เอกสารประกอบการจัด~กา๑ร~เรยี นรู้เรอ่ื ง ชนดิ ของคา
รายวิชาหลักภาษาไทย ๑ (ท ๓๐๒๑๔)
เรียบเรยี งโดยครูจตุพร ตระกูลปาน
กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนสระบรุ วี ทิ ยาคม
เกณฑ์การจาแนกชนิดของคามีหลายเกณฑ์ จานวนชนิดของคาก็แตกต่างกันไป
เช่น พระยาอุปกิตศิลปสาร จาแนกชนิดของคาออกเป็น ๗ ชนิด วิจินตน์ ภาณุพงศ์
จาแนกชนิดของคาเป็น ๒๖ ชนิด นววรรณ พันธุเมธา จาแนกชนิดของคาเป็น ๖ ชนิด เป็นต้น
ส่วนหนังสืออุเทศภาษาไทย ชุด บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓ จาแนกชนิดของคาในภาษาไทย
ออกเปน็ ๑๒ ชนิด (กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๕๒)
พระยาอปุ กติ ศิลปสาร วิจินตน์ ภาณพุ งศ์ หนังสอื อเุ ทศภาษาไทย
๑. คานาม ๑. หมวดคานาม ชุดบรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม ๓
๒. คาสรรพนาม ๒. หมวดคากริยาชนิดตา่ งๆ
๓. คากริยา ๓. หมวดคาชว่ ยกรยิ า ๑. คานาม
๔. คาวเิ ศษณ์ ๔. หมวดคาปฏเิ สธ ๒. คาสรรพนาม
๕. คาบุพบท ๓. คากรยิ า
๖. คาสันธาน ๕. หมวดคาหน้ากรยิ าและหลังกรยิ า ๔. คาช่วยกรยิ า
๗. คาอทุ าน ๕. คาวเิ ศษณ์
๖. หมวดคาลงทา้ ย ๖. คาทเี่ กยี่ วกบั จานวน
๗. หมวดคากริยาวเิ ศษณ์ ๗. คาบอกกาหนด
๘. หมวดคาพเิ ศษ ๘. คาบุพบท
๙. หมวดคาสรรพนาม ๙ คาเชือ่ ม
๑๐. หมวดคาลกั ษณนาม ๑๐. คาลงทา้ ย
๑๑. หมวดคาเกยี่ วกบั จานวน ๑๑. คาอุทาน
๑๒. คาปฏิเสธ
๑๒. หมวดคาท่เี กยี่ วกบั การกาหนด
๑๓. หมวดคาบอกเวลา
๑๔. หมวดคาบุพบท
๑๕. หมวดคาเชือ่ ม
~๒~
๑. คานาม
คานามเป็นคาที่หมายถึงบุคคล สัตว์ วัตถุ ส่ิงของ สภาพธรรมชาติ สถานท่ี ความคิด
ความเช่ือ ค่านิยม คือรวมทั้งส่ิงมีชวี ิตและไมม่ ีชวี ิต ทงั้ ท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม คานามจาแนก
เปน็ ๔ ชนดิ คอื คานามสามญั คานามวิสามัญ คาลักษณนาม และคาอาการนาม
๑.๑ คานามสามัญ คือ คานามทใี่ ช้เรียกส่ิงตา่ งๆ โดยทว่ั ไป มิไดร้ ะบุแน่นอนวา่ เปน็ สิ่งน้ี มี
ช่ือเรยี กอยา่ งน้ี หรอื ส่งิ น้นั มชี ื่อเรยี กอย่างน้ัน เชน่ คน บา้ น วัด โรงเรียน สตั ว์
๑.๒ คานามวิสามัญ คอื คาที่เป็นชื่อซง่ึ ตง้ั ขึ้นเฉพาะสาหรับเรียกคานามสามัญหน่งึ ๆ เช่น
สมชาย สมร เกษม จตุพร เป็นชื่อเฉพาะของคน เป็นคานามวิสามัญ ย่าเหล ทองแดง เป็นชื่อ
เฉพาะของสุนขั เป็นคานามวิสามัญ
๑.๓ คาลักษณนาม คอื คาท่ีใช้บอกลักษณะของคานามหรือคากริยา เชน่ ฝูงผ้ึงเขา้ โจมตี
ศัตรทู นั ที เขาตดิ แผน่ กระดาษเล็กๆ ไวท้ ่ผี นัง ส่งจานให้ใบสิ ขอกอดที ชว่ ยหยุดที เก้าอี้ ๑๐ ตัว
บ้านหลังแรก ลูกคนน้ี ผ้า ๒ ช้ิน โรงเรียน ๑ โรงเรียน คอยจนหลับไป ๒ ต่ืนแล้ว โห่ ๓ ลา
ช้าง ๓ เชอื ก นกั เรยี น ๒ กลุ่ม ทหาร ๓ กอง
๑.๔ คาอาการนาม คือ คานามท่ีเกิดจากกระบวนการแปลงคากริยาเป็นคานาม
โดยการเตมิ หนว่ ยคาเตมิ หนา้ การ- หรือ ความ- หน้าคากริยา คาอาการนามจะมีความหมายเป็น
นามธรรมเสมอ เชน่ การกนิ การเดนิ ความสุข ความทกุ ข์ ความโกรธ
~๓~
๒. คาสรรพนาม
คาสรรพนาม คือ คาที่ใช้แทนนาม คาสรรพนามทาหน้าที่เป็นส่วนหลักของนามวลีได้
เช่นเดียวกับคานาม คาสรรพนามแบ่งได้เป็น ๕ ชนิด คือ คาบุรุษสรรพนาม คาสรรพนามถาม
คาสรรพนามชี้เฉพาะ คาสรรพนามไม่ช้เี ฉพาะ และคาสรรพนามแยกฝ่าย
๒.๑ คาบรุ ุษสรรพนาม หรือ คาสรรพนามบอกบรุ ุษ หรือ คาสรรพนามแทนบุคคล คือ
คาสรรพนามท่ีใช้ระบุแทนบุคคล เพ่ือบอกว่าเป็นผ้พู ูด ผู้ท่ีพูดด้วย หรือผู้ท่ีกล่าวถงึ คาบุรุษสรรพ
นามอาจใช้ระบุแทนคน สัตว์ ต้นไม้ วัตถุ หรือความคิดก็ได้ เช่น พนักงานส่วนใหญ่ทาโอที
แตล่ ะเดอื นพวกเธอจงึ มีรายไดเ้ พ่ิมข้นึ มาก เธอ เป็นคาบรุ ษุ สรรพนามแทนคน คอื พนกั งาน
คาบรุ ุษสรรพนามแบง่ เปน็ ๓ ชนดิ ได้แก่
๒.๑.๑ สรรพนามบุรุษที่ ๑ คือ คาสรรพนามบอกบุรษุ ทใี่ ช้แทนตัวผู้พดู หรือผู้เขียน
เช่น ฉนั ดฉิ ัน ผม กระผม ข้าพเจ้า กู ฯลฯ
๒.๑.๒ สรรพนามบุรุษท่ี ๒ คือ คาสรรพนามบอกบุรุษที่ใช้แทนผู้ท่ีพูดด้วย ได้แก่
ผฟู้ งั และผอู้ า่ น เช่น เธอ คุณ ทา่ น เอ็ง มงึ ฯลฯ
๒.๑.๓ สรรพนามบุรุษท่ี ๓ คือ คาสรรพนามบอกบุรุษที่ใช้แทนผู้ที่กล่าวถึง เช่น
เขา ท่าน เธอ มนั ฯลฯ
๒.๒ คาสรรพนามถาม คอื คาสรรพนามท่ีใช้แทนนามและใชแ้ สดงคาถามในขณะเดยี วกัน
ในภาษาไทยมีเพียง ๓ คา ได้แก่ ใคร อะไร ไหน เช่น ใครเขียนจดหมายฉบับน้ี ร่มอยู่ไหน
อะไรตกลงไปในนา้
๒.๓ คาสรรพนามช้ีเฉพาะ คือ คาสรรพนามที่ใชบ้ อกระยะใกล้ไกล คาสรรพนามช้เี ฉพาะ
มีเพียง ๘ คา ไดแ้ ก่ นี่ นนั่ โน่น น่นู นี้ นนั้ โนน้ น้นู เช่น น่ังน่ีไหม นี่กระเป๋าใคร อะไรอยูใ่ ต้นี้
๒.๔ คาสรรพนามไม่ช้ีเฉพาะ คือ คาสรรพนามท่ีไม่ระบุหรือกาหนดแน่นอนว่าหมายถึง
ผู้ใด อะไร สิ่งใด หรือสถานท่ีใด ได้แก่ ใคร อะไร ไหน เช่น เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกใครเลย
ใครๆ ก็ชอบขนมปงั ไส้สงั ขยาร้านน้ี
๒.๕ คาสรรพนามแยกฝา่ ย คือ คาสรรพนามท่ใี ช้แทนคานามหรือคาบุรุษสรรพนามที่อยู่
ข้างหน้าเพ่ือแสดงว่ามีหลายฝ่ายหลายส่วน แต่ละฝ่ายแต่ละส่วนแยกกันทากิริยาใดกิริยาหนึ่ง
หรือมากกว่า คาสรรพนามแยกฝ่ายมีจานวนเพียง ๓ คาเท่านั้น ได้แก่ ต่าง บ้าง กัน เช่น
เราตา่ งคนต่างอยจู่ ะดีกวา่ นกั เรยี นห้องนี้บา้ งก็เรียนบ้างก็เล่น ผัวเมยี คนู่ ี้ทะเลาะกันเกอื บทกุ วัน
~๔~
~๕~
~๖~
๓. คากริยา
คากริยา คือ คาท่ีทาหน้าที่เป็นส่วนหลักขอกริยาวลีซึ่งเป็นหัวใจของประโยค
คากริยามี ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มีหน่วยกรรมกับประเภทท่ีไม่มีหน่วยกรรม คากริยาประเภท
ท่ีมีหน่วยกรรม ได้แก่ คากริยาสกรรม และ คากริยาทวิกรรม ส่วนคากริยาประเภทที่ไม่มี
หน่วยกรรม ได้แก่ คากริยาอกรรม คากริยาคุณศัพท์ คากริยาต้องเติมเต็ม คากริยานา
และ คากรยิ าตาม
๓.๑ คากรยิ าท่มี ีหน่วยกรรม
๓.๑.๑ คากริยาสกรรม คือ คากริยาที่มีนามวลีตามหลัง นามวลีน้ันทาหน้าท่ีเป็น
หนว่ ยกรรม เช่น กนิ ฟัง อ่าน เช่น ฉนั กินขนม พอ่ ฟังข่าว น้องอ่านหนงั สอื
๓.๑.๒ คากริยาทวิกรรม คือ คากริยาท่ีมีนามวลี ๒ นามวลีตามหลัง นามวลีแรก
ทาหน้าท่ีกรรมตรง ส่วนนามวลีท่ีสองทาหน้าที่กรรมรอง เช่น สอน ป้อน ให้ แจก เช่น
เขาสอนภาษาไทยเด็กๆ พ่ีปอ้ นขา้ วน้อง แม่ใหเ้ งนิ ลกู
๓.๒ คากรยิ าที่ไมม่ ีหน่วยกรรม
๓.๒.๑ คากริยาอกรรม คือ คากริยาท่ีไม่ต้องมีนามวลีทาหน้าท่ีเป็นหน่วยกรรม
หน่วยเติมเต็ม หรือหน่วยเสริมความตามหลัง เช่น หัวเราะ ตก ขึ้น ตาย ยืน เดิน เสียใจ เช่น
เดก็ หวั เราะ เพ่ือน ๆ ดใี จ ฝนตก พระอาทติ ย์ขนึ้ วัยร่นุ เซง็
๓.๒.๒ คากริยาคุณศัพท์ คือ คากริยาที่ไม่ต้องมีนามวลีทาหนา้ ที่เป็นหน่วยกรรม
หน่วยเติมเต็ม หรือหน่วยเสริมความตามหลัง และเป็นคากริยาที่แสดงคุณสมบัติหรือภาพของ
คานามหรอื คาบุรษุ สรรพนาม เช่น ดี สวย วอ่ งไว สงู เช่น เดก็ คนน้ีดี นกั กีฬาเหลา่ นี้ว่องไว
๓.๒.๓ คากริยาต้องเติมเต็ม คือ คากริยาที่ต้องมีนามวลีทาหน้าท่ีเป็น
หน่วยเติมเต็มตามหลังเสมอ ได้แก่ เป็น เหมือน คล้าย เท่า ใช่ มี เกิด ปรากฏ เช่น เขา เป็นครู
เขาเหมอื นพ่อมาก สมุ นหนา้ ตาคลา้ ยแม่ ขนั ใบน้ขี นาดเทา่ ใบนัน้ เขามีบ้าน
๓.๒.๔ คากริยานา คือ คากริยาที่ต้องปรากฏหน้าคากริยาอื่นเสมอ เช่น ชอบ
พลอย พยายาม อยาก ฝืน หัด ตั้งใจ ห้าม ช่วย กรุณา วาน เช่น เขา ชอบเป็นหวัด
คนไข้ฝนื กินยาจนหมด เราพยายามเตือนเขาแลว้ ตอนน้ีเขาอยากพกั ผอ่ นมาก เดก็ หดั ขีจ่ ักรยาน
๓.๒.๕ คากริยาตาม คือ คากริยาที่ปรากฏหลังคากริยาอื่นเสมอ เช่น ไป มา ขึ้น
ลง ออก ให้ ไว้ เอา เชน่ เขาส่งพัสดุไปแล้ว ลูกโปง่ ค่อยๆ ลอยขึ้น นา้ ลดลงมากแลว้ เขาเกง่ ออก
~๗~
๔. คาช่วยกรยิ า
คาชว่ ยกรยิ า คอื คาที่ไม่ใช่คากริยาและไมป่ รากฏตามลาพัง แต่จะปรากฏร่วมกับคากริยา
และอยู่ข้างหน้าคากริยาเสมอเพ่ือบอกความหมายทางไวยากรณ์ของกริยา ได้แก่ หมอได้ผ่าเอา
เนอ้ื ร้ายออกหมดแล้ว ฉันจะไปหาเขาพรุ่งนี้ ผมกาลังอาบน้าอยู่ เขามักออกไปวิ่งทุกเย็น
นาฬกิ าเพ่งิ ตาย เขายังรับราชการอยู่มั้ง คุณต้องคืนเงินผมให้ได้ โปรดงดสูบบุหรี่ เจ้าตูบโดนขัง
เขาไม่คอ่ ยออกกาลังกาย
๕. คาวเิ ศษณ์
คาวิเศษณ์ คือ คาท่ีทาหน้าที่เป็นหน่วยขยายกริยา และเป็นส่วนหลักของวิเศษณ์วลี
คาวเิ ศษณ์ซ่ึงเปน็ สว่ นประกอบของวเิ ศษณ์วลมี ักปรากฏหลังหน่วยกริยา เช่น นกบินสูง ลมพัดแรง
แม่เขาทากบั ข้าวเกง่ ตอ้ งตอกตะปูแรง ๆ หน่อย
๕.๑ คาวิเศษณ์สามัญ หมายถึง คาวิเศษณ์ท่ีขยายคากริยาโดยทั่วไป เช่น วันนี้รถติดจัง
น้องนอนแล้ว แม่ทากบั ข้าวเอง ขอน้าหนอ่ ย เขาขยันที่สุด
๕.๒ คาวิเศษณ์ขยายเฉพาะ หมายถึง คาวิเศษณ์ทใ่ี ช้ขยายคากรยิ าคาใดคาหนงึ่ โดยเฉพาะ
เช่น แดงแจ๋ เปียกซ่ก ขาวจว๊ั ะ ดาป๋ี เหลอื งออ๋ ย แบนแต๊ดแต๋ ส้ันจุ๊ดจู๋
๕.๓ คาวิเศษณ์แสดงคาถาม หมายถึง คาวิเศษณ์ที่ใช้แสดงคาถามเกี่ยวกับ
การกระทา ว่ากระทาไปเพราะเหตุผลอะไรหรือเพื่อวัตถุประสงค์อะไร กระทาลงไปเวลาใด
กระทาไปลักษณะใด เช่น ทาไม เหตใุ ด เมื่อไหร่ เพราะอะไร เหราะเหตใุ ด เพราะสาเหตใุ ด ไย ไฉน
เหตุไฉน เพราะเหตุไฉน เช่น ทาไมสัตว์ป่าหลายชนิดจึงสูญพันธุ์ เพราะอะไรจึงไม่ยอม
ทาไมผลการเลือกตั้งเป็นแบบนี้ ครจู ะเลอื กสอนเม่ือไหร่
๕.๔ คาวิเศษณ์บอกเวลา หมายถึง คาวิเศษณ์ที่ใช้เพื่อบ่งบอกเวลาที่เกิดเหตุการณ์
หรือการกระทาอย่างใดอย่างหน่งึ เชน่ กลางคืน กลางวนั คา่ ๆ เช้าๆ พรุ่งนี้ มะรนื น้ี ตะก้ี ฯลฯ เช่น
ค่า ๆ เราก็ตดิ ต่อเขาได้ พรุ่งนี้เขาจะไปเชียงใหม่ ตะก้ีใครโทรมา
~๘~
๖. คาทเ่ี กี่ยวกบั จานวน
คาท่ีเกี่ยวกับจานวนจาแนกเป็น ๔ ชนิด ได้แก่ คาบอกจานวน คาบอกลาดับ
คาหน้าจานวน คาหลังจานวน
๖.๑ คาบอกจานวน คือ คาที่มีความหมายถึงจานวน เช่น ๑ ๒ ๓ ฯลฯ และคาว่า
ทกุ หลาย กี่ บาง ครึ่ง ฯลฯ เช่น เราจะซ้ือหนังสือ ๒ เล่ม เขามีลูก ๓ คน ไก่ย่างคร่ึงตัวคงไม่พอ
คนหลายคนไมช่ อบกนิ ผกั บางสถาบนั เปดิ สอนหลกั สตู รนานาชาติ สี่พ่นี อ้ งตระกลู แบ้
๖.๒ คาบอกลาดับ คือ คาที่แสดงลาดับที่ ได้แก่ คาบอกจานวนประเภทตัวเลขที่ปรากฏ
กับคาว่า ท่ี เช่น ท่ีหน่ึง ที่สอง ที่สาม ฯลฯ และคาว่า หนึ่ง เดียว แรก สุดท้าย หน้า หลัง กลาง
ทีโ่ หล่ บ๊วย รง้ั ทา้ ย
๖.๓ คาหน้าจานวน คือ คาที่ปรากฏอย่หู น้าคาบอกจานวน และมักมีคาลักษณนามตาม
คาหน้าจานวนจะขยายความหมายของคาบอกจานวนอีกทีหน่ึง ที่พบบ่อย เช่น อีก สัก ตั้ง ทั้ง
เพียง ประมาณ เกอื บ ราว เกือบๆ ราวๆ กว่า ฯลฯ เราจะซ้ือเสื้ออีก ๒ ตัว บรษิ ัทน้ีมีคนงานราวๆ
๕ คน
๖.๔ คาหลังจานวน คือ คาท่ีปรากฏอยู่หลังคาบอกจานวน อาจปรากฏอยู่หน้าหรือหลัง
คาลักษณนามก็ได้ คาหลังจานวนที่ปรากฏอยู่หน้าคาลักษณนามได้แก่คาว่า กว่า เช่น มีคนมา
ชุมนุมพันกว่าคน คาหลังจานวนท่ีปรากฏอยู่หลังคาลักษณนามได้แก่คาว่า เศษ เศษๆ กว่าๆ
เท่านนั้ ครึง่ พอดี ถ้วน ฯลฯ เชน่ เขาต้องการซือ้ ผา้ ๓ หลาเศษ ตอ้ งเดินไปอีกกิโลกว่าๆ
~๙~
๗. คาบอกกาหนด
คาบอกกาหนด คือ คาขยายนามที่อยู่ตาแหน่งสุดท้ายในนามวลี แบ่งย่อยได้เป็น ๒ ชนิด
คือ คาบอกกาหนดชี้เฉพาะและคาบอกกาหนดไมช่ ้เี ฉพาะ
๗.๑ คาบอกกาหนดชเ้ี ฉพาะ คือ คาขยายนามเพื่อกาหนดชีเ้ ฉพาะว่าคานามนน้ั อยูใ่ กลห้ รือ
ไกล จะอยู่ตาแหนง่ สดุ ท้ายของนามวลีเสมอ คาบอกกาหนดมีจานวน ๘ คา ได้แก่ น่ี นั่น โน่น นู้น
และ น้ี นั้น โน้น นูน้ เชน่ นวนิยายน่ีใครเปน็ คนแต่ง บ้านน้นั อยกู่ ันหลายคน
๗.๒ คาบอกกาหนดไม่ชี้เฉพาะ คือ คาขยายนามท่ีไม่ระบุระยะใกล้ไกลอย่างคาบอก
กาหนดชี้เฉพาะ และไม่ระบุแน่ชัดหรือเจาะจงลงไปว่าเป็นผู้ใด ชน้ิ ใด ตัวใด เปน็ ต้น เช่น อ่ืน อ่นื ๆ
นานา ต่างๆ ต่างๆ นานา ใด ไหน ตัวอย่างประโยค ของอื่นๆ มีคนจองแล้วท้ังน้ัน บ้านหลังไหน
ถกู โจรขน้ึ กใ็ หไ้ ปแจ้งทางการเสยี
๘. คาบุพบท
คาบพุ บท หรือ คาบุรพบท คือ คาท่ีปรากฏหน้านามวลีและประกอบกันเข้าเปน็ บุพบทวลี
คาบุพบทมักมีความหมายเพื่อบอกตาแหน่ง หน้าที่ ความเก่ียวข้อง ความมุ่งหมาย
ความเป็นเจ้าของ ฯลฯ ของนามวลีท่ีสัมพันธก์ ับคากริยาหรอื บอกความสัมพันธร์ ะหว่างนามวลีกับ
นามวลีในประโยคเดียวกัน เช่น ปากกาของฉันหายบ่อย พ่อตัดแต่งต้นไม้หลายต้นในสวน
เขานอนบนโซฟา ผมขอลงตรงสะพานลอย พวกเราแวะซื้อขนมข้างทาง เขามีกาลังใจตอ่ สโู้ รคร้าย
เ พ ร า ะ ค า พู ด ข อ ง เ ธ อ น้ อ ง ตั้ ง ใ จ เ รี ย น เ พื่ อ อ น า ค ต แ ม ว ข อ ง คุ ณ แ ห ว ว ห า ย ไ ป
เขาวางแผนไปเท่ียวกับเพ่ือน ๆ เรารวมพลังต่อสู้กับศัตรู ในหลวงพระราชทานพรแก่ชาวไทย
เรากลา่ วคาสรรเสริญแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า เขามาหลับเอาตอนตีสาม เขาจับปลาด้วยมือเปล่า
อยา่ รักเหาย่ิงกวา่ ผม
~ ๑๐ ~
~ ๑๑ ~
~ ๑๒ ~
๙. คาเชือ่ ม
คาเชื่อม คือ คาที่ใช้เชือ่ มคา วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน คาเช่ือมมี ๔ ชนิด คือ คาเช่ือม
สมภาค คาเชื่อมอนุประโยค คาเชื่อมเสรมิ และคาเชอ่ื มสมั พันธสาร
๙.๑ คาเช่ือมสมภาค (อ่านว่า สะ-มะ-พาก) คือ คาเชื่อมที่ใช้เช่ือมหน่วยทางภาษาต้ังแต่
๒ หน่วยขึ้นไปเข้าเป็นหน่วยภาษาเดียวกัน ได้แก่ กับ (หรือ กะ) และ หรือ แต่ เช่น
นา้ กะน้ามนั เข้ากนั ไม่ได้ พ่อและแม่เปน็ ผ้ใู หก้ าเนิดลกู
๙.๒ คาเช่ือมอนุประโยค หมายถึง คาทน่ี าหน้าอนุประโยคในประโยคซ้อน แล้วทาหนา้ ที่
ร่วมกันเป็นส่วนประกอบส่วนใดส่วนหน่ึงของประโยคหลัก คาเช่ือมอนุประโยคมี ๓ ชนิด ได้แก่
คาเชื่อมนามานปุ ระโยค คาเช่อื มคณุ านุประโยค และคาเช่ือมวิเศษณานุประโยค
๙.๒.๑ คาเช่ือมนามานุประโยค ได้แก่ ที่ ว่า ให้ ที่ว่า เช่น ท่ีเธอทาอย่างนี้ดีแล้ว
เขาพดู วา่ เขาจะมา แมบ่ อกใหน้ ้องไปตลาด เขาดีใจทว่ี า่ พ่อจะยกที่ดินใหเ้ ขา
๙.๒.๒ คาเช่ือมคุณานุประโยค ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน เช่น เด็ก ที่ได้รับรางวัล
เหตกุ ารณ์ซึ่งไมน่ า่ เกดิ ขนึ้ กเ็ กิดขน้ึ ได้
๙.๒.๓ คาเชือ่ มวิเศษณานุประโยค ได้แก่ เพราะ ถ้า จนกระท่ัง เมอื่ ขณะที่ ฯลฯ
เชน่ เขาไม่มาทางานเพราะลกู ไม่สบาย เราจะไปชายหาดกันถ้าฝนไม่ตก
๙.๒.๔ คาเช่ือมเสริม หมายถึง คาเช่ือมที่เพิ่มข้ึนเพื่อทาให้หน่วยภาษา ๒ หน่วย
สมั พนั ธ์กันไดช้ ัดเจนขึน้ คาเชือ่ มเสรมิ ได้แก่ จงึ เลย ถึง ก็ เชน่ ก็ถูกของคุณ ทาไมบ่ายป่านน้ีถึงยัง
ไมก่ ินข้าว เพราะฝนตกแต่เชา้ รถจึงตดิ หนกั
๙.๒.๕ คาเชื่อมสัมพันธสาร หมายถึง คาเชื่อมประโยคตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปให้
รวมกันเป็นสัมพันธสารเดียวกัน เช่น กล่าวคือ อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ดี อย่างไรเสีย แม้กระนั้น
ในท่สี ุด ทว่า แตท่ วา่ ทัง้ นี้ อน่ึง ฯลฯ
~ ๑๓ ~
๑๐. คาลงทา้ ย
คาลงท้าย หมายถึง คาท่ีปรากฏในตาแหน่งท้ายสุดของประโยค ไม่มีความหมายเด่นชัด
ในตัว และไม่มีหน้าท่ีสัมพันธ์กับสว่ นใดส่วนหน่ึงของประโยค แตล่ ะคาอาจมีหลายรูปซึ่งแตกต่าง
กันท่ีเสียงวรรณยุกต์ ความส้ันยาวของเสียงสระ เรื่องใดเรื่องหน่ึงหรือทั้งสองเร่ืองก็ได้
คาลงท้ายอาจแบ่งยอ่ ยเปน็ ๒ กลมุ่ คอื กลุ่มแสดงทศั นภาวะและกล่มุ แสดงมารยาท
๑๐.๑ คาลงท้ายแสดงทศั นภาวะ หมายถึง คาลงทา้ ยที่แสดงเจตนาหรอื ความรสู้ ึก
ด้วยการออกเสียงต่างๆ กัน จะสังเกตได้ว่าถ้าออกเสียงสระสั้นและลงน้าหนักเสียง มักเป็นคาสั่ง
หรือแสดงอารมณ์โกรธ ถ้าออกเสียงสระยาวหรือไม่ลงน้าหนัก มักแสดงเจตนาชักชวน ขอร้อง
โนม้ นา้ ว ออดออ้ น เปน็ ต้น คาลงท้ายแสดงทัศนภาวะ เช่น ซิ นะ เถอะ ล่ะ ซนิ ะ เถอะนะ
เงนิ ทอนละ่ ทาไมเขาไม่มาล่ะ พรุง่ นีเ้ ป็นวันหยุดนะ เขา้ มาซิ่
๑๐.๒ คาลงท้ายแสดงมารยาท หมายถึง คาลงท้ายแสดงความสุภาพ
หรือไม่สุภาพ ขณะเดียวกนั กอ็ าจแสดงสถานะและความสัมพันธ์ระหวา่ งผู้พูดด้วย ได้แก่ ครับ คะ
คะ่ ขา วะ หว่ะ ยะ ย่ะ ขอรบั ฮ่ะ จะ๊ จ๋า
รถมาแลว้ ครบั เขา้ ใจแลว้ ย่ะ คุณครขู า คุณมาคนเดียวหรือคะ
~ ๑๔ ~
~ ๑๕ ~
~ ๑๖ ~
๑๑. คาอทุ าน
คาอุทาน คือ คาท่ีเปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เช่น สะเทือนใจ ตกใจ
ดีใจ เห็นใจ ประหลาดใจ สงสาร สงสัย เจ็บปวด เป็นต้น คาอุทานมักปรากฏหน้าประโยค ในการ
เขียนมักมีเคร่ืองหมายอัศเจรีย์ ( ! ) กากับหลังคาอุทานนั้น เช่น โถ ! เจ้าเข้ียวเงินไม่น่าตายเลย
ว้ า ย ! ช่ ว ย ด้ ว ย โ ธ่ ! ไ ม่ น่ า เ ป็ น เ ช่ น นี้ เ ล ย ต า ย จ ริ ง ! ลื ม แ ว่ น ต า อี ก แ ล้ ว
เชอะ ! สอบได้แคน่ ี้เองหรอื
~ ๑๗ ~
๑๒. คาปฏิเสธ
คาปฏิเสธ คือ คาท่ีใช้บอกปัดหรือไม่ยอมรับ คาปฏิเสธจาแนกเป็น ๒ ชนิด คือ
คาปฏิเสธกริยาและคาปฏิเสธข้อความ
๑๒.๑ คาปฏิเสธกริยา ได้แก่ คาว่า มิ ไม่ หาไม่ หา.....ไม่ เช่น ผมมิใช่คนดีอะไร
เขาเดนิ ไมร่ ะวังรถ
๑๒.๒ คาปฏเิ สธขอ้ ความ ไดแ้ ก่ หามิได้ มไิ ด้ เปล่า มักใชป้ ฏเิ สธคาถาม เชน่
ก : คุณมากับภรรยาหรอื
ข : หามิได้
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศกึ ษาธิการ. ๒๕๕๒. บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓ : ชนดิ ของคา วลี ประโยค
และสัมพันธสาร. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์องคก์ ารค้าของ สกสค.
~ ๑๘ ~
~ ๑๙ ~