Private IP Address คือหมายเลขไอพีเครื่อง แต่ละเครื่อง ในองค์กร หน่วยงาน โดย ก าหนด ขึ้นมาเองเพื่อใช้ในองค์กรนั้นๆ เพื่อการสื่อสารภายใน ระบบเครือข่ายแลน หรือ อินทราเน็ตภายในเท่านั้นโดยสามารถก าหนดได้ 2รูปแบบ คือ 1. ก าหนดแบบ Dynamic วิธีนี้คอมพิวเตอร์ หรือ DHCP Server จะท าหน้าทีก าหนดหมายเลข IP และจ่าย เลขIP ให้กับระบบคอมพิวเตอร์ในกรุ๊ปนั้นหรือเรียกการจ่ายไอพีแบบนี้ว่า (Automatic Private IP Address) 2. ก าหนดแบบ Static เป็นวิธีการก าหนดไอพีแอดแดรสแบบคงที่ โดยผู้ติดตั้งระบบ ท าหน้าที่ก าหนด หมายเลข IP Address ให้แต่ละเครื่อง โดยห้ามก าหนด IP ซ ้ากัน ( แต่เมื่อมีการติดต่อกับเครือข่าย Internet ก็จะได้รับหมายเลข ไอพี แอดเดรส "Public IP Address“จากผู้ ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะจ่ายหมายเลข IP Address ส าหรับใช้ชั่วคราว 1 IP หมายเลขที่ใช้ได้จริง บนอินเตอร์เน็ตซึ่งก็คือหมายเลขไอพีทีแสดงการ เช็คไอพี Check IP นั้นเอง ) 51 เครือข่ายไอพีภายใน (Private IP Network)
Public IP Address หมายเลข IP Address "Public IP" ของแต่ละเครื่องบนเครือขายInternet จะไม่ซ ้ากันโดยในการเชื่อมต่อ Internet ไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะจ่ายหมายเลข IP Address มาใช้ชั่วคราว 1 IP ซึ่งเป็น หมายเลขIP ที่ใช้จริงบนอินเตอร์เน็ตโดย เรียก หมายเลข IP นี้ว่า "Public IP Address" หมายเลข IP นี้จะเปลี่ยนไปทุกครั้งทีมีการเชื่อมต่อใหม่ โดย หมายเลข IP Address นี้ เป็นหมายเลขที่จะบอกความเป็นตัวตนของเครื่องนั้น ในการสื่อสารกัน ในระบบ Internetโดยหมายเลข IP Address "Public IP" นี้เครื่อง Serverผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต จะเป็นผู้ก าหนด จ่ายหมายเลข IP นี้มา สามารถเช็ค Public IP ได ้ ท ี่ :: http://whatismyipaddress.com/ หรือ http://www.ip-th.com/ 52 เครือข่ายไอพีภายนอก (Public IP Network)
นอกจากนี้ยังมี loopback address ซึ่งเป็นหมายเลขไอพีพิเศษ ส าหรับทดสอบหรือหา ข้อผิดพลาด โดยแพ็กเก็ตที่ส่งด้วย loopback address จะไม่มีการข้ามเครือข่าย แต่จะย้อนกลับมายังเครื่องที่ส่งเองส าหรับ loop back ที่นิยมใช้ คือ หมายเลข127.0.0.1 53 เครือข่ายไอพีภายใน (Private IP Network)
เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนหมายเลขไอพีแอดเดรส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อท า การมัลติเพล็กซ์จราจรจากเครือข่ายภายใน ให้สามารถออกไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ หลักการท างานของ NAT คือ จะท าการแปลงหมายเลขไพรเวตไอพีมาเป็นไอพีแอดเดรส จริง เพื่อให้เครือข่ายภายในสามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ NAT ม ี หลายประเภท และม ี ล ั กษณะการทา งานทแ ี่ตกต่างก ั น ด ั งน ี ้ 54 Network Address Translation (NAT) Private IP NAT Public IP
1. NAT แบบสแตติก (Static NAT) หลักการของ NAT แบบสเตติก คือ จะจับคู่ระหว่าง Private IP กับ Public IP แบบ หนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one) เช่น คอมพิวเตอร์ IP เบอร์ 192.168.32.10 เมื่อเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตผ่าน NAT จะได้Public IP หมายเลข 213.18.123.110 เสมอซึ่งจะเห็นว่า NAT แบบสเตติกไม่ได้ช่วยประหยัดหมายเลขไอพีจริงแต่อย่างใดการจับคู่แบบตายตัวระหว่าง Private IP กับ Public IP จะท าให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงเครือข่ายเพื่อเข้าถึงการ ใช้งานภายเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายได้ 55 Network Address Translation (NAT) Private Network Router/NAT Public Network
2. NAT แบบไดนามิก (Dynamic NAT) หลักการของ NAT แบบไดนามิก จะต่างจากแบบสเตติกตรงที่ การแปลง Private IP มา เป็น Public IP ที่จดทะเบียน จะจับคู่แบบไดนามิกด้วยการหมุนเวียนชนิดไม่ตายตัว โดยจะได้ Private IP ช่วงแบบไม่ซ ้ากัน Ex. คอมพิวเตอร์ที่ใช้ไอพีแอดเดรส 192.168.32.10 เมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน NATเบอร์ไอพีที่ได้สามารถมีค่าภายในช่วง 213.18.123.100 ถึง 213.18.123.150 ซึ่งไอพีแอดเดรสที่ได้แต่ละครั้ง อาจเป็นเบอร์ใดเบอร์ หนึ่งที่อยู่ในช่วงการ NAT แบบไดนามิก เป็นความปลอดภัยแนวทางหนึ่งในการปิดบังโฮสต์ ภายในเครือข่าย เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบค้นหาร่องรอยจากโฮสต์ภายในได้ แต่การ NAT แบบไดนามิกก็ยังไม่ช่วยประหยัดหมายเลขไอพี 56 Network Address Translation (NAT)
Dynamic NAT 57 Network Address Translation (NAT) Private Network Public Network Router/NAT
3. NAT แบบโอเวอรโ์ หลดดง ิ ้ (Overloading NAT) หลักการของ NAT แบบโอเวอร์โหลดดิ้ง คือ เมื่อคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายภายในต้องการ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จะถูกแปลงมาเป็น Public IP เพียงหมายเลขเดียว แต่จะมีหมายเลขพอร์ต ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ด้วยหลักการนี้ ท าให้สามารถประหยัดหมายเลขไอพีได้มาก เนื่องจากเครือข่ายภายในทั้งหมด จะใช้หมายเลขไอพีจริงเพียงหมายเลขเดียวเท่านั้นใน การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต Ex. คอมพิวเตอร์ที่ใช้ไอพีแอดเดรส 192.168.32.10 เมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน NAT เบอร์ไอพีที่ได้คือ 213.18.123.100:101 ส่วนคอมพิวเตอร์ไอพีแอดเดรส 192.168.32.11 เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน NAT เบอร์ไอพีที่ ได้ คือ 213.18.123.100:102 58 Network Address Translation (NAT)
Overloading NAT 59 Network Address Translation (NAT) Private Network Public Network Router/NAT
4. NAT แบบโอเวอรแ ์ ลปปิ ้ ง (Overlapping) เทคนิคของ NATแบบโอเวอร์แลปปิ้งจะถูกน ามาใช้ในกรณีที่เครือข่ายภายในมีการน า Public IP มาใช้ ซึ่งไอพีแอดเดรสนั้นเป็นของเครือข่ายอื่น หรือมีการเปลี่ยน ISP รายใหม่ท าให้ได้รับ หมายเลข ไอพีที่จดทะเบียนใหม่แทนที่หมายเลขไอพีเดิม แต่ไม่ต้องการคอนฟิ ก หมายเลขไอพีภายในเครือข่ายทั้งหมด และด้วยเทคนิคการ NAT แบบโอเวอร์แลปปิ้งก็จะแปลง Public IP ที่เป็นหมายเลขเดิม มาเป็น Public IP ที่ได้จดทะเบียนไว้ เพื่อให้สามารถติดต่อกับ อินเทอร์เน็ตได้ Ex. คอมพิวเตอร์มีหมายเลขภายใน 237.16.32.10 เมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน NAT จะได้หมายเลข Public IP เป็น 213.18.123.103 60 Network Address Translation (NAT)
Overloading NAT 61 Network Address Translation (NAT) Private Network Router/NAT Public Network
62 ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6) IPv6 คืออะไร ? หมายเลข IP address ที่เราใช้กันทุกวันนี้ คือInternet Protocol version 4(IPv4) ซึ่ง ใช้เป็นมาตรฐานในการส่งข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ทั้งนี้การขยายตัว ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว นักวิจัยเริ่มพบว่า จ านวนหมายเลข IP address ของ IPv4 ก าลังจะถูกใช้หมดไป ไม่เพียงพอกับการใช้งาน อินเทอร์เน็ตในอนาคต และหากเกิดขึ้นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถเชื่อมต่อเครื่อข่ายเข้ากับ ระบบอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นคณะท างาน IETF (The Internet Engineering Task Force) ซึ่งตระหนักถึงปัญหาส าคัญดังกล่าว จึงได้พัฒนาอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นใหม่ขึ้น คือ รุ่นที่หก (Internet Protocol version 6; IPv6) เพื่อทดแทนอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นเดิม
63 ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6) วัตถุประสงค์ของ IPv6 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของตัวโพรโตคอล ให้รองรับหมายเลขแอดเดรส จ านวนมาก และปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆ อีกหลายประการ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและ ความปลอดภัยรองรับระบบแอพพลิเคชั่น (application) ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการประมวลผลแพ็กเก็ต (packet) ให้ดีขึ้น ท าให้สามารถตอบสนองต่อการ ขยายตัวและความต้องการใช้งานเทคโนโลยีบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคตได้เป็นอย่างดี
64 ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6) ประวัติ IPv6 IPv6 ถูกเริ่มใช้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในประเทศ เกาหลี และญี่ปุ่ น ได้มีการใช้ IPv6 ในเครือข่าย ISP หลายแห่ง ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้ IPv6 ในเชิงพาณิชย์ มีแต่ในเครือข่ายทดสอบของหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ” ประโยชน์หลักของ IPv6 และเป็นเหตุผลส าคัญของการเริ่มใช้ IPv6 ได้แก่ จ านวน IP address ที่ เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลเมื่อเปรียบเทียบกับจ านวน IP address เดิมภายใต้ IPv4 IPv4 address มี 32 บิต ในขณะที่ IPv6 address มี 128 บิต ความแตกต่างของจ านวน IP address มีมากถึง 296 เท่า เปรียบเทียบรูปแบบของ IPv6 และ IPv4 address
65 ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6) การเขียนเลข IPv4 เช่น 192.168.1.1 มาจากเลขฐานสองจ านวน 32 บิต ซึ่งเวลาอ้างถึง IP addressจะใช้วิธีเปลี่ยนเป็นเลขฐานสิบ โดยแบ่งเลขฐานสอง 32 บิต ออกเป็นช่วงๆ ละ 8 บิต 4 ช่วง แล้วจึงแปลงเลขฐานสอง 8 บิต เป็นเลขฐานสิบ แต่ละช่วงคั่นด้วย “.” การเขียนเลข IPv6 ประกอบด้วยเลขฐานสองจ านวน 128 บิต โดยใช้เลขฐาน 16 แทน ฐาน 10 เพราะ 4 บิตของเลขฐานสองแปลงเป็นเลขฐาน 16 ได้ 1 หลักพอดี ดังนั้นเลข IP ก็จะ เป็นเลขฐาน 16 จ านวน 32 หลัก และเพื่อให้สังเกตได้ง่ายจึงใช้ “:” คั่นแต่ละ 4 หลักของเลข ฐาน 16 11000000 10101000 00000001 000000001 192.168.1.1 แสดงแอดเดรสของ IPv4 3ffe : ffff : 0100 : f101 : 0210 : 94ff : fee3 : 9566 แสดงแอดเดรสของ IPv6
66 ต ้ องการข ้ อม ู ลเพม ิ่เตม ิ เกย ี่วก ั บบร ิ การ IPv6 ของISP ต่างๆ ในประเทศไทย จะหา ได ้ จากทไี่หน? เวบไซต์เหล่านี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าและบริการด้าน IPv6 ของ ISP แต่ละแห่งดังนี้ CAT : http://web.ipv6.cattelecom.com InternetThailand : http://www.v6.inet.co.th CS-Loxinfo : http://www.ipv6.loxinfo.net.th TRUE (AsiaInfonet) : http://www.v6.trueinternet.co.th NECTEC : http://www.ipv6.nectec.or.th ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6)
67 อินเทอร์เน็ตโพรโตคอล IPv6 ม ี ข ้ อดท ี เ ี่หน ื อกว่าอน ิ เทอรเ ์ น ็ ตโพรโตคอล IPv4 ดังน ี ้ ▪ มีจ านวนหมายเลขอ้างอิงบนเครือข่ายหรือไอพีแอดเดรสที่มากกว่า ▪ มีรูปแบบเฮดเดอร์ของตัวโพรโตคอลที่เรียบง่ายและยืดหยุ่นกว่าท าให้ประสิทธิภาพดีขึ้นใน หลาย ๆ ด้าน ▪ สนับสนุนแนวคิดการค้นหาเส้นทางแบบล าดับชั้น ส่งผลให้ตารางการค้นหาเส้นทางใน เครือข่ายแบ็กโบนมีขนาดเล็ก ▪ สนับสนุนการสร้างคุณภาพของบริการ (Quality of Service, QoS) ▪ สนับสนุนการติดตั้งปรับแต่งระบบแบบอัตโนมัติ (Serverless Autoconfiguration) การ ปรับเปลี่ยนแอดเดรส (Renumbering) การเชื่อมต่อหลายผู้ให้บริการ (Multihoming) และ Plug-and-Play ▪ สนับสนุนกลไกการรักษาความปลอดภัยบนพื้นฐานของ IPSec(IP Security) ▪ สนับสนุนการสื่อสารด้วยไอพีแบบเคลื่อนที่ (Mobile IP) มีการปรับปรุงความสามารถในการ ติดต่อแบบมัลติคาสต์ (Multicast) ไอพเ ี วอรช ์ ่ ั น 6 (IPv6)
สรุป TCP/IP จะก าหนดที่อยู่ด้วยไอพีแอดเดรส โดยไอพีแอดเดรสคือชุดตัวเลขฐานสองขนาด 32 บิต (IPv4) ที่ใช้ก าหนดที่อยู่ของโฮสต์ ซึ่งมีความส าคัญต่อกลไกในการสื่อสารจากโฮสต์หนึ่ง ไปยังอีกโฮสต์หนึ่งในระบบสื่อสาร ไอพีแอดเดรส จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ NetID และ HostID โดย NetID จะชี้ ระบุเครือข่ายที่คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อ ในขณะที่ HostID จะชี้ระบุต าแหน่งของอุปกรณ์ ไอพีแอดเดรสเป็นเพียงลอจิคอลแอดเดรส ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเลขที่ใช้อ้างอิงโฮสต์หนึ่งโฮสต์ใด จริงๆ แต่การอ้างอิงถึงต าแหน่งจริงๆ ของโฮสต์จะใช้หมายเลขแมคแอดเดรสบนการ์ดเครือข่าย ซึ่งเป็นฟิ สิคัลแอดเดรส 68
สรุป เพื่อให้ไอพีแอดเดรสง่ายต่อการอ่านและจดจ า จึงมีการแทนเครื่องหมายในรูปแบบของ เลขฐานสิบและใช้จุดทศนิยมเป็นตัวคั่นระหว่างไบต์ รูปแบบของคลาสที่ใช้งานมีอยู่ 5 คลาสด้วยกันคือ คลาส A, B, C, D และ E Class A สามารถมีจ านวนเครือข่าย 126เครือข่าย และมีจ านวนโฮสต์เชื่อมต่อมากถึง 16,777,214 โฮสต์ โดย Class A มีจ านวนเครือข่ายน้อย แต่มีโฮสต์เชื่อมต ่าจ านวนมาก Class B สามารถมีจ านวนเครือข่าย 16,382เครือข่าย และมีจ านวนโฮสต์เชื่อมต่อมากถึง 65,534 โฮสต์ โดย Class B มีจ านวนเครือข่ายและมีโฮสต์เชื่อมต่อจ านวนปานกลาง Class C สามารถมีจ านวนเครือข่าย 2,097,150เครือข่าย และมีจ านวนโฮสต์เชื่อมต่อ 254 โฮสต์ โดย Class C มีจ านวนเครือข่ายมาก แต่มีโฮสต์เชื่อมต่อน้อย 69
สรุป การท าซับเน็ต คือการแบ่งส่วนเครือข่ายออกเป็นเครือข่ายย่อยๆ ดังนั้นจึงต้องมีการแบ่งไอพี แอดเดรสออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ 1) NetID ใช้ระบุไซต์, 2) SubNetID ใช้ระบุฟิ สิคัลซับ เน็ตเวิร์ก 3) หมายเลขโฮสต์ ซ ั บเน ็ ตมาสกห ์ ร ื อมาสกง ิ ้ เป็นกระบวนการที่บอกให้รู้ว่าเครือข่ายของเราได้มีการแบ่งเป็น ซับเน็ต มีบิตที่ใช้แบ่งซับเน็ตจ านวนกี่บิต และใช้ต าแหน่งใดเพื่อระบุเป็นหมายเลขเครือข่ายย่อย ค่าของซับเน็ตมาสก์ในแต่ละคลาส ปกติจะมีการระบุค่าใว้อยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่าค่า Default หลักการจัดสรรไอพีแอดเดรสแบบ Classless จะไม่มีการแบ่งแอดเดรสออกเป็นคลาสเหมือน แบบ Classfulแต่จะมุ่งประเด็นไปที่การจัดสรรจ านวนไอพีแอดเดรส ให้เหมาะสมกับจ านวน โฮสต์ที่ต้องการน าไปใช้งานจริงๆ เป็นหลัก เพื่อให้การจัดสรรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยัง คงเหลือหมายเลขไอพีส าหรับบริการแก่ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ต่อไป 70
สรุป CIDR (CI-DER) เป็นการแทนค่าที่ใช้ส าหรับการท ามาสกิ้ง ด้วยการเพิ่มสัญลักษณ์ / (Slash) แล้วตามด้วยขนาดของมาสก์ เช่น 128.211.0.16/28 การค านวณหาแอดเดรสซับเน็ต จะใช้ประโยชน์จากซับเน็ตมาสก์และไอพีแอดเดรส ทั้งนี้ ความยากง่ายในการค านวณขึ้นอยู่กับค่าซับเน็ตมาสก์ว่าเป็นค่าดีฟอลต์ หรือเป็นค่าซับเน็ต มาสก์ ที่ก าหนดขึ้นเอง การมาส์แบบ Nonboundary-Level เป็นการก าหนดค่าซับเน็ตมาสก์แบบ Custom วิธีนี้จะ ใช้ค่าซับเน็ตมาสก์เป็นตัวก าหนดจ านวนซับเน็ต และจ านวนโฮสต์ขึ้นเองตามความเหมาะสม ดังนั้นในการหาแอดเดรสซับเน็ตจึงมีขั้นตอนการหาที่ยุ่งยากกว่า ซึ่งจะใช้โอเปอเรชั่น AND ในการเปรียบเทียบบิตต่อบิตระหว่างไอพีแอดเดรสและซับเน็ตมาสก์ 71
สรุป ไอพีแอดเดรสทั้งคลาส A, B และ C จะมีชุดแอดเดรสอยู่กลุ่มหนึ่งที่สงวนไว้ใช้งานบน เครือข่ายภายในที่เรียกว่า Private IP โดยเครือข่ายที่ใช้งานหมายเลขเครือข่ายภายในเหล่านี้ จะไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายภายนอกอย่างอินเทอร์เน็ตได้ ถึงแม้หลักการโดยทั่วไป ของเครือข่าย Private IP คือการเชื่อมโยงเครือข่ายภายในที่ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายภายนอก อย่างอินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็มีกระบวนการอินเตอร์เฟซที่เรียกว่า NAT (Network Address Translation) ซึ่งจะแปลง Private IP มาเป็น Public IP (IP Addressจริง) เพื่อให้เครือข่าย ภายในสามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ NAT มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย NAT แบบสเตติก ไดนามิก โอเวอร์โหลดดิ้ง และโอเวอร์แลปปิ้ง โดย NAT แบบโอเวอร์โหลดดิ้งจะเป็นวิธีที่สามารถประหยัดหมายเลขไอพีได้ 72
สรุป หมายเลขไอพี 127.0.0.1เป็น Loopback Address ที่น ามาใช้ส าหรับทดสอบหรือหาข้อผิด พลาดโดยแพ็กเก็กที่ส่งด้วย Loopback Address นี้จะไม่มีการส่งข้ามไปยังเครือข่ายอื่นๆ แต่จะ ย้อนกลับมายังตนเอง โปรโตคอล ARP จะท าหน้าที่ในการแปลงไอพีแอดเดรสมาเป็นแมคแอดเดรส โปรโตคอล RARP จะท าหน้าที่ในการแปลงแมคแอดเดรสบนการ์ดเครือข่ายมาเป็นไอพี แอดเดรส โปรโตคอล ICMP จะใช้ส าหรับรายงานข้อผิดพลาดไปยังโฮสต์ฝ่ ายส่ง เพื่อให้รับทราบถึง ปัญหาที่เกิดขึ้น โปรโตคอล IGMP จะสนับสนุนวิธีการส่งข้อมูลแบบมัลติคาสติ้ง ด้วยการส่งข้อมูลชุดเดียว ไปยังกลุ่มผู้รับปลายทางที่เป็นกลุ่มสมาชิกเดียวกัน ท าให้ลดแบนด์วิดธ์บนเครือข่ายลงได้อย่าง มากเนื่องจาก ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเพียงครั้งเดียว 73
สรุป IPv4 ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันใกล้จะเต็มหมดแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนเพื่อน า IPv6 มา ใช้งานในอนาคต ทั้งนี้ IPv6 จะมีขนาดแอดเดรส 128 บิต ซึ่งมากกว่า IPv4 ถึง 4 เท่าตัว ท าให้ รองรับอัตราการใช้งานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตได้ คุณลักษณะส าคัญของ IPv6 ที่แตกต่างไปจาก IPv4 คือ ขนาดของแอดเดรส รูปแบบของ เฮดเดอร์ ส่วนขยายของเฮดเดอร์ การสนับสนุนข้อมูลออดิโอและวิดีโอ และส่วนขยายไปยังโปรโตคอล โครงสร้าง IPv6 มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกันคือ Base Header และ Payload ทั้งนี้ในส่วนของ Payload ยังประกอบไปด้วยส่วนขยายของเฮดเดอร์ (ซึ่งอาจมีหรือไม่มีก็ได้) และตามด้วยข้อมูล 74
สรุป IPv6 จะรองรับแอดเดรส 3 ประเภทด้วยกันดังนี้คือ ยูนิคาสต์ มัลติคาสต์ และเอนนีคาสต์ เพื่อช่วยให้การอ้างอิงแอดเดรสของ IPv6 ง่ายขึ้น จึงมีการแทนค่าไอพีแอดเดรสของ IPv6ในรูป แบบของเลขฐานสิบหก โดยมีการแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีขนาด 16 บิต และใช้เครื่อง หมาย “:” (Colon) ในการแบ่งส่วนของแต่ละกลุ่ม 75
แบบฝึ กหด ั คร ้ ง ั ท ี ่ 9 จากโจทย์ 1. /18 , /24 , / 25 , /9 , /11, /30จงหา Subnet Mask 2. ก าหนดให้ IP Address 192 .168.5.33/20 จงหา Network IP และ Broadcast IP 3. จากข้อ 2 IP address ใดบ้างที่สามารถน ามาใช้งานได้ 76