The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Supitcha Wuttisen, 2023-11-06 06:44:26

งานวิจัยเชิงสำรวจ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง

Keywords: Survey research,History,lingam,Phanom rung historical park

43 4. การคมนาคมที่ดี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้การแพร่กระจาย ทางวัฒนธรรมเป็นไปได้ง่ายขึ้น อาทิ การที่มีถนนที่ดี พาหนะที่ทันสมัย เป็นต้น ผ่องพันธ์ มณีรัตน์ (2521 อ้างอิงในเหมือนฝัน มานตรี, 2556) สรุปถึง การแพร่กระจายวัฒนธรรมที่จะเป็นที่ยอมรับของสังคมปลายทางได้นั้นขึ้นอยู่กับ สิ่งต่อไปนี้ 1. ความง่ายของวัฒนธรรมนั้น ๆ 2. การเข้ากันได้กับค่านิยมที่มีอยู่ในสังคมผู้รับ 3. ศักดิ์ศรีและฐานะของผู้น าสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในสังคม 4. สิ่งแ วดล้อมในวัฒน ธร รมผู้ รับ ห ากสภ าพทั่วไปก าลัง เปลี่ยนแปลงอยู่ก็จะรับได้เร็ว 5. การขาดการรวมตัวภายในสังคมของผู้รับ หากสังคมนั้นมีการ รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น การรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาก็เป็นได้ช้า 6. อัตราการติดต่อระหว่างผู้ให้และผู้รับ ถ้าการติดต่อเป็นไป อย่างกว้างขวาง การยอมรับเป็นได้ง่าย จากการศึกษาแนวคิดในประเด็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยยึดแนวคิดของ สุชีพ กรรณสูต (2552) ที่เสนอว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการ แพร่กระจายทางวัฒนธรรม มีปัจจัยที่ส าคัญ ได้แก่ หลักภูมิศาสตร์ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทาง สังคม และการคมนาคมที่ดี เป็นกรอบในการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ที่พบได้ใน ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 ปราสาทหินพนมรุ้ง กรอบความรู้ใหม่เกี่ยวกับโบราณสถานเขมรในไทยการเปลี่ยนกรอบความรู้ในการ อธิบายปราสาท พนมรุ้งและประวัติศาสตร์ยุคขอมเริ่มปรากฏให้เห็นระหว่าง พ.ศ.2526-2531 หลังจากการบูรณะปราสาทประธานแล้วเสร็จและมีการบูรณะองค์ประกอบอื่น ๆ จนเกือบเสร็จ สมบูรณ์ซึ่งการบูรณะด้วยเทคนิคคอนัสติโลซิส เปิดโอกาสให้มีการขุดค้นพบหลักฐานจ านวนมาก ส าหรับการศึกษาและตีความ ท าให้ได้ข้อค้นพบหรือข้อสันนิษฐานที่มีการถ่ายทอดอย่างไม่เป็น ทางการให้กับคนท้องถิ่นที่สนใจซึ่งน าไปขยายความ และเผยแพร่ต่อดังการน าเสนอชื่อผู้สร้างที่ไม่ใช่ กษัตริย์เมืองพระนคร พร้อมค าอธิบายในหนังสือปราสาทหินพนมรุ้ง ของดร.สรเชต วรคามวิชัย นักวิชาการท้องถิ่น แห่งวิทยาลัยครูบุรีรัมย์จัดพิมพ์พ.ศ. 2528 ว่า “จากหลักฐานศิลาจารึกนี้จะเห็น


44 ได้ว่าผู้สร้างปราสาทหินพนมรุ้งอย่างน้อยที่สุดก็เป็นส่วนปรางค์ประธาน คือท่านหิรัณยะ...แต่ปราสาท หินพนมรุ้งมีการสร้าง เติม เสริม แต่งติดต่อกันมาราว 400 ปี และก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดังนั้น ปราสาท แห่งนี้จึงมิใช่สิ่งที่คนเดียวสร้าง ท่านหิรัณยะคงไม่ใช่คนแรกและมิใช่คนสุดท้าย แต่จะเป็นผู้สร้าง ช่วงหนึ่งหรือส่วนหนึ่งที่มีความส าคัญอย่างยิ่งซึ่งอาจเป็นปรางค์ประธานทั้งหลังหรือส่วนหนึ่ง ก็ได้” (สรเชต วรคามวิชัย, 2528: 26-27) โดยก่อนหน้านั้นในหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งจัดท า โดยส านักงานจังหวัดบุรีรัมย์ปี 2526 ได้มีการคัดเลือกน าเสนอบุคคลส าคัญ ของท้องถิ่น ล าดับที่ 1 จากทั้งหมด 4 คนคือ “หิรัณยะ นักพรต บุตรชายนเรนทราทิตย์...เชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้สร้างประติมากรรมทองอุทิศแด่บิดาของท่าน” (ส านักงานจังหวัดบุรีรัมย์, 2526: 115) อันแสดงถึงการรับรู้ชื่อผู้สร้างปราสาทพนมรุ้งของคนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์และความพยายามเผยแพร่ อย่างต่อเนื่อง พร้อมกรอบความรู้ใหม่ว่าด้วยการด ารงอยู่ของกษัตริย์ท้องถิ่นที่ปกครองเมืองในอีสาน ดังว่า “จากศิลาจารึกซึ่งพบที่เขาพนมรุ้ง ได้กล่าวถึงพระนามกษัตริย์ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ในการสร้างและ ดูแลรักษาปราสาทพนมรุ้งเป็นคนละองค์กับกษัตริย์ที่ปกครองนครวัดเช่น หิรัณยะวรมัน กษีตินทรา ทิตย์ วิเรนทรวรมัน เป็นต้น .... แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีกษัตริย์ที่มีอ านาจปกครองดินแดนแถบนี้เป็น อิสระแต่ยอมรับความเป็นผู้น าของพระนคร” (ส านักงานจังหวัดบุรีรัมย์, 2526:27) ซึ่งข้อความ เดียวกันนี้มีการหยิบยกไปน าเสนอไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ของขุนสมรรถการ อักษรกิจ ชาวบุรีรัมย์ที่จัดพิมพ์พ.ศ. 2529 (สมรรถการอักษรกิจ, ขุน, 2529: 37) ด้วยส่วนหนังสือ บุรีรัมย์ 29 ซึ่งเป็นรายงานประจ าปีของจังหวัดบุรีรัมย์มีบทความที่น าเสนอข้อสันนิษฐานของ ผู้เชี่ยวชาญว่า “ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างโดยท้าวหิรัณยะเชื้อสายกษัตริย์เขมร” (จังหวัดบุรีรัมย์, 2529: 25) และมีการน าชื่อนั้นไปใช้ในการตั้งชื่อว่า “หิรัณยวิถี” ให้กับถนนลาดยางสายใหม่ที่เป็นทาง เชื่อมต่อปราสาทพนมรุ้งกับบ้านโคกเมืองที่ตั้งปราสาทเมืองต่ า อันเป็นเส้นทางสายใหม่ขนาด มาตรฐานจากอ าเภอ ประโคนชัยสู่เขาพนมรุ้งและต่อเนื่องไปต าบลตาเป๊ก อ าเภอเฉลิมพระเกียรติ (จังหวัดบุรีรัมย์, 2530: 22) 6.2 ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ สมลักษณ์ วงษ์รัตน์ (2551) ศิวลึงค์ ถือเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ ท าเป็นรูป อวัยวะเพศชาย คตินี้สืบมาจากความเชื่อดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอารยธรรมอินเดียแถบลุ่มน้ าสินธุแสดง สัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์ และบ่อเกิดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในโลกมักประดิษฐานบนแท่นโยนิโทรณะ อันเป็นเครื่องหมายเครื่องเพศหญิง ซึ่งก็คือพระนางอุมา ชายาของพระองค์ เรื่องเล่าเกี่ยวกับก าเนิด การบูชาศิวลึงค์ต่างกันไปในแต่ละคัมภีร์ เช่น ครั้งหนึ่งพระพรหมและพระวิชณุทรงถกเถียงกันว่าใคร ยิ่งใหญ่กว่ากัน และใครเป็นผู้สร้างจักรวาลแต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จนเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ มีวัตถุ รูปเสาขนาดมหึมาเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงผุดขึ้นจากพื้นโลก พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนมองไม่เห็นยอด พระวิษณุและพระพรหมสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร มีจุดตั้งตันและจุดจบที่ไหน พระวิษณุทรงแปลงเป็นหมู


45 ป่าขุดตามเสาไปดูเบื้องล่าง ส่วนพระพรหมทรงแปลงเป็นหงส์ (ต าราบางเล่มว่าขี่หงส์) เพื่อไปดูส่วน ยอดของเสา ในการนี้ใช้เวลาหลายกัลป์พระวิษณุขุดลึกลงไปเพียงใดก็ไม่พบจุดตั้งต้น จึงทรงยอมแพ้ พระพรหมก็เช่นเดียวกันพระองค์หาจุดสิ้นสุดไม่พบ แต่ระหว่างทางทรงพบดอกเกตกีดอกหนึ่งหล่นลง มาจากฟ้า พระพรหมทรงถามว่าหล่นมาจากที่ใด ดอกเกตกีบอกว่าตกมาจากเครื่องประดับเศียร พระศิวะ ซึ่งก็ใช้เวลานานหลายกัลป์กว่าจะร่วงลงมาถึงที่พระพรหมประทับอยู่ เมื่อพระพรหมเสด็จ กลับลงมา ก็ทรงกล่าวเท็จในท านองว่าทรงพบจุดสิ้นสุดแล้ว ทันใดนั้นเสาเพลิงก็ระเบิดออกพระศิวะ ปรากฎพระวรกาย ขึ้นมากลางเสา ทรงประกาศว่าสิ่งนี้คือพลังอ านาจของพระองค์เอง เป็นพลังที่ไม่ อาจวัดได้ ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดจบ และจะด ารงอยู่เป็นนิรันดร์ เพื่อเป็นแกนของโลกทั้งหลายทั้งเบื้อง บนและเบื้องล่าง พระวิษณุและพระพรหมจึงทรงยอมรับในพลังอ านาจของพระศิวะ คัมภีร์บางเล่มเล่า เรื่องนี้ต่อไปว่าพระศิวะทรงลงโทษ พระพรหมที่กล่าวเท็จโดยตัดเศียรที่ห้าออก ท าให้พระพรหมซึ่ง เดิมมีห้าเศียรเหลือเพียงสี่เคียร ภาคนี้ของพระศิวะเรียกว่า ลิงศรุตภวมูรติ หรือภาคปรากฏอันแสดง ก าเนิดศิวลึงค์ แต่ต านานบางเล่มก็เล่าก าเนิดศิวลึงค์ต่างไปว่า ครั้งหนึ่งเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ไปเข้า เฝ้าพระศิวะบนเขาไกลาส เทพทั้งหลายเข้าไปพบในขณะที่พระศิวะกับพระนางอุมาก าลังเสพสมกันอยู่ ในท้องพระโรง สมมาตร ผลเกิด (2561) ในประเทศไทยมีการนับถือปลัดขิก ซึ่งมีรากฐานมาจากศิว ลึงค์อันเป็นตัวแทนของพระศิวะ โดยหวังว่าจะได้รับความคุ้มครอง หรือความมีโชคลาภจากการ บันดาลขององค์พระศิวะ ในวัฒนธรรมฮินดู การกราบไหว้บูชาศิวลึงค์เป็นเรื่องปกติที่กระท าสืบต่อกัน มานานนับพันปีแล้ว เพราะถือว่าศิวลึงค์เป็นตัวแทนของพระศิวะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาล โชคลาภต่าง ๆ ให้แก่ผู้เลื่อมใสศรัทธา มีดวงตาจ านวนมหาศาลมากกว่า 1,000 ตาที่ล้อมรอบองค์ ศิวลึงค์ เพื่อสอดส่องคุ้มครองศาสนิกชนได้เด่นชัดทุกทิศทางอย่างไม่คลาดสายตา ศิวลึงค์นั้นเกิดจากอ านาจของพระศิวะ ผู้ใดมีศิวลึงค์หรือเคารพบูชาศิวลึงค์ อยู่เป็นประจ า พระองค์จะทรงคุ้มครอง ป้องกันภยันตรายทั้งปวงและจะดลบันดาลให้มีโชค ลาภ วาสนาแก่ผู้นั้นตลอดไป ศิวลึงค์มีอ านาจที่จะบันดาลทุกสิ่งอย่างนานัปการให้แก่ผู้บูชาและมีพลังเหนือ ธรรมชาติตามต านานในเรื่อง รามายณะหรือรามเกียรติ์ เล่าถึงอ านาจของศิวลึงค์ไว้ตอนหนึ่งว่า อสูร ชื่อตรีปุรัมเที่ยวเกะกะระรานชาวบ้าน จนเดือดร้อนไปทั้งสามโลก พระเป็นเจ้าจึงบัญชาให้พระ นารายณ์ลงไปปราบแต่พระนารายณ์ไม่สามารถท าอันตรายใด ๆ ได้เพราะอสูรตรีปุรัมทูนศิวลึงค์ไว้ เหนือศีรษะตลอดเวลา พระนารายณ์จึงต้องใช้กลลวงไปชิงเอาศิวลึงค์ไปจากอสูรตรีปุรัมเสียก่อน จึงสังหารตรีปุรัมย์ได้ บ ารุง ค าเอก (2558) กล่าวว่า การเข้ามาของศาสนาพราหมณ์ดูจากสภาพทาง ภูมิศาสตร์การเดินทางของชาวอินเดียมาสู่ประเทศไทยในรูปของการค้าขายโดยการเดินทางทะเลด้วย เรืออินเดียใต้เป็นพื้นที่ที่ติดทะเลมากที่สุด พิธีกรรมของพราหมณ์ประเพณีวัฒนธรรมเป็นแบบอินเดีย


46 ใต้มีหลักฐานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เก่าที่สุดในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้คือ เทวรูปพระวาสุเทพ แสดงให้เห็นว่ามีการนับถือศาสนาพราหมณ์ นิกายภาควัต ที่เน้นการถวายภักดีแก่พระวาสุเทพรูปศิวลึงค์ จากการศึกษาค้นคว้าสามารถสรุปได้ว่า ศิวลึงค์ได้ถูกน าเข้ามาเผยแพร่ในประเทศ ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีลักษณะเป็นอวัยวะเพศชายสืบมา จากความเชื่อที่ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่งทั้งปวง 6.3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ นงคราญ สุขสม (2560) กล่าวถึง การถอดรหัสประติมากรรมในศาสนาฮินดูด้วยทฤษฎี สัญญะวิทยา ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ว่าการศึกษาทางประติมานวิทยา จึงเป็นการวิเคราะห์ และตีความรวมทั้งอธิบายรูปแบบทางศิลปะประกอบการถ่ายทอดมโนทัศน์ของ ศิลปวิทยาการผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมหรือประติมากรรม อีกทั้งยังเป็นการ อธิบายคติความเชื่อทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์รูปเคารพ การศึกษารูปเคารพในศาสนา ฮินดูตามกรอบแนวคิดทางประติมานวิทยาซึ่งปรากฏเทพเจ้าเป็นจ านวนมากทั้งเทพบุรุษและเทพสตรี จึงมักจะเป็นการพยายามอธิบายว่ารูปเคารพนั้นหมายถึงใคร โดยพิจารณาจากคุณลักษณะหรือ รูปลักษณ์ของประติมากรรม อ้างอิงอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์ปุราณะต่าง ๆ ที่เล่าเรื่องเป็นภารตนิยาย หรือต านาน อย่างไรก็ตามการศึกษารูปเคารพโดยกรอบแนวคิดทางประติมานวิทยาบางครั้งก็มิได้ พยายามมองลึกลงไปถึง “ธรรมะ” ที่มีอยู่ หรือรหัสยะนัยอย่างอื่นที่ประติมานวิทยาอธิบายไม่ได้ เพราะประติมานวิทยามองรูปเคารพจากคุณลักษณะหรือรูปลักษณ์ที่เป็นเปลือกนอก หากเราตั้ง ค าถามว่า “ธรรมใดที่ผู้สร้างรูปเคารพต้องการสื่อสารเพื่อให้มนุษย์เข้าใจหลักสัจธรรม” ทุกการ สร้างสรรค์ล้วนมีเหตุปัจจัยสิ่งใดคือแก่นสาระ สัจธรรมหรือสัต (ความมีอยู่) ที่มีอยู่ในวรรณกรรมที่ เปรียบประดุจคัมภีร์ทางศาสนาอันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างประติมากรรมรูปเคารพ ถ้าจะท า ความเข้าใจต่อปรมัตถสัจจะ หรือปรมารถสัตยะ จะมีกรอบแนวคิดหรือทฤษฎีอื่นใดเป็นเครื่องมือ ในการศึกษานอกเหนือจากแนวคิดทางประติมานวิทยาหรือไม่ ศิวลึงค์ เป็นรูปเคารพแทนองค์พระศิวะมีต านานเล่าเรื่องการเนิดศิวลึงค์ปรากฏในคัมภีร์ ปุราณะ หลายฉบับเรียกว่า “ลิงโคทฺภฺวฺมูรติ” (Lingodbhava) คัมภีร์ที่เก่าที่สุดมีอายุประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 12 แต่งโดยนักบวชไศวนิกาย กล่าวถึงการอุบัติขึ้นของลึงค์เพื่อเป็นเสาหลักแห่งจักรวาล (Pillar of Cosmic) แสดงถึงพลังอ านาจอันยิ่งใหญ่ ที่สุดของพระศิวะที่เหนือกว่าพระพรหมและพระ วิษณุด้วยการปรากฏเป็นรูปลึงค์ การสร้างรูปเคารพของพระศิวะ จึงมักสร้างเป็นศิวลึงค์มากกว่าพระ ศิวะในรูปบุคคล ศิวลึงค์มีทั้งแบบเสมือนจริง และแบบประเพณีนิยมซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่เป็น สี่เหลี่ยมเรียกว่า พรหมภาค ส่วนแปดเหลี่ยมเรียกว่า วิษณุภาค และส่วนบนสุดเป็นรูปทรงกระบอกหัว กลมเรียกว่า รุทรภาคหรือบูชาภาค ซึ่งหมายถึงพระศิวะ บางครั้งศิวลึงค์ก็มีหน้าพระศิวะโผล่ออกมา


47 บริเวณรุทรภาค เรียกว่า “มุขลึงค์” ในการบูชาศิวลึงค์จะจัดวางอยู่บนฐานโยนี (Yoni) ซึ่งหมายถึง อวัยวะเพศหญิงแทนความหมายของพระอุมาเทวี พระชายาของพระศิวะ ที่ฐานโยนีจะมีรางน้ าส าหรับ รองรับน้ าสรงศิวลึงค์ในการประกอบพิธีบูชา นงคราญ สุขสม (2547) กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ จากคุยเฟื่องเรื่องลึงค์ ว่าลึงค์มีหลายรูปแบบและหลายประเภทแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง และวัสดุที่ใช้สร้าง รวมทั้งมีลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วย ในที่นี้จะกล่าวถึงลึงค์ 2 ประเภทที่พบในประเทศไทย คือ 1. สวยัมภูลึงค์ เป็นลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ลึงค์ประเภทนี้จะมีลักษณะเป็น ก้อนหินหรือโขดหิน หรืออาจหมายถึงภูเขาทั้งลูกที่มีอยู่ตามธรรมชาติและมีลักษณะคล้ายกับอวัยวะ เพศชาย ชาวอินเดียจะให้ความส าคัญกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเหล่านี้ และมุ่งหมายว่าเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ไว้สักการบูชา ในคาบสมุทรภาคใต้ของไทยมีสวยัมภู ลึงค์เพียงแห่งเดียวอยู่ที่โบราณสถานเขาคา อ าเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช 2. มานุษลึงค์ เป็นลึงค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นตัวแทนของพระศิวะ จัดเป็นประเภทที่ พบมากที่สุด มนุษย์สร้างลึงค์ขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกไว้ในอาคม มานุษลึงค์ที่สมบูรณ์แบบจะต้อง ประกอบด้วยส่วนต่างๆ 3 ส่วน คือ ส่วนล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า “พรหมภาค” ส่วนกลางรูป แปดเหลี่ยมเรียกว่า “วิษณุภาค” และส่วนยอดเป็นแท่งทรงกระบอกยอดมนเรียกว่า “รุทรภาค” ในสามส่วนนี้ส่วนที่ส าคัญที่สุด คือ รุทรภาค ซึ่งหมายถึงพระศิวะ มานุษลึงค์จะวางอยู่บนแท่นฐานซึ่งก็คือฐานโยนิ ในกรณีที่ลึงค์และฐานโยนิสลักจากหินชิ้น เดียวกัน (มักจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก) ส่วนที่โผล่พ้นฐานโยนิขึ้นมามักมีแต่ส่วน “รุทรภาค” หรือเรียกว่า “บูชาภาค” ส าหรับลึงค์และโยนิที่สลักแยกส่วนกัน ส่วนของฐานโยนิจะมีช่องหรือรูส าหรับสวมส่วน ฐานของลึงค์ ช่อง (รู) ที่ฐานโยนิมักจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับส่วน “พรหมภาค” ของลึงค์ กล่าวคือเมื่อน าลึงค์มาสวมเข้ากับฐานโยนิ ส่วนพรหมภาคจะฝังลงไปในฐานโยนิ เหลือแต่ส่วนวิษณุ ภาคและรุทรภาคเท่านั้นที่โผล่พ้นฐานขึ้นมา ในการประกอบพิธีบูชาลึงค์จะมีขั้นตอนการอภิเษกลึงค์ คือการสรงลึงค์ด้วยน้ านม น้ า เนยเหลว หรือน้ ามันศักดิ์สิทธิ์ น้ าที่ได้จากการสรงลึงค์เป็นน้ าศักดิ์สิทธิ์ น าไปใช้ในการปะพรมเป็นน้ ามนต์หรือน าไปบูชาต่อไป สมมาตร์ ผลเกิด (2561) กล่าวใน ศิวลึงค์: ศาสนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเกี่ยวข้อง กับปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ว่าการจัดท ารูปเคารพที่มีเทพเจ้าสูงสุดของฮินดูมารวมอยู่ด้วยกัน นั้น อาจวิเคราะห์สาเหตุได้เป็น 2 นัย ด้วยกันคือ นัยแรก อาจเกิดชาวฮินดูต่างก็ชื่นชอบและศรัทธา เลื่อมใสในมหิทธานุภาพ หรืออิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าแต่ละองค์ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งล้วนแต่ เป็นมหิทธานุภาพในทางดีต่อสังคม ครั้นจะเลือกนับถือบูชาเพียงองค์หนึ่งองค์ก็เสียดายมหิทธานุภาพ ของเทพองค์อื่น ๆ ในท านองรักพี่เสียดายน้อง ดังนั้นเพื่อไม่ให้สูญเสียในมหิทธานุภาพของเทพองค์ใด องค์หนึ่งไป จึงเคารพบูชาเทพทั้งสามองค์ไปพร้อม ๆ กันทั้งสามองค์ ส่วนนัยที่สอง อาจเป็นการแสดง


48 ให้เห็นถึงความขัดแย้งแข่งขันกันเองของชาวพราหมณ์-ฮินดูต่างนิกายกัน โดยต่างฝ่ายต่างยกย่องเทพ เจ้าที่ตนนับถือว่า มีความดี มีอิทธิฤทธิ์ มีอ านาจ เหนือกว่าเทพเจ้าองค์อื่น พระธรรมธรชัยสิทธิ์ ชยธมฺโม (ศรชัย) (2560) ได้ท าการศึกษาการบูชาวัตถุมงคลเพื่อส่งเสริม พฤติกรรมดีในทางพระพุทธศาสนาของประชาชนอ าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัย ที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ว่าวัตถุมงคลที่เกิดจากความเชื่อในเทพเจ้า ในอ าเภอนางรองมีการความ เชื่อระหว่างศาสนาพุทธผสมกับความเชื่อทางพราหมณ์ดังที่ปรากฏในปราสาทพนมรุ้งคือปราสาทพนม รุ้งเป็นศาสนสถานเขมรโบราณใน ศาสนาฮินดู สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระศิวะ ตัวปราสาทตั้งอยู่ บนปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วในจังหวัดบุรีรัมย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศชาว อ าเภอนางรอง ท าเลที่ตั้งซึ่งอยู่สูงกว่าบริเวณโดยรอบท าให้สามารถแลเห็นพื้นราบเบื้องล่างได้ กว้างไกล เฉกเช่นเดียวกับที่อาจสังเกตการณ์ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าได้ชัดเจน เป็นชื่อเทวสถาน ที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีที่ดิน หมู่บ้าน เมือง สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยที่ประทับของพระศิวะพระองค์ที่ ประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส ซึ่งคือภาพสะท้อนของฮินดูในไศวนิกายดังนั้นในการนับถือพระศิวะนั้น มักมีการท ารูปสมมุติของพระองค์ ด้วยการท าเป็นศิวะลึงค์ หรือสัญลักษณ์แห่งเพศชาย ด้วยเชื่อว่า พระศิวะ คือ เทพเจ้าแห่งการรังสรรค์การก าเนิด (คติของไศวะนิกายนั้น การสร้างโลกของพระพรหม เป็นค าบัญชาของพระศิวะ) ดังนั้น สัญลักษณ์สากลที่เป็นตัวแทนของพระองค์ที่เหมาะสมที่สุดจึงเป็น แท่งศิวลึงค์นั่นเอง ดังจะพบศิวลึงค์นี้ตามเทวสถาน ทั้งในยุคโบราณและยุคปัจจุบัน และเชื่อถือกัน ว่าศิวลึงค์นี้เป็นตัวแทนพระองค์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลปาฏิหาริย์อ านวยอวยพรให้แก่ผู้ ศรัทธา คติการนับถือศิวลึงค์ หรือ ลิงคัม หรือ ลิงคะ นี้ถ้าเป็นชาวฮินดูโดยแท้ จะมีหัวใจในการนับถือ มุ่งเน้นไปที่พระศิวะมากกว่าอย่างอื่น แต่อย่างในอ าเภอนางรองเรานั้นแม้จะมีการนับถือปลัดขิก ซึ่งมีรากฐานมาจากศิวลึงค์อันเป็นตัวแทนของพระศิวะ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ปัจจัยการสร้างศิวลึงค์นั้นเกิดมาจาก หลากหลายปัจจัย แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ทัศนคติ ความคิด หรือความเชื่อของผู้คนใน สังคม รูปแบบของศิวลึงค์ที่ถูกสร้างขึ้น ก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ภูมิปัญญาแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะถูกสร้างมาจากปัจจัยใด หรือออกแบบมาในรูปแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างเพื่อเป็นตัวแทน ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในการด ารงชีวิตตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน


49 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย งานวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ที่พบได้ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคณะผู้วิจัยมีวิธีการด าเนินงานวิจัย ดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. ระยะเวลาในการด าเนินงานวิจัย 3. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. การน าเสนอข้อมูล 1. กลุ่มเป้าหมาย การวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ดังนี้ 1.1 กลุ่มผู้รู้ (Key Information) เป็นกลุ่มที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ของ ศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบไปด้วยนักวิชาการ จ านวน 1 คน และวิทยากรประจ าปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ จ านวน 1 คน 1 . 2 ก ลุ่ม ผู้เกี่ ย ว ข้อง ( General Information) เป็นก า ร ศึ กษ า ข้อ มู ล จ าก ก ลุ่ม ผู้มี ความเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ได้แก่ประชาชนในพื้นที่ จ านวน 1 คน


50 2. ระยะเวลาในการด าเนินงานวิจัย ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้อยู่ระหว่างเดือนมกราคม ถึง เดือนเมษายน พ.ศ.2565 โดยคณะผู้วิจัยได้ด าเนินการตามแผนที่วางไว้ ดังนี้ ล าดับ แนวทางการปฏิบัติ ระยะเวลา มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 ก าหนดหัวข้อที่จะท าการศึกษา 2 ร่างเค้าโครงวิจัย 3 เข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา 4 แก้ไขเค้าโครงวิจัย 5 ด าเนินการศึกษาข้อมูลตาม วัตถุประสงค์ 6 รวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปผลการด าเนินการ ศึกษา 7 จัดท ารายงาน น าเสนอข้อมูลที่ ได้จากการวิจัย ตารางที่ 1 ตารางการด าเนินงาน 3. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เป็นเครื่องมือในการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้าง ศิวลึงค์ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 3.1.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากเอกสาร และงานวิจัยหรือที่มีการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้าง ศิวลึงค์ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวบรวมแยกประเด็นไว้ตามเนื้อหา 3.1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structed Interview) จัดท าขึ้น เพื่อสัมภาษณ์กลุ่มผู้รู้ (Key information) และกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง (General information) เกี่ยวกับ


51 ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ จ านวน 3 คน โดยเป็นผู้รู้จ านวน 2 คนและผู้เกี่ยวข้อง จ านวน 1 คน 3.2 การสร้างเครื่องมือ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยในครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ ด าเนินการตามล าดับขั้นตอน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 3.2.1 ศึกษาเอกสาร ต ารา รายงาน บทความ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประวัติ ความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งสัมภาษณ์กลุ่มผู้รู้และกลุ่มผู้เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาก าหนด กรอบแนวคิดในการท าวิจัย 3.2.2 น าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ และเลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อน ามาใช้ในการ ตั้งประเด็นค าถามตามกรอบแนวคิดในการท าวิจัย จากนั้นน าเสนออาจารย์ที่ปรึกษา 3.2.3 จัดท าเครื่องมือ จากนั้นจึงน าเครื่องมือที่ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และน ามา ปรับปรุงแก้ไขตามค าเสนอแนะ 3.2.4 น าเครื่องมือที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาได้ตรวจทาน แก้ไข และลงความเห็นชอบ จึงน าเครื่องมือไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ท าการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย และข้อมูล ทุติยภูมิ (Secondary Data) ดังนี้ 4.1 ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลดังนี้ 4.1.1 วางแผนการออกแบบแบบสัมภาษณ์ 4.1.2 สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย โดยอาศัยเครื่องมือในการท าวิจัยที่ผ่านการ ตรวจสอบความถูกต้องแล้ว 4.1.3 น าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ และตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูลหาก ข้อมูลยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์หรือยังขาดตกบกพร่อง จะต้องด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมอีก ครั้งด้วยตนเองจนกว่าจะได้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง และครบถ้วนสมบูรณ์


52 4.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า และเก็บ รวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ บทความ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ ต ารา และหนังสือจาก ห้องสมุด และฐานข้อมูลออนไลน์ที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการ สร้างศิวลึงค์ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย และข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จาก การศึกษาค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารที่มีความเกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นข้อมูลจากการเอกสาร ต ารา หนังสือวารสาร บทความ งานวิจัย เป็นต้น เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในงานวิจัย ครั้งนี้ 5.1 น าข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติความ เป็นมาของศิวลึงค์ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ น า ข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อจ าแนกและจัดกลุ่มตามลักษณะที่สอดคล้องกับกรอบแนวคิดของการท าวิจัย 5.2 น าข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์ตามกรอบแนวคิดของการท าวิจัย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย ทางประวัติศาสตร์มาอภิปรายร่วมกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในงานวิจัย จากนั้นน าเสนอผลการวิจัยในรูปแบบของการรายงานเชิงพรรณนาวิเคราะห์ 6. การน าเสนอข้อมูล น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการรายงานเชิงพรรณนาวิเคราะห์ จากนั้นจึงน า ผลงานวิจัยเสนอสู่สาธารณะในรูปแบบของเอกสารงานวิจัย และโปสเตอร์


53 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัย เรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ที่พบได้ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ในครั้งนี้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยน ากรอบแนวคิดในการวิจัยและวิธีการทาง ประวัติศาสตร์เข้ามาเป็นกรอบส าคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติ ความเป็นมาของศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้าง ศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ คณะผู้วิจัยเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมาย และข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารที่มีความ เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นข้อมูลจากการเอกสาร ต ารา หนังสือวารสาร บทความ งานวิจัย เป็นต้น เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในงานวิจัยครั้งนี้ โดยผลการวิเคราะห์ข้อมูลของการศึกษาวิจัยดังกล่าว สามารถแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ดังนี้ 1) ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 4.1 ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 4.1.1 การเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในประเทศไทย บ่อเกิดของศาสนาในไทย คือ ความเชื่อเกี่ยวกับ ผี พราหมณ์ พุทธ ส่วนใหญ่คนไทยนับถือผี มาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ผีบรรพบุรุษ เมื่อสังคมในสมัยขอมเจริญขึ้นก็จะได้รับอิทธิพลของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ในสมัยพระชัยวรมัน โดยเฉพาะไศวนิกายซึ่งมีตัวแทนเป็นศิวลึงค์จึงได้มีการสร้างไว้ ในปราสาท เพราะมีความเชื่อว่าจะท าให้เจริญงอกงาม ในไทยจะพบเพียงรูปทรงกระบอกหรือ เป็นเพียงส่วนที่เป็นลึงค์เท่านั้น แต่ในอินเดียจะปรากฏเป็นรูปของพระศิวะด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของ ศักดิ์ชัย สิงห์สาย (2548) ว่าปราสาทขอมในประเทศไทย หมายถึง อาคารทรงปราสาท ในวัฒนธรรมขอมที่พบในดินแดนไทยในปัจจุบัน ซึ่งดินแดนเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่ง ของอาณาจักรขอม รวมทั้งบางส่วนได้มีการรับอิทธิพลทางศาสนานั้น คือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และงานศิลปกรรมขอมมาสร้างอาคารทรงปราสาทที่ใช้เป็นศาสนสถาน ในวัฒนธรรมขอมนั้นมีที่มา จากอินเดีย คนอินเดียได้สร้างปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนา เรียกว่า เทวาลัย


54 โดยสรุปแล้วการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในไทยนั้นเริ่มมาจากการเจริญรุ่งเรืองของ อาณาจักรขอม โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่มีการเข้ามาของลัทธิไศวนิกายน ามาซึ่งการสร้าง ปราสาทหินและการบูชาศิวลึงค์ นอกจากนี้ยังมาจากอินเดียโดยรับผ่านทางเขมร โดยสามารถสังเกต ได้เด่นชัดจากการสร้างปราสาทหิน และการบูชาศิวลึงค์ 4.1.2 การเทียบเคียงยุคสมัยในการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ในของปราสาทหินพนมรุ้ง การเทียบเคียงการสร้างศิวลึงค์ของปราสาทหินพนมรุ้งสามารถเทียบเคียงได้กับศิวลึงค์ ที่สามารถพบได้ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งจัดเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองในการบูชาองค์พระศิวลึงค์ นั่นคือ ในสมัยเมืองพระนคร ซึ่งรูปแบบของศิวลึงค์จะมีการปรับให้เป็นแท่งสมมาตรเป็นปลายมนแบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคบนสุดปลายหมุน ส่วนรุทรภาคแทนพระศิวะ ซึ่งมีความเชื่อว่า ท่านสถิตอยู่ใน ทุกแห่งไม่มีรูปไม่มีลักษณะ ความปลายมนจึงแทนพระศิวะ, ส่วนกลาง 8 เหลี่ยม พระวิษณุภาคแทน องค์พระวิษณุ, ส่วนล่าง 4 เหลี่ยม ส่วนพรหมภาคแทนพระพรหม และฐานโยนิโทรณะแทนพระอุมา ชายาพระศิวะ ภาพที่ 3 แนวคิดการบูชาศิวลึงค์ไศวนิกาย ที่มา: https://kku.world/n25ax ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดอุบลรัตน์ มีโชค (ม.ป.ป) ว่า เมืองพระนครเป็นกลุ่มโบราณสถาน ที่ส าคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ส าคัญของประเทศ กัมพูชา อุทยานโบราณสถานเมืองพระนครมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 400 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ ป่าและปราสาทหิน ประมาณว่าในเขตอุทยานโบราณสถานมีเทวลัยและ ปราสาทหินมากกว่า 100 แห่ง โบราณสถานที่ส าคัญ เช่น นครวัดหรือปราสาทนครวัด นครธมหรือปราสาทนครธม ปราสาทบายน ปราสาทบาปวน อาณาจักรเขมรมีความเชื่อตามศาสนาฮินดู โหราศาสตร์


55 และการบวงสรวงพระเจ้าและเทวราชาของตน ฉะนั้น สถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างของเขมร ตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบอย่างหนึ่งโดยแนวเขตแดน แกน และตัวแปรทางสถาปัตยกรรมอื่น ๆ มีหน่วยวัดหรือขนาดโดยขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุและมีการแบ่งส่วนประกอบออกเป็นส่วน ๆ ตามตรรกะ โดยแต่ละส่วนจะสามารถวัดขนาดได้จากสิ่งปลูกสร้างทั้งหลัง สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ แฝงไปด้วยแนวความคิดเกี่ยวกับศาสนา การบวงสรวง ปฏิทินและจักรวาลวิทยาด้วย กล่าวโดยสรุปแล้ว การเทียบเคียงการสร้างศิวลึงค์ของปราสาทหินพนมรุ้งสามารถเทียบเคียง ได้กับศิวลึงค์ที่สามารถพบได้ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งจัดเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองในการบูชา องค์พระศิวลึงค์ นั่นคือในสมัยเมืองพระนคร สังเกตจากการสร้างปราสาทหินมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งโบราณสถานที่ส าคัญ เช่น นครวัดหรือปราสาทนครวัด นครธมหรือปราสาทนครธม พร้อมทั้ง ความเชื่อของศาสนาฮินดู โหราศาสตร์ และการบวงสรวงพระเจ้าและเทวราชา 4.1.3 หลักฐานการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ในปราสาทหินพนมรุ้ง องค์ศิวลึงค์ที่จัดแสดงในปราสาทหินพนมรุ้งเป็นองค์จ าลองมีอายุประมาณ 35 ปี สร้างขึ้น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบจารึกบริเวณรอบตัวปราสาทที่มีการจารึกว่ามีศิวลึงค์ เป็นองค์ประธานซึ่งเป็นตัวแทนของพระศิวะ ซึ่งมีการครอบองค์ศิวลึงค์ด้วยทองค าอีกชั้นหนึ่ง ศิวลึงค์ ที่ปราสาทหินพนมรุ้งจะมีลักษณะไม่เหมือนในสมัยก่อนเมืองพระนคร คือ ปรากฏขีดโค้งตรีปุณทร ที่เป็นส่วนรุทรภาค คาดว่าเป็นการท าสัญลักษณ์ให้ทราบว่าเกิดขึ้นในสมัยใหม่ เช่นเดียวกับ สมัยอินเดียที่ปรากฏขีด 3 ขีด แสดงตาพระศิวะ ศิวลึงค์ที่จัดแสดงอยู่ภายในปราสาทหินพนมรุ้ง จัดเป็นประเภทไศวนิกาย โดยลัทธิไศวะนิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะนับถือเทพเจ้า 3 องค์หลัก ได้แก่ พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ โดยนับถือพระศิวะเป็นหลัก ซึ่งสัญลักษณ์แทนตัวพระศิวะ คือ การสร้างรูปพระศิวะในรูปของศิวลึงค์เป็นแท่งปลายมน รองรับด้วยฐานโยนี แต่เดิมไม่พบหลักฐาน องค์ศิวลึงค์องค์เดิม แต่จากการสันนิษฐานตามการเทียบเคียงของศิวลึงค์ที่พบตามแหล่งอื่น ๆ ก็ลงความเห็นว่าไม่ได้เป็นเทวรูปแบบอื่นนอกเหนือจากศิวลึงค์ที่คล้ายคลึงองค์จ าลอง ภาพที่ 4 ศิวลึงค์ที่พบในปราสาทหินพนมรุ้ง ที่มา : สุทธินันท์ พรหมชัย (2565)


56 ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสมมาตร์ ผลเกิด (2561) ว่า “ศิวลึงค์” เป็นค าสมาสระหว่าง ค าว่า ศิวะ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง พระศิวะมหาเทพ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู นิกายไศวนิกาย กับค าว่า ลึงค์ หมายถึง องคชาตหรืออวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชาย ดังนั้น เมื่อน าค าทั้งสองมาสมาสเข้าด้วยกันจึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า อวัยวะสืบพันธุ์ของ พระศิวะหรือองคชาติของพระศิวะ แต่ความหมายในทางปรัชญาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่ได้แปล ตรงตามตัวอักษร หากแต่แปลความว่า ศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเครื่องหมาย ทางเพศ ศิวลึงค์มักจะปรากฏอยู่คู่กับโยนี (Yoni) เสมอ โดยโยนีนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะสืบพันธ์ เพศหญิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระอุมาอัครมเหสีของพระศิวะ อันเป็นเครื่องบ่งบอกถึงพลัง สร้างสรรค์ของสตรีเพศ การที่ศิวลึงค์กับโยนีอยู่รวมกัน แสดงถึงความเป็นสองในหนึ่งเดียวที่แยกออก จากกันไม่ได้ระหว่างบุรุษกับสตรี และเครื่องหมายที่เป็นองค์แทนของพระศิวะนี้ ชาวไศวะนิกายใช้รูป ของศิวลึงค์ เป็นสัญลักษณ์ส าคัญโดยให้เหตุผลว่านี่คือสัญลักษณ์แห่งพระผู้สร้างการให้ก าเนิด และการด ารงอยู่ของสรรพชีวิต กล่าวโดยสรุปแล้ว องค์ศิวลึงค์ที่จัดแสดงในปราสาทหินพนมรุ้งเป็นองค์จ าลอง มีอายุประมาณ 35 ปี สร้างขึ้นจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบจารึกบริเวณรอบตัว ปราสาทที่มีการจารึกว่ามีศิวลึงค์เป็นองค์ประธานซึ่งเป็นตัวแทนของพระศิวะ โดยมีการครอบ องค์ศิวลึงค์ด้วยทองค าอีกชั้นหนึ่ง ศิวลึงค์ที่ปราสาทหินพนมรุ้งจะมีลักษณะไม่เหมือนกับในสมัยก่อน เมืองพระนคร 4.2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 4.2.1 ด้านศาสนา (Religious) “ศิวลึงค์” หรือ “ลิงคะ” หรือ “ลิงคัม” ในภาษาสันสกฤต เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของ “พระศิวะ” ตามคติความเชื่อของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวะนิกาย ที่เป็นนิกายที่นับถือ พระศิวะเป็นเทพองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดามหาเทพทั้งสาม หรือ “ตรีมูรติ” ซึ่งประกอบด้วย พระศิวะ พระพรหม และพระนารายณ์ ต่อมา “ศิวลึงค์” ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ในศาสนาพราหมณ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ สิ่งที่เด่นชัดที่สุด คือ ด้านศาสนา (Religious) จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าศิวลึงค์เป็นรูปเคารพหนึ่งที่มี ความส าคัญอย่างยิ่งส าหรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง มีลักษณะ คือ เป็นแท่งสมมาตร เหลี่ยมปลายมน สามารถแบ่งออกได้ 3 ส่วน คือ ส่วนบนสุดปลายมน, ส่วนกลาง 8 เหลี่ยม และส่วนล่าง 4 เหลี่ยม ซึ่งแต่ละส่วนนั้น สุทธินันท์ พรหมชัย ผู้ช่วยนักโบราณคดี อุทยาน ประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ได้อธิบายว่า ศิวลึงค์จ าลองที่ประดิษฐานไว้กลางปราสาทพนมรุ้งนั้น


57 แบ่งเป็น 3 ภาค ภาคบนสุดปลายมน ส่วนรุทรภาค แทนพระศิวะ เชื่อว่าท่านสถิตอยู่ในทุกแห่งไม่มีรูป ไม่มีลักษณะ ความปลายมนจึงแทนพระศิวะ, ส่วนกลาง 8 เหลี่ยม แทนพระวิษณุภาค แทนองค์ พระวิษณุ, ส่วนล่าง 4 เหลี่ยม ส่วนพรหมภาค แทนพระพรหมณ์และฐานโยนิโทรณะแทนพระอุมา ชายาขององค์พระศิวะ ซึ่งสอดคล้องกับ นงคราญ สุขสม (2560) ที่ได้กล่าวว่า ศิวลึงค์มีทั้งแบบเสมือน จริงและแบบประเพณีนิยม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสี่เหลี่ยมเรียกว่า พรหมภาค ส่วนแปดเหลี่ยมเรียกว่า วิษณุภาค และส่วนบนสุดเป็นรูปทรงกระบอก หัวกลมเรียกว่า รุทรภาค หรือบูชาภาค ซึ่งหมายถึงพระศิวะ บางครั้งศิวลึงค์ก็มีหน้าพระศิวะโผล่ออกมาบริเวณรุทรภาค เรียกว่า “มุขลึงค์” ในการบูชาศิวลึงค์จะจัดวางอยู่บนฐานโยนี (Yoni) ซึ่งหมายถึงอวัยวะเพศหญิง แทนความหมายของพระอุมาเทวี พระชายาของพระศิวะ ที่ฐานโยนีจะมีรางน้ าส าหรับรองรับน้ า สรงศิวลึงค์ในการประกอบพิธีกรรม และ (พลอยไพลิน ปุราทะกา, 7 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์) ได้ กล่าวตรงกันว่า ศิวลึงค์อาจจะไม่ได้หมายถึงพระศิวะเพียงองค์เดียว แต่อาจจะหมายถึงตรีมูรติด้วย ของพนมรุ้งจะเป็นแบบเรียบ ๆ ส่วนบนที่เป็นวงกลมจะเรียกว่า รุทรภาค เป็นของพระศิวะ ส่วนตรง กลางที่เป็นแปดเหลี่ยม เขาเรียกว่า วิษณุภาค เป็นของพระนารายณ์ แล้วข้างล่างเป็นสี่เหลี่ยม เรียกว่า พรหมภาค เป็นของพระพรหมณ์ ซึ่งแกนตั้งจะวางอยู่บนแกนนอน ซึ่งเรียกแกนนอนว่า ฐานโยนี แทนอวัยวะเพศหญิง ดังนั้นมันจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เพราะแทนการเกิด หรือก าเนิด ซึ่งความอุดมสมบูรณ์มันก็แทนสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ได้ด้วย ภาพที่ 5 “ปลัดขิก” เครื่องรางของขลังตามความเชื่อของไทย ที่มา: https://www.tnews.co.th/variety/200929


58 ส าหรับการนับถือหรือคติความเชื่อเกี่ยวกับศิวลึงค์ในประเทศไทยนั้น จตุรวิทย์ (2551) ได้กล่าวว่า ในประเทศไทยเรานั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อศิวลึงค์มากนัก แต่จะคุ้นเคยกับเครื่องราง ของขลังที่เชื่อว่ามีพลังอ านาจสูงสุดในด้านโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยมที่รู้จักกันในนาม “ปลัดขิก” ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าได้แบบอย่างมาจาก ศิวลึงค์ของอินเดียตามคติทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ก าเนิดของศิวลึงค์ มีมุขปาฐะและคัมภีร์หลายเล่ม ที่กล่าวถึง ก าเนิดของศิวลึงค์ ซึ่งมีเนื้อหาเหตุการณ์เหมือนกันบ้าง คล้ายคลึงกันบ้างหรือแตกต่างกันก็มี เช่น บางคัมภีร์ กล่าวว่า ศิวลึงค์เกิดจากความต้องการของพระศิวะที่ประสงค์ประทานศิวลึงค์ให้เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ บางคัมภีร์ว่าเกิดจากความโกรธ ความละอายจากการประพฤติผิดของพระองค์เอง การนับถือศิวลึงค์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีคติความเชื่อในการบูชาศิวลึงค์ในฐานะตัวแทน ขององค์พระศิวะนั้น สอดคล้องกับแน วคิดสัญญะวิทยาของชาร์ลส์ แซนเดอร์ส เพียร์ (Charles Sanders Peirce) โดยชาร์ลส์ได้เสนอว่า สัญญะมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ รูปลักษณ์ ทางสัญญะ (Signifier) และความหมายของสัญญะ (Signified) โดยคติความเชื่อในการบูชาศิวลึงค์ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีความสอดคล้อง คือ องค์ศิวลึงค์ที่ท าจากวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน หิน หรือโลหะ ถือเป็นรูปลักษณ์ทางสัญญะ (Signifier) กล่าวคือ หากดิน หิน หรือโลหะที่มีรูปร่างเป็น เครื่องเพศชายนั้น ไม่มีการตีความหรือให้ความหมาย วัตถุเหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ เพียงชิ้นหนึ่ง ไม่มีความส าคัญใด ๆ จึงจ าเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สอง คือ ความหมายของสัญญะ (Signified) ซึ่งเป็นการตีความให้ความหมาย เพื่อให้รูปลักษณ์ทางสัญญะ (Signifier) มีความหมาย ขึ้นมา ในกรณีการนับถือศิวลึงค์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การให้ความหมายของสัญญะ คือ การให้ ความส าคัญและการนับถือดิน หิน หรือโลหะที่มีรูปร่างเป็นเครื่องเพศชายหรือ “ศิวลึงค์” ในฐานะ ตัวแทนขององค์พระศิวะ เมื่อมีองค์ประกอบครบครบถ้วนจะท าให้วัตถุมีความเป็นสัญญะตามความ เชื่อนั้น ปัจจัยด้านศาสนาที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเหตุผลหลัก คือ การสร้างเพื่อรูปสักการบูชาแทนองค์พระศิวะตามคติความเชื่อของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู โดยเฉพาะไศวะนิกาย ที่เป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดามหาเทพทั้งสาม หรือ “ตรีมูรติ” ในส่วนของประเทศไทยนั้นการนับถือศิวลึงค์หรือศาสนา พราหมณ์-ฮินดู จะเป็นการนับถือตามรัฐโบราณต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่และเหลือโบราณสถานสถาน หรือโบราณวัตถุมาถึงปัจจุบันไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยในประเทศไทยจะคุ้นเคย กับ “ปลัดขิก” ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังที่เชื่อว่ามีพลังอ านาจสูงสุดในด้านโชคลาภและเสน่ห์เมตตา มหานิยมเป็นส่วนใหญ่ โดยแนวความเชื่อดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศิวลึงค์ ด้วยเช่นเดียวกัน


59 4.2.2 ด้านอ านาจ (Power) การสร้างและบูชาศิวลึงค์เป็นสิ่งส าคัญของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีความเชื่อ เกี่ยวกับอ านาจของศิวลึงค์ที่จะประทานพรตามที่ผู้ที่นับถือกราบไหว้ได้ร้องขอ ดังที่ สมมาตร์ ผลเกิด (2561) ได้กล่าวว่า โยคีในประเทศอินเดียนั้นเป็นสาวกของพระศิวะที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในเทพ องค์นี้อย่างสูงยิ่ง และโยคีเหล่านี้เชื่อว่าครั้งหนึ่งพระศิวะเคยบ าเพ็ญพรตเป็นฤๅษีและเชื่อว่าศิวลึงค์นั้น เกิดจากอ านาจของพระศิวะ ผู้ใดมีศิวลึงค์หรือเคารพบูชาศิวลึงค์อยู่เป็นประจ า พระองค์จะทรง คุ้มครอง ป้องกันภยันตรายทั้งปวงและจะดลบันดาลให้มีโชคลาภวาสนาแก่ผู้นั้นตลอดไป ศิวลึงค์ มีอ านาจที่จะบันดาลทุกสิ่งอย่างนานัปการให้แก่ผู้บูชาและมีพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องกับ (สุทธินันท์ พรหมชัย, 11 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์) ได้กล่าวว่า “..ที่พนมรุ้งถือเป็นเอกลักษณ์ของ ความเชื่อรูปแบบไสยวนิกาย คนในพื้นที่ก็ยังคงมีความเชื่อ ความศรัทธาเช่นนั้นอยู่ ในแต่ละเดือนมี การขอเข้าไหว้ จัดบวงสรวง บนบานศาลกล่าว เช่น ขอให้หายป่วย เลื่อนต าแหน่ง สอบได้ มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ ทุกช่วงวัยไม่มีจ ากัดอยู่บางช่วงวัย ที่ปราสาทหินพนมรุ้งมีการจัดพิธี ขึ้นเข้าพนมรุ้ง แรกเริ่มเดิมทีเกิดขึ้นจากความเชื่อ แรงศรัทธาของคนในพื้นที่ เวลาเปลี่ยนไป พิธีกรรม ก็ถือเป็นหนึ่งในการโปรโมทการท่องเที่ยว กระท าควบคู่กันไประหว่างการท าพิธีกรรมอธิษฐาน หรือการน าดาราเข้ามาร่วมพิธีด้วยเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว..” และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “..ศิวลึงค์ ณ ปราสาทพนมรุ้ง ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในพื้นที่ ยังคงนับถือสืบต่อกันมา ทุก ๆ เดือนห้าจะมีการเดินทางขึ้นมาท าพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพร ชาวบ้านที่ระแวกนั้น นอกจากมีการได้เข้าร่วมพิธีแล้วยังถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นการขาย อาหาร ของที่ระลึก ผ้า หรืออาหารพื้นบ้านในงาน ในปีหลัง ๆ มานี้จะเปลี่ยนแปลงบริบทจากชาวบ้าน เป็นผู้ด าเนินพิธี เป็นหน่วยงานหรือผู้ที่ศรัทธาทราบข่าว..” ภาพที่ 6 ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ประจ าปี 2561 ที่มา: http://www.buriramkhao.com/?p=1670


60 จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า นอกจากความศรัทธาที่ใช้ศิวลึงค์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในฐานะตัวแทนองค์พระศิวของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้ว ความเชื่อเกี่ยวกับพลังอ านาจ เหนือธรรมชาติเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีส่วนส าคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างแรงศรัทธาในการบูชาศิวลึงค์ ซึ่งความศรัทธาอย่างแรงกล้านี้เองเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างศิวลึงค์ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งแต่อดีต โดยปัจจุบันยังผู้เคารพนับถือและเชื่อในพลังอ านาจเหนือธรรมชาตินี้ สังเกตได้จาก การมีผู้มาขอพร บนบานศาลกล่าว ณ ปราสาทหินพนมรุ้งตามงานประเพณีในแต่ละปี 4.2.3 ด้านความเชื่อ (Faith) ความเชื่อเกี่ยวกับศิวลึงค์เข้ามาในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยขอมเจริญขึ้น โดยเขมรมีอิทธิพลและบทบาท ทั้งทางการเมืองและทางศิลปะอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อน ดังปรากฏ หลักฐานจากโบราณสถาน เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ที่สร้างเป็นโบสถ์พราหมณ์ไศวนิกาย โดยเชื่อว่าองค์ ศิวลึงค์นั้นเป็นตัวแทนของพระศิวะหรืออิศวรซึ่งเป็นเทพเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ จึงมีการสร้างขึ้นเพื่อบูชาโดยเชื่อว่าจะท าให้เกิดความเจริญงอกงามในชีวิตของผู้คนที่สักการบูชา ท าให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ เพราะเชื่อว่าพระศิวะคือตัวแทนของความสมบูรณ์ (วิเชียร แสนมี, 14 กุมภาพันธ์ 2565; สัมภาษณ์) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสมมาตร์ ผลเกิด (2561) ที่กล่าวว่า ชาวฮินดูแท้จะหลอมรวมศรัทธามุ่งเน้นไปที่องค์ศิวะมหาเทพมากว่าองค์ประกอบอย่างอื่น เพราะถือว่าศิวลึงค์เป็นตัวแทนของพระศิวะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลโชคลาภต่าง ๆ ให้แก่ ผู้เลื่อมใสศรัทธา มีดวงตาจ านวนมหาศาลมากกว่า 1,000 ตา ที่ล้อมรอบองค์ศิวลึงค์ เพื่อสอดส่อง คุ้มครองศาสนิกชนได้เด่นชัดทุกทิศทางอย่างไม่คลาดสายตา อีกนัยหนึ่งเป็นการสร้างเพื่อแทนบุคคล ส าคัญในสมัยนั้น ตามความเชื่อแบบเทวราชาที่รับมาจากชวาอีกที เป็นการสถาปนาตนให้เทียบเคียง เทพเจ้า ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์กับตัวบุคคลมากขึ้น เชื่อว่าเมื่อตายไปแล้วจะได้เข้าใกล้พระศิวะมากขึ้น เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณของผู้สร้าง (สุทธินันท์ พรหมชัย, 11 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์) ปัจจุบันศิวลึงค์ที่ประดิษฐานในปราสาทเขาพนมรุ้งสามารถที่จะดึงดูดผู้ที่มีศรัทธาให้เข้ามาสักการบูชา ส่งผลให้ปราสาทหินพนมรุ้งมีผู้ที่มีจิตศรัทธาหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ท าให้คนในพื้นที่ ใกล้เคียงมีรายได้จากการมาของผู้ที่ศรัทธานี้ด้วย เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและท าให้ปราสาทหิน พนมรุ้งเป็นที่รู้จักมากขึ้น (วิเชียร แสนมี, 14 กุมภาพันธ์ 2565; สัมภาษณ์) และส าหรับคนในพื้นที่เอง ความเชื่อและการบูชาในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปัจจุบันพุทธศาสนาได้ เข้ามาแทนที่และในอดีตนั้นเดิมทีผู้ที่น าศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามา คือ กษัตริย์ที่ปกครองแบบ เทวราชา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็เป็นการบังคับให้ชาวเมืองนับถือตามเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าแท้จริง แล้วชาวเมืองนับถือในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่คนไทยนับถือผีมาตั้งแต่สมัย โบราณ จนในปัจจุบันปราสาทพนมรุ้งกลายเป็นโบราณสถานและสถานที่ท่องเที่ยวให้มาศึกษาเรียนรู้ มากกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมีการเคารพบูชา (พลอยไพลิน ปุราทะกา, 7 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์)


61 อย่างไรก็ตามคนในพื้นที่ก็ยังคงมีความเชื่อความศรัทธาเช่นนั้นอยู่ ในแต่ละเดือนมีการขอเข้าไหว้ จัด บวงสรวง บนบานศาลกล่าว (หายป่วย เลื่อนต าแหน่ง สอบได้) มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ ทุก ช่วงวัยไม่มีจ ากัดอยู่บางช่วงวัย ที่ปราสาทหินพนมรุ้งมีการจัดพิธีขึ้นเขาพนมรุ้ง แรกเริ่มเดิมทีเกิดขึ้น จากความเชื่อ แรงศรัทธาของคนในพื้นที่ เวลาเปลี่ยนไปพิธีกรรมก็ถือเป็นหนึ่งในการโปรโมทการ ท่องเที่ยว กระท าควบคู่กันไประหว่างการท าพิธีกรรมอธิษฐาน หรือการน าดาราเข้ามาร่วมพิธีด้วยเพื่อ เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว (สุทธินันท์ พรหมชัย, 11 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์) จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า ในอดีตการบูชาศิวลึงค์เป็นการบูชาพระศิวะตามความเชื่อ ไศวนิกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเชื่อของคนในพื้นที่ก็เปลี่ยนแปลงไปจากหลายปัจจัย เช่น ความเสื่อมของอาณาจักรขอม การเข้ามาแทนที่ของศาสนาพุทธ และรูปแบบทางความเชื่อ และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จนในปัจจุบันปราสาทพนมรุ้งและความเชื่อเกี่ยวกับศิวลึงค์ ก็ลดน้อยลงไป หรือเปลี่ยนแปลงไปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นโบราณสถานที่มีบทบาทในการเป็น แหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามส าหรับคนในพื้นที่ปราสาทพนมรุ้งและองค์ศิวลึงค์ ก็ยังคงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาเพื่อขอพรอธิษฐาน และเป็นแหล่งรายได้ จากการเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว 4.2.4 ด้านการเกษตร (Agriculture) นอกจากการบูชาศิวลึงค์ตามความเชื่อหลักที่เป็นการบูชาองค์พระศิวะเจ้าเพราะเชื่อว่า จะดลบันดาลให้เกิดความเจริญงอกงามให้แก่ในชีวิตของผู้คนที่สักการบูชา แล้วการบูชาศิวลึงค์ ในอีกนัยหนึ่งเพราะเชื่อว่าจะน าพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่ เนื่องจากศิวลึงค์นั้นมีรูปร่างคล้ายกับ อวัยวะเพศชาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการก่อก าเนิด หมายถึง สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และศิวลึงค์อาจจะไม่ได้หมายถึงพระศิวะเพียงองค์เดียว แต่อาจจะหมายถึงตรีมูรติด้วย เช่น ที่ศิวลึงค์ ที่พบที่ปราสาทพนมรุ้งของพนมรุ้ง ส่วนบนที่เป็นวงกลมจะเรียกว่า รุทรภาค เป็นของพระศิวะ ส่วนตรงกลางที่เป็นแปดเหลี่ยม เขาเรียกว่า วิษณุภาค เป็นของพระนารายณ์ แล้วข้างล่างเป็นสี่เหลี่ยม เรียกว่า พรหมภาค เป็นของพระพรหมณ์ ซึ่งแกนตั้งจะวางอยู่บนแกนนอน ซึ่งเรียกแกนนอนว่า ฐานโยนี แทนอวัยวะเพศหญิง ดังนั้นศิวลึงค์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เพราะแทนการ เกิดหรือ ก าเนิด ซึ่งก็แทนสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ได้ด้วย (นางสาวพลอยไพลิน ปุราทะกา, 7 มีนาคม 2565; สัมภาษณ์) สอดคล้องกับศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (2560) ที่กล่าวว่า ก่อนที่เราจะ ยอมรับนับถือเอาศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (ที่เข้ามาในอุษาคเนย์พร้อม ๆ กับพระพุทธศาสนา) ในช่วง ราว พ.ศ. 1000 เป็นต้นมา เราก็มีการนับถือบูชาเครื่องเพศชายว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือของขลังมาก่อน อยู่แล้ว ในลัทธิความเชื่อหรือศาสนาแบบดั้งเดิมของวัฒนธรรมทั้งหลาย มักให้ความส าคัญกับ เรื่องเพศทั้งชายและหญิง ในฐานะสัญลักษณ์ของการก่อก าเนิดและความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะ ในสังคมเกษตรกรรม


62 จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า การบูชาศิวลึงค์นอกจากจะเป็นการบูชาองค์พระศิวะ เพื่อขอพร ในเรื่องโชคลาภและความเจริญแล้ว ในอีกนัยหนึ่งยังเชื่อว่าการบูชาศิวลึงค์จะน าพาความอุดมสมบูรณ์ มาสู่พื้นที่ และในสังคมไทยในอดีตที่มีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรมส่วนหนึ่งก็รับเอาความเชื่อ เกี่ยวกับการบูชาศิวลึงค์ เนื่องจากมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์


63 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ งานวิจัย เรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ในครั้งนี้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมา ของศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ คณะผู้วิจัยเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย และข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารที่มีความเกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นข้อมูลจากการเอกสาร ต ารา หนังสือวารสาร บทความ งานวิจัย เป็นต้น เข้าด้วยกันเพื่อให้ เกิดองค์ความรู้ใหม่ในงานวิจัยครั้งนี้โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 5.1 สรุปและอภิปรายผล 5.2 ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปและอภิปรายผล 5.1.1 ประวัติความเป็นมาของศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 1) การเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในประเทศไทย การเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในไทยนั้นเริ่มมาจากการเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร ขอม โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่มีการเข้ามาของลัทธิไศวนิกายน ามาซึ่งการสร้างปราสาทหิน และการบูชาศิวลึงค์ นอกจากนี้ยังมาจากอินเดียโดยรับผ่านทางเขมร โดยสามารถสังเกตได้เด่นชัด จากการสร้างปราสาทหิน และการบูชาศิวลึงค์ 2) การเทียบเคียงยุคสมัยในการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ในของปราสาทหินพนมรุ้ง การเทียบเคียงการสร้างศิวลึงค์ของปราสาทหินพนมรุ้งสามารถเทียบเคียงได้กับศิวลึงค์ ที่สามารถพบได้ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งจัดเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองในการบูชาองค์พระศิวลึงค์ นั่นคือ ในสมัยเมืองพระนคร สังเกตจากการสร้างปราสาทหินมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งโบราณสถานที่ส าคัญ เช่น นครวัดหรือปราสาทนครวัด นครธมหรือปราสาทนครธม พร้อมทั้งความเชื่อของศาสนาฮินดู โหราศาสตร์ และการบวงสรวงพระเจ้าและเทวราชา 3) หลักฐานการสร้างศิวลึงค์ที่พบได้ในปราสาทหินพนมรุ้ง องค์ศิวลึงค์ที่จัดแสดงในปราสาทหินพนมรุ้งเป็นองค์จ าลอง อายุประมาณ 35 ปี สร้างขึ้นจาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบจารึกบริเวณรอบตัวปราสาทที่มีการจารึกว่า มีศิวลึงค์ เป็นองค์ประธานซึ่งเป็นตัวแทนของพระศิวะ ซึ่งมีการครอบองค์ศิวลึงค์ด้วยทองค าอีกชั้นหนึ่ง โดยศิวลึงค์ที่ปราสาทหินพนมรุ้ง จะมีลักษณะไม่เหมือนในสมัยก่อนเมืองพระนคร


64 5.1.2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสารหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ 1) ด้านศาสนา (Religious) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ สิ่งที่เด่นชัดที่สุด คือ ด้านศาสนา (Religious) ตามคติความเชื่อของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวะนิกาย ที่เป็นนิกาย ที่นับถือ พระศิวะเป็นเทพองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดามหาเทพทั้งสาม หรือ “ตรีมูรติ” ซึ่งประกอบด้วย พระศิวะ พระพรหม และพระนารายณ์ ซึ่งต่อมา “ศิวลึงค์” ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ อีกอย่างหนึ่ง ในศาสนาพราหมณ์ที่มีความส าคัญอย่างยิ่งส าหรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ปัจจัยด้านศาสนาที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเหตุผลหลัก คือ การสร้างเพื่อรูปสักการบูชาแทนองค์พระศิวะตามคติความเชื่อของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู โดยเฉพาะไศวะนิกาย ที่เป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดามหาเทพทั้งสาม หรือ “ตรีมูรติ” ในส่วนของประเทศไทยนั้นการนับถือศิวลึงค์หรือศาสนา พราหมณ์-ฮินดู จะเป็นการนับถือตามรัฐโบราณต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ และเหลือโบราณสถาน หรือโบราณวัตถุมาถึงปัจจุบันไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยในประเทศไทยจะคุ้นเคยกับ “ปลัดขิก” ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังที่เชื่อว่ามีพลังอ านาจสูงสุดในด้านโชคลาภ และเสน่ห์เมตตา มหานิยมเป็นส่วนใหญ่ โดยแนวความเชื่อดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศิวลึงค์ ด้วยเช่นเดียวกัน 2) ด้านอ านาจ (Power) การสร้างและบูชาศิวลึงค์เป็นสิ่งส าคัญของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีความเชื่อ เกี่ยวกับอ านาจของศิวลึงค์ที่จะประทานพรตามที่ผู้ที่นับถือกราบไหว้ได้ร้องขอ และมีความศรัทธา ที่ใช้ศิวลึงค์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในฐานะตัวแทนองค์พระศิวะของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับพลังอ านาจเหนือธรรมชาติเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีส่วนส าคัญอย่างยิ่ง ในการเสริมสร้างแรงศรัทธาในการบูชาศิวลึงค์ ซึ่งความศรัทธาอย่างแรงกล้านี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่มีผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาทหินพนมรุ้งตั้งแต่อดีต โดยปัจจุบันยังผู้เคารพนับถือและ เชื่อในพลังอ านาจเหนือธรรมชาตินี้ สังเกตได้จากการมีผู้มาขอพรบนบานศาลกล่าว ณ ปราสาท หินพนมรุ้งตามงานประเพณีในแต่ละปี 3) ด้านความเชื่อ (Faith) ความเชื่อเกี่ยวกับศิวลึงค์เข้ามาในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยขอมเจริญขึ้น โดยเชื่อว่า องค์ศิวลึงค์นั้นเป็นตัวแทนของพระศิวะหรืออิศวรซึ่งเป็นเทพเคารพสูงสุดของศาสนา พราหมณ์ จึงมีการสร้างขึ้นเพื่อบูชาโดยเชื่อว่า จะท าให้เกิดความเจริญงอกงามในชีวิตของผู้คน ที่สักการบูชาและความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ เพราะเชื่อว่าพระศิวะคือตัวแทนของความสมบูรณ์ ในอดีตการบูชาศิวลึงค์เป็นการบูชาพระศิวะตามความเชื่อไศวนิกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป


65 ความเชื่อของคนในพื้นที่ก็เปลี่ยนแปลงไปจากหลายปัจจัย ท าให้รูปแบบทางความเชื่อและวิถีชีวิต เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จนในปัจจุบันปราสาทพนมรุ้งและความเชื่อเกี่ยวศิวลึงค์ก็ลดน้อยลง เปลี่ยนแปลงจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นโบราณสถานที่มีบทบาทในการเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยว และเป็นแหล่งรายได้จากการที่เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว 4) ด้านการเกษตร (Agriculture) ตามหลักการบูชาองค์พระศิวะเจ้าหรือศิวลึงค์นั้นมีความเชื่อว่าจะดลบันดาลให้เกิด ความเจริญงอกงามให้แก่ชีวิตของผู้คนที่สักการบูชา นอกจากนี้การบูชาศิวลึงค์อีกนัยหนึ่งเชื่อว่า จะน าพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่บริเวณเพาะปลูก เนื่องจากศิวลึงค์นั้นมีรูปร่างคล้ายกับ อวัยวะเพศชาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการก่อก าเนิด หมายถึง สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และในสังคมไทยในอดีตที่มีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรมส่วนหนึ่งก็รับเอาความเชื่อเกี่ยวกับ การบูชาศิวลึงค์ เนื่องจากมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกัน 5.2 ข้อเสนอแนะ 5.2.1 ข้อเสนอแนะทั่วไป 1) หากอยู่ในสถานการณ์ปกติควรมีการปรึกษาหารือวิจัยโดยการพบปะพูดคุยกันโดยตรง เนื่องจากการปรึกษาวิจัยผ่านระบบออนไลน์อาจไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจเท่าที่ควร 2) ควรเพิ่มระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้การศึกษาค้นคว้า การวิเคราะห์ และการน าเสนอข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 3) ควรมีการก าหนดจุดมุ่งหมายของการวิจัยให้ชัดเจน และจัดหมวดหมู่ข้อมูลให้เป็นระบบ เพื่อป้องกันการสับสนประเด็นที่ก าลังศึกษา 4) ควรมีการเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยให้มากขึ้น เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ ส าหรับการท าวิจัย 5.2.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1) การท าวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ ณ ปราสาท หินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ในด้านอื่น เช่น ด้านสังคม เป็นต้น 2) การท าวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างศิวลึงค์ในพื้นที่อื่น นอกเหนือจากปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์


66 บรรณานุกรม กมลพรรณ อาการส. (ม.ป.ป.). แนวคิดเกี่ยวกับตนเองและการบริโภคเชิงสัญญะของแฟนคลับศิลปน เพลงเกาหลี: กรณีศึกษาศิลปนวง Girls’ Generation. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา, 2560) กมเลศวร ภัตตาจารย์. (2516). ศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรขอม. แปลโดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ. กรมวิชาการ. (2546). ประวัติศาสตร์ไทยเชิงวิเคราะห์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. (2558). ประวัติศาสตร์ชาติไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร. กาญจนา แกวเทพ. (2552). การวิเคราะห์สื่อแนวคิดและเทคนิค. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แหงจุฬา ลงกรณมหาวิทยาลัย. การท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์. ส านักงานจังหวัดบุรีรัมย์ส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย. (2526). ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดบุรีรัมย์. บุรีรัมย์: ส านักงาน. คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ. (2560). ยุทธศาสตร์การพัฒนาในระยะแผนพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564). ส านักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การ สงเคราะห์ทหารผ่านศึก: กรุงเทพฯ จังหวัดบุรีรัมย์. (2529). บุรีรัมย์’29. บุรีรัมย์: จังหวัด. ___________. (2530). บุรีรัมย์’30 รายงานประจ าปีงบประมาณ 2530. บุรีรัมย์: จังหวัด. ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ และ ชัยวัฒน์ สีแก้ว. (2562). พราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช. พิมพ์ครั้งแรก นครศรีธรรมราช: หจก. โรงพิมพ์ประยูรการพิมพ์ ชัยรัตน์ โตศิลา. (2555). การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เพื่อ ส่งเสริมทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ต านานศิวะลึงก์ ตัวแทนแห่งพระศิวะเทพ. (ม.ป.ป.). ต านานศิวะลึงก์ ตัวแทนแห่งพระศิวะเทพ. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://1th.me/lnYds


67 บรรณานุกรม (ต่อ) นงคราญ สุขสม. (2560).“วิจัย วิจักขณ์” การน าเสนอผลงานวิชาการกรมศิลปากร ประจ าปี พ.ศ. 2560 เล่ม 2. ค้นหาเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://bit.ly/3A1r7Bi ___________. (2547). คุยเฟื่องเรื่องลึงค์. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://shorturl.asia/Nk2Uc นาฏวิภา ชลิตานนท์. (2524). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. กรุงเทพฯ : ลิ้นจี่การพิมพ์. บ ารุง ค าเอก. (2558). อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. วารสารวิจัยภาษาไทยสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะ, 8(2), 55-56. ___________. (2558). ศึกษาวิเคราะห์อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์อินดูสองภัทรท าพี่ณีรูปแบบ ศิลปะและวรรณกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. คณะโบราณคดี : มหาวิทยาลัยศิลปากร ไปด้วยกันท่องเที่ยว รวมทุกเรื่องราวเที่ยว. (2561). ปราสาทหินพนมรุ้ง. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://shorturl.asia/JqPzM แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (5) ประเด็น การท่องเที่ยว (พ.ศ. 2561-2580). (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2565, จาก https://bit.ly/3L9V33E ผาสุก อินทราวุธ. (2524). รูปเคารพในศาสนาฮินดู. พิมพ์ครั้งที่สอง. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. พรหมศักดิ์ เจิมสวัสดิ์. (2564). ศิวลึงค์เป็นวัตถุเคารพที่ยิ่งใหญ่สุดของมนุษย์ได้อย่างไร เผยราก ต านานตั้งแต่โบราณ. ค้นหาเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://1th.me/as6ax พระธรรมธรชัยสิทธิ์ ชยธมฺโม (ศรชัย). (2560). ศึกษาการบูชาวัตถุมงคลเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมดี ในทางพระพุทธศาสนาของ ประชาชนอ าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ A STUDY OF WORSHIPING SACRED OBJECTSON PROMOTING THE GOOD BEHAVIORS OF PEOPLE IN NANGRONG DISTRICT, BURIRAM PROVINCE. ป ริ ญ ญ า พุ ท ธ ศ า ส ต ร มหาบัณฑิต. พระนครศรีอยุธยา. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/Jqzku เพียรพิทย์ โรจนปุณยา. (2560). ศาสนาพราหมณ์ในเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร. วารสาร อิเล็กทรอนิกส์ Veridian มหาวิทยาลัยศิลปากร (มนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์และศิลปะ). ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, จาก https://shorturl.asia/VqCQm


68 บรรณานุกรม (ต่อ) ภราเดช พยัฆวิเชียร. (2549). การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของไทยทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต. ค้น เมื่ อ 3 กุมภ าพัน ธ์ 25 65, จ าก http://www.etatjournal.com/upload/13 0/ 25492_1.pdf. ยุกติ มุกดาวิจิตร. (2555). วิทธีวิทยาเรื้อสร้างอัตลักษณ์. กรุงเทพมหานคร: โครงการตัวตนคนยอง กับท้องถิ่นล้านนา: สื่อกับการเมืองอัตลักษณ์ยุคโลกาภิวัฒน์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ยศ สันตสมบัติ. (2556). มนุษย์กับวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที14. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. วีณา เอี่ยมประไพ. (2535). หลักฐานทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์โอเดียนสโตร์. วีรภัทร วิไลศิลปะดีเลิศ. การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยมรางวัลอิศรา อมันตกุล ของสมาคม นักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) ศักดิ์ชัย สิงห์สาย. (2548). “ปราสาทขอมในประเทศไทย” ในสารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. เล่มที่ 30. หน้าที่ 59-96. กรุงเทพมหานคร: โครงการสารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน ศานติ ภักดีค า. (2559). พระศิวะ-มหาเทพแห่งการท าลายล้าง (เทพเจ้า ศาสนาฮินดู). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. (2560). ความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องเพศชาย. ค้นหาเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://1th.me/bNONK สันติ ภัยหลบลี้. (2564). เส้นทางโบราณขึ้นพนมรุ้ง. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2565, จาก https://shorturl.asia/dJ1mN สมมาตร์ ผลเกิด. (2561). ศิวลึงค์: ศาสนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ SHIVA LING: THE HOLY RELIGIOUSOBJECT OF BRAHMANISM. ว า รส า ร วนัมฎ องแห รกพุทธ ศ าสต ร์ ปริทรรศน์, 5(1), 60. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/MiO6x สมลักษณ์ วงษ์รัตน์. (2551). ตรึงน้ าตาที่ประสาทขอม. กรุงเทพฯ: ส.พิจิตการพิมพ์จ ากัด. ส านักข่าวกรองแห่งชาติ. (2564). ราชอาณาจักรไทย. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2565, จาก https://shorturl.asia/f2ojY


69 บรรณานุกรม (ต่อ) ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน. (2564). ข้อมูลทั่วไปด้านประชากร. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2565, จาก https://shorturl.asia/iA18p สนั่น ปรางค์ทอง. (2534). การศึกษาอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์บนเกาะเมืองอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 1893-2310 (1350-1767 A.D.). วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, จาก https://shorturl.asia/KPt8r สมบูรณ์ บุณยเวทย์. (2541). บันทึกประสบการณ์ครั้งบูรณะปราสาทหินพิมายและ ปราสาทหินพนม รุ้ง. ศิลปากร 41 (5), 64-91. สมรรถการอักษรกิจ, ขุน. (2529). “จังหวัดบุรีรัมย์” ในอนุสรณ์เนื่องในงาน พระราชทานเพลิงศพ ขุนสมรรถการอักษรกิจ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2529. (หน้า 33-54). บุรีรัมย์: มปป. สมศักด์ นิลพงษ์. (2526). ศิวลึงค์ศิลาที่ค้นพบในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหา บัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, จาก https://shorturl.asia/YNRGA สรเชต วรคามวิชัย. (2528). ปราสาทหินพนมรุ้ง. บุรีรัมย์: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัด บุรีรัมย์วิทยาลัยครู บุรีรัมย์ชมรมส่งเสริมเหมือนฝัน มานตรี. การเผยแพร่เพลงกระแสนิยมญี่ปุ่นภายใต้กระแส โลกาภิวัตน์: กรณีศึกษาศิลปินวงเอเคบี 48. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะภาษาและ การสื่อสาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2556) อาภาพรรณ สายยศ. (2548) การวิเคราะห์เชิงสัญญะของภาพยนตร์โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเภทเบียร์. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นนทบุรี. DOI: https://doi.nrct.go.th/ListDoi/listDetail?Resolve_DOI= Ferdinand de. (1959). Course in General Linguistics. Edited by Charles Bally and Albert Sechehaye in Collaboration with Albert Riedlinger. Translated, with an Introduction and notes by Wade Baskin. New York: McGraw-Hill. Lefebrve, Henri. (1991). The Production of Space. Malden, Massachusettes: BlockwellPublishers. (Translated by Donald Nicholson-Smith) Saussure, MGR online. (2564). ชาวบ้านโยธะกา จ.ฉะเชิงเทรา ปั้นศิวลึงค์ขอฝนเข้าผืนนา หลังประสบปัญหา แล้งหนัก. สืบค้นเมื่อ 16 มิถุนายน 2564, จาก https://shorturl.asia/vDXtw


70 ภาคผนวก


71 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้รู้ ผู้เกี่ยวข้อง และหนังสือราชการ


72 รายนามผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ ผู้เกี่ยวข้อง และหนังสือราชการ ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจและพิจารณาเครื่องมือ 1. รองศาสตราจารย์ ดร.อังคณา ตุงคะสมิต อาจารย์ประจ าสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มณฑา ชุ่มสุคนธ์ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3. อาจารย์ ดร.ณัชพล มีแก้ว อาจารย์ประจ าสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มผู้รู้ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร แสนมี อาจารย์ประจ าสาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2. นายสุทธินันท์ พรหมชัย ผู้ช่วยนักโบราณคดี อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้เกี่ยวข้อง 1. คุณพลอยไพริน ปุราพะกา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


73


74


75


76


77


78


79 ภาคผนวก ข แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง


80


81 ภาคผนวก ค ภาพการด าเนินงานวิจัย


82 ภาพที่ 7 การเก็บข้อมูลจาการสัมภาษณ์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร แสนมี (กลุ่มผู้รู้) ภาพที่ 8 การเก็บข้อมูลจาการสัมภาษณ์คุณพลอยไพริน ปุราพะกา (กลุ่มผู้รู้) ผ่านโปรแกรม Zoom


83 ภาพที่ 9 การเก็บข้อมูลจาการสัมภาษณ์นายสุทธินันท์ พรหมชัย (ผู้เกี่ยวข้อง) ผ่านโปรแกรม Zoom ภาพที่ 10 รายงานความคืบหน้าของการด าเนินงานวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษา


84 ประวัติคณะผู้วิจัย


85 ชื่อ – สกุล: นายณัชพล โสชมภู วัน เดือน ปีเกิด: 20 มีนาคม พ.ศ. 2543 ภูมิล าเนา: จังหวัดหนองคาย ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 081-9753763 ชื่อ – สกุล: นายธนพัฒน์ บุญศรี วัน เดือน ปีเกิด: 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ภูมิล าเนา: จังหวัดขอนแก่นนายธนพัฒน์ บุญศรี ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 098-6859902 ชื่อ – สกุล: นางสาวธรรมิตาว์ จันทร์หวร วัน เดือน ปีเกิด: 28 กันยายน พ.ศ. 2542 ภูมิล าเนา: จังหวัดหนองคาย ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 064-9833413


86 ชื่อ – สกุล: นายธราธร ทิพม้อม วัน เดือน ปีเกิด: 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 ภูมิล าเนา: จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 082-1076205 ชื่อ – สกุล: นายสหสวรรษ ขันธ์พัฒน์ วัน เดือน ปีเกิด: 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ภูมิล าเนา: จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Email: [email protected] เบอร์โทร: 080-1841795 ชื่อ – สกุล: นางสาวสุพิชชา วุฒิเสน วัน เดือน ปีเกิด: 27 มีนาคม พ.ศ. 2542 ภูมิล าเนา: จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 061-0832043


87 ชื่อ – สกุล: นายหัตธชัย ประเสริฐสุข วัน เดือน ปีเกิด: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ภูมิล าเนา: จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 094-2892313 ชื่อ – สกุล: นางสาวณิกัญรดา พรหมศิริ วัน เดือน ปีเกิด: 10 กันยายน พ.ศ. 2543 ภูมิล าเนา: จังหวัดหนองคาย ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 092-1422456 ชื่อ – สกุล: นางสาวศศิธร วรรณคีรี วัน เดือน ปีเกิด: 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ภูมิล าเนา: จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 085-4554789


88 ชื่อ – สกุล: นางสาวปณิตา ประภาการ วัน เดือน ปีเกิด: 14 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ภูมิล าเนา: จังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันก าลังศึกษา: ชั้นปี 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น E-mail: [email protected] เบอร์โทร: 095-6706590


89


Click to View FlipBook Version