บทที่ 3
เคลด็ ลบั การอ่านในใจ : อ่านอย่างไรใหเ้ กิดประโยชน์
ความนา
เม่อื เติบโตผํานวนั วยั ในวันนี้ ผํานวันที่อํานออกเสยี งสําเนียงใส
จบระดับประถมศกึ ษาเกาํ งกวาํ ใคร “อํานในใจ” จําเป็นจรงิ ย่งิ ตอ๎ งรู๎
เรียนระดบั ปรญิ ญาค๎นควา๎ มาก “อาํ นไมเํ ปน็ ” ยิง่ ลําบากนําอดสู
อํานร๎อยแก๎วร๎อยกรองมองเปน็ ครู กวาดตาดูทกุ ประเภทสงั เกตไว๎
ทัง้ ขําวสารด๎านบนั เทิงทเี่ รงิ รืน่ เปดิ ตาต่นื อํานตาํ รามคี วามหมาย
ปจั จุบนั โลกยดึ ถือสอ่ื ออนไลน์ จาํ ต๎องใช๎ “อํานในใจ” ในทกุ วัน
รปู แบบการเขยี นเปลยี่ นไปหมด อนาคตยงิ่ เปดิ ทางเขยี นสร๎างสรรค์
อาํ นอยาํ งไรเกดิ ประโยชน์เอนกอนันต์ เพราะโลกน้ันเปลยี่ นโฉมหน๎าเหมือนทา๎ ทาย
ลำยอง สำเร็จดี
โลกยุคใหม่อ่านอยา่ งไรให้เกิดประโยชน์
“อํานหนังสือคืออํานโลก” นี่คือคําที่ทรงเสนํห์และมีมนต์ขลังของยุค
ที่ผํานมา ในขณะที่โลกยุคใหมํถาโถมเข๎ามาอยํางรุนแรงและรวดเร็วผํานส่ือ
มัลติมีเดียทุกรูปแบบ ประกอบกับตลาดหนังสือที่มีอยํูในเมืองไทยหดตัวลง
เร่ือยๆ การหาหนังสือดีๆ อํานสักเลํมในปัจจุบันต๎องใช๎ความพยายามมากข้ึน
คําถามตอํ มาคอื เราจะเลือก “อํานอะไร” และ “อาํ นอยํางไร”1
นบั ตัง้ แตํ พ.ศ. 2559 เป็นต๎นมาเกิดวิกฤตในส่ือส่ิงพิมพ์ เนื่องจากการ
เติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล คนยุคใหมํสามารถทําธุรกรรมทุกอยํางได๎และ
เสพความบันเทิงผํานโทรศัพท์สมาร์ทโฟน รวมท้ังการอํานหนังสือในรูปของ
นิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๏คก็ได๎รับความนิยม
จากคนรุํนใหมํอยํางรวดเร็ว เทคโนโลยีดิจิทัลทําให๎เกิดการเปล่ียนแปลง
1 รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, อ่านเร่ืองเล่า เล่าเร่ืองอ่าน, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์
สถาพรบ๏ุคส์, 2564), หนา๎ คํานาํ สาํ นกั พิมพ์.
54
ขนาดใหญํในวงการสื่อส่ิงพิมพ์ นั่นคือหนังสือพิมพ์ นิตยสาร พากันทยอย
ปิดตัวลง เพราะเม็ดเงินจํานวนมากไหลสูํสื่อดิจิทัล สํวนคนรํุนใหมํท่ียังอําน
หนังสอื ก็พอใจอํานวรรณกรรมออนไลน์ผํานเครื่องมือสื่อสารมากกวําอํานจาก
สื่อสิ่งพิมพ์ วิกฤติการณ์นี้ทําให๎พื้นที่ของวรรณกรรมลดน๎อยลงจนแทบไมํมี
สํ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ตํ อ ว ร ร ณ ก ร ร ม ที่ ล ง พิ ม พ์ ใ น นิ ต ย ส า ร แ ล ะ ก า ร พิ ม พ์ ร ว ม เ ลํ ม
เป็นหนงั สือ2
ทักษณิ า ชัยอิทธิพรวงศ์ มองผลกระทบรุนแรงดังกลําววํา “เทคโนโลยี
อินเทอร์เน็ตชํวยพัฒนาการเข๎าถึงนิตยสารที่เคยมาปรากฏในลักษณะรูปเลํม
กระดาษ เปล่ยี นเปน็ นติ ยสารบนส่อื ออนไลน์ เรียกช่ือตํางกันไป... อี - แมกกาซีน
(E - magazine) นิตยสารดิจิทัล (Digitized magazine) นิตยสารออนไลน์
(Online magazine) แตํท้ังหมดก็ยังคงหมายถึง “นิตยสาร” การปิดตัวของ
นิตยสารหลายเลมํ อาจมองเปน็ การถดถอยของตลาดนิตยสาร แตํนิตยสารไมํมี
วันตายไปจากสังคม... นิตยสารเป็นสํวนหนึ่งในวิถีชีวิต ชํวยบันทึกภาพสังคม
มุํงเปิดโลกทัศน์ของจินตนาการสื่อสารความสนใจใครํรู๎ทุกเร่ืองใต๎พระอาทิตย์
ดวงนี้”3
สอื่ ดิจิทัลเกยี่ วข้องกับการอา่ นการเขยี นอย่างไร
ตําราเลํมน้ีคงล๎าหลังและตกยุคไปอยํางแนํนอนหากมุํงเน๎นเฉพาะ
วรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษรและพิมพ์เป็นหนังสือท่ีมีวัตถุประสงค์
การใช๎งาน หลักเกณฑ์การจัดประเภทสิ่งพิมพ์ท่ีพิจารณาจากความเข๎าใจ
และการใช๎ประโยชน์ท่ีอ๎างอิงได๎ตรงกับลักษณะทางกายภาพของส่ิงพิมพ์
แบํงออกไดด๎ ังนี้ คอื 1) หนังสือ 2) สิง่ พิมพ์เผยแพรํข๎อความ ขําวสาร นิตยสาร
วารสาร จลุ สาร โบรชวั ร์ (Brochure) โปสเตอร์และจดหมายขําว (News letter)
2 รนื่ ฤทยั สจั จพนั ธุ์, อา้ งแลว้ , หนา๎ คาํ นาํ ผูเ๎ ขียน.
3 ทักษิณา ชัยอิทธิพรวงศ์, การออกแบบและการผลิตนิตยสาร, (กรุงเทพฯ :
สํานกั พมิ พแ์ หํงจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2560), หน๎าปกหลงั .
55
3) สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุภัณฑ์ที่พิมพ์ข๎อความหรือรูปภาพเก่ียวกับผลิตภัณฑ์
4) สิ่งพิมพ์ท่ีมีคํา เชํน ธนบัตร หนังสือเดินทาง (Passport) ต๋ัวสัญญาใช๎เงิน
(Promissory Note) ใบรบั รองสิทธิ์ (Warrant) ใบหุ๎น (Share Certification)
โฉนดท่ีดิน (Title Deed) เป็นต๎น 5) พ้ืนท่ีการเผยแพรํ เชํน ระดับท๎องถ่ิน
ระดบั ชาติ ระดบั นานาชาติ จะมสี ํวนพมิ พแ์ ทรกคํกู ับหนังสอื พิมพ์หรือนิตยสาร
โดยไมํคดิ ราคาจาํ หนํายในลกั ษณะแถมฟรี (Supplement)4
นิยามของสื่อดิจิตอล มีผู๎ให๎ความหมายไว๎มากมาย สรุปตามทัศนะ
ของสมควร กวีนะ วํา “ส่ือดิจิทัล หมายถึง สื่อใหมํๆ ที่ไมํได๎อยูํในรูปลักษณะ
ของส่ือด้ังเดิม ท้ังวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์และส่ือสิ่งพิมพ์ สามารถเข๎าถึง
ข๎อมูลที่อยูํในรูปแบบของดิจิทัลได๎ เข๎าถึงอินเทอร์เน็ตได๎หรือหมายถึงการ
ส่ือสารท่ีสามารถเข๎าถึงผู๎รับสารได๎ในวงกว๎าง มีการตอบกลับอยํางรวดเร็ว
และผ๎ูรับสารสามารถเข๎าถึงขําวสารไดเ๎ อง”5
เม่ือมองเห็นความเปล่ียนแปลงและพอสรุปได๎วําสื่อดิจิทัลเก่ียวข๎อง
กบั การสอื่ สารด๎านการอํานการเขียนอยํางไรจะได๎เข๎าใจตรงกันวําในการพัฒนา
ทักษะในการสื่อสารน้ัน ไมํสามารถแยกพัฒนาหรือฝึกฝนเพียงทักษะเดียว
เพราะทักษะในการสื่อสารในชีวิตประจําวันของคนเราเร่ิมต๎นด๎วยการฟัง พูด
อําน เขียน เรียงลําดับตํอๆ กันไป ทักษะการใช๎ได๎มากที่สุดต้ังแตํแรกเกิด
จนส้ินลม การฝึกทักษะฟังจะมาพร๎อมๆ กับการได๎ยินได๎ฟัง เสียงสรรพสิ่ง
นานาที่อยํูรอบตัว ฟังเสียงนก เสียงลม เสียงฟ้าร๎อง เสียงเครื่องบิน
ฟังเสียงพดู ของคนใกลต๎ ัว กลมํุ คนทเ่ี ราได๎พูดคยุ พบปะสนทนา ฟังการบรรยาย
ฟังการอภิปราย การประชุมเสวนา ฟังการอําน ร๎อยแก๎ว ร๎อยกรอง ทํานอง
เสนาะ ฟังการพูดสรุปแนวคิด ข๎อเขียน ข๎อความตํางๆ ท้ังมวล ในโลกนี้
ทมี่ นุษยน์ าํ มาใช๎ในการสือ่ สารท้ังในรปู ลกั ษณ์ของสอ่ื ด้งั เดมิ และสื่อดจิ ทิ ัล
4 ทักษณิ า ชยั อิทธิพรวงศ,์ อา้ งแลว้ , หนา๎ 5 - 6.
5 สมควร กวียะ, วารสารใหม่, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์บ๎านหนังสือโกสินทร์,
2549), หน๎า 9.
56
นักภาษาและวรรณกรรมในยุคเดิมอาจรู๎สึกกังวลในสภาวะที่
แปรเปลี่ยนสูํยุคดิจิทัล โดยได๎แสดงทัศนะเชิงสร๎างสรรค์เพื่อแก๎ไขวิกฤติการณ์น้ี
ด๎วยเกรงวําจะสํงผลกระทบตํอโครงสร๎างของภาษาไทยอันอาจนําไปสํูความ
วิบัติทางภาษาอยํางหลีกเล่ียงไมํได๎ เป็นเรื่องดีท่ีมีข๎อกังวลดังกลําว มีคนรํุนหน่ึง
ยืนปกั หลกั ใหค๎ นรุนํ หลงั เหลียวมองยามมีปัญหาและหวนกลับมาพึ่งพิงในกรณี
ท่ีต๎องการศึกษาค๎นคว๎าในระดับลึกและกว๎าง เชํน การเจาะประเด็นพัฒนา
ทักษะในการส่ือสาร 4 ประการ คือ การฟัง การพูด การอําน และการเขียน
ดังกลําวโดยใช๎วิธีการพัฒนาแบบผสมผสาน เชํน การฝึก การสร๎างความ
ตระหนักให๎รักการอําน ผ๎ูปกครองที่บ๎าน ครูอาจารย์ที่สอนในสถานศึกษาต๎อง
ยอมรับความจริงวํายุคน้ีคนอํานหนังสือน๎อยลง และสรุปรวมวําผลการวิจัย
คนไทยอาํ นหนังสือวนั ละ 8 บรรทดั เทาํ นั้น
มใี ครกล๎าก๎าวออกมาโต๎แยง๎ วําบทสรปุ ขา๎ งต๎นไมเํ ป็นความจริงและเด็ก
ที่ไมอํ าํ นหนังสือ ไมฟํ งั คาํ ครสู อนในในหอ๎ งเรยี นนัน้ ใชไ๎ มํได๎ เป็นเด็กไมํมีความร๎ู
ไมํทันโลก ไมํต๎องอ๎างอิงคํากลําวของทํานผ๎ูทรงคุณวุฒิมากมายแตํประการใด
แตํสิ่งที่ทุกคนมองอยํูรอบตัวเราทุกวันน้ีและบํนเหมือนกันก็คือ โลกของเด็ก
เดีย๋ วนค้ี ือสมารท์ โฟน หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เยาวชนรุํนใหมํยึดถือเป็นสรณะ
เป็นเพื่อน เป็นสิ่งที่ขาดไมํได๎ และงมงายอยํูกับการเลํนเกม การคบเพ่ือน
การพูดคุยคลายเหงา การแสดงความคิดเห็น แชร์ความร๎ูสึก แชร์ข๎อความ
เร่ืองราวตํางๆ อยํางไมํระมัดระวังจนเกิดคดีฟ้องร๎องกันมากมาย โดยเฉพาะ
อยํางย่ิงการไมํร๎ูจักแยกแยะวําอะไรคือขําวจริง อะไรคือขําวปลอม การหลอกลวง
ขายสินค๎า กลํุมมิจฉาชีพท่ีอาศัยชํองทางชํองโหวํบนพ้ืนฐานความต๎องการ
มากมายของมนุษย์ท่ีเป็นมุมมืดของผู๎คนในสงั คมทีน่ ิยมส่ือสารด๎วยส่อื ดิจิทลั
นี่คือชํองทางที่ผ๎ูใหญํท่ีมีประสบการณ์สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ไดอ๎ ยํางงํายดาย แตํต๎องใจกว๎างและยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยดึงประเด็น
ท่ีสร๎างสรรค์และมีประโยชน์มากมายในสื่อดิจิทัลมาใช๎ได๎ทันที พํอ แมํ
ผู๎ปกครอง ครูบาอาจารย์ท่ีทําหน๎าที่สอนเยาวชนในสถานศึกษาทุกระดับ
จําเป็นต๎องดึงเน้ือหาสาระท่ีมีประโยชน์ในส่ือดิจิทัลประเภทตํางๆ มาประกอบ
57
การสอนหรือให๎การศึกษาบุตรหลานของเราด๎วยวิธีการให๎ความร๎ูเร่ือง
สภาวะการณ์สื่อสารแนะนําชํองทางการเข๎าถึงแหลํงขําว หรือข๎อมูลที่ถูกต๎อง
และมปี ระโยชน์ โดยชป้ี ระเด็นใหช๎ ัดเจนดังตํอไปนี้
1. ความแตกตาํ งระหวาํ ง “ข๎อมูล” กับ “ความรู๎”
ทุกวันนี้หลายคนคิดวํา “น่ีมันยุคอินเทอร์เน็ตแล๎ว อยากร๎ูอะไร
ก็หาได๎จากอินเทอร์เน็ต... จะอํานหนังสือไปทําไม” คะ บะ ชะ วะ ชิอง บอกวํา
“ข๎อมูลในอินเทอร์เน็ตไมํตํางอะไรกับ “อาหารชิมฟรี” ในห๎างสรรพสินค๎า
ท่ีเป็นที่ตั้งของแผนกอาหาร ท่ีน่ันมีอาหารมากมาย ถูกตัดแบํงเป็นช้ินเล็กๆ
ใหค๎ ุณได๎ทดลองชิมฟรี แถมไมํวําจะหยิบจะชิมอะไรก็อรํอยไปหมด แตํการกิน
อาหารชมิ ฟรีอยํางละนิดละหนํอยนน้ั ไมํชวํ ยให๎คุณอ่ิมท๎องและรู๎สึก “เต็มอิ่ม”
อยํางแท๎จริงได๎... ข๎อมูลในอินเทอร์เน็ตก็เหมือนอาหารชิมฟรีท่ีถูก “ตัดแบํง”
ออกมา... มันจึงขาดความสมบูรณ์และไมํมีการจัดเรียงให๎เป็นระบบ...
เวลาที่คุณค๎นคว๎าข๎อมูลในอินเทอร์เน็ต คุณอาจเข๎าใจเร่ืองราวบางสํวนหรือ
บางประเด็นได๎ แตํคุณจะไมํเห็นภาพรวมท้ังหมดและเรียนรู๎ได๎อยํางลึกซ้ึง
เทํากบั การอาํ นหนังสือ...”6
ความหมายของคําวาํ “ขอ๎ มูล” ในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2525 อธิบายวํา “เป็นคํานาม ข๎อเท็จจริงหรือสิ่งท่ีถือหรือยอมรับวํา
เป็นข๎อเท็จจริงสําหรับใช๎เป็นหลักฐานอนุมานความจริงหรือการคํานวณ
สํวนคําวํา “หนังสือ” เป็นคํานาม หมายถึง เคร่ืองหมายใช๎ขีดเขียนแทนเสียง
หรือคาํ พูด ลายลักษณอ์ ักษร จดหมายทีม่ ีไปมา เอกสาร งานประพันธ์ หนังสือ
เดินทาง หนังสือพิมพ์ หนังสือรับรองการทําประโยชน์ หนังสือเวียน หนังสือ
สัญญา...”7
6 คะ บะ ชะ วะ ชิอง, เทคนิคอ่านไม่ให้ลืมท่ีจิตแพทย์อยากบอกคุณ, (กรุงเทพฯ :
สํานกั พิมพว์ เี ลิรน์ ฒ ม.ป.ป.), หนา๎ 28 - 29.
7 ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, พมิ พ์คร้ังท่ี 2,
(กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพ์อักษรเจริญทัศน,์ 2526), หนา๎ 133, หน๎า 832.
58
ความแตกตํางระหวําง “ข๎อมูล” กับ “ความรู๎” ในทัศนะของ
นักจิตวิทยา กลําววํา ส่ิงที่ได๎รับจากอินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
นิตยสาร หรือวารสารรายสัปดาห์ สํวนใหญํเป็น “ข๎อมูล” แตํสิ่งท่ีได๎รับจาก
หนังสือคือ “ความรู๎” “ข๎อมูล” จะอยํูในรูปของข๎อเท็จจริง ผลลัพธ์และ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง สํวน “ความรู๎” เป็นสาระสําคัญท่ีได๎มาจากการ
กล่นั กรองขอ๎ เท็จจริง ผลลัพธ์และปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึน จริงอยํูแม๎วําบางครั้ง
เราอาจจะได๎ความร๎ูจากบลอ็ กหรอื เว็บไซดใ์ นอินเทอรเ์ น็ต และหนังสือบางเลํม
ก็อาจให๎แตํข๎อมูล อยํางไรก็ตาม โดยหลักการแล๎วอินเทอร์เน็ตจัดเป็น
“แหลํงข๎อมูล” สํวนหนังสือเป็น “แหลํงความรู๎” หรือถ๎าพูดเป็นภาษาอังกฤษ
ข๎อมูลในท่ีนี้คือ “Information” สํวนหนังสือที่เป็นแหลํงความร๎ูอ่ืนคือ
“Intelligence” เป็นความรู๎ท่ีหาได๎งํายและนําไปใช๎ประโยชน์ได๎ ซ่ึงแตกตําง
จากหนังสือ เพราะเป็นความร๎ูท่ีถูกตัดแตํง จึงเกิดประโยชน์อยํางแท๎จริงได๎
เมื่อรวบรวม เรียบเรียง และวิเคราะห์จนตกผลึกเป็น “ความรู๎” เทําน้ัน
หนังสือท่ีเกิดจากการนําข๎อมูลมาทําความเข๎าใจ เรียบเรียง และวิเคราะห์
จนอยํูในรูปของความร๎ูเรียบร๎อยแล๎ว จึงเป็นทางลัดที่ชํวยให๎เราเข๎าถึงความร๎ู
ไดร๎ วดเรว็ กวําการไปรวบรวมข๎อมูลมาวิเคราะห์เองเป็นร๎อยเทํา อยํางไรก็ตาม
ข๎อเท็จจริงสําคัญท่ีควรร๎ูไว๎ก็คือข๎อมูลตํางๆ ในโทรทัศน์ หรือบทความ
ในอินเทอร์เน็ต มีแงํดีคือ “เข๎าถึงงําย สะดวก และทันตํอเหตุการณ์ ดังนั้น
การอํานหนงั สือและเสพสือ่ อืน่ ๆ ประกอบกันอยํางสมดุล จึงเป็นวิธีการพัฒนา
ตวั เองท่ดี ีท่ีสุด”8
2. สง่ิ ท่ีได๎จากการอาํ นหนงั สือ
คนที่ไมํเคยอํานหนังสือจะไมํมีทางร๎ูวําประโยชน์ที่แท๎จริงของ
การอํานหนังสือคืออะไร แตํถ๎าหันกลับมาถามวํา ส่ิงสําคัญในชีวิตของคนเรา
มีอะไรบ๎าง เชื่อวําคนสํวนใหญํตอบคล๎ายๆ กันวํา ต๎องการเงิน เวลา ข๎อมูล
ความร๎ู ความสัมพันธ์ท่ีดีกับคนอ่ืนและสุขภาพ ความต๎องการท้ัง 5 อยํางน้ี
8 คะ บะ ชะ วะ ชอิ ง, อา้ งแลว้ , หนา๎ 30 - 31.
59
ถามตอํ วําอะไรสําคัญที่สุด ก็คงได๎คําตอบวํา “เวลา” เพราะถ๎าไมํมีเวลาก็ยาก
ที่จะแสวงหาอีก 4 อยํางที่เหลือ ถ๎าไมํมีเวลาทํางานเราก็ไมํมีเงิน ถ๎าเราไมํมี
เวลาอาํ นกไ็ มํได๎รับขอ๎ มูลและความร๎ู ถ๎าไมํมีเวลาอยํูกับครอบครัวและเพ่ือนฝูง
ก็จะเสียความสัมพันธ์ท่ีดีไป ถ๎าไมํมีเวลานอนเราจะเจ็บป่วยเสียสุขภาพ
ตรงกันข๎ามถ๎ามี “เวลา” พอ เราก็สามารถทําทุกอยํางได๎ตามความต๎องการ
การบรหิ ารเวลาท่ีมอี ยูอํ ยํางจาํ กดั เปน็ สิ่งสําคัญมาก
คะ บะ ชะ วะ ชิอง จิตแพทย์ท่ีมีประสบการณ์ในการอํานหนังสือ
เดือนละ 30 เลํม เขียนหนังสือเดือนละ 3 เลํม ท้ังมีงานตรวจคนไข๎ท่ี
โรงพยาบาล โพสต์ข๎อความบนเฟซบุ๏กและลงคลิปวิดีโอใหมํในยูทูบทุกวัน
ไปดูภาพยนตร์เดือนละมากกวํา 10 เร่ือง และหยุดพักร๎อนติดตํอกันหลายวัน
ปีละ 2 ครง้ั นอนวันละมากกวาํ 6 ชว่ั โมง... หลายคนมองวําเขาเป็น “ยอดมนุษย์”
เขาบอกความจรงิ ในเร่ืองน้ี สรุปได๎ดงั นี้
ใ น แ ตํ ล ะ วั น ค น จํ า น ว น ม า ก มั ก ใ ช๎ เ ว ล า ห ม ด ไ ป กั บ ก า ร ทํ า เ ร่ื อ ง
ที่ไมํเกดิ ประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะไมํได๎อะไรแล๎วยังเป็นเหตุให๎เกิดความเครียด
และอํอนเพียงสะสม เพราะฉะนั้น ขอแคํรู๎เคล็ดลับวําจะกําจัดเร่ืองไมํจําเป็น
ออกไปและทํางานอยํางมีประสิทธิภาพได๎อยํางไร ก็สามารถสร๎างผลงานได๎
มากกวําเดิมถึง 3 เทํา... และวิธีที่งํายที่สุดในการเข๎าถึงเคล็ดลับเหลําน้ี คือ
“การอํานหนงั สอื ” ...การอาํ นหนังสอื ชํวยเพ่ิมเวลา 1 วันให๎มี “72 ช่ัวโมง” ...
สิ่งท่ีได๎จากการอํานหนังสือท่ีได๎แนํนอนมีอยํางน๎อย 8 อยําง คือ ได๎ความร๎ู
ไดเ๎ วลาทเี่ หมือนมีมากกวําคนอ่ืน ได๎ประสบการณ์ท่ีซื้อมาจากการอํานหนังสือ
ชํวยให๎เกิดทักษะในการทํางานที่สามารก๎าวกระโดดไปอยํูระดับกลางหรือ
ระดับสูงได๎ตั้งแตํยังไมํทันเร่ิมลงมือ การอํานหนังสือชํวยให๎มีทักษะในการใช๎
ภาษาเกํงภาษาย่ิงขึ้น คนอํานหนังสือจะได๎สัมผัสกับ “ข๎อความ” มากมาย
ทาํ ให๎ความรแ๎ู ละการรบั รด๎ู ๎าน “ภาษา” ได๎รับการขดั เกลาตามไปด๎วย สํงผลให๎
พูดได๎ดี เขียนได๎ดี “การอํานแลการเขียนให๎มากเป็นวิธีเดียวท่ีชํวยให๎เกํง
ภาษาได๎” และเน๎นยํ้าวํา “ทักษะด๎านภาษาจะพัฒนาได๎ก็ตํอเมื่อฝึกอํานและ
เขียนเทํานน้ั ” ...เพราะทักษะด๎านภาษาเป็นสิ่งที่ขาดไมํได๎ในยุคอินเทอร์เน็ต...
นอกจากน้ีการอํานหนังสือชํวยขจัดความเครียด เพราะหนังสือเต็มไปด๎วย
60
ข๎อมูลความรู๎ ถ๎าอํานแล๎วนําไปประยุกต์ใช๎จะชํวยแก๎ปัญหาท่ีมีให๎หมดไป
เพราะมีมุมมองท่ีกว๎างขึ้น... จึงควรอํานหนังสือกันเป็นประจํา เพราะถ๎ารอ
ให๎เกิดปัญหาข้ึนในชีวิตก็จะไมํมีอารมณ์อํานหนังสือเพ่ือหาทางแก๎ปัญหานั้น
และอาจจะเครียดจนเกิดปัญหาสุขภาพได.๎ .. การอํานหนังสือทําให๎คนฉลาดขึ้น
หนังสือที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได๎ และเม่ืออํานมากก็ย่ิงมีโอกาส
ประสบความสําเร็จมาก... อาํ นหนังสือเปน็ ประตสู ํู “เงิน” และ “ความสําเร็จ”
ท้ังยังสามารถสร๎างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู๎คนรอบข๎าง สํงผลให๎มีสุขภาพกาย
สุขภาพจิตท่ีดี สนุกกับการอํานหนังสือและเป็นสุขกับการใช๎ชีวิต ชํวยให๎ชีวิต
มีพัฒนาการอยํางไมหํ ยุดย้งั 9
สง่ิ ทไี่ ดร๎ บั มากมายดงั ได๎กลําว ขอสรปุ สน้ั ๆ ดงั คาํ ประพนั ธต์ อํ ไปน้ี
หนังสอื ให๎ความร๎ใู หเ๎ วลา ให๎เงนิ ตราทีต่ ๎องการงานใฝ่ฝนั
ใหว๎ ธิ ผี ูกมติ รจติ สมั พันธ์ ใหภ๎ าษาสรา๎ งสรรค์ไดด๎ ั่งใจ
ใหส๎ ุขภาพแข็งแรงดีทีอ่ งอาจ ใหค๎ วามฉลาดพบเรื่องแยไํ ดแ๎ กไ๎ ข
นําเสนองานพดู เขียนดีมีกําไร อํานตํอไปตอํ ยอดไดไ๎ มํต๎องกลัว10
ถ๎าตามตํอไปวํา “หนังสือคืออะไร” ทําไมจึงมีประโยชน์มากมายถึง
เพียงนี้ และอาจจะมีคําถามรัวๆ ตามมาวํา หนังสือชํวยเราอยํางไรบ๎าง
ชวํ ยตอนไหน เวลาใด และชวํ ยอยํางไร คาํ ตอบอยใํู นคาํ ประพันธ์ตอํ ไปนี้
สกั วาหนงั สือคือเพ่อื นชพี คอื ประทีปสอํ งทางสวาํ งไสว
คือเคร่ืองทิพย์โอชาอาหารใจ คือบันไดเดนิ สํปู ระตทู อง
คอื อาภรณอ์ ําพลอนั ล๎นคาํ คือศาสตราคมปลาบปราบภัยผอง
คอื สมบัตอิ ัศจรรยอ์ นั ควรปอง คือผค๎ู รองคุ๎มฉันทกุ วันเอย
สกั วาคราเศร๎าหรือคราวทุกข์ ใครชํวยปลุกปลอบกลํอมถนอมขวัญ
เม่ือร๎อนใจใครชํวยดบั ไดฉ๎ ันพลัน เวลาฉันเปล่ียวใจใครพะนอ
ฉนั หลงผิดคิดโงํดว๎ ยโมหะ ไมปํ ลํอยปละฉันไปคอื ใครหนอ
คอยชี้ทางสรา๎ งเกียรติละเอียดลออ เหมอื นแมํพํอน้ันคอื หนังสอื เอย
9 คะ บะ ชะ วะ ชอิ ง, อา้ งแลว้ , หนา๎ 36 - 92.
10 ลาํ ยอง สําเรจ็ ดี, อา้ งแล้ว, หน๎า 24.
61
สกั วามาลสี สี ดสวย หอมระรวยงามไสวอยใํู นสวน
ภมรกล้วั ช่วั ครูํเรณนู วล กแ็ ปรปรวนโรยรามถิ าวร
มิสู๎ดอกอกั ษรขจรจบ กลิ่นตลบกล่ินสลวยสวยสลอน
เชญิ เดด็ ดมชมพันธ์ุคันธขจร สวนอักษรหนังสอื เล่อื งลือเอย11
บทสกั วา 3 บทนี้ เปน็ บทสักวาที่ได๎รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด
บทสักวา เรอ่ื ง “คุณประโยชนข์ องหนงั สือ” จากสมาคมหอสมุดแหํงประเทศไทย
ในปี 2507 เป็นผลงานของลํายอง (วงศ์สุริยะเกษม) สําเร็จดี ที่ได๎ตีพิมพ์
ในหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยนั้น อาทิ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมีสถาบันการศึกษา
ตลอดจนโรงเรียนตํางๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการคัดลอกไปใสํกรอบ
ติดไว๎ในห๎องสมุด ถึงวันน้ีอาจจะลางเลือนและสูญหายไปแล๎วตามกาลเวลา
แตอํ ยํางไรก็ตาม บทสักวา 3 บทนี้ นอกจากเปน็ ความภูมใิ จและเป็นประวัติศาสตร์
หน๎าหนึ่งในใจผ๎ูประพันธ์ ยังเป็นแรงบันดาลใจของคนหลายคนให๎หันกลับ
มามอง “หนังสือ” และใช๎หนังสือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการอํานและ
พฒั นาคุณภาพชวี ติ
เทคนิคการอ่านไม่ให้ลืม
คงปฏิเสธไมํได๎วํา “การอํานออกเสียงหรือการอํานในใจ การอํานผลงาน
ประเภทใดๆ ไมํวําจะเป็นประเภทร๎อยแก๎วหรือร๎อยกรอง หรืออํานหนังสือ
จํานวนมากมายมหาศาลเพียงใด ก็คงหาประโยชน์มิได๎ หากทํานอํานแล๎ว
จําสาระที่เปน็ ประโยชนไ์ มไํ ด๎ หรอื อาํ นแล๎วลืม...”
ในเรื่องเทคนิคการอํานไมํให๎ลืม12 มีกฎ 7 ข๎อ ที่ชํวยให๎จําเน้ือหาของ
หนังสอื ได๎ไมํลืม อนั เป็นกฎทสี่ าํ คญั ท่ีสดุ สรุปไดด๎ งั น้ี
11 ลํายอง สําเร็จดี, การเขียนเชิงสร้างสรรค์, (พิษณุโลก : พี.เค.ดีไซน์, 2563),
หนา๎ 128.
12 คะ บะ ชะ วะ ชิอง, อ้างแลว้ , หน๎า 96 - 118.
62
1. จาํ เนอ้ื หาใหไ๎ ดแ๎ ลว๎ “สงํ ออก” ให๎ได๎ 3 คร้ังใน 1 สัปดาห์ แล๎วสมอง
จะจาํ เรอ่ื งน้ันไดไ๎ มลํ มื ทาํ ได๎คอื “เมื่อรบั ขอ๎ มลู เขา๎ สํวนสมองแล๎ว ต๎องสํงข๎อมูล
ออกให๎ได๎ 3 - 4 ครั้ง ภายใน 7 - 10 วัน” นี่คืองานวิจัยทางประสาทวิทยา
หลายชิ้นที่ได๎ข๎อสรุปตรงกันวําเป็นเทคนิคการจําท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เนื่องจากเม่ือสมองของคนเรารับข๎อมูลจํานวนมหาศาลเข๎ามาทุกวัน การเก็บ
ข๎อมูลท้ังหมดเอาไว๎ถือเป็นงานหนักเกินไป สมองจึงใช๎วิธีลบข๎อมูลสํวนใหญํ
ท่ีรับมา โดยยึดเอา “ระดับความสําคัญ” ของข๎อมูลเป็นเกณฑ์วําจะจําเอาไว๎
หรือลบท้ิงไป เกณฑ์ที่สมองตัดสิน “ระดับความสําคัญ” ไมํมีอะไรซับซ๎อน
เพียงแตํเป็น “ข๎อมูลที่เรียกใช๎บํอย” หรือเป็น “เร่ืองที่จะกระต๎ุนความร๎ูสึก”
สมองก็จะถือวํา “เป็นข๎อมูลสําคัญที่ต๎องจําไว๎” ดังนั้น “ข๎อมูลที่ถูกเรียกใช๎บํอย”
ในท่ีน้ีหมายถึง “ข๎อมูลท่ีมีการสํงออก 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 สัปดาห์” อยํางไรก็ตาม
ระหวํางท่ีอยํูในชํวง “จัดเก็บช่ัวคราว” หากมีข๎อมูลไหนถูกเรียกไปใช๎งาน
2 - 3 ครั้งขึ้นไป สมองจะตัดสินวําเป็น “ข๎อมูลสําคัญ” และย๎ายมันไปเก็บไว๎
ในกลีบขมับ ซ่ึงทําหน๎าที่เป็น “คลังเก็บความทรงจํา” ทันทีที่ข๎อมูลถูกเก็บไว๎
ในสมองกลีบขมับมนั จะกลายเปน็ ความทรงจําท่ลี มื ได๎ยากทันที
2. วิธี “สงํ ออก” ข๎อมลู ท่ีชวํ ยให๎จาํ ไดไ๎ มํลืม ทาํ ได๎ 4 วิธีดังนี้ 1) อํานหนังสือ
พร๎อมท้ังจดโน๎ตสํวนสําคัญ 2) เลําเน้ือหาในหนังสือให๎คนอ่ืนฟัง หรือแนะนํา
หนังสือให๎คนอน่ื อาํ น 3) แบงํ ปนั ความรู๎สกึ สง่ิ ทฉี่ กุ คิด คําคมลงบนเฟซบ๏ุกหรือ
ทวิตเตอร์ 4) เขียนบทวิจารณ์หรืออีเมล์ จดหมายขําว การปฏิบัติท้ัง 4 วิธีน้ี
เป็นการกระต๎ุนสื่อประสาทท่ีชํวยเพ่ิมประสิทธิภาพความจําได๎อยํางแมํนยํา
และยาวนาน
3. อํานในยามวํางชํวงส้ันๆ การอํานหนังสือขณะวํางชํวงสั้นๆ จะชํวย
ให๎อํานหนังสือได๎มาก เดือนละหลายเลํม คนที่ยุํงกับการงานหรือการเรียน
จนไมํมีเวลาอํานหนังสือ แตํกลับมามีเวลาเลํนสมาร์ทโฟน ขณะเดินทางหรือ
นั่งรออะไรบางอยํางเป็นการเสียเวลาโดยเปลําประโยชน์ หากบริหารเวลาดีๆ
ยังสามารถอํานหนงั สือได๎หลายเลํม เพียงแตํอํานหนังสือชํวงวํางสั้นๆ ประมาณ
10 เปอรเ์ ซ็นต์ของชวี ติ นาํ ไปใช๎ “ลงทนุ เพือ่ วนั ข๎างหนา๎ ” ดว๎ ยการอํานหนังสือ
ชวี ติ กเ็ ปลีย่ นแล๎ว
63
4. ตัดสินใจวําจะอํานหนังสือเลํมไหนในแตํละวันกํอนออกจากบ๎าน
แลว๎ จะอํานหนงั สอื ไดว๎ ันละเลมํ โดยใช๎เวลาขณะวําง โดยพกพาหนังสือเลํมนั้น
ไปด๎วยทุกที่ และตั้งเป้าหมายวําจะอํานให๎จบ “การจํากัดเวลาจะสร๎างความ
กดดันให๎ตัวเอง ทําให๎เรามีสมาธิมากขึ้น ท้ังยังเป็นการกระต๎ุนส่ือประสาท
ท่ีชํวยเพิ่มประสิทธิภาพความจําให๎หล่ังออกมา สมองของเราจึงจดจําเนื้อหา
ท่อี าํ นไดด๎ กี วําเดิม”
5. ทําความเข๎าใจเน้ือหา อํานให๎เข๎าใจอยํางลึกซึ้งจนสามารถพูดคุย
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือได๎ ถ๎าทําไมํได๎ก็ไมํตํางกับการไมํได๎อําน
การท่อี ํานแล๎วสามารถบรรยายความร๎สู ึกนักคิดของตัวเองออกมาได๎ “สํงออก” ได๎
อธิบายเนื้อหาของหนังสือ รวมท้ังพูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นเก่ียวกับ
หนังสือได๎ นั่นหมายถึงคุณภาพของการอํานที่ใสํใจในเน้ือหาครบถ๎วนมากกวํา
การอํานเร็ว แตํจาํ อะไรไมํได๎
6. “อํานตีความ” กํอน “อํานเร็ว” ในภายหลัง การอํานที่มีคุณภาพ
ต๎องทําความเข๎าใจลึกลงไปถึงแกํนของหนังสือแบบนี้วํา “การอํานตีความ”
ซ่ึงจะทําได๎เมื่อฝึกอํานมากๆ และหม่ันถํายทอดข๎อมูลที่ได๎จากการอําน
เม่อื อาํ นตีความจนชํานาญแล๎ว ควรฝึก “อํานเร็ว” ซึ่งบางคนจําเป็นต๎องเรียน
คอร์ส “เทคนิคการอํานเร็ว” เพ่ือเพิ่มความเร็วในการอํานหลังจากฝึกเรื่อง
การอาํ นตีความจนเขา๎ ใจเน้อื หาของหนงั สือได๎
7. แนะนําหนังสือให๎คนอ่ืน การพูดและแนะนําเป็นวิธีสํงออกข๎อมูล
ที่วําดีท่ีสุด การพูดถึงความรู๎สึกหรือการแนะนําหนังสือเป็นการบังคับให๎ได๎
เรียกขอ๎ มูลท่เี ก็บไว๎ในสมองออกมาใช๎ จะชํวยให๎ย่ิงจดจําสิ่งที่อํานได๎ดีขึ้น วิธีนี้
ไมํเพยี งแตํพูดวําหนงั สือที่อําน “สนกุ ” หรือ “มีประโยชน์” แตํต๎องสรุปประเด็น
สําคัญของหนังสือแล๎ว อธิบายให๎คนฟังเห็นภาพให๎ได๎วําหนังสือเลํมนั้น
มปี ระโยชน์อยํางไร เปน็ สงํ ออก “ข๎อมูลรอบดา๎ น” จะทําได๎เม่ือมีทักษะในการอําน
เพียงพอและผํานการไตรํตรองอยํางถี่ถ๎วน มันจะชํวยพัฒนาทักษะการอําน
ให๎ดยี ิ่งข้ึน
64
มวี ิธีเลอื กหนังสือดีได้อยา่ งไร
นอกจากกฎการอํานแล๎วจําได๎ไมํลืมของจิตแพทย์ดังกลําวมาแล๎ว
ยังมีประเดน็ อืน่ ๆ ท่ีสาํ คญั และไมํควรมองขา๎ มในเรือ่ งการเลือกหนงั สอื ดงั น้ี13
1. เทคนิคการเลือกหนังสือ ถ๎ารู๎วําควรเลือกหนังสืออยํางไร เราก็จะ
ได๎หนังสือท่ีตอบโจทย์ชีวิตเรา ความถูกหรือแพงไมํได๎ตัดสินกันที่ราคา
แตํขึ้นอยํูกับความร๎ูสึกของแตํละคนวําเราได๎อะไรจากหนังสือนั้น การได๎อําน
หนงั สือทีต่ อบโจทย์คือทางลดั ที่ทาํ ใหเ๎ ราเกํงขนึ้ รวดเร็วท่สี ุด
2. เลือกหนังสือที่เหมาะสมกับระดับความร๎ูของตนเองในขณะน้ัน
บรรดามอื ใหมมํ ักอยากข๎ามข้นั ไปเรียน “ความร๎ูข้ันสูง” เพราะรู๎สึกวําคุ๎มคํากวํา
ทั้งเปน็ ความทา๎ ทายทเี่ กินความพอดี ซง่ึ ไมเํ กดิ ประโยชนอ์ นั ใด
3. เร่ิมการอาํ น “คูํมือเบอ้ื งตน๎ ” เพอื่ ทําความเข๎าใจข๎อมูลพ้ืนฐานและ
ภาพรวมทั้งหมดกํอน จึงขยับไปอํานเลํมท่ีถือเป็นฉบับคลาสสิก ทํานก็จะอําน
รเ๎ู ร่อื งไดต๎ ามท่ีคาดหวงั
4. ใช๎วธิ ีพง่ึ คนอ่ืน ลองอาํ นหนังสอื ที่ “คนทเ่ี ราช่ืนชม” เขียนหรือแนะนํา
ใหอ๎ าํ น เพราะหนังสือท่ีเขาแนะนํายอํ มมีสํวนชํวยบํมเพาะให๎เขาเป็นคนแบบท่ี
ทํานชื่นชมในทุกวันนี้ จึงมีโอกาสสูงมากท่ีมันจะเป็นหนังสือที่ตอบโจทย์ของ
เราได๎เชนํ กัน
5. เลือกหนังสือโดยอาศัยคําแนะนําของเพ่ือนบนฟีดขําวเฟซบ๏ุก
มาชํวยเลือก ข๎อความท่ีบนฟีดขําวของเฟซบ๏ุกมักเป็นข๎อความอยํางเชํน
“อํานหนังสอื เลมํ นแี้ ล๎ว” หรอื ไมกํ ็ “วันนอ้ี ํานหนังสือเลํมนี้” หากพบวํามีอะไร
บางอยํางที่คล๎ายคลึงกับเรา เชํน อาชีพ งานอดิเรก รสนิยม แนวคิด หรือ
มุมมองชีวิต นอกจากนี้เพื่อนในเฟซบุ๏กจํานวนไมํน๎อยเป็นคนที่เรารู๎จักอยํูแล๎ว
จงึ ร๎ูวําแตํละคนเชย่ี วชาญด๎านใดและมรี สนยิ มอยาํ งไร
13 คะ บะ ชะ วะ ชอิ ง, อา้ งแล้ว, หนา๎ 183 - 197.
65
6. ฟังความเห็นของผ๎ูเช่ียวชาญในสาขาตํางๆ มักแนะนําหนังสือดีๆ
ที่ตัวเองเคยอาํ น ซ่ึงจะพบได๎ในคอลัมน์วิจารณ์หนังสือที่ลงในหนังสือพิมพ์หรือ
นิตยสารรายสัปดาห์ ผ๎ูเชี่ยวชาญท่ีให๎คําแนะนําเป็นเหมือนไกด์ท่ีนําทางเรา
ไปสํคู วามสําเรจ็
7. เลือกหนังสือโดยยึดตัวเองเป็นท่ีต้ัง กลําวคือเลือกหนังสือท่ี
อยากอําน แทนท่ีจะเลือกหนังสือขายดี การทําตามคนอื่นก็เป็นผลเสี ย
อาจเกิดความเครียดตามมา ดังนั้น ทุกคร้ังที่เลือกหนังสือจึงควรถามตัวเอง
กํอนวําอยากอํานหนังสือเลมํ น้นั จรงิ ๆ
การส่ือสารยุคใหมต่ ้องอาศัยการฟัง
ชาวพุทธท้ังหลายคงจําคําสอนนี้ได๎ “ฟังดียํอมมีปัญญา และปัญญา
ยํอมทําให๎เกิดแสงสวําง” คําสอนของพระพุทธเจ๎าเป็นอมตะนิรันดร์กาล
มนุษย์สนใจศึกษาหาความร๎ูโดยอาศัยการฟัง การอําน และวิธีการอื่นๆ
โดยเฉพาะโลกยุคใหมํที่อาศัยส่ือดิจิทัลเป็นลมหายใจ การฟังท่ีดีหรือผ๎ูมีทักษะ
ในการฟังจะทําให๎เกิดประโยชน์ท้ังตํอตนเองและสังคมในด๎านความร๎ู
สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ความคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ และการตัดสินใจ
แล๎วนําไปถํายทอดเป็นภาษา เป็นหนังสือและสื่อสารด๎วยการเขียนในรูปแบบ
ใหมํที่ไมํเครํงครัดในเร่ืองไวยากรณ์และการใช๎ภาษา หวังเพียงสื่อสาร
เพื่อความเข๎าใจในกลํุมคนในวัยตํางๆ หรือในกลุํมอาชีพตํางๆ มีศัพท์สแลง
ศัพท์เฉพาะ ศัพท์เกิดใหมํปะปนและใช๎กันอยํางแพรํหลาย บ๎างก็มีลักษณะ
เป็นสวํ นตัว สวํ นหน่ึงเปน็ การระบายอารมณ์และสํวนใหญํเป็นการวิพากษ์วิจารณ์
แสดงความคดิ เห็น เนือ้ หามที งั้ เร่ืองเบาๆ เร่ืองสนุกๆ เรื่องแปลก เร่ืองผํอนคลาย
เร่อื งใหแ๎ งํคิด และเรื่องราวท่ีเป็นทางการ เป็นประกาศ เป็นคําเตือน เป็นข๎อควร
ระวงั ในเรื่องราวขําวสารท่ีบรรจใุ นส่ือดิจิทัลประเภทตาํ งๆ
นักอํานยุคใหมํต๎องมีความสามารถรอบตัว จึงจะกล่ันกรองข๎อมูล
ขําวสารทต่ี ๎องการได๎ในภาวะท่ีคนจํานวนมากมหาศาลหันหน๎าเข๎าหาคอมพิวเตอร์
หรือจับจ๎องที่สมาร์ทโฟนในมือ ถ๎าถามวํา “ทําอะไรอยํู” ก็จะได๎รับคําตอบวํา
66
“แตํละวันมีอเี มลข์ ยะสํงเข๎ามามากมาย” จะต๎องลบท้ิงและเสยี เวลาเป็นช่ัวโมง
ปัญหาทีท่ ุกคนหรือทุกบริษัท ทุกองคก์ รตอ๎ งประสบ แตเํ ม่ือกเู กิลเปิดให๎บริการ
อีเมล์ทมี่ ีช่อื วํา “จเี มล์ (Gmail)” ท่ีมรี ะบบคดั กรองขยะได๎อยํางรวดเร็วในเวลา
ไมถํ งึ 10 วนิ าที ในกรณที ีต่ อ๎ งใชอ๎ เี มลบ์ ริษทั หรือหนํวยงาน ทําได๎โดยการสร๎าง
บัญชีจีเมล์ข้ึนมาอีกหนึ่งบัญชี แล๎วสํงตํอเมล์ท้ังหมดที่มีอยํูในองค์กรของเรา
เข๎าจีเมลฺเทํานี้ก็ประหยัดเวลามหาศาล และได๎ข๎อมูลที่ผํานการคัดครองอยําง
ถกู ตอ๎ งแล๎ว14
ความยํุงยากในการอํานเร่ืองราวขําวสารในสื่อยุคใหมํท่ี “มาเร็วไปเร็ว”
จึงต๎องใช๎ทักษะ “การอํานเร็ว” และอํานในใจแทบท้ังสิ้น ทั้งยังใช๎ทักษะ
ในการอํานแบบยํอความ สรุปความ หากอยากบอกตํอก็กดไลน์ กดแชร์
และต๎องตัดสินใจอยํางรวดเร็ว ผํานการกล่ันกรองแบบหยาบๆ เรื่องราวท่ี
ให๎ความรู๎สึกจะเกิดอารมณ์รํวมอยํางฉับพลันมากกวําการฟังหรือการอําน
อยํางมีวิจารณญาณ หากเกิดกับผู๎มีประสบการณ์น๎อยท่ีเผลอสํงข๎อมูลตํอๆ
หมุนเวียนกันไปโดยไมํรู๎กฎหมาย ไมํรู๎สิทธิ ไมํร๎ูจารีตประเพณี และไมํร๎ู
กาลเทศะจนเกดิ คดีฟอ้ งร๎องกันมากมายในปจั จุบนั
ดังได๎กลําวแล๎ววําภาษาเพื่อการสื่อสาร คือ การฟัง พูด อําน และ
เขียนนั้น มิอาจแยกฝึกเพียงโดดๆ เพียงทักษะใดทักษะหนึ่ง การฟังต๎องอาศัย
การพูด การพูดต๎องอาศัยการอําน การเขียน เป็นต๎น การส่ือสารยุคใหมํต๎อง
อาศัยทักษะทั้งสี่เป็นพิเศษ อยํางไรก็ตาม จุดมํุงหมายของการฟังอาจมี
ข๎อปลีกยํอยอีกสําหรับผ๎ูฟังแตํละคนแตํละกลํุม ดังนั้น การฟังเพ่ือให๎ประสบ
ผลสําเร็จควรมีการจดบันทึกหัวข๎อหลัก จับใจความสําคัญของเรื่องน้ัน ๆ
เพ่ือชวํ ยความจาํ หรือการนาํ ไปรวบรวมตพี ิมพเ์ ผยแพรํตํอไป
14 คะ บะ ชะ วะ ชอิ ง, อา้ งแลว้ , หนา๎ 34.
67
กระบวนการฟงั
ปรยี า หริ ญั ประดิษฐ์ (2532 : 24) ได๎ลําดับกระบวนการฟังของมนุษย์
มี 6 ระดบั ดงั น้ี15
1. การได๎ยิน (Hearing) เป็นระดับต๎นของการฟังที่มนุษย์สามารถ
ทําได๎โดยงําย โดยรับเสียงท่ีผํานเข๎ามาในโสตประสาท แม๎จะเป็นส่ิงท่ีไมํเคย
ร๎ูจักไมํเคยได๎ยินมากํอนก็ตาม และเสียงท่ีได๎ยินนั้นอาจผํานเลยไปจาก
ความร๎ูสึกหรือความสนใจกไ็ ด๎
2. แยก (Matching) เมื่อรับเสียงมาได๎ ถ๎าหากเป็นการฟังอยํางตั้งใจ
หรือมีสมาธิ สมองและจิตใจก็จะเริ่มแยกเสียง แยกพยางค์ท่ีรับมาได๎นํามาจับ
เข๎าคูํกัน หรือเทียบเคียงเสียงวําเหมือนกันหรือแตกตํางกัน แล๎วนําไปโยงเข๎า
กับประสบการณ์เดิมทีเ่ คยรับฟังมาแลว๎
3. รับ (Accepting) หลังจากโยงเสียงเข๎ากับประสบการณ์เดิมของ
ตนแลว๎ ผูฟ๎ ังจะรับวําเสยี งทไ่ี ดย๎ นิ น้ันเปน็ ภาษาที่ตนเองรู๎จักหรือส่ือความหมาย
ได๎หรอื ไมํ
4. ความ (Interpreting) เมอื่ รบั วาํ เป็นภาษาท่ีตนเองรูจ๎ ัก
5. เข๎าใจ (Understanding) เมื่อตีความได๎แล๎วผ๎ูฟังยํอมจะเกิด
ความเข๎าใจสารน้ัน โดยอาศัยความคิดและประสบการณ์เดิมของผ๎ูฟัง ถ๎ามี
ประสบการณ์มากเกี่ยวกับสารท่ีได๎ฟังจะเข๎าใจได๎งํายและรวดเร็ว แตํถ๎ามี
ประสบการณน์ ๎อยจะเขา๎ ใจได๎ยากต๎องอาศยั เวลาคดิ หรือหาขอ๎ มลู เพม่ิ เติม
6. เช่อื (Believing) การทีผ่ ๎ูฟงั จะตัดสินวําส่ิงที่ได๎ยินมานั้น ยอมรับได๎
หรือไมํ เชื่อถือ ได๎หรือไมํ หรือเป็นความจริงเพียงใด ยํอมต๎องอาศัยความคิด
ความรู๎และประสบการณเ์ ดมิ เปน็ เครอื่ งชวํ ยในการพิจารณา
15 ปรชี า หริ ญั ประดิษฐ,์ การใชภ้ าษาไทยในวงราชการ, พิมพค์ ร้ังท่ี 2, (กรุงเทพฯ :
โอ.เอส.พรน้ิ ต้งิ เฮาส์, 2532), หนา๎ 24.
68
ลักษณะของการฟังทีด่ ีและมารยาทในการฟงั
พิศเพลิน สงวนพงศ์ ได๎อธิบายเก่ียวกับการฟังที่ดีหรือการฟังท่ีมี
ประสทิ ธิภาพไดอ๎ ยํางละเอยี ด ดังนี้16
1. ผ๎ูฟังมีประสาทหูไว จับเสียงได๎รวดเร็วและถูกต๎อง ถึงแม๎วําผ๎ูพูด
จะมีระดบั เสียงผิดปกตอิ ยํางไรกส็ ามารถฟังได๎อยํางรเ๎ู ร่ือง
2. ผ๎ูฟังต๎องมีสมาธิแนํวแนํ ไมํวอกแวก ใจลอย สามารถอดทนตํอ
ส่ิงรบกวนได๎ เชํน เสียงรบกวนจากยวดยานพาหนะ หรือเครื่องจักรตํางๆ
เปน็ ตน๎
3. มีพื้นฐานความร๎ูหรือประสบการณ์ในเรื่องที่กําลังฟังพอสมควร
จะได๎ใช๎ความคิดติดตามถ๎อยคําของผ๎ูพูด ตลอดจนสามารถสร๎างมโนภาพ
ตามได๎
4. มีพื้นฐานความรู๎ทางภาษาพอสมควร เชํน รู๎จักถ๎อยคํามากมาย
ท้ังคําสามัญ คําราชาศัพท์ คําเฉพาะทางวิชาการ ถ๎าผ๎ูฟังรู๎จักคํามากเพียงใด
ก็สามารถเข๎าใจผู๎พูดได๎มากเพียงน้ัน นอกจากนี้ความร๎ูในเรื่องสํานวน โวหาร
คําพังเพย คําสุภาษิต จะชํวยให๎ผ๎ูฟังเข๎าใจเรื่องที่ผู๎พูดอ๎างถึงและรู๎สึกโยงเร่ือง
ให๎ไปสัมพนั ธก์ บั ความหมายทเ่ี หมาะสมได๎
5. มีจิตใจกว๎างขวางยอมรับฟังความคิดเห็นของผู๎อ่ืนที่ตํางออกไป
หรือทีข่ ัดแยง๎ ตรงกันขา๎ มกบั ความคิดของตัวเอง
6. มที ัศนคติที่เป็นธรรมตํอผ๎ูพูด หรือไมํต้ังข๎อรังเกียจไว๎ลํวงหน๎า เชํน
คิดวําผู๎พูดไมํมีความรู๎ หรืออายุน๎อย เป็นต๎น การมีทัศนคติท่ีดีตํอผู๎พูดจะเป็น
การชวํ ยให๎ฟังไดอ๎ ยาํ งเข๎าใจราบรนื่
7. มีความสังเกตที่รอบคอบและมีวิจารณญาณท่ีเฉียบคม สามารถ
แยกแยะได๎วําสํวน ใดเป็นเน้ือหาสําคัญ สํวนใดเป็นบทความละเอียดหรือ
กระพ้ี ตอนใดเปน็ อุทาหรณ์ ข๎อเทจ็ จรงิ ข๎อคิดเหน็ ข๎อสันนษิ ฐาน และอื่นๆ
16 เพลนิ พศิ สงวนพงศ์, ภาษาไทยธุรกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
วชั รินทร์การพิมพ์, 2532), หนา๎ 17 - 18.
69
8. ผู๎ฟังสามารถจับใจความสําคัญได๎ นําไปถํายทอดผู๎อื่นได๎ครบถ๎วน
ถกู ต๎องหรือ นาํ ไปใช๎ประโยชน์ได๎
9. ต๎องมีจุดประสงค์ในการฟัง ไมํฟังอยํางเลื่อนลอย จะได๎ไมํเป็นการ
ฟังโดยเสียเวลาเปลํา ควรฟังอยํางตั้งใจและคิดตามไปด๎วยวําผู๎พูดพูดอะไร
เหตุใดจงึ พดู เชํนน้นั หมายความวําอะไร มจี ุดประสงค์อยํางไร เปน็ ตน๎
10. ฟงั อยาํ งสํารวมและมีมารยาทในการฟัง มารยาทในการฟังเป็นสิ่ง
ทีผ่ ๎ฟู งั ควรให๎ความสาํ คญั และถือปฏิบัติ
11. หลังการฟงั ผ๎พู ูดควรมีเวลาสาํ หรับคิดทบทวนเรื่องราวตํางๆ ท่ีฟัง
ไปแล๎วนั้นตรงกับข๎อเท็จจริงและมีเหตุผลนําเชื่อถือเพียงใด ได๎ประโยชน์
หรือไมํ และรู๎จกั นําความรห๎ู รือขอ๎ เทจ็ จริงตาํ งๆ ที่ได๎จากการฟังไปใช๎ประโยชน์
ตามโอกาสอันควร
ขอ๎ ปฏิบตั ิขา๎ งต๎นเพอ่ื มารยาทในการฟังมีข๎อควรระวัง ดังน้ี
1. ฟังดว๎ ยความสนใจ ผู๎ฟังควรแสดงสหี น๎าทําทีวําสนใจผู๎พูด ไมํแสดง
ความเหน่ือยหนาํ ยใหเ๎ ห็น
2. รู๎จักแทรกคําถามในบางโอกาส เชํน ในการสนทนาไมํเป็นผู๎รับฟัง
อยาํ งเดยี วหรือในการอภปิ รายเมอ่ื มีโอกาสควรตง้ั คําถามเพื่อรวํ มอภิปรายด๎วย
3. ถ๎าเป็นการฟังในที่ประชุม อาจเป็นห๎องประชุมหรือชุมนุมชน
ควรปฏบิ ัตดิ ังนี้
3.1 เมอื่ ประธานหรือผ๎รู วํ มประชมุ คนอ่นื พดู ต๎องต้งั ใจฟัง
3.2 ไมํควรซุบซิบหรอื พดู คยุ จนเปน็ ที่นาํ ราํ คาญ
3.3 ไมํควรพูดแซงขนึ้ ต๎องฟังให๎จบกํอนจงึ ยกมือขออนุญาตพูด
3.4 ไมคํ วรทํากจิ ธุระอยาํ งอน่ื เชนํ เอาหนังสอื มาอําน
3.5 ถา๎ ชอบใจผพู๎ ูด เม่ือพดู ได๎ดถี กู ใจกป็ รบมือให๎อยาํ งสภุ าพ
3.6 ถ๎าไมํพอใจก็ควรอยูํในอาการสํารวม ไมํโหํ ฮาป่า แสดงกิริยา
ไมสํ ุภาพ
70
3.7 ไมํลุกออกไปนอกห๎องในขณะผ๎ูพูดกําลังพูดอยํู ถ๎ามีความ
จําเปน็ จริงๆ ต๎อง แสดงคารวะตอํ ผูพ๎ ูดเสยี กอํ น
เม่อื ฟงั อยเํู ฉพาะหนา๎ ผู๎ใหญํ ควรปฏิบัติ ดงั นี้
1. พงึ สํารวมกิรยิ ามารยาทใหเ๎ รียบรอ๎ ย
2. สบตาผู๎พูดเป็นครั้งคราว แตํไมํถึงกบั จ๎องหนา๎
3. ไมชํ งิ พดู กลางคันกํอนคูสํ นทนาพูดจบ ถา๎ จําเปน็ ต๎องขออนุญาตกํอน
4. ถา๎ ไมเํ ข๎าใจควรถามกอํ นพดู จบ
5. เมื่อพูดจบ กํอนลาจากอยําลืมแสดงความเคารพอําลาหรือกลําว
คําขอบคุณตามความเหมาะสม
ประโยชนใ์ นการฟัง
การฟังเป็นกระบวนการเรียนรู๎อยํางหน่ึงของมนุษย์ท่ีกํอประโยชน์
ท้ังตนเองและสังคม ถ๎าผ๎ูพูดมีสมรรถภาพในการฟังที่ดี กลําวคือ การฟัง
จะชํวยให๎ผู๎ฟังเป็นคนมีความรู๎ มีความคิดเข๎าใจ ในสิ่งท่ีเกิดข้ึนรอบตัวและ
มีมนุษยสัมพันธ์ สามารถปรับตัวเข๎ากับสถานการณ์ตํางๆ ได๎เป็นอยํางดี
อันกํอให๎เกิดความเข๎าใจ ความรํวมมือรํวมใจในการทํากิจกรรมอันใดอันหน่ึง
ให๎ประสบผลสําเร็จ ประโยชนข์ องการฟังกลําวสรุปได๎ ดงั น้ี
1. การฟังเปน็ การสะสมความรู๎และประสบการณ์ให๎กับตนเองท้ังทางตรง
และทางออ๎ ม ถา๎ ผู๎ฟังร๎ูจักเลือกฟงั
2. การฟังทําให๎รับทราบความร๎ูสึกนึกคิดหรือความคิดเห็นของผู๎อื่น
ทําให๎ผูฟ๎ ังมีจติ ใจกว๎างและสามารถรวบรวมขอ๎ เท็จจริงนําไปสํูการใช๎วิจารณญาณ
ในการตดั สินใจ
3. การฟังท่ีดียํอมชํวยพัฒนาทักษะทางด๎านการใช๎ภาษา เชํน ได๎รับร๎ู
คําศัพท์สํานวนใหมํๆ และข๎อดีข๎อเสียของการใช๎ภาษาของผู๎อื่น แล๎วนํามา
ปรับปรุงในการพัฒนาตน ทําให๎เกิดความมั่นใจ ตลอดจนเห็นแนวทางในการ
ใชภ๎ าษาทถี่ ูกต๎อง
71
4. การฟังทด่ี ีเป็นพฤตกิ รรมท่ีนําไปสูํบุคลิกลักษณะที่ดีตํอบุคคลท่ัวไป
โดยเฉพาะนักธุรกิจจะเป็นการเสริมบุคลิกภาพ ทําให๎อารมณ์ดี มีมนุษยสัมพันธ์
และเขา๎ สังคมไดง๎ าํ ย
5. การฟังที่ดสี ามารถแก๎ไขปัญหาทางธุรกิจได๎ เชํน ตําแหนํงประธาน
ตําแหนํงหัวหน๎า หรือตําแหนํงผู๎จัดการได๎ฟังเรื่องราวข๎อคิดเห็นจากเพื่อน
รํวมงาน แลว๎ นาํ ไปพิจารณาแก๎ไขปญั หาเพ่ือมิใหเ๎ กดิ ปัญหาขน้ึ อีก
6. การฟังเป็นการใช๎เวลาให๎ผํอนคลายความตึงเครียดโดยไมํส้ินเปลือง
เชํน การฟัง เพลง ฟังขําวสารการจราจรในขณะขับข่ีรถยนต์ หรือหยุดพักรถ
ขณะเดินทาง ทําให๎ได๎รับความเพลิดเพลินและทราบความเคล่ือนไหวตํอ
เหตุการณ์ตํางๆ ที่เกิดข้ึนในปัจจุบันและอนาคต เพื่อนําไปสูํการแก๎ปัญหาได๎
ทันทํวงที
ลักษณะของการอา่ นในใจ
การอํานในใจแตกตํางจากการอํานออกเสียงตรงท่ีการอํานในใจ
เป็นการแปลตัวอักษรออกมาเป็นความคิด โดยมีจุดประสงค์เพื่อต๎องการให๎
เกดิ ความรหู๎ รือความบนั เทิงเปน็ อนั ดบั แรกเสียกํอน แล๎วจึงนําความรู๎ ความคิด
หรอื ความบนั เทิงที่ไดจ๎ ากการอํานน้นั ไปถํายทอดให๎กับคนอ่ืนได๎รับรู๎อีกทีหน่ึง
สํวนการอํานออกเสียง นอกจากจะต๎องแปลตัวอักษรออกมาเป็นความคิดแล๎ว
เรายังต๎องเปลํงเสยี งใหค๎ นอนื่ ไดร๎ บั ร๎ูไปพร๎อมๆ กบั การอํานอีกด๎วย
ส่ิงสําคัญของการอํานในใจน้ันก็คือ เราจะต๎องทราบความหมาย
ของข๎อความที่ได๎อํานเป็นสํวนรวม และต๎องจับใจความของเร่ืองให๎ได๎ ฉะน้ัน
สํวนใดทเี่ ปน็ พลความกอ็ ํานผาํ นไปโดยเร็วได๎ แตํการอํานออกเสียง เราจะผําน
หรือข๎ามข๎อความใด ๆ ไมํได๎เลย ไมํวําจะเป็นใจความสําคัญหรือพลความ
เราต๎องอํานท้ังหมด หรือจะเรํงอํานเร็วๆ ให๎ผํานๆ ไปไมํได๎ เพราะจะต๎อง
คํานงึ ถึงผ๎ูฟังด๎วย
72
ข๎อแตกตํางระหวํางการอํานในใจกับการอํานออกเสียงอีกอยํางหนึ่งก็คือ
การอํานในใจทําให๎เข๎าใจเนื้อความได๎เร็วกวําการอํานออกเสียง เพราะไมํต๎อง
แบํงใจไว๎แปลความคิดเป็นเสียงอยํางการอํานออกเสียง การอํานในใจเม่ือเบ่ือ
ก็หยดุ พกั ได๎ เมือ่ ไมเํ ขา๎ ใจความหมายกย็ อ๎ นกลบั ไปอํานอีกได๎17
นักศึกษาจํานวนไมํใชํน๎อยท่ีประสบความล๎มเหลวอยํางส้ินเชิง เชํน
อํานหนังสือช๎า อํานแล๎วไมํเข๎าใจหรือจําไมํได๎ ยิ่งไปกวําน้ัน บางคนพอจับหนังสือ
ขึ้นมาอําน ยังไมํครบหน๎าก็ต๎องมีอันเป็นไป คือเกิดการงํวงเหงาหาวนอน
เสียทุกที ประหน่ึงวําหนังสือเป็นยากลํอมประสาทขนานสําคัญเสียทีเดียว
ดังน้ัน เพื่อให๎การอํานบรรลุเป้าหมายของการอํานอยํางแท๎จริง จึงใครํขอ
เสนอแนะหลักของการอาํ นไวเ๎ พ่ือใหเ๎ ป็นแนวทางปฏิบัติ ดงั น้ี
1. กํอนอํานต๎องตั้งสมาธิให๎แนํวแนํหรือฝึกจิตให๎อยูํกับท่ี ไมํสนใจรูป
รส กลน่ิ เสยี ง และสมั ผัสใดๆ ทง้ั ส้นิ
2. กะระยะชํวงสายตาในขณะอํานให๎กว๎างท่ีสุดเทาํ ท่ีจะทําได๎
3. ในการวางจดุ สายตา (Fixation) น้นั ไมคํ วรวางเปน็ คําๆ ไป เพราะ
จะทําใหอ๎ าํ นได๎ชา๎
4. การเคล่ือนสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหน่ึงไมํควรให๎บํอยคร้ัง
แตคํ วรเปน็ ไปอยํางมีจงั หวะและแนนํ อน ไมสํ ํายตาไปมาตามเส๎นบรรทดั
5. ไมํควรย๎อนกลับ (Regression) เพ่ืออํานทบทวนใหมํบํอยๆ จะทําให๎
เสยี เวลาในการอาํ นมาก
6. การเปล่ียนแปลงบรรทัด (Back Sweep) ต๎องให๎แมํนยํา พยายาม
อยําได๎กลับไปอํานซ้ําบรรทัดเดิมอีก วิธีการฝึกระยะเริ่มแรกคือให๎ใช๎ไม๎บรรทัด
หรอื กระดาษทึบแสงวางปิดข๎อความที่อยูํบรรทัดลํางไว๎ แล๎วเล่ือนลงไปเรื่อยๆ
คํอยๆ เพ่มิ ความเร็วขึน้ จนเกิดความชาํ นาญแลว๎ จงึ คอํ ยเลกิ ใช๎
17 ปรีชา ช๎างขวัญยืน, ศิลปะการฟังการอ่าน, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์วิชาการ,
2525), หนา๎ 57.
73
7. ไมทํ าํ ปากขมุบขมบิ หรือออกเสยี งในขณะอําน
8. พยายามจับใจความสําคัญ และใจความประกอบเพ่ือจะได๎เกิด
ความร๎คู วามคิดได๎ และพิจารณาให๎เข๎าใจ
9. บนั ทึกความรู๎ ความเข๎าใจ และความคิดไวเ๎ พอ่ื ใช๎ประ โยชน์ตํอไป
10. ไมใํ ช๎นิ้วหรอื ดินสอ ปากกา ช้ีท่ีตัวหนังสือทีละตัว เพราะจะทําให๎
เกดิ จดุ สายตามาก
ลกั ษณะของงานเขยี นประเภทร้อยแกว้
ถ๎าจะพิจารณาตามลักษณะของงานเขียนแล๎วพบวํา หนังสือมีอยูํ
สองประเภทใหญํๆ ด๎วยกันคือ ร๎อยแก๎วและร๎อยกรอง เก่ียวกับการอําน
บทร๎อยกรองน้ัน ได๎กลําวมาแล๎วในบทที่ 2 ตํอจากน้ีจะได๎กลําวถึงหนังสือ
ประเภทรอ๎ ยแกว๎ ตอํ ไป
หนังสือประเภทร๎อยแก๎ว หมายถึง หนังสือที่เป็นความเรียงธรรมดา
ไมํมีลักษณะบังคับในการแตํงเหมือนประเภทร๎อยกรอง18 หนังสือประเภทน้ี
ยังแบํงออกไปอีก 3 ประเภท คือ 1) หนังสือประเภทประเภทขําวสาร
2) หนังสือประเภทผํอนคลายอารมณ์ 3) หนังสือประเภทเกี่ยวกับการเรียน
การสอน
1. หนังสอื ประเภทข่าวสาร
หนังสือประเภทน้ีแบํงออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ี 1) หนังสือพิมพ์
รายวัน 2) หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายคาบ 3) วารสาร
4) อนสุ าร หรอื จุลสาร
18 ฉัตรา บุนนาค สุวรรณ อุดมผล และวรรณี พุทธเจริญทอง, ศิลปะการใช้
ภาษาไทย, (กรุงเทพฯ: แสงจันทร์การพิมพ,์ 2526), หนา๎ 19 - 24.
74
1. วธิ ีการอ่านหนงั สอื พิมพร์ ายวนั (Newspapers)
ก า ร อํ า น ห นั ง สื อ พิ ม พ์ ร า ย วั น นั้ น จ ะต๎ อ ง อํ า น ใ ห๎ เ ป็ น ป ร ะ จํ า
การอํานบ๎างไมํอํานบ๎าง จะทําให๎ทราบขําวไมํแนํนอน บางครั้งมีการลงขําว
ผดิ พลาด และจะพบข๎อความปฏิเสธภายหลัง ถ๎าอํานไมํติดตํอกันก็อาจจะเกิด
ความเข๎าใจผดิ ข้นึ ได๎
อนึ่ง ขณะทอ่ี าํ นต๎องรู๎จกั เปรียบเทยี บ ผอ๎ู ํานไมํควรอํานหนังสอื พิมพ์
ฉบบั ใดฉบับหน่ึงแตเํ พยี งฉบบั เดยี ว อยาํ งนอ๎ ยควรอํานวันละสองฉบบั ขน้ึ ไป
ดงั นั้น การอํานหนังสือพิมพ์มิใชํส่ิงที่อํานผํานๆ ไปได๎ ตรงกันข๎าม
ผู๎อํานจะต๎องอํานอยํางพินิจพิเคราะห์ มีธรรมะในใจ ตลอดจนต๎องอํานอยําง
มกี ารเปรียบเทียบเพือ่ ทจ่ี ะหาข๎อเท็จจริงด๎วย
2. วิธีอ่านหนงั สอื พิมพ์รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายคาบ
(Periodicals)
ผู๎ที่อยูํในวัยเลําเรียนสมควรอยํางยิ่งที่จะต๎องอํานเป็นประจํา
อยํางน๎อย 1 ฉบับ เพราะนอกจากจะได๎ทราบขําวคํอนข๎างได๎ข๎อมูลที่แนํนอนแล๎ว
ยังเปน็ การฝกึ ใชค๎ วามคดิ ของตนเองไปดว๎ ย เม่ืออํานบทวิจารณ์ขําวของผู๎เขียน
กจ็ ะมีโอกาสเปรียบเทียบความคดิ ของตนเองพร๎อมกัน
3. วธิ ีอา่ นวารสาร (Magazine)
หนงั สือประเภทน้ี มีเนื้อหาสํวนใหญํหนักไปในทางด๎านวิชาการ
จึงคํอนข๎างยากสําหรับผู๎ที่มีพื้นความร๎ูหรือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องน้ันๆ
ไมํมากพอ ผ๎ูอํานอาจจะต๎องอํานมากกวําหน่ึงคร้ัง จึงจะทําความเข๎าใจได๎
ผท๎ู ี่อยูํในระหวาํ งการศกึ ษาควรอาํ นหนงั สือประเภทน้ี ดังน้ี 1) อํานเป็นประจํา
สําหรับวารสารวิชาการที่ตนสังกัดอยูํ 2) อํานวารสารวิชาการนอกสาขาที่ตนเอง
สงั กดั อยํู ทง้ั น้ี เพอ่ื ความรอบรู๎ของตนเอง
4. วธิ อี า่ นอนสุ าร หรอื จลุ สาร (Pomplets)
นักศึกษาจาํ เปน็ อยาํ งยิง่ ท่ีจะอํานอนสุ าร หรือจุลสารในสถาบัน
ทต่ี นเองสงั กัดอยูํ ตลอดจนสถาบันอื่นๆ ดว๎ ย สาํ หรับประชาชนท่ัวไป ถ๎ามีโอกาส
75
อํานจุลสารเหลํานี้ นอกจากจะมีประโยชน์ทางด๎านให๎ทราบความเป็นไปของ
สถาบนั แลว๎ ยังใหป๎ ระโยชนเ์ กี่ยวกับความรด๎ู ๎านอาชพี ตํางๆ อกี ด๎วย
2. หนังสอื ประเภทผ่อนคลายอารมณ์
หนังสือประเภทผํอนคลายอารมณ์ แบํงได๎ 2 ประเภท ดังน้ี
1) นติ ยสารเริงรมย์ 2) หนงั สือฉบบั กระเป๋า
1. วธิ ีอ่านนติ ยสารเรงิ รมย์ (Journal)
หนงั สอื ประเภทนี้ จะเนน๎ ทางดา๎ นบันเทงิ คดีในรูปของนวนิยาย
และเร่ืองสั้น นอกจากนี้ยังมีสารคดีเชิงวิชาการหรือสารคดีนําเท่ียว ตลอดจน
บทร๎อยกรอง บทความประเภทตํางๆ ในการอํานน้ัน ควรอํานอยํางสํารวจ
เนือ้ หาสาระไปด๎วย ถึงแมว๎ าํ ข๎อเขียนน้ันจะเป็นนวนยิ ายหรอื เรอื่ งสั้นกต็ าม
2. วธิ อี ่านหนังสือฉบับกระเปา๋ (Pocket book)
แตํเดิมหนังสือประเภทนี้เน๎นหนักไปในทางบันเทิงคดีและ
เป็นเร่ืองสั้น แตํปัจจุบันพวกตําราวิชาการหรือสารคดีตํางๆ ก็พิมพ์ในรูปของ
หนังสือหรือที่เราเรียกวํา หนังสือปกอํอน เน่ืองจากวําปัจจุบันน้ีมีหนังสือ
ประเภทน้ีอยูํเป็นจํานวนมาก ฉะนั้น ผ๎ูอํานจะต๎องเลือกเฉพาะเลํมท่ีเห็นวํา
มีคุณคาํ และมปี ระโยชน์คม๎ุ คําแกกํ ารอํานเทํานน้ั
3. หนงั สอื ประเภทเก่ียวกับการเรยี นการสอน
หนังสือประเภทน้ี แบํงได๎ 2 ประเภท ดังน้ี 1) การเรียนการสอน
ระดบั ทวั่ ไป 2) การเรยี นการสอนระดับอุดมศกึ ษา
1. หนงั สอื เกีย่ วกับการเรยี นการสอนระดบั ท่ัวไป ไดแ๎ กํ
1) ตําราเรียน (Text)
2) หนังสืออํานในชนั้ เรียน (Text - book)
3) หนงั สืออํานนอกช้นั เรียน (Outside reading)
4) หนังสอื คมูํ ือ (Handbook)
76
1) ตาราเรียน (Text)
ผู๎อํานต๎องอํานอยํางศึกษา เน่ืองจากเป็นหนังสือที่มีความยาก
และอํานครําวๆ ไมํได๎ ต๎องอํานอยํางน๎อยท่ีสุดสองเที่ยว คือ ครั้งแรกต๎องอําน
ให๎ตลอดกํอน ตํอจากนั้นจึงอํานอีกครั้งหน่ึง แล๎วทําบันทึกยํอซึ่งเขียนด๎วย
สํานวนของตนเอง
การทําบันทึกยํอหลังการอําน ควรมีลักษณะเป็นดังน้ี คือ
เขียนด๎วยสํานวนของตนเองใช๎ข๎อความส้ันๆ แตํให๎ได๎ความมากท่ีสุด อํานแล๎ว
เข๎าใจงําย การยํอควรมีเฉพาะเร่ืองที่สําคัญเทําน้ัน ข๎อความบางอยําง เชํน
คํานิยาม กฎตํางๆ อาจจะตอ๎ งคดั ลอกมาโดยตรง
อน่ึงหนังสือตําราวิชาการมักเรียงลําดับความยากงํายไว๎
กํอนหลังในบทตํางๆ อยํูแล๎ว การอํานหนังสือควรอํานเรียงลําดับเนื้อเร่ือง
ไมํควรอํานข๎าม เพราะอาจทาํ ให๎ไมเํ ขา๎ ใจได๎
2) หนงั สอื อา่ นในชนั้ เรียน (Text - book)
ผ๎ูอํานจะต๎องอํานอยํางละเอียดถี่ถ๎วน ขณะท่ีอํานควรมีการ
ต้ังคําถามตนเองพร๎อมกันไปด๎วย เป็นการทดสอบตนเองวําถ๎าข๎อสอบถาม
เชํนน้ีจะตอบได๎หรือไมํ การอํานทุกคร้ังต๎องพยายามทําความเข๎าใจทุกตอน
อยําให๎ตอนใดตอนหน่ึงผํานไปโดยไมํเข๎าใจ ข๎อสําคัญก็คืออํานแล๎วต๎องบันทึก
ยอํ ด๎วย
3) หนังสืออา่ นนอกชัน้ เรียน (Outside reading)
หนังสือประเภทนี้ผ๎ูสอนจะเป็นผ๎ูกําหนดวํามีหนังสืออะไรบ๎าง
ซึ่งมักจะเป็นการศึกษาด๎วยตนเองเป็นสํวนใหญํ ผ๎ูเรียนต๎องอํานให๎เข๎าใจ
เพราะหนังสือประเภทนี้ ผ๎ูสอนจะนําเนื้อเรื่องมาออกข๎อสอบด๎วย ฉะนั้น
จะต๎องอํานให๎ร๎ูเร่ืองราวท้ังหมดอยํางน๎อยหน่ึงเท่ียวเสียกํอนแล๎วจึงเลือกอําน
เฉพาะตอนที่คดิ วาํ ผส๎ู อนเนน๎ หรอื แนะนาํ ให๎อาํ น
4) หนงั สือคมู่ ือ (Handbook)
หนังสือคํูมือนี้ ผ๎ูอํานจะต๎องเลือกอํานด๎วยความระมัดระวัง
อยํางยิ่ง เพราะผู๎เขียนอาจจะแสดงทัศนคติเพียงด๎านเดียวตามความคิดและ
77
ความเข๎าใจของผู๎เขียนเอง ตัวอยํางเชํน หนังสือคํูมือวิจารณ์วรรณคดี เป็นต๎น
ดังนนั้ ผูอ๎ ํานจึงควรยึดหลักการอํานดงั นี้
1. ไมํควรอํานเฉพาะเลํมใดเลํมหน่ึง หรือของคนใดคนหนึ่ง
ควรหาหนังสือท่ีผ๎ูเขียนคนอื่นๆ เขียนในเรื่องเดียวกันมาพิจารณาเทียบเคียงกัน
เพื่อผ๎ูอํานจะได๎ทราบทัศนคติ ความคิดเห็นสํวนตัว ตลอดจนทราบแนวตํางๆ
ได๎กวา๎ งขวางยงิ่ ขน้ึ
2. อํานอยาํ งพิจารณาทง้ั เน้ือเรือ่ งและการใช๎ภาษา เพราะหนังสือ
ประเภทนี้อาจจัดพิมพ์อยํางเรํงรีบ ซึ่งอาจมีข๎อผิดพลาดทางด๎านภาษาที่ใช๎
ซง่ึ อาจเปน็ ผลรา๎ ยแกผํ เู๎ รียนผอ๎ู ํานในภายหลงั
3. ควรอํานเป็นแนวทางเทําน้นั
4. อาํ นเพือ่ ใช๎ทบทวนกํอนที่จะสอบ
2. หนังสือทีเ่ กย่ี วข้องกับการเรยี นการสอนระดบั อุดมศกึ ษา
ผ๎ูเรียนในระดับน้ีจะต๎องพบกับหนังสือประเภทตํางๆ อีก 3
ประเภท ดังนี้ 1) หนังสืออํานประกอบคําบรรยาย 2) หนังสืออํานประกอบ
3) หนังสอื อ๎างอิงหรอื หนงั สืออุเทศ
1. วิธีอ่านหนงั สือประกอบคาบรรยาย
หนังสือประเภทน้ี ผ๎ูอํานจําเป็นจะต๎องอํานกํอนที่จะเข๎าฟัง
คําบรรยาย พร๎อมกับทําบันทึกยํอไว๎ด๎วยวําตนเองยังไมํเข๎าใจข๎อความตอนใดบ๎าง
เพือ่ จะได๎นาํ มาซักถามอาจารย์ผู๎สอน การอํานมากํอนจะชํวยให๎ฟังคําบรรยาย
ได๎อยาํ งตง้ั ใจเมอื่ ถงึ เนอ้ื หาตอนน้นั ๆ
2. วิธีอา่ นหนงั สืออ่านประกอบ
ในการเรียนบางวิชา ผ๎ูสอนได๎แนะนํารายช่ือหนังสืออําน
ประกอบไว๎มากมายหลายเรือ่ ง จึงเป็นการยากท่จี ะตามหาอํานได๎ทุกเรื่อง และ
ทุกเลมํ ฉะนั้น จงึ ขอแนะนําวธิ อี ําน ดังน้ี
2.1 ตรวจพิจารณาช่ือเร่ืองของหนังสือ และช่ือของหัวข๎อ
ท่ีศกึ ษาในวิชาน้นั ๆ
78
2.2 พจิ ารณาสารบัญท่ีปรากฏในหนังสือแตํละเลมํ
2.3 คัดลอกชื่อหนังสือให๎สอดคล๎องกับหัวข๎อที่จะศึกษา
พร๎อมท้งั เขยี นหมายเลขหนา๎ ของหนงั สือกํากับไว๎ด๎วย
2.4 อํานเฉพาะตอนหรอื บทท่ีเกย่ี วขอ๎ งกบั เร่ืองท่จี ะศึกษา
2.5 จดบนั ทึกยอํ พรอ๎ มทง้ั เขียนชอ่ื หัวข๎อ ช่อื หนังสือ ชื่อผู๎แตํง
ลําดบั หนา๎ ของหนงั สือเลมํ นน้ั ใสํไว๎ในบัตรบนั ทึกขอ๎ มูล
3. วธิ อี า่ นหนงั สอื อา้ งอิงหรือหนังสอื อนเุ ทศ
หนังสือประเภทนี้ใช๎สําหรับค๎นคว๎าหาความร๎ูเพิ่มเติม
ตลอดจนใช๎ในการทํารายงานทางวิชาการด๎วย ซ่ึงในระดับอุดมศึกษาถือวํา
เป็นสิ่งสําคัญมาก วิธีอํานนั้นมีลักษณะคล๎ายคลึงกับการอํานหนังสืออําน
ประกอบ แตกํ ารจดบันทึกอาจจะตอ๎ งมีรายละเอียดเพ่มิ ขนึ้
บทสรุป โลกเปลยี่ นเป็น “ดิจิทัล” ขวัญผวา
“อํานในใจ” ท่ีกลําวมานําต่ืนเต๎น ทรงคุณคําฝากไว๎ให๎แผํนดนิ
คนรนุํ เกาํ พากเพยี รเขยี นตาํ รา ทง้ั สดใสท้ังวุนํ วายกลบั กลายสิ้น
โลกหมนุ เวยี นเปลี่ยนผนั เป็นวันใหมํ กลับต๎องบนิ ลดั ฟ้าไปหากนั
เคยทอดนอํ งเกบ็ ผกั หวานธารไหลริน สงิ่ ปลอมปนแปลกเปลีย่ นไปจนไหวหว่นั
กลับพลิกแพลงพลกิ ผนั อันตราย
ทั้งวฒั นธรรมทั้งภาษาพาสับสน จะสูญเสยี พลงั กระสบั กระสําย
เคยอาํ นเขยี นอยูอํ ยํางดที ุกวี่วนั จงผํอนคลายดว๎ ยการอาํ น...สราญเทอญ
หากหลงตามเกาะกระแสลมื แลหลัง
ตั้งสติ...ยับยง้ั ทัง้ ใจกาย ลำยอง สำเร็จดี
79
ข้อเสนอแนะ
1. ใหเ๎ ขยี นสรุปขําวหรือบทความจากหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์
รายปักษ์ หรอื รายเดอื น หรอื สอื่ ดจิ ิทัล
2. ตัดขําวจากหนังสือพิมพ์ตํางๆ เชํน ขําวตํางประเทศ ขําวเศรษฐกิจ
ขําวการศึกษา ขําวสังคม ขําวกีฬา ฯลฯ อํานแล๎วเขียนวิเคราะห์ขาวเหลํานั้น
ลงในสมดุ
3. คัดเลือกบทความท่ีเห็นวําเดํนๆ จากหนังสือพิมพ์ วารสาร จุลสาร
ฯลฯ นําแลกเปล่ียนอํานกันในช้ัน แล๎วชํวยกันอภิปรายกันวําเนื้อหาในเร่ือง
ให๎ประโยชน์ในแงํใด
4. คัดเลือกเร่ืองราวขําวสารที่นําสนใจจากส่ือดิจิทัลมานําเสนอและ
วิพากษว์ ิจารณ์ในด๎านตํางๆ เชํน วัตถุประสงค์ ความรู๎สึก ทัศนคติ ผลกระทบ
ตอํ สังคม เป็นต๎น
การประเมนิ ผล
1. สงั เกตจากการเลาํ เรื่องและจากการอภปิ รายของผ๎เู ขยี น
2. พิจารณาจากข๎อเขยี นทไ่ี ดส๎ รุปและวเิ คราะหจ์ ากขาํ วสารข๎อมูล
3. ตรวจให๎คะแนนจากแบบฝกึ หัด
4. การมสี วํ นรํวมในช้นั เรียน
5. การใชว๎ จิ ารณญาณในการเลือกเร่ืองและเทคนิคการนาํ เสนอ
หนังสอื อ่านประกอบ
1. การอํานและการพิจารณาหนังสือ ของ รัญจวน อนิ ทรกําแหง
2. ลกั ษณะสาํ คัญของภาษาไทย ของ ผะอบ โปษะกฤษณะ
3. ศิลปะการใชภ๎ าษา ของ ฉัตรา บนุ นาค
4. ศลิ ปะการฟงั การอาํ น ของ ปรีชา ช๎างขวญั ยนื
5. สืบสารสรา๎ งสรรค์วรรณศลิ ป์ ของ รน่ื ฤทยั สจั จพันธ์ุ
80
แบบฝกึ หดั พัฒนาทกั ษะการอ่านทา้ ยบทที่ 3
1. ทํานมีหลักในการอํานหนังสือเฉพาะตัวของทํานอยํางไร อธิบายด๎วยวํา
หลักนน้ั ๆ เมื่อปฏิบตั แิ ลว๎ ให๎ผลดีตอํ การอํานเพยี งไร
2. หนงั สอื พิมพ์กบั ตําราเรียนมคี วามแตกตาํ งกันในด๎านการเสนอเน้ือหาอยํางไร
และทํานจะมขี อ๎ ปฏบิ ตั เิ ปน็ พิเศษอยํางไรในการอํานหนงั สือทั้งสองประเภทนี้
3. หนังสือประเภทผํอนคลายอารมณ์น้ันคืออยํางไร ผู๎ที่อยํูในวัยเลําเรียนนั้น
สมควรอํานหนังสือประเภทนห้ี รือไมํ เพราะอะไร
4. มีผ๎กู ลาํ วกนั วํา การอาํ นในใจงํายกวาํ การอาํ นออกเสียง ทาํ นเหน็ ด๎วยหรือไมํ
เพราะอะไร
5. จงบอกชื่อหนังสือตามประเภทตํอไปน้ีอยํางละ 10 ชื่อ พร๎อมท้ังบอกช่ือ
ผแ๎ู ตํงและสํานักพมิ พ์ด๎วย
1. ตําราเรียน
2. หนังสอื อาํ นประกอบ
3. วารสาร
4. นวนยิ าย
5. สารคดี
6. จงบอกชื่อสื่อดิจิทัลที่ทํานใช๎เป็นประจํา ทําไมจึงนิยมสื่อประเภทนั้น
จงใหเ๎ หตผุ ลและยกตวั อยํางประกอบ
7. “การอาํ นสัมพนั ธก์ บั การฟัง” ทํานเหน็ ด๎วยกับคาํ กลาํ วน้ีหรือไมํ เพราะเหตใุ ด
8. ทํานเห็นด๎วยกับคํากลําวตํอไปน้ีหรือไมํ เพราะเหตุใด ...เป็นคําทํานายของ
หลวงพํอฤาษีลิงดําที่ทํานายไว๎นานแล๎ว แตํนํามาบอกเลํากันในปัจจุบัน
โดยสํงตอํ หมุนเวยี นในส่อื ดิจทิ ัล
“วดั จะร๎าง ขนุ นางจะผยอง เงินทองจะเป็นพระเจ๎า คนเฒําจะกําพร๎า
จอมพาราจะหมํนหมอง พี่น๎องจะเป็นศัตรู ครูจะกลัวศิษย์ ผิดจะเป็นถูก
ลกู จะล๎างผลาญ คนพาลจะอหงั กา คนบ๎าจะเดนํ ดงั คนมีสตงั คค์ อื พระเจา๎ ”