนิดนอกจากนนั้ การท่ีสินค้าคงคลงั ท่ีเพียงพอยงั เป็นการตอบสนองความพงึ พอใจ
ของลกู ค้าได้ทนั เวลา จงึ เหน็ ได้วา่ สินค้าคงคลงั มีความสําคญั ตอ่ กิจกรรมหลกั ของธรุ กิจเป็นอยา่ ง
มาก การบริหารสินค้าคงคลงั ที่มีประสิทธิภาพจงึ สง่ ผลกระทบตอ่ ผลกําไรจากการประกอบการ
โดยตรงและในปัจจบุ นั นีม้ ีการนําเอาระบบคอมพวิ เตอร์มาจดั การข้อมลู ของสินค้าคงคลงั เพ่ือให้
เกิดความถกู ต้อง แมน่ ยํา และทนั เวลามากยิง่ ขนึ ้ การจดั ซือ้ สินค้าคงคลงั มาในคณุ สมบตั ทิ ี่ตรง
ตามความต้องการ ปริมาณเพียงพอ ราคาเหมาะสม ทนั เวลาที่ต้องการโดยซือ้ จากผ้ขู ายที่ไว้วางใจ
ได้ และนําสง่ ยงั สถานท่ีท่ีถกู ต้องตามหลกั การจดั ซือ้ ท่ีดที ี่สดุ เป็นจดุ เริ่มต้นของการบริหารสนิ ค้าคง
คลงั การจดั การสนิ ค้าคงคลงั มีวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั อยู่ 2 ประการใหญ่ คอื
1.สามารถมีสินค้าคงคลงั บริการลกู ค้าในปริมาณที่เพียงพอ และทนั ตอ่ การความต้องการ
ของลกู ค้าเสมอ เพื่อสร้างยอดขายและรักษาระดบั ของสว่ นแบง่ ตลาดไว้
2.สามารถลดระดบั การลงทนุ ในสนิ ค้าคงคลงั ต่ําท่ีสดุ เทา่ ท่ีจะทําได้ เพื่อทําให้ต้นทนุ การ
ผลติ ตา่ํ ลงด้วย

แตว่ ตั ถปุ ระสงคส์ องข้อนีจ้ ะขดั แย้งกนั เอง เพราะการลงทนุ ในสนิ ค้าคงคลงั ตา่ํ ท่ีสดุ มกั จะ
ต้องใช้วธิ ีลดระดบั สินค้าคงคลงั ให้เหลือแคเ่ พียงพอใช้ป้ อนกระบวนการผลิต เพ่ือให้สามารถ
ดาํ เนินการผลิตได้โดยไมห่ ยดุ ชะงกั แตร่ ะดบั สินค้าคงคลงั ท่ีตาํ่ เกินไปก็ทําให้บริการลกู ค้าไม่
เพียงพอหรือไมท่ นั ใจลกู ค้าในทางตรงกนั ข้ามการถือสินค้าคงคลงั ไว้มากเพ่ือผลิตหรือสง่ ให้ลกู ค้า
ได้เพียงพอและทนั เวลาเสมอทําให้ต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั สงู ขนึ ้ ดงั นนั้ การบริหารสินค้าคงคลงั โดย
รักษาความสมดลุ ของวตั ถปุ ระสงคท์ งั้ สองข้อนีจ้ งึ ไมใ่ ชเ่ รื่องง่าย และเน่ืองจากการบริหารการผลิต
ในปัจจบุ นั จะต้องคํานงึ ถงึ คณุ ภาพเป็นหลกั สําคญั ซง่ึ การบริการลกู ค้าที่ดีก็เป็นสว่ นหนงึ่ ของการ
สร้างคณุ ภาพที่ดี ซงึ่ ทําให้ลกู ค้ามีความพงึ พอใจสงู สดุ ด้วยจงึ ดเู หมือนวา่ การมีสนิ ค้าคงคลงั ใน
ระดบั สงู จะเป็นประโยชน์กบั กิจการในระยะยาวมากกวา่ เพราะจะรักษาลกู ค้าและสว่ นแบง่ ตลาด
ได้ดี แตอ่ นั ท่ีจริงแล้วต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั ท่ีสงู ซงึ ทําให้ต้นทนุ การผลิตสงู ด้วยมีผลด้วยมีผลให้ไม่
สามารถตอ่ ส้กู บั คแู่ ขง่ ในด้านราคาได้ จงึ ต้องทําให้ต้นทนุ ตา่ํ คณุ ภาพดี และบริการท่ีดดี ้วยใน
ขณะเดียวกนั

1.2 ประโยชน์ของสนิ ค้าคงคลัง มีหลายแนวทางดงั นี ้
1) ตอบสนองความต้องการของลกู ค้าท่ีประมาณการไว้ในแตล่ ะชว่ งเวลาทงั้ ใน

และนอกฤดกู าล โดยธรุ กิจต้องเก็บสนิ ค้าคงคลงั ไว้ในคลงั สนิ ค้า
2) รักษาการผลิตให้มีอตั ราคงท่ีสมํ่าเสมอ เพื่อรักษาระดบั การวา่ จ้างแรงงาน

การเดนิ เคร่ืองจกั ร ฯลฯ ให้สมํ่าเสมอได้ โดยจะเก็บสินค้าท่ีขายไมห่ มดในชว่ งขายไมด่ ีไว้ขายตอน
ชว่ งขายดีซง่ึ ชว่ งนนั้ อาจจะผลติ ไมท่ นั ขาย

3) ทําให้ธรุ กิจได้สว่ นลดปริมาณจากการจดั ซือ้ จํานวนมากตอ่ ครัง้ ป้ องกนั การ
เปล่ียนแปลงราคาแลผลกระทบจากเงินเฟ้ อเม่ือสนิ ค้าในท้องตลาดมีราคาสงู ขนึ ้

4) ป้ องกนั ของขาดมือด้วยสินค้าเผ่ือขาดมือ เมื่อเวลารอคอยลา่ ช้าหรือบงั เอญิ ได้
คาํ สง่ั ซือ้ เพม่ิ ขนึ ้ กระทนั หนั

5) ทําให้กระบวนการผลิตสามารถดําเนินการตอ่ เนื่องอย่างราบร่ืน ไมม่ ีการ
หยดุ ชะงกั เพราะของขาดมือจนเกิดความเสียหายแก่กระบวนการผลติ ซงึ่ จะทําให้คนงานวา่ งงาน
เคร่ืองจกั รถกู ปิ ด ผลิตไมท่ นั คําสงั่ ซือ้ ของลกู ค้า

1.3 อุปสงค์ จดุ เริ่มต้นของการจดั การสินค้าคงคลงั จะเริ่มจากอปุ สงค์ของลกู ค้า เพื่อ
จดั การให้เป็นไปตามความต้องการของลกู ค้า ซงึ่ ต้องให้หลกั การพยากรณ์โดยอปุ สงค์แบง่ เป็น 2
ชนดิ ดงั นี ้

1) อปุ สงคแ์ ปรตาม (Dependent Demand) เป็นอปุ สงค์ของวตั ถดุ บิ ชนิ ้ สว่ นและ
สินค้าท่ีใช้ตอ่ เนื่องในกระบวนการผลิต ซง่ึ จําเป็นอยา่ งย่งิ เพราะอาจสง่ ผลเสียหายอย่างรุนแรงถ้า

ขาดวตั ถดุ บิ ประเภทนี ้เชน่ ถ้าโรงงานประกอบสารเคมีขาดหายไปแม้แตช่ นิดเดยี วก็จะทําให้
โรงงานหยดุ ทนั ที

2) อปุ สงค์อสิ ระ (Independent Demand) เป็นอปุ สงค์ของวตั ถดุ ิบ ชิน้ สว่ น และ
สินค้าที่ไมใ่ ช้ตอ่ เนื่องในกระบวนการผลติ สว่ นมากจําหน่ายในลกู ค้าโดยตรง ถ้าไมม่ ีอาจจะเสีย
โอกาส และถกู ปรับ

1.4 สนิ ค้าคงคลังและการจัดการคุณภาพ (Inventory and Quality Management)
การจดั การคณุ ภาพเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกบั บคุ คลสองกลมุ่ คอื ลกู ค้า และเจ้าของผลิตภณั ฑ์ โดยทงั้
สองฝ่ ายตกลงกนั โดยลกู ค้าจะพจิ ารณาเร่ืองลกั ษณะสนิ ค้า ราคาที่สามารถซือ้ ได้ และเวลาที่สง่
มอบ ในทางตรงกนั ข้าม เจ้าของผลิตภณั ฑ์ ต้องจดั หาทรัพยากรท่ีเป็ นปัจจยั นําเข้า ไมว่ า่ จะเป็น
วตั ถดุ บิ แรงงาน เครื่องจกั ร และเงิน เพ่ือนํามาผลิตให้มีสินค้าตามท่ีลกู ค้าต้องการ ในต้นทนุ ท่ีดี ไม่
ขาดทนุ และจดั สง่ ให้ลกู ค้าทนั เวลา โดยไมเ่ สียคา่ ปรับ ซงึ่ ปัญหาสว่ นมากในซพั พลายเชนจะเกิด
จากปัจจยั ภายนอก ไมว่ า่ เป็ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง คแู่ ขง่ ลกู ค้า ผ้ขู ายปัจจยั การผลติ จงึ เกิด
การจดั เก็บสินค้าคงคลงั เพื่อรองรับระบบคณุ ภาพ

1.5 ต้นทุนของสินค้าคงคลัง (Inventory Cost) ต้นทนุ สินค้าคงคลงั มี 4 ชนิด คือ
1) คา่ ใช้จา่ ยในการสงั่ ซือ้ (Ordering Cost) เป็นคา่ ใช้จ่ายที่ต้องจา่ ยเพื่อให้ได้มา

ซงึ่ สนิ ค้าคงคลงั ท่ีต้องการ ซง่ึ จะแปรตามจํานวนครัง้ ของการสง่ั ซือ้ แตไ่ มแ่ ปรตามปริมาณสินค้าคง
คลงั เพราะสงั่ ซือ้ ของมากเท่าใดก็ตามในแตล่ ะครัง้ คา่ ใช้จา่ ยในการสงั่ ซือ้ ก็ยงั คงที่ แตถ่ ้าย่ิงสง่ั ซือ้
บอ่ ยครัง้ คา่ ใช้จา่ ยในการสงั่ ซือ้ จะยิ่งสงู ขนึ ้ คา่ ใช้จา่ ยในการสงั่ ซือ้ ได้แก่ คา่ เอกสารใบสงั่ ซือ้ คา่ จ้าง
พนกั งานจดั ซือ้ คา่ โทรศพั ท์ คา่ ขนสง่ สินค้า คา่ ใช้จา่ ยในการตรวจรับของและเอกสาร
คา่ ธรรมเนียมการนําของออกจากศลุ กากร คา่ ใช้จา่ ยในการชําระเงิน เป็นต้น

2) คา่ ใช้จา่ ยในการเก็บรักษา (carrying Cost) เป็นคา่ ใช้จา่ ยจากการมีสนิ ค้าคง
คลงั และการรักษาสภาพให้สินค้าคงคลงั นนั้ อยใู่ นรูปที่ใช้งานได้ ซงึ่ จะแปรตามปริมาณสนิ ค้าคง
คลงั ท่ีถือไว้และระยะเวลาที่เก็บสินค้าคงคลงั นนั้ ไว้ คา่ ใช้จา่ ยในการเก็บรักษา ได้แก่ ต้นทนุ เงินทนุ
ท่ีจมอยกู่ บั สินค้าคงคลงั ซงึ่ คือคา่ ดอกเบีย้ จา่ ยถ้าเงินทนุ นนั้ มาจากการก้ยู ืมหรือเป็ นคา่ เสียโอกาส
ถ้าเงินทนุ นนั้ เป็นสว่ นของเจ้าของ คา่ คลงั สนิ ค้า คา่ ไฟฟ้ าเพ่ือการรักษาอณุ หภมู ิ คา่ ใช้จา่ ยของ
สนิ ค้าที่ชํารุดเสียหายหรือหมดอายเุ ส่ือมสภาพจากการเก็บนานเกินไป คา่ ภาษีและการประกนั ภยั
คา่ จ้างยามและพนกั งานประจําคลงั สินค้า ฯลฯ

3) คา่ ใช้จา่ ยเน่ืองจากสนิ ค้าขาดแคลน (Shortage Cost หรือ Stock out Cost)
เป็นคา่ ใช้จา่ ยที่เกิดขนึ ้ จากการมีสนิ ค้าคงคลงั ไมเ่ พียงพอตอ่ การผลติ หรือการขาย ทําให้ลกู ค้า
ยกเลกิ คาํ สงั่ ซือ้ ขาดรายได้ที่ควรได้ กิจการเสียช่ือเสียง กระบวนการผลติ หยดุ ชะงกั เกิดการ
วา่ งงานของเคร่ืองจกั รและคนงาน ฯลฯ คา่ ใช้จา่ ยนีจ้ ะแปรผกผนั กบั ปริมาณสินค้าคงคลงั ที่ถือไว้

นนั่ คือถ้าถือสนิ ค้าไว้มากจะไมเ่ กิดการขาดแคลน แตถ่ ้าถือสินค้าคงคลงั ไว้น้อยก็อาจเกิดโอกาสท่ี
จะเกิดการขาดแคลนได้มากกวา่ และมีคา่ ใช้จา่ ยเน่ืองจากสินค้าขาดแคลนนีข้ นึ ้ อยกู่ บั ปริมาณการ
ขาดแคลนรวมทงั้ ระยะเวลาท่ีเกิดการขาดแคลนขนึ ้ ด้วย คา่ ใช้จา่ ยเน่ืองจากสินค้าขาดแคลนได้แก่
คําสงั่ ซือ้ ของล็อตพิเศษทางอากาศเพื่อนํามาใช้แบบฉกุ เฉิน คา่ ปรับเนื่องจากสินค้าให้ลกู ค้าลา่ ช้า
คา่ เสียโอกาสในการขาย คา่ ใช้จา่ ยท่ีเกิดขนึ ้ จากการเสียคา่ ความนิยม ฯลฯ

4) คา่ ใช้จา่ ยในการตงั้ เคร่ืองจกั รใหม่ (Setup Cost) เป็นคา่ ใช้จา่ ยท่ีเกิดขนึ ้ จาก
การที่เคร่ืองจกั รจะต้องเปล่ียนการทํางานหนง่ึ ไปทํางานอีกอยา่ งหนง่ึ ซงึ่ จะเกิดการวา่ งงานชวั่ คราว
สินค้าคงคลงั จะถกู ทิง้ ให้รอกระบวนการผลติ ที่จะตงั้ ใหม่ คา่ ใช้จา่ ยในการตงั้ เคร่ืองจกั รใหมน่ ีจ้ ะมี
ลกั ษณะเป็นต้นทนุ คงที่ตอ่ ครัง้ ซง่ึ จะขนึ ้ อยกู่ บั ขนาดของล็อตการผลิต ถ้าผลิตเป็ นล็อตใหญ่มีการ
ตงั้ เครื่องใหมน่ านครัง้ คา่ ใช้จา่ ยในการตงั้ เครื่องใหมก่ ็จะต่าํ แตย่ อดสะสมของสนิ ค้าคงคลงั จะสงู
ถ้าผลติ เป็นล็อตเลก็ มีการตงั้ เครื่องใหม่บอ่ ยครัง้ คา่ ใช้จา่ ยในการตงั้ เครื่องใหมก่ ็จะสงู แตส่ ินค้าคง
คลงั จะมีระดบั ต่าํ ลง และสามารถสง่ มอบงานให้แกล่ กู ค้าได้เร็วขนึ ้

ในบรรดาคา่ ใช้จา่ ยเก่ียวกบั สินค้าคงคลงั ตา่ งๆ เหลา่ นี ้คา่ ใช้จา่ ยในการเก็บรักษา
จะสงู ขนึ ้ ถ้ามีระดบั สินค้าคงคลงั สงู และจะตํ่าลงถ้ามีระดบั สินค้าคงคลงั ตาํ่ แตส่ ําหรับคา่ ใช้จา่ ยใน
การสงั่ ซือ้ คา่ ใช้จา่ ยเน่ืองจากสินค้าขาดแคลน และคา่ ใช้จา่ ยในการตงั้ เครื่องจกั รใหม่ จะมีลกั ษณะ
ตรงกนั ข้าม คือ จะสงู ขนึ ้ ถ้ามีระดบั สนิ ค้าคงคลงั ตํ่าและจะตํ่าลงถ้ามีระดบั สินค้าคงคลงั สงู ดงั นนั้
คา่ ใช้จา่ ยเก่ียวกบั สินค้าคงคลงั ท่ีตาํ่ สดุ ณ ระดบั ท่ีคา่ ใช้จ่ายทกุ ตวั รวมกนั แล้วตา่ํ สดุ

2.ระบบการควบคุมสนิ ค้าคงคลัง (Inventory Control System)
ภาระงานอนั หนกั ประการหนง่ึ ของการบริหารสนิ ค้าคงคลงั คือ การลงบญั ชีและตรวจนบั

สนิ ค้าคงคลงั เพราะแตล่ ะธุรกิจจะมีสินค้าคงคลงั หลายชนิด แตล่ ะชนดิ อาจมีความหลากหลาย
เชน่ ขนาดรูปถ่าย สีผ้า ซง่ึ ทําให้การตรวจนบั สนิ ค้าคงคลงั ต้องใช้พนกั งานจํานวนมาก เพ่ือให้ได้
จํานวนที่ถกู ต้องภายใต้ระยะเวลาท่ีกําหนด เพื่อท่ีจะได้ทราบวา่ ชนิดสินค้าคงคลงั ที่เร่ิมขาดมือ
ต้องซือ้ มาเพ่มิ และปริมาณการซือ้ ท่ีเหมาะสม ระบบการควบคมุ สินค้าคงคลงั ที่มีอยู่ 3 วธิ ี คือ

2.1 ระบบสินค้าคงคลังอย่างต่อเน่ือง (Continuous Inventory System Perpetual
System) เป็นระบบสินค้าคงคลงั ท่ีมีวธิ ีการลงบญั ชีทกุ ครัง้ ที่มีการรับและจา่ ยของ ทําให้บญั ชีคมุ
ยอดแสดงยอดคงเหลือท่ีแท้จริงของสินค้าคงคลงั อยเู่ สมอ ซง่ึ จําเป็นอยา่ งย่งิ ในการควบคมุ สนิ ค้า
คงคลงั รายการที่สําคญั ท่ีปลอ่ ยให้ขาดมือไมไ่ ด้ แตร่ ะบบนีเ้ป็นวธิ ีที่มีคา่ ใช้จา่ ยด้านงานเอกสาร
คอ่ นข้างสงู และต้องใช้พนกั งานจํานวนมากจงึ ดแู ลการรับจา่ ยได้ทวั่ ถึง ในปัจจบุ นั การนําเอา
คอมพิวเตอร์เข้ามาประยกุ ตใ์ ช้กบั งานสํานกั งานและบญั ชีสามารถชว่ ยแก้ไขปัญหาในข้อนี ้โดย
การใช้รหสั แหง่ (Bar Code) หรือรหสั สากลสําหรับผลิตภณั ฑ์ (EAN13) ตดิ บนสินค้าแล้วใช้เครื่อง

อา่ นรหสั แหง่ (Laser Scan) ซงึ่ วธิ ีนีน้ อกจากจะมีความถกู ต้อง แมน่ ยํา เที่ยงตรงแล้ว ยงั สามารถใช้
เป็นฐานข้อมลู ของการบริหารสนิ ค้าคงคลงั ในซพั พลายเชนของสนิ ค้าได้อีกด้วย

2.2 ระบบสินค้าคงคลังเม่ือสนิ้ งวด (Periodic Inventory System) เป็นระบบสินค้าคง
คลงั ท่ีมีวธิ ีการลงบญั ชีเฉพาะในชว่ งเวลาท่ีกําหนดไว้เทา่ นนั้ เชน่ ตรวจนบั และลงบญั ชีทกุ ปลาย
สปั ดาห์หรือปลายเดือน เม่ือของถกู เบิกไปก็จะมีการสง่ั ซือ้ เข้ามาเตมิ ให้เตม็ ระดบั ท่ีตงั้ ไว้ ระบบนีจ้ ะ
เหมาะกบั สินค้าที่มีการสง่ั ซือ้ และเบกิ ใช้เป็นชว่ งเวลาท่ีแน่นอน เชน่ ร้านขายหนงั สือของซีเอ็ดจะมี
การสํารวจยอดหนงั สือในแตล่ ะวนั และสรุปยอดตอนสิน้ เดือน เพื่อดปู ริมาณหนงั สือคงค้างในร้าน
และคลงั สนิ ค้า ยอดหนงั สือท่ีต้องเตรียมจดั สง่ ให้แก่ร้านตามที่ต้องการสงั่ ซือ้

โดยทวั่ ไปแล้วระบบสินค้าคงคลงั เมื่อสิน้ งวดมกั จะมีระดบั สินค้าคงคลงั เหลือสงู กวา่ ระบบ
สนิ ค้าคงคลงั อยา่ งตอ่ เน่ือง เพราะจะมีการเผื่อสํารองการขาดมือโดยไมค่ าดคดิ ไว้ก่อนลว่ งหน้าบ้าง
และระบบนีจ้ ะทําให้มีการปรับปริมาณการสงั่ ซือ้ ใหม่ เมื่อความต้องการเปล่ียนแปลงไปด้วย การ
เลือกใช้ระบบสนิ ค้าคงคลงั แบบตอ่ เน่ืองและระบบสินค้าคงคลงั เมื่อสิน้ งวดมีข้อดีของแตล่ ะแบบ
ดงั นี ้

ข้อดีของระบบสินค้าคงคลงั แบบตอ่ เนื่อง
1.มีสนิ ค้าคงคลงั เผื่อขาดมือน้อยกวา่ โดยจะเผื่อสนิ ค้าไว้เฉพาะชว่ งเวลารอคอยเทา่ นนั้ แต่
ละระบบเม่ือสิน้ งวดต้องเผื่อสินค้าไว้ทงั้ ชว่ งเวลารอคอย และเวลาระหวา่ งการสงั่ ซือ้ แตล่ ะครัง้ .
2.ใช้จํานวนการสงั่ ซือ้ คงที่ซง่ึ จะทําให้ได้สว่ นลดปริมาณได้ง่าย
3.สามารถตรวจสนิ ค้าคงคลงั แตล่ ะตวั อยา่ งอสิ ระ และเจาะจงเข้มงวดเฉพาะรายการที่มี
ราคาแพงได้
ข้อดขี องระบบสินค้าคงคลงั เมื่อสนิ ้ งวด
1.ใช้เวลาน้อยกวา่ และเสียคา่ ใช้จา่ ยในการควบคมุ น้อยกวา่ ระบบตอ่ เน่ือง
2. เหมาะกบั การสงั่ ซือ้ ของจากผ้ขู ายรายเดียวกนั หลายๆชนดิ เพราะจะได้ลดคา่ ใช้จา่ ย
เก่ียวกบั เอกสาร ลดคา่ ใช้จา่ ยในการสงั่ ซือ้ และสะดวกตอ่ การตรวจนบั ยิ่งขนึ ้
3.คา่ ใช้จา่ ยในการเก็บข้อมลู สินค้าคงคลงั ต่ํากวา่
2.3 ระบบการจาํ แนกสนิ ค้าคงคลังเป็ นหมวดเอบีซี(ABC) ระบบนีเ้ป็นวธิ ีการจําแนก
สนิ ค้าคงคลงั ออกเป็นแตล่ ะประเภทโดยพิจารณาปริมาณและมลู คา่ ของสินค้าคงคลงั แตล่ ะ
รายการเป็นเกณฑ์ เพื่อลดภาระในการดแู ล ตรวจนบั และควบคมุ สินค้าคงคลงั ที่มีอย่มู ากมาย ซง่ึ
ถ้าควบคมุ ทกุ รายการอย่างเข้มงวดเทา่ เทียมกนั จะเสียเวลาและคา่ ใช้จา่ ยมากเกินความจําเป็น
เพราะในบรรดาสนิ ค้าคงคลงั ทงั้ หลายของแตล่ ะธุรกิจจะมกั เป็นไปตามเกณฑ์ดงั ตอ่ ไปนี ้
A เป็นสินค้าคงคลงั ท่ีมีปริมาณน้อย (5-15% ของสนิ ค้าคงคลงั ทงั้ หมด) แตม่ ีมลู คา่ รวม
คอ่ นข้างสงู (70-80% ของมลู คา่ ทงั้ หมด)

B เป็นสินค้าคงคลงั ที่มีปริมาณปานกลาง (30% ของสินค้าคงคลงั ทงั้ หมด) และมีมลู คา่
รวมปานกลาง (15% ของมลู คา่ ทงั้ หมด)

C เป็นสนิ ค้าคงคลงั ที่มีปริมาณมาก (50-60% ของสนิ ค้าคงคลงั ทงั้ หมด) แตม่ ีมลู คา่ รวม
คอ่ นข้างตํา่ (5-10% ของมลู คา่ ทงั้ หมด)

ตวั อยา่ งที่ 1 ฝ่ ายซอ่ มบํารุงในโรงงานเอสเอสไอ รับผดิ ชอบในการสํารองอะไหลใ่ นการ
ซอ่ มบํารุงเคร่ืองจกั รซงึ่ ได้เก็บประวตั กิ ารใช้งานที่ผา่ นมา มีหมายเลขชนิ ้ สว่ น ราคาตอ่ หนว่ ย และ
การใช้งาน ดงั แสดงในตารางตอ่ ไปนี ้

ชนิ้ ส่วนท่ี ต้นทุนต่อหน่วย อุปสงค์ต่อปี

1 60 90
2 360 40

3 30 130

4 80 60

5 30 10

6 20 180

7 10 170
8 320 50

9 510 6

10 20 120

ซง่ึ สามารถหาชนั้ ของอะไหล่โดยคณู ระหวา่ งต้นทนุ ตอ่ หนว่ ยกบั อปุ สงคต์ อ่ ปี และจดั ชนั้ ได้ดงั นี ้

ชิน้ ส่วนท่ี มูลค่ารวม %ของมูลค่ารวม %ของปริมาณรวม %สะสม

9 30,600 35.90 6.00 6.0

8 16,000 18.70 5.00 A 11.0

2 14,000 16.40 4.00 15.0

1 5,400 6.30 9.00 24.0
4 4,800 5.60 6.00 B 30.0

3 3,900 4.60 10.00 40.0

6 3,600 4.20 18.00 58.0

5 3,000 3.50 13.00 71.0

10 2,400 2.80 12.00 C 83.0

1 1,700 2.00 17.00 100.0

ชัน้ รายการ %ของมูลค่ารวม %ของปริมาณ

A 9,8,2 71.0 15.0

B 1,4,3 16.5 25.0

C 6,5,10,7 12.5 60.0

การจําแนกสินค้าคงคลงั เป็นหมวดABC จะทําให้การควบคมุ สินค้าคงคลงั แตกตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปนี ้

A ควบคมุ อย่างเข้มงวดมาก ด้วยการลงบญั ชีทกุ ครัง้ ที่มีการรับจา่ ย และมีการตรวจนบั

จํานวนจริงเพื่อเปรียบเทียบกบั จํานวนในบญั ชีอยบู่ อ่ ยๆ (เชน่ ทกุ สปั ดาห์) การควบคมุ จงึ ควรใช้
ระบบสนิ ค้าคงคลงั อยา่ งตอ่ เนื่องและต้องเก็บของไว้ในที่ปลอดภยั ในด้านการจดั ซือ้ ก็ควรหาผ้ขู าย

ไว้หลายรายเพ่ือลดความเส่ียงจากการขาดแคลนสนิ ค้าและสามารถเจรจาตอ่ รองราคาได้

B ควบคมุ อย่างเข้มงวดปานกลาง ด้วยการลงบญั ชีคมุ ยอดบนั ทกึ เสมอเชน่ เดียวกบั A

ควรมีการเบกิ จ่ายอยา่ งเป็นระบบเพื่อป้ องกนั การสญู หาย การตรวจนบั จํานวนจริงก็ทํา

เชน่ เดยี วกบั A แตค่ วามถ่ีน้อยกวา่ (เชน่ ทกุ สิน้ เดือน) และการควบคมุ B จงึ ควรใช้ระบบสินค้าคง

คลงั อยา่ งตอ่ เนื่องเชน่ เดียวกบั A
C ไมม่ ีการจดบนั ทกึ หรือมีก็เพียงเล็กน้อย สินค้าคงคลงั ประเภทนีจ้ ะวางให้หยิบใช้ได้ตาม

สะดวกเน่ืองจากเป็ นของราคาถกู และปริมาณมาก ถ้าทําการควบคมุ อย่างเข้มงวด จะทําให้มีคา่ ใช้

จายมากซงึ่ ไมค่ ้มุ คา่ กบั ประโยชน์ท่ีได้ป้ องกนั ไมใ่ ห้สญู หาย การตรวจนบั C จะใช้ระบบสนิ ค้าคง

คลงั แบบสิน้ งวดคอื เว้นสกั ระยะจะมาตรวจนบั ดวู า่ พร่องไปเทา่ ใดแล้วก็ซือ้ มาเตมิ หรืออาจใช้ระบบ

สองกลอ่ ง ซงึ่ มีกลอ่ งวสั ดอุ ยู่ 2 กลอ่ งเป็นการเผื่อไว้ พอใช้ของในกลอ่ งแรกหมดก็นําเอากลอ่ ง

สํารองมาใช้แล้วรีบซือ้ ของเตมิ ใสก่ ลอ่ งสํารองแทน ซง่ึ จะทําให้ไมม่ ีการขาดมือเกิดขนึ ้
2.4 การตรวจนับจาํ นวนสินค้าคงคลัง เป็ นการตรวจนบั สินค้าเพื่อให้เกิดความมน่ั ใจวา่

สินค้าท่ีมีอยจู่ ริง และในบญั ชีตรงกนั มีหลายวิธีดงั นี ้

1.วธิ ีปิ ดบญั ชีตรวจนบั คือ เลือกวนั ใดวนั หนงึ่ ท่ีจะทําการปิ ดบญั ชีแล้วห้ามมิให้มี

การเบกิ จา่ ยเพ่ิมเตมิ หรือเคล่ือนย้ายสินค้าคงคลงั ทกุ รายการ โดยต้องหยดุ การซือ้ -ขายตามปกติ

แล้วตรวจนบั ของทงั้ หมด วิธีนีจ้ ะแสดงมลู คา่ ของสนิ ค้าคงคลงั ณ วนั ที่ตรวจนบั ได้อย่างเที่ยงตรง

แตก่ ็ทําให้เสียรายได้ในวนั ที่ตรวจนบั ของ
2.วธิ ีเวียนกนั ตรวจนบั จะปิ ดการเคล่ือนย้ายสนิ ค้าคงคลงั เป็นๆ เพ่ือตรวจนบั เมื่อ

สว่ นใดตรวจนบั เสร็จก็เปิดขายหรือเบกิ จา่ ยได้ตามปกติ และปิดแผนกอื่นตรวจนบั ตอ่ ไปจนครบทกุ

แผนก วิธีนีจ้ ะไมเ่ สียรายได้จาการขายแตโ่ อกาสที่จะคลาดเคลื่อนมีสงู

3.ระบบขนาดการส่ังซือ้ ท่ีประหยัด (Economic Order Quantity หรือ EOQ)

3.1 การจัดการวัสดุ การจดั การวสั ดทุ ําเพื่อให้มีวสั ดแุ ละสนิ ค้ารองรับงานผลิตและ
การตลาด ทงั้ การบริการลกู ค้าท่ีดแี ละมีต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั รวมที่อยรู่ ะดบั ต่ําสามารถทําได้หลาย

วธิ ีการขนึ ้ อยกู่ บั ลกั ษณะของความต้องการสินค้า ทรัพยากรองค์การความพร้อมของบคุ ลากรท่ี
เก่ียวข้องการจดั การซพั พลายเชน ตลอดจนลกั ษณะของกระบวนการผลิตสนิ ค้าประกอบเข้า
ด้วยกนั นอกจากนนั้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีข้อมลู ขา่ วสารและคอมพวิ เตอร์ยงั ชว่ ยให้การ
สร้างระบบการจดั การสินค้าคงคลงั มีความหลากหลายมากขนึ ้ ทําให้ผ้บู ริหารสามารถเลือกใช้
ระบบที่เหมาะสมกบั กิจการของตนได้มากขนึ ้ ด้วยเชน่ กนั ระบบการจดั การสนิ ค้าคงคลงั ท่ีเป็นที่
นิยมใช้กนั แพร่หลายในธรุ กิจอตุ สาหกรรม มีดงั ตอ่ ไปนี ้

1.ระบบการขนาดสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั (EOQ)
2.ระบบการวางแผนความต้องการวสั ดุ (MRP)
3.ระบบสินค้าคงคลงั ของการผลติ แบบทนั เวลาพอดี (JIT)
3.2 ขนาดการส่ังซือ้ ท่ปี ระหยดั เป็ นระบบสินค้าคงคลงั ท่ีใช้กนั อยา่ งแพร่หลายมานาน
โดยทีระบบนีใ้ ช้กบั สนิ ค้าคงคลงั ท่ีมีลกั ษณะของความต้องการที่เป็นอิสระไมเ่ กี่ยวข้องตอ่ เนื่อง
กบั ควมต้องการของสินค้าคงคลงั ตวั อ่ืน จงึ ต้องวางแผนพิจารณาความต้องการอยา่ งเป็นเอกเทศ
ด้วยวิธีการพยากรณ์อปุ สงค์ของลกู ค้าโดยตรง เชน่ การวางแผนผลิตรถยนต์นงั่ สว่ นบคุ คล บริษัท
รถยนตจ์ ะพยากรณ์อปุ สงค์จากจํานวนครอบครัวขนาดเล็กถงึ ปานกลางที่มีรายได้รวมเกินกวา่
50,000 บาทตอ่ เดือน
ระบบขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั จะพิจารณาต้นทนุ รวมของสินค้าคงคลงั ที่ต่ําสดุ เป็นหลกั
เพ่ือกําหนดระดบั ปริมาณการสงั่ ซือ้ ตอ่ ครัง้ ที่เรียกวา่ “ขนาดการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั ”
การใช้ระบบขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั มีทงั้ 4 สภาวการณ์ดงั ตอ่ ไปนี ้
3.2.1 ขนาดการส่ังซือ้ ท่ปี ระหยัดท่อี ุปสงค์คงท่ีและสินค้าคงคลังไม่ขาดมือ โดยมี
สมมตฐิ านที่กําหนดเป็นขอบเขตไว้วา่

1) ทราบปริมาณอปุ สงค์อยา่ งชดั เจน และอปุ สงค์คงท่ี
2) ได้รับสนิ ค้าที่สงั่ ซือ้ พร้อมกนั ทงั้ หมด
3) รอบเวลาในการสงั่ ซือ้ ซง่ึ เป็นชว่ งเวลาตงั้ แตส่ ง่ั ซือ้ จนได้รับสินค้าคงที่
4) ต้นทนุ การเก็บรักษาสนิ ค้าและต้นทนุ การสงั่ ซือ้ คงที่
5) ราคาสนิ ค้าท่ีสง่ั ซือ้ คงท่ี
6) ไมม่ ีสภาวะของขาดมือเลย
การหาขนาดการสงั่ ซือ้ ประหยดั (EOQ) และต้นทนุ รวม (TC) จะทําได้จาก

EOQ = 2CoD

Cc

TCmin =  CoD  +  QCc 
 Q   2 

โดย EOQ = ขนาดการสง่ั ซือ้ ตอ่ ครัง้ ที่ประหยดั (Q*)
D = อปุ สงค์หรือความต้องการสนิ ค้าตอ่ ปี (หน่วย)
Co = ต้นทนุ การสง่ั ซือ้ หรือต้นทนุ การตงั้ เคร่ืองจกั รใหมต่ อ่ ครัง้ (บาท)
Cc = ต้นทนุ การเก็บรักษาตอ่ หนว่ ยตอ่ ปี (บาท)
Q = ปริมาณการสง่ั ซือ้ ตอ่ ครัง้ (หนว่ ย)
TC = ต้นทนุ สินค้าคงคลงั โดยรวม (บาท)

ต้นทนุ การสง่ั ซือ้ ตอ่ ปี =  D 
 Q Co
 

ต้นทนุ การเก็บรักษาตอ่ ปี =  Q Cc
 2

จํานวนการสงั่ ซือ้ ตอ่ ปี = D

Q*

รอบเวลาการสง่ั ซือ้ = D

Q*

ถ้าต้องการต้นทนุ รวมที่ต่ําสดุ จํานวนสงั่ ซือ้ ตอ่ ปี หรือรอบเวลาการสง่ั ซือ้ ท่ีจะสามารถ

ประหยดั ได้มากท่ีสดุ ให้แทน Q ด้วย EOQ หรือ Q* ท่ีคาํ นวณได้

ตวั อยา่ ง บริษัทจําหนา่ ยวสั ดผุ นงั หินสงั เคราะห์ในประมาณการวา่ ปี นีจ้ ะมีอปุ สงค์รวม 10,000

ตารางเมตร ต้นทนุ การเก็บรักษาตอ่ หลายเทา่ กบั 0.75 บาท ต้นทนุ การสง่ั ซือ้ ครัง้ ละ 150 บาท
จงหา

1.ขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั (EOQ)

EOQ = 2DCo
Cc

= 2(150)(10000)

= (0.75)
2.ต้นทนุ รวมท่ีตา่ํ สดุ
2,000 ตารางเมตร

TCmin =  CoD  +  QCc 
   2 
 Q 

= (150x10,000) x (0.75x2,000) 2
2,000

= 1,500 บาท

3.จํานวนครัง้ ของการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั ท่ีสดุ

= 10,000 = 5 ครัง้ ตอ่ ปี

2,000

4.ถ้าบริษัทเปิ ดขาย 311 วนั ตอ่ ปี รอบการสง่ั ซือ้ ประหยดั ท่ีสดุ คือ
= Q * = 2000x311 = 62.2 วนั

D 10000

3.2.2 ขนาดการส่ังซือ้ ท่ปี ระหยัดมีอุปสงค์คงท่ีและมีสนิ ค้าขาดมือบ้าง เนื่องจาก
การที่ของขาดมือก่อให้เกิดความประหยดั บางประการ อนั จะทําให้ต้นทนุ การสง่ั ซือ้ หรือต้นทนุ การ
ตงั้ เคร่ืองใหมล่ ดต่ําลง เพราะผลติ หรือสงั่ ซือ้ ของล็อตใหญ่ขนึ ้ สินค้านนั้ มีต้นทนุ การเก็บรักษาสงู
มากจงึ ไมม่ ีการเก็บของไว้เลย เชน่ ในร้านตวั แทนจําหนา่ ยรถยนต์มกั จะเกิดสภาวการณ์นี ้เพราะ
รถยนต์แตล่ ะคนั มีราคาแพง จงึ มีการจอดแสดงอยเู่ พียงคนั ละรุ่น เม่ือลกู ค้าตกลงใจเลือกซือ้ รถ
แบบที่ต้องการแล้ว ก็จะเลือกสีรถจากตวั อยา่ งสีในใบรายการ ตวั แทนจําหน่ายจะรับคําสง่ั ซือ้ นีไ้ ป
สงั่ รถจากบริษัทผลิตและตดิ ตงั้ อปุ กรณ์แตง่ รถตามความต้องการของลกู ค้าซง่ึ จะใช้เวลารอคอยสกั
ระยะหนงึ่ โดยที่ต้องระวงั มใิ ห้นานเกินไป ข้อสมมตฐิ านของกรณีนีม้ ีดงั ตอ่ ไปนี ้

1.เมื่อของล็อตใหมซ่ งึ่ มีจํานวนเทา่ กบั Q มาถึง จะต้องรีบสง่ ตามจํานวนท่ีขาดมือ
(S) ที่ค้างไว้กอ่ นทนั ที สว่ นของที่เหลือซง่ึ เทา่ กบั (Q-S) จะเก็บเข้าคลงั สินค้า

2.ระดบั สินค้าคงคลงั ตํ่าสดุ เทา่ กบั –S ระดบั สนิ ค้าคงคลงั สงู สดุ เทา่ กบั Q-S
3.ระยะเวลาของสินค้าคงคลงั (T) จะแบง่ ออกได้เป็ น 2 ส่วน คือ

T1 คือ ระยะเวลาชว่ งที่มีสินค้าจะขายได้
T2 คือ ระยะเวลาชว่ งที่สนิ ค้าขาดมือ
ขนาดการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั ระดบั สินค้าขาดมือที่ประหยดั และต้นทนุ รวมจะหาได้จาก

Q* = 2DCo + Cg + Cc
Cc Cg

S* = Q*  Cc 
 Cg + Cc 
 

TC = DCo + (Q * −S*)Cc + S *2 Cg
โดยท่ี Q* Q * 2Q * 2Q *

= ขนาดการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั

S* = ระดบั สินค้าขาดมือที่ประหยดั

Cg = ต้นทนุ สินค้าขาดมือตอ่ หนว่ ยตอ่ ปี

ระดบั สินค้าคงคลงั เฉล่ีย = Q * −S *

Q*

ระยะเวลาชว่ งท่ีมีสนิ ค้าขาย (T1) = Q *−S *
D

ระยะเวลาชว่ งที่สนิ ค้าขาดมือ (T 2 ) = S*
D

เวลารอคอยของสินค้าคงคลงั (T) = T1+ T 2

= Q *−S * + S *

DD

= Q*

D

ตวั อยา่ ง ศนู ย์จําหนา่ ยรถมิตซบู ชิ ินครราชสีมาซง่ึ เป็ นตวั แทนจําหนา่ ยรถปิคอพั ขบั เคล่ือน
ส่ีล้อ คาดวา่ ปี นีจ้ ะมีอปุ สงค์ 500 คนั ต้นทนุ การสง่ั ซือ้ ครัง้ ละ 250 บาท ต้นทนุ การจมของเงินทนุ
เทา่ กบั 1,200 บาท ตอ่ คนั ตอ่ ปี ต้นทนุ สินค้าขาดมือ เป็ น 200 บาท ตอ่ คนั ตอ่ ปี จงหา

1.ขนาดการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั (Q*) = 2DcO Cg + Cc

Cc Cg

= 2(500)(250) 200 + 1200
1200 1200

= 38.19 (38) คนั

2.ระดบั ของขาดมือท่ีประหยดั (S*) = Q*  Cc 
Cg + Cc

= 38.19*  1200 
 200 + 1200 

= 32.73 คนั

3.เวลารอคอยของสินค้าคงคลงั = Q * = 38.19 = 0.076 ปี = 27.73 วนั

D 500

4.ระดบั สินค้าคงคลงั สงู สดุ = Q*-S* = 38.19 – 32.73 = 5.46 คนั

5.จํานวนครัง้ ของการสงั่ ซือ้ ตอ่ ปี = Q * = 500 = 13.09 ครัง้

D 38.19

6.ต้นทนุ สินค้าคงคลงั ต่ําสดุ ตอ่ ปี = DCo + (Q * −S*)2 Cc + S *2 Cg
Q * 2Q * 2Q *

= 500x250 + (38.19 − 32.73)2 x1200 + 32.732 x200
38.19 2x38.19 2x38.19

= 3,273+468+2,805 = 6,546 บาท
3.2.3 ขนาดการส่ังซือ้ ท่ปี ระหยัดท่ที ยอยรับทยอยใช้สนิ ค้า สนิ ค้าคงคลงั ไมไ่ ด้ถกู สง่

มาพร้อมกนั ในคราวเดียวแตท่ ยอยสง่ มาและในขณะนนั้ มีการใช้สินค้าไปด้วย โดยท่ีอตั ราการรับ

(p) ต้องมากกวา่ อตั ราการใช้ (d) ทงั้ สองอตั รามีคา่ เฉลี่ยคงที่และไมม่ ีของขาดมือ สินค้าคงคลงั จะ

สะสมสว่ นท่ีเหลือจากการใช้มากขนึ ้ เร่ือยๆ จนถงึ จดุ สงู สดุ

การหาขนาดสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั และต้นทนุ รวมทําได้จาก

Q =opt 2CoD

Cc1 − d 
p

TC = CoD + CcQ 1 − d 
Q 2 p

โดยที่ p = อตั ราการรับสินค้า

d = อตั ราการใช้สินค้า

E = อตั ราการตงั้ เคร่ืองจกั รใหมต่ อ่ ล็อตการผลิตตวั แปรอื่นเหมือนกรณีที่ 1

ระดบั สินค้าคงคลงั สงู สดุ = Q- Q d = Q 1 − d 
p
p

ระดบั สนิ ค้าคงคลงั เฉลี่ย = Q 1 − d 
2 p

ระยะเวลาท่ีทยอยซือ้ ทยอยใช้ (T p ) = Q*
2

ระยะเวลาที่ใช้สนิ ค้าเพียงอย่างเดียว (T d ) = Q*  − d
d 1 
 p 

ระยะเวลาของสนิ ค้าคงคลงั (T) = T p +T d

= Q + Q  − d  = Q
p d 1 p  d
 

ตวั อยา่ ง โรงงานผลิตหนุ่ ยนต์เศษเหลก็ มีอปุ สงค์เท่ากบั 2,000 ตวั ตอ่ ปี ต้นทนุ การตงั้

เครื่องแตล่ ะครัง้ เทา่ กบั 100 บาท ต้นทนุ การเก็บรักษาเทา่ กบั 2 บาทตอ่ ตวั ตอ่ ปี อตั ราการผลิต

เทา่ กบั 8,000 ตวั ตอ่ ปี ให้หาคา่ ตอ่ ไปนี ้

1.ขนาดการผลติ ที่ประหยดั

= 2CoD = 2x200x100 = 516 วนั
21 − 2000 
Cc1 − d   8000 
p

2.ระดบั สินค้าคงคลงั สงู สดุ

= Q 1 − d  = 516 1− 2000  = 387 วนั
p
 8000 

3.รอบเวลาสินค้าคงคลงั

= Q * = 516 = 0.259 ปี หรือ 94.5 วนั

d 2000

4.ต้นทนุ สินค้าคงคลงั รวม

= CoD + CcQ 1 − d 
Q 2 p

=  2000 100 + 516 1 − 2000  x2 = 774 บาท
 516 2 8000 

4.ขนาดการส่ังซือ้ ท่ปี ระหยัดท่มี ีส่วนลดปริมาณ (Quantity Discount)

เมื่อซือ้ ของจํานวนมากฝ่ ายจดั ซือ้ มกั จะตอ่ รองให้ราคาสนิ ค้าตอ่ หนว่ ยลดลงซง่ึ ได้มี

สมมตฐิ านวา่ ยิ่งจํานวนที่ซือ้ มากเทา่ ไร ราคาตอ่ หนว่ ยของสินค้าย่งิ ลดลงเท่านนั้ นอกจากนนั้

ปริมาณสงั่ ซือ้ ท่ีเปล่ียนแปลงไปจะมีผลทําให้ต้นทนุ การเก็บรักษาเปลี่ยน
ดงั นนั้ วธิ ีการท่ีจะคํานวณให้ได้ขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั ท่ีสดุ จงึ ต้องพิจารณาต้นทนุ ของ

สนิ ค้าที่ราคาตา่ งกนั ด้วย ขนั้ ตอนของการคดิ มีดงั ตอ่ ไปนี ้

1.คํานวณหาขนาดการสง่ั ซือ้ ท่ีประหยดั แล้วหาต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั รวมที่ EOQ

ต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั รวม =  D  + Q Cci + DPi
 Q Co  2
 

เมื่อ P เป็ นราคาของสนิ ค้าแตล่ ะระดบั ปริมาณการซือ้
Cc เป็นต้นทนุ การเก็บรักษาแตล่ ะระดบั ปริมาณการซือ้

ถ้าขนาดการสง่ั ซือ้ ท่ีประหยดั ที่คาํ นวณได้อยใู่ นชว่ งปริมาณท่ีสง่ั ซือ้ ได้ในระดบั ราคาตา่ํ สดุ
ขนาดการสง่ั ซือ้ ท่ีประหยดั ท่ีคาํ นวณได้คือ ปริมาณการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั

2.ถ้าขนาดการสง่ั ซือ้ ที่ประหยดั ที่คาํ นวณได้ ไมอ่ ยใู่ นชว่ งปริมาณที่สามารถสงั่ ซือ้ ได้ใน
ระดบั ราคาต่ําสดุ ให้คาํ นวณต้นทนุ รวมของการเก็บสินค้าคงคลงั ที่ปริมาณการสงั่ ซือ้ ต่ําสดุ ของ
ระดบั ราคาสินค้าท่ีต่ํากวา่ ระดบั ราคาของขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั ท่ีคํานวณได้ แล้วเปรียบเทียบ
กบั ต้นทนุ รวมท่ีขนาดการสงั่ ซือ้ ท่ีประหยดั เพ่ือหาต้นทนุ ตํา่ สดุ แล้วกําหนดปริมาณการสงั่ ซือ้ ท่ี
ประหยดั

ตวั อยา่ ง อาคารคอนโดมิเนียมใช้นํา้ ยาทําความสะอาดปี หนง่ึ ต้องใช้ปี ละ 816 แกลลอน
คําสง่ั ซือ้ ได้ในระดบั ราคาตํา่ สดุ 120 บาท คา่ เก็บรักษาเทา่ กบั 40 บาท ตอ่ ปี ตอ่ ลิตร การให้สว่ นลด
ของผ้คู ้าสง่ นํา้ ยาทําความสะอาดเป็นดงั ตอ่ ไปนี ้

ปริมาณการสงั่ ซือ้ ตอ่ ครัง้ แกลลอน ราคาตอ่ แกลลอน

0 – 49 100
50 – 79 90
80 – 99 85
100 ขนึ ้ ไป 80

จงหาขนาดการสงั่ ซือ้ ที่ประหยดั ท่ีสดุ

EOQ = 2x816x120 = 69.97 = 70 แกลลอน

40

แตป่ ริมาณ 70 แกลลอนจะได้ราคาแกลลอนละ 90 บาท ซง่ึ ไมใ่ ช้ราคาต่าํ สดุ ดงั นนั้ จงึ ต้อง
คํานวณต้นทนุ สนิ ค้าคงคลงั รวม เปรียบเทียบกบั ต้นทนุ สินค้าคงคลงั รวมท่ีราคา 85 และ 80 บาท
ตามลําดบั

1.เม่ือสง่ั ซือ้ ที่ 70 แกลลอน ราคาแกลลอนละ 90 บาท
ต้นทนุ รวม = ต้นทนุ สินค้า + ต้นทนุ การสงั่ ซือ้ + ต้นทนุ การเก็บรักษา

= (90x816)+  816 x120 +  40x 70 

 70   2 

= 76,239 บาท
2.เม่ือสงั่ ซือ้ ท่ี 80 แกลลอน ราคาแกลลอนละ 85 บาท

ต้นทนุ รวม = (85x816)+  816 x120 +  40x 80 

 80   2 

= 72,184 บาท
3.เม่ือสงั่ ซือ้ ท่ี 100 แกลลอน ราคาแกลลอนละ 80 บาท

ต้นทนุ รวม = (80x816)+  816 x120 +  40x 100 

 100   2 

= 68,259 บาท
ต้นทนุ รวมท่ีตํ่าสดุ คือปริมาณการสงั่ ซือ้ ครัง้ ละ 100 แกลลอน
5.จุดส่ังซือ้ ใหม่ (Reorder Point)
ในการจดั ซือ้ สินค้าคงคลงั เวลาก็เป็นปัจจยั ที่สําคญั อยา่ งยง่ิ ตวั หนงึ่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงถ้า
ระบบการควบคมุ สินค้าคงคลงั ของกิจการเป็นแบบตอ่ เน่ือง จะสามารถกําหนดท่ีจะสงั่ ซือ้ ใหมไ่ ด้
เมื่อพบวา่ สินค้าคงคลงั ลดเหลือระดบั หนงึ่ ก็จะสงั่ ซือ้ ของมาใหมใ่ นปริมาณคงท่ีเทา่ กบั ปริมาณการ
สงั่ ซือ้ ท่ีกําหนดไว้ ซง่ึ เรียกวา่ Fixed order Quantity System จดุ สงั่ ซือ้ ใหมน่ นั้ มีความสมั พนั ธ์แปร
ตามตวั แปร 2 ตวั คือ อตั ราความต้องการใช้สนิ ค้าคงคลงั และรอบเวลาในการสงั่ ซือ้ (Lead Time)
ภายใต้สภาวการณ์ 4 แบบ ดงั ตอ่ ไปนี ้
5.1 จุดส่ังซือ้ ใหม่ในอัตราความต้องการสนิ ค้าคงคลังคงท่ีและรอบเวลาคงท่ี เป็ น
สภาวะที่ไมเ่ สี่ยงที่จะเกิดสนิ ค้าขาดมือเลย เพราะทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งแนน่ อน

จดุ สงั่ ซือ้ ใหม่ R = d x L
โดยที่ d = อตั ราความต้องการสินค้าคงคลงั

L = เวลารอคอย

ตวั อย่าง ถ้าโรงงานทําซาลาเปาฮอ่ งเต้ใช้แป้ งสาลี วนั ละ 10 ถงุ และการสง่ั แป้ งจากร้านค้าสง่ จะ
ใช้เวลา 2 วนั กวา่ ของจะมาถึง จดุ สงั่ ซือ้ ใหมจ่ ะเป็นเท่าใด

จดุ สง่ั ซือ้ ใหม่ = d x L
= 10 x 2
= 20 ถงุ

เม่ือแป้ งสาลีเหลือ 20 ถงุ ต้องทําการสงั่ ซือ้ ใหมม่ าเพ่ิมเติม
5.1.1 สตอ็ คเพ่อื ความปลอดภัย (Safety Stock) เป็นสตอ็ คท่ีต้องสํารองไว้กนั

สนิ ค้าขาดเม่ือสินค้าถกู ใช้และปริมาณลดลงจนถงึ จดุ สง่ั ซือ้ (Reorder point) เป็นจดุ ที่ใช้เตือน
สําหรับการสง่ั ซือ้ รอบถดั ไป เมื่ออปุ สงคส์ งู กวา่ สินค้าคงคลงั ท่ีเก็บไว้ เป็นการป้ องกนั สินค้าขาดมือ
ไว้ลว่ งหน้า หรืออีกคําอธิบายหนง่ึ เป็นการเก็บสะสมสินค้าคงคลงั ในชว่ งของรอบเวลาในการสง่ั ซือ้

5.1.2 ระดบั การให้บริการ (Service Level) เป็นวธิ ีการวดั ปริมาณสต็อคเพ่ือ
ความปลอดภยั เพ่ือให้สอดคล้องกบั ข้อกําหนดในด้านคณุ ภาพ โดยปกตใิ นระบบคณุ ภาพลกู ค้าจะ
มีการคาดหวงั ในระดบั ท่ีกําหนดเป็นร้อยละของการสง่ั ซือ้ วา่ สามารถจดั สง่ ได้หรือไม่ ซึ่งขนึ ้ กบั
นโยบายที่ป้ องกนั สต็อคขาดมือ โดยขนึ ้ อย่กู บั ต้นทนุ สําหรับสตอ็ คเพมิ่ เตมิ และเสียยอดขาย
เนื่องจากไมส่ อดคล้องกบั อปุ สงค์

5.2 จุดส่ังซือ้ ใหม่ในอัตราความต้องการสนิ ค้าคงคลังท่ีแปรผันและรอบเวลาคงท่ี
เป็นสภาวะท่ีอาจเกิดของขาดมือได้เพราะวา่ อตั ราการใช้หรือความต้องการสนิ ค้าคงคลงั ไม่
สม่ําเสมอ จงึ ต้องมีการเก็บสินค้าคงคลงั เผ่ือขาดมือ (Cycle-Service Level) ซงึ่ จะเป็นโอกาสท่ีไม่
มีของขาดมือ

จดุ สงั่ ซือ้ ใหม่ = (อตั ราความต้องการ x รอบเวลา) + สนิ ค้าคงคลงั เพ่ือความปลอดภยั
= ( d x L) + z L (δ d )

โดยที่ d = อตั ราความต้องการสินค้าโดยเฉล่ีย
L = รอบเวลาคงท่ี
Z = คา่ ระดบั ความเชื่อมน่ั วา่ จะมีสนิ ค้าเพียงพอตอ่ ความต้องการ
δd = ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของอตั ราความต้องการสนิ ค้า

ระดบั วงจรของการบริการ = 100% - โอกาสท่ีจะเกิดของขาดมือ
ตวั อยา่ ง บริษัทเชา่ รถต๊กุ ต๊กุ มีผ้มู าเชา่ ทกุ 10 วนั พบวา่ การกระจายของจํานวนลกู ค้าที่มาเชา่ นนั้
เป็นแบบปกติ และมีความเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2 ราย ลกู ค้าแตล่ ะรายมกั จะเชา่ ไปครัง้ ละ 2 วนั
ระดบั การให้บริการประมาณร้อยละ 95 จงหาจดุ สงั่ ซือ้ ของรถต๊กุ ต๊กุ

ระดบั การให้บริการประมาณร้อยละ 95 เปิ ดดตู าราง พบวา่ คา่ Z = 1.65

จดุ สงั่ ซือ้ ใหม่ = ( d x L) + z L (δ d )
= (10x2) + (1.65) 2 (2)
= 24.65 = 25 คนั

5.3 จุดส่ังซือ้ ในอัตราความต้องการสินค้าคงคลังคงท่ีและรอบเวลาแปรผัน เป็ น
สภาวะที่รอบเวลามีลกั ษณะการกระจายของข้อมลู แบบปกติ

จดุ สง่ั ซือ้ ใหม่ = (d x L ) + zdδ L
โดยที่ d = อตั ราความต้องการสนิ ค้าคงคลงั ซง่ึ คงที่

L = รอบเวลาเฉลี่ย
Z = คา่ ระดบั ความเช่ือมนั่ วา่ จะมีสนิ ค้าเพียงพอตอ่ ความต้องการ
δ L = คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานของรอบเวลา
δd = คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐานของอตั ราความต้องการสนิ ค้า
ตวั อยา่ ง บริษทั ท่ีปรึกษาใช้หมกึ พิมพ์สําหรับเครื่องพร็อตกราฟ 6 กลอ่ ง ในแตล่ ะสปั ดาห์ การ
สงั่ ซือ้ หมกึ พมิ พ์ใหมใ่ ช้ในเวลารอคอยเฉลี่ย 0.5 สปั ดาห์และมีความเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.25
สปั ดาห์ ถ้าต้องการระดบั วงจรของการบริการ 97% จงหาจดุ สง่ั ซือ้ ใหม่
ระดบั วงจรของการบริการ 97% เปิ ดดตู าราพบวา่ คา่ Z = 1.88
จดุ สงั่ ซือ้ ใหม่ = (d x L ) + zdδ L

= (6x0.5)+(1.88x6x0.25)
= 5.82 กลอ่ ง
5.4 จุดส่ังซือ้ ใหม่ในอัตราความต้องการสนิ ค้าแปรผันและรอบเวลาแปรผัน โดยท่ี
ทงั้ อตั ราความต้องการสนิ ค้าและรอบเวลามีลกั ษณะการกระจายของข้อมลู แบบปกติทงั้ สองตวั
แปร

จดุ สง่ั ซือ้ ใหม่ = ( dx L )+z Lδ 2d + d 2δ 2L
โดยที่ d = อตั ราความต้องการสินค้าคงคลงั ซงึ่ คงที่

L = รอบเวลาเฉล่ีย
Z = คา่ ระดบั ความเชื่อมน่ั วา่ จะมีสินค้าเพียงพอตอ่ ความต้องการ
δ L = คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานของเวลารอคอย
ตวั อยา่ ง การขายหมกึ ฟิล์มเลเซอร์ของร้านเคร่ืองเขียน มีการกระจายของข้อมลู แบบปกติ ซงึ่ มี
คา่ เฉลี่ย 100 กลอ่ งตอ่ วนั และมีความเบยี่ งเบนมาตรฐาน 10 กล่องตอ่ วนั รอบเวลามีการกระจาย
ของข้อมลู แบบปกตซิ ง่ึ มีคา่ เฉลี่ย 5 วนั และคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน 1 วนั ถ้าต้องการระดบั การ
ให้บริการร้อยละ 90 จงหาจดุ สงั่ ซือ้ ใหม่
ระดบั การให้บริการ 90% เปิดดตู ารางพบวา่ Z = 1.28

จดุ สง่ั ซือ้ ใหม่ = ( dx L )+z Lδ 2d + d 2δ 2L

= (100x5)+1.28 5(10)2 + (100)2 (1)2
= (500) + 1.28 500 +1000
= (500) + (1.28 x 102.5) = 631 กลอ่ ง
สว่ นการพิจารณาจดุ สงั่ ซือ้ ใหมใ่ นกรณีท่ีการตรวจสอบสินค้าคงคลงั เป็นแบบสิน้ งวดเวลา
ท่ีกําหนดไว้ (Fixed Time Period System) จะแตกตา่ งกบั การตรวจสอบสินค้าคงคลงั
แบบตอ่ เน่ืองตรงท่ีปริมาณการสงั่ ซือ้ แตล่ ะครัง้ จะไมค่ งท่ี และขนึ ้ อย่กู บั ว่าสินค้าพร่องลงไปเทา่ ใดก็
ซือ้ เตมิ ให้เตม็ ระดบั เดมิ
ปริมาณการสงั่ ซือ้ = ชว่ งของการป้ องกนั สินค้าขาดมือ (Protection Interval)
+ สินค้าคงคลงั เผื่อขาดมือ – สนิ ค้าคงคลงั ท่ีเหลือในมือ ณ จดุ สง่ั ซือ้ ใหม่
Q = d (tb + L) + zδ d tb + L − I
โดยท่ี t b = ชว่ งเวลาท่ีหา่ งกนั ในการสงั่ ซือ้ แตล่ ะครัง้
I = สินค้าคงคลงั ในสตอ็ ค (รวมทงั้ ของที่กําลงั สง่ั ซือ้ ด้วย)
d = อตั ราความต้องการเฉล่ีย
L = รอบเวลาการสงั่ ซือ้ สินค้า
Zδd tb + L = สตอ็ คเพ่ือความปลอดภยั
สรุป
ระบบการจดั การสินค้าคงคลงั ในปัจจบุ นั มีสองชนิดคอื แบบตอ่ เน่ือง และแบบสินค้าปลาย
งวด ซง่ึ ระบบการสงั่ ซือ้ มีหลายตวั แบบในการคาํ นวณ ขนึ ้ กบั สภาวการณ์ตา่ งๆ เพ่ือกําหนดจํานวน
ท่ีสงั่ ซือ้ เวลาในการสง่ั ซือ้ และจดุ สง่ั ซือ้ ใหม่ ที่นิยมใช้มากท่ีสดุ คือ การสง่ั แบบตอ่ เน่ืองเมื่อสินค้า
ถกู ใช้ และการสงั่ ซือ้ เมื่อจํานวนสนิ ค้าเหลือตามจํานวนที่กําหนด ซง่ึ นยิ มการสง่ั ซือ้ โดยใช้
แบบจําลองปริมาณการสง่ั ซือ้ แบบประหยดั (EOQ) เพื่อใช้เป็นทางเลือกระหวา่ งต้นทนุ คา่ จดั เก็บ
และต้นทนุ การสง่ั ซือ้ สนิ ค้า นอกจากนนั้ ยงั สามารถใช้ในการตดั สนิ ใจในการพิจารณาเลือกในการ
ลงทนุ ให้มีต้นทนุ การสง่ั ซือ้ ตํ่าสดุ และสามารถลดต้นทนุ สินค้าคงคลงั ทงั้ ระบบในซพั พลายเชน
ต่าํ สดุ

บทท่ี 8
การพยากรณ์

1.บทบาทเชิงกลยุทธ์ของการพยากรณ์ (The Strategic Role of Forecasting)
การจัดการซัพพลายเชน ในยคุ ปัจจบุ นั การจดั การซพั พลายเชน ครอบคลมุ ถงึ โรงงาน

สาธารณปู โภคพืน้ ฐาน หน้าที่ฝ่ ายตา่ งๆในบริษทั กิจกรรมท่ีผลติ สนิ ค้าและบริการจากผ้ขู ายปัจจยั
การผลิตรวมถงึ ผ้ขู ายปัจจยั การผลติ ในทกุ ขนั้ ถดั ไป ลกู ค้าของลกู ค้าในทกุ ระดบั รวมถึงกิจกรรม
การจดั ซือ้ สนิ ค้าคงคลงั การผลิต ตารางกําหนดการผลิต การกําหนดทําเลที่ตงั้ โรงงานและ
คลงั สนิ ค้า การขนสง่ และการกระจายสินค้า สง่ ผลกระทบในระยะสนั้ คือ การจดั การอปุ สงค์ของ
สินค้า ส่วนระยะยาวจะเก่ียวกบั การออกผลิตภณั ฑ์ใหม่ และกระบวนการผลติ ความลํา้ หน้าทาง
เทคโนโลยี และการเปล่ียนตลาด ซงึ่ ต้องมีการพยากรณ์ในสว่ นที่ได้รับผลกระทบทงั้ ระยะสนั้ และ
ระยะยาว โดยระยะสนั้ จะมองที่การพยากรณ์ที่แมน่ ยํา ซง่ึ เป็นตวั บง่ ชีแ้ นวทางในการเก็บสินค้าคง
คลงั ท่ีกระจายอยใู่ นจดุ ตา่ งๆ

ในระยะยาวต้องมองการเปลี่ยนแปลงของโลก ทงั้ ทางเทคโนโลยี ตลาดในตา่ งประเทศ
คแู่ ขง่ และปัจจยั ภายนอกทงั้ หมด ไมว่ า่ เป็ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง ลกู ค้า การเปลี่ยนแปลง
ตลาดใหม่

แนวโน้มในการออกแบบซพั พลายเชน คือ การเตมิ สินค้าอยา่ งตอ่ เน่ือง (Continuous
Replenishment) ซงึ่ เกี่ยวข้องกบั ผ้ขู ายสินค้า โดยใช้ยอดขายท่ีเชื่อมตอ่ ผา่ นอินเตอร์เนต็ เพื่อลด
สนิ ค้าคงคลงั การเพิ่มความเร็วในการสง่ สินค้าให้ลกู ค้า วิธีการนีก้ ารตอบสนองลกู ค้าอยา่ งรวดเร็ว
JIT VMI และการไมเ่ ก็บสต็อก ฉะนนั้ การพยากรณ์ท่ีต้องมีประวตั ิ และตวั เลข ย่งิ มีตวั เลขในอดีต
ท่ีผา่ นมามาก ยิ่งทําให้การพยากรณ์แมน่ ยํามากขนึ ้

การจัดการคุณภาพแบบสมบูรณ์ การพยากรณ์เกี่ยวกบั การจดั การคณุ ภาพเพราะเป็น
แนวทางในการจดั หาคณุ ภาพและบริการท่ีดแี กล่ กู ค้า โดยให้บริการแก่ลกู ค้าโดยสินค้าท่ีถกู ต้องทงั้
คณุ ภาพและปริมาณสง่ ถึงในเวลาที่กําหนด สถานท่ีท่ีระบุ และราคาเป็ นธรรม ในอตุ สาหกรรมยาน
ยนต์ หรือแม้กระทง่ั แมคโดนลั ด์ ก็ใช้ระบบการผลิตแบบทนั เวลาพอดี

การวางแผนเชงิ กลยุทธ์ ในการท่ีจะทําให้ธุรกิจบรรลเุ ป้ าหมาย และประสบความสําเร็จ
นนั้ มีความจําเป็นอยา่ งยงิ่ ในการพยากรณ์อปุ สงค์ในตลาดและผลติ ภณั ฑ์ในอนาคตที่แมน่ ยํา ต้อง
มองการพยากรณ์ทงั้ ระบบ ในการบริหารการผลติ มีความจําเป็นอยา่ งยิง่ ท่ีจะต้องใช้ตวั เลขและ
ข้อมลู เชงิ ปริมาณในการวางแผนและตดั สินใจดําเนินการตามหน้าที่ตา่ งๆ ทงั้ ระยะสนั้ และระยะ
ยาว ข้อมลู เชิงปริมาณอนั หนง่ึ ซงึ่ มีความสําคญั อยา่ งยงิ่ คือ อปุ สงค์ของผลิตภณั ฑ์ เพราะอปุ สงค์
ของลกู ค้าเป็นตวั กําหนดเชงิ ปริมาณของกิจกรรม การบริหารการผลิตหลายประการ ทําให้สามารถ

จดั สรรทรัพยากรอนั มีอยอู่ ย่างจํากดั ขององค์การให้เหมาะสมกบั ปริมาณผลิตภณั ฑ์ที่ลกู ค้า
ต้องการ การลว่ งรู้อปุ สงคใ์ นอนาคตจะมีผลในการวางแผนกิจกรรมการบริหารการผลิตในระยะสนั้
และระยะยาวได้ถกู ต้อง ใกล้เคยี งกบั ผลลพั ธ์ท่ีดที ี่สดุ ซง่ึ การพยากรณ์ขนึ ้ กบั กรอบเวลา พฤตกิ รรม
อปุ สงค์ และสาเหตทุ ่ีเกิดขนึ ้ ของแตล่ ะพฤตกิ รรม

2.ความหมายและประโยชน์ของการพยากรณ์
การพยากรณ์ (Forecasting) เป็นการใช้วธิ ีการเชิงคณุ ภาพและเชงิ ปริมาณ เพ่ือ

คาดคะเนอปุ สงค์ของสนิ ค้าและบริการในอนาคตของลกู ค้าทงั้ ชว่ งระยะสนั้ ระยะปานกลาง และ
ระยะยาว

การพยากรณ์อปุ สงค์ มีประโยชน์ในการวางแผนและการตดั สินใจตอ่ หลายฝ่ ายของ
องคก์ าร คือ

ฝ่ ายการเงิน : อปุ สงค์ที่ประมาณการจะเป็นข้อมลู พืน้ ฐานในการจดั ทํางบประมาณการ
ขายซงึ่ จะเป็นจดุ เริ่มต้นในการทํางบประมาณการเงิน เพ่ือจดั สรรทรัพยากรให้ทกุ สว่ นขององค์การ
อยา่ งทว่ั ถึงและเหมาะสม

ฝ่ ายการตลาด : อปุ สงค์ที่ประมาณการไว้จะถกู ใช้กําหนดโควตาการขายของพนกั งานขาย
หรือถกู นําไปสร้างเป็นยอดขายเป้ าหมายของแตล่ ะผลิตภณั ฑ์ เพ่ือใช้ในการควบคมุ งานของฝ่ าย
ขายและการตลาด

ฝ่ ายการผลิต : อปุ สงค์ที่ประมาณการไว้ถกู นํามาใช้เป็นข้อมลู ในการดาํ เนินการตา่ งๆ ใน
ฝ่ ายการผลิต คอื

1.การบริหารสนิ ค้าคงคลงั และการจดั ซือ้ เพ่ือมีวตั ถดุ บิ พอเพียงในการผลติ และมีสนิ ค้า
สําเร็จรูปพอเพียงตอ่ การขาย ภายใต้ต้นทนุ สินค้าคงคลงั ในระดบั ที่เหมาะสม

2.การบริหารแรงงานโดยการจดั กําลงั คนให้สอดคล้องกบั ปริมาณงานการผลิตท่ีพยากรณ์
ไว้แตล่ ะชว่ งเวลา

3.การกําหนดกําลงั การผลิต เพื่อจดั ให้มีขนาดของโรงงานท่ีเหมาะสม มีเครื่องจกั ร
อปุ กรณ์ หรือสถานีการผลิตท่ีเพียงพอตอ่ การผลิตในปริมาณที่พยากรณ์ไว้ การวางแผนการผลิต
รวม เพ่ือจดั สรรแรงงานและกําลงั การผลิตให้สอดคล้องกบั การจดั ซือ้ วตั ถดุ ิบและชนิ ้ สว่ นท่ีต้องใช้
ในการผลิตแตล่ ะชว่ งเวลา

4.การเลือกทําเลท่ีตงั้ สําหรับการผลิต คลงั เก็บสินค้า หรือศนู ย์กระจายสนิ ค้าในแตล่ ะ
แหลง่ ลกู ค้าหรือแหลง่ การขายท่ีมีอปุ สงคม์ ากพอ

5.การวางแผนผงั กระบวนการผลติ และการจดั ตารางการผลิต เพ่ือจดั กระบวนการผลิตให้
เหมาะสมกบั ปริมาณสินค้าที่ต้องผลิต และกําหนดเวลาการผลิตให้สอดคล้องกบั ชว่ งของอปุ สงค์

3.การพยากรณ์ท่ีให้ผลแม่นยาํ

จากประโยชน์ของการพยากรณ์ดงั ที่กลา่ วมาแล้ว จะเห็นได้วา่ ยงิ่ พยากรณ์อปุ สงค์ได้
ถกู ต้องใกล้เคียงกบั ความจริงเทา่ ใด ก็ยิ่งจะทําให้การวางแผนและการตดั สนิ ใจดาํ เนินงานของ
องค์การเกิดประสทิ ธิผลมากขนึ ้ เทา่ นนั้ ความผดิ พลาดจากการพยากรณ์จะนํามาซงึ่ ปัญหาในการ
จดั การผลิตหลายประการ เชน่ ซือ้ วตั ถดุ บิ มากเกินไปทําให้เกิดต้นทนุ สินค้าคงคลงั ที่สงู โรงงานคบั
แคบเกินไปมีเครื่องจกั รไมเ่ พียงพอท่ีจะผลติ สนิ ค้าที่พยากรณ์อปุ สงค์ไว้ตํ่าเกินไป ทําให้เกิดการ
ทํางานลว่ งเวลา และคา่ ใช้จ่ายการซ่อมบํารุงเครื่องจกั รท่ีสงู ขนึ ้ ดงั นนั้ การพยากรณ์อปุ สงค์ที่
แมน่ ยําจงึ เป็นส่งิ สําคญั สําหรับการวางแผนการบริหารการผลติ ทงั้ หมด

วธิ ีการที่จะพยากรณ์ได้ผลท่ีแมน่ ยํา ถกู ต้องใกล้เคยี งกบั ความเป็ นจริง มีดงั ตอ่ ไปนี ้
1.ระบวุ ตั ถปุ ระสงค์ในการนําผลการพยากรณ์ไปใช้ และช่วงเวลาท่ีการพยากรณืจะ
ครอบคลมุ ถึงเพ่ือที่จะเลือกใช้การพยากรณ์ได้ถกู ต้องเหมาะสม
2.รวบรวมข้อมลู อยา่ งมีระบบ ถกู ต้องตามความเป็ นจริง เพราะคณุ ภาพของข้อมลู มีผล
อยา่ งย่งิ ตอ่ การพยากรณ์
3.เมื่อมีสินค้าหลายชนิดในองค์การ ควรจําแนกประเภทของสินค้าท่ีมีลกั ษณะของอปุ สงค์
คล้ายกนั ไว้เป็นกลมุ่ เดยี วกนั พยากรณ์สําหรับกลมุ่ แล้วจึงแยกกนั พยากรณ์สําหรับแตล่ ะสินค้าใน
กลมุ่ อีกครัง้ โดยเลือกวิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสมกบั แตล่ ะกลมุ่ แตล่ ะสินค้า
4.ควรบอกข้อจํากดั และสมมตฐิ านท่ีตงั้ ไว้ในการพยากรณ์นนั้ เพื่อผ้นู ําผลพยากรณ์ไปใช้
จะทราบถึงเงื่อนไขข้อจํากดั ที่มีผลตอ่ คา่ พยากรณ์
5.หมน่ั ตรวจสอบความถกู ต้องแมน่ ยําของคา่ พยากรณ์ได้กบั คา่ จริงที่เกิดขนึ ้ เป็นระยะ เพื่อ
ปรับวธิ ีการ คา่ คงที่ หรือสมการท่ีใช้ในการคาํ นวณให้เหมาะสมเม่ือเวลาเปล่ียนไป

4.องค์ประกอบของการพยากรณ์อุปสงค์ (Components of Forecasting Demaand)
การพยากรณ์ขนึ ้ กบั กรอบเวลา พฤติกรรมอปุ สงค์ โดยมีรายละเอียดตอ่ ไปนี ้

4.1 การพยากรณ์ตามกรอบเวลาท่ีการพยากรณ์ครอบคลุมถงึ
1.การพยากรณ์ระยะสนั้ เป็นการพยากรณ์ในชว่ งเวลาที่ตํ่ากวา่ 3 เดอื น ใช้

พยากรณ์แตล่ ะสนิ ค้าแยกเฉพาะ เพื่อใช้ในการบริหารสินค้าคงคลงั การจดั ตารางการผลิตสายการ
ประกอบหรือการใช้แรงงานในชว่ งเวลาแตล่ ะสปั ดาห์ แตล่ ะเดอื น หรือแตล่ ะไตรมาศ หรืออีกนยั
หนง่ึ คือการพยากรณ์ระยะสนั้ ใช้ในการวางแผนระยะสนั้

2.การพยากรณ์ระยะปานกลาง เป็นการพยากรณ์ในชว่ งเวลาที่มากกวา่ 3 เดอื น
จนถงึ 2 ปี ใช้พยากรณ์ทงั้ กลมุ่ ของสนิ ค้าหรือยอดขายรวมขององค์การ เพื่อใช้ในการวางแผนด้าน
บคุ ลากร การวางแผนการผลิต การจดั ตารางการผลิตรวม การจดั ซือ้ และการกระจายสินค้า
ระยะเวลาท่ีนิยมพยากรณ์คือ 1 ปี เพราะเป็นหนงึ่ รอบระยะเวลาบญั ชีพอดี การพยากรณ์ระยะ
ปานกลางใช้ในการวางแผนระยะปานกลาง

3.การพยากรณ์ระยะยาว เป็ นการพยากรณ์ในชว่ งเวลา 2 ปี ขนึ ้ ไป ใช้พยากรณ์
ยอดขายรวมขององคก์ าร เพื่อใช้ในการเลือกทําเลท่ีตงั้ ของโรงงานและสงิ่ อํานวยความสะดวก การ
วางแผนกําลงั การผลิต และการจดั การกระบวนการผลิตในระยะยาว การพยากรณ์ระยะยาวใช้ใน
การวางแผนระยะยาว

4.2 การพยากรณ์แบ่งตามพฤตกิ รรมอุปสงค์ โดยแนวโน้มเป็ นการบง่ ชีร้ ะดบั การ
เคล่ือนไหวของอปุ สงคใ์ นระยะยาวว่ามากขนึ ้ หรือตาํ่ ลง โดยปัจจบุ นั พฤตกิ รรมอปุ สงคเ์ ป็นคา่ ที่
เป็นลกั ษณะการสมุ่ ซง่ึ ไมใ่ ชพ่ ฤตกิ รรมปกติ มีหลายรูปแบบ คอื พฤติกรรมที่เป็ นรูปแบบแนวโน้ม
วฎั จกั ร และฤดกู าล

แนวโน้ม (Trend) เป็นเส้นที่เมื่อนํามาเขียนกราฟแล้วมีแนวโน้มเพิ่มอยา่ งตอ่ เนื่อง
เป็นลกั ษณะการเป็ นไปของยอดขายในอนาคต

วฎั จกั ร (Cycle) เป็นเส้นที่เมื่อนํามาเขียนกราฟแล้วมีลกั ษณะเพ่ิมขนึ ้ ลดลง
เทา่ ๆกนั เป็นวงจรชีวิตของผลิตภณั ฑ์ท่ีขนึ ้ อยกู่ บั เทคโนโลยี การแขง่ ขนั กฎหมาย และการเมือง
ระบบเศรษฐกิจ อนั เป็นปัจจยั ที่ควบคมุ ไมไ่ ด้

ฤดกู าล (Season) เป็นเส้นที่เมื่อนํามาเขียนกราฟแล้วมีลกั ษณะเพิ่มขนึ ้ เป็นชว่ ง
สนั้ ๆ และลดลง เป็นชว่ งเวลาในแตล่ ะปี ท่ีผลิตภณั ฑ์จะทํายอดขายในลกั ษณะรูปแบบหนง่ึ และ
ลกั ษณะนีเ้กิดขนึ ้ ประจําทกุ ปี เชน่ พฤตกิ รรมการใช้โลชน่ั ในฤดหู นาว

แนวโน้มและฤดกู าล เป็นเส้นท่ีมีลกั ษณะผสมระหวา่ งแนวโน้มและฤดกู าล เชน่
พฤตกิ รรมการบริการซ่อมบาํ รุงระบบปรับอากาศของโลกร้อนขนึ ้ เรื่อยๆ คนจะใช้ระบบปรับอากาศ
ในเมืองมากขนึ ้ ปริมาณอปุ สงคม์ ากขนึ ้ แตใ่ นช่วงเดอื นมีนาคมถงึ พฤษภาคมในแตล่ ะปี คนจะ
เรียกใช้บริการมากท่ีสดุ

เหตกุ ารณ์ผิดปกติ (Irregular Variation) เป็นสิ่งท่ีเกิดขึน้ เหนือความคาดหมาย
ซง่ึ มีผลกระทบตอ่ ยอดขายของผลติ ภณั ฑ์ เชน่ โรคระบาด ภยั ธรรมชาติ การค้นพบส่ิงใหมโ่ ดย
บงั เอญิ ในห้องปฏิบตั กิ ารสงคราม จะพยากรณ์เหตกุ ารณ์ผิดปกตไิ มไ่ ด้เพราะไมม่ ีรูปแบบของการ
อนมุ ตั ิ

4.3 วิธีการท่ใี ช้ในการพยากรณ์ (Forecast Method)
4.3.1 วธิ ีการใช้วจิ ารณญาณ (Judgment Method) เป็นวธิ ีการท่ีใช้เม่ือไมม่ ีข้อมลู

ในอดีตเพียงพอที่จะใช้พยากรณ์ เชน่ ต้องการพยากรณ์ยอดขายของสนิ ค้าใหม่ หรือเม่ือมี
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกิดขนึ ้ การพยากรณ์แบบนีม้ ี 4 วิธีด้วยกนั คือ

1.1 การประมาณการของพนกั งานขาย ใช้การประมาณการของพนกั งานขายซง่ึ
เป็นผ้ทู ่ีได้สมั ผสั กบั สภาพของตลาดมากท่ีสดุ ใกล้ชิดกบั ลกู ค้ามากท่ีสดุ พนกั งานขายจะพยากรณ์
โดยรวบรวมยอดขายแตล่ ะเขตพืน้ ท่ีซงึ่ ตนรับผิดชอบนนั้ แล้วสง่ มายงั สํานกั งานใหญ่ แตว่ ธิ ีนมั้ ี

ข้อผดิ พลาดได้เน่ืองจากพนกั งานขายบางคนเป็นผ้มู องโลกในแงด่ ีเกินไป หรือพนกั งานขายมกั จะรู้
ดีวา่ ยอดขายของการพยากรณ์จะถกู ใช้ในการกําหนดโควตาการขายจงึ ประมาณการไว้ตํา่ เพื่อทํา
ยอดขายเกินเป้ าได้งา่ ยขนึ ้ และพนกั งานขายบางคนไมเ่ ข้าใจวา่ อปุ สงค์เป็นความต้องการท่ีมี
“กําลงั ซือ้ ” ของลกู ค้าประกอบด้วย

1.2 ความคดิ เห็นของผ้บู ริหาร ใช้พยากรณ์ผลิตภณั ฑ์ใหมท่ ี่ยงั ไมอ่ อกสู่
ท้องตลาดมาก่อน จงึ ใช้ความคดิ เหน็ ของผ้บู ริหารที่มีประสบการณ์คนหนง่ึ หรือหลายคนมาชว่ ย
พยากรณ์และกําหนดกลยทุ ธ์ให้เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อม เชน่ การนําผลิตภณั ฑ์สตู่ ลาด
ตา่ งประเทศ ข้อจํากดั ของวธิ ีนี ้คือ มกั ใช้เวลาของกลมุ่ ผ้บู ริหารในการประชมุ สรุปการพยากรณ์
มากจงึ เป็นวิธีท่ีมีคา่ ใช้จา่ ยสงู และไมค่ วรใช้ผ้บู ริหารฝ่ ายใดฝ่ ายหนงึ่ พยากรณ์ตามลําพงั โดยไมไ่ ด้
สรุปร่วมกบั ผ้บู ริหารฝ่ ายอื่น เพราะผลของการพยากรณ์กระทบทกุ ฝ่ ายขององคก์ าร

1.3 การวิจยั ตลาด เป็นวิธีที่ต้องกระทําอยา่ งมีระบบโดยสร้างสมมตฐิ าน แล้ว
เก็บรวบรวมข้อมลู จากผ้ใู ช้ผลติ ภณั ฑ์เพื่อทําการพยากรณ์ การวิจยั ตลาดต้องประกอบด้วยการ
ออกแบบสอบถาม กําหนดวิธีการเก็บข้อมลู สมุ่ ตวั อยา่ งมาสมั ภาษณ์ รวบรวมข้อมลู มา
ประมวลผลและวิเคราะห์ตามลําดบั วิธีนีใ้ ช้กบั การพยากรณ์ในระยะสนั้ ระยะปานกลาง และระยะ
ยาวได้ แตเ่ ป็นวิธีที่เสียคา่ ใช้จา่ ยสงู และต้องพถิ ีพิถนั ในการปฏิบตั หิ ลายขนั้ ตอน

1.4 วธิ ีเดลฟาย เป็นวิธีท่ีประชมุ กลมุ่ ผ้เู ช่ียวชาญเฉพาะทางมีความรู้เกี่ยวกบั
ผลติ ภณั ฑ์นนั้ วธิ ีนีจ้ ะใช้ได้ดีเม่ือไมม่ ีข้อมลู ใดจะใช้พยากรณ์ได้และผ้บู ริหารขององคก์ ารไมม่ ี
ประสบการณ์ในผลิตภณั ฑ์นนั้ เพียงพอ วิธีนีจ้ ะเริ่มจากการสง่ คาํ ถามเวียนไปยงั ผ้เู ชี่ยวชาญหลาย
คนให้ตอบกลบั มาแล้วทําเป็ นรายงานสง่ ให้ผ้เู ช่ียวชาญทกุ คนได้อา่ นข้อคดิ เห็นของทกุ คน เพ่ือให้
ทกุ คนปรับปรุงแนวความคิดใหมแ่ ล้วสง่ กลบั มาอีกทําซํา้ ๆ หลายรอบจนได้ข้อสรุปยตุ ิจากทกุ คน
ข้อเสียของวิธีนีค้ ือเสียเวลามาก (อาจเป็นปี ) ผ้เู ช่ียวชาญบางคนอาจยดึ มนั่ ในความคดิ ของตนจน
ไมส่ รุปกบั ข้อคดิ เหน็ ของคนอื่น คาํ ถามหรือแบบสอบถามท่ีไมม่ ีทําให้สรุปยาก จงึ ใช้วิธีนีก้ บั
ผลิตภณั ฑ์ใหมท่ ี่ไมส่ ามารถใช้วธิ ีอื่นได้

4.3.2 วิธีการพยากรณ์สาเหตุ (Causal Method) เป็นวธิ ีการท่ีใช้เมื่อข้อมลู มี
ความสมั พนั ธ์ของตวั แปรหนง่ึ กบั ยอดขาย ซงึ่ ตวั แปรนนั้ จะเป็นปัจจยั ภายในองคก์ าร เชน่ ต้นทนุ
ขาย หรือปัจจยั ภายนอกองค์การ เชน่ ต้นทนุ โลจสิ ตกิ ส์ของคแู่ ขง่ ก็ได้ ความสมั พนั ธ์ดงั กลา่ วจะมี
ลกั ษณะเป็นสมการเส้นตรง (Linear Regression) โดยมีตวั แปรหนง่ึ เป็นตวั แปรตาม (Dependent
Variable) กบั อีกตวั แปรหนง่ึ ซงึ่ เป็นตวั แปรอสิ ระ (Independent Variable) สมั พนั ธ์กนั ในลกั ษณะ
ท่ีเม่ือตวั แปรอสิ ระเปลี่ยนแปลงแล้ว จะสง่ ผลให้ตวั แปรตามเปล่ียนด้วย

Yc = a+b X
A = Y+b X

B = ∑XY – n X Y

∑X2-n X 2
เมื่อ a = คา่ ที่แกน Y ซงึ่ สมการเส้นตรงตดั

b = ความลาดชนั ของเส้นตรง

n = จํานวนข้อมลู ท่ีใช้หาสมการ

Y = ยอดขายพยากรณ์

X = ตวั แปรอิสระ
ตวั อยา่ ง จงหาความสมั พนั ธ์ของยอดขายของสินค้าหนง่ึ (y) และต้นทนุ โลจสิ ตกิ ส์รวม (x) จาก

ข้อมลู ดงั ตอ่ ไปนี ้(หนว่ ย : ล้านบาท)

ยอดขาย (Y) ต้นทนุ โลจสิ ตกิ ส์(X) X2 XY Y2

264 2.5 6.25 660.0 69,696

116 1.3 1.69 150.8 13,465

165 1.4 1.96 231.0 27,225

101 1.0 1.00 101.0 10,201

209 2.0 4.00 418.0 43,681

∑Y = 855 ∑X = 8.2 ∑X 2 = 14.9 ∑XY = 1560.8 ∑Y 2 = 164,259

X = 8.2/5 = 1.64

Y = 885/5 = 171.00

b = ∑XY – n X Y = 1560.8 – 5 (1.64) (171)

∑X2-n X 2 14.9 – 5 (1.64) 2
= 158.60 = 109.229

1.452

a = Y - b X = 171.00 – 109.229 (1.64) = -8.136
Y c = -8.136 + 109.229X
ถ้าตงั้ งบประมาณต้นทนุ โลจิสตกิ ส์ไว้ท่ี 1.75 ล้านบาท จะพยากรณ์ยอดขายได้คอื

ยอดขาย = -8.136 + 109.229 (1.75) = 183.015 ล้านบาท

คา่ ยอดขายท่ีพยากรณ์ได้ คือ 183.015 ล้านบาท เป็นจดุ คา่ เฉล่ียของยอดขาย (Point

Estimate of Sale) ซง่ึ เป็นคา่ คา่ เดียวจงึ มีโอกาสจะเป็นคา่ พยากรณ์ท่ีถกู ต้องแมน่ ยําน้อยมาก ถ้า

หากถือวา่ คา่ พยากรณ์มีการกระจายแบบปกติ (Normal Curve) ซงึ่ มีคา่ ระดบั ความเช่ือมน่ั

ตา่ งๆกนั จะทําให้สามารถแสดงคา่ พยากรณ์เป็ นชว่ งซง่ึ มีโอกาสท่ีจะเป็นคา่ พยากรณ์ท่ีถกู ต้องได้

มากกวา่ คา่ คา่ เดียว และมีความยืดหยนุ่ ในการนําไปใช้งานได้มากกวา่ คา่ คา่ เดียว ดงั ตอ่ ไปนี ้

32%% คา่ พยากรณ์ในชว่ ง X ± SD มีโอกาสถกู ต้องแมน่ ยําถึง 68% และมีโอกาสผิดพลาด

คา่ พยากรณ์ในชว่ ง X ± 2SD มีโอกาสถกู ต้องแมน่ ยําถึง 95.5% และมีโอกาสผิดพลาด

4.5%

คา่ พยากรณ์ในชว่ ง X ± 3SD มีโอกาสถกู ต้องแมน่ ยําถงึ 99.7% และมีโอกาสผิดพลาด

0.3%

โดยที่คา่ ความเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation หรือ SD) คาํ นวณได้จาก

SD = ∑(Y − Yc )2 หรือ = ∑Y 2 − a ∑Y − b ∑ XY
n-2 n-2

ตวั อยา่ ง จงหายอดขายเมื่อมีงบประมาณต้นทนุ โลจิสตกิ ส์ 1.75 ล้านบาท ในระดบั ความเช่ือมนั่ ที่

95.5%

SD = ∑Y 2 − a ∑Y − b ∑ XY
n-2

= 164,250 − (−8.136)(855) −109.229(1560.8)

5-3

= 730.66 = 15.61

3
ยอดขาย = X ± 2SD เม่ือต้องการระดบั ความเชื่อมน่ั 95.5%

= 1833148 ± (2 x 15.61) = 151.795 ถึง 214.235 ล้านบาท

การวัดค่าสหสัมพันธ์ของตัวแปร อนงึ่ สมการเส้นตรง Yc = a + bx ควรถกู ตรวจสอบ

ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง x และ y ให้มน่ั ใจแนน่ อนว่าตวั แปรทงั้ สองนีม้ ีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งแท้จริง

เหมาะสมท่ีจะใช้พยากรณ์ได้โดยใช้
1.สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธ์ (Coefficient of Correlation) ใช้วดั ทิศทางและระดบั ของ

ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง x และ y

r = n ∑ XY − ∑ X ∑Y

[ ] n ∑ X 2 − (∑ X )2 n ∑Y 2 − (∑Y )2

คา่ ของ r จะอยรู่ ะหวา่ ง -1.00 ถึง +1.00 ถ้าคา่ ของ r เป็นบวกแสดงวา่ x และ y มี

ความสมั พนั ธ์แปรตามกนั ถ้าคา่ ของ r เป็นลบแสดงวา่ x และ y มีความสมั พนั ธ์แบบผกผนั คือ ถ้า

x เพม่ิ ขนึ ้ y จะลดลง และถ้า x ลดลง y จะเพ่ิมขนึ ้ ถ้าคา่ ของ r น้อยมากหรือเข้าใกล้ศนู ย์ แสดง
วา่ x และ y ไมม่ ีความสมั พนั ธ์ตอ่ กนั

2.สมั ประสทิ ธ์ิการกําหนด (Coefficient of Determination) ใช้วดั อทิ ธิพลของตวั แปรอิสระ
ท่ีมีตอ่ ยอดขายพยากรณ์ โดยนําคา่ r มายกกําลงั สอง

หรือ r 2 = a ∑Y + ∑ XY − ny 2

2

∑Y 2 − nY

คา่ r 2 อยรู่ ะหวา่ ง 0 ถึง 1 สมการความสมั พนั ธ์ที่คํานวณคา่ r 2 ได้ใกล้เคียง 1.0 แสดงว่า
ตวั แปรอสิ ระ (x) ที่ใช้มีอิทธิพลตอ่ ยอดขายที่พยากรณ์ได้มาก

ในความเป็นจริง ยอดขายมกั จะได้รับผลกระทบจากตวั แปรอิสระหลายตวั ในขณะเดียวกนั
การวิเคราะห์หาความสมั พนั ธ์จงึ ต้องมีการใช้ตวั แปรอสิ ระมากกวา่ 1 ตวั เรียกวา่ Multiple
Regression Analysis ซงึ่ สมการจะอยใู่ นรูป Y c = a+b1x1+b 2 x 2 เชน่ ยอดขายแปรตาม

ต้นทนุ โลจสิ ตกิ ส์และคา่ โบนสั พนกั งานขาย วธิ ีนีจ้ ะมีการหาคา่ a, b1 และ b2 คอ่ นข้างซบั ซ้อน จงึ
ขอไมก่ ลา่ วถงึ ในที่นี ้

ข้อดีของวธิ ีพยากรณ์สาเหตุ
1.ได้คา่ พยากรณ์เป็นช่วงท่ีจะนําไปใช้งานได้อยา่ งมีความยืดหยนุ่ มากกวา่ คา่ พยากรณ์
เดียว
2.สามารถพยากรณ์ยอดขายได้จากปัจจยั ภายในและภายนอกองคก์ ารที่เกี่ยวข้องกบั ผล
การดําเนินงาน (ยอดขายและกําไร) จากการปฏิบตั งิ าน (ต้นทนุ และคา่ ใช้จา่ ย) ได้
ข้อจํากดั ของวิธีพยากรณ์สาเหตุ
1.ต้องการข้อมลู จํานวนมากพอเพียงท่ีจะสรุปเป็นสมการได้ จงึ ทําให้มีคา่ ใช้จา่ ยสงู
2.การคาํ นวณคอ่ นข้างยงุ่ ยาก ไมเ่ หมาะกบั การพยากรณ์สําหรับธุรกิจท่ีมีสินค้าหลายชนดิ

4.3.3 การพยากรณ์แบบอนุกรมเวลา (Time Series Method) เป็นวิธีการท่ีใช้
พยากรณ์ยอดขายในอนาคตโดยคาดวา่ จะมีลกั ษณะเชน่ เดียวกบั ยอดขายในปัจจบุ นั หรืออนาคต
ยอดขายหรืออปุ สงค์ในความเป็นจริงได้รับอิทธิพลจากแนวโน้ม (Trend) ฤดกู าล (Seasonal) วฎั
จกั ร (Cycle) และเหตกุ ารณ์ผิดปกติ (Irregular Variation)
การใช้อนกุ รมเวลามี 3 วิธี คือ

1) การพยากรณ์อยา่ งงา่ ย (naïve Forecast) เป็นการพยากรณ์ว่ายอดขายในอนาคตจะ
เทา่ กบั ยอดขายปัจจบุ นั เชน่ เดอื นมกราคมขายได้ 35 กลอ่ ง เดือนกมุ ภาพนั ธ์ควรจะขายได้ 35
กลอ่ ง เชน่ กนั ถ้าเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ขายได้จริง 42 กลอ่ ง ก็จะพยากรณ์วา่ เดอื นมีนาคมว่าขายได้ 42
กลอ่ งเชน่ กนั

การพยากรณ์อย่างงา่ ยอาจแสดงเป็นแนวโน้มของอปุ สงค์ ดงั นี ้ถ้าเดือนมกราคม ขายได้
108 กลอ่ ง เดือนกมุ ภาพนั ธ์ขายได้ 120 กลอ่ ง จะพยากรณ์เดือนมีนาคมว่าขายได้ 120 + (120-
180) เท่ากบั 132 กลอ่ ง ถ้าเดอื นมีนาคมขายได้จริง 127 กลอ่ ง จะพยากรณ์เดือนมีนาคมวา่ ขายได้
120+(127-120) = 134 กล่อง และใช้พยากรณ์ฤดกู าลวา่ ถ้าปี ท่ีแล้วในชว่ งเวลานีข้ ายได้เทา่ ไร ปี นี ้
ก็นา่ จะขายได้เทา่ นนั้

วธิ ีนีง้ ่ายและมีคา่ ใช้จ่ายตํา่ แตใ่ ช้ได้ดีกรณีท่ีอทิ ธิพลตา่ งๆ ท่ีมีตอ่ ยอดขายสง่ ผลสมํ่าเสมอ
เทา่ นนั้ แตถ่ ้ามีเหตกุ ารณ์ผิดปกตเิ กิดขนึ ้ จะเกิดความคลาดเคล่ือนสงู

2) การหาคา่ เฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เป็นการหาคา่ เฉลี่ยของยอดขายโดยใช้
จํานวนข้อมลู 3 ชว่ งเวลาขนึ ้ ไปในการคาํ นวณ เมื่อเวลาผา่ นไป 1 ชว่ งก็ใช้ข้อมลู ใหมม่ าเฉล่ียแทน
ข้อมลู ในชว่ งเวลาไกลท่ีสดุ ซง่ึ จะถกู ตดั ทงิ ้ ไป

คา่ เฉล่ียเคลื่อนที่ = ∑ อปุ สงค์หรือยอดขายในชว่ งเวลา n ครัง้
n

การพยากรณ์แบบคา่ เฉล่ียเคลื่อนที่ต้องรอเก็บข้อมลู อยา่ งน้อย 3 ชว่ งเวลา ดงั นนั้ คา่
พยากรณ์ท่ีได้คา่ แรกคือของชว่ งที่ 4 เชน่ ถ้าเร่ิมเก็บข้อมลู ยอดขายเดอื นมกราคม ในเดือน
กมุ ภาพนั ธ์ และมีนาคม ก็ยงั พยากรณ์ไมไ่ ด้ จะเร่ิมพยากรณ์ได้เม่ือสนิ ้ เดือนมีนาคม โดยคาํ นวณ
คา่ พยากรณ์ของเดอื นเมษายนและใช้คา่ นีท้ ําการพยากรณ์เดือนพฤษภาคม โดยตดั ยอดขายจริง
ของเดือนมกราคมท่ีอยไู่ กลท่ีสดุ ออกไป เอายอดขายจริงของเดอื นเมษายนเข้าแทนท่ีแล้ว
คาํ นวณหาคา่ เฉลี่ยเคล่ือนท่ีซงึ่ เป็นคา่ พยากรณ์ของเดอื นพฤษภาคมตอ่ ไป

จํานวนข้อมลู ท่ีใช้อาจเป็นจํานวนคหี่ รือคกู่ ็ได้ ถ้ายอดขายมีลกั ษณะคอ่ นข้างคงที่ ก็ควรใช้
ข้อมลู จํานวนมากหาคา่ เฉลี่ยจงึ จะได้คา่ พยากรณ์ที่ใกล้เคียงคา่ จริงมากกวา่ แตถ่ ้ายอดขายมีการ
เปล่ียนแปลงในชว่ งสนั้ ๆ จะควรใช้ข้อมลู จํานวนน้อยหาคา่ เฉล่ียจงึ จะให้คา่ พยากรณ์ที่ใกล้เคียงคา่
จริงมากกวา่ และถ้าหาคา่ เฉล่ีย 12 เดือน จะขจดั อิทธิพลของฤดกู าลออกไปได้
ตวั อยา่ ง การพยากรณ์ยอดขายโดยใช้วิธีคา่ เฉลี่ยเคลื่อนท่ี 3

เดือน คา่ ขายจริง คา่ เฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือน
ม.ค. 10
ก.พ. 12 (10+12+13)/3 = 11.67
มี.ค. 13 (12+13+16)/3 = 13.67
เม.ย. 16 (13+16+19)/3 = 16.00
พ.ค. 19 (16+19+23)/3 = 19.33
ม.ิ ย. 23
ก.ค. 26

ส.ค. 30 (19+23+26)/3 = 22.67

ก.ย. 28 (23+26+30)/3 = 26.33

ต.ค. 18 (26+30+28)/3 = 28.00
พ.ย. 18 (30+28+16)/3 = 25.33

ธ.ค. 14 (28+16+14)/3 = 20.67

อยา่ งไรก็ดี ข้อมลู ที่อยใู่ นชว่ งใกล้เวลาที่ต้องการพยากรณ์มกั จะมีอิทธิพลกบั คา่ พยากรณ์

มากกวา่ ข้อมลู ที่อยไู่ กลออกไป จงึ มีการหาคา่ เฉลี่ยเคล่ือนที่แบบถ่วงนํา้ หนกั (Weighted Moving

Average) ดงั นี ้

คา่ เฉล่ียเคลื่อนท่ีแบบถว่ งนํา้ หนกั = W t−1 A t−1 +W t−2 A t−2 +…….+W t−n A t−n

∑w

นํา้ หนกั ของชว่ งเวลาที่ใกล้คา่ พยากรณ์จะมากกวา่ นํา้ หนกั ของชว่ งเวลาท่ีไกล

ตวั อยา่ ง จงพยากรณ์ยอดขายโดยวธิ ีคา่ เฉลี่ยแบบถ่วงนํา้ หนกั โดยใช้ข้อมลู ในตวั อยา่ งข้างต้น ได้

กําหนดให้การถว่ งนํา้ หนกั ของคา่ เฉลี่ยเคล่ือนท่ี 3 เดือน เป็นดงั นี ้
นํา้ หนกั ชว่ งระยะเวลา

3 เดือนท่ีแล้ว

2 2 เดือนท่ีแล้ว

1 3 เดือนท่ีแล้ว

6 คา่ รวมของนํา้ หนกั ทงั้ หมด

เดือน คา่ ขายจริง คา่ เฉล่ียเคล่ือนที่ 3 เดือน
ม.ค. 10

ก.พ. 12

มี.ค. 13

เม.ย. 16 [(3x13)+(2x12)+(10)]/6 = 12.17

พ.ค. 19 [(3x16)+(2x13)+(12)]/6 = 14.33

ม.ิ ย. 23 [(3x19)+(2x16)+(13)]/6 = 17.00
ก.ค. 26 [(3x23)+(2x19)+(16)]/6 = 20.50

ส.ค. 30 [(3x26)+(2x23)+(19)]/6 = 23.83

ก.ย. 28 [(3x30)+(2x26)+(23)]/6 = 27.50

ต.ค. 18 [(3x28)+(2x30)+(26)]/6 = 23.33

พ.ย. 18 [(3x18)+(2x28)+(30)]/6 = 12.33
ธ.ค. 14 [(3x16)+(2x18)+(28)]/6 = 12.67

ข้อดขี องวธิ ีคา่ เฉลี่ยเคล่ือนท่ี
1.เป็นวธิ ีที่งา่ ยตอ่ การคํานวณและความเข้าใจ
ข้อเสียของวธิ ีคา่ เฉลี่ยเคลื่อนท่ี
1.เสียเวลาและคา่ ใช้จา่ ยในการหาข้อมลู คอ่ นข้างสงู
2.คา่ เฉล่ียที่คํานวณจะได้แสดงทศิ ทางของยอดขายในอนาคตแตไ่ มใ่ กล้เคยี งกบั คา่ จริง
แม้จะมีคา่ เฉล่ียเคลื่อนที่แบบถ่วงนํา้ หนกั ให้ผลการพยากรณ์ที่ใกล้เคียงความจริงมากกวา่ แตว่ ิธี
คาํ นวณจะยงุ่ ยากและอาจผิดพลาดได้งา่ ย จงึ มีการจดั เป็ นรูปสมการด้วยการปรับเรียบแบบเอก็ ซ์
โปเนนเชียล
3) การปรับเรียบด้วยเอก็ ซ์โปเนนเชียล (Exponential Smoothing) เป็นการหาคา่ เฉล่ีย
เคล่ือนท่ีแบบถ่วงนํา้ หนกั ท่ีจดั คา่ พยากรณ์ออกมาในรูปการใช้สมการคํานวณ ซงึ่ จะใช้คา่ ข้อมลู
เริ่มต้นคา่ เดยี วและถว่ งนํา้ หนกั โดยใช้สมั ประสิทธ์ิเชิงเรียบ (α ) ที่มีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง 0 ถงึ 1.00

คา่ เฉลี่ยเอก็ ซ์โปเนนเชียล (F t−1 ) = F t−1 + α (A t−1 - F )t−1
หรือ = α A t−1 + (1-α )F t−1

โดยท่ี F t−1 เป็ นคา่ พยากรณ์ในชว่ งเวลากอ่ นการพยากรณ์ 1 ชว่ ง
A t−1 เป็ นคา่ จริงในชว่ งเวลาก่อนการพยากรณ์ 1 ชว่ ง

ในการคํานวณคา่ เฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียล จะกําหนดให้คา่ พยากรณ์คา่ แรกเท่ากบั คา่ จริง
ของชว่ งเวลาก่อนหน้านนั้ 1 ชว่ ง (ซงึ่ ก็คอื การใช้หลกั การเดียวกบั การพยากรณ์อย่างง่ายนนั้ เอง)
จะเห็นได้วา่ การหาคา่ เฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียลใช้ข้อมลู น้อยกวา่ และได้คา่ พยากรณ์เร็วกวา่ การหา
คา่ เฉล่ียเคล่ือนท่ี แตไ่ ด้คา่ พยากรณ์ที่แมน่ ยําเทา่ กบั คา่ เฉล่ียเคล่ือนท่ีถ่วงนํา้ หนกั

สําหรับคา่ α
- ถ้า α มีคา่ สงู จะเป็นการถว่ งให้ข้อมลู ท่ีใกล้ชว่ งพยากรณ์มีนํา้ หนกั มากกวา่ α ท่ีมีต่ํา
ดงั นนั้ α ท่ีมีคา่ ใกล้เคียง 1 จะทําให้คา่ พยากรณ์สนองตอบตอ่ การเปล่ียนแปลงของข้อมลู ในแต่
ละชว่ งได้มากกวา่ เส้นกราฟของคา่ พยากรณ์ที่ได้จะมีลกั ษณะไมร่ าบเรียบเทา่ ใดนกั จงึ เหมาะกบั
ยอดขายที่มีลกั ษณะเปลี่ยนแปลงขนึ ้ ลงบอ่ ยๆ ถ้าα เทา่ กบั 1 จะทําให้คา่ พยากรณ์ (Ft) =
1.0A t−1 คือคา่ จริงในชว่ งเวลากอ่ นหน้านนั้ 1 ชว่ ง ซงึ่ จะกลายเป็นวธิ ีของการพยากรณ์อยา่ งง่าย
นนั่ เอง
- ถ้าα มีคา่ ตํ่าจะเป็นการถ่วงให้ข้อมลู ที่อยไู่ กลชว่ งพยากรณ์มีนํา้ หนกั มากกวา่ α ที่มีคา่
สงู ดงั นนั้ α ที่มีคา่ ตํ่าใกล้เคยี ง 0 จะทําให้เส้นกราฟของคา่ พยากรณ์ราบเรียบเป็นเส้นตรงจงึ
เหมาะกบั ยอดขายท่ีมีลกั ษณะราบเรียบเป็นเส้นตรง
คา่ α ที่แตกตา่ งกนั จะทําให้นํา้ หนกั ที่ถ่วงในแตล่ ะชว่ งเวลาตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปนี ้

คา่ ถ่วงนํา้ หนกั ของสมั ประสิทธิ์เชงิ เรียบ ( ) ท่ี 0.1 และ 0.5 ในชว่ งเวลาตา่ งๆ

คา่ ชว่ งใกล้ที่สดุ ชว่ งที่ 2 ถดั ไป ชว่ งท่ี 3 ถดั ไป ชว่ งที่ 4 ถดั ไป ชว่ งท่ี 5 ถดั ไป

α α α (1-α ) α (1-α ) 2 α (1-α ) 3 α (1-α ) 4

α = 0.1 0.1 0.09 0.081 0.073 0.066
α = 0.5 0.5 0.25 0.125 0.063 0.031

ท่ีมา : ดดั แปลงจาก Heizer, J. and Render, B., 1996 : 168

ดงั นนั้ สตู รคา่ เฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียลเขียนได้อีกแบบคือ

Ft = α A t−1 +α (1-α )A t−2 +α (1-α ) 2 A t−3 +….+α (1-α ) n A t−n

ตวั อยา่ ง จงหาคา่ พยากรณ์แบบเอ็กซ์โปเนนเชียลจากข้อมลู ของบริษทั แหง่ หนงึ่ โดยใช้คา่
α = 0.10 และα = 0.50 และยอดขายก่อนไตรมาสที่ 1 เทา่ กบั 175

ไตรมาสท่ี ยอดขาย คา่ พยากรณ์เมื่อ = 0.10 คา่ พยากรณ์เมื่อ
α = 0.5

1 180 175 175.00

2 168 175.00+0.1(180-175) = 175.50 177.50
3 159 175.50+0.1(168-175.50) = 174.75 172.75

4 175 174.75+0.1(159-174.75) = 173.18 165.88

5 190 173.18+0.1(175-173.18) = 173.36 170.44

6 205 173.36+0.1(190-173.36) = 175.02 180.22

7 180 175.02+0.1(205-175.02) = 178.02 192.61

8 182 178.02+0.1(180-178.02) = 178.22 186.31
9 ? 178.22+0.1(182-178.22) = 178.59 184.14

5.การหาค่าสัมประสิทธ์ิเชงิ เรียบ (α ) ท่ีเหมาะสม
ข้อมลู ยอดขายแตล่ ะชดุ ย่อมมีความแตกตา่ งกนั จงึ ต้องการคา่ α ในการพยากรณ์ท่ี

แตกตา่ งกนั ด้วย ไมม่ ีคา่ α ใดที่เหมาะสมกบั ทกุ ข้อมลู การใช้คา่ α ท่ีเหมาะสมในการคาํ นวณจะ
ใดคา่ พยากรณ์ท่ีแมน่ ยํา นนั่ คือคา่ α นนั้ ทําให้คา่ จริงใกล้เคียงกบั คา่ พยากรณ์มาก ซงึ่ ทําได้จาก

การวดั คา่ ความคลาดเคลื่อนดงั ตอ่ ไปนี ้

Mean Absolute Deviation (MAD) = ∑ คา่ จริง – คา่ พยากรณ์
n

ตวั อยา่ ง จากตวั อยา่ งข้างต้น จงคํานวณคา่ MAD เพ่ือพิจารณาวา่ คา่ α ที่เหมาะสมคอื คา่ 0.1

หรือ 0.5

ไตรมาส ยอดขาย คา่ พยากรณ์ คา่ สมั บรู ณ์ คา่ พยากรณ์ คา่ สมั บรู ณ์
เม่ือ α = 0.1 เม่ือ α = 0.1 เม่ือ α = 0.5 เม่ือ α =0.5

1 180 175 5 175 5

2 168 176 5 178 10

3 159 175 16 173 14

4 175 173 2 166 9

5 190 173 17 170 20
6 205 175 30 180 25

7 180 178 2 193 13

8 182 178 4 186 4

84 100

คา่ MAD เมื่อ α = 0.1 = 84 = 10.5
8

คา่ MAD เมื่อ α = 0.5 = 100 = 12.5
8

สําหรับข้อมลู ยอดขายชดุ นี ้คา่ α ท่ีเหมาะสมมากกวา่ คือ 0.1 เพราะมีคา่ MAD ตา่ํ กวา่
แสดงวา่ คา่ พยากรณ์ที่ใช้ α = 0.1 คลาดเคล่ือนจากคา่ จริงน้อยกว่าคา่ พยากรณ์ที่ใช้ α = 0.5
นอกจากคา่ MAD แล้วสามารถทดสอบหาα ท่ีเหมาะสมได้จากคา่ อื่นอีก ดงั จะกลา่ วตอ่ ไปใน
หวั ข้อการวดั คา่ ความคลาดเคล่ือน

ข้อดขี องการปรับเรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียล
1.สามารถให้คา่ พยากรณ์ที่ใกล้เคยี งคา่ จริงเชน่ เดียวกบั คา่ เฉลี่ยเคล่ือนที่แบบถ่วงนํา้ หนกั
แตค่ ํานวณง่ายกวา่
2.ใช้ข้อมลู ในการเร่ิมต้นคาํ นวณเพียงคา่ เดียว ได้คา่ พยากรณ์เร็วและประหยดั คา่ ใช้จ่าย
ในการหาข้อมลู ดกี วา่ คา่ เฉล่ียเคลื่อนที่

ข้อจํากดั ของการปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล
1.การคํานวณใช้ทงั้ คา่ จริงและคา่ พยากรณ์ ดงั นนั้ ถ้าคาํ นวณคา่ พยากรณ์ใดผิดจะทําให้
คา่ พยากรณ์ทงั้ หมดที่อย่หู ลงั จากคา่ นนั้ ผดิ ทงั้ หมด
2.การกําหนดคา่ α ไมใ่ ชเ่ ร่ืองง่าย แม้จะถือวา่ α มีคา่ คงท่ีในชว่ งการพยากรณ์แตใ่ น
ความเป็ นจริงเม่ือปัจจยั แวดล้อมเปล่ียนแปลงไป α ก็อาจเปล่ียนแปลงได้ ในกรณีเชน่ นนั้ ต้องใช้
วิธีการพยากรณ์แบบ Adaptive-response-rate Single Exponential Smoothing ซงึ่ มีความ
ซบั ซ้อนยง่ิ ขึน้ ในการคาํ นวณ
6.วธิ ีปรับเรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม (Trend-adjusted Exponential
Smoothing)
เน่ืองจากยอดขายมีองคป์ ระกอบหลายสว่ น การหาคา่ เฉล่ียเป็นเพียงสว่ นแรก ตอ่ ไปจะ
เป็นการนําเอาแนวโน้ม (Trend) มาปรับคา่ เฉลี่ยท่ีได้เพ่ือให้คา่ พยากรณ์ที่ใกล้เคยี งคา่ จริงมาก
ยิง่ ขนึ ้

FIT = F t + T t
F t = (1- α )F t−1 + α A t−1 หรือ F t−1 + α (A t−1 - F )t−1
T t = (1- β )T t−1 + β ( F t – F t−1 )
เม่ือ FIT t = คา่ เฉล่ียปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม
F t = คา่ เฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียลของยอดขายในชว่ งเวลา t
T t = คา่ เฉล่ียเอ็กซ์โปเนนเชียลของแนวโน้มในชว่ งเวลา t
α = สมั ประสทิ ธ์ิเชงิ เรียบของคา่ เฉลี่ย
β = สมั ประสทิ ธ์ิเชงิ เรียบของแนวโน้ม

คา่ ของ β จะมีลกั ษณะเชน่ เดียวกบั คา่ α คอื ต้องหาคา่ ที่เหมาะสมที่จะใช้ในการ
พยากรณ์ด้วยการลองพยากรณ์ด้วยคา่ β หลายๆ คา่ แล้วเลือกคา่ ท่ีพยากรณ์ได้แมน่ ยําท่ีสดุ
โดยทวั่ ไปถ้าคา่ β สงู จะใช้ได้ดเี มื่อมีการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในชว่ งสนั้ ๆ ถ้า β ตา่ํ จะให้
คา่ พยากรณ์ของแนวโน้มออกมาในลกั ษณะเฉลี่ยมากกว่า
ตวั อยา่ ง จงหาคา่ เฉลี่ยแบบปรับเรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม เม่ือα = 0.2 , β = 0.4

เดือนที่ คา่ ขายจริง (A t ) F t T t FIT t

1 12 11.00 0.00 -

2 17 11.20 0.08 11.28
3 20 12.36 0.51 12.87

4 19 13.89 0.92 14.81

5 24 14.91 0.96 15.87

6 26 16.73 1.30 18.03

7 31 18.58 1.52 20.10

8 32 21.07 1.91 22.98
9 36 23.25 2.02 25.27

อธิบายวิธีการคาํ นวณดงั ตอ่ ไปนี ้

ขนั้ ตอนที่ 1 พยากรณ์ F 2 โดยให้คา่ ของยอดขายเดอื นสดุ ท้ายปี ท่ีแล้ว (F1) = 11

F 2 = 11+0.2(12-11) = 11.2

ขนั้ ตอนที่ 2 คาํ นวณคา่ แนวโน้ม T2 โดยสมมตใิ ห้ T1 = 0

T 2 = (1- β ) T1+ β (F 2 -F1)
T 2 = 0+0.4 (11.2-11.0) = 0.08

ขนั้ ตอนที่ 3 นําคา่ ในข้อ 1 และ 2 มาบวกกนั เป็น FIT 2

FIT 2 = 11.2+0.08 = 11.28

ขนั้ ตอนที่ 4 คํานวณคา่ ของยอดขายพยากรณ์ในเดอื นที่ 3

F 3 = 11.2+0.2 (17.0-11.2) = 12.36

T 3 = (1-0.4)(0.8)+0.4 (12.36 – 11.2) = 0.51
FIT 3 = 12.36+0.51 = 12.87

การเปรียบเทียบคา่ ขายจริงกบั ผลของการพยากรณ์แบบคา่ เฉล่ียแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล

ธรรมดา และผลของการพยากรณ์แบบคา่ เฉล่ียปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม ซง่ึ

เหน็ ได้วา่

คา่ เฉล่ียปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้มให้คา่ พยากรณ์ที่ใกล้เคียงคา่ จริง

มากกวา่

7.การปรับค่าพยากรณ์ด้วยอทิ ธิพลฤดูกาล
บางผลิตภณั ฑ์จะมีอิทธิพลของฤดกู าลขายท่ีชดั เจน เชน่ เสือ้ ผ้านกั เรียนขายดีชว่ งเปิดภาค

การศกึ ษา ร่มและเสือ้ กนั ฝนขายดใี นฤดฝู น จงึ ควรนําเอาฤดกู าลมาประกอบคา่ พยากรณ์ด้วย

ลกั ษณะของอิทธิพลฤดกู าลท่ีมีตอ่ ยอดขายหรืออปุ สงคม์ ี 2 แบบ คือ

Multiplicative Seasonal method เป็นลกั ษณะของการเพิม่ ขนึ ้ หรือลดลงของยอดขายที่
ทวีคณู ตามร้อยละของดชั นีฤดกู าล ดงั นนั้ อปุ สงค์ = แนวโน้ม x ดชั นีฤดกู าล

Additive Seasonal Method เป็นลกั ษณะการเพม่ิ ขนึ ้ หรือลดลงของยอดขายท่ีบวกหรือ
ลบจํานวนคงท่ีของดชั นีฤดกู าล ดงั นนั้ อปุ สงค์ = แนวโน้ม + ดชั นีฤดกู าล
ตวั อยา่ ง จงหาดชั นีฤดกู าลจากข้อมลู ยอดขายดงั ตอ่ ไปนี ้เพ่ือพยากรณ์ยอดขายแตล่ ะไตรมาสของ
ปี ที่ 5 ซง่ึ คาดวา่ จะมียอดขายรวม 2,600 บาท

ไตรมาส ปี ท่ี 1 ปี ท่ี 2 ปี ท่ี 3 ปี ท่ี 4

1 45 70 100 100
2 335 370 585 725

3 520 590 830 1,160

4 100 170 285 215

รวม 1,000 1,000 1,800 2,200

ขนั้ ตอนที่ 1 หายอดขายตอ่ ไตรมาสโดยเฉลี่ย

ปี ที่ 1 = 1,000/4 = 250 บาท
ปี ท่ี 2 = 1,200/4 = 300 บาท

ปี ท่ี 3 = 1,800/4 = 450 บาท

ปี ที่ 4 = 2,200/4 = 550 บาท

ขนั้ ตอนท่ี 2 หาดชั นีฤดกู าล

ไตรมาสที่ ปี ท่ี 1 ปี ท่ี 2 ปี ท่ี 3 ปี ที่ 4

1 45/250 = 0.18 70/300 = 0.23 100/450 = 0.22 100/550 = 0.18

2 335/250 = 1.34 370/300 = 1.23 585/450 = 1.30 725/550 = 1.32

3 520/250 = 2.08 590/300 = 1.97 830/450 = 1.84 1,160/550 = 2.11

4 100/250 = 0.40 170/300 = 0.57 285/450 = 0.63 215/550 = 0.39

ขนั้ ตอนท่ี 3 หาคา่ เฉล่ียของดชั นีฤดกู าลแตล่ ะไตรมาส

ไตรมาสท่ี คา่ เฉลี่ยของดชั นีฤดกู าล

1 (0.18+0.23+0.22+0.18)/4 = 0.20

2 (1.34+1.23+1.30+1.32)/4 = 1.30

3 (2.08+1.97+1.84+2.11)/4 = 2.00

4 (0.40+0.57+0.63+0.39)/4 = 0.50

ขนั้ ตอนที่ 4 พยากรณ์ยอดขายของปี ท่ี 5 โดยนําเอาคา่ เฉลี่ยของยอดขายแตล่ ะไตรมาส คณู

คา่ เฉล่ียดชั นีฤดกู าล

ไตรมาสท่ี คา่ เฉลี่ยของดชั นีฤดกู าล

1 2,600/4 (0.20) = 130

2 2,600/4 (1.30) = 845

3 2,600/4 (2.00) = 1,300

4 2,600/4 (0.50) = 325

8.การวัดความคลาดเคล่ือนของการพยากรณ์
การวดั ความคลาดเคลื่อนของคา่ จริงและคา่ ที่พยากรณ์ได้โดยใช้คา่ สมั ประสิทธ์ิตา่ งๆ หรือ

จํานวนข้อมลู ตา่ งๆ จะพจิ ารณาจากการท่ีคา่ จริงใกล้เคียงคา่ พยากรณ์ท่ีสดุ หรือทําให้เกิดความ

คลาดเคลื่อนน้อยท่ีสดุ ยอ่ มเป็นคา่ ท่ีเหมาะสมกบั การใช้พยากรณ์ให้ได้ผลลพั ธ์ที่แมน่ ยํา การวดั

ความคลาดเคลื่อนสามารถวดั ได้จากคา่ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้

1.Mean Absolute Deviation (MAD) = ∑ คา่ จริง - คา่ พยากรณ์ 
n

คา่ MAD ยงิ่ น้อย หมายถงึ การพยากรณ์ย่ิงแมน่ ยํา

2.Mean Squared Error (MSE) = ∑ (คา่ จริง – คา่ พยากรณ์) 2
n

คา่ MSE ยง่ิ น้อย หมายถงึ การพยากรณ์ยงิ่ แมน่ ยํา

3.Mean Absolute Percent Error (MAPE) = ∑ (คา่ จริง – คา่ พยากรณ์x100X/คา่ จริง)

คา่ MAPE ยิง่ น้อย หมายถึงการพยากรณ์ย่งิ แมน่ ยํา n

ตวั อยา่ ง จงแสดงการวดั คา่ คลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ คา่ สมั บรู ณ์
เดือนที่ มลู คา่ มลู คา่ ความคลาด ความคลาด คา่ สมั บรู ณ์ ของ %
ขายจริง พยากรณ์ เคล่ือน เคลื่อน ของความ
คลาดเคล่ือน ความคลาด
เคลื่อน
1 200 225 -25 325 25 1.55
2 240 220 20 400 20 8.30
3 300 285 15 225 15 5.00
4 270 290 -20 400 20 7.40
5 230 250 -20 400 20 8.70
6 260 240 20 400 20 7.70
7 210 250 -40 1,600 40 19.00
8 275 240 35 1,225 35 12.70
81.30
รวม 15 5,275 195

คาํ นวณได้ดงั ตอ่ ไปนี ้

Mean Absolute Deviation (MAD) = 5,275 = 659.40

8

Mean Squared Error (MSE) = 195 = 24.40

8
Mean Absolute Percent Error (MAPE) = 81.3% = 10.2%

8
9.การวัดความสัมฤทธ์ิผลของวิธีการพยากรณ์ท่ใี ช้

การท่ีจะพิจารณาวา่ วธิ ีการพยากรณ์ที่ใช้ให้ความแมน่ ยําของคา่ พยากรณ์เพียงใด

Tracking Signal ท่ี

Tracking Signal = ∑ (คา่ จริงในชว่ งเวลาt – คา่ พยากรณ์ชว่ งเวลา t)

MAD
ถ้า Tracking Signal เป็นบวกแสดงวา่ คา่ จริงสงู กว่าคา่ พยากรณ์ ถ้าเป็ นลบแสดงวา่ คา่

พยากรณ์สงู กวา่ คา่ จริง คา่ Tracking Signal ท่ีแสดงวา่ การพยากรณ์แมน่ ยําที่ต้องมีคา่ เข้าใกล้

ศนู ย์ นอกจากนนั้ ยงั มีการควบคมุ ให้คา่ Tracking Signal อยภู่ ายในชว่ งควบคมุ ดงั ตอ่ ไปนี ้

ร้อยละของพืน้ ท่ีภายใต้การกระจายแบบปกตใิ นขอบเขตการควบคมุ ของ Tracking Signal

จํานวนการกระจายของ จํานวนเทา่ ของคา่ เบย่ี งเบน ร้อยละของพืน้ ท่ีภายใน

ขอบเขตควบคมุ มาตรฐาน δ 2 ขอบเขตการควบคมุ
(จํานวนเทา่ ของ MAD)

± 1.0 ± 0.80 57.62
76.98
± 1.5 ± 1.20 89.04
95.44
± 2.0 ± 1.60 98.36
99.48
± 2.5 ± 2.00 99.86

± 3.0 ± 2.40

± 3.5 ± 2.80

± 4.0 ± 3.20

*จํานวนเทา่ ของคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานของ MAD ≅ 0.8

การควบคมุ คา่ MAD ยงั สามารถใช้แผนภมู กิ ารควบคมุ เพ่ือพจิ ารณาวา่

วิธีการพยากรณ์ที่ใช้อยนู่ นั้ มีความเหมาะสมโดยให้คา่ พยากรณ์ท่ีแมน่ ยําเพียงใด ถ้าคา่ Tracking

Signal ออกนอกขอบเขตควบคมุ บนหรือลา่ งเม่ือใดแสดงวา่ วธิ ีการพยากรณ์ที่ใช้อยใู่ ห้คา่ ที่ไม่

แมน่ ยําแล้ว

นอกจากนนั้ ยงั สามารถใช้ MAD ในการพยากรณ์ความผิดพลาดที่จะเกิดขนึ ้ ในชว่ งเวลา
ตอ่ ไปได้โดยใช้การปรับเรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียล ดงั สมการ

MAD = (α At−1 − Ft−1 ) + (1 − α )MADt−1
โดยท่ี MAD t−1 = คา่ พยากรณ์ของ MAD ท่ีจะเกิดขนึ ้ ในชว่ งเวลา t

α = สมั ประสิทธิ์เชิงเรียบ (มีคา่ ตงั้ แต่ 0.05 ถึง 0.20)

A t−1 = คา่ ขายจริงในชว่ งเวลา t-1

F t−1 = คา่ พยากรณ์ในชว่ งเวลา t-1
การใช้วธิ ีการพยากรณ์ท่ีเหมาะสม

1.การพยากรณ์ที่ดีไมจ่ ําเป็ นต้องใช้วิธีที่ซบั ซ้อนเสมอไป บางครัง้ วธิ ีการคํานวณอยา่ งง่ายๆ

ก็ให้ผลการพยากรณ์ที่แมน่ ยําได้

2.ไมม่ ีการพยากรณ์วิธีใดวธิ ีเดยี วท่ีเหมาะสมกบั สนิ ค้าและบริการทกุ ชนดิ ได้

3.ปัจจบุ นั มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูปเพ่ือการพยากรณ์ ซง่ึ สามารถคํานวณได้

ไมผ่ ิดพลาดและแมน่ ยํา

บทสรุป
การพยากรณ์อปุ สงคม์ ีความจําเป็นในการจดั การซพั พลายเชน เพราะการพยากรณ์เป็ น

การใช้วิธีการเชิงคณุ ภาพและเชิงปริมาณ เพื่อคาดคะเนอปุ สงค์ของสนิ ค้าและบริการในอนาคต
ของลกู ค้าทงั้ ชว่ งระยะสนั้ ระยะปานกลาง และระยะยาว มีประโยชน์ในการวางแผนและการ
ตดั สนิ ใจตอ่ หลายฝ่ ายขององค์การคือฝ่ ายการเงิน ฝ่ ายการตลาด ฝ่ ายการผลิต กระบวนการ
พยากรณ์มี 10 ขนั้ ตอนโดยเร่ิมจากการระบวุ ตั ถปุ ระสงค์ในการนําผลการพยากรณ์ไปใช้ การ
รวบรวมข้อมลู ลงบนั ทกึ ข้อมลู และกําหนดรูปแบบข้อมลู เลือกแบบจําลองในการพยากรณ์
พฒั นาและคาํ นวณการพยากรณ์สําหรับชว่ งเวลาที่ต้องการ ตรวจเช็คความแมน่ ยํา พิจารณาระดบั
ความแมน่ ยําอยใู่ นคา่ ท่ียอมรับได้หรือไม่ คา่ พยากรณ์มากกวา่ ขอบเขตท่ีวางแผนไว้ ปรับคา่
พยากรณ์จากข้อมลู เชิงคณุ ภาพและสถานการณ์ท่ีเป็นจริง และควบคมุ ผลการพยากรณ์และวดั
ความแมน่ ยําในการพยากรณ์ ในกรณีที่ความแมน่ ยําไม่อยใู่ นระดบั ท่ียอมรับได้ต้องเลือก
แบบจําลองในการพยากรณ์ใหมห่ รือปรับคา่ พารามิเตอร์ในแบบจําลองเดมิ ประเภทของการ
พยากรณ์แบง่ เป็นการพยากรณ์แบง่ ตามชว่ งเวลา และการพยากรณ์ตามวธิ ีการที่ใช้ในการ
พยากรณ์ซงึ่ วธิ ีหลงั แบง่ เป็ น 3 วธิ ี คอื วธิ ีการใช้วิจารณญาณ วิธีการพยากรณ์สาเหตุ อยใู่ นรูปของ
สมั ประสิทธ์ิสหสมั พนั ธ์ และวธิ ีการพยากรณ์แบบอนกุ รมเวลา โดยได้รับอิทธิพลจากแนวโน้ม
ฤดกู าล วฎั จกั ร และเหตกุ ารณ์ผดิ ปกติ การใช้อนกุ รมเวลามี 3 วิธี คือ การพยากรณ์อยา่ งง่าย การ
หาคา่ เฉล่ียเคลื่อนที่ทงั้ แบบธรรมดาและแบบถ่วงนํา้ หนกั และการปรับเรียบด้วยเอ็กซ์โปเนนเชียล
การหาคา่ สมั ประสิทธ์ิเชิงเรียบ (α ) ที่เหมาะสม ในการคํานวณจะได้คา่ พยากรณ์ที่แมน่ ยํา
ใกล้เคยี งคา่ จริงมากที่สดุ การวดั คา่ ความคลาดเคลื่อนมีหลายวธิ ี คอื Mean Absolute Percent
Error (MAPE), Mean Squared Error (MSE), Mean Absolute Deviation (MAD) ย่ิง MAD น้อย
แสดงวา่ การพยากรณ์แมน่ แตถ่ ้ามีคา่ มากอาจจะต้องหาคา่ สมั ประสทิ ธ์ิมาปรับใหมอ่ ีกครัง้ ซงึ่ มีวิธี
ปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม หรือการปรับคา่ พยากรณ์ด้วยอทิ ธิพลฤดกู าล
นอกจากนนั้ ยงั มีการวดั ความสมั ฤทธ์ิผลของวิธีการพยากรณ์จากสญั ญาณติดตาม Tracking
Signal ถ้าคา่ Tracking Signal เป็นบวกแสดงวา่ คา่ จริงสงู กวา่ คา่ พยากรณ์ ถ้าเป็นลบแสดงวา่ คา่
พยากรณ์สงู กวา่ คา่ จริง คา่ Tracking Signal ท่ีแสดงวา่ การพยากรณ์แมน่ ยําท่ีต้องมีคา่ เข้าใกล้
ศนู ย์


Click to View FlipBook Version