วจิ ัยในชนั เรยี น
เรอื ง การละเล่นของไทย
โดยใชค้ ําถามปลายเปด
ส่งผลต่อความคิดสรา้ งสรรค์
ประจําปการศึกษา 2563
นางเพมิ จิตร ศรบี ุญเรอื ง
ตําแหน่งครู
วทิ ยฐานะชาํ นาญการพเิ ศษ
โรงเรยี นศรแี ก้งครอ้
สํานักงานเขตพนื ทีการศึกษาประถมศึกษา ชยั ภูมิ เขต 2
งานวจิ ัยในชัน้ เรียน
เรื่อง
ผลการจัดกิจกรรม การละเล่นของไทยโดยใช้คาถาม
ปลายเปิ ด ส่งผลต่อความคดิ สร้างสรรค์
ผู้วจิ ัย
นางเพม่ิ จติ ร ศรีบุญเรือง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ ดนตรี- นาฏศลิ ป์
(การละเล่นพนื้ เมือง)
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563
งานวจิ ัยในชั้นเรยี น
เรือ่ ง
ผลการจัดกิจกรรม การละเล่นของไทยโดยใชค้ าถาม
ปลายเปิ ด ส่งผลตอ่ ความคดิ สร้างสรรค์
ผู้วิจยั
นางเพมิ่ จติ ร ศรบี ุญเรอื ง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ ดนตรี- นาฏศิลป์
(การละเล่นพนื้ เมือง)
ภาคเรยี นท่ี 2 ปี การศึกษา 2563
ประกาศคุณูปการ
การวจิ ยั ในชนั้ เรยี น เป็นกระบวนการม่งุ หาคาตอบท่คี รูทกุ คน ตอ้ งสนใจ
เพ่อื เป็นผลงานทางการศกึ ษา ตามพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษา ซงึ่ การทาวจิ ยั ในชนั้
เรยี น ตอ้ งขอขอบคณุ คณะผบู้ รหิ าร ครู และนกั เรยี น ท่ีไดร้ ว่ มกนั ทาวจิ ยั ในครง้ั นี้
ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี
ผวู้ ิจยั หวงั ว่า การทาวิจยั ในชน้ั เรยี น ในครง้ั นีค้ งเป็นประโยชนต์ ่อสถาบนั
และวงการศกึ ษาสืบตอ่ มา
ผวู้ จิ ยั
นางเพ่ิมจิตร ศรบี ญุ เรอื ง
สารบญั หนา้
1
บทคดั ยอ่ 2
รายงานการวจิ ยั ในชนั้ เรียน ปีการศกึ ษา 2563 3
ขนั้ ตอนการเขยี นวจิ ยั ในชนั้ เรยี น 4
งานวจิ ยั ในชนั้ เรยี น 5
วธิ ีการดาเนินการวิจยั 6
ตารางคะแนน 7
ผลการทดสอบ และสรุปผลและขอ้ คดิ ท่ไี ดจ้ ากการวจิ ยั 8
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก 10
เคา้ โครงงานวิจยั ในชนั้ เรียน 12
แผนการจดั กิจกรรม 18
ตวั อยา่ งแบบทดสอบ 19
แบบสงั เกต
ชื่องานวจิ ยั ผลการจดั กิจกรรม การละเลน่ ของไทย
โดยใชค้ าถามปลายเปิด สง่ ตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรค์
ช่ือผวู้ จิ ยั นางเพ่มิ จติ ร ศรบี ญุ เรอื ง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ศลิ ปะ ดนตร-ี นาฏศลิ ป์ (การละเลน่ พนื้ เมอื ง)
บทคัดยอ่
การวิจยั ครงั้ มีจดุ ม่งุ หมาย เพ่อื สง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หก้ บั นกั เรยี นชน้ั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 กลมุ่ ตวั อยา่ ง คือนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1/1 จานวน 30
คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 ของโรงเรยี นศรแี กง้ ครอ้ เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการ
วจิ ยั ในครง้ั นีค้ อื เกมการละเลน่ แบบไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิด แบบบนั ทกึ
พฤติกรรม และแบบทดสอบความคดิ สรา้ งสรรคข์ องเจลเลนและเออรบ์ นั ใชส้ ถิติรอ้ ย
ละ ใชเ้ วลา 6 สปั ดาห์
การวิจยั ปรากฏวา่ เด็กนกั เรยี นปฐมวยั มีความคดิ สรา้ งสรรค์ เพ่มิ ขนึ้ รอ้ ยละ
5.44
รายงานการวจิ ยั ช้นั เรียนปี การศึกษา 2563
ช่ืองานวิจยั ผลการจดั กจิ กรรม การละเลน่ ของไทยโดยใชค้ าถามปลายเปิด สง่ ต่อ
ความคิดสรา้ งสรรค์
ช่ือผวู้ ิจยั นางเพิ่มจิตร ศรีบญุ เรอื ง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ศลิ ปะ ( ดนตรี - นาฏศลิ ป์ )
เคา้ โครงการทาวจิ ยั ในชนั้ เรยี น ☑ มี ⬜ ไมม่ ี
ท่มี าความสาคญั ของการวิจยั ☑ มี ⬜ ไม่มี
ออกแบบเกบ็ ขอ้ มลู ☑ เสรจ็ ⬜ ไม่เสรจ็
เก็บขอ้ มลู เรียบรอ้ ย ☑ เสรจ็ ⬜ ไมเ่ สรจ็
แปลผลและอภปิ รายผล ☑ เสรจ็ ⬜ ไม่เสรจ็
สรุปเป็นรูปเลม่ ☑ เสรจ็ ⬜ ไม่เสรจ็
( นางเพ่มิ จิตร ศรีบญุ เรือง)
ผวู้ ิจยั
ข้ันตอนการเขยี นงานวจิ ัยในชนั้ เรยี น
1. เร่อื ง
2. ความสาคญั และท่มี า
3. จดุ มงุ่ หมาย
4. ตวั แปรท่ศี กึ ษา
5. กรอบแนวคดิ ในการวิจยั
6. ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั
7. ขอบเขตของการวิจยั
8. วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั
- ตารางการวิจยั
9. เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
10. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
- รายงานผล
- ตาราง , แผนภมู ิ การนาเสนอขอ้ มลู
11. สรุปผล
12.ขอ้ คดิ ท่ไี ดจ้ ากการวจิ ยั
ภาคผนวก
งานวจิ ัยในชั้นเรยี น
ผลการจดั กิจกรรม การละเลน่ ของไทยโดยใชค้ าถามปลายเปิด สง่ ต่อ
ความคดิ สรา้ งสรรค์
ความสาคญั และทมี่ า
ความคิดสรา้ งสรรคม์ ีความสาคญั ย่ิง และไดร้ บั ความสนใจ อยา่ งกวา้ งขวางในระยะ 30 ปี เพราะ
ความคิดสรา้ งสรรค์ เป็นส่อื ท่ีนาไปสกู่ ารแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ของมนุษย์ และความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็น
ความสามารถท่สี าคญั ของมนษุ ย์ ซง่ึ มีคณุ ภาพมากกวา่ ความสามารถในดา้ นอ่นื ๆ และเป็นปัจจยั ท่สี าคญั
อย่างยง่ิ ในการสง่ เสรมิ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของประเทศชาติ ผลจากความคิดสรา้ งสรรค์ ของมนษุ ย์
ก่อใหเ้ กิดนวตั กรรม และความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยตี ่าง ๆ
ความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นลกั ษณะการคิดท่มี คี ณุ ค่าต่อสงั คมและบคุ คลอย่างยิ่ง การสง่ เสรมิ
ความคิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นหวั ใจสาคญั ของการเรยี นระดบั ประถมศกึ ษา เพราะในช่วงการเรยี นปนเลน่ ระยะท่ี
เดก็ มีจนิ ตนาการสงู ศกั ยภาพดา้ นความคิดสรา้ งสรรคก์ าลงั พฒั นา หากเด็กไดร้ บั การจดั ประสบการณห์ รอื
กจิ กรรมท่เี หมาะสมต่อเน่ือง เป็นสาคญั จงึ เท่ากบั เป็นการวางรากฐานท่มี ่นั คงสาหรบั ความคิดสรา้ งสรรค์
จดุ มุงหมาย
เพ่อื ใหก้ ารสง่ เสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์
ตวั แปรทศ่ี ึกษา
กิจกรรมการละเลน่ ของไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิดและความคิดสรา้ งสรรค์
ประโยชนค์ าดวา่ จะไดร้ ับ ซ่งึ จะ
เป็นแนวทางในการพฒั นา การจดั กจิ กรรมการละเลน่ ของไทยท่มี ีคาถามปลายเปิด
เออื้ อานวยต่อความคิดสรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี น
ขอบเขตของการวจิ ยั
1. กลมุ่ ทดลองเป็นนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1/ 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563
2. การวิจยั ครงั้ นีม้ งุ่ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์
3. เวลาท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั 6 สปั ดาห์ ๆ ละ 1 ครงั้ ๆ ละ 20 นาที
4. ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั คือการจดั กจิ กรรมการละเลน่ แบบไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิดและ
ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องเด็กนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1/ 1
วิธดี าเนินการวจิ ยั
1. ขอรูปแบบการวจิ ยั ของโรงเรียน
2. ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใชแ้ บบทดสอบความคิดสรา้ งสรรคจ์ ากผลงานการวาดภาพ TCT –
DP (The Test for Creative Thinking – Drawing Production ) ทงั้ กลมุ่ ใชเ้ วลา 15 นาที
3. ครูเป็นผดู้ าเนินการจดั กิจกรรมการละเลน่ แบบไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิด ดาเนินการทดสอบ
ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2546 เป็นเวลา 6 สปั ดาห์ ๆ ละ 1 วนั ๆ ละ 20 นาที พรอ้ มบนั ทึกพฤติกรรม
ขณะทากจิ กรรม
4. เม่อื สนิ้ สดุ การจดั กจิ กรรมไดท้ ดสอบ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทงั้ กลมุ่ ใชเ้ วลา 15 นาที
5. ตรวจการใหค้ ะแนนตามเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
6. นาคะแนนท่ไี ดจ้ ากแบบทดสอบ มาวเิ คราะหด์ ว้ ยวธิ ีทางสถติ ิตอ่ ไป
เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
แผนการกิจกรรมการละเลน่ แบบไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิด แบบทดสอบความคิดสรา้ งสรรคข์ อง
เจลเลนและเออรบ์ นั แบบสงั เกตพฤติกรรม
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วิเคราะหด์ ้วยวิธที างสถติ ิ
ตารางคะแนนเดก็ ท่เี ขา้ ทดสอบ
เลขที่ คะแนนก่อนสอบ คะแนนหลงั สอบ
1
2 20 25
3 18 19
4
5 22 23
6
7 19 23
8
9 11 17
10
11 17 23
12
13 28 30
14
15 35 40
16
17 19 22
18
19 19 25
20
21 19 32
22
23 10 29
24
25 35 39
26
27 23 31
28
10 26
15 28
28 28
11 14
23 26
18 39
32 22
28 31
25 22
14 24
21 25
20 18
17 21
14 17
29 20 29
30 29 35
รวม 620 = 20.66 % 783 = 26.10 %
ผลการทดสอบคะแนนหลงั สอบมากกวา่ คะแนนกอ่ นสอบ 5.44 %
สรุปผล
ผลการวจิ ยั ในครงั้ นี้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความคิดสรา้ งสรรคข์ องนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี1/1 ท่ไี ดร้ บั
การจดั กจิ กรรมการละเลน่ แบบไทย โดยใชค้ าถามปลายเปิด มีความคิดสรา้ งสรรคร์ อ้ ยละ 5.44 ขอ้ คิดจาก
การวิจยั และจากการบนั ทึกพฤตกิ รรมการละเลน่ แบบไทย ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศท่ีสนกุ สนาน ทาใหเ้ ด็กเกิด
ความสบายใจ และแสดงออกอย่างอสิ ระ ทงั้ เปิดโอกาสใหเ้ ด็กเกิดความคิด จากการใชค้ าถามปลายเปิด
ของครู เดก็ แสดงความคิดเห็นและจินตนาไดก้ วา้ งไกล มีความคิดท่ีหลากหลาย แปลกใหม่ไมซ่ า้ กนั เดก็ มี
ความเช่ือม่นั ในตวั เอง กลา้ แสดงความคิดเหน็ และสนใจท่ีจะรบั ฟังความคิดเห็นรว่ มกนั ทาใหเ้ ด็กเกดิ ความ
เช่ือม่นั ในตนเองและกลา้ แสดงออก
ข้อคิดทไ่ี ด้จากการวจิ ยั
คาถามท่ยี ่วั ยหุ รือทา้ ทายใหเ้ ด็กนกั เรียนอยากตอบหรือกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนคิดนาไปส่กู ารพฒั นา
ความคดิ และเกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ ชว่ ยใหเ้ ด็กเกิดการเรียนรูแ้ ละชว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสติปัญญา
ซง่ึ เป็นวธิ ีการสรา้ งนสิ ยั การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองตอ่ ไป
บรรณานุกรม
กรมวชิ าการและกระทรวงศกึ ษาธิการ คมู่ อื หลกั สตู รกอ่ นประถมศกึ ษา พทุ ธศกั ราช 2540
กรุงเทพมหานคร โรงพมิ พค์ รุ ุสภา ลาดพรา้ ว 2540
จินตนา ปรีดานนท์ “การพฒั นาทกั ษะการใชค้ าถามของครูปฐมวยั ดว้ ยบทเรยี นแบบ
โปรแกรม” วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาครุศาสตรม์ หาบณั ฑิต ภาควิชา
ประถมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั 2532
ฉนั ทนา ภาคบงกช การเลน่ สรา้ งสรรค์ กรุงเทพมหานคร คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมิตร 2531
ผะอบ โปษะกฤษณะ การละเลน่ ของไทย พิมพค์ รง้ั ท่ี 4 กรุงเทพมหานคร อมั รนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ 2539
ลว้ น สายยศและองั คณา สายยศ เทคนิคการวิจยั ทางการศึกษา พิมพค์ รงั้ ท่ี 4 กรุงเทพมหานคร
สวุ รี ิยสาสน์ 2538
สชุ าดา แจม่ จนั ทร์ “ลกั ษณะคาถามและทกั ษะการใชค้ าถามของครูภาษาไทยชนั้
ประถมศึกษาปีท่ี 5 ในโรงเรียนของอาเภอบา้ นโป่ง สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ราชบรุ ี” วิทยานพิ นธ์
ปรญิ ญาครุศาสตรม์ หาบณั ฑติ ภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตรบ์ ณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั 2525
อารี พนั ธม์ ณี ความคดิ สรา้ งสรรค์ กรุงเทพมหานคร สานกั พมิ พ์ 1412 2537
“การวดั ระดบั ความคิดสรา้ งสรรคข์ องเด็กไทย” วิทยานิพนธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตร์
มหาบณั ฑิต กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลยั เซาทเ์ ธิน อิลลนิ อยส์ ณ.คารบิ อนเดล 2532
( อดั สาเนา)
ภาคผนวก
แผนการสอน การเลน่ อตี ัก
ข้ันเตรียม
ครูนาเมลด็ น้อยหน่าและกระทงทท่ี าจากกระดาษมาให้เด็กดู แล้วถามเดก็ วา่
เคยเลน่ เกม
อีตักหรอื ไม่ ใครอยากเลน่ บ้าง
ข้นั เลน่
1. ครูอธิบายวิธีการเล่นอตี ัก
2. ให้เดก็ จดั กลุม่ ตามความสนใจ 5 – 6 คน เพอื่ เล่นอีตัก
3. ใหแ้ ต่ละกลุม่ ส่งตัวแทนมารับเมลด็ น้อยหน่า และกระทง
4. ให้เดก็ ผลัดกันเล่นทล่ี ะคน คนเลน่ จะนาเมล็ดน้อยหน่าใสใ่ นกามือ แลว้ หว่าน
ลงบนพนื้ ใชก้ ระทงตกั เมล็ดน้อยหน่าขนึ้ มาในกระทงทลี ะเมล็ด ไมใ่ หเ้ มล็ดอ่นื
กระเทอื น ถา้ กระเทอื นตอ้ งตายและเปลยี่ นใหค้ นตอ่ ไปตกั บา้ ง
5. คนที่ 2 กเ็ รม่ิ หว่านและตักเมล็ดน้อยหน่าเหมอื นเดิม ถา้ ตายกเ็ ปล่ียนใหค้ นอนื่
ตกั ต่อไปจนหมดเมล็ดน้อยหน่า
6. ถ้าใครตักไดม้ ากจะเป็ นผชู้ นะ
ขน้ สรุป
ครูสนทนากบั เด็กเก่ียวกบั เรอ่ื งการเลน่ อีตกั โดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1. เด็กคิดว่าทาไมเมล็ดน้อยหน่าจงึ มีขนาดแตกตา่ งกนั
2. ถา้ ไม่มเี มลด็ น้อยหน่า เด็กจะใชเ้ มลด็ อะไรแทนได้
3. สมมุตวิ ่า ถา้ ใชล้ กู ปิ งปองใหญแ่ ทนเมลด็ น้อยหน่า เด็กจะใชอ้ ะไรตัก เพราะเหตุ
ใด
แผนการสอน การเลน่ ลิงชงิ หลัก
ข้นั เตรยี ม
ครูนาเสาหลักมาให้เดก็ ดูและถามเดก็ ว่า เคยเล่นเกมลงิ ชิงหลักหรอื ไม่
ใครอยากเลน่ บ้าง
ขั้นเลน่
1. ครูอธบิ ายวธิ กี ารเล่นลงิ ชิงหลัก
2. ใหเ้ ดก็ จดั กลุ่มตามความสนใจ 5 – 6 คน เพอ่ื ลิงชิงหลกั
3. ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ สมมุติเป็ นลิงหลกั ลอยไม่มีหลักจบั 1 คน อีก 4 คน เป็ นลงิ จบั หลกั
ผเู้ ป็ นลิงหลกั ลอยจะตอ้ งพยายามแยง่ หลกั ในขณะทผ่ี ูเ้ ลน่ ทงั้ หมดเปล่ียนทันที
4. ลิงทหี่ าหลกั เกาะไม่ได้ จะตอ้ งคอยสงั เกตดูวา่ ตนจะชงิ หลกั ไหน ก็รีบว่ิงไปชงิ
หลกั นั้นไว้ ถา้ จบั หลกั ได้ก่อน ผูท้ ม่ี าชา้ ก็ต้องยอมเป็ นลิงหลกั ลอยคอยชงิ หลัก
ของคนอ่ืน
ขน้ สรุป
ครูสนทนากับเดก็ เก่ียวกบั เรอ่ื งการเลน่ ลิงชิงหลกั โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1. เดก็ คดิ วา่ ถา้ สมมุติเราลงไปเลน่ ในนา้ เราจะรู้สกึ อย่างไร
2. ถา้ เสาหลกั เคลอื่ นทไี ด้ เดก็ จะเล่นอย่างไร
แผนการสอน การเลน่ ปิ ดตาตกี ลอง
ข้นั เตรยี ม
ครูนากลองและไม้ตกี ลองมาใหเ้ ดก็ ดู แลว้ ถามเดก็ วา่ เคยเล่นเกม
ปิ ดตาตีกลองหรอื ไม่ ใครอยากเล่นบา้ ง
ขั้นเลน่
1. ครูอธบิ ายวิธกี ารเล่นปิ ดตาตีกลอง
2. ให้เดก็ จดั กลุ่มตามความสนใจ เพอ่ื เล่นปิ ดตาตกี ลอง โดยแบ่งเป็ น 2 กลุ่ม
3. ให้แตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนมารับผ้า เพอื่ เอาไว้ปิ ดตา และรับไม้ตีกลองกลุม่ ละ 1
อัน
4. ให้ผูเ้ ลน่ แตล่ ะกลุ่มทจ่ี ะตีกลอง ใช้ผ้าปิ ดตาแลว้ หมุนรอบตวั 3 รอบ กอ่ นเดนิ ไป
ตกี ลองทลี ะคน โดยใหผ้ ู้เล่นยืนห่างจากกลองประมาณ 10 เมตร
5. ถา้ กลุม่ ไหนตกี ลองถูกมากทส่ี ุด เป็ นกลุ่มทช่ี นะ
ข้นสรุป
ครูสนทนากบั เด็กเกี่ยวกบั เรอื่ งการเล่นปิ ดตาตีกลอง โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1. เด็กคดิ วา่ ทาไมกลองทแี่ ตล่ ะคนตกี ลองจึงดงั แตกต่างกนั
2. ถา้ กลองเคลื่อนทไี่ ด้ เดก็ จะเลน่ อย่างไร
3. สมมุตวิ ่า กลองทเ่ี ดก็ เดนิ ไปตีมีขนาดเลก็ เทา่ กับมดแดง เด็กคิดวา่ เป็ นเพราะ
อะไร
แผนการสอน การเลน่ เป่ ากบ
ข้นั เตรยี ม
ครูนายางวงมาให้เด็กดู แลว้ ถามเด็กว่าเคยเลน่ เกมเป่ ากบหรือไม่ ใครอยากเลน่
บ้าง
ข้ันเล่น
1. ครูอธบิ ายวธิ กี ารเลน่ เป่ ากบ
2. ใหเ้ ด็กจัดกลุม่ ตามความสนใจ เพอ่ื เล่นเป่ ากบ โดยแบง่ เป็ น 2 กลุม่
3. ใหแ้ ต่ละกลุ่มสง่ ตวั แทนมารับยางวง
4. ให้ผเู้ ล่นแตล่ ะกลุม่ วางยางลงบนพนื้ คนละเสน้ ผลดั กันเป่ าคนละครั้ง
ตามลาดบั ก่อนหลงั กระเทอื นตอ้ งตายและเปลี่ยนใหค้ นตอ่ ไปตักบา้ ง
5. ถ้าผเู้ ลน่ ทสี่ ามารถเป่ าเส้นยางของตนไปกบ (ทบั ) เสน้ ยางของผ้เู ล่นอีก
คนหน่ึงได้ “กิน"”เส้นยางทก่ี บนั้น กลุม่ ทไ่ี ด้เสน้ ยางมากทสี่ ุด เป็ นกลุ่มทช่ี นะ
ข้นสรุป
ครูสนทนากับเดก็ เกี่ยวกบั เรือ่ งการเลน่ เป่ ากบ โดยใช้คาถามต่อไปนี้
1. เด็กคดิ ว่าทาไมยางวงทแี่ ต่ละคนเป่ า จงึ กระโดดแตกตา่ งกนั
2. สมมุติว่ายางวงทเี่ ด็กเป่ ามขี นาดใหญเ่ ท่ากับลอ้ รถยนต์ เดก็ คดิ ว่าจะเป็ น
เชน่ ไร
แผนการสอน การเลน่ รรี ีขา้ วสาร
ข้นั เตรยี ม
ครูสอนให้เดก็ นักเรยี นร้องเพลงประกอบ รี ๆ ขา้ วสาร สองทะนาน
ข้าวเปลือก
เลือกทอ้ งใบลานเกบ็ เบยี้ ใตถ้ ุนร้าน คดขา้ วใส่จาน พานคนขา้ งหลังไว้ แล้ว
ถามเดก็ ว่าเคยเล่นรี ๆ ขา้ วสารหรือไม่ ใครอยากเล่นบา้ ง
ข้นั เลน่
1. ครูอธิบายวธิ ีการเลน่ รีรี ขา้ วสาร
2. ใหเ้ ดก็ 2 คนสมมุติชอ่ื ตนเองและชือ่ เพอ่ื น เช่น จาปี จาปา
3. เด็กทงั้ สองคนยกมือขนึ้ สูงประสานจบั มอื กนั ทงั้ 2 มอื เด็กทเี่ หลอื กอดเอวตอ่
กันเป็ นแถวพร้อมกับร้องบทเพลงพร้อมกนั
4. เมอ่ื ถงึ คาสุดทา้ ยในบทร้อง ผเู้ ล่นจาปี และจาปา ลดแขนลงมาคล้องผู้เลน่ คน
สุดท้ายในแถวแล้วถามวา่ “เอาจาปี หรือจาปา “
5. ผเู้ ล่นทถี่ กู จับเลอื กอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แลว้ ถอยไปรออยูห่ ่าง ๆ ผูเ้ ล่นทเี่ หลอื เล่น
ตอ่ ไป จนจาปี และจาปาผเู้ ล่นได้ทกุ คน เป็ นอันจบการเลน่
ขน้ สรุป
ครูสนทนากับเด็กเก่ียวกับเร่อื งการเล่นรีรี ขา้ วสาร โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1. เดก็ คดิ วา่ ทาไมเดก็ แตล่ ะคนทถ่ี ูกจบั เลอื กอยกู่ ับเพอื่ นแตกต่างกัน เพราะ
เหตุใด
2. สมมุติวา่ ถ้าเด็กทเ่ี ล่นไมม่ ขี า เดก็ คิดวา่ จะเป็ นอยา่ งไร
แผนการสอน การเลน่ งกู นิ หาง
ขน้ั เตรยี ม
ครูฝึ กให้นักเรียนร้องเพลงประกอบ พอ่ งู : แมง่ เู อ๋ย แมง่ ู : เอย๋ (ลูกงชู ว่ ย
ตอบ) พอ่ งู : กนิ นา้ บ่อไหน แม่งู : กินนา้ บอ่ โศก ลกู งู : โยกไปก็โยกมา พ่องู :
แมง่ เู อย๋ แมง่ ู : เอ๋ย พอ่ งู ; กนิ น้าบอ่ ไหน แม่งู : กนิ น้าบ่อหนิ ลกู งู :
บนิ ไปก็บนิ มา พอ่ งู ; กินหวั กินหาง แมง่ ู : กนิ กลางตลอดตัว
ขนั้ เล่น
1. ครูอธบิ ายวธิ ีการเลน่ งกู นิ หาง
2. เลือกคนหนึ่งเป็ นพอ่ งู อีกคนหน่ึงเป็ นแม่งู
3. พอ่ งูยนื หันหน้าเขา้ หาแมง่ ู นอกนั้นเป็ นลูกงู จบั เอวกนั เป็ นแถวต่อจากเอวแม่งู
ความยาวของลกู งนู ั้นขึน้ อยู่กับจานวนผ้เู ลน่
4. พ่องูถามแมง่ ตู อบบทเพลง เมอ่ื พอ่ งจู บั ลูกงไู ด้ พอ่ งูจะถามลูกงวู า่ พอ่ งู : อย่กู ับ
พอ่ หรอื อยู่กบั แม่ ลกู งู : อย่กู บั แม่ พอ่ งู ; ลอยแพไป ( พ่องผู ลกั ลูกงใู ห้
หา่ งออกไป ) ถ้าลูกงตู อบวา่ “อย่กู ับพอ่ ” พอ่ งู : หกั คอจิม้ น้าพรกิ
ข้นสรุป
ครูสนทนากบั เด็กเกี่ยวกับเรอ่ื งการเลน่ งูกนิ หาง โดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1. เด็กคิดว่าทาไมพอ่ งจู ึงจบั ลกู งกู นิ เพราะเหตุใด
2. สมมุติว่าถ้าแมง่ ูแปลงร่างเป็ นยักษ์ เดก็ คิดว่าจะเป็ นอยา่ งไร