The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-10-09 23:42:55

หน้าที่และความรับผิดของผู้ขาย

E-BOOK

E-BOOK

เสนอ


อาจารย์วีณา สุวรรณโณ

จัดทำโดย
นายทศธรรม เกลี้ยงเกิด รหัส

นิสิต 631081412
คณะนิติศาสตร์



E-BOOKเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
เอกเทศสัญญา 0801211

คำนำ

อีบุ๊คเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่ อเป็ นส่วนหนึ่ งของวิชาเอกเทศ
สัญญา ชั้นปีที่2 ป.ตรีเพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องการ
ส่งมอบ ในปะมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้ศึกษา
อย่างเข้าใจเพื่อประโยชน์ในการเรียน

ผู้จัดทำหวังว่า อีบุ๊คเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือ
นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือ
ข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้ อมรับไว้
และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ผู้จัดทำ
นายทศธรรม เกลี้ยงเกิด

คณะนิติศาสตร์

หน้ าที่และความรับผิดของผู้ขาย

เมื่อสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว กล่าวคือเมื่อมีการแสดงเจตนาที่ประสงค์ต้องตรง
กันระหว่างผู้ซื้อกับ ผู้ขาย (ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว) ในทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อที่ผู้
ซื้อจะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์และเพื่อที่ผู้ขายจะได้รับราคาของทรัพย์นั้น
ดังนี้ เราเรียกว่า สัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว และผู้ขายก็มี “หนี้” หรือ “หน้ าที่” ที่จะ
ต้องปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายต่อไป ถ้าผู้ขายบิดพลิ้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามนั้นย่อม
ก่อให้เกิด “ความรับผิด” ตามมา
สำหรับ “หนี้” หรือ “หน้ าที่” ของผู้ขายนั้น ได้แก่
(๑) การส่งมอบ ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อด้วยความสมัครใจ
ซึ่งจะส่งมอบด้วยวิธีการใดๆ ก็ได้ ขอเพียงให้ทรัพย์สินนั้นเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือ
ของผู้ซื้อก็พอแล้ว เช่น การส่งมอบหนังสือ อาจใช้วิธียื่นให้การส่งมอบรถยนต์
อาจใช้วิธีส่งมอบกุญแจก็ได้ แต่ที่สำคัญคือว่าจะต้องส่งมอบภายในเวลาและ ณ
สถานที่ที่ตกลงกันไว้ ถ้าไม่มีการตกลงกันและทรัพย์ที่ซื้อขายนั้นเป็นทรัพย์
เฉพาะสิ่งแล้ว ตามกฎหมายผู้ขายต้อง ส่งมอบ ณ สถานที่ที่ทรัพย์นั้นอยู่ในเวลา
ที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่ถ้าไม่ใช้ทรัพย์เฉพาะสิ่ง ต้องส่งมอบ ณ ภูมิลำเนาปัจจุบัน
ของผู้ซื้อ
ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ไม่มากเกินไป หรือไม่น้ อย
เกินไป และต้องไม่นำทรัพย์อื่นมาปะปนด้วย เพราะถ้าส่งมอบน้ อยเกินไปสำหรับ
สังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อมีทางเลือก ๒ ทางคือ (ก) ไม่รับมอบไว้เลย หรือ (ข) รับมอบ
ไว้ แต่ใช้ราคาน้ อยลงตามส่วนของทรัพย์สินที่ส่งมอบ แต่ถ้าส่งมอบมากเกินไป
สำหรับสังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อมีทางเลือก ๓ ทางคือ (ก) อาจจะรับไว้เฉพาะตาม
จำนวนที่ตกลงกันในสัญญา และส่วนที่เกินก็ไม่รับเลยได้ (ข) ไม่รับทั้งหมดเลย
หรือ (ค) รับไว้ทั้งหมด แต่ต้องใช้ราคาสำหรับส่วนที่รับเกินไว้ด้วย ส่วนกรณีที่ผู้
ขายส่งมอบทu3619 ทรัพย์สินตามสัญญาปะปนกับทรัพย์สินอื่นๆ มาด้วย ผู้ซื้อมี
ทางเลือก ๒ ทางคือ (ก) รับมอบเฉพาะทรัพย์สินตามที่ตกลงในสัญญา และไม่รับ
มอบ ทรัพย์สินส่วนที่ปะปนมา หรือ (ข) ไม่รับมอบไว้เลยไม่ว่าส่วนที่เป็นไปตาม
สัญญาหรือส่วนที่ปนเข้ามา ก็ตาม
แต่ถ้าการส่งมอบทรัพย์สินที่มากเกินไปหรือน้ อยเกินไปนั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์
ผู้ซื้อมีทางเลือก ๒ ทางคือ (๑) รับมอบเฉพาะทรัพย์ตามจำนวนที่สัญญากันไว้
แล้วใช้ราคาตามจำนวนที่รับไว้จริง หรือ (๒) ไม่รับมอบไว้เสียเลย

(๒) ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ไม่ชำรุดบกพร่อง ซึ่งความชำรุดบกพร่องในที่นี้
หมายถึง ลักษณะที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายในตัวของมันเองมีความชำรุดหรือมีความ
บกพร่องอยู่จนเป็นเหตุให้ทรัพย์นั้นราคาตก หรือไม่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ตาม
ปกติหรือตามสภาพของทรัพย์สินนั้น และความชำรุดหรือความบกพร่องนี้จะต้องมี
อยู่ก่อนหรือในเวลาที่ทำสัญญาซื้อขายเท่านั้น ตัวอย่างเช่น นายเขียวซื้อแจกันจาก
นายเหลืองหนึ่งใบในราคา ๕๐ บาท ปรากฏว่าก่อนส่งมอบหรือขณะส่งมอบนั้นแจกัน
เกิดร้าวขึ้นมา
นายเหลืองผู้ขายก็จะต้องรับผิดไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ว่ามีความชำรุดบกพร่องอยู่ก็ตาม
ยิ่งถ้ารู้หรือเป็ นคนทำให้ทรัพย์สินที่ซื้ อขายนั้นชำรุดบกพร่องเองด้วยแล้วยิ่งต้องรับ
ผิดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีแม้ทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นจะชำรุดบกพร่องมาก่อน หรือใน
ขณะที่ซื้อขายกัน ผู้ขายอาจจะไม่ต้องรับผิด ในกรณี
๑) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้ ถ้าเขา
ใช้ ความระมัดระวังตามปกติ ตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อเห็นทุเรียนเน่าอยู่แล้วในเวลาซื้อ
ขาย หรือผู้ขายเจาะไว้ให้ดู ควรจะดู ก็ไม่ดู กลับซื้อไป ผู้ขายก็ไม่ต้องรับผิด
๒) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นได้เห็นอยู่แล้วในเวลาส่งมอบและผู้ซื้อรับไว้โดยมิได้
ทักท้วงประการใด
๓) ถ้าผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นจากการขายทอดตลาด เพราะในการขายทอดตลาดนั้น
เป็นการขายที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้ซื้อน่าจะได้มีโอกาสตรวจสอบก่อนแล้ว
๔) ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงกันไว้ว่า ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง
ของ ทรัพย์สินที่ซื้อขาย
(๓) ผู้ขายมีหน้ าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ปลอดจากการถูกรอนสิทธิ กล่าวคือเมื่อผู้
ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายไปแล้ว ผู้ซื้อจะต้องไม่ถูกคนอื่นมารบกวนขัดสิทธิใน
การครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข ตัวอย่างเช่น นายแดงซื้อเรือมาดจากนายดำ ต่อ
มานายขาวอ้างว่าตนเป็นเจ้าของเรือมาดที่แท้จริง เพราะนายดำได้ขโมยเรือมาดของ
ตนไป ดังนี้ ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกเข้ามาอ้างว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ซื้อ เท่ากับ
ผู้ซื้อคือนายแดงถูกรอนสิทธิแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดเมื่อผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ คือ
๑) ผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขายว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิดีกว่าเท่ากับสมัครใจยอมรับ
ผลที่จะเกิดตามมา
๒) ถ้าการรอนสิทธิเกิดจากความผิดของผู้ซื้อเอง ในกรณีดังต่อไปนี้

๒.
๑) เมื่อไม่มีการฟ้องคดีและผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปเพราะผู้ซื้อเอง

ตัวอย่างเช่น ผอมซื้อของมาจากอ้วน ต่อมาโอ่งมาบอกว่าของนั้นเป็นของโอ่ง ผอมก็เชื่อ
และให้ของนั้นแก่โอ่งไปโดยไม่ถามอ้วน เช่นนี้อ้วนไม่ต้องรับผิด
๒.๒) เมื่อมีการฟ้องคดี และผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี ทั้งผู้ขายยังพิสูจน์ได้ว่าถ้า
ได้เรียก เข้ามาในคดี คดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะดังนี้ ผู้ขายก็ไม่ต้องรับผิด
๒.๓) เมื่อมีการฟ้องคดี และผู้ขายได้เข้ามาในคดีแล้ว แต่ศาลยกคำร้องเพราะความผิด
ของผู้ซื้อเอง เช่น ผู้ซื้อขาดนัด (ไม่มาศาลตามเวลาที่ศาลนัดไว้) หรือไม่นำพยานมาสืบ
๓) มีข้อตกลงในสัญญาว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ แต่ข้อตกลงไม่ให้ผู้ขาย
ต้อง รับผิดนี้ ไม่คุ้มครองผู้ขาย ถ้าการรอนสิทธิเกิดเพราะความผิดของผู้ขายเอง หรือผู้
ขายรู้อยู่แล้วว่ามีการรอนสิทธิแต่ปกปิดเสีย
มาตรา 461 ผู้ขายจำต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6470/2541 มาตรา 78 เบญจ และมาตรา 79 ทวิ(2) แห่ง
ประมวลรัษฎากร ที่ใช้บังคับอยู่ขณะเกิดเหตุพิพาทคดีนี้ เป็นบทบัญญัติในหมวดภาษี
การค้าที่บัญญัติขึ้นเพื่อประโยชน์ แก่การจัดเก็บและชำระภาษีการค้าเท่านั้น ไม่อาจนำมา
ใช้ ในกรณีของภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะได้ เพราะหลักการเก็บ
ภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกันโดยภาษีการค้าเรียกเก็บจากรายรับก่อน
หักรายจ่ายส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลเก็บจากกำไรสุทธิ ซึ่งคำนวณจากรายได้ของกิจการ
ในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ตามที่
บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65 วรรคหนึ่ง และในมาตรา 65 วรรคสอง ก็ได้
บัญญัติเกี่ยวกับวิธีการคำนวณรายได้และรายจ่ายเพื่อหากำไรสุทธิว่าให้ใช้หลักเกณฑ์สิทธิ
สำหรับยอดขายสินค้าพิพาทเป็นการขายสินค้าไปต่างประเทศการที่โจทก์ออกใบกำกับ
สินค้าซึ่งระบุรายละเอียดของชนิดปริมาณ และราคาสินค้า แสดงว่า โจทก์ได้กำหนด คัด
เลือก นับ ชั่ง ตวง วัด เพื่อให้ได้ตัวสินค้าที่ตกลงซื้อขาย เป็นการแน่นอนแล้ว และโจทก์
ได้ส่งมอบสินค้านั้นให้แก่ผู้ขนส่งเรียบร้อยแล้ว ถือว่าการส่งมอบนั้นสำเร็จแล้วตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 461 และ463 ทั้งกรรมสิทธิ์ก็ได้โอนไปยังผู้
ซื้อแล้วตาม

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 453,458 และ 460 ดังนั้น การที่โจทก์ลง
บัญชีรับรู้รายได้จากการขายสินค้าหรือบันทึกยอดขายสินค้าพิพาท ในวันที่ 31 มีนาคม
2533ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับใบกำกับสินค้าและใบตราส่ง ถือได้ว่าเป็นการ รับรู้รายได้ถูก
ต้องตามหลักเกณฑ์สิทธิแล้ว ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
นั้นได้รวมยอดซื้อวัตถุดิบซ้ำเข้าเป็นรายได้ในรอบระยะเวลา บัญชีที่พิพาทแล้ว และ
ปรับปรุงผลขาดทุนสุทธิของโจทก์ จาก 22,250,261 บาท เป็น 20,349,534.81 บาท
หากนำยอดขายสินค้าพิพาทจำนวน 3,571,152.31 บาทหักออกจากยอดที่คณะ
กรรมการพิจารณาอุทธรณ์ปรับปรุงแล้วผลขาดทุนสุทธิของโจทก์จะเป็ นจำนวน
23,920,687.12 บาทการที่ศาลภาษีอากรมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับปรุงบัญชียอดซื้อ
วัตถุดิบซ้ำและให้คงยอดผลขาดทุนสุทธิของโจทก์ไว้เท่ากับ 22,350,261 บาท ตามที่
โจทก์ขอ จึงเป็นการชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2910/2526 เมื่อสัญญาซื้อขายน้ำมันเกิดขึ้นแล้ว ผู้ขายจำต้องส่ง
มอบทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 461จำเลยจะ
อ้างประเพณีการค้าว่าบริษัทผู้ขายน้ำมันไม่จำต้องผูกพันว่าจะต้องขายน้ำมันให้แก่ผู้ซื้อ
โดยผู้ขายมีสิทธิคืนเงินราคาที่ชำระแล้วแก่ผู้ซื้อหรือเพราะเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันขึ้นทั่ว
โลกมาเป็ นข้อบอกปั ดไม่ขายน้ำมันให้แก่โจทก์หาได้ไม่
มาตรา 462 การส่งมอบนั้นจะทำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้สุดแต่ว่าเป็นผลให้ทรัพย์สินนั้น
ไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ
“เงื้อมมือ” หมายถึงการกระทำใด ๆ ที่ทำให้ทรัพย์สินที่ซื้อขายเข้าไปอยู่ในอำนาจ ความ
ครอบครองของผู้ซื้อและสามารถจำหน่ายจ่ายโอนต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1623/2525 ซื้อขายบ้านและที่ดินกัน การที่มอบกุญแจบ้านให้แก่
โจทก์ถือว่าโจทก์ได้รับมอบการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทแล้ว จำเลยที่ 2 มีชื่อถือ
กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทแทนจำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง แม้โจทก์
จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาจากจำเลยที่2 จำเลยที่ 3 ก็หาได้กรรมสิทธิ์
ในที่ดินและบ้านพิพาทไม่เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
คำพิพากษาฎีกาที่ 2014/2542 สินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ต้องจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ
แล้วนำไปติดตั้งในสถานที่ของจำเลย ทั้งต้องมีการทดสอบการใช้ระยะหนึ่ง โจทก์นำ
สินค้าไปติดตั้งให้และดำเนินการแก้ไขให้สมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย โดยจำเลยลงลายมือ
ชื่อรับสินค้าเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2536 เมื่อตาม

ป.พ.พ.มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป
โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อสินค้าที่ซื้อขายติดตั้งเรียบร้อยและผ่านการ
ทดสอบว่าใช้งานได้ดีและจำเลยยอมรับมอบสินค้านั้นแล้ว อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่
19 กุมภาพันธ์ 2536
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2516 หน้าที่ของจำเลยผู้ขายที่ดินและห้องแถว นอกจากจะ
ต้องจดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์ มีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์โอนไปยังโจทก์ผู้ซื้อ
แล้ว จำเลยยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์นั้นแก่โจทก์ โดยกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะ
เป็นผลให้ทรัพย์นั้นไปอยู่ในเงื้อมมือของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 461 และ 462 อีกด้วย หาใช่เพียงแต่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แล้วก็ถือว่าผู้รับ
โอนได้เข้าครอบครองทรัพย์ทีเดียวโดยไม่ต้องมีการส่งมอบกันอีกไม่
มาตรา 463 ถ้าในสัญญากำหนดว่าให้ส่งทรัพย์สินซึ่งขายนั้นจากที่แห่งหนึ่งไปถึงอีกแห่ง
หนึ่งไซร้ ท่านว่าการส่งมอบย่อม
สำเร็จเมื่อได้ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขนส่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2522ผู้ขายนำสินค้าไปส่งมอบแก่จำเลยผู้รับขนเพื่อส่งให้
โจทก์ผู้ซื้อ โจทก์เป็นผู้รับตราส่งสินค้ารายพิพาท ไม่ใช่ผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จึงมิใช่คู่สัญญา
รับขน สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่สัญญารับขนจึงต้องเป็นไป
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 คือเมื่อของถึงตำบลที่กำหนดให้ส่ง
และโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว แต่สินค้ารายพิพาทนี้มิได้ไปถึงตำบลที่
กำหนดให้ส่ง โดยได้สูญหายไปเสียก่อนในระหว่างการขนส่ง โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้
จำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งให้ส่งมอบสินค้าได้ สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนนั้น
จึงไม่อาจจะตกไปได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่งตามมาตรา 627 โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มี
อำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญารับขนพิพาทได้
การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 463 นั้น มิใช่
เป็นข้อวินิจฉัยว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายโอนไปยังผู้ซื้อแล้วหรือไม่ เพราะการส่งมอบ
เป็นเพียงหน้าที่ประการหนึ่งของผู้ขายเท่านั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายย่อมโอนไปยังผู้
ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 และจะยกเอาบทบัญญัติเรื่อง
กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้วหรือไม่ใน

ลักษณะซื้ อขายมาเป็ นข้อวินิจฉัยสิทธิของผู้ซื้ ออันเกิดแต่สัญญารับขนไม่ได้
เพราะเป็นสิทธิตามสัญญาซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ต่างลักษณะกัน เมื่อเข้า
ลักษณะใดก็ต้องใช้กฎหมายลักษณะนั้นบังคับ
มาตรา464 ค่าขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อขายกันไปยังที่แห่งอื่นนอกจากสถาน
ที่อันพึงชำระหนี้นั้น ผู้ซื้อพึงออกใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2538 สัญญาซื้อขายไม้ซุงกระยางเลยกำหนดให้
จำเลยทั้งสองผู้ขายส่งมอบไม้ซุงที่โรงงานของบริษัทโจทก์สถานที่ดังกล่าวจึง
เป็ นสถานที่ที่โจทก์และจำเลยทั้งสองแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจำชำ
ระหนี้ณสถานที่นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา324เมื่อ
จำเลยทั้งสองส่งมอบไม้ซุงให้โจทก์ณสถานที่ดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสองจึงไม่
อาจเรียกค่าขนส่งไม้ซุงจากโจทก์ได้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์มาตรา464ซึ่งโจทก์ผู้ซื้อจะต้องออกค่าขนส่ง จำเลยทั้งสองเป็น
ฝ่ ายผิดสัญญาไม่ส่งไม้ซุงให้ครบจำนวนตามสัญญาแก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิ
บอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำส่วนที่เหลือและเรียกค่า
ปรับได้เมื่อจำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิคิด
ดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา224วรรคหนึ่ ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2538 สัญญาซื้อขายไม้ซุงกระยาเลยกำหนดให้
จำเลยทั้งสองผู้ขายส่งมอบไม้ซุงที่โรงงานของบริษัทโจทก์ สถานที่ดังกล่าว
จึงเป็ นสถานที่ที่โจทก์และจำเลยทั้งสองแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่า
จะชำระหนี้ ณ สถานที่นั้นตามป.พ.พ. มาตรา 324 เมื่อจำเลยทั้งสองส่งมอบ
ไม้ซุงให้โจทก์ ณ สถานที่ดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเรียกค่าขนส่ง
ไม้ซุงจากโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยป.พ.พ.มาตรา 464 ซึ่งโจทก์ผู้ซื้อจะต้อง
ออกค่าขนส่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5516/2537 ตามสัญญาซื้อขายรายพิพาทในงวดที่ 4
กำหนดให้โจทก์ส่งมอบทรายกรอง ณ สำนักงานของจำเลยเขต 13 ชุมพร
เขต 14 นครศรีธรรมราชแต่จำเลยย้ายที่ตั้งสำนักงานเขต 13 จากจังหวัด
ชุมพรไปอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและได้ให้โจทก์นำทรายกรองที่จะต้องส่งมอบ
ให้สำนักงานเขต 14 ไปส่งที่อำเภอห้วยยอด อำเภอย่านตาขาว และอำเภอ
ทุ่งสง จึงเป็นกรณีที่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายไปยังที่แห่งอื่นนอกจาก
สถานที่อันจะพึงชำระหนี้ จำเลยผู้ซื้อจึงต้องออกใช้ค่าขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อ
ขายกันไปยังที่แห่งอื่น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 464

มาตรา 465 ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น
(1) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้ อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะ

ปัดเสียไม่รับเอาเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคา
ตามส่วน

(2) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะ
รับเอาทรัพย์สินนั้นไว้แต่เพียงตามสัญญาและนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะ
ปัดเสียทั้งหมดไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินอันเขาส่งมอบเช่น

นั้นไว้ทั้งหมด ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคาตามส่วน
(3) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สิน
อย่างอื่นอันมิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินไว้แต่
ตามสัญญา และนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้
สิทธิของผู้ซื้อ ในกรณีผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขาดตกบกพร่อง หรือล้ำ

จำนวน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 465
» ส่งมอบทรัพย์สินน้ อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ : บอกปัดเสียไม่รับเอาเลย หรือจะ

รับไว้และใช้ราคาตามส่วน
» ส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ : รับไว้แต่เพียงตามสัญญา นอกนั้น

บอกปัดเสีย หรือบอกปัดเสียไม่รับเอาเลยทั้งหมด หรือรับไว้ทั้งหมดและใช้
ราคาตามส่วน

» ส่งมอบทรัพย์สินระคนกับทรัพย์ที่กำหนดในสัญญา : รับไว้เฉพาะตาม
สัญญา นอกนั้นบอกปัดเสีย หรือหรือบอกปัดเสียทั้งหมดก็ได้

ตัวอย่างคำถาม นายเมฆทำสัญญาซื้อขายเก้าอี้จากนายหมอกจำนวน50 ตัว
พอถึงวันส่งมอบ นายหมอกนำเก้าอี้มาส่งมอบให้นายเมฆจำนวน50ตัวพร้อม
ทั้งโต๊ะอีก50ตัวดังนี้ถ้านายเมฆไม่พอใจ จะปฏิเสธไม่รับมอบทั้งเก้าอี้และโต๊ะ

ได้หรือไม่เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 465 ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น
(1) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้ อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะ
ปัดเสียไม่รับเอาเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคา

ตามส่วน

(2) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอา
ทรัพย์สินนั้นไว้แต่เพียงตามสัญญาและนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมด
ไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินอันเขาส่งมอบเช่นนั้นไว้ทั้งหมด ผู้ซื้อก็ต้อง

ใช้ราคาตามส่วน
(3) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอัน
มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินไว้แต่ตามสัญญา และนอก

กว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้
ตามปัญหา การที่นายเมฆทำสัญญาซื้อขายเก้าอี้จากนายหมอกจำนวน 50 ตัว พอถึงวัน
ส่งมอบ นายหมอกนำเก้าอี้มาส่งมอบให้นายเมฆจำนวน50 ตัวนั้น กรณีดังกล่าวถือได้
ว่านายหมอก ผู้ขายมิได้ปฎิบัติตามสัญญา กล่าวคือได้ส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญา

ไว้ระคนปนกับทรัพย์สินอย่างอื่นที่มิได้ รวมอยู่ในข้อสัญญา ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา
465(3)นายเมฆผู้ซื้อย่อมมีสิทธิที่จะรับเอาไว้เฉพาะเก้าอี้จำนวน50ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สิน

ที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา และบอกปัดไม่รับมอบโต๊ะ 50 ตัวนั้น หรือจะปฎิเสธไม่
ยอมรับมอบ เก้าอี้ทั้ง 50 ตัว และโต๊ะ 50 ตัวนั้นทั้งหมดก็ได้

ดังนั้น ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อนายเมฆไม่พอใจ นายเมฆย่อมสามารถปฎิเสธไม่
รับมอบ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 465(3)
สรุป

ถ้านายเมฆไม่พอใจ นายเมฆสามารถปฎิเสธไม่รับมอบทั้งเก้าอี้และโต๊ะได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 465 ได้แบ่งการส่งมอบไม่ถูกต้องตาม
จำนวน ในสัญญาซื้อขายไว้เป็น 3 กรณี คือ การส่งมอบสินค้าขาดตกบกพร่อง การส่ง
มอบสินค้าล้ำจำนวน และการส่งมอบสินค้าระคนกัน ซึ่งบัญญัติให้สิทธิผู้ซื้อแตกต่างกัน
ดังต่อไปนี้ กรณีการส่งมอบสินค้า ขาดตกบกพร่อง ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับสินค้า
ทั้งหมด หรือ ผู้ซื้อจะรับสินค้าที่ผู้ขายส่งมอบไว้ แล้วใช้ราคาตามส่วนก็ได้ กรณีการส่ง
มอบสินค้าล้ำจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะรับสินค้าตามที่ระบุไว้ใน สัญญาแล้วบอกปัดส่วนที่
ล้ำจำนวน หรือบอกปัดไม่รับสินค้าทั้งหมดที่ผู้ขายน ามาส่งมอบ หรือจะรับ สินค้าไว้
ทั้งหมดแล้วใช้ราคาตามส่วนก็ได้ กรณีการส่งมอบสินค้าระคนกัน ผู้ซื้อมีสิทธิเลือกจะรับ
เอา สินค้าที่ถูกต้องตามสัญญาแล้วบอกปัดสินค้าที่ระคนมา หรือจะบอกปัดไม่รับสินค้า

ทั้งหมดก็ได้

สิทธิของผู้ซื้อตามบทบัญญัติดังกล่าวกรณีการส่งมอบสินค้าล้ำจำนวน กรณีการส่งมอบสินค้าล้ำ
จำนวน ที่ให้สิทธิผู้ซื้อในการบอกปัดไม่รับสินค้าทั้งจำนวนนั้นมีความไม่เหมาะสม เนื่องจากการ
ส่งมอบสินค้า ล้ำจำนวน คือ การที่ผู้ขายส่งมอบสินค้าส่วนหนึ่งถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา อัน
มีผลท าให้หนี้ของ ผู้ขายสัญญาซื้อขายนั้นระงับสิ้นไปทั้งหมดแล้ว และอีกส่วนที่ผู้ขายช ำระ
หนี้ไม่ถูกต้อง คือ ส่วนที่ เกินจำนวนมาจากที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งควรให้สิทธิผู้ซื้อเพียง
บอกปัดไม่รับสินค้าดังกล่าวไว้ เท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นว่า ควรศึกษาถึงประวัติความเป็นมาในการ
ร่างบทบัญญัติมาตรา 465 ประกอบ กับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถใช้
บทบัญญัติดังกล่าวได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ในการ ร่างกฎหมาย
มาตรา466 นการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์นั้น หากว่า ได้ระบุจำนวนเนื้อที่ ทั้งหมดไว้ และ ผู้
ขาย ส่งมอบ ทรัพย์สิน น้ อย หรือ มากไปกว่า ที่ได้สัญญาไซร้ ท่านว่า ผู้ซื้อ จะปัดเสีย หรือ จะ
รับเอาไว้ และ ใช้ราคาตามส่วน ก็ได้ ตามแต่จะเลือก

อนึ่ง ถ้า ขาดตกบกพร่อง หรือ ล้ำจำนวน ไม่เกินกว่า ร้อยละห้า แห่งเนื้อที่ทั้งหมด
อันได้ระบุไว้นั้นไซร้ ท่านว่า ผู้ซื้อ จำต้องรับเอา และ ใช้ราคาตามส่วน แต่ว่า ผู้ซื้อ อาจจะเลิก
สัญญาเสียได้ ในเมื่อ ขาดตกบกพร่อง หรือ ล้ำจำนวน ถึงขนาด ซึ่ง หาก ผู้ซื้อ ได้ทราบก่อน
แล้ว คงจะมิได้ เข้าทำสัญญานั้น
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7983/2561 สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดพิพาททั้งสิบระหว่างโจทก์
กับจําเลยระบุว่า ในกรณีที่อาคารชุดยังดําเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ต่อมาเมื่อการก่อสร้าง
แล้วเสร็จ ปรากฏว่ามีเนื้อที่ห้องชุดเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากจํานวนที่ระบุในสัญญา คู่สัญญาตกลง
คิดราคาห้องชุดตามส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในราคาต่อหน่วยตามที่กําหนดในข้อ 3.1 และให้นํา
ราคาห้องชุดส่วนที่ เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเพิ่มหรือลดลงจากราคาห้องชุดตามข้อ 3.1 และจํานวน
เงินที่ต้องชําระตาม ข้อ 4.2 ตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นการระบุไว้เป็นการทั่วไป ไม่ได้ยกเว้น
บทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 466 ไว้โดยชัดแจ้งว่า ผู้ซื้อจะไม่ยกเรื่องเนื้อที่น้ อยหรือมากกว่าที่
ระบุ ในสัญญาตั้งแต่ร้อยละห้าขึ้นไปเป็นข้ออ้างบอกปัดไม่ยอมรับ ไม่ถือว่าข้อตกลงดังกล่าว
ยกเว้นไม่ให้นํา ป.พ.พ. มาตรา 466 มาใช้บังคับ กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 466
ดังนั้น เมื่อเนื้อที่ห้องชุดพิพาททั้งสิบมีเนื้อที่มากไปกว่าที่ระบุในสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิ ที่จะ
เลือกว่าจะบอกปัดไม่รับเสียหรือจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วนตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.
มาตรา 466 วรรคหนึ่ง ซึ่งการที่โจทก์จะใช้สิทธิในทางใดย่อมเป็นไปตามอําเภอใจของโจทก์
และเป็นธรรมดาอยู่เองที่โจทก์จะเลือกในทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่โจทก์ ซึ่งไม่มี บท
กฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์กระทําเช่นนั้น ดังนั้น ที่โจทก์ซื้อห้องชุดจากจําเลย 33 ห้อง โจทก์รับ
โอนไปแล้ว 14 ห้อง และขายให้ผู้อื่นไปแล้ว ซึ่งทุกห้องก็มีเนื้อที่มากกว่าที่ระบุใน สัญญา เหตุ
ที่โจทก์ไม่ยอมรับโอนห้องชุดพิพาทเพราะโจทก์ยังขายห้องชุดพิพาทให้ผู้อื่นไม่ได้นั้น ก็ไม่เป็น
เหตุให้โจทก์จะบอกปัดไม่รับห้องชุดพิพาทไม่ได้ และไม่ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
กรณีที่สอง นายดำต้องการจะซื้อที่ดินเพื่อตั้งทำโรงงานขนาดเล็ก มีเนื้อที่อย่างต่ำ 200 ตาราง
วาขึ้นไป จึงติดต่อหานายหน้ าและได้รับการเสนอที่ดินมาแปลงหนึ่งเป็นที่พอใจแก่นายดำโดยมี
เนื้อที่ 205 ตารางวาซึ่งเกินกว่าที่ตนต้องการ ปรากฏว่าก่อนวันที่จะทำการซื้อขายกัน ได้ให้
พนักงานเจ้าหน้ าที่จากกรมที่ดินเข้าไปรังวัดพื้นที่เพื่อความแน่ใจว่าตรงไปตามที่ตกลงกันไว้แต่
กลับรังวัดขนาดที่ดินได้เพียง 198 ตารางวาเท่านั้น แม้จะมีที่ดินน้ อยกว่าที่ตกลงกันไว้ไม่เกิน
ร้อยละห้าก็ตาม แต่จุดประสงค์ของนายดำต้องการซื้อที่ดินเพื่อทำโรงงานขนาดเล็ก หากทราบ
ว่าที่ดินมีขนาดเพียง 198 ตารางวาก็คงไม่ทำการซื้อที่ดินดังกล่าวแน่นอน ดังนั้นกรณีนี้ผู้ซื้อ
สามารถปฏิเสธไม่รับโอนที่ดินจากผู้ขายได้ ตามประมวลกฎหมาแพ่งและพาณิชย์มาตรา 466
ตอนท้าย

อ้างถึงคำพิพาก
ษาศาลฎีกาที่ 975/2543 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466

วรรคสอง มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่
กรณีจึงอาจกำหนดไว้ในสัญญาเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัตินี้ได้โจทก์และจำเลยได้ทำ
สัญญาซื้อขายอาคารชุดที่พักอาศัยในราคา 2,865,000บาท สัญญาดังกล่าว ได้กำหนดไว้
ว่า "ห้องชุดผู้ซื้อจะมีพื้นที่ประมาณ 94.5 ตารางเมตรทั้งนี้โดยขึ้นอยู่กับการปรับขนาดพื้นที่
ตามการก่อสร้างที่เป็นจริงและการจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน ถ้าพื้นที่จริงของห้องชุดผู้
ซื้อมีมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ระบุข้างต้นคู่สัญญายังคงต้องผูกพันตนตามสัญญานี้ แต่ถ้า
แตกต่างตั้งแต่ร้อยละห้า (5%)หรือมากกว่านั้น ราคาที่ต้องชำระตามสัญญานี้จะต้องปรับ
เพิ่มหรือลดลงตามส่วนโดยการปรับราคาจะกระทำในการชำระเงินงวดสุดท้ายของราคา"
แม้ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมาย และใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์มาตรา 151 แต่ศาลก็ต้องตีความสัญญาให้เป็นไปตามความประสงค์ของคู่สัญญา
ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณี กล่าวคือ เจตนาของคู่สัญญาที่กระทำโดย
สุจริตซึ่งพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีประกอบแล้ว คงมิได้หมายความถึงขนาดที่ว่าไม่ว่าเนื้อที่
ของอาคารชุดจะแตกต่างมากกว่าร้อยละห้าสักเพียงใดก็ตาม โจทก์ก็ต้องรับโอนกรรมสิทธิ์
ในอาคารชุดโดยไม่อาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาคารชุดพิพาทมีเนื้อที่ล้ำจำนวนถึง
29.98 ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 31.7 ซึ่งโจทก์จะต้องชำระเงินเพิ่มอีกประมาณ
900,000 บาท รวมทั้งจำเลยได้บังคับให้โจทก์รับมอบซอกมุมห้องที่ติดกันซึ่งมีเนื้อที่อีก
30 ตารางเมตร โดยมีฝากั้นห้อง ระหว่างเนื้อที่ 95.5 ตารางเมตรกับ 30 ตารางเมตร
เป็นฝากั้นซึ่งเป็นคานรับน้ำหนักของตัวอาคาร โดยจำเลยได้ทำช่องให้เข้าไปได้ทางด้านหลัง
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่ล้ำจำนวนเป็นส่วนของเนื้อที่ซอกมุมห้องที่ติดกัน ซึ่งหาก
พิจารณาถึงความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีแล้ว ก็หาควรบังคับ
ให้โจทก์ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นจำนวนมากเพื่อรับเอาเนื้อที่ล้ำจำนวนที่ไร้ประโยชน์ดังกล่าวนั้น
หรือไม่ เพราะหากโจทก์ได้ทราบก่อนแล้วคงจะมิได้เข้าทำสัญญานั้นอย่างแน่นอน อีก
ประการหนึ่งเมื่อคำนึงถึงมาตรา 11แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยแล้วในกรณี
เช่นว่านี้เมื่อสัญญามีข้อสงสัยว่าโจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวนี้หรือไม่ศาลย่อมต้อง
ตีความให้เป็นคุณแก่โจทก์ผู้ต้องเสียในมูลหนี้ โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้ในเมื่อล้ำ
จำนวนถึงขนาด ซึ่งหากโจทก์ได้ทราบก่อนแล้วคงมิได้ทำสัญญานั้นตามมาตรา 466 วรรค
สอง อันเป็นผลให้คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4390/2547

แม้สัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.8 จะระบุเนื้อที่ดินที่จะซื้อจะขายกันจำนวน 31 ไร่ 3
งาน 4 ตารางวา แต่ได้มีการบันทึกเพิ่มเติมในหมายเหตุว่า ผู้จะขายจะต้องทำการรังวัดสอบ
เขตใหม่ ได้เนื้อที่จริงเท่าใดให้คิดกันตามเนื้อที่ที่รังวัดได้ใหม่ ถ้าได้เนื้อที่มากหรือน้ อยกว่า
ในโฉนดให้คิดในราคาไร่ละ 350,000 บาท ซึ่งเป็นการจะซื้อจะขายที่ดินคิดราคาตามเนื้อที่ที่
รังวัดได้จริง มิใช่การจะซื้อจะขายที่ดินที่ระบุจำนวนเนื้อที่ดินไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 แม้
รังวัดที่ดินพิพาทจะมีเนื้อที่น้ อยกว่าเกินร้อยละห้าของเนื้อที่ดินใน โฉนด ก็ไม่อาจใช้สิทธิเลิก
สัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 466
ข้อยกเว้นมาตรา 466 วรรคสอง
ผู้ซื้อไม่จำต้องรับอสังหาริมทรัพย์นั้นไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ และอาจเลิกสัญญาได้เลย
ถ้าผู้ซื้อพิสูจน์ได้ว่า หากผู้ซื้อได้รู้มาก่อนว่าผู้ขายจะส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่อง
หรือล้ำจำนวนไม่เกินกว่าร้อยละห้า ผู้ซื้อก็จะไม่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย และหากผู้ซื้อบอก
เลิกสัญญา คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391
ตัวอย่างก. ทำสัญญาซื้อที่ดินจำนวน 6 ไร่ จาก ข. เพื่อสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งตามกฎ
กระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ.2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติสถานบันอุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ. 2522 มหาวิทยาลัยเอกชนจะต้องมีเนื้อที่ไม่น้ อยกว่า 6 ไร่ หาก ข. ส่งมอบที่ดินมาขาด
ไปเพียง 10 ตารางวา ซึ่งไม่เกินกว่าร้อยละ 5 ของเนื้อที่ที่ระบุไว้ในสัญญา กรณีเช่นนี้ ก.
อาจบอกเลิกสัญญาซื้อขายโดยพิสูจน์ว่า หาก ก. ได้รู้มาก่อนว่าที่ดินที่ ข. จะส่งมอบมีจำนวน
ไม่ถึง 6 ไร่ ก. ก็จะไม่ทำสัญญาซื้อขายกับ ข. เพราะ ก. ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ซื้อ
เพื่อจัดสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 640/2538 สัญญาจะซื้อขายมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองผู้ขายตกลงขาย
ที่ดินเนื้ อที่ดิน285ตารางวาเป็ นเงิน7,267,500บาทแสดงว่าคู่สัญญาได้ระบุที่ดินที่จะซื้ อขายมี
เนื้ อที่285ตารางวาไว้ชัดเจนในหนังสือสัญญาจะซื้ อขายซึ่งเป็ นสาระสำคัญและยึดถือเป็ นหลัก
ในการคิดราคาที่ดินที่ซื้ อขายมิใช่เป็ นการขายเหมาโดยประมาณ
จำเลยทั้งสองจึงมีหน้ าที่ต้องโอนหรือส่งมอบที่ดินจำนวนเนื้อที่ดังกล่าวให้แก่โจทก์ครบถ้วน
การที่เจ้าของที่ดินยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้ถนนซอยสัญจรไปมาเป็ นเวลาช้านานหลายสิบปี
ย่อมถือได้ว่าได้อุทิศที่ดินพิพาทส่วนที่เป็ นถนนซอยดังกล่าวให้เป็ นทางสาธารณะโดยปริยาย
แล้วที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้
ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2)ทันทีโดยไม่จำต้องจดทะเบียน
เป็ นทางสาธารณประโยชน์
เมื่ อจำเลยเนื้ อที่ดินขาดไปจากจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเกินกว่าร้อยละ5ของเนื้ อที่ทั้งหมดที่
จะซื้ อขายกันโจทก์ผู้ซื้ อจึงชอบที่จะขอใช้ราคาลดลงตามส่วนหรือบอกปั ดเสียได้ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา466วรรคแรกเมื่อโจทก์ได้ต่อรองขอลดราคาลงเพื่อใช้ราคา
ตามส่วนกับจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโจทก์จึงมีสิทธิบอกปั ดเสียได้จำเลยทั้ง
สองต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

มาตรา ๔๖๗ ในข้อรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้ องคดี
เมื่ อพ้นกำหนดปี หนึ่ งนับแต่เวลาส่งมอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11695/2557 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้ อยหรือ
มากไปกว่าที่กำหนดในสัญญานั้น ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหนึ่ง วางหลักไว้ว่า ผู้ซื้อจะปัดเสีย
หรือจะรับไว้ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก โดยมีมาตรา 467 บัญญัติต่อไปว่า "ในข้อ
รับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้ องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี
นับแต่เวลาส่งมอบ" แสดงว่านอกจากกฎหมายให้สิทธิผู้ซื้อที่จะฟ้ องผู้ขายให้รับผิดในทรัพย์สินส่วน
ที่ส่งมอบขาดได้แล้ว ยังให้สิทธิแก่ผู้ขายที่จะฟ้ องเรียกทรัพย์สินส่วนที่ส่งมอบล้ำจำนวนไปคืนจาก
ผู้ซื้อได้ด้วย ซึ่งทั้งสองกรณี ไม่ว่าผู้ซื้อหรือผู้ขายจะเป็นผู้ฟ้ อง ต้องฟ้ องเสียภายในหนึ่งปีนับแต่
เวลาส่งมอบ คดีนี้โจทก์ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายแก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2527 หากเนื้อที่ดิน
ที่ส่งมอบล้ำจำนวนไปจากที่ระบุในสัญญา โจทก์ก็ต้องฟ้ องให้จำเลยรับผิดคืนส่วนที่ล้ำจำนวนไปเสีย
ภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาส่งมอบคือต้องฟ้ องภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2528 ดังนั้น การที่โจทก์
เพิ่งนำคดีมาฟ้ องในปี 2555 จึงเป็นการฟ้ องที่เกินกำหนดอายุความตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2542 โจทก์ฟ้ องเรียกเงินค่าซื้อที่ดินบางส่วนที่ชำระให้จำเลยเกินไป
คืน ซึ่งเป็นเงินที่จำเลยรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงเป็นเรื่องลาภมิควรได้ ไม่ใช่
เป็นการฟ้ องขอให้จำเลยรับผิดในฐานทรัพย์ซึ่งซื้อขายขาดตกบกพร่อง จึงนำอายุความตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467 มาบังคับมิได้ กรณีต้องนำอายุความในมูลลาภมิ
ควรได้ ตามมาตรา 419 ซึ่งกำหนดอายุความไว้ 1 ปี นับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายคือโจทก์ผู้ซื้อรู้ว่า
ตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น
ข้อเท็จจริง
ผู้ร้องได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายก้อนเห็ดจากฟาร์มเห็ด โดยเป็นการตกลงกันด้วยวาจามิได้ทำ
สัญญาซื้อขายเป็นหนังสือ ในข้อตกลงการซื้อขายนั้น ผู้ร้องได้ตกลงซื้อก้อนเห็ดจากผู้ขาย 1,000
ก้อน ราคาก้อนล่ะ 30 บาท พร้อมทั้งคิดราคาค่าขนส่งก้อนเห็ด โดยผู้ขายต้องส่งก้อนเห็ดแก่ผู้ร้อง
อีกจังหวัดหนึ่ง และผู้ขายตกลงจะทำการสอนเพาะเห็ดให้แก่ผู้ร้อง
ในวันทำสัญญาผู้ร้องได้ชำระเงินจำนวน 40,000 บาท ให้แก่ผู้ขายแล้ว ต่อมาผู้ร้องได้ทวงถามให้ผู้
ขายส่งมอบก้อนเห็ดตามสัญญา ซึ่งผู้ขายได้ส่งก้อนเห็ดตามที่ได้ตกลงกับผู้ร้อง แต่อย่างไรก็ดีผู้
ขายได้ส่งมอบก้อนเห็ดแก่ผู้ร้องจำนวน 940 ก้อน ซึ่งเป็นการส่งมอบทรัพย์สินน้ อยกว่าที่ได้ตกลง
ตามสัญญาไว้ กล่าวคือผู้ขายไม่ส่งมอบก้อนเห็ดให้ครบ 1,000 ก้อนตามที่สัญญาไว้กับผู้ร้อง และ
นอกจากนั้นแล้วผู้ขายไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่จะทำการสอนเพาะเห็ดให้แก่ผู้ร้องซึ่งถือเป็ นส่วน
หนึ่งในสัญญา จึงทำให้ผู้ร้องไม่สามารถทำการเพาะเห็ดได้
ประเด็นคำถาม
ผู้ร้องสามารถยกเลิกสัญญาซื้อขายก้อนเห็ด และเรียกเงินคืนได้หรือไม่
ข้อกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 215, 222, 387, 391 วรรคแรก, 456 วรรคสอง, 464,
465 (1) และ 467

การให้คำปรึกษา กรณีตามปัญหา แม้ผู้ร้องจะมิได้ทำสัญญาซื้อขายก้อนเห็ดโดยทำ
เป็นหนังสือก็ตาม แต่ผู้ร้องได้ชำระเงินจำนวน 40,000 บาท ให้แก่ผู้ขายแล้ว ซึ่ง
เป็นการที่ผู้ร้องทำการชำระหนี้บางส่วนให้แก่ผู้ขาย ดังนั้นผู้ร้องจึงมีสิทธิฟ้ องร้อง
บังคับตามสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง โดยผู้ร้องสามารถใช้หลัก
ฐานการชำระเงินและข้อความในโปรแกรมไลน์เป็ นพยานหลักฐานได้
หากผู้ร้องประสงค์จะเลิกสัญญา กรณีนี้ผู้ร้องมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจากเหตุที่ผู้ขาย
ไม่สอนเพาะเห็ดให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาที่ผู้ขายต้องปฏิบัติการ
ชำระหนี้ เมื่อผู้ขายไม่ปฏิบัติจึงทำให้ผู้ร้องไม่สามารถเพาะเห็ดได้ ซึ่งถือว่าผู้ขายไม่
ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215
และผู้ร้องบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 387 และเมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้ร้อง
มีหน้ าที่ต้องคืนเห็ดให้แก่ผู้ขาย และผู้ขายมีหน้ าที่ต้องคืนเงินให้แก่ผู้ร้อง โดย
เป็นการทำให้คู่สัญญาต่างกลับคืนสู่ฐานะเดิม นอกจากนี้หากผู้ร้องได้รับความเสีย
หายเนื่องจากการไม่ได้รับชำระหนี้ ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งจะต้องพิสูจน์
ซึ่งอาจเป็ นค่าเสียหายตามปกติหรือเป็ นค่าเสียหายอันเกิดจากพฤติการณ์พิเศษที่ผู้
ซื้อควรได้คาดเห็นหรืออาจคาดเห็น ตามมาตรา 391 วรรคแรกและวรรคท้าย
มาตรา 222

หากผู้ร้องประสงค์จะบังคับให้ผู้ขายรับผิดตามสัญญา การที่ผู้ขายส่งมอบก้อนเห็ดให้
แก่ผู้ร้องจำนวน 940 ก้อน ซึ่งน้ อยกว่าที่ตกลงในสัญญา และผู้ร้องรับไว้แล้วนั้น ผู้
ร้องพึงใช้ราคาทรัพย์ตามที่ได้รับมอบเพียง 28,200 บาท (940 ก้อน x 30 บาท)
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 465 (1) โดยผู้ร้องต้องฟ้ องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาส่งมอบ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 นอกจากนั้นแล้วการที่ผู้ขายไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่จะ
ทำการสอนเพาะเห็ดให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมเรียกให้ผู้ขายมาทำการสอนได้โดยพลัน
และหากผู้ขายละเลยไม่ปฏิบัติตามที่ผู้ร้องได้แจ้งไป ผู้ร้องสามารถฟ้ องร้องต่อศาล
เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขายมาชำระหนี้ หรือผู้ร้องอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้
บุคคลภายนอกมาสอนเพาะเห็ดแก่ผู้ร้อง โดยให้ผู้ขายเสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 213 และในประเด็นสุดท้ายเรื่องค่าขนส่งนั้นผู้ซื้อต้องรับภาระในค่า
ใช้จ่ายส่วนนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 464 โดยราคาค่าขนส่งเท่าใดผู้ขายต้องนำหลัก
ฐานมาพิสูจน์ราคา ค่าขนส่งดังกล่าว หากจำนวนเงินเหลือเท่าใดผู้ขายต้องส่งคืนแก่
ผู้ร้อง
มาตรา468 ถ้าในสัญญาไม่มีกำหนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาไซร้ ผู้ขายชอบที่จะยึด
หน่วงทรัพย์สินที่ขายไว้ได้จนกว่าจะใช้ราคา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4519/2530 โจทก์ซื้อรถคันพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยชำระราคาบาง
ส่วนและได้กรรมสิทธิในรถคันพิพาทแล้ว แต่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ยึดรถไปเพราะ
โจทก์ยังชำระราคารถคันดังกล่าวไม่ครบตามสัญญา และหนี้นั้นถึงกำหนดชำระแล้วจำเลย

ที่ 1 ซึ่งครอบครองรถคันพิพาทอยู่โดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิยึดหน่วงรถคันดัง
กล่าวไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา

241 และมาตรา 468
มาตรา469ถ้าผู้ซื้อล้มละลายก่อนส่งมอบทรัพย์สินก็ดี หรือผู้ซื้อเป็นคนล้มละลายแล้วใน
เวลาซื้อขายโดยผู้ขายไม่รู้ก็ดี หรือผู้ซื้อกระทำให้หลักทรัพย์ที่ให้ไว้เพื่อประกันการใช้เงิน
นั้นเสื่อมเสียหรือลดน้ อยลงก็ดี ถึงแม้ในสัญญาจะมีกำหนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคา ผู้ขายก็

ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินซึ่งขายไว้ได้ เว้นแต่ผู้ซื้อจะหาประกันที่สมควรให้ได้
การชำระเงินทดแทน

「 」- “ระบบประกันชดเชยค่าจ้างค้างจ่าย” คือ การทำประกันสำหรับผู้ประกอบการ ตาม

ประมวล กฎหมายแพ่ง มาตรา469 ว่าด้วยการชำระหนี้โดยบุคคลที่สาม ให้กระทรวง
แรงงานเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง ที่สิ้นสุดสัญญาจ้างแล้วยังไม่ได้รับค่าจ้าง แทนสถาน
ประกอบการ ในกรณีที่สถานประกอบการตัดสินใจยื่นล้มละลาย หรือ อยู่ในขั้นตอนฟื้ นคืน

「 」กิจการ ( กฎหมายว่าด้วยการประกันชดเชยค่าจ้างค้างจ่าย มาตรา 7 วรรค 1 และ
「 」ระเบียบบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการประกันชดเชยค่าจ้างค้างจ่าย มาตรา 5).

มาตรา470ถ้าผู้ซื้อผิดนัด ผู้ขายซึ่งได้ยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ตามมาตราทั้งหลายที่กล่าวมา
อาจจะใช้ทางแก้ต่อไปนี้แทนทางแก้สามัญในการไม่ชำระหนี้ได้ คือมีจดหมายบอกกล่าวไป
ยังผู้ซื้อให้ใช้ราคากับทั้งค่าจับจ่ายเกี่ยวกับการภายในเวลาอันควรซึ่งต้องกำหนดลงไว้ในคำ

บอกกล่าวนั้นด้วย
ถ้าผู้ซื้อละเลยเสียไม่ทำตามคำบอกกล่าว ผู้ขายอาจนำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดได้

เลขที่ฎีกา 2487/2536 ตามสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระบุว่า
กรณีจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวดโจทก์มีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์และย่อมมี

สิทธิขายทอดตลาดได้ด้วย และเมื่อขายแล้วได้เงินไม่พอจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงิน
จำนวนที่ขาดอยู่เงินจำนวนดังกล่าวตามสัญญาซื้ อขายไม่ได้กำหนดให้ถือเป็ นค่าเสียหาย

ดังนั้นจำนวนเงินราคารถยนต์ที่ขาดอยู่อันเกิดจากที่

จซึ่ำงเจลำยเลที่ย1ทีผ่ ิ1ดตนักดลไ
มง่ทชำำสรัะญรญาคาไากว้็ตค่ืออโเงจินทรก์าคแาลระถโยจนทตก์์ตามลักษณะของสัญญาซื้ อขาย

ผู้ขายดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 470และ471 จะ
ถือเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้ าอันศาลจะลดลงหาได้ไม่ตามสัญญาซื้อขายระบุ
ว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือ
ผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญานี้ผู้ซื้อยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อย
ละ 15ต่อปีเมื่อราคารถยนต์ที่ขาดอยู่ภายหลังจากนำรถยนต์ออกขายทอดตลาด
แล้วก็คือเงินงวดต่าง ๆ ที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ตามงวด
ที่กำหนดไว้ในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเงินที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต่อโจทก์
และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว จึงต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15
ต่อปี มิใช่เป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว้ อันจะต้องเสียดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี
มาตรา471เมื่อขายทอดตลาดได้เงินเป็นจำนวนสุทธิเท่าใด ให้ผู้ขายหักเอาจำนวน
ที่ค้างชำระแก่ตนเพื่อราคาและค่าจับจ่ายเกี่ยวการนั้นไว้ ถ้าและยังมีเงินเหลือ ก็ให้
ส่งมอบแก่ผู้ซื้อโดยพลัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2536 สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทมีเงื่อนไขระบุว่า
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อ จนกว่าจะชำระราคาครบถ้วน
ตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายย่อมใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 459 และในสัญญาซื้อขายระบุว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระราคา
ตามงวด ผู้ขายมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทและย่อมมีสิทธิขายทอดตลาด
ได้ด้วยและเมื่อขายแล้วได้เงินไม่พอ ผู้ซื้อยอมชดใช้เงินจำนวนที่ขาดอยู่ เมื่อผู้ซื้อ
ผิดนัดไม่ชำระราคาและผู้ขายดำเนินการเอารถยนต์พิพาทออกขายทอดตลาดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 470 และ 471แล้ว ยังขาดเงินอีก
55,260 บาท ผู้ซื้อและผู้ค้ำประกันต้องรับผิด เพราะถือว่าเป็นเงินราคารถยนต์
พิพาทที่ขาดอยู่ และเงินจำนวนดังกล่าวนี้ไม่มีข้อใดในสัญญากำหนดให้ถือเป็นค่า
เสียหายจึงมิใช่เบี้ยปรับ สัญญาซื้อขายข้อ 6 วรรคสองระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัด
ไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ
ในสัญญานี้ ผู้ซื้อยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เงินจำนวน
55,260 บาท ซึ่งเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทที่ขาดอยู่ก็คือเงินงวดต่าง ๆ ที่เกิดจาก
การที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาผู้ขายจึงมีสิทธิคิด
ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากผู้ซื้อได้ตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5569/2551 โจทก์มอบอำนาจให้ ข. ทำสัญญาจะซื้อจะขายทาวน์
เฮาส์ 3 ชั้น พร้อมที่ดินกับจำเลยในราคา 1,900,000 บาท จำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ใน
วันทำสัญญาจำนวน 100,000 บาท ส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็น 6 งวด โดยจำเลยได้เข้าอยู่
อาศัยในบ้านดังกล่าวและจำเลยชำระเงินให้โจทก์เป็นเวลา 5 งวด เมื่อทาวน์เฮ้าส์ที่โจทก์ส่ง
มอบให้แก่จำเลยมีความชำรุดบกพร่องหลายแห่ง จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์แก้ไขความชำรุด
บกพร่องและยึดหน่วงยังไม่ต้องชำระราคาค่าซื้อในงวดสุดท้ายได้ การที่จำเลยยังไม่ชำระ
ราคาค่าซื้องวดสุดท้าย เพราะโจทก์ยังมิได้แก้ไขความชำรุดบกพร่องจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิด
สัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 และมาตรา 488

ความชำรุดบกพร่องกับความสำคัญ ผิดในคุณสมบัติของทรัพย์วิษณุ เครืองาม ได้ตั้งข้อ
สังเกตว่า เรื่องชำรุดบกพร่องแตกต่างจากเรื่องสำคัญ ผิดใน คุณสมบัติของทรัพย์โดยอาศัย
ความเข้าใจว่าความชำรุดบกพร่องต้องเป็นเรื่องที่ทรัพย์ขาย มีความเสื่อมเสียในเนื้อหาผิดไป
จากสภาพปกติของทรัพย์ประเภทนั้นเป็นฐานในการอธิบาย ทั้งนี้โดยได้ยกตัวอย่างประกอบ
การอธิบายว่าถ้าตกลงซื้อเรือนไม้หลังหนึ่ง โดยเข้าใจว่า เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง แต่ที่จริง
เรือนน้ันทำด้วยไม้ตะแบกเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้เป็นเรื่องสำคัญผิดในคุณสมบัติอันเป็นสาระ
สำคัญสัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆียะ ผู้ซื้ออาจบอกล้างสัญญาได้ตามมาตรา 120 ปพพ.เดิม
(ปัจจุบันคือมาตรา 157 ปพพ.) แต่ถ้าผู้ซื้อต้องการซื้อ เรือนไม้แล้วปรากฏว่าเรือนไม้ที่ขาย
นั้น เป็นเรือนไม้ผุ้มากอาจพังลงมาได้ ดังนี้เป็นเรื่อง ชำรุดบกพร่อง ผู้ข้ายต้องรับผิดตาม

มาตรา 472 ปพพ. และในกรณีนี้ผู้ซื้อจะอ้างว่า
สัญญา เป็นโมฆียะไม่ได้ ตามความเห็นนี้

เรื่องชำรุดบกพร่องและเรื่องสำคัญ ผดิในคุณสมบัติของทรัพย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติ
ของทรัพย์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ากรณีชำรุดบกพร่องจำกัดเฉพาะกรณีที่ทรัพย์ที่ขายนั้น มี
สภาพผิดไปจากสภาพปกติเพราะมีความเสื่อมเสียในเนื้อหาแฝงอยู่ส่วนเรื่องสำคัญผิดนั้นเป็น
กรณีที่ทรัพย์นั้นมีสภาพปกติแต่มีคุณสมบัติต่างไปจากที่ผู้ซื้อเข้าใจ

2.2 การตีความมาตรา 472 ปพพ.
ตามมาตรา 472 ปพพ. ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องของผู้ขายย่อมประกอบด้วยองค์
ประกอบ 2 ประการ คือ
1) ความชำรุดบกพร่อง และ
2) ความเสื่อมคุณค่าของทรัพย์สินที่ขาย ซึ่งอาจได้แก่
ก) การเสื่อมราคา หรือ
ข) การเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งใช้ตามปกติหรือ
ค) การเสื่อความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่มุ่งหมายตามสัญญา

หากขาดองค์ประกอบข้อหนึ่ งข้อใดในสองข้อข้างต้นนี้แล้วผู้ขายย่อมไม่
ต้องรับผิดเช่น มีความชำรุดบกพร่อง แต่ความชำรุดบกพร่องนั้นไม่ถึงขนาด
ทำให้ทรัพย์นั้นเสื่อม คุณค่าผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิด หรือถ้าทรัพย์สินที่ขายเสื่อม
คุณค่าอย่างหนึ่งงอย่างใด เช่น เสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์
ที่มุ่งใช้ตามปกติหรือแก่ประโยชน์ที่มุ่ง หมายตามสัญญา แต่ถ้าความเสื่อมคุณค่า
เช่นนั้น ไม่ได้เป็นผลมาจากความชำรุดบกพร่อง ดังนี้ผู้ขายก็ย่อมไม่ต้องรับผิด
เช่นกัน
ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ความชำรุดบกพร่องตามความเห็นที่รับกันในเวลานี้
หมายถึงความเสื่ อมเสียในเนื้ อหาของทรัพย์สินที่ขายจากสภาพปกติส่วนอย่างไร
จะเรียกได้ ว่าความเสื่อมคุณค่าของทรัพย์ที่ขายหรือไม่ย่อมจะต้องถือตาม
มาตรฐานของวิญญูชน ตามปกติประเพณีหรือตามเจตนาของคู่กรณีเป็นเกณฑ์
ดังที่เราอาจเทียบได้จากถ้อยคำในตัวบทมาตรา 472 ปพพ.
ตัวอย่างที่มักยกขึ้นอธิบายในตำรา เช่น ซื้อจักรยานมาขับขี่ ถ้ารถสีถลอกไป
เล็กน้ อย แต่ยังใช้ขับขี่ได้ผู้ขายไม่ต้องรับผิด หรือที่ว่า ซื้อดอกไม้มาช่อหนึ่ง
ปรากฏว่ามีช้ำ ไปดอกหนึ่ง หรือซื้อรถยนต์มาคันหนึ่งแต่สีถลอกไปนิดหนึ่ง ถือว่า
ผู้ขายไม่ต้องรับผิด เหล่านี้ล้วนแต่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ความชำรุดบกพร่องที่
ปรากฏขึ้นน้ันไม่ถึงขนาดจะเรียกได้ว่าทำให้ทรัพย์สินที่ขายเสื่อมคุณค่าตาม
มาตรฐานของวิญญูชน หรือตามเจตนาที่ แท้จริงของคู่กรณีทั้งสิ้น
กรณีที่ทรัพย์สินที่ขายมีความเสื่อมคุณค่า เช่น เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะ
สม แก่ประโยชน์ที่มุ่งใช้ตามปกติหรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา แต่ทว่า
ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ขายต้องรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง ก็มีที่ยกตัวอย่างกันไว้ในตำราที่
ใช้กันอยู่เช่นกัน เช่น

ถ้าผู้ขายส่งโทรทัศน์ยี่ห้ออื่นซึ่งคุณภาพด้อยกว่ามาให้หรือสั่งซื้อผ้าลินิน
แต่ผู้ขายส่งผ้าฝ้ ายซึ่งมีคุณภาพด้อยกว่ามาให้ กรณีเหล่านี้แม้จะเป็นเรื่องที่มี
ความเสื่อมคุณค่าก็จริง แต่ความเสื่อมคุณค่านั้น มิได้เป็นเพราะความชำรุด
บกพร่อง มิได้เป็นเพราะความเสื่อมเสียในเนื้อหา ของทรัพย์ที่ขาย หากเป็น
เพราะผู้ขายส่งทรัพย์ผิดประเภท ดังนั้น จึงไม่ใช่กรณีที่ผู้ขายต้อง รับผิดเพื่อ
ชำรุดบกพร่อง หรือถ้าตกลงซื้อเรือนไม้สัก แต่ที่จริงเรือนน้ันทา ด้วยไม้สักแต่
เพียงบางส่วน ส่วนใหญ่เป็นไม้ตะแบก ดังนแม้เรือนนั้นจะเสื่อมคุณค่าจากที่ตก
ลงกนั แต่ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีความเสื่อมเสียในเนื้อหาของทรัพย์เช่นไม่ปรากฏว่า
เป็นเรือนผุพัง ดังนี้กรณีก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ข้ายจะต้องรับผิดเพื่อความชา รุด
บกพร่องตามมาตรา 472 ปพพ. เช่นกัน

ปั ญหาทางปฎิบัติที่เกิดขึ้น
การอธิบายว่าความชำรุดบกพร่องคือ “ความเสื่อมเสียในเนื้อหาของทรัพย์สิน” หรือ
คือการที่ทรัพย์สินน้ันมีสภาพผิดปกติดังที่กล่าวข้างต้นแล้วนั้น ส่งผลให้ขอบเขต
ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องของผู้ขายค่อนข้างจะจํากัดอยู่ในวงแคบ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายกัน นั้นเสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่
ประโยชน์อันมุ่งใช้ ตามปกติหรือประโยชน์ที่มุ่งใช้ตามสัญญา แต่ทรัพย์นั้นมิได้เป็น
ทรัพย์ที่มีความเสื่อมเสีย ในเนื้อหาหรือมีสภาพผิดปกติกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้
หลายลกัษณะ ดังนี้

1.ในการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ทรัพย์เฉพาะสิ่งหมายถึงทรัพย์ซึ่งได้ถูกกำหนดตัวไว้แน่นอนโดยเฉพาะเจาะจงแล้ว
ในการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง ผู้ขายย่อมมีหน้ าที่ส่งมอบทรัพย์ที่ได้เจาะจงกันไว้นั้น
ต่อผู้ซื้อด้วยเหตุนี้ หากทรัพย์ที่ขายมีสภาพหรือคุณสมบัติอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคา
หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่ผู้ซื้อมุ่งจะใช้เป็นปกติ ก็อาจมีปัญหาให้ถก
เถียงกันได้ว่า เป็นกรณีที่ผู้ขายต้องรับผิด หรือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ซื้อต้องรับเคราะห์เป็น
พับไป เพราะผู้ขายอาจอ้างได้ว่าตนได้ชำระหนี้ของตนครบถ้วนแล้ว คือเมื่อได้โอน
กรรมสิทธิ์และส่งมอบทรัพย์ที่ได้เจาะจงไว้นั้นแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายย่อมหลุดพ้นจาก
หน้ าที่ตามสัญญา

ตัวอย่างเช่น ตกลงซื้อแหวนทองวงที่ผู้ขายสวมอยู่เป็นประจำ แต่ที่จริงแหวนวง
นั้นเป็นแหวนทองเหลืองซึ่งผู้ขายเองไม่รู้มาก่อน ตกลงซื้อภาพซึ่งวาดโดยจิตรกร
มีชื่อแต่ที่จริงเป็นภาพวาดที่มีผู้ลอกเลียนขึ้น หรือตกลงซื้อบ้านทรงไทยซึ่งผู้ขาย
บอกว่าสร้าง ด้วยไม้สักทั้งหลังแต่ที่จริงสร้างด้วยไม้สักเฉพาะด้านหน้ ามุข หรือซื้อ
เครื่องเล่นสเตริโอ ของนอกอย่างดีปรากฏว่า เป็นเครื่องที่ใช้ได้เฉพาะกับไฟ 110
โวลต์ไม่สามารถใช้กับไฟบ้านผู้ซื้อได้ซื้อที่ดินมีโฉนดเพื่อปลูกสร้างโรงงาน แต่ที่จริง
เป็นเขตห้ามก่อสร้างเพราะอยู่ในเขตที่ทางการกำหนดเป็นเขตเดินสายไฟฟ้ าแรงสูง
ผ่านที่ดิน ฯลฯ

ดังนี้ถ้าหากทรัพย์สินที่ซื้อขายอัน ได้แก่ แหวนก็ดีภาพวาด บ้าน เครื่องเสียง
หรือที่ดินก็ดีเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในสภาพปกติไม่มีความเสื่อมเสีย แตกหัก บุบสลาย ผุ
พัง หรือเน่าเปื่ อยแล้วตามความคิดที่รับกันอยู่ในวงนักกฎหมายไทยนั้นทรัพย์สิน
เหล่านี้ก็ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ชำรุดบกพร่อง และผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุด
บกพร่องตาม มาตรา 472 ปพพ.

กรณีตามตัวอย่างที่กล่าวนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็ นกรณีที่ผู้ข้ายผิด
สัญญาไม่ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย เพราะในสัญญาซื้อขายทรัพย์
เฉพาะสิ่ง หนี้ของผู้ขายก็คือหนี้โอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบทรัพย์ที่
ตกลงขายตามมาตรา 453 และ 461 ปพพ. ดังนั้นเมื่อผู้ขายได้โอน
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ตกลงขายใหแก่ผู้ซื้อ ผู้ขายย่อมได้ชื่อว่า
ชำระหนี้ตาม สัญญาแล้ว กรณีที่ผู้ขายต้องรับผิดจะมีได้ก็เฉพาะเมื่อผู้
ขายไม่ชำระหนี้เช่นไม่โอนกรรมสิทธิ์ไม่ส่งมอบทรัพย์หรือส่งมอบ
ทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากที่ตกลงกันหรือส่งมอบทรัพย์สินโดยขาดตก
บกพร่องหรือล้า จา นวน ตามมาตรา 465-467 ปพพ. หรือ ทรัพย์สิน
ชำรุดบกพร่อง ตามมาตรา 472-474 ปพพ. หรือถูกรอนสิทธิ ตาม
มาตรา 475 ปพพ. เท่านั้นเมื่อไม่เขา้กรณีเหล่านี้ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับ
ผิด

สรุป

หน้ าที่และความรับผิดของผู้ขายนั้นมีหลายประการ ผู้ขายมีหน้ าที่ที่จะต้องส่ง
มอบทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขายประการหนึ่งด้วย ซึ่งการส่งมอบทรัพย์สินตาม
สัญญาซื้ อขายต่างกับการโอนกรรมสิทธิ์เพราะการโอนกรรมสิทธิ์เป็ นไปโดยผล
แห่งกฎหมาย(มาตรา458) เว้นแต่จะเข้ากรณีตามมาตรา459และมาตรา460 แต่
การส่งมอบมาตรา461 บัญญัติว่า ผู้ขายจำต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้นให้แก่
ผู้ซื้อ การส่งมอบจึงเป็นหนี้ที่ผู้ขายจะต้องปฎิบัติชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายซึ่ง
เป็นเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุที่ประสงค์เป็นการโอนทรัพย์ แต่ผู้ขายส่ง
มอบทรัพย์สินก่อนหรือหลังหรือพร้อมกับที่กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อก็ได้แล้วแต่
ข้อตกลงของคู่สัญญา
ลักษณะการส่งมอบ การส่งมอบทรัพย์อาจจะทำได้โดยการส่งมอบการครอบครอง
คือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้รับโอนได้เข้าครอบครองทรัพย์ได้ เช่นถ้าส่งมอบ
รถยนต์กันแต่ไม่ส่งมอบกุญแจรถยนต์ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการส่งมอบ หรือส่งมอบ
บ้านแต่ไม่มอบกุญแจบ้านให้ก็ยังไม่ถือว่าเป็ นการส่งมอบ
สิทธิของผู้ขาย

(1) สิทธิ ที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้ในกรณีผู้ซื้อกลายเป็นบุคคลล่ม
ละลายภายหลัง การซื้อขาย แต่ก่อนการส่งมอบทรัพย์สินหรือในกรณีที่ผู้ซื้อล้ม
ละลายอยู่แล้วในเวลาที่ทำ การซื้อขายโดยที่ผู้ขายไม่รู้ถึงการล่มละลายนั้นหรือผู้
ซื้อทำให้หลักทรัพย์ ที่ให้ไว้เป็นค้ำประกัน การชำระราคานั้นเสื่อมเสียหรือลด
น้ อยถอยลง เช่น นายแสดซื้อตู้จากนายส้มในวันที่ 1 มีนาคม 2536 กำหนดส่งตู้
กันในวันที่ 15 มีนาคม 2536 ชำระราคาวันที่ 18 มีนาคม 2536 ต่อมาในวันที่ 7
มีนาคม 2536 นายแสดถูกศาลส่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ดังนี้นายส้มไม่ต้องส่ง
ตู้ให้นายแสดในวันที่ 15 มีนาคม 2536

(2) สิทธิที่จะเรียกให้ผู้ซื้อชำระหนี้ ซึ่งถ้าผู้ซื้อไม่ชำระผู้ขายอาจนำ
ทรัพย์สินที่ยึดหน่วงไว้ออกขายทอดตลาดก็ได้

(3) สิทธิในการริบมัดจำ (ถ้าได้มีการให้มัดจำกันไว้) และเรียกค่าเสียหาย
(4) สิทธิในการเลิกสัญญา และเรียกค่าเสียหายได้อีก

บรรณานุกรม
http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW209/lw209(47)-2.pdf ศ.
ม.ร.ว.เสนีย์ปราโมช.กฎหมายลักษณะทรัพย์, สำนักพิมพ์ชัยฤทธิ์

กรุงเทพ
https://www.law.tu.ac.th/wp-
content/uploads/2014/02/1989Prokati_Defect_Liability.pdf
ประพนธ์ ศาตะมาน/ไพจิตร ปุญญพันธ์, ซื้อขาย วิษณุ เครืองาม, ซื้อ

ขาย
https://www.xn-
-42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/ นพนภัส
ทนายความเชียงใหม่


Click to View FlipBook Version