The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

5.บทบาทของพยาบาลในการบำบัดรักษาทางจิตเวชฯ (18042566)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

5.บทบาทของพยาบาลในการบำบัดรักษาทางจิตเวชฯ (18042566)

5.บทบาทของพยาบาลในการบำบัดรักษาทางจิตเวชฯ (18042566)

บทบาทของพยาบาลในการบ าบัดและฟื้นฟูบุคคลทุกช่วงวัย ที่มีภาวะเสี่ยงและมีปัญหาทางจิต: การบ าบัดรักษาทางจิตใจ การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัด การจัดกิจกรรมบ าบัด พฤติกรรมบ าบัด ครอบครัวบ าบัด และ การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Patient Safety) พันตรีหญิง จิราภา ศรีรัตน์ พบ.ม. (สาขาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


การบ าบัดทางการพยาบาลจิตเวช หมายถึง การให้การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางด้านชีวภาพ การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบ าบัด การท าจิตบ าบัด (การบ าบัดรักษาทางจิตใจ) การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัด การจัดกิจกรรมบ าบัด พฤติกรรมบ าบัด ครอบครัวบ าบัด และการบ าบัดรักษาแบบจิตเวชทางเลือก โดยผู้ให้การพยาบาล จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย จากอันตรายของผลข้างเคียงในการรักษา


การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยจิตบ าบัด (Nursing Care Patient with Psychotherapy) จิตบ าบัด (Psychotherapy) คือ กระบวนการในการรักษาผู้ป่วยที่มี ปัญหาทางอารมณ์ โดยเริ่มจากการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบ าบัดกับผู้ป่วย ซึ่ง การรักษาด้วยจิตบ าบัดนั้น เป็นการรักษาที่ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย วิธีอื่นๆ มาก่อนจนอาการดีขึ้นมากเพียงพอที่จะสามารถสร้างสัมพันธภาพและ ให้ความร่วมมือในการรักษาได้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อขจัด เปลี่ยนแปลง หรือลดอาการทางจิตที่ก าลังจะเกิดขึ้น 2. เป็นสื่อกลางในการแก้ไขแบบแผนของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 3. สร้างเสริมพัฒนาการของบุคลิกภาพในแต่ละบุคคล


จิตบ าบัดมี 2 ลักษณะ คือ 1. จิตบ าบัดรายบุคคล (Individual Psychotherapy) เป็นการรักษา ผู้ป่วยรายบุคคล โดยการสร้างสัมพันธภาพและให้การยอมรับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วย ได้ระบายความคับข้องใจ ไม่สบายใจออกมา ซึ่งผู้รักษาจะต้องค้นหาปัญหาและ ชี้ให้ผู้ป่วยมองเห็นปัญหาพร้อมทั้งยอมรับปัญหา สิ่งเหล่านี้จะท าให้ผู้ป่วยรู้จัก ตนเองได้ดีขึ้น และมองเห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยจิตบ าบัด (Nursing Care Patient with Psychotherapy)


บทบาทการพยาบาลในการท าจิตบ าบัดรายบุคคล 1. เตรียมผู้ป่วยให้พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ 2. สังเกตพฤติกรรมในระหว่างการท าแต่ละครั้งว่าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร 3. บันทึกพฤติกรรมของผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังท าทุกครั้ง การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยจิตบ าบัด (Nursing Care Patient with Psychotherapy)


2. จิตบ าบัดรายกลุ่ม (Group Psychotherapy) เป็นการรักษาผู้ป่วย เป็นกลุ่ม ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีความล าบากในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น ท าให้ ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกว้าเหว่ ถูกทอดทิ้ง โดยการรักษาในลักษณะนี้จะช่วยท าให้ ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดีขึ้น การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยจิตบ าบัด (Nursing Care Patient with Psychotherapy)


วัตถุประสงค์ของการท าจิตบ าบัดแบบกลุ่ม 1. เพื่อลดหรือคลายความตึงเครียดทางอารมณ์ของผู้ป่วย 2. เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกและพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของผู้ป่วย 3. เพื่อให้ผู้ที่มีโอกาสหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องหรือปัญหานั้นๆ ได้ร่วมกันแสดง ความคิดเห็นและแนะน าแนวทางที่ดีต่างๆ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาชีวิตภายในกลุ่ม โดยจะ เน้นไปในแนวทางของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน 4. เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความภาคภูมิใจในตนเองเพิ่มมากขึ้น เมื่อตนเองนั้นสามารถช่วย แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่ผู้อื่นได้ การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยจิตบ าบัด (Nursing Care Patient with Psychotherapy)


นิเวศบ าบัดหรือการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัด (Milieu Therapy) หมายถึง การรักษาโดยการใช้บรรยากาศของสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในการ รักษา เน้นการปรับปรุงและดัดแปลงสภาพของหอผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลให้คล้ายกับ สังคมภายนอกมากที่สุด เพื่อเป็นการพัฒนาความสามารถในการเข้าสังคม (Social Competence) ของผู้ป่วย และการจัดบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่ใช้ในการบ าบัดนี้ จะต้องมีแบบแผนที่ชัดเจน มีหลักการ วัตถุประสงค์ และวิธีการเฉพาะส าหรับผู้ป่วยใน แต่ละบุคคล การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


องค์ประกอบของนิเวศบ าบัดหรือการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัด หลักใหญ่ของนิเวศบ าบัดต้องประกอบด้วยองค์ประกอบส าคัญ ดังนี้ 1. สถานที่ (Physical and environmental climate) โดยสถานที่ต้อง จัดให้มีลักษณะเป็น “Therapeutic” ดังนี้ 1.1 ต้องมีประตูเปิด – ปิดหอผู้ป่วย เพื่อให้ผู้คนเข้าออกได้สะดวก 1.2 มีการตบแต่งหอผู้ป่วยให้มีสภาพเสมือนบ้านหรือสังคมภายนอกตาม ความเป็นจริง และน่าอยู่ 1.3 ในหอผู้ป่วยควรจัดให้มีห้องส าหรับการท ากิจกรรมกลุ่มร่วมกัน การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


1.4 ต้องมีปฏิทินเพื่อบอกวัน เดือน ปี มีนาฬิกาเพื่อบอกเวลา และมีป้าย ชื่อแนะน าสถานที่ต่างๆ เช่น ป้ายชื่อหอผู้ป่วย ป้ายชื่อห้องกิจกรรม ทั้งนี้เพื่อป้องกัน ไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะจ าวัน เวลา และสถานที่ไม่ได้ (disorientation) หรือเกิดการ จัดการกับระบบการท างานของตนเองไม่ได้ (disorganization) 1.5 ควรมีการจัดห้องนอนและห้องน้ าให้เป็นสัดส่วน มีเครื่องใช้ภายใน หอผู้ป่วยคล้ายคลึงกับที่บ้าน เพื่อให้เกิดความสงบเวลานอนและผู้ป่วยมีความเป็น ส่วนตัวพอสมควร การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


2. กิจกรรม (Programs or activities) จะเน้นการใช้ “กิจกรรม” มา เป็นสะพานหรือตัวกลาง (media) ที่ท าให้กระบวนการกลุ่มเกิดขึ้น เป็นเสมือน เครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดแรงผลักดันในการเข้าสู่สังคมระหว่างผู้ป่วยและผู้ป่วย ผู้ป่วยและผู้ท าการรักษา หรือระหว่างผู้ท าการรักษาด้วยกันเอง หลักการจัดกิจกรรม 2.1 ต้องเป็นกิจกรรมที่ทุกคนภายในกลุ่มมีส่วนร่วม โดยค านึงถึงความ เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นหลัก 2.2 ควรมีกิจกรรมหลายชนิด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของ ผู้ป่วยแต่ละรายซึ่งไม่เหมือนกัน การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


2.3 ต้องก าหนดตารางในการท ากิจกรรมแต่ละวันของสัปดาห์ โดยในหนึ่งวัน ควรมี 3 – 4 กิจกรรม ซึ่งตารางกิจกรรมในแต่ละวันของผู้ป่วยนั้น จะต้องปิด ประกาศในที่ที่สามารถมองเห็นได้ง่าย 2.4 กิจกรรมในแต่ละวันที่ก าหนดไว้ภายในหอผู้ป่วยนั้น สามารถปรับเปลี่ยน ได้ตามความเหมาะสม 2.5 ควรมีจ านวนสมาชิกภายในกลุ่มที่ไม่มากนัก เพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่ม ได้มีส่วนร่วมกับกลุ่ม ซึ่งจ านวนสมาชิกภายในกลุ่มนั้นไม่ควรเกิน 15 คน 2.6 กิจกรรมที่จัดควรมีทั้งภายในและภายนอกหอผู้ป่วย เพื่อเปิดโอกาสให้ ผู้ป่วยได้ออกสู่สังคม และได้พบเจอกับสภาพของสังคมที่แท้จริง การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


3. บุคลากรผู้ให้การรักษา (Staff) เป็นผู้ด าเนินการให้การรักษาเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ โดยหลักของการนิเวศบ าบัดหรือการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัดที่ เกี่ยวข้องกับบุคลากรผู้ให้การรักษา มีดังต่อไปนี้ 3.1 กลุ่มบุคลากรเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความช านาญต่างกันไปท างาน ร่วมกันเป็นทีม (Teamwork) ได้แก่ จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยา นักสังคม สงเคราะห์ นักอาชีวบ าบัด ฯลฯ 3.2 หัวหน้าทีม ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีและเป็นผู้กระตุ้นให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มแสดง ความรู้สึกและความคิดเห็นในกลุ่ม การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


3.3 เจตคติของบุคลากรในทีมต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ประพฤติตนให้เป็น แบบอย่างที่ดีและเหมาะสมกับผู้ป่วย 3.4 บุคลากรไม่ควรแต่งเครื่องแบบ เพราะเครื่องแบบเป็นเอกลักษณ์ของอ านาจ ความยิ่งใหญ่ การแต่งเครื่องแบบท าให้ไม่เกิดความแตกต่างในกลุ่มระหว่างบุคลากรผู้ให้ การรักษากับผู้ป่วย 3.5 ทีมบุคลากรควรมีการพบปะสังสรรค์กัน โดยการท า “กลุ่มประชุม บุคลากร” (Staff meeting) เพื่อเป็นการระบายความรู้สึก ก าจัดข้อยัดแย้ง แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น และเพิ่มพูนความรู้ซึ่งกันและกัน การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


4. ผู้ป่วย (Patients) ซึ่งหลักของนิเวศบ าบัดหรือการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบ าบัด ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนั้น มีดังนี้ 4.1 ผู้ป่วยควรมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเป็นเสมือนสังคมจริง 4.2 ผู้ป่วยต้องได้รับการกระตุ้นให้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อท าให้มีการสื่อสารระหว่างกัน มากยิ่งขึ้น 4.3 ผู้ป่วยจะถูกส่งเสริมให้เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น กล้าพูดกล้าแสดงออก 4.4 ผู้ป่วยจะต้องมีส่วนร่วมในการบริหารหอผู้ป่วยและวางแผนการดูแลผู้ป่วย โดย ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มชุมชนบ าบัด (Therapeutic community) หรือกลุ่มประชุม ปรึกษา (Patient – staff meeting group) การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


บทบาทของพยาบาลที่ส าคัญ ได้แก่ 1. จัดสภาพของหอผู้ป่วยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เป็นไปได้ให้กับผู้ป่วย มากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกไว้วางใจ (trust) มั่นคงปลอดภัย (secure) และ สะดวกสบาย (comfort) 2. มีเจตคติที่ดีต่อผู้ป่วย ซึ่งประกอบด้วยความรู้สึกนึกคิดและกิริยาท่าทาง ดังนี้ - มีความเมตตากรุณา อ่อนโยน นุ่มนวล - แสดงถึงความจริงใจ - มีความเข้าใจและยอมรับผู้ป่วย - แสดงท่าทีเป็นมิตร - มีการอนุโลม ผ่อนผันประนีประนอมตามโอกาส - เอาใจใส่ผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยนิเวศบ าบัด (Nursing Care Patients with Milieu Therapy)


การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy) กิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy) เป็นงานด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดย เป็นลักษณะของการบ าบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตและสมรรถภาพของผู้ป่วยในทุกๆ ด้าน โดยการประยุกต์น ากิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจ าวันออกมาให้เป็นสื่อในการบ าบัดรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมถึงเกิด การพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด


เครื่องมือในการท ากิจกรรมบ าบัด เนื่องจากกิจกรรมบ าบัดได้เป็นการประยุกต์ดัดแปลงโดยน ากิจกรรมในชีวิตประจ าวัน มาท าให้เป็นสื่อในการบ าบัดรักษา ดังนั้นสื่อหรือเครื่องมือของกิจกรรมบ าบัดก็คือสิ่งแวดล้อม รอบตัวของผู้ป่วยนั่นเอง และเครื่องมือที่ส าคัญ อย่างหนึ่งในการท ากิจกรรมบ าบัดนั่นก็คือการใช้ กิจกรรมกลุ่ม (Activity group) มาเป็นเครื่องมือในการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีปัญหา มี ประสบการณ์และความสามารถที่คล้ายคลึงกัน มาท ากิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เกี่ยวกับตนเอง ลดการขัดแย้ง และปรับปรุงการสื่อสารระหว่างบุคคล การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy)


ลักษณะกลุ่มกิจกรรมบ าบัด เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มจากการมีปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกใน กลุ่ม ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มเกิดการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนความรู้สึกและความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน รวมถึงเป็นการปรับพฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่มให้เป็นไปในทิศทางที่ เหมาะสม การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy)


ประเภทของกลุ่มกิจกรรมบ าบัด 1. กลุ่มสุขศึกษาหรือกลุ่มสุขภาพจิตศึกษา (Health Education Group) เป็นกลุ่มที่จัดเพื่อให้ความรู้ทางด้านสุขภาพกายและจิตแก่กลุ่มสมาชิก 2. กลุ่มเสริมแรงจูงใจ (Motivation Group) เป็นกลุ่มที่จัดขึ้นเพื่อฟื้นฟู สมรรถภาพของผู้ป่วยเรื้อรังภายในโรงพยาบาลที่เกิดการแยกตัวออกมาจากสังคม และ มีพฤติกรรมถดถอย เพื่อท าให้ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถสร้างสัมพันธภาพและปรับตัวเข้ากับ ผู้อื่นได้ดีขึ้น ลดอาการแยกตัว ป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพไปกว่าเดิม 3. กลุ่มนันทนาการบ าบัด (Recreational group) เป็นกลุ่มที่จัดขึ้นเพื่อ ความรื่นเริง สนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความตึงเครียด การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy)


ประเภทของกลุ่มกิจกรรมบ าบัด 4. กลุ่มอ่านหนังสือ (Education Group) เป็นกลุ่มที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ ผู้ป่วยในรูปแบบต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการอ่าน เพิ่มสมาธิ และ ทักษะการฟังให้กับผู้ป่วย ฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักคิดและกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ 5. กลุ่มอาชีวบ าบัด (Occupational Group) เป็นกลุ่มที่จัดให้ผู้ป่วยได้ฝึก ท างานตามความสามารถของตน โดยให้ผู้ป่วยได้ใช้สมอง ใช้สายตาและมือประสานการ ท างานร่วมกัน 6. กลุ่มภาพสะท้อน (Projective Group) เป็นกลุ่มกิจกรรมบ าบัดเชิงวิเคราะห์ โดยให้ผู้ป่วยวาดภาพลงในกระดาษ ซึ่งงานที่ผู้ป่วยวาดนั้นจะสามารถสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ และบุคลิกภาพของผู้ป่วยให้พยาบาลทราบได้ การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy)


7. กลุ่มเตรียมตัวจ าหน่าย (Pre – discharge Group) เป็นกลุ่มที่จัดขึ้นเพื่อ เตรียมผู้ป่วยให้พร้อมส าหรับการกลับไปสู่ชุมชนและสังคมภายนอกโรงพยาบาล 8. กลุ่มชุมชนบ าบัด (Group Therapeutic Community) เป็นกลุ่มที่จัดให้ ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ในหอผู้ป่วยได้มาพบปะประชุมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยนั้นได้มีส่วนร่วมในการ บริหารงานภายในหอผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการ อยู่ร่วมกันภายในหอผู้ป่วย 9. กลุ่มประชุมปรึกษา (Patient – staff meeting group) เป็นกลุ่มที่จัดขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยสนใจการท ากิจกรรมประจ าในแต่ละวันและสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว โดยผู้ป่วยจะเกิดการทบทวนเกี่ยวกับประสบการณ์การเข้าร่วมกลุ่มบ าบัดต่างๆ ที่จัดตลอด สัปดาห์ การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยกิจกรรมบ าบัด (Activity Therapy)


การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy) ความหมายของพฤติกรรมบ าบัด พฤติกรรมบ าบัดหรือที่เรียกว่า Behavior Therapy นั้น คือการบ าบัดทาง จิตชนิดหนึ่งที่มุ่งเน้นการควบคุมพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สังเกตได้ โดยใช้ หลักการเรียนรู้ และผลการทดลองทางจิตวิทยา มาใช้กับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา การ แก้ไขพฤติกรรมจะเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สังเกตได้ โดยไม่ค านึงถึงสาเหตุ ของพฤติกรรมในอดีต


หลักการพื้นฐาน (Basic Principle) อาศัยพื้นฐานทางทฤษฎีการเรียนรู้ของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ผู้ริเริ่มคือ วัตสัน (John B. Watson) เชื่อว่า "พฤติกรรมที่เป็นปัญหา ทั้งหลายเกิดจากการเรียนรู้ ถ้าเราใช้วิธีการเรียนรู้เข้าไปก็จะสามารถลบพฤติกรรมที่ เป็นปัญหาได้" (Deviant behavior is learned so it can be unlearned) ซึ่งทฤษฎี การเรียนรู้ที่น ามาใช้ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ โดยเชื่อว่าการเรียนรู้นั้นเกิดจากการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองนั่นเอง - การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov) โดยใช้เสียงกระดิ่งมาควบคู่กับอาหาร ทุกครั้งที่สั่นกระดิ่งจะให้อาหารสุนัข ท าหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งต่อมาสั่นกระดิ่งเพียงอย่าง เดียวสามารถท าให้สุนัขน้ าลายไหลได้ การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy)


- Skinner ได้กล่าวถึงเรื่องของ Operant Conditioning ว่าเป็นการเรียนรู้ที่เกิด จากผู้เรียนเป็นผู้กระท าพฤติกรรมเอง โดยมิต้องรอให้มีสิ่งเร้าจากภายนอกมากระตุ้น เช่น การพูด การรับประทานอาหาร เมื่อผู้เรียนกระท าพฤติกรรมแล้วจะได้รับรางวัล ซึ่งรางวัลจะ เป็นผลให้ผู้เรียนกระท าพฤติกรรมนั้นๆ อีก สกินเนอร์เห็นว่าพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่เป็น การเรียนรู้แบบ operant conditioning และสิ่งส าคัญที่ท าให้คนแสดงพฤติกรรมซ้ าๆ อีกก็ คือ การได้รับแรงเสริม (reinforcement) ต่อมาจึงได้น าแนวคิดนี้มาทดลองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับวิธีควบคุมและปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของคน และใช้ค าว่า “Behavior Therapy” การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy)


เทคนิคและวิธีการของพฤติกรรมบ าบัด - การควบคุมและรายงานผลตนเอง (Self – monitoring) เป็นการประเมินตนเอง และตรวจสอบหาพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของตนเองก่อน - การเสริมแรง (Reinforcement) โดยการให้แรงเสริมบวกหรือลดแรงเสริมลบทันที ที่เกิดพฤติกรรมที่พึงพอใจ - การลงโทษ (Punishment) เป็นการลดความถี่ของพฤติกรรม โดยการให้สิ่งที่ผู้รับ ไม่พึงพอใจ หรือเป็นการลดสิ่งเร้าที่ผู้รับพึงพอใจลง - เทคนิคการปรับแต่ง (Shaping Technique) คือการปรับแต่งพฤติกรรมจาก พฤติกรรมง่ายๆ ไปสู่พฤติกรรมที่ซับซ้อน การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy)


เทคนิคและวิธีการของพฤติกรรมบ าบัด - เทคนิคการใช้ตัวแบบ (Modeling technique) คือ เทคนิคการลดความกลัว หรือความวิตกกังวลโดยการให้ดูตัวแบบหรือตัวอย่างที่อยู่ใกล้เคียงกับคนไข้แล้วให้ เลียนแบบ อาจใช้หลักของ relaxation เข้าช่วย - การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม (Assertive training) เป็น การฝึกให้ผู้รับการบ าบัดกล้าแสดงออกถึงความรู้สึกที่ควรจะแสดงออกในสังคมโดย ไม่วิตกกังวล เพื่อก าจัดปฏิกิริยาตอบสนองที่มีความรู้สึกกังวล การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy)


พฤติกรรมบ าบัด มักนิยมใช้ในลักษณะต่างๆ ดังนี้ - เด็กที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา (Conduct behaviors in children) - ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมพึ่งพา (Dependent patient) - โรคอ้วน (Obesity) หรือพวกที่รับประทานมากเกินไป - โรคกลัวผิดปกติ (Phobia) ในผู้ป่วยที่กลัวผิดปกติ - ผู้ป่วยจิตเภท ผู้ป่วยหวาดระแวง (Schizophrenia & Paranoid) การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยพฤติกรรมบ าบัด (Behavior Therapy)


การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยครอบครัวบ าบัด (Family Therapy) “ครอบครัว” เป็นหน่วยเล็กของสังคมที่จะช่วยส่งเสริมให้มนุษย์ได้สัมผัสกับ ความรักพื้นฐาน (Basic Love) และความเชื่อพื้นฐาน (Basic Trust) ในตัวมนุษย์ได้ ซึ่งจากการที่ได้รับความรักจากครอบครัวอย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็กนั้น จะท าให้เด็กมี ความรักพื้นฐาน และเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตต่อไปก็พร้อมจะให้ความรักกับคนอื่นๆ ต่อไปได้ และจากการที่เด็กเหล่านี้มีความเชื่อและศรัทธาคนในครอบครัว เกิดความ เชื่อพื้นฐานขึ้นมา เขาก็จะสามารถเชื่อและศรัทธาคนอื่นในชีวิตต่อไปได้อย่าง เหมาะสมเช่นกัน


หลักการง่ายๆ ของครอบครัวบ าบัด (Family Therapy) คือการที่ผู้บ าบัดเป็นคนกลางที่รับฟังปัญหาของคนในครอบครัวทีละฝ่าย โดยให้ฝ่ายแรกพูดถึงปัญหาของเขาก่อน และพูดถึงลักษณะของอีกฝ่ายหนึ่งได้เต็มที่ และให้อีกฝ่ายหนึ่งผลัดกันพูด หลังจากนั้นจึงเชิญทั้งสองฝ่ายเข้ามาเพื่อหาทางออก หรือทางประนีประนอมร่วมกัน โดยช่วยกันคิดหาข้อตกลงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งหรือ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นร่วมกัน การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยครอบครัวบ าบัด (Family Therapy)


ดังนั้นผู้บ าบัดหรือคนกลางเป็นบุคคลที่มีความส าคัญเป็นอย่างมาก โดย จะต้องมีความเป็นกลาง เข้าใจและยอมรับความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายได้ แล้วจึง หาทางท าให้แต่ละฝ่ายนั้นเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน ร่วมกันหาแนวทางปรับปรุง พัฒนาความคิดและพฤติกรรมระหว่างกัน สรุปได้ว่า การท า ครอบครัวบ าบัด (Family Therapy) นั้น เป็นการท าให้ คนในครอบครัวมีความสุข เข้าใจ และยอมรับความเป็นจริงของกันและกันได้มากขึ้น การดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยครอบครัวบ าบัด (Family Therapy)


การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine) ประเภทของจิตเวชทางเลือก 1. การรักษาด้วยชีวเคมีต่างๆ (Biologically Based Therapies) เช่น สุวคนธบ าบัด (Aromatherapy) สมุนไพร อาหาร วิตามินต่างๆ เป็นต้น 1.) สมุนไพรรักษาอาการหรือความผิดปกติต่างๆ เช่น - พรมมิหรือผักมิ ช่วยฟื้นฟูความจ าและบ ารุงสมอง - พริกไทยด า (Black pepper) ช่วยป้องกันการท าลายของระบบประสาท และ ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและสมอง ช่วยรักษาอาการ Cognitive impairment ในผู้ป่วย โรคความจ าเสื่อม (Alzheimer’s disease)


- ขิง (Ginger) ช่วยฟื้นฟูการท างานของกระบวนการคิด (Cognitive function) ในผู้หญิงวัยกลางคนได้เป็นอย่างดี - ขี้เหล็ก ช่วยท าให้นอนหลับได้ดีมากยิ่งขึ้น - สมุนไพรที่ช่วยคลายความวิตกกังวล เช่น คาโมมาย แปะก๊วย เสาวรส - การใช้สมุนไพรหญ้าดอกขาว ในการช่วยเลิกบุหรี่ได้ การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


2.) สุวคนธบ าบัด (Aromatherapy) คือ การใช้น้ ามันหอมระเหยมาช่วยใน การบ าบัดรักษาอาการผิดปกติต่างๆ เช่น - การใช้น้ ามันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยรักษาภาวะนอนไม่หลับใน ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ช่วยลดอาการ กระวนกระวายในผู้ป่วยสมองเสื่อมได้เป็นอย่างดี - การใช้น้ ามันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่ (Rosemary) ช่วยในเรื่องของความจ า ได้เป็นอย่างดี การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


2. การกระท าต่อร่างกายและจิตใจต่างๆ (Mind – Body Interventions) 1.) การสวดมนต์ (Praying) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการท างานของยา Fluoxetine ที่ใช้ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) ได้ดีมากยิ่งขึ้น 2.) การท าสมาธิบ าบัด (Meditation) ท าให้คุณภาพการนอนหลับของผู้ป่วยจิตเวช นั้นดียิ่งขึ้น การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


3.) การใช้ศิลปะบ าบัด (Art Therapy) เพื่อส่งเสริมสมาธิ ความสนใจ และลด พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้นในเด็กสมาธิสั้น (ADHD) 4.) การใช้ดนตรีบ าบัด (Music Therapy) ในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


5.) การใช้สัตว์เลี้ยงบ าบัด (Pets Therapy) พบว่า การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสามารถท าให้ บุคคลลดความเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขภาพจิตและจิตเวชได้ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าและปัญหา ของกลุ่มอาการต่างๆ ในโรคจิตเภทได้ 6.) การใช้ทะเลบ าบัด (Thalassotherapy) โดยเสียงคลื่นทะเลที่ค่อยๆ ซัดเข้าหาฝั่ง ช่วยปลอบประโลมจิตใจได้เป็นอย่างดี ท าให้จิตใจสงบและเกิดสมาธิมากยิ่งขึ้น การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


3. การกระท าต่อร่างกายโดยตรง (Manipulative and Body – Based Methods) เช่น การนวด (Massage) เป็นต้น การบ าบัดรักษาจิตเวชทางเลือก (Alternative Medicine)


พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของผู้ป่วยจิตเวชในโรงพยาบาลเป็นปัญหา ที่ส าคัญ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก และมีแนวโน้มเกิดความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยพบว่าผู้ป่วยจิตเวชมักเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงจากภาวะการ เจ็บป่วยทางจิตเวช เช่น การมีความคิดหลงผิด การตอบสนองต่ออาการประสาท หลอน และการไม่ยินยอมรับการรักษา ซึ่งอาการดังกล่าวเหล่านี้มักเป็นสาเหตุ ท าให้เกิดอันตรายต่อทั้งตัวผู้ป่วยเอง ญาติ และบุคลากรผู้ให้บริการ ความปลอดภัยของผู้ป่วยจิตเวช (Patient Safety in Psychiatric Patients)


ส าหรับการให้บริการทางสุขภาพในผู้ป่วยจิตเวชที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงนั้น ความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและบุคลากรผู้ให้บริการถือเป็นสิ่งส าคัญและพึงตระหนัก ควบคู่กันไป เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่ที่มีอาการทางจิต เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน มีความคิดหลงผิด จะมีการแสดงอารมณ์และพฤติกรรมที่ค่อนข้างก้าวร้าวรุนแรง (Violent behavior) โดยที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมเหล่านั้นได้ จึง ท าให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงต่อบุคลากรผู้ให้บริการขึ้นมา ความปลอดภัยของผู้ป่วยจิตเวช (Patient Safety in Psychiatric Patients)


ความปลอดภัยของผู้ป่วยจิตเวช (Patient Safety in Psychiatric Patients) เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชมีการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา จึงจ าเป็นต้องมี การผูกมัด (Physical Restains) เพื่อเป็นการจ ากัดพฤติกรรมก้าวร้าว ดังนั้นถ้า บุคลากรผู้ให้บริการมีการจ ากัดพฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเวชด้วยวิธีการผูกมัดไม่ถูกวิธี ไม่ถูกต้องตามหลักการ และไม่ได้มีการดูแลติดตามประเมินสภาพของผู้ป่วยในระหว่าง และหลังการได้รับการผูกมัด อาจท าให้ผู้ป่วยเกิดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ เป็นรอยแดง บริเวณที่ท าการผูกมัดได้ นอกจากนี้ถ้าบุคลากรผู้ให้บริการไม่ได้แจ้งข้อมูล อธิบาย เหตุผล และขออนุญาตท าการผูกมัดผู้ป่วยกับญาติก่อน ท าให้เกิดความเสี่ยงต่อการ ฟ้องร้องหรือร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการให้บริการตามมาอีกด้วย


……THE END…… (มีข้อสงสัย ซักถามได้เลยค่า >///<)


Click to View FlipBook Version