รายงานผลการดำเนินงาน
หน่วยอบรมประชาชนประจำอำเภอเมอื งลำพนู
ประจำปี ๒๕๖๕
ดำเนินงานโดย
พระครูจิรวฒั นโสภณ
เจา้ คณะอำเภอเมืองลำพูน
ประธานคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.)
อำเภอเมอื งลำพนู
คณะสงฆ์อำเภอเมอื งลำพนู จงั หวดั ลำพูน
คณะสงฆภ์ าค ๗
รายงานผลการดำเนินงาน
หน่วยอบรมประชาชนประจำอำเภอเมอื งลำพนู
ประจำปี ๒๕๖๕
ดำเนินงานโดย
พระครจู ิรวฒั นโสภณ
เจา้ คณะอำเภอเมืองลำพูน
ประธานคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.)
อำเภอเมอื งลำพนู
คณะสงฆ์อำเภอเมอื งลำพนู จงั หวดั ลำพนู
คณะสงฆภ์ าค ๗
รายงานผลการดำเนินงาน
หน่วยอบรมประชาชนประจำอำเภอเมอื งลำพนู
ประจำปี ๒๕๖๕
ดำเนินงานโดย
พระครจู ิรวฒั นโสภณ
เจา้ คณะอำเภอเมืองลำพูน
ประธานคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.)
อำเภอเมอื งลำพนู
คณะสงฆ์อำเภอเมอื งลำพนู จงั หวดั ลำพนู
คณะสงฆภ์ าค ๗
สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก
(อมั พร อมฺพโร ป.ธ.๖)
วัดราชบพธิ สถิตมหาสมี าราม
พระพรหมโมลี
รักษาการแทนเจ้าคณะใหญห่ นเหนือ เจ้าคณะภาค ๕
แม่กองบาลสี นามหลวง
เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษเี จริญ
พระพรหมเสนาบดี
กรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าคณะภาค ๗
เจ้าอาวาสวัดปทมุ คงคา ราชวรวิหาร
พระธรรมเสนาบดี
รองเจ้าคณะภาค ๗
เจ้าอาวาสวดั พระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร
พระราชวิสุทธิเวที ป.ธ.๙
รองเจ้าคณะภาค ๗
เลขานุการแม่กองบาลสี นามหลวง
ปฏิบัตหิ น้าทีเ่ ลขานกุ ารเจ้าคณะใหญห่ นเหนือ
ผู้ชว่ ยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
พระเทพรตั นนายก
เจ้าคณะจังหวดั ลำพูน
ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหม่บู ้านรกั ษาศลี ๕ หนเหนือ
เจ้าอาวาสวัดพระธาตหุ ริภญุ ชัย วรมหาวหิ าร
พระครูวิสฐิ ปัญญากร พระเทพรัตนนายก พระศรธี รรมโสภณ
รองเจา้ คณะจังหวัดลำพูน เจ้าคณะจังหวดั ลำพูน รองเจ้าคณะจังหวัดลำพนู
พระครจู ิรวฒั นโสภณ
เจ้าคณะอำเภอเมอื งลำพนู
บริหารงานดา้ นการปกครอง
พระครูไพศาลธรรมานุสฐิ และการสาธารณูปการ พระครสู ริ สิ ตุ านยุ ุต
รองเจ้าคณะอำเภอเมืองลำพนู รองเจ้าคณะอำเภอเมอื งลำพูน
บรหิ ารงานด้านการเผยแผ่ บริหารงานดา้ นศาสนศกึ ษา
และการสาธารณสงเคราะห์ และการศกึ ษาสงเคราะห์
คำนำ
พระสังฆาธิการทุกระดับชั้นนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องสนองกิจการงานคณะสงฆ์เป็นหน้าท่ี
หลักแห่งการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นไปเพื่อความยั่งยืน
เพื่อความมั่นคงแห่งพระพทุ ธศาสนาและความเป็นอยู่ของศรัทธาประชาชน ที่อยู่ดีกินดี บนพื้นฐาน
ของการพัฒนากระบวนการ สร้างปัญญาสู่การแก้ไขปัญหา ในมิติตามแนวทางแห่งพุทธธรรม
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ดำเนินการเผยแผ่เป็นแบบอย่างที่งดงามเสมอมา อาศัยความ
ร่วมมือร่วมใจที่แนบแน่นระหว่างพระสงฆก์ ับพุทธศาสนิกชนและสังคมไทย จึงเป็นเหตุให้การสนอง
กิจการงานคณะสงฆ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงาม มาตั้งแต่ครั้งบรรพชนจวบจนปัจจุบัน
พระสังฆาธกิ ารตา่ งมีภาระหน้าท่ีรับผิดชอบกิจการคณะสงฆ์และบวรพระพุทธศาสนา ในฐานะสมณะ
เหล่าพระธรรมทูตแห่งองค์พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยอาศัยหลักพระธรรมวินัย
มีพระราชบัญญัติกฎ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ และมติ ที่ออกโดยฝ่ายศาสนจักร และฝ่ายอาณาจักร
เปน็ หลักปฏบิ ตั ิอนั สง่ ผลทำใหพ้ ระพทุ ธศาสนา ดำรงคงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมั่นคงไพบูลย์
คณะสงฆ์จังหวัดลำพูนเปน็ องค์กรหน่ึง ทม่ี คี วามเข้มแขง็ ทางดา้ นผ้นู ำจติ วญิ ญาณ สามารถ
นำพาพทุ ธศาสนิกชน สกู่ ระบวนการแนวความคิด กระบวนการทำงานเพ่ือสงั คมอย่างแท้จริง ผ่านวิถี
ชีวิต วิธปี ฏบิ ัติ วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ส่งผลถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม ทั้งในระดับจังหวัด
อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ชุมชน และครอบครัว ด้วยการมที นุ ทางสังคมที่เปน็ อยู่ เช่นน้ี จงึ ควรแก่การบูร
ณาการ งานพัฒนาสังคมทางด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สุขภาพ อนามัย สัมมาชีพ สันติสุข ศึกษา
สงเคราะห์ สาธารณะสงเคราะห์ กตัญญูกตเวทิตาธรรม และสามัคคีธรรม ประสานความรว่ มมอื โดย
การมศี รทั ธาประชาชน เป็นศนู ย์กลาง
คณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ เมืองลำพูน (อ.ป.อ.)
ได้ดำเนินงานบริหารกิจการงานคณะสงฆ์ในอำเภอเมืองลำพูน โดยมีวัตถุประสงค์เพือ่ ดำรงพฒั นาให้
บุคลากรทางพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
ต่อบวรพระพุทธศาสนา และสังคมดังนั้นจึงได้รวบรวมผลการดำเนินงานในทุกด้าน และจัดถวายไว้
เปน็ แนวทางปฏบิ ัตงิ าน ในสว่ นนโ้ี ดยหวังว่าเอกสารชดุ นี้จะยงั ประโยชน์แก่ผู้สนใจ ไฝ่รู้ไฝ่ปฏิบัติอย่าง
แท้จรงิ
คณะกรรมการ อ.ป.อ.
12 กันยายน 25๖๕
หน้า | ๗
คำนยิ ม
โดย พระเทพรตั นนายก
เจ้าคณะจังหวัดลำพนู
เจา้ อาวาส วดั พระธาตหุ รภิ ญุ ชัย วรมหาวหิ าร
หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นกลุ่มมดงานของคณะสงฆ์ไทยจัดตั้งข้ึน
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร
มีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ประชาชนส่งเสริมให้ชุมชนในตำบลนั้นๆ ช่วยเหลือพึ่งพาตนเองได้
มีการทำงานแบบบูรณาการระหว่างวัด บ้าน รัฐ โรงเรียน (บวร) พัฒนาบุคคลให้มีความรู้ดี
มีความสามารถมีพฤติกรรมที่ดีและนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน เป็นศูนย์กลางการทำงาน
ด้านสาธารณสงเคราะห์และการเรียนรู้ของตำบลนั้นๆ พิทักษ์คุ้มครองประชาชนในตำบลนั้นๆ
ให้อยู่เป็นปกติสุขด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนนโยบายคณะสงฆ์ นโยบายรัฐเพื่อสร้างความ
อยู่ดี กินดี มีสุขของประชาชน สนับสนุนอาชีพสุจริต อาจกล่าวได้ว่าหน่วยอบรมประชาชน
ประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นเครือขา่ ยพระสงฆ์นักพัฒนาสงั คมอยา่ งแท้จรงิ เพราะมีลกั ษณะการทำงาน
เป็นทีมโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือพุทธศาสนิกชนประชาชนทั่วไปเป็นหลักเป็นดุจผู้ประสานสิบทิศ
กับทั้งเครือขา่ ยหน่วยงานราชการและเครือข่ายภาคประชาชนสามารถเชือ่ มโยงหลักการดำเนินชีวิต
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงวิถีพุทธส่งเสริมให้ประชาชนดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
มีความอดทน มีความเพยี ร ใช้สตปิ ัญญา ในการดำเนนิ ชีวิต
การขบั เคล่ือนโครงการสง่ เสริมการพฒั นาประสิทธภิ าพการดำเนนิ งานหนว่ ยอบรมประชาชน
ประจำตำบล (อ.ป.ต.) คณะสงฆห์ นเหนือ ประจำปี ๒๕๖๕ จึงเปน็ กา้ วแรกทคี่ ณะสงฆ์ไทยได้รวบรวม
กลุ่มพระสงฆ์มดงาน และผลงานของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ทั้งประเทศ
เป็นงานที่สามารถสื่อสารให้คนทั้งประเทศได้เห็นว่าคณะสงฆ์ไทยทำการขับเคลื่อนสังคมไทย
ด้วยคุณธรรมบนพื้นฐานตามหลักพุทธธรรมเพื่อประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
จากกิจกรรมส่งเสรมิ กจิ กรรมตามหัวขอ้ อบรมท้ัง ๘ ประการ กล่าวคอื
๑) กจิ กรรมสง่ เสรมิ ศีลธรรมและวฒั นธรรม
๒) กิจกรรมส่งเสริมสขุ ภาพอนามัย
๓) กจิ กรรมสง่ เสรมิ สมั มาชีพ
๔) กจิ กรรมส่งเสรมิ สนั ติสขุ
๕) กจิ กรรมส่งเสรมิ การศกึ ษาสงเคราะห์
๖) กจิ กรรมส่งเสรมิ การสาธารณสงเคราะห์
๗) กจิ กรรมสง่ เสริมความกตัญญกู ตเวทิตาธรรม
๘) กจิ กรรมส่งเสรมิ ความสามัคคธี รรม
หนา้ | ๘
ในนามคณะกรรมการหน่วยอบรมประชาชนประจำจังหวัดลำพูน (อ.ป.จ.) ขอแสดงความ
ยินดีและชื่นชมในความร่วมมือร่วมใจกนั ของเครือข่ายพระสงฆ์หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล
(อ.ป.ต.) ทง้ั หนว่ ยงานภาครฐั ภาคประชาชนที่เหน็ ความสำคญั ความสุข ของพทุ ธศาสนิกชนประชาชน
จนปรากฏเป็นผลงานเชิงประจักษณ์ในด้านต่างๆ เป็นรูปเล่มรายงานผลการดำเนินงานในรอบปี
๒๕๖๕ อันจะเป็นรากฐานในการพัฒนาบุคลากรในทางพระพุทธศาสนา พัฒนากระบวนทัศน์
กระบวนการทำงานกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นส่ง ผลให้ประชาชนมีคุณธรรม
จริยธรรม ศีลธรรมประจำใจ ปลูกฝังเป็นค่านิยมเป็นต้นแบบให้ลูกหลานได้สืบสานเป็นวัฒนธรรม
สบื ไป
(พระเทพรัตนนายก)
เจา้ คณะจงั หวดั ลำพูน
เจ้าอาวาส วดั พระธาตุหรภิ ุญชยั วรมหาวหิ าร
หน้า | ๙
สารบญั
เรอ่ื ง หนา้
คำนำ 7
คำนิยม 8
สารบัญ 10
ประวตั ิความเปน็ มาจงั หวดั ลำพนู 12
เก่ยี วกบั จังหวัดลำพนู
การแบ่งเขตการปกครอง 21
จำนวนประชากร 24
วิสัยทัศน์ จงั หวัดลำพูน 25
ยทุ ธศาสตร์ จังหวดั ลำพนู 26
ประวตั ิความเป็นมาคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ เมืองลำพนู (อ.ป.อ.)
ความเปน็ มาและความสำคัญ 27
การเผยแผ่หลักธรรมสปู่ ระชาชนของหนว่ ยงาน อ.ป.ต. 28
การพัฒนาศาสนสถานให้เป็นศูนยก์ ลางของชุมชนในการเผยแผห่ ลักธรรม 29
การระดมสรรพกำลงั ทำนุบำรงุ อุปถมั ภ์พระศาสนา
หลกั ธรรมสำหรบั การพฒั นา 30
ภูมิปญั ญาไทย 31
สาขาภูมิปญั ญาไทยทีค่ วรส่งเสริม
โครงสรา้ งคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ 36
คณะกรรมการ อ.ป.อ.อำเภอเมืองลำพนู
ข้อมูลเก่ยี วกับคณะสงฆอ์ ำเภอเมอื งลำพูน 37
บัญชีวดั แยกรายตำบล อำเภอเมืองลำพนู สงั กัดคณะสงฆจ์ งั หวดั ลำพูน 38
รายนามประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พืน้ ที่ อำเภอเมืองลำพูน 44
รายนามพระธรรมทตู อำเภอเมอื งลำพูน ฝ่ายบรหิ ารพนื้ ท่ี อำเภอเมืองลำพนู 46
รายนามพระธรรมทูต อำเภอเมอื งลำพนู ฝ่ายปฏิบัติการ อำเภอเมืองลำพนู 46
ระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการตัง้ หนว่ ยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. ๒๕๔๖ 48
ปญั หาและอุปสรรคในการดำเนนิ งาน 53
แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาในภาพรวม 54
สรปุ การแกไ้ ขปัญหา 55
หนา้ | ๑๐
สรุปผลการจัดกจิ กรรม 56
สรุปผลรวมการจดั กจิ กรรมทั้งหมดท่ีดำเนนิ งาน 57
ประมวลภาพกิจกรรม 108
ด้านศลี ธรรมและวัฒนธรรม 109
ดา้ นสขุ ภาพอนามัย 112
ดา้ นสมั มาชพี 117
ดา้ นสันติสุข 121
ดา้ นศกึ ษาสงเคราะห์ 133
ด้านสาธารณะสงเคราะห์ 138
ด้านกตัญญกู ตเวทิตาธรรม 153
ด้านสามัคคีธรรม 158
ภาคผนวก 163
สรปุ ผลการดำเนนิ งานโครงการธรรมสัญจร ระดับตำบล อำเภอเมอื งลำพูน ประจำปี ๒๕๖๕
สถิตจิ ำนวนประชากรในจงั หวดั ลำพูน ข้อมูลเดือน สงิ หาคม 2565
สรปุ งานช่วยเหลอื อัคคีภัย-อทุ กภยั -วาตภยั คณะสงฆอ์ ำเภอเมอื งลำพูน 2554-2565
สรปุ บัญชกี ารสงเคราะหศ์ พพระภิกษสุ ามเณรอำเภอเมอื งลำพนู 2563 – 2565
รายช่ือสำนกั ปฏบิ ตั ธิ รรม อำเภอเมอื งลำพูน
รายนามประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พน้ื ที่ อำเภอเมืองลำพนู
หน้า | ๑๑
ประวัติความเปน็ มาจังหวดั ลำพนู
จังหวัดลำพูน เดิมชื่อเมืองหริภุญไชย เป็นเมืองโบราณ มีอายุประมาณ 1,343 ปี
ตามพงศาวดารโยนกเล่าสืบต่อกันถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย โดยฤาษีวาสุเทพ เป็นผู้เกณฑ์
พวกเม็งคบตุ ร หรอื ชนเชือ้ ชาตมิ อญมาสร้างเมืองน้ีขน้ึ ในพ้ืนทรี่ ะหวา่ งแมน่ ้ำสองสาย คือ แม่น้ำกวง
และแม่น้ำปิง เมื่อมาสร้างเสร็จได้ส่งทูตไปเชิญ ราชธิดากษัตริย์เมืองละโว้พระนาม “ จามเทวี”
มาเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองหริภุญไชย สืบราชวงศ์กษัตริย์ ต่อมาหลายพระองค์ จนกระทั่งถึง
สมัยพระยายีบาจึงได้เสียการปกครองให้แก่พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผู้รวบรวม แว่นแคว้นทางเหนือ
เข้าเป็นอาณาจักรล้านนา เมืองลำพูน ถึงแม้ว่า จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนา
แต่กไ็ ด้เป็นผู้ถ่ายทอดมรดกทางศิลปและวัฒนธรรมให้แก่ผู้ที่เข้ามาปกครอง ดงั ปรากฏหลักฐานทั่วไป
ในเวียงกุมกาม เชียงใหม่และเชียงราย เมืองลำพูนจึงยังคงความสำคัญในทางศิลปะและวัฒนธรรม
ของอาณาจักรล้านนา จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองลำพูนจึงได้เข้ามาอยู่ใน
ราชอาณาจักรไทย มีผู้ครองนครสืบต่อกันมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภายหลังการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เม่อื เจ้าผู้ครองนครองคส์ ดุ ท้าย คอื พลตรเี จ้าจักรคำ ขจรศักดิ์
ถงึ แก่พริ าลยั เมืองลำพนู จึงเปลีย่ นเปน็ จังหวดั มีผวู้ ่าราชการจงั หวดั เป็นผปู้ กครอง สบื มาจนกระท่ังถึง
ปัจจบุ นั
“เมอื งโบราณหริภุญไชย” อาณาจกั รอนั ร่งุ เรืองและเก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือ แบ่งเป็น ๔ ยคุ คอื
• ยุคประวตั ิศาสตรแ์ รกเรม่ิ
• ยคุ หรภิ ุญไชย
• ยุคลา้ นนา
• ยคุ ต้นรตั นโกสินทร์
“ยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร”์
นครในตำนานถึงบา้ นวงั ไฮก่อนท่ีจะเป็นเมืองลำพูณหรอื อาณาจักรหริภญุ ไชย ในอดีตดินแดน
แถบลุ่มแม่น้ำปิง น้ำปิงน้ำกวงผืนนี้ เคยมีชื่อว่า “สมันตรประเทศ”มาก่อน เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วง
หลังพุทธกาลเล็กน้อยหรือราว ๒,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่องราวของนักพรตฤษีที่เดินทางไกล
มาจากชมพูทวีปสู่สุวรรณภูมิ ได้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ ต่อมาได้ผสมเผ่าพันธุ์กับคนพื้นเมอื ง
ก่อกำเนิดชุมชนกลุ่มแรกกลายเป็นบรรพบุรุษของชาว“ลัวะ”เม็ง” (มอญ) ณ ริมฝั่งแม่ระมิงค์
(แม่น้ำปิง)หลักฐานที่รองรับยืนยันถึงการมีอยู่จริงของมนุษย์ยุคก่อนอาณาจักรหริภุญไชย ได้แก่
โครงกระดกู ทีข่ ุดพบ ณ บ้านวังไฮ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งนักโบราณคดี
ได้ทำการศึกษาพบว่ามีอายุระหว่าง ๒,๘๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว จัดเป็นมนุษย์ในยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ตอนปลายที่รู้จักประเพณีฝังศพด้วยการอุทิศสิ่งของให้ผู้ตายไว้ใช้ในปรโลก
รจู้ กั ทำเกษตรกรรม และตง้ั หลกั แหลง่ ไม่เรร่ อ่ นมกี ารติดตอ่ กับภายนอกท้งั ซกี โลกตะวนั ตกคือกลุ่มของ
พ่อค้าอินโด-โรมัน เห็นได้จากการพบลูกปัด สร้อยกำไลในหลุมศพทำด้วยหินควอทซ์ และซีกโลก
หนา้ | ๑๒
ตะวันออก คืนกลุ่มของอารยธรรมดองซอน กวางสี แถบเวียดนามเหนือและจีนใต้ ซึ่งได้นำเอา
เคร่ืองประดับท่ีทำดว้ ยสำริดมาแลกเปลย่ี นค้าขาย ชนกลมุ่ นี้ตอ่ มาได้กลายเปน็ ส่วนหนงึ่ ของประชากร
ในแคว้นหรภิ ญุ ไชยอกี ๑,๐๐๐ ปีต่อมา
กำเนิดมนุษย์ถ้ำสู่สัญลักษณ์ภาพเขยี นสีเมืองลำพูนมีสภาพภูมิศาสตร์สองลักษณะ กล่าวคือ
บรเิ วณอำเภอเมอื ง บ้านธิ ป่าซาง และเวยี งหนองล่อง เป็นเขตท่รี าบล่มุ รมิ น้ำประเภท “ดินดำน้ำชุ่ม”
สว่ นอำเภอแมท่ า-ทุ่งหวั ช้าง-ล้แี ละบ้านโฮง่ เปน็ เขตของเทือกเขาสงู ชัน โดยมากเป็นหินปูนม่ีทำเลที่ต้ัง
เหมาะแก่การตัง้ หลักแหล่งท่อี ยู่อาศัยของมนษุ ยย์ ุคหินซ่ึงตอ้ งใช้เพงิ ผาถ้ำไมไ่ กลจากแหล่งท่ีอยู่เป็นท่ี
กำบังกาย จากหลักฐานที่ค้นพบใหม่ล่าสุดในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ณ ดอยแตฮ่อดอนผาผึ้ง ต.ป่าพูล
อ.บ้านโฮ่ง และดอยผาแดง กับดอยนกยูง ต.ศรีวิชัย อ.ลี้ รวมถึงการขูดขีดเพิงผาหินเป็นรูปรอยเทา้
แบบ Rock Art ณ ด้านหลังวดั ดอยสารภี อ.แม่ทา ได้พบลอ่ งรอยของมนุษยย์ ุคหินกลางถึงยุคหินใหม่
มอี ายุราว ๑,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว คนกล่มุ นี้นบั ถอื ผี วถิ เี รร่ ่อนย้ายถนิ่ ฐานตามฤดูกาล บูชาอำนาจ
เหนอื ธรรมชาติทีม่ องไม่เห็น (Animism) สามารถผลติ เคร่ืองมอื ขวานหิน-ใบหอกเป็นอาวุธ ข้อสำคัญ
รจู้ ักเขียนภาพบนผนงั ถ้ำด้วยสีแดง สที ี่ใชม้ ีส่วนผสมของเลือดนกพริ าบ ไข่ขาว กาวยางหนังสัตว์หรือ
สามารถส่อื สัญลักษณ์ดว้ ยการใช้ขวานหินขูดขีดลวดลาย ภาพเหลา่ นส้ี ท้อนถงึ ความเช่ือเร่ืองการบูชา
รอยเท้า งานพิธีกรรมฝังศพ การตัดไม้ข่มนามก่อนการออกล่าสัตว์ ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักใช้ไฟ
ทำให้เปล่ียนพฤตกิ รรมการบริโภคจากเน้ือดบิ เปน็ ปรงุ อาหารให้สุก มีการปั้นภาชนะดินเผาสำหรับใส่
กระบอกธนูหม้อกระดูก มีการตกแต่งขูดขีดผิดภาชนะเป็นรูปงูไขว้ ในที่สุดเริ่มตั้งแต่ยุคเร่ร่อน
มีการเลือกผนู้ ำเผ่าและเข้าสยู่ ุคสังคมเกษตร ราว ๓,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา
“ยุคหรภิ ญุ ไชย”
หรภิ ุญไชย ปฐมอารยนครแห่งลา้ นนา
หริภุญไชยนครมีฐานะเป็นราชธานีแห่งแรกของภาคเหนือ เป็นรากฐานอารยธรรมอัน
เจรญิ รงุ่ เรืองสงู สดุ สง่ ในทุกๆด้านใหแ้ ก่อาณาจกั รลา้ นนานบั ตั้งแตด่ า้ นพุทธศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง
การปกครอง ศิลปกรรม วฒั นธรรม การทหาร ดงั มหี ลักฐานยนื ยนั จากศิลาจารกึ ตำนาน โบราณสถาน
โบราณวัตถุ ฯลฯ ปฐมอารยนครแห่งนี้เป็นบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์อักขระมอญโบราณในพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ พบจำนวนมากถึง ๑๐ หลักเรื่องราวจากศิลาจารึกแสดงถึงอัจฉริยภาพด้านการ
ปกครองและความรุ่งเรืองทางศาสนาอักษรมอญโบราณเหล่านี้ส่งอิทธิพล ด้านรูปแบบอักขระให้แก่
อักษรในพุกาม สะเทิมรวมไปถงึ อักษรพม่าและมอญท่ีใช้ในปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วยงั เป็นต้นกำเนดิ
ลายสือไท สมัยสุโขทัยในอีก๔๐๐ปีต่อมา และอักษรธรรมล้านนาให้แก่ชาวไทยภาคเหนือ (ไทยวน)
และต่อมาไดแ้ พร่หลายไปสอู่ ักษรไทลื้อ ไทอาหม ไทใหญ่ หรภิ ุญไชยนครมคี วามเจรญิ ร่งุ เรืองอย่างยิ่ง
และเป็นที่เลื่องลือในกลุ่มชนชาวตะวันออกเฉียงใต้อันได้แก่ พุกาม นครวัต (เขมร) จำปา ศรีวิชัย
นครศรีธรรมราช ละโว้ และจนี หริภญุ ไชยไดก้ ลายเปน็ ยทุ ธศาสตรน์ ครที่หลายๆแควน้ ได้เข้ามาเยือน
เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีทางการทูต ทางการค้า ทางสวัสดิการสังคมความเป็นอยู่สู่ความเห็นพ้อง
ทางด้านวฒั นธรรมอนั ทรงคณุ คา่ ดว้ ยเหตนุ ี้ ศลิ ปวฒั นธรรมสมยั หรภิ ุญไชยจึงเปน็ ผสมผสานศิลปะอันมี
หน้า | ๑๓
ค่าได้อย่างลงตัว กษัตริย์ในราชสกุลจามเทวีวงศ์แห่งหริภุญไชยนคร ได้ครองราชสมบัติยาวนาน
สบื เนอ่ื งต่อมาราว ๖๒๐ ปี มพี ระมหากษตั รยิ ์ทัง้ สิน้ ประมาณ ๕๐ พระองค์
สงครามสามนครสู่สายสมั พันธ์มอญหงสาวดี
เมื่อหริภุญไชยนครผ่านกาลเวลามาได้สามศตวรรษ รัฐละโว้เมืองแม่แต่เดิมเคยเป็นเครือข่าย
ทวารวดีได้ถูกปกครองโดยขอม ทำให้ละโว้กลายเป็นศัตรูกับหริภุญไชย ยุคนี้รัฐทางใต้มีการแผ่
แสนยานภุ าพจากชายฝัง่ ทะเลมาสู่เขตท่ีราบล่มุ ภูเขาตอนในเพื่อขยายเสน้ ทางการค้าหลายระลอกทำ
ให้เกิดสงครามครงั้ ใหญ่ระหวา่ ง “นครศรธี รรมราช-ละโว้-หรภิ ุญไชย” จนกระทง่ั ถึงสมัยพระเจ้ากมล
ราชนครหริภุญไชยเกิดโรคห่าครั้งใหญ่ประชาชนชาวมอญหริภุญไชยอพยพหนีไปอยู่เมืองหงสาวดี
และสะเทมิ (สุธรรมวดี) เป็นเวลา ๖ ปี เม่อื สรา่ งจากโรคระบาดไดน้ ำเอาชาวมอญ-หงสาวดีและมีการ
ถ่ายเททางอารยธรรมระหว่างชาวแม่ระมิงค์กับลุ่มน้ำสาละวิน จนเกิดประเพณีลอยหะโมด ในฤดูน้ำ
หลาก อันเป็นตน้ กำเนดิ ของประเพณีลอยกระทงของสโุ ขทยั ปัจจุบันชาวมอญจากหงสาวดียังคงต้ังถิ่น
ฐานอยทู่ ี่บ้านหนองคู่ เวียงเกาะกลาง ต.บา้ นเรอื น อ.ปา่ ซาง จ.ลำพูน และบา้ นต้นโชค บา้ นหนองคอบ
อ.สนั ปา่ ตอง จ.เชยี งใหม่ ด้วยการรกั ษาขนบธรรมประเพณีชาวมอญ
สววาธสิ ทิ ธิ กษตั ริยผ์ ูท้ รงธรรม
พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ถอื วา่ เป็นยุครงุ่ เรืองของความเจรญิ ทุกๆด้าน ประวัตศิ าสตรย์ ุคนี้มีความ
ชดั เจนขึ้นทลี ะน้อยๆ ไมเ่ พียงแตป่ รากฏหลักฐานทางโบราณคดีอย่างมากมายเท่าน้นั หากยังอา้ งอิงได้
ถึงหลักฐานทางด้านอกั ขระ กล่าวคือมีการพบศิลาจารึกอักษรมอญ-โบราณมากที่สุดในประเทศไทย
หลังจากยุคของพญาอาทิตยราช มหาราชแห่งหริภุญไชยนครผู้ทรงขุดพบพระธาตุ และกระทำการ
สถาปนาพระบรมสารีริกธาตุกลางมหานครขึ้นเป็นศูนย์รวมความศรัทธาครั้งแรกของภาคเหนือแลว้
พระราชโอรสของพระองค์ คือพระเจ้าธรรมิกราชาได้สร้างพระอัฏฐารส(พระยืนสูง ๑๘ ศอก)
ทีว่ ัดอรญั ญิการาม (วดั พระยืน) จนถงึ ยคุ สมยั ของพญาสววาธิสิทธิ หรอื พญาสรรพสิทธ์ิ กษัตริย์ผู้ทรง
ผนวช ระหว่างครองราชย์ ทรงถวายพระราชวังเชตวนาลัยให้สร้างวัดเชตวนาราม (วัดดอนแก้ว)
ทรงผนวชพร้อมมเหสีและโอรส ทรงสร้างต้นโพธิ์และประกาศเชญิ ชวนประชาชนให้ค้ำจุนต้นโพธิ์ถือ
เปน็ ต้นแบบของกษัตรยิ ์ในยุคตอ่ มาท่ีดำเนินรอยตามในสว่ นของการกัลปนาวังเพ่ือสร้างวัด การผนวช
ขณะครองราชย์ และประเพณี “ไมก้ ำ๊ สะหล”ี ของชาวลา้ นนาตอ่ มา
อรุณรุ่งแห่งพทุ ธประทีป
ก่อนยุคหริภุญไชยนครคนพื้นเมืองชาวลัวะดั้งเดิมเคยบูชาผีแถน ผีบรรพบุรุษที่เรียกว่า
“ผีปู่แสะย่าแสะ” มีการบูชาเสาสะกัง หรือเสาอินทขีล ต่อมายอมรับเอาศาสนาพราหมณ์จากฤษี
นักพรต ล่วงสู่ยุคหริภุญไชยจึงมีการสถาปนาศาสนาพุทธแห่งแรกของภาคเหนือ กระท่ังเปลี่ยนเปน็
นิกายลังกาวงศ์ รามัญวงศ์ ฯลฯ ศาสนาทุกลัทธิในหริภุญไชยนคร ได้รับการผ่องถ่ายไปสู่เมืองอื่นๆ
ทง้ั ในลา้ นนา ลา้ นช้าง สบิ สองปันนา ลำแสงแรกแห่งพระพทุ ธศาสนารุ่งเรืองไสวขึน้ นบั ต้ังแต่ได้มีการ
ขุดพบพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระเกศาธาตุ ณ บริเวณวัดพระธาตุหริภุญไชยปัจจุบัน
ในรัชสมัยของพญาอาทิตยราช ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ ทรงสถาปนาพระบรมธาตุเจดีย์ข้ึนแหง่
แรกในภาคเหนอื โบราณราชประเพณกี ำหนดให้พระมหากษัตริยท์ กุ พระองค์จกั ต้องมากราบนมัสการ
หน้า | ๑๔
พระบรมธาตเุ จดีย์แหง่ นก้ี อ่ นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีหลกั ฐานปรากฏว่าแม้แต่หลวงจีนทิเบตใน
แต่ละปกี ต็ ้องจารกึ แสวงบุญด้วยการมาสกั การะพระมหาธาตุเจดีย์หริภุญไชยสะท้อนวา่ เมืองลำพูนคือ
ศูนย์กลางของพุทธศาสนาแห่งลุ่มแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ตลอดจนลุ่มน้ำ โขง-สาวะวิน ตราบถึงวันน้ี
ลำพนู ได้กลายเปน็ ศนู ย์รวมอารยธรรมทางพุทธศาสนาแหง่ อาณาจักรล้านนา ซง่ึ ศาสนสถานท่ีปรากฏ
ให้เห็นในปัจจุบันได้แก่ วัดพระธาตุหริภุญชัย วัดพระพุทธบาทตากผ้าในอำเภอป่าซาง และ
วัดพระพุทธบาทห้วยต้มในอำเภอลี้ เป็นต้น องค์พระบรมเจดีย์ในวัดพระธาตุหริภุญชัยเชื่อว่าเป็น
พระเจดีย์ที่เกา่ แก่ท่ีสุดโดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวในรัชกาลท่ี ๔ ได้ทรงยกย่องและสถาปนา
พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้พร้อมทั้งได้จารึกไว้ว่าเป็นพระเจดีย์องค์หนึ่งในแปด พระบรมธาตุเจดีย์ที่มี
ชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย วัดพระธาตุหริภุญชัยยังได้ชื่อว่า เป็นพระบรมธาตุเจดีย์ประจำราศี
ของผ้เู กดิ ปีระกาอีกด้วย
จามเทวี : แม่เมือง-มงิ่ เมือง
ภายหลังจากการล่มสลายของเมือง “สมันตรประเทศ” ด้วยการขาดผู้นำที่ทรงคุณธรรม
กลุ่มนักพรตฤษีผู้มีบทบาทในการสร้างเมืองตั้งแต่เริ่มแรก ได้กอบบ้านกู้เมืองข้นมาใหม่ในราวปี
พ.ศ.๑๒๐๔ เฉลิมนามว่า “หริภุญไชยนคร” โดยได้อัญเชิญราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้นามว่า
“พระนางจามเทวี” มาเป็นปฐมกษัตริย์ในปี พ.ศ.๑๒๐๖ พระนางทรงนำเอาอารยธรรมชั้นสูงแบบ
ทวารวดขี ึน้ มาทางแมน่ ้ำปิงสดู่ นิ แดนภาคเหนือของไทยเป็นคร้งั แรกทรงรวบรวมชนพ้นื เมืองกลุ่มต่างๆ
เข้าด้วยกันภายใตก้ ารปกครองแบบทศพิธราชธรรมทรงประกาศพระพุทธศาสนาให้เลื่องลือไกลด้วย
การสร้างวัดวาอารามกระจายทั่วดินแดน อีกทั้งยังทรงขยายอาณาเขตความเจริญไปยังลุ่มน้ำต่างๆ
อาทิเมอื งเขลางคนคร-อาลัมพางค(์ ลำปาง) แห่งลุ่มน้ำวัง เวยี งเถาะ เวียงท่ากาน เวียงมะโน เวียงฮอด
บั้นปลายพระชนม์ชีพทรงสละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสฝาแฝด “เจ้ามหันตยศ เจ้าอนันยศ”
ให้ครองแควันหริภุญไชย-เขลางคนครสืบมา ในขณะทพี่ ระองค์ทรงครองศีลอุบาสกิ า คุณงามความดี
ที่ทรงกระทำไว้เป็นที่ขจรขจายมีมากเกินคณานับ จนได้รับฉายาวา่ เป็น”พระแม่เมอื ง-พระมิง่ เมือง”
ของชาวเมอื งหริภุญไชย
“ยุคล้านนา”
ยามสิน้ แสงอสั ดงคตหรภิ ญุ ไชยนครผ่านกาลเวลอันรุ่งโรจน์มานานถงึ หกศตวรรษด้วยกิตติศัพท์
ความอุดมสมบรูณ์มั่งคั่งของคราทำให้เป็นที่หมายปองของ “พญามังราย” เจ้าผู้ครองแคว้น
“หิรัญนครเงินยาง”แถบเมืองเชียงราย ปี พ.ศ.๑๘๒๔ พญามังรายได้ยกกองทัพอันแข็งแกร่งมาเผา
แคว้นหริภุญไชยจนวายวอด ในสมัย “พญายีบา” แต่พญามังรายก็ไม่ประทับอยู่ที่เมืองหริภุญไชย
โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ เปน็ เมอื งพระธาตุ อกี เหตุผลหน่งึ ชัยภมู ไิ ม่เหมาะเปน็ เป็นเมอื งขนาดเล็ก การขยายตัว
ของเมอื งเปน็ ไปได้ยากจึงให้อา้ ยฟ้าหรอื ขุนฟ้าครองเมืองหรภิ ุญไชยแทนและย้ายราชธานีใหม่ไปอยู่ที่
“เวียงชะแว่” หรือ “เวียงแจ้เจียงกุ๋ม”และย้ายไปอยู่ที่ “เวียงกุมกาม” และ “นพบุรีนครพิงค์
เชียงใหม”่ ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ โดยการผนวกแคว้นหรภิ ญุ ชยั และแควน้ โยนกเข้าด้วยกนั โดยมีเชียงใหม่
เป็นศูนย์กลาง ส่วนหริภุญไชยเป็นส่วนกลางด้านศาสนาโดยให้บูรณะพระธาตุหริภุญชัยสร้าง
มณฑปทรงปรา-สาทที่พญาสัพสิทธิ์สร้างไว้ให้สูงขึ้นเป็น ๓๒ ศอกได้ถวายข้าทาสบริวารแก่
หนา้ | ๑๕
วัดพระธาตุหริภุญชัย และสั่งให้กษัตริย์เมืองเชียงใหม่องค์ต่อๆมาทุกพระองค์มีหน้าที่ในการดูแล
บูรณะวัดพระธาตหุ ริภญุ ชยั สืบตอ่ มา
ในปี พ.ศ.๑๙๙๐ สมัยพญาติโลกราชกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ ราชวงศ์มังรายลำดับที่ ๙
ไดอ้ าราธนาพระมหาเมธงั กรมาเป็นผู้ควบคุมการบรู ณะและเสริมองคพ์ ระธาตุขึ้นใหม่โดยปรับปรุงโดย
สรา้ งพระธาตุจากเจดยี ์ทรงปราสาทเปน็ ทรงพระฆังหรือทรงลงั กาตามแบบพระพุทธศาสนาแบบลังกา
วงศ์ของเมอื งเชยี งใหมโ่ ดยก่อเป๋นเจดยี ส์ งู ขนึ้ เป็น ๓๒ ศอก กว้างข้นึ เป็น ๕๒ ศอกเป็นรปู ทรงทเ่ี ห็นอยู่
ในปัจจุบัน ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ สมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ รางวงศ์มังราย ลำดับที่ ๑๑
ได้ทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นประจำทุกปี ได้ป่าวร้งโฆษณาเรี่ยไร่ จ่ายซ้ือ
ทองบุองค์พระธาตุเจดีย์เป็นทองแดงหนักสิบเก้าแสนแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยบาทสองสลึงแล้วลงรัก
ปิดทองคำเปลว ให้สร้างพระวิหารหลวง แล้วสร้างรั้วรอบพระบรมธาตุ (สัตตบัญชร) ระเบียงหอก
๕๐๐ เล่ม เกรณฑ์กำลังพลรื้อและก่อกำแพงเมอื งหริภุญไชยด้วยอิฐในปี ฑ.ศ. ๒๐๕๙ เพ่ือป้องกันภัย
จากอยุธยา
จนมาถึงสมับพญากือนา กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ ๖ ทรงอาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัยในปี
มาจำพรรษาที่วัดพระยืน พ.ศ.๑๙๑๒ เมืองหริภุญไชยก่อน เมื่อสร้างวัดบุปผาราม(สวนดอก)
พระสุมนเถระจึงมาจำพรรษาที่แห่งนี้จนถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ.๑๙๓๒ นับว่าพระสุมนเถระได้มา
วางรากฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในเมืองเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางแทนนิกายเดิม
(รามญั วงศ์)ทีม่ หี ริภุญไชยเป็นศูนยก์ ลางแต่เมอื งเดมิ และในสมยั ตอ่ มาคือ พญาแสนเมืองมา ในราวปี
พ.ศ.๑๙๕๑มีพระราชกรณียกิจด้านทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยโปรดให้หุ้มพระบรมธาตุ
เจดยี ห์ รภิ ุญชัยดว้ ยแผ่นทองคำหนกั สองแสนหนงึ่ หมื่นบาทหรอื ๒๕๒ กิโลกรัม
“ยคุ ต้นรัตนโกสินทร”์
การใช้วิเทโศบายทางการเมืองระหว่างล้านนา (เชียงใหม่) กับสยามประเทศเป็นไปอย่างชิง
ไหวชิงพรบิ เจา้ เมอื งฝ่ายเหนอื ใช้ความพยายามอย่างยิง่ ยวดที่จะรกั ษาประเทศลา้ นนาเอาไว้ แต่มิอาจ
ต้านแรงคุกคามข้างฝ่ายสยามประเทศได้ เน่อื งจากสยามได้ใช้วิธีหลายรูปแบบที่จะรวมล้านนาให้เป็น
หนึ่งเดียว อาทิ ส่งนักกฎหมายฝรั่งและหมอสอนศาสนาเข้ามาอยู่ในเชียงใหม่ อีกทั้งส่งข้ าหลวง
สามหัวเมอื งมาประจำ
หลังจากจากที่รัฐบาลส่วนกลางสยามได้เซ็นสนธิสัญญาเบาริง กับอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๓๙๘
(สมัยรัชกาลที่ ๔) บริษัทอังกฤษก็มีสิทธิเข้ามาทสัมปทานไม้ในล้านนาได้ เพียงแค่ขออนุญาตต่อ
เจา้ ผู้ครองนครโดยตรงจนเกดิ กรณพี ิพาทขึ้นหลายครัง้ ระหว่างเจ้าผู้ครองนครเชียงใหมก่ บั บริษัททำไม้
รัฐบาลกลางเหน็ ว่าผลประโยชน์การทำไมก้ บั ชาวตะวันตกมีรายได้มหาศาล จึงทำสนธสิ ัญญาเชียงใหม่
ขึ้น ๒ คร้ัง ในปีพ.ศ.๒๔๑๖ และพ.ศ.๒๔๒๖ เนอ้ื หาสาระอยู่ท่กี ารลดอำนาจเจา้ ผู้ครองนครเชียงใหม่
ลงไม่ให้เข้ามามีบทบาทด้านสัมปทานได้ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้ามาดูแลเชียงใหม่ และ
จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้นที่นี่ในปี พ.ศ.๒๔๓๗ สถานการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุสำคัญให้เกิดการปฏิรูปการ
ปกครองแผ่นดินขึ้น โดยรวบรวมอำนาจการปกครองทั้งหมดให้อยู่กับส่วนกลาง ลดบทบาทของ
หนา้ | ๑๖
เจ้าเมืองฝ่ายเหนือให้น้อยลง ยกเลิกฐานะหัวเมือง ประเทศราชจัดเป็นหน่วยปกครองที่เรียกว่า
“มณฑล” โดยส่งขา้ ราชการจากสว่ นกลางเข้ามาปกครองกระทงั่ เจ้าดาราดิเรกรตั นไพโรจน์ เจา้ ผ้คู รอง
นครลำพูนองค์ที่ ๗ ถึงแก่พิราลัย ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้น ท่ามกลางทายาทจึงเป็นโอกาสอันดี
ข อ ง ท า ง ส ่ ว น ก ล า ง ท ี ่จ ะ ใ ช ้ฉ ว ยโ อ กา ส ข ้ ออ้ า ง เ ข ้า ม า จ ั ดร ะ เ บ ี ยบ ก า รป กค ร อ ง เ มื อง ล ำ พูน ใหม่
อย่างเบด็ เสร็จเรยี บรอ้ ย
"ยุคเก็บผักใส่ซ้าเกบ็ ขา้ ใสเ่ มอื ง"
หลังจากขับไล่พม่าออกจากเมืองล้านนาแล้ว พญาจ่าบ้านได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าเมือง
เชียงใหม่ส่วนพญากาวลิ ะให้เปน็ เจา้ เมอื งลำปางโดยพธิ ดี ังกลา่ วทำขึ้นที่วัดพระธาตหุ รภิ ุญชัย เชยี งใหม่
สามารถปกครองตนเองได้ในฐานะเมืองประเทศราชของราชอาณาจกั รสยาม แต่ในขณะเดียวกันพม่า
ยงั ไม่หมดอำนาจเสียทีเดียว คอยมาคกุ คามเชียงใหม่อยไู่ ม่ขาด พญาจ่าบา้ นซึ่งมปี ระชากรอยู่น้อยนิด
ไม่สามารถต่อสู้กับพม่าได้จึงชักชวนกันทิ้งบ้านเมือง และหนีไปอยู่กับเจ้าเจ็ดตนที่เมืองลำปางเมื่อ
พญาจ่าบ้านเสียชีวิตลง พระเจ้ากรุงธนบุรีได้แต่งตั้งพญากาวิละขึ้นครองเมืองเชียงใหม่แทนในปี
พ.ศ.๒๓๒๕ ซึ่งในขณะนัน้ เชียงใหม่เป็นเมืองร้าง พม่ายังมีอิทธิพลอยู่ การที่จะฟื้นฟเู ชียงใหม่จึงเป็น
ปัญหาหนักพญากาวิละจำต้องค่อยๆ รวบรวมไพล่พลให้มั่นคง โดยขอผู้คนจากเมืองลำปางและ
กลุ่มไพร่เดมิ อีกจำนวนหน่งึ ใช้ เวียงปา่ ซาง เป็นฐานะที่มนั่ รวบรวมผ้คู นซ่ึงเรียกวา่ “เกบ็ ฮอมตอมไพร”่
พญากาวลิ ะใชเ้ วลารวบรวมชาวบ้านนานถึง ๑๔ ปี จึงจกั สามารถเข้าไปฟ้ืนฟูและตั้งเมืองเชียงใหม่ได้
ในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ และฟื้นเมืองลำพูนขึ้นมาใหม่แต่งตั้งพญาบุรีรัตน์คำฟั่นเป็นเจ้าเมืองลำพูนชื่อว่า
พญาลำพูนชัย และเจ้าบุญมาน้องคนสุดท้องของเจ้าเจ็ดตนเป็นพญาอุปราช โดยนำคนมาจากเมือง
ลำปาง ๕๐๐ คน จากเมืองเชยี งใหมอ่ ีก ๑,๐๐๐ คน และกวาดต้อนคนยองจำนวน ๑๐,๐๐๐ คนให้อยู่
ท่ีเมืองลำพนู ตรงขา้ มกับพระธาตุเจ้าหริภุญชยั อีกฟากหนงึ่ ของแมน่ ำ้ กวงกลมุ่ ชาวยองเหล่านี้ต่อมาได้
เปน็ ช่างทอผา้ สลา่ ชา่ งฝีมอื ผมู้ ีบทบาทสำคญั ในการฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนาใหแ้ ก่เมอื งลำพูน
นอกจากชาวยองแลว้ ยงั มีอีกกลุ่มชนทเี่ คยกวาดตอ้ นมาได้สมัยเม่ือพญากาวิละอยู่เวียงป่าซาง
คือกลุ่มเมืองแถบตะวันตกริมแม่น้ำคง ได้แก่ บ้านสะต๋อยสอยไร บ้านวังลุง วังกาศ น่าจะเป็นกลุ่ม
ชาวลัวะ ชาวเม็ง อีกกลุ่มคือพวกชาวไตใหญ่จากเมืองปุ เมืองปั่น เมืองสาด เมืองนาย เมืองชวาด
เมืองแหน กล่มุ ท่ตี ามมาภายหลงั ก็คอื กลุ่มชาวไตเขินจากเมืองเชียงตุง และทยอยกนั เข้ามาอีกระลอก
เพื่อหนีภัยสงครามคือกลุ่มไตลื้อในเขตอำเภอบ้านธิ ชาวหลวยจากบ้านออนหลวย ในยุคนี้
นักประวัตศิ าสตร์ขนานนามว่ายุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” การอพยพยังคงมีมาอย่างตอ่ เนือ่ ง
จนถึงหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาการหลั่งไหลถ่ายเทชาวยอง และชาวลื้อได้สิ้นสุดลงเมื่อมีการ
กำหนดปักปันเขตแดนประเทศไทย - จีน - พม่า - ลาวอย่างชัดเจน และปัจจุบันเมืองยองขึ้นอยู่กบั
การปกครองของสหภาพพม่า
หน้า | ๑๗
คำขวัญจงั หวัดลำพูน
“พระธาตุเดน่ พระรอดขลัง ลำไยดัง กระเทียมดี ประเพณีงาม จามเทวี ศรีหรภิ ุญชยั ”
ตราประจำจงั หวดั
เจดยี ์ในดวงตรา หมายถงึ พระธาตหุ รภิ ญุ ชยั ซึง่ กล่าวกันวา่ มีพระบรมธาตขุ องพระพทุ ธเจา้
ประดิษฐานอยู่นบั เป็นปูชนยี สถานสำคัญ เปน็ ท่ีเคารพนบั ถือของชาวเมืองและจงั หวัดใกล้เคียง
เกย่ี วกบั จังหวดั ลำพูน
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ / ภูมิอากาศ
ที่ตั้ง
ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ตามทางหลวง
แผ่นดินหมายเลข 11 (สายเอเชีย) เป็นระยะทาง 689 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินสายถนน
พหลโยธินเป็นระยะทาง 724 กิโลเมตร และตามทางรถไฟ 729 กิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งท่ี
18 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศาตะวันออก อยูใ่ นกลมุ่ จังหวดั ภาคเหนือตอนบน 1 เป็นพื้นที่
ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศนู ย์กลางความเจรญิ ของภาคเหนือและอนภุ ูมภิ าคลุ่มน้ำโขงหรือพ้ืนท่ี
ส่เี หล่ียมเศรษฐกิจ
ขนาด
จังหวัดลำพูนเป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดของภาคเหนือมีพื้นที่ทั้ งหมดประมาณ
4,505.882 ตร.กม. หรอื ประมาณ 2,815,675 ไร่ หรือคิดเปน็ ร้อยละ 4.85 ของพ้ืนที่ ภาคเหนือ
ตอนบน บรเิ วณท่ีกวา้ งที่สดุ ประมาณ 43 กม. และยาวจากเหนอื จดใต้ 136 กม.
หน้า | ๑๘
ตารางที่ 1 แสดงขนาดพืน้ ที่จำแนกตามรายอำเภอของจังหวัดลำพูน
รายช่อื อำเภอ ขนาดพื้นที่ คดิ เป็นร้อยละ ระยะทางห่างจาก
(ตร.กม.) ของพน้ื ทีท่ ง้ั หมด จังหวัด
(กม.)
1. อำเภอเมอื งลำพนู 479.825 10.78 -
2. อำเภอป่าซาง 299.950 6.52 11
3. อำเภอบ้านโฮ่ง 596.901 13.31 36
4. อำเภอแม่ทา 762.630 16.68
5. อำเภอล้ี 1,701.990 37.96 25
6. อำเภอทุ่งหวั ชา้ ง 486.129 10.79 105
7. อำเภอบ้านธิ 129.024 2.72
8. อำเภอเวยี งหนองล่อง 49.433 1.24 105
4,505.882 100 26
รวมท้งั สิน้
45
อาณาเขต
• ทศิ เหนอื ติดต่อกบั อ.สารภี
อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
• ทิศใต้ ติดต่อกับ อ.เถิน จ.ลำปาง
และ อ.สามเงา จ.ตาก
• ทิศตะวนั ออก ตดิ ต่อกับ อ.ห้างฉตั ร
อ.สบปราบ อ.เสริมงาม จ.ลำปาง
• ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อ.ฮอด
อ.จอมทอง อ.หางดง อ.สันป่าตอง
จ.เชียงใหม่
สภาพพื้นทแี่ ละลกั ษณะภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นท่ี
ราบหุบเขาและพื้นที่ภูเขาที่ราบอยู่ทางทิศ
ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของจังหวัด สว่ นหนงึ่ ของ
ที่ราบแอ่งเชียงใหม่-ลำพูน หรือที่ราบลุ่ม
แมน่ ำ้ ปิง แมน่ ้ำกวง เป็นท่ตี ัง้ ของอำเภอเมือง
หนา้ | ๑๙
ลำพูน อำเภอป่าซาง ตัวเมืองลำพูนมีระดับ
ความสูง 290.29 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ปานกลาง และตอนเหนอื ของอำเภอบ้านโฮง่
มีความสูงเฉลี่ย 200 - 400 เมตร จาก
ระดับนำ้ ทะเลปานกลาง พนื้ ทีค่ อ่ ยลาดสูงขึ้น
ในตอนกลาง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และ
ตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่อำเภอแม่ทา ตอนใต้
ของอำเภอบ้านโฮ่ง อำเภอทุ่งหัวช้าง และ
อำเภอลี้ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง
และภูเขาสูง มรี ะดบั ความสงู ระหวา่ ง 400
- 800 เมตร ขึ้นไป ระดับความสูง จะลดลง
เมือ่ เข้าเขตท่รี าบในอำเภอลี้ ทรี่ ะดบั ความสงู
ประมาณ 400 - 800 เมตร แลว้ ค่อย ๆ ยก
ตัวสูงขึ้นมาทางทิศใต้ ซึ่งเป็นเขตชายแดน
ติดต่อกับจังหวัดลำปางและจังหวัดตากท่ี
ระดบั ความสูง 600 - 1,000 เมตร
ลกั ษณะภมู อิ ากาศ
จังหวัดลำพูนตั้งอยู่ในภาคเหนือ ซึ่งตามตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่ค่อนไปทาง เขตอากาศ
อบอุ่น ในฤดูหนาวจึงมีอากาศเย็นค่อนข้างหนาว แต่เนื่องจากอยู่ลึกเข้าไปใน แผ่นดินห่างไกลจาก
ทะเล จึงมีฤดแู ล้ง ที่ยาวนานและอากาศจะร้อนถึงร้อนจัดในฤดูร้อน จังหวัดลำพูนมีสภาพภูมิอากาศ
แตกต่างกันอย่างเด่นชัด 3 ช่วงฤดู คือช่วงเดือนมีนาคม กับเมษายนมีอากาศร้อน ช่วงเดือน
พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม จะมีฝนตกชุกเป็นฤดูฝน และช่วงเดือนพฤศจกิ ายนถึง เดือนกุมภาพันธ์มี
อากาศหนาวเย็นเป็นฤดูหนาว ซึ่งฤดูหนาวและฤดูร้อนนั้น เป็นช่วงฤดูแล้ง ที่มีระยะเวลาติดต่อกัน
ประมาณ 6 เดอื น ในชว่ งฤดฝู นอีก 6 เดือน น้นั อากาศจะไมร่ ้อนเท่ากับ ในฤดูรอ้ น และไมห่ นาวเย็น
เทา่ ฤดูหนาว คือมอี ุณหภูมิปานกลางอยู่ระหว่างสองฤดดู งั กล่าว
หนา้ | ๒๐
การแบง่ เขตการปกครอง
จังหวดั ลำพูน แบ่งเขตการปกครองออกเปน็ 8 อำเภอ 51 ตำบล 577 หมูบ่ า้ น, 1 องค์การ
บริหารส่วนจังหวดั , 1 เทศบาลเมือง, 39 เทศบาลตำบล, 17 องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบล และ
17 ชุมชน
ตารางท่ี 2 แสดงการแบ่งเขตการปกครอง
ขนาดพ้ืนท่ี เทศบาล ระยะทาง
(ตร.กม.) เมอื ง
อำเภอ ตำบล หมบู่ ้าน / ตำบล อบต. ชุมชน ห่างจาก
จังหวัด
(กม.)
1. อำเภอเมอื งลำพูน 14 1 17 -
(รวมเทศบาลเมอื งลำพนู / 479.825 15 159
เทศบาลตำบล)
2. อำเภอปา่ ซาง 299.950 9 90 4 4 - 11
3. อำเภอบ้านโฮง่ 596.901 5 62 2 4 - 36
4. อำเภอแม่ทา 762.630 6 71 7 1 - 25
5. อำเภอลี้ 1,701.990 8 99 7 3 - 105
6. อำเภอทุง่ หัวช้าง 486.129 3 35 1 3 - 105
7. อำเภอบา้ นธิ 129.024 2 36 1 1 - 26
8. อำเภอเวยี งหนองลอ่ ง 49.433 3 25 3 - - 45
รวม 4,505.882 51 577 39 17 17
ตารางที่ ๓ แสดงขอ้ มลู จำนวนตำบล หมู่บา้ นในจังหวดั ลำพูน
อำเภอ ตำบล จำนวนหม่บู ้าน
๑๐
อำเภอเมอื ง เหมืองงา่ ๑๑
๖
อุโมงค์ ๙
หนองช้างคนื ๑๐
๑๑
ประตปู ่า ๙
๑๔
รมิ ปงิ ๑๘
ต้นธง ๘
บ้านแป้น
เหมอื งจี้ หน้า | ๒๑
ป่าสัก
เวียงยอง
อำเภอ ตำบล จำนวนหมูบ่ ้าน
อำเภอแมท่ า บา้ นกลาง ๑๒
อำเภอปา่ ซาง
มะเขือแจ้ ๒๑
อำเภอลี้
ศรบี วั บาน ๑๒
หนองหนาม ๘
ในเมอื ง ๑๗
รวม ๑๗๖
ทาปลาดุก ๑๕
ทาสบเสา้ ๑๖
ทากาศ ๑๖
ทาขุมเงิน ๑๒
ทาทงุ่ หลวง ๖
ทาแม่ลอบ ๖
๗๑
รวม ๕
ปากบอ่ ง ๕
ป่าซาง ๑๑
แม่แรง ๘
มว่ งนอ้ ย ๘
บา้ นเรือน ๙
มะกอก ๑๔
ท่าตมุ้ ๑๖
น้ำดบิ ๑๓
นครเจดีย์ ๘๙
๑๗
รวม ๑๗
ลี้ ๒๓
แมต่ นื ๖
นาทราย ๔
ดงดำ ๗
ก้อ ๑๒
แมล่ าน
ปา่ ไผ่ หนา้ | ๒๒
อำเภอ ตำบล จำนวนหมูบ่ า้ น
อำเภอบ้านโฮง่ ศรีวชิ ัย ๑๓
รวม ๙๙
อำเภอบ้านธิ บา้ นโฮง่ ๑๘
อำเภอทุง่ หัวชา้ ง ป่าพลู ๑๔
อำเภอเวียงหนองล่อง เหล่ายาว ๑๓
ศรเี ตยี้ ๙
หนองปลาสะวาย ๘
รวม ๖๒
บา้ นธิ ๒๐
หว้ ยยาบ ๑๖
รวม ๓๖
ท่งุ หวั ช้าง ๑๒
บา้ นปวง ๑๑
ตะเคียนปม ๑๒
รวม ๓๕
หนองลอ่ ง ๙
หนองยวง ๕
วงั ผาง ๑๐
รวม ๒๔
หนา้ | ๒๓
ประชากรจงั หวดั ลำพูน
ขอ้ มลู เดอื น สงิ หาคม ปี 2565 จงั หวัดลำพูน มปี ระชากร จำนวน 399,814 คน แยก
รายละเอียดดงั น้ี
- เพศชาย จำนวน 191,746 คน
- เพศหญงิ จำนวน 208,068 คน
ตารางท่ี ๔ แสดงสัดสว่ นประชากร ชาย-หญงิ และจำนวนครวั เรือน แยกรายอำเภอ
ข้อมูลประชากรและจำนวนบา้ นแยกรายอำเภอ ปี 2565
พนื้ ที่ ชาย หญิง รวม
ยอดรวมทงั้ หมด 191,746 208,068 399,814
อำเภอเมอื งลำพูน 28,108 31,315 59,423
อำเภอแมท่ า 12,175 12,557 24,732
อำเภอบา้ นโฮ่ง 12,462 13,159 25,621
อำเภอล้ี 30,709 30,500 61,209
อำเภอทุ่งหัวชา้ ง 17,618
อำเภอป่าซาง 8,835 8,783 28,293
อำเภอบา้ นธิ 13,676 14,617
ทอ้ งถน่ิ เทศบาลตำบลศรีเตี้ย 3,797 4,209 8,006
ท้องถน่ิ เทศบาลตำบลทาสบชยั 2,594 2,825 5,419
ทอ้ งถน่ิ เทศบาลตำบลหนองล่อง 2,410 2,542 4,952
ท้องถิ่นเทศบาลตำบลหนองยวง 2,632 2,868 5,500
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลมะกอก 1,729 1,890 3,619
ท้องถิ่นเทศบาลตำบลมะเขอื แจ้ 2,450 2,738 5,188
ทอ้ งถ่นิ เทศบาลตำบลเวียงยอง 7,686 8,496 16,182
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลบ้านกลาง 3,278 3,758 7,036
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลเหมืองงา่ 5,336 6,185 11,521
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลแม่แรง 7,302 8,743 16,045
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลบ้านธิ 3,348 3,637 6,985
ท้องถน่ิ เทศบาลตำบลวังผาง 4,461 4,954 9,415
ทอ้ งถิ่นเทศบาลตำบลม่วงน้อย 3,565 3,977 7,542
ท้องถน่ิ เทศบาลตำบลป่าซาง 1,915 2,248 4,163
ท้องถ่ินเทศบาลตำบลทุ่งหัวช้าง 3,807 4,524 8,331
1,255 1,275 2,530
หน้า | ๒๔
ทอ้ งถน่ิ เทศบาลตำบลวงั ดนิ 2,061 2,214 4,275
ท้องถิ่นเทศบาลตำบลแม่ตืน 1,627 1,788 3,415
ท้องถน่ิ เทศบาลตำบลบ้านโฮ่ง 3,469 4,050 7,519
ท้องถิ่นเทศบาลตำบลทาสบเส้า 2,546 2,714 5,260
ท้องถ่นิ เทศบาลตำบลทากาศ 1,378 1,540 2,918
ทอ้ งถนิ่ เทศบาลตำบลอุโมงค์ 5,949 6,833 12,782
ท้องถ่ินเทศบาลตำบลริมปงิ 3,141 3,584 6,725
ท้องถิน่ เทศบาลตำบลบ้านแปน้ 2,884 3,369 6,253
ทอ้ งถิ่นเทศบาลเมืองลำพนู 5,161 6,176 11,337
ขอ้ มลู อา้ งองิ จาก ส่วนบรหิ ารและพฒั นาเทคโนโลยีการทะเบยี น สานกั บรหิ ารการทะเบยี น กรมการปกครอง
เวปไซค์ https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statMONTH/statmonth/#/displayData
วิสัยทัศน์ จังหวัดลำพูน
“เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บนความพอเพียง”
พันธกิจ
ยทุ ธศาสตร์ในการพฒั นาจงั หวดั ลาพนู ปี พ.ศ.2566 – 2570 มีพันธกิจ 4 ดา้ น ดงั นี้
(1) Lamphun Smart Heritage City : มุง่ สบื สารต่อยอดการพัฒนาอตั ลกั ษณ์วิถี บนฐาน
วฒั นธรรม ภูมิปญั ญาสร้างสรรค์ เสริมสร้างศักยภาพเชอื่ มโยงระบบกลไกการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐาน
รากสูอ่ ตั ลักษณ์การทอ่ งเทยี่ ว
(2) Lamphun Creative Lanna : ม่งุ ยกระดับโครงสร้างระบบอุตสาหกรรมเช่อื มโยงหัตถ
อตุ สาหกรรม เกษตรกรรมสง่ เสรมิ การผลิต การบริโภค สร้างความเข้มแข็งพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากสู่
การเปน็ ระเบียงเศรษฐกจิ ภาคเหนอื
(3) Lamphun Food Valley : ม่งุ ต่อยอด และพฒั นาเกษตรอตั ลกั ษณ์พื้นถนิ่ ส่งเสรมิ ระบบ
เกษตรอัจฉริยะใหเ้ กิดเกษตรกรรมย่งั ยืน สร้างมูลค่าสงู ตลอดหว่ งโซ่คุณค่า
(4) Lamphun Green and Clean City : มงุ่ เสรมิ สร้างพลังทางเศรษฐกิจ สงั คม ชุมชนให้
ทกุ ภาคสว่ นร่วมกนั สร้างเมอื งแห่งความสุข ความสะอาด ความมั่งคงปลอดภยั ยกระดบั คุณภาพชีวิต
ใหเ้ ศรษฐกิจครัวเรือนมีความมัง่ คั่งบนวถิ พี อเพียงอยา่ งย่งั ยืน
หนา้ | ๒๕
ยุทธศาสตร์ จังหวัดลำพนู
ประเดน็ ยุทธศาสตร์ (Strategies) (เรยี งตามลำดบั ความสำคัญ)
(1) เมืองแหง่ วัฒนธรรมอัตลักษณ์วถิ แี ละท่องเทยี่ วเชิงสร้างสรรค์
(2) เมืองแหง่ อตุ สาหกรรม หตั ถอุตสาหกรรม และเศรษฐกจิ สร้างสรรค์
(3) เมืองแห่งเกษตรสุขภาพ และเกษตรนวตั กรรมสรา้ งสรรค์
(4) เมอื งแห่งความมน่ั คง ม่งั คั่ง ย่ังยนื
หนา้ | ๒๖
ประวัติความเป็นมาและความสำคญั
คณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.) เมืองลำพูน
ได้ทำการก่อตั้งดำเนินงานขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2518 คณะกรรมการ อ.ป.อ. เป็นชื่อย่อมาจาก
คณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.) และหน่วยอบรมประชาชน
ประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นความริเริ่มของคณะสงฆ์ ซึ่งมี เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ฟื้น ชุตินฺธรมหาเถร ป.ธ. ๙ ) วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ได้ก่อตั้งขึ้นมา
โดยมีวตั ถุประสงค์หลัก 5 ประการ คอื
๑. เพื่อสงเคราะห์และอนุเคราะหป์ ระชาชนในท้องถ่นิ โดยเฉพาะประชาชนท่ีอาศัยอยู่ใน
ตำบลที่หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลตั้งอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ช่วยเหลือตนเองได้และ
พฒั นาตนเองไปในทศิ ทางทีถ่ ูกตอ้ งตามสภาพแวดล้อมของท้องถิน่ นน้ั ๆ
๒. เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างวัด บ้าน และหน่วยงานในการที่จะร่วมกัน
พฒั นาทอ้ งถน่ิ ใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าในทุก ดา้ น เชน่
- ช่วยกันพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเจริญก้าวหน้าตามสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้น ๆ
ซึ่งจะทำให้ประชาชนไมต่ อ้ งอพยพย้ายถิน่ ฐานไปอยทู่ ีอ่ ่นื หรอื ไปขายแรงงานทีอ่ ่นื
- ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นให้มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับภูมิปัญญาของตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชว่ ยกันปลกู จิตสำนกึ ให้ทกุ คนมศี ีลธรรม ซึ่งจะเปน็ รากฐานในการพัฒนาด้านอื่นๆ
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
- ช่วยกันพัฒนาอาชีพโดยเฉพาะอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายที่เราเรียกกันว่าสัมมาชีพ
ทั้งนี้เพื่อที่จะหารายได้มาพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน และสังคมที่ตนอาศัยอยู่โดยไม่เลือกงานหนักเอา
เบาส้ยู ึดคติวา่ คนขยันย่อมหาทรัพย์ได้
๓. เพื่อเป็นศูนย์รวมความคิดของประชาชนทุกหมู่เหล่า กล่าวคือ ใครมีความคิดอะไร
ที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ที่จะนำมาพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญรุ่งเรืองให้มาแสดงออกที่หน่วยอบรม
ประชาชนประจำตำบล เข้าทำนองที่วา่ ร่วมกนั คิด รว่ มกันทำ จะนำชาตใิ ห้เจริญ
๔. เพอ่ื เปน็ ศูนยร์ วมพลงั ในการป้องกันหม่บู ้านให้เกิดสนั ติสุขชว่ ยกนั ปกป้องพิทักษ์รักษา
ชีวิต และทรัพย์สินของทุกคนในหมู่บ้านให้เกิดความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นโจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย
วาตภัย หรือภัยอื่นๆ ให้ทุกคนนอนตาหลับ เข้าทำนองว่า ถึงคราวมีทุกข์ ช่วยกันแก้ไข ถึงคราวสุข
สบายกไ็ ม่ตกอยใู่ นความประมาท
๕. เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารของทางราชการจำเป็น
จะต้องรบั ทราบอย่างทนั ทว่ งทีตรงไปตรงมายุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เรื่องราวต่างๆ ทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอดเวลา ถ้าหากได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้
เราเขา้ ใจสถานการณ์ของบา้ นเมืองไม่ถกู ตอ้ งและนำไปสู่การแก้ไขปญั หาไมถ่ ูกตอ้ ง
หนา้ | ๒๗
เพอื่ ใหว้ ตั ถุประสงค์หลกั ท้ัง ๕ ประการเป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ล บงั เกิด
ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างแท้จริงหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลจำเป็นจะต้อง
ปรับบทบาทของหน่วยใหม้ คี วามคล่องตัว โดยการจัดต้ังองค์กรในรปู ของคณะกรรมการตามระเบียบ
ว่าดว้ ยการต้ังหนว่ ยอบรมประชาชนประจำตำบล พทุ ธศักราช ๒๕๔๖
หน่วยงานอบรมประชาชนประจำตำบลซึ่งปัจจุบัน ทั่วประเทศ บางหน่วยไม่สามารถ
จะดำเนินการตามวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ได้เนื่องจากขาดปัจจัยหลายประการ เช่น บุคลากร
และอุปกรณ์ที่จะมา สนับสนุนในการดำเนินงาน จึงเห็นควรประสานกบั องค์กรและหน่วยงานอื่นท้ัง
ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ในองค์การบริหารส่วนตำบล (อ.บ.ต.) และเทศบาลตำบลต่างๆ
ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีเครือข่ายโยงใยทั่วประเทศ ช่วยวางแผนในการทำงานให้สอดคล้องกบั
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ โดยกำหนดวัตถปุ ระสงคใ์ นการพฒั นาด้านการศาสนา ดงั น้ี
๑. ประชาชนต้องได้รับการพัฒนาจิตใจให้เป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรมเข้าใจและปฏิบตั ิ
ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและสามารถดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข โดย
มี การเผยแผ่หลักธรรมไปสูป่ ระชาชนในรูปแบบที่หลากหลายกว้างขวางและตอ่ เนอื่ ง
๒. การศึกษาของคณะสงฆ์ต้องยกระดับให้มีคุณภาพสูงขึ้นรวมทั้งขยายผลออกไปให้
กวา้ งขวางท่วั ถึงทุกวดั
๓. ศาสนสถานสำหรับพระพุทธศาสนา คือ วัดต้องได้รับการพฒั นาให้เป็นแกนนำในการ
เผยแผห่ ลักธรรมและให้เปน็ ศูนยก์ ลางของชุมชน สามารถสงเคราะหเ์ กอ้ื กลู ชมุ ชนในทุกๆ ดา้ นท่ีไม่ขัด
ต่อกฎหมายและพระธรรมวนิ ัย
๔. ระดมสรรพกำลังจากศาสนิกชนและองค์กรทางพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ให้มีส่วนร่วม
ทำนุบำรุงอุปถัมภ์ในกิจการพระศาสนาซึ่งถือเป็นภาระหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนทุกคนรวมทั้งการ
สร้างสัมพันธภาพทด่ี รี ะหวา่ งองค์การทางพระพุทธศาสนาดว้ ยกนั และองค์กรอื่นๆ เพอ่ื ธำรงรักษาไวซ้ ึง่
สันตภิ าพที่ยงั่ ยืน
๕. เร่งรัดพัฒนาการด้านบริหารงานพระพุทธศาสนาเพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของ
พระศาสนาและเพื่อให้บุคลากรทางพระศาสนาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและมี
ประสทิ ธิภาพ
การเผยแผ่หลกั ธรรมส่ปู ระชาชนของหนว่ ยงาน อ.ป.ต.
การส่งเสริมให้พระสงฆ์มีบทบาทในการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนไปสู่ประชาชนทุกเพศ
ทุกวัยเพื่อให้ประชาชนสามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องตาม
กาลเทศะและหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลเหมาะสมกับเพศวัยขอแต่ละคนนั้น จะต้อง
ดำเนนิ การตามข้ันตอนตอ่ ไปนี้
หน้า | ๒๘
๑. สนับสนุนให้พระภิกษุและผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ได้รับการรับรอง
จากทางราชการและคณะสงฆ์ จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอบรมสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมให้
แก่ เยาวชน นกั เรียน นิสิต นกั ศกึ ษา และประชาชนอย่างทัว่ ถึง
๒. จัดทำแผนการเผยแผ่หลักธรรมให้เป็นระบบอย่างต่อเนื่องรวมทั้งสร้างเครือข่าย
การดำเนนิ งานเผยแผห่ ลกั ธรรมให้ครอบคลุมกลุม่ คนทุกระดบั
๓. ส่งเสริมให้สถาบันทางพระพุทธศาสนาและองค์กรที่เกี่ยวข้องภาครัฐและเอกชน
มีบทบาทในการเผยแผ่หลักธรรมแก่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ ข้าราชการ และ
ประชาชนโดยผ่านกระบวนการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ
๔. ส่งเสริมให้มีการจัดอบรมการฝกึ สมาธิแก่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาข้าราชการ
และประชาชนอยา่ งต่อเนือ่ ง
๕. สนับสนุนให้นกั วิชาการ องค์กร สถาบันต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาจัดทำคูม่ ือและสือ่
เก่ยี วกับคุณธรรมจรยิ ธรรมออกเผยแผแ่ กป่ ระชาชน
๖. จัดดำเนินการเผยแผ่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปสู่ประชานเพื่อสร้างคุณธรรม
และจรยิ ธรรมในรปู แบบทห่ี ลากหลายและเหมาะสมกับเพศและวัยของกลมุ่ คนทุกระดับ
๗. สง่ เสริมให้มกี ารประกอบศาสนพธิ ี ให้ถูกตอ้ งตามหลักพระพุทธศาสนาในโอกาสต่างๆ
เช่น วนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนา
การพัฒนาศาสนสถานใหเ้ ป็นศูนยก์ ลางของชุมชนในการเผยแผห่ ลักธรรม
การพัฒนาวัดและศาสนสถานให้เหมาะสมกับเป็นสถานที่เผยแผ่หลักธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนาตามสนภาวะของสงั คม และให้เปน็ ศนู ยก์ ลางของชมุ ชนโดยจัดสภาพแวดล้อมภายใน
วัดและศาสนาสถานใหส้ ะอาดรม่ รนื่ มเี สนาสนะที่สวยงามและทันสมยั มีวธิ กี ารดำเนินการ ดงั นี้
๑. พัฒนาและปรับปรุงวัดและศาสนาสถานให้มีความสะอาดร่มรื่น ถาวรและมั่นคง
เหมาะสมกับเป็นศูนย์กลางของชุมชนในการประกอบศาสนกิจและการจัดกิจกรรมของท้องถ่ิน
ตลอดจนเปน็ ท่พี ักผอ่ นจิตใจ และเปน็ อทุ ยานทางการศึกษา
๒. สนับสนุนและส่งเสริมให้วัดและศาสนสถานเป็นศูนย์กลางชุมชนในท้องถิ่น และ
สนบั สนนุ ใหท้ างราชการใชศ้ าสนสถานเป็นศนู ยก์ ลางประชมุ อบรมของท้องถ่นิ
๓. สนบั สนนุ ให้วดั และศาสนสถานทำหนา้ ที่เกื้อกูลสงเคราะห์ประชาชนในรูปแบบตา่ งๆ
๔. ให้การศกึ ษาและอบรมแก่พระสงั ฆาธกิ ารและผนู้ ำทางศาสนาให้มีความรู้ในการบริหาร
จัดการวัดและศาสนสถานตามหลกั การบรหิ ารสมัยใหม่
การระดมสรรพกำลงั ทำนบุ ำรุงอุปถัมภ์พระศาสนา
โดยการเร่งรัดให้พุทธศาสนิกชนและองค์การทางศาสนาทั้งภาครัฐและเอกชนมีส่วนรว่ ม
ทำนบุ ำรงุ อุปถมั ภ์และพัฒนากจิ การพระศาสนา โดยระดมสรรพกำลังตามกำลงั ตามความสามารถและ
ความสนใจในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างวัด บ้าน และโรงเรียนเพื่อความ
สามัคคี และความมน่ั คงภายในชุมชน
หน้า | ๒๙
- ส่งเสรมิ ใหพ้ ุทธศาสนิกชนและองคก์ ารอนื่ ๆ ในชุมชนท้ังภาครัฐและเอกชนทำหนา้ ที่ให้
การทำนบุ ำรงุ อุปถมั ภ์และพฒั นาศาสนสถาน
- สนบั สนนุ ให้มกี ารระดมทนุ และจดั ต้งั กองทุกเพื่อกจิ การพระพทุ ธศาสนา
- ส่งเสริมและประสานงานให้มวลสมาชิกในองค์กรทุกระดับได้รู้จักและแลกเปลี่ยน
ทศั นคตซิ งึ่ กันและกันตลอดจนได้ร่วมกันทำกิจกรรมทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ่อสงั คม
การดำเนินงานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้จะต้องมี
การพัฒนาการบริหารงานด้านพระศาสนาให้มีประสิทธิภาพด้วยการเร่งรัดพัฒนาการบริหารงาน
ด้านพระศาสนา ทุกระดับ สนับสนุนการบริหารการปกครองคณะสงฆ์และพัฒนาระบบสารสนเทศ
ระบบการติดตามประเมินผลและการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักธรรมสำหรับการพัฒนา
หลักธรรมสำหรับใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองที่กล่าวไว้ในระเบียบ
มหาเถรสมาคม ว่าด้วยการตัง้ หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. ๒๕๔๖ มที ั้งหมด ๘ ประการ
ได้แก่
๑. ศลี ธรรมและวัฒนธรรม
๒. สุขภาพอนามยั
๓. สมั มาชพี
๔. สนั ตสิ ขุ
๕. ศึกษาสงเคราะห์
๖. สาธารณสงเคราะห์
๗. กตญั ญกู ตเวทตี าธรรม
๘. สามัคคธี รรม
หน่วยงานอบรมประชาชนประจำตำบลแต่ละหน่วยสามารถนำหลักธรรมดังกล่าวไป
ปรับใช้ขยายผลถ่ายทอดไปสู่ประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ เกิดความตื่นตัว
ในการที่จะร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้านของตน อันที่จริงหัวข้อธรรมที่จะใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นมีใช่
จะมีเพียง ๘ ประการ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้เท่านั้นหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล
หนว่ ยใดพจิ ารณาเห็นว่า ในท้องถน่ิ ประโยชน์แกช่ ุมชนในทอ้ งถน่ิ ของตน ก็สามารถจะเลอื กดำเนินการ
ได้ เพือ่ ให้เกดิ ความหลากหลาย
หน้า | ๓๐
ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจว่า หลักธรรมสำหรับใช้ในการพัฒนาจิตใจนั้นมีมากมาย
หลายประเภท บางอย่างเหมาะแก่คนทั่วไป เช่น ความไม่ประมาท ความเกลียดชั่วกลัวบาป
การพึ่งตนเองความขยันเหมั่นเพียร เป็นต้น บางอย่างเหมาะสำหรับฆราวาสผูค้ รองเรือน เช่น หน้าท่ี
ของสามีภรรยาที่ควรปฏิบัติต่อกัน บางอย่างเหมาะสม เฉพาะนักบวช เช่น ความมักน้อย
ความสนั โดษ บางอยา่ งเหมาะแกผ่ ู้ต้องการมนุษย์สมบัตแิ ละสวรรคส์ มบัติ บางอย่างเหมาะสม สำหรับ
ผู้ต้องการนิพาพนสมบัติ บางอย่างเหมาะสมผู้มีอุปนิสัยหรือญาณบารมีแก่กล้าแล้ว เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาจึงจำต้องรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้น จะเข้าใจไขว้เขว
เช่น ยารักษาโรค ผู้ใช้จะต้องรู้ว่ายาชนิดนี้ ไข้แก้โรคอย่างนี้ ยาชนิดนั้นใช้แก้โรคอย่างน้ัน
หรือ ยาชนดิ นี้เปน็ ยาบำรุงกำลงั ร่างกายไม่ใช่รกั ษาโรค เมื่อเข้าใจอย่างน้ี จะได้ใชย้ าไมผ่ ิด
นอกจากนี้ ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาจะต้องยอมรับก่อนว่า ตนมีความรู้ในวิชา
พระพทุ ธศาสนามากนอ้ ยเพียงไร ทง้ั นี้เพอ่ื ป้องกนั ความเข้าใจผิด เพราะมบี างคนพอเร่มิ ศึกษาก็ถามถึง
พระนพิ พานเลน พอฟังคำอธบิ ายไมร่ เู้ รื่องกโ็ ทษคนอธบิ าย โทษธรรมแทนที่จะ โทษตัวเองว่ามีความรู้
น้อย บางคนเลยไม่ยอมศึกษาต่อ เพราะเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาเข้าใจยาก เลยไม่สนใจ
ภมู ิปัญญาไทย
แม้การพัฒนาที่ผ่านมาบางเรื่องอาจจะผิดพลาดก่อผลเสียในตำบลให้หมู่บ้าน ทำให้เกิด
การสูญเสยี ทรัพยากร มีผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อม เกดิ ช่องวา่ งทางสงั คม ทำให้สถาบันครอบครัวและ
สถาบันชุมชนอ่อนแอลงจนเกิดปัญหาด้านสังคม การแย่งชิงทรัพยากรและวิกฤตการณ์การพัฒนา
หมูบ่ า้ น หลายหมบู่ า้ นได้เรียนรู้แผนใหมเ่ พอื่ ลดความรนุ แรงของผลกระทบจากการพัฒนาท่ีผิดพลาด
หันมาสร้างสรรค์รูปแบบและวิธีการพัฒนาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์และสังคมของ
ชุมชนโดยอาศัยองคป์ ระกอบคือมรดกทางภูมิปญั ญาหรอื ความรู้ในชีวิตที่มีอยู่เดิมในชุมชนของท้องถ่ิน
นั้น ๆ เข้าร่วมกับแผนพัฒนาการสมัยใหม่เป็นกระบวนการถ่ายทอดทางภูมิปัญญา ประสานกับการ
เรียนรู้จากการปรับตัวของชาวบ้านโดยกระแสภูมิปัญญานี้ และเล็งเห็นว่าการพัฒนาท่ีผ่านมาเราให้
ความสำคัญกับความร้ภู ูมปิ ญั ญาไทยนอ้ ยกวา่ ความรทู้ างวชิ าการแบบสากลของผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะด้าน
ปัจจุบันบทบาทของภูมิปัญญาไทยในการพัฒนาสังคมเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นจาก
หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรชุมชน การศึกษาค้นคว้าและนำไปสู่การปฏิบัติของ
หน่วยงานต่างๆ มีมากขึ้น มูลเหตุที่ภูมิปัญญาไทมีบทบาทในหลายๆหน่วยงานและในการพัฒนา
หลายๆ ด้าน เพราะภูมิปัญญาไทยมีความหลากหลายในวิถีชีวิตของคนในสังคมภูมิปัญญาไทยจึง
เกี่ยวข้องกับสังคมโดยมี"คน"เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์กับคนในสังคม สิ่งแวดล้อมและส่ิง
ศักดสิ์ ิทธิ์ ทัง้ นีค้ นในสงั คมเปน็ ผู้ทรงภมู ิปัญญา เปน็ ผเู้ รยี นรู้ สบื ทอด พฒั นา ถา่ ยทอด และนำความรู้
ภูมิปัญญามาพัฒนาวิถีชีวิตของคนในสังคม องค์ความรู้ที่คนในสังคมไทยยอมรับถือเป็นมรดกที่สื บ
ทอดมาคู่กบั ประเทศไทยทง้ั หมดนี้เรยี กว่า"ภูมปิ ญั ญาไทย"
หนา้ | ๓๑
สาขาภูมปิ ัญญาไทยทค่ี วรสง่ เสริม
๑. สาขาเกษตรกรรม หมายถึงความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ทักษะและ
เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยีโดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั่งเดิมซึ่งคนคนสามารถพึ่งพา
ตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทำเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้าน
การตลาด การแก้ปญั หาดา้ นการผลิตการแกไ้ ขโรคและแมลง และการรู้จกั นำเทคโนโลยใี หม่ๆ ไปใชไ้ ด้
อย่างเหมาะสมกบั การเกษตรกรรม เป็นต้น
๒. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม (ด้านการผลิตและการบริโภค) หมายถึงการรู้จัก
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลผลิตเพือ่ ชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแกไ้ ขปญั หาดา้ น
การบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัดและเป็นธรรม อันเป็นขบวนการให้ชุมชนในท้องถิ่นสามารถ
พงึ่ ตนเองทางเศรษฐกิจได้ตลอดทัง้ การผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่ม
ของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กล่มุ หัตถกรรม เป็นตน้
๓. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึงความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษา
สขุ ภาพของคนในชมุ ชน โดยเนน้ ใหช้ ุมชนสามารถพ่ึงตนเองทางดา้ นสุขภาพและอนามัยได้
๔. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึงความสามารถเกี่ยวกบั
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์พัฒนา และใช้ประโยชน์จากคุณค่า
ของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลและยัง่ ยืน
๕.สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึงความสามารถในด้านบริหารจัดการด้านการ
สะสม และบรหิ ารกองทนุ และธุรกจิ ในชุมชนทัง้ ที่เปน็ เงินตราและโภคทรพั ยเ์ พอ่ื เสริมชีวติ ความเปน็ อยู่
ของสมาชกิ ในชุมชน
๖. สาขาสวัสดิการ หมายถงึ ความสามารถในการจดั สวสั ดิการในการประกันคุณภาพชีวิต
ของคนใหเ้ กิดความมั่นคง ทางเศรษฐกิจสงั คมและวัฒนธรรม
๗. สาขาศิลปกรรม หมายถึงความสามารถในการผลิตผลงานด้านศิลปะสาขาต่างๆ เช่น
จิตรกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ เป็นต้น
๘. สาขาการจัดการ หมายถึงความสามารถในการบริหารจัดการดำเนินการต่างๆ ท้ังของ
องค์ชุมชน องค์กรทางสังคมอ่ืน ในสังคมไทย เช่น การจัดการองค์การของกลุ่มแม่บา้ นระบบผู้เฒ่าผู้
แก่ในชุมชน เป็นต้น กรณีของการจัดการศึกษาเรียนรู้นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาสาขาการจัดการที่มี
ความสำคญั เพราะการจัดการศกึ ษาเรยี นรู้ท่ดี ีหมายถงึ กระบวนการเรียนรูพ้ ฒั นาและถ่ายทอดความรู้
ภมู ิปัญญาไทยที่มีประสทิ ธิผล
๙. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึงความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษาถ่ิน
ภาษาโบราณ ภาษาไทยและการใช้ภาษาตลอดทง้ั ด้านวรรณกรรมทุกประเภท
๑๐. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึงความสามารถประยุกตแ์ ละปรับใช้หลกั ธรรมคำ
สอนทางพระพุทธศาสนาตามความเชื่อและประเพณีตั้งเติมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติ
ปฏิบัติให้บังเกิดผลดีต่อชุมชนบุคคลและสิ่งแวดล้อม มีการถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา เช่น
การบวชป่า ประเพณีสลากยอ้ ม ของชาวลำพูน ประเพณีสืบชะตาหมู่บ้าน ประเพณีบุญประทายข้าว
ของชาวอสี าน เปน็ ต้น
หนา้ | ๓๒
ซง่ึ คณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.) เมอื งลำพูน สามารถ
นำหลักธรรมสำหรับใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองที่กล่าวไวใ้ นระเบียบมหาเถรสมาคม ว่า
ด้วยการตั้งหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. ๒๕๔๖ มีทั้งหมด ๘ ประการ ได้แก่
๑. ศีลธรรมและวัฒนธรรม ๒. สุขภาพอนามัย ๓. สัมมาชีพ ๔. สันติสุข ๕. ศึกษาสงเคราะห์
๖. สาธารณสงเคราะห์ ๗. กตัญญกู ตเวทตี าธรรม ๘. สามัคคีธรรม ดังกลา่ วมาปรบั ใช้ขยายผลถ่ายทอด
ไปสปู่ ระชาชนในทอ้ งถน่ิ เพื่อให้ประชาชนในท้องถ่ินนัน้ ๆ ทำใหเ้ กดิ ความตื่นตัวในการท่ีจะร่วมมือกัน
พัฒนาหมู่บ้านของตน อันที่จริงหัวข้อธรรมที่จะใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นมีใช่จะมีเพียง
๘ ประการ ตามทกี่ ำหนดไว้ในระเบยี บนี้เท่านน้ั หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลหนว่ ยใดพิจารณา
เห็นว่า ในท้องถิ่นประโยชน์แก่ชุมชนในท้องถิ่นของตน ก็สามารถจะเลือกดำเนินการได้ เพื่อให้เกิด
ความหลากหลาย
อำเภอเมืองลำพูน มีพระครูจิรวัฒนโสภณ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองลำพูน
และประธานคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.) เมืองลำพนู มวี ัดสังกัด
คณะสงฆ์มหานกิ าย ในเขตอำเภอเมืองลำพูนท้ังหมด ๑๖3 วัด 10 สำนักสงฆ์ และมอบหมายหน้าที่
ดำเนินงานคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ (อ.ป.อ.) เมืองลำพูน โดย
พระครูไพศาลธรรมานุสิฐ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองลำพูน ผู้บริหารงานด้านการเผยแผ่
และการสาธารณสงเคราะห์ กำกับดูแล หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)
จำนวน 21 ตำบล
หนา้ | ๓๓
พระครูวสิ ฐิ ปญั ญากร พระเทพรัตนนายก พระศรีธรรมโสภณ
รองเจา้ คณะจังหวัดลำพูน เจา้ คณะจังหวดั ลำพนู รองเจ้าคณะจังหวัดลำพนู
พระครูจิรวฒั นโสภณ
เจ้าคณะอำเภอเมืองลำพนู
บรหิ ารงานดา้ นการปกครอง
พระครไู พศาลธรรมานุสิฐ และการสาธารณูปการ พระครูสริ ิสุตานุยตุ
รองเจา้ คณะอำเภอเมืองลำพูน รองเจ้าคณะอำเภอเมืองลำพนู
บรหิ ารงานดา้ นการเผยแผ่ บริหารงานดา้ นศาสนศกึ ษา
และการสาธารณสงเคราะห์
และการศึกษาสงเครหานะา้ ห|์ ๓๔
โครงสร้างคณะกรรมการอำนวยการอบรมประชาชนประจำอำเภอ
คณะกรรมการ อ.ป.อ.อำเภอเมืองลำพนู
คณะอำนวยการ
1.พระครูจริ วัฒนโสภณ เจา้ คณะอำเภอ ประธานอำนวยการ
2.พระครูไพศาลธรรมานุสฐิ รองเจ้าคณะอำเภอ รองประธานอำนวยการ
3.พระครูสริ ิสุตานุยุต ผศ.ดร รองเจา้ คณะอำเภอ รองประธานอำนวยการ
4.พระครูสมหุ ์นนั ทวิทย์ นนทฺ ธมมฺ ิกโก เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ กรรมการและเลขานุการ
5.เลขานกุ ารรองเจา้ คณะอำเภอ ทงั้ สองฝา่ ย กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะกรรมการท่ปี รกึ ษา
๑. นายอำเภอเมอื งลำพูน 3.ปลดั อำเภอรับผดิ ชอบสำนักงานอำเภอ
2. ปลัดอำเภอหัวหนา้ กลมุ่ งานบริหารงานปกครอง 4.นักวิชาการวัฒนธรรมอำเภอเมืองลำพนู
คณะกรรมการ
1.พระครูโสภิตปญุ ญาคม เจา้ คณะตำบลในเมือง เขต ๑ กรรมการ
๒.พระครโู สภณจติ ตาภิรักษ์ เจ้าคณะตำบลในเมือง เขต ๒ กรรมการ
๓.พระครูไพศาลธีรคณุ เจ้าคณะตำบลเวยี งยอง กรรมการ
๔.พระครูนวิ ฐิ วิริยคุณ เจ้าคณะตำบลเหมืองงา่ กรรมการ
๕.พระครูสภุ ัทรปรยิ ัตกิ จิ เจ้าคณะตำบลประตูป่า กรรมการ
๖.พระครภู ัทรกิตตคิ ุณ เจา้ คณะตำบลริมปงิ กรรมการ
๗.พระครพู ธิ านศภุ กจิ รก.เจา้ คณะตำบลบ้านแปน้ กรรมการ
๘.พระครูบรรพตพฒั นโกศล เจา้ คณะตำบลเหมืองจ้ี เขต ๑ กรรมการ
๙.พระครูวสิ ุทธิธรรมโฆษิต เจา้ คณะตำบลเหมืองจ้ี เขต ๒ กรรมการ
๑๐.เจา้ อธกิ ารนพรตั น์ เขมาภินนโฺ ท เจ้าคณะตำบลปา่ สกั เขต ๑ กรรมการ
๑๑.พระครูจิตสารโสภณ เจา้ คณะตำบลปา่ สัก เขต ๒ กรรมการ
๑๒.พระครสู วุ ตั ถธิ์ รรมกิจ เจา้ คณะตำบลตน้ ธง กรรมการ
๑๓.พระครพู ทิ ักษธ์ รรมากร เจา้ คณะตำบลมะเขือแจ้ เขต๑ กรรมการ
๑๔.พระครปู ยิ สลี านรุ ักษ์ เจ้าคณะตำบลมะเขือแจ้ เขต๒ กรรมการ
๑๕.พระครวู รปญั ญาพล เจ้าคณะตำบลมะเขอื แจ้ เขต ๓ กรรมการ
๑๖.พระครูสริ ิวรธรรม เจ้าคณะตำบลศรีบัวบาน กรรมการ
๑๗.พระครูอมรธรรมรัตน์ เจ้าคณะตำบลหนองช้างคนื กรรมการ
๑๘.พระครูประภัศร์ศลี าภรณ์ เจ้าคณะตำบลหนองหนาม กรรมการ
๑๙.พระครูสภุ ัทรกจิ จาภรณ์ เจ้าคณะตำบลบา้ นกลาง กรรมการ
๒๐.พระมหาทอง กิตตฺ ริ ตฺนสมฺปนโฺ น เจ้าคณะตำบลอุโมงค์ เขต ๑ กรรมการ
๒๑.พระครสู ุวัจน์ชัยสถติ เจ้าคณะตำบลอโุ มงค์ เขต ๒ กรรมการ
หน้า | ๓๕
ขอ้ มูลเก่ียวกบั คณะสงฆอ์ ำเภอเมืองลำพูน
คณะสงฆ์อำเภอเมืองลำพูน มีพระครูจิรวัฒนโสภณ วัดช่างฆ้อง ดำรงตำแหน่ง
เจ้าคณะอำเภอเมืองลำพูน มีวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เป็นวัดสังกัดมหานิกาย จำนวน
๑6๓ วัด ๑0 สำนักสงฆ์ โดยแบ่งเขตการปกครองคณะสงฆ์ระดับตำบล เป็น ๒๑ ตำบลโดยแบ่งได้
ดังนี้
การปกครองคณะสงฆร์ ะดบั อำเภอ
๑) พระครูจิรวฒั นโสภณ
เจ้าคณะอำเภอเมอื งลำพูน บรหิ ารงานด้านการปกครองและดา้ นสาธารณปู การ
๒) พระครูไพศาลธรรมานุสฐิ
รองเจา้ คณะอำเภอเมอื งลำพูน บริหารงานดา้ นการเผยแผแ่ ละการสาธารณสงเคราะห์
๓) พระครูสริ สิ ุตตานยุ ุต ผศ.ดร
รองเจ้าคณะอำเภอเมอื งลำพูน บริหารงานดา้ นการศาสนศกึ ษาและการศกึ ษาสงเคราะห์
การปกครองคณะสงฆร์ ะดบั ตำบล
แบง่ เขตการปกครองคณะสงฆร์ ะดบั ตำบล เป็น ๒๑ ตำบลดงั นี้
๑) ตำบลในเมอื ง เขต ๑ พระครโู สภติ ปุญญาคม เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๑๐ วดั
๒) ตำบลในเมือง เขต ๒ พระครโู สภณจติ ตาภริ ักษ์ เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๙ วดั
๓) ตำบลเวียงยอง พระครูไพศาลธีรคณุ เจ้าคณะตำบล ปกครอง 9 วัด
๔) ตำบลเหมืองง่า พระครูนิวิฐวริ ยิ คณุ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๙ วดั
๕) ตำบลประตปู ่า พระครสู ุภทั รปรยิ ัติกจิ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๗ วัด
๖) ตำบลรมิ ปิง พระครูภัทรกิตตคิ ุณ เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๘ วดั
๗) ตำบลบ้านแปน้ พระครพู ิธานศุภกิจ เจา้ คณะตำบล รก. ปกครอง ๘ วดั
๘) ตำบลเหมอื งจี้ เขต ๑ พระครูบรรพตพฒั นโกศล เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๖ วดั
๙) ตำบลเหมืองจ้ี เขต ๒ พระครูวสิ ทุ ธธิ รรมโฆสติ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๗ วดั
๑๐) ตำบลป่าสกั เขต ๑ เจ้าอธิการนพรตั น์ เขมาภนิ นฺโท เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๙ วดั
๑๑) ตำบลปา่ สกั เขต ๒ พระครูจติ สารโสภณ เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๗ วัด
๑๒) ตำบลตน้ ธง พระครูสวุ ตั ถิ์ธรรมกจิ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๙ วัด
๑๓) ตำบลมะเขอื แจ้ เขต ๑ พระครูพทิ ักษธ์ รรมากร เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๙ วัด
๑๔) ตำบลมะเขือแจ้ เขต ๒ พระครปู ิยสลี านุรกั ษ์ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๘ วัด
๑๕) ตำบลมะเขือแจ้ เขต ๓ พระครวู รปัญญาพล เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๗ วัด
๑๖) ตำบลศรีบวั บาน พระครูสริ ิวรธรรม เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๑๒ วดั
๑๗) ตำบลหนองช้างคนื พระครูอมรธรรมรตั น์ เจ้าคณะตำบล ปกครอง ๖ วัด
๑๘) ตำบลหนองหนาม พระครปู ระภัศรศ์ ลี าภรณ์ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๘ วัด
๑๙) ตำบลบ้านกลาง พระครูสุภัทรกจิ จาภรณ์ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๑๐ วัด
๒๐) ตำบลอโุ มงค์ เขต ๑ พระมหาทอง กติ ฺติรตนฺ สมฺปนฺโน เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๕ วดั
๒๑) ตำบลอุโมงค์ เขต ๒ พระครูสวุ จั นช์ ัยสถติ เจา้ คณะตำบล ปกครอง ๕ วัด
หน้า | 36
ตารางที่ 5 บัญชีวดั แยกรายตำบล อำเภอเมืองลำพนู สงั กดั คณะสงฆจ์ ังหวดั ลำพูน
ท่ี วัด ตำบล ชนดิ วดั
ตำบลในเมอื ง เขต 1
๑ พระธาตุหรภิ ญุ ชยั วรมหาวหิ าร ในเมอื ง เขต ๑ พัทธสีมา (พระอารามหลวง)
๒ จามเทวี ในเมอื ง เขต ๑ พัทธสีมา
๓ ชยั มงคล ในเมอื ง เขต ๑ พทั ธสมี า
๔ สันดอนรอม ในเมอื งเขต ๑ พทั ธสมี า
๕ ช้างรอง ในเมอื ง เขต ๑ พัทธสีมา
๖ บ้านหลวย ในเมือง เขต ๑ พทั ธสมี า
๗ ธงสัจจะ ในเมือง เขต ๑ พทั ธสมี า
๘ สังฆาราม (ประตลู ี)้ ในเมอื ง เขต ๑ พัทธสีมา
๙ สุพรรณรงั ษี ในเมอื ง เขต ๑ พทั ธสมี า
๑๐ วดั มหาวนั ในเมอื ง เขต ๑ พทั ธสีมา
ตำบลในเมอื ง เขต 2
๑ ชา่ งฆอ้ ง ในเมือง เขต ๒ พทั ธสีมา
๒ สวนดอก ในเมือง เขต ๒ วิสงุ คาสมี า
๓ สนั ปา่ ยางหลวง ในเมอื ง เขต ๒ พัทธสีมา
๔ พระคงฤาษี ในเมอื ง เขต ๒ พัทธสมี า
๕ ช้างสี ในเมอื ง เขต ๒ พทั ธสมี า
๖ ไกแ่ กว้ ในเมือง เขต ๒ พทั ธสีมา
๗ สนั ป่ายางหนอ่ ม ในเมือง เขต ๒ พัทธสีมา
๘ หนองเส้ง ในเมือง เขต ๒ พทั ธสมี า
๙ ศรบี ญุ เรอื ง ในเมือง เขต ๒ พัทธสมี า
ตำบลเวยี งยอง
๑ ศรเี มืองยู้ เวยี งยอง พัทธสมี า
๒ บา้ นตอง เวยี งยอง พัทธสีมา
๓ ตน้ แกว้ เวยี งยอง พัทธสมี า
๔ พระยืน เวียงยอง พทั ธสีมา
๕ แม่สารปา่ แดด เวยี งยอง วสิ ุงคามสมี า
๖ แมส่ ารป่าขาม เวียงยอง พัทธสีมา
๗ หวั ขวั เวยี งยอง พทั ธสมี า
หน้า | 37
๘ ศรีบุญชู เวยี งยอง พัทธสมี า
สำนกั สงฆ์
๙ ริมร่อง เวยี งยอง
พัทธสมี า
ตำบลบ้านกลาง พทั ธสมี า
พัทธสมี า
๑ พระสิงห์เคง่ิ บ้านกลาง พทั ธสมี า
พทั ธสมี า
๒ รอ่ งสา้ ว บา้ นกลาง พทั ธสีมา
พทั ธสีมา
๓ ปา่ ม่วง บ้านกลาง พัทธสีมา
พัทธสีมา
๔ ศรีชมุ บ้านกลาง ทพี่ กั สงฆ์
๕ ขเ้ี หลก็ บา้ นกลาง พัทธสีมา
พัทธสีมา
๖ ประตูโขง บา้ นกลาง พทั ธสีมา
วิสงุ คามสีมา
๗ พญาผาบ บ้านกลาง พทั ธสีมา
พทั ธสีมา
๘ ศรคี ำ บา้ นกลาง พทั ธสีมา
พัทธสีมา
๙ แมย่ าก บ้านกลาง
พทั ธสมี า
๑๐ ฆ้องคำ บ้านกลาง พัทธสมี า
พทั ธสมี า
ตำบลเหมืองง่า พทั ธสมี า
พทั ธสีมา
๑ ศรีบุญยืน เหมืองงา่ พทั ธสีมา
พัทธสีมา
๔ บา้ นหลกุ เหมอื งงา่
พทั ธสมี า
๒ ปา่ ไม้แดง เหมอื งง่า
หนา้ | 38
๓ สวนลำไย เหมืองงา่
๕ เหมอื งง่า เหมอื งง่า
๖ วงั ทอง เหมืองงา่
๗ ศรีสองเมอื ง เหมอื งงา่
๘ ต้นผง้ึ เหมืองง่า
ตำบลประตปู ่า
๑ ประตูป่า ประตูปา่
๒ ต้นแงะ ประตปู ่า
๓ ลา่ มชา้ ง ประตูปา่
๔ ชัยชนะ ประตปู ่า
๕ ไชยมงคล ประตปู ่า
๖ ศรสี พุ รรณ ประตูป่า
๗ ล้องเด่อื ประตปู า่
ตำบลริมปงิ
๑ เจดยี ข์ าว ริมปงิ
๒ เชตวนั ริมปิง วิสงุ คามสมี า
พัทธสีมา
๓ ศรีปงิ ชัย รมิ ปงิ พัทธสมี า
วิสงุ คามสีมา
๔ ศรบี งั วัน ริมปิง พทั ธสมี า
วสิ งุ คามสีมา
๕ ปา่ ยาง ริมปิง
วสิ งุ คามสีมา
๖ สันรมิ ปิง ริมปงิ พทั ธสมี า
พทั ธสมี า
๗ บปุ ผาราม รมิ ปงิ พัทธสมี า
วสิ ุงคามสีมา
ตำบลบา้ นแปน้ วิสุงคามสีมา
วิสุงคามสมี า
๑ วดั สนั มะโก บา้ นแป้น วสิ ุงคามสมี า
๒ บา้ นม่วง บ้านแปน้ วิสงุ คามสมี า
พัทธสมี า
๓ หนองเตา่ บา้ นแป้น วสิ งุ คามสมี า
วิสงุ คามสมี า
๔ ปา่ ซางนอ้ ย บา้ นแปน้ พทั ธสมี า
วิสุงคามสมี า
๕ บูชา บ้านแป้น
พัทธสมี า
๖ บา้ นแป้น บ้านแป้น พัทธสีมา
พัทธสีมา
๗ บา้ นเส้ง บา้ นแป้น พทั ธสมี า
พทั ธสมี า
๘ สันมะกรูด บา้ นแปน้ พัทธสีมา
สำนกั สงฆ์
ตำบลเหมอื งจ้ี เขต 1
พัทธสมี า
๑ ดอยกศุ ล เหมอื งจ้ี เขต ๑
หนา้ | 39
๒ พระธาตดุ อยแต เหมืองจ้ี เขต ๑
๓ เชตวนั ธรรมาราม เหมืองจี้ เขต ๑
๔ หมูเป้ิง เหมืองจี้ เขต ๑
๕ ต้นโชค เหมืองจี้ เขต ๑
๖ ป่าตึง เหมอื งจี้ เขต ๑
ตำบลเหมืองจ้ี เขต 2
๑ เหมอื งจหี้ ลวง เหมืองจ้ี เขต ๒
๒ เหมอื งจีใ้ หม่ เหมอื งจี้ เขต ๒
๓ ปงชัย เหมอื งจ้ี เขต ๒
๔ กู่เรือง เหมอื งจี้ เขต ๒
๕ ป่าตอง เหมอื งจี้ เขต ๒
๖ หนองจาง เหมืองจี้ เขต ๒
๗ ปา่ ตนั เจรญิ ธรรม เหมืองจี้ เขต ๒
ตำบลป่าสกั เขต 1
๑ หว้ ยมา้ โก้ง ปา่ สกั เขต ๑
๒ สนั หลวง ป่าสกั เขต ๑ สำนกั สงฆ์
สำนกั สงฆ์
๓ หนองซิว ป่าสกั เขต ๑ พทั ธสมี า
พัทธสีมา
๔ หนองไซ ป่าสกั เขต ๑ พัทธสมี า
พัทธสีมา
๕ หนองท่า ป่าสัก เขต ๑ พทั ธสมี า
พทั ธสีมา
๖ เจ้าชยั ปา่ สัก เขต ๑
พทั ธสมี า
๗ นำ้ พุ ป่าสัก เขต ๑ พทั ธสมี า
พัทธสมี า
๘ บ้านใหม่ ปา่ สกั เขต ๑ พทั ธสมี า
พัทธสีมา
๙ ทรายทอง ปา่ สกั เขต ๑ วิสุงคามสีมา
พัทธสมี า
ตำบลปา่ สกั เขต 2
พทั ธสีมา
1 สนั ป่าสกั ป่าสัก เขต ๒ พทั ธสีมา
พทั ธสมี า
๒ ตอยติ ปา่ สกั เขต ๒ พทั ธสีมา
วสิ งุ คามสีมา
๓ บา้ นหลุก ป่าสัก เขต ๒ วงิ สุคามสมี า
พทั ธสมี า
๔ ปา่ ตึงงาม ปา่ สัก เขต ๒ พัทธสีมา
สำนักสงฆ์
๕ สนั คะยอม ป่าสกั เขต ๒
พทั ธสีมา
๖ น้ำบอ่ เหลอื ง ปา่ สกั เขต ๒ พัทธสมี า
วสิ งุ คามสีมา
๗ หนองปลาขอ ปา่ สัก เขต ๒ สำนักสงฆ์
พัทธสีมา
ตำบลต้นธง
หนา้ | 40
๑ สันตน้ ธง ต้นธง
๒ กมลธชั ยาราม ตน้ ธง
๓ พันตาเกิน ต้นธง
๔ รมณยี าราม ตน้ ธง
๕ จักรคำภมิ ุข ตน้ ธง
๖ หรกิ าราม ต้นธง
๗ กเู่ หลก็ ตน้ ธง
๘ ลอ้ งกไู่ ทย ตน้ ธง
๙ ล้องก่คู ำ ตน้ ธง
ตำบลมะเขือแจ้ เขต 1
๑ บา้ นแจม่ มะเขือแจ้ เขต ๑
๒ ปา่ เปา้ มะเขือแจ้ เขต ๑
๓ ศรีดอนตนั มะเขอื แจ้ เขต ๑
๔ หนองป่าเหมือด มะเขอื แจ้ เขต ๑
๕ ฮอ่ งกอม่วง มะเขือแจ้ เขต ๑
๖ ปูเลย มะเขือแจ้ เขต ๑ พทั ธสีมา
สำนักสงฆ์
๗ สทุ ธิมงั คลาราม มะเขอื แจ้ เขต ๑ สำนกั สงฆ์
๘ ป่าคะยอมใต้ มะเขอื แจ้ เขต ๑
สำนักสงฆ์
๙ โบสถ์ มะเขือแจ้ เขต ๑
ตำบลมะเขอื แจ้ เขต 2
๑ สะแล่ง มะเขอื แจ้ เขต ๒ พัทธสมี า
๒ สันคะยอม มะเขอื แจ้ เขต ๒ พทั ธสมี า
๓ มะเขอื แจ้ มะเขอื แจ้ เขต ๒ พทั ธสีมา
๔ ขมุ เงิน มะเขือแจ้ เขต ๒ พัทธสีมา
พทั ธสีมา
๕ ดอยนอ้ ย มะเขอื แจ้ เขต ๒ วสิ งุ คามสมี า
สำนักสงฆ์
๖ หนองหอย มะเขือแจ้ เขต ๒ ที่พกั สงฆ์
ทพ่ี ักสงฆ์
๗ ดอยขะมอ้ มะเขอื แจ้ เขต ๒
๘ กูย่ า่ มา่ น มะเขือแจ้ เขต ๒
9 ดอยมอ่ นเศรษฐี มะเขอื แจ้ เขต ๒
ตำบลมะเขอื แจ้ เขต 3
๑ รมิ ร่อง มะเขอื แจ้ เขต ๓ สำนกั สงฆ์
พัทธสีมา
๒ สนั ปา่ เหยี ง มะเขอื แจ้ เขต ๓ สำนกั สงฆ์
๓ สนั ตน้ ผึง้ มะเขอื แจ้ เขต ๓ พทั ธสีมา
๔ กิ่วม่ืน มะเขอื แจ้ เขต ๓ พัทธสมี า
สำนักสงฆ์
๕ เหมอื งกวกั มะเขือแจ้ เขต ๓ สำนักสงฆ์
ท่ีพกั สงฆ์
๖ ผามวัว มะเขอื แจ้ เขต ๓ ทพ่ี กั สงฆ์
๗ กู่สันปา่ ตาล มะเขอื แจ้ เขต ๓
8 พระเจา้ ดำดนิ มะเขอื แจ้ เขต ๓
9 สันรอมหมี มะเขือแจ้ เขต ๓
ตำบลศรีบัวบาน
๑ ดอยกาศ ศรบี วั บาน สำนกั สงฆ์
พัทธสมี า
๒ หนองหล่ม ศรีบัวบาน พัทธสมี า
พัทธสีมา
๓ ทุ่งยาว ศรีบัวบาน สำนักสงฆ์
๔ ดอนแกว้ ศรบี วั บาน สำนักสงฆ์
๕ ศรบี วั บาน ศรีบัวบาน พทั ธสีมา
๖ เสาหิน ศรบี ัวบาน
๗ บา้ นมา้ ศรีบวั บาน
หนา้ | 41
๘ ป่าจำกู่ ศรีบัวบาน สำนกั สงฆ์
สำนักสงฆ์
๙ จำขีม้ ด ศรีบวั บาน ที่พักสงฆ์
สำนกั สงฆ์
๑๐ ดอยนอ้ ย ศรีบัวบาน ท่พี กั สงฆ์
ทพ่ี กั สงฆ์
11 ดอยม่อนวัด ศรีบัวบาน ทพี่ กั สงฆ์
๑2 เดน่ นกแต้ ศรบี ัวบาน
๑3 ห้วยทราย ศรีบัวบาน
๑4 ม่อนฤาษี ศรบี ัวบาน
ตำบลหนองช้างคืน
๑ ป่าขาม หนองชา้ งคนื วิสุงคามสมี า
วสิ งุ คามสมี า
๒ หัวฝาย หนองชา้ งคืน วสิ งุ คามสีมา
วิสงุ คามสมี า
๓ สามัคคีธรรมาราม หนองชา้ งคนื วิสุงคามสมี า
วิสงุ คามสมี า
๔ ศรที รายมูล หนองชา้ งคนื
๕ หนองชา้ งคนื หนองช้างคืน
๖ นำ้ โคง้ หนองชา้ งคนื
ตำบลหนองหนาม
๑ สุมนารามหนองเหยี ง หนองหนาม วสิ ุงคามสมี า
พัทธสีมา
๒ หนองหนาม หนองหนาม พทั ธสีมา
พทั ธสมี า
๓ บา้ นรว้ั หนองหนาม วสิ งุ คามสมี า
พัทธสมี า
๔ บ้านขวา้ ง หนองหนาม พทั ธสมี า
สำนกั สงฆ์
๕ บอ่ โจง หนองหนาม
๖ หนองเรือ หนองหนาม
๗ กอขอ่ ย หนองหนาม
๘ ตน้ ปนั หนองหนาม
ตำบลอุโมงค์ เขต 1
๑ อโุ มงค์ อุโมงค์ เขต ๑ พัทธสีมา
วสิ ุงคามสีมา
๒ ศรีดอนทอง อโุ มงค์ เขต ๑ พทั ธสมี า
พทั ธสมี า
๓ เทพาราม อุโมงค์ เขต ๑ พัทธสมี า
๔ กอม่วง อโุ มงค์ เขต ๑
๕ ป่าเหว็ อุโมงค์ เขต ๑
ตำบลอโุ มงค์ เขต 2
๑ สุวรรณาราม อโุ มงค์ เขต ๒ พทั ธสมี า
พัทธสีมา
๒ เชตวนั อุโมงค์ เขต ๒
หนา้ | 42
๓ ป่าเส้า อโุ มงค์ เขต ๒ พทั ธสมี า
๔ วัดชัยสถาน อโุ มงค์ เขต ๒ พัทธสมี า
๕ แม่ร่องนอ้ ย อโุ มงค์ เขต ๒ สำนักสงฆ์
หนา้ | 43
ตารางที่ 7 รายนามประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล
อายุปัจ ุจบัน วทิ ยฐานะ
พรรษา
ท่ี รายนาม ป. น.ธ. สา
ธ.
๑ พระมหาชาตชิ าย ญาณโสภโณ ดร. 42 11 4 เอก ปร
๒ พระมหาทวีรตั น์ ขนฺตยาภรโณ 36 16 5 เอก พธ
๓ พระครโู กวิทอุดมสาร 62 42 เอก พธ
๔ พระมหาพชิ ติ พล ปญฺญาปชโฺ ชโต 33 12 4 เอก พธ
๕ พระอธกิ ารวชิ ัย เทวธมฺโม 35 15 เอก ม.6
๖ พระปลัดวณี วุ ฒั น์ วฑฒฺ นสริ ิ 35 14 เอก พธ
๗ พระอธกิ ารณรงเดช ฐิตสทฺโท 48 14 เอก ปว
๘ พระอธกิ ารสมพงษ์ สถิรวฑุ โฺ ฒ 45 25 2 เอก พธ
๙ พระอธิการประดษิ ฐ์ อาภาธโร 43 23 เอก ศน
๑๐ พระอธกิ ารจรลั อภนิ นฺโท 65 25 เอก พธ
พ้ืนที่ อำเภอเมอื งลำพูน ปี 2565
อ.ป.ต. ตำแหน่ง วดั เบอร์โทร
ามญั
ร.ด ต้นธง เจา้ อาวาส รมณยี าราม 090-160-1626
ธ.บ ในเมือง ๑ ผจล. พระธาตุหริภญุ ชยั 089-435-7025
ธ.บ ในเมอื ง ๒ เจ้าอาวาส ช้างสี 089-261-3472
ธ.บ บา้ นกลาง เจา้ อาวาส แม่ยาก 084-592-9530
6 บ้านแป้น เจ้าอาวาส บูชา 080-679-1519
ธ.บ ประตปู า่ เจ้าอาวาส ไชยมงคล 085-041-4456
วส ป่าสัก ๑ เจา้ อาวาส หนองทา่ 090-758-5136
ธ.บ ปา่ สกั ๒ เจา้ อาวาส สนั คะยอม 085-039-6797
น.บ มะเขือแจ้ ๑ เจา้ อาวาส ศรีดอนตัน 089-701-3645
ธ.ม มะเขือแจ้ ๒ เจา้ อาวาส หนองหอย 088-259-3864
หน้า | 44