The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 31087, 2022-08-30 09:29:01

ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ

ไตรภูมิพระร่วง

ไตรภูมิพระร่วง

ตอน มนุสสภูมิ

คณะผู้จัดทำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๖

นำ เ ส น อ
ค รู ช มั ย พ ร แ ก้ ว ป า น กั น

ไตรภูมิพระร่วง
ตอน มนุสสภูมิ

คณะผู้จัดทำ

น.ส.ญาณภัทร คงทัด เลขที่๘
เลขที่๑๒
น.ส.ธัญญพร สำเนียงดี เลขที่๑๗
เลขที่๒๓
น.ส.นันทิกานต์ ขุนไม้งาม เลขที่๒๙
เลขที่๓๑
น.ส.ปานวาด ดิษฐวุฒิ เลขที่๓๙
เลขที่๔o
น.ส.วรณัน มั่นคง



น.ส.สิรกานต์ วรอุไร

น.ส.ศิรัตน์ กวีรัตน์ธำรง

น.ส.ศิริวรรณ กวีรัตน์ธำรง

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๖

นำเสนอ

ครูชมัยพร แก้วปานกัน

วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย (ท๓๓๑o๑)
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖

โรงเรียนสงวนหญิง สพม.เขตสุพรรณบุรี



คำนำ

วารสารเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยอพื่อให้ได้
ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วง โดยค้นคว้าหาข้อมูล
จากหนังสือรายวิชาภาษาไทย สื่อออนไลน์และห้องสมุดโดยวารสารเล่มนี้มี
เนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา ประวัติของผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์
เนื้อเรื่อง และวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดี

การจัดทำวารสารเล่มนี้สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีคณะผู้จัดทำขอ
ขอบคุณ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน ในการให้คำปรึกษาจนวารสารสำเร็จ

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านที่ได้อ่านวารสารจะได้ประโยชน์จาก
การศึกษาเกี่ยวกับ ไตรภูมิพระร่วง เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาหรือสนใจ
ได้เป็นอย่างดีและขอน้อมรับข้อติชมเพื่อปรับปรุงในการทำงานในอนาคต
และนำไปแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

คณะผู้จัดทำ
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕

สารบัญ ข

เรื่อง หน้า

คำนำ ก
สารบัญ ข
ความเป็นมา ๑
ประวัติของผู้แต่ง ๔
ลักษณะคำประพันธ์ ๕
ไตรภูมิพระร่วง ๖
ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสภูมิ ๘
วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี ๙

คุณค่าด้านเนื้อหา ๑๐
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๔
คุณค่าด้านสังคม

๑๗
บรรณานุกรม



ความเป็นมา

ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง

เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัยนับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของไทย
เป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช หรือพระมหาธรรม

ราชาลิไทย เป็นวรรณคดีไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยกรุงศรีอยุธยามา

จนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์มา

ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีใน

การทำบุญทำกุศล และมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดี

ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น
มีสาระสำคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลายว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิ

ทั้งสามคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทำแล้ว

• กามภูมิ เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ อบายภูมิ และสุคติภูมิ

• อบายภูมิ ยังแบ่งออกเป็นสี่ภูมิได้แก่ นรกภูมิ ติรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสูรกายภูมิ

• นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทำบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ


ได้ แปดขุมด้วยกัน คือ

- สัญชีพนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี นรก (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์)

- กาฬสุตตนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์)

- สังฆาฏนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕ ล้านปีของมนุษย์)

- โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีของมนุษย์)

- มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีของมนุษย์)

- ตาปนรก มีอายุ มี๑๖,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากัย ๙,๒๓๖ ล้านปีของมนุษย์)

- มหาตาปนรก มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน

- อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก มีอายุนับได้กัลป์หนึ่ง

ในแต่ละนรกยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อโลหสิมพลี เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับ
สามีหรือภริยาผู้อื่น จะมาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้วที่สูง มีหนามเป็นเหล็กร้อน
จนเป็นสีแดงมีเปลวไฟลุกโชน สำหรับผู้ที่ทำบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก ก็ไปเกิดในที่อันหาความ
เจริญมิได้ อื่น ๆ พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรต
บ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทำไว้



ความเป็นมา

ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง

สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น คือ มนุษย์ภูมิ
สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์ - ไตรตรึงษ์) สวรรค์ชั้นยามาภูมิ
สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต) สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ และสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ

กามาพจรภูมิทั้งเจ็ดชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีกสี่ชั้นเรียก

ว่า กามภูมิสิบเอ็ดชั้น

รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหมสิบหกชั้น เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์
ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า สมมติมีหิน
ก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้น
ใช้เวลาถึงสี่เดือนจึงจะตกลงถึงพื้น

จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่สิบเอ็ด ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็นรูปพรหมที่มีรูปแปลก
ออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญี
มีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิด
ตามกรรมต่อไป

รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญีพรหมอีกห้าชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของ
ผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี
คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสน

อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มีสี่ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บำเพ็ญ
เพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่าอรูปฌานซึ่งมีอยู่สี่ระดับได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญ
จายตนะฌาน จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน จะไปเกิดใน
วิญญาณัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะฌาน จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ
และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิบ
พรหมเหล่านี้เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน



ความเป็นมา

ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง

การกำเนิดสัตว์

การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่สี่อย่างด้วยกันคือ
- ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม
- อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด เป็นต้น
- สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่สัตว์ชั้นต่ำบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา เป็นต้น
- โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีทราก ได้แก่ เปรต

อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น




การตายสัตว์

การตายมีสาเหตุสี่ประการด้วยกันคือ

- อายุขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ
- กรรมขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม
- อุภยขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม
- อุปัจเฉทกรรมขยะ เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ

นอกจากนั้นแล้ว มีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล มีภูเขาพระสุเมรุราชเป็น
แกนกลางแวดล้อมด้วยกำแพงน้ำสีทันดรสมุทร และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย
ภูเขายุคนธร อินิมธร กรวิก สุทัศนะ เนมินธร วินันตกะ และอัสสกัณณะ กล่าวถึงพระอาทิตย์
พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลา
ฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้งสี่ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ ชมพูทวีปอยู่ทาง
ทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มี
แผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่สี่ผืน เรียกว่า สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล
๓๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ

การกำหนดอายุของสัตว์และโลกทั้งสามภูมิ มี กัลป์ มหากัลป์ การวินาศ
การอบัติ การสร้างโลก สร้างแผ่นดินตามคติของพราหมณ์

ท้ายสุดของภูมิกถา เป็นนิพพานคถาว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา



ประวัติผู้แต่ง

หนังสือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีทางศาสนาที่สำคัญเล่ม
หนึ่ง ในสมัยสุโขทัย ซึ่งมีอิทธิพลต่อคนไทยมาก พระมหาธรรมราชา
ที่ ๑ (พญาลิไท) ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นหลังจากที่ทรงผนวชแล้ว
และขึ้นครองราชย์ได้ ๖ ปี ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๖
 
         พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่ง
กรุงสุโขทัย ขึ้นครองราชย์ต่อจากพญางัวนำถม จากหลักฐานในศิลา
จารึกวัดมหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักที่ ๘ ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙
เมื่อพญาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางัวนำถมได้ขึ้น
ครองราชย์ ต่อมาพญาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติ และขึ้น
ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระนามว่า
“ พระเจ้าศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ” ในศิลาจารึกมัก
เรียกพระนามเดิมว่า “ พญาลิไท ” หรือเรียกย่อว่า “ พระมหาธรรม
ราชาที่ ๑ ” เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑

        พญาลิไท ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระ
เถระชาวลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละราชสมบัติออก
ทรงผนวชที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก พญาลิไท
ทรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงสนพระทัยทำนุบำรุง
พระพุทธศาสนาเป็นอันมาก และทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญหลาย
ประการ เช่น สร้างถนนพระร่วง ตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุง
สุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้าง
เมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชิน
ราช พระพุทธชินสีห์ ที่ฝีมือการช่างงดงามเป็นเยี่ยม



ลักษณะคำประพันธ์

ร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสำนวนพรรณนา

ตามพจนานุกรมบัณฑิตยสถานคำว่า “ ร้อยแก้ว ” มีความหมายว่า “ ถ้อยคำที่เรียบ
เรียงขึ้นโดยไม่มีข้อบังคับหรือข้อแท้ต่างๆ เช่น สัมผัส เอก โท ครุ ลหุ คณะ เป็นความ
เรียงที่เกลี้ยงเกลา สละสวย ไพเราะงดงาม ประหนึ่งการร้อยดวงแก้วที่แสนงามเข้าด้วย
กัน ”

เด่นในเรื่องของพรรณนาโวหาร

พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนคือมุ่งให้ความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออเพื่อให้ผู้
อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้ง เพลิดเพลินกับข้อความแต่ไม่ใช่การเขียนอย่างเยิ่นเย้อเพราะ
พรรณนาโวหารต้องมุ่งให้เห็นภาพและอารมณ์

อุปมาโวหารและเทศนาโวหารมาช่วย

อุปมาโวหาร เป็นโวหารเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่างสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบ
เทียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ความรู้สึก
มากยิ่งขึ้น
เทศนาโวหาร เป็นโวหารที่มีจุดมุ่งหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อมห้ผู้อ่านคล้อย
ตามหรืออาจดังกล่าวได้ว่ามุ่งชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของ
ผู้เขียน



เนื้อเรื่องเต็ม

ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ

ดั่งท่านเอาใส่ไว้ในที่คับ ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้ นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่
นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแลอยู่ธรห้อย

ผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองู เอาไปเล่นนั้นเเล อันอยู่ลำบากยากใจดุจ
ดั่งนั้น บ่มิได้ลำบากแต่ ๒ วาร ๓ วารแลจะพ้นได้เลย อยู่ยากแล ๗ เดือน

ลางคาบ ๘ เดือน ลางคน ๙ เดือน ลางคน ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนคำรบปีหนึ่ง
จึงคลอดก็มีแล

คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนเเลคลอดนั้น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗ เดือน
เเลคลอดนั้น แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรก
มาเกิดนั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจ
แลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้นเมื่อ
จะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจเมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญ
บานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดี ด้วยกรรม
นั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจ
ดั่งนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนตัวลงในขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อยวานั้น เมื่อกุมารนั้น
คลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสาร
อันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดังนั้น

ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล
แลภูเขาอันชื่อคังเขาไทยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ลมอันมี
ในห้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั้นจึงพัดเข้านั้นนักหนา พัดเข้าถึงต้นสิ้นผู้
น้อยนั้นจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจเข้าออกแล ผิแล

คนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็
ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อม
หัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ทั่วทั้งจักวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้อง
แม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบ่มิได้คำนึงรู้
อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แล
มาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมา เอาปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็
ดี แลสองสิ่งนี้เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลง แลยังคำนึงรู้อยู่ทุกอัน เมื่อจะออกจาก
ท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออก แลคับแคบแอ่นยัน
นักหนา เจ็บเนื้อเจ็บคนลำบากนัก ดั่งกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เริ่ม
ดั่งท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำนึงรู้สึก
ตนเเลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เมื่อจะออกจาก

ท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แลส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ย่อมหล่งทั้ง ๓ เมื่อ
ควรอิ่มสงสารแล




เนื้อเรื่องเต็ม

ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ

ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวัน
แลน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุททะ อัมพุททะนั้นโดยใหญ่ไปทุก
วารไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดังตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อย
ใหญ่ไปทุกวัน ครั้งถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆณะ ฆณะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน
ครั้นถึง ๗ วันเป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูดนั้น
เป็นมือ ๒ อันเป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้น
ถึง ๗ วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไปถึง ๗ วัน คำรบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ
เป็นเครื่อง สำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันเเล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐ แต่รูปอันมีหัว
ได้๘๔ แต่รูปอันมีเบื้องต่ำได้ ๕๐ ผสมรูปทั้งหลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔
แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อน
นั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันเเม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่
นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นเเลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้
๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่เป็นที่เหม็นเเลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่วฝูงตืดแลเอือน
ทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่
ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดังสาย
ก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แล ข้าวน้ำ
อาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมา
รนั้นเเล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำเช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือ
กระหม่อมทับ หัวกุมารอยู่นั้นแล แลลำบากนักหนา แต่อาหารอันเกินก่อนไสร้ แลกุมารนั้น
อยู่เหนืออาหารนั้น เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้ง
สอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อย
ลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแลดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก แลนั่งกำมือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั้นแล ใน
ท้องแม่นั้นร้อนหนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตนแลต้มในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหา
รอันเเม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัว
กุมารนั้นบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตาย
เพื่อดั่งนั้นเเล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียด
ตีนมือออก ดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่าน
ขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบ่
มิได้



เนื้อเรื่องเต็มแบบย่อ

ภูมิพระร่วง กล่าวถึงลักษณะการเกิดหรือปฏิสนธิของมนุษย์ สัตว์ และเทวดา และบรรยาย
ลักษณะของแต่ละภูมิอย่างละเอียด เริ่มด้วยนรกภูมิ บรรยายภาพที่น่ากลัวของนรก
แต่ละขุม กล่าวถึงเหตุของการตกนรกแต่ละขุมและความทุกข์ทรมานที่สัตว์นรกต้องได้รับ
ในติรัจฉานภูมิ กล่าวถึงการเกิดและลักษณะของสัตว์ชนิดต่าง ๆ สัตว์ที่กล่าวถึงอย่าง
ละเอียดได้แก่ ราชสีห์ 4 ชนิด ช้างแก้ว 10 จำพวก ปลาใหญ่ 7 ตัว ครุฑ นาค และหงส์ ใน
เรื่องเปรตภูมิ บรรยายรายละเอียดของลักษณะเปรตแต่ละจำพวก และในส่วนที่ว่าด้วย
อสุรกายภูมิ บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองของอสูรใหญ่ 4 เมือง ส่วนในเรื่องของ
มนุสสภูมิ บรรยายการปฏิสนธิและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์จนถึงเวลาคลอด
บรรยายลักษณะของทวีปทั้ง 4 คือ อุตตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป บุพวิเทหทวีป และ
ชมพูทวีปโดยละเอียด กล่าวถึงจักรพรรดิราช และบุคคลสำคัญบางคนได้แก่ โชติกเศรษฐี
พญาพิมพิสารและพญาอชาตศัตรู ในส่วนที่ว่าด้วยฉกามาพจรภูมิ ได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น
บรรยายลักษณะของสวรรค์แต่ละชั้นให้เห็นความยิ่งใหญ่ งดงามและน่ารื่นรมย์ ในส่วนที่
กล่าวถึงรูปภูมิ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพรหมที่มีรูป 16 ชั้น และอรูปภูมิ ที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูป
4 ชั้น ก็บรรยายลักษณะของพรหมอย่างละเอียด ในตอนท้ายของหนังสือผู้นิพนธ์ทรงชี้ให้
เห็นว่า มนุษย์ สัตว์และเทวดาทั้งหลายตลอดจนสรรพสิ่งในภูมิทั้ง 3 แม้กระทั่งภูเขา
แม่น้ำ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ตลอดจนป่าหิมพานต์ ในที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายไป
ทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้เลย กล่าวถึงการเกิดไฟประลัยกัลป์ และกำเนิดโลกและสรรพสิ่ง
ขึ้นใหม่หลังจากเกิดไฟประลัยกัลป์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญ
ของสถาบันพระมหากษัตริย์



วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี

คุณค่าด้านเนื้อหา

รูปแบบคำประพันธ์ : แต่งเป็นร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสำนวนพรรณนา
องค์ประกอบของเรื่อง
๑)สาระ = ผู้แต่งต้องการสื่อถึงผู้อ่านถึง “ความต้องการให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเวียน
ว่ายตายเกิด” และมีแก่นสำคัญของเรื่อง คือ การกำเนิดของมนุษย์ ตั้งแต่แรกเริ่มก็เต็ม
ไปด้วยความเจ็บปวด
๒)โครงเรื่อง =ผู้แต่งได้กล่าวถึงเนื้อหาของการกำเนิดมนุษย์เอาไว้ โดยเริ่มเล่าจากการ
เป็นเซลล์ขนาดเล็ก(กลละ) จนกระทั่งคลอดออกมา ทำให้เกิดความน่าสนใจว่าจากเซลล์
เล็กๆกลายเป็นมนุษย์คนหนึ่งต้องผ่านอะไรมาบ้าง
๓)ตัวละคร = แม่,ทารก
๔)ฉากและบรรยากาศ = ฉากและบรรยากาศในเรื่องมีความเกินจริง ตัวอย่างเช่น “ใน
ท้องแม่นั้นร้อนหนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหา
รอันเเม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัว
กุมารนั้นบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตาย
เพื่อดั่งนั้นเเล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียด
ตีนมือออก” ในเนื้อเรื่องข้างต้นในประโยคที่ได้มีการเน้นสีไว้ เป็นการเปรียบที่เกินความ
จริง
๕)กลวิธีในการแต่ง = ผู้แต่งใช้การสร้างภาพพจน์ที่เกินจริง เพื่อให้มีความน่าสนใจ และ
มีการสอดแทรกความเชื่อในยุคสมัยๆนั้นเข้ามาเพื่อดึงดูดผู้อ่าน

๑o

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การสรรคำ

การเลือกใช้คำให้เหมาะแก่ลักษณะคำประพันธ์

“ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็น
กลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั้งถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อนั้น
เรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้… ”

การเลือกใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง

- การเล่นสัมผัสคล้องจอง
“ …แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้ง

สอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้น… ”

- การใช้คำซ้อนเพื่อเน้นความหมาย
“ …แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับ

แคบหนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจแลเดือดเนื้อเดือดใจหนักหนา… ”

- การย้ำคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน
“ … แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล… ”
“ …แลผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำเช้าทุกวัน… ”

- การเล่นอักษร เสียงสัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะ
“ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี… ”
“ …ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว… ”

๑๑

การใช้โวหาร

บรรยายโวหาร
“ …สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วย

อำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็น
ธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงมิให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่ง
นั้นแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสีชยเลย บ่ห่อน
ได้เหยียดตีนถือมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย…


พรรณนาโวหาร
“ … เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่

แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่
นั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล… ”

อุปมาโวหาร
“ …ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือน

ฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้น ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ใน
ลามกอาจมนั้นแล อันสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอัน
มีชื่อว่าอุบล… ”

๑๒

การหลากคำ
“ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดังตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสิ
นั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้งถึง ๗ วัน ”
- วาร กับ วัน มีความหมายเดียวกัน หมายถึง “ วัน ”
จินตภาพด้านภาพ
“…ในนรกนั้นมีหม้อเหล็กแดงอันใหญ่เท่าภูเขาอันใหญ่ ”
- สื่อถึงภาพ หม้อเหล็กสีแดงที่มีลักษณะใหญ่มากๆ
การซ้ำคำ
“ บ่มิต่ำบ่มิสูง บ่มิพีบ่มิผอม บ่มิขาวบ่มิดำ ” “เป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี ”
“ บ่มิน้อยบ่มิมาก ”
รสวรรณคดี
“ แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา
แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบ่มิได้ ”
- เป็น พิโรธวาทัง เพราะแสดงถึงความโกรธ
นามนัย
“ ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ลมอันมีในห้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ”
- ผู้น้อย หมายถึง เด็ก

๑๓

คำอัพภาส

“ เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแลดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก ”
- ยะหยด มาจากคำว่า “ หยดหยด ”

อติพจน์

“ ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น ”
- ช้างไม่สามารถออกจากประตูลักษ ( รูกุญแจ )

นาฏการ

“ ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ”
- ทำให้เห็นว่า เมื่อเด็กคลอดออกมาก็จะร้องไห้
“ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออก ”
- เห็นการเคลื่อนไหวของลม เพราลมกรรมชวาต แปลว่า ลมเบ่ง
“ ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้ นตนก็ดี ”
- เห็นถึงการเดิน การนอน การฟื้ นตัว

คำถามเชิงวาทศิลป์

“ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนคลอดนั้น ” “ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗
เดือนแลคลอดนั้น ” “ คนผู้ใดจาก แต่นรกมาเกิดนั้น ”
- แสดงถึงการถามว่าคนใด แต่ไม่ได้ต้องการคำตอบ

๑๔

คุณค่าด้านสังคม

๑.ความเชื่อเรื่องบุญ-กรรม

๑.๑ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น
ส่วนตัวกุมารนั้นบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกรรมนั้นจะเป็นคนแล
จึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแล

เพิ่มเติม : ในบทความนี้ได้แสดงแนวคิดว่าตัวของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่จะอยู่รวมกับอาหาร
อาหารที่อยู่ในท้องแม่ก็ถูกเผาไปทีละ
น้อยแต่ตัวของเด็กจะไม่ถูกเผาดั่งเช่นอาหาร
เพราะบุญได้ห่อหุ้มตัวของเด็กในท้องเอา
ไว้

๑.๒ ด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน
ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้น

เพิ่มเติม : ในบทความนี้ได้แสดงแนวคิดว่าลมในท้องแม่ที่เรียกว่าลมแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้
เด็กในท้องได้กลับหัวมาเยู่ข้างล่างแล
ะกลับเท้าให้ขึ้นไปอยู่ข้างบนรวมถึงมีการ


ได้สอดแทรกถึงความเชื่อเรื่องนรกอีกด้วย

๑๕

คุณค่าด้านสังคม

๒.ความเชื่อเรื่องภพภูมิ

๒.๑ ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล

๒.๒ ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่า
ออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น

เพิ่มเติม : ทั้ง๒บทความนี้ได้แสดงแนวคิดเกี่ยวกับความคิด ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
ในเรื่องของภพภูมิไม่ว่าจะเป็นในเรื่
องของขุมนรก ชื่อสถานที่ในขุมนรก
ความเชื่อในเรื่องของเปรตอมนุษย์ ความเชื่อในเรื่องของสวรรค์และการที่มี
ความเชื่อว่าคนดีจะอยู่ในสวรรค์ ส่วนค
นเลวก็จะอยู่ในนรกนั่นเอง

๓.ความเชื่อเรื่องพระพุทธศาสนา

๓.๑ ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี
แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ดีเมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่
นั้นก็ดี แลสองสิ่งนี้เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลงแลยังคำนึงรู้อยู่ทุกอัน

เพิ่มเติม : ในบทความนี้ได้แสดงพูดถึงว่าพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตาขีณาสพเจ้า
พระองค์อัครสาวกเจ้านั้นก็ได้มีกา
รมาเกิดบนโลกมนุษย์นี้เช่นกันแต่ก่อนที่จะมาเกิด
สำหรับคนทั่วไปจะหลงลืมในช่วง
เวลาที่อยู่ในครรภ์แม่ แต่สำหรับพระอรหันต์
พระพุทธองค์จะพึงระลึกรู้เห็นอยู่ในทุก
เวลา

๑๖

คุณค่าด้านสังคม

๔.ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิด

๔.๑ คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้น
ย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์
ลงมาเกิดนั้นเมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ

เพิ่มเติม : บทความนี้ได้แสดงแนวคิดว่าถ้าเด็กที่เกิดมาตัวร้อนแสดงว่ามาจากนรกหรืออบายภูมิ
มีความเดือดเนื้อร้อนใจและตัวของแ
ม่ก็จะมีอาการเช่นเดียวกับเด็ก แต่ถ้าเกิดว่า

เด็กที่เกิดมาตัวเย็นแสดงว่ามาจากสวรรค์ แม่ที่คลอดออกมาก็จะเย็นเนื้อเย็นใจตาม

๑๗

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๔). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ (พิมพ์ครั้งที่ ๑๕). กรุงเทพมหานคร:องค์การค้าของ สกสค.
ไตรภูมิพระร่วง - กิตติศักดิ์https://sites.google.com/site/tirphumiphrarwng/
prawati-phu-taeng-1
ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชาภาษาไทย
https://blog.startdee.com/
ไตรภูมิพระร่วง https://www.slideshare.net/Songsak1/ss-17311498
หอมรดกไทย.(๒๕๔๒) ความเป็นมาของไตรภูมิพระร่วง
http://www.sukhothai.go.th/history/hist_02.htm

วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี. สืบค้น ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕, จาก
https://rakpooh.wixsite.com/naritsara/blank-w1u61

อภิเชษฐ์ บุญศรี. (๒๕๖๔). คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม ไตรภูมิพระร่วง
ตอนมนุสสภูมิ เข้าถึงจาก https://youtu.be/_OgMHzRUP
เสถียรโกเศศ (อนุมานราชธน, พระยา) (๒๕๒๘). เล่าเรื่องในไตรภูมิ. พิมพ์ครั้งที่ ๘.
กรุงเทพมหานคร: จงเจริญการพิมพ์


Click to View FlipBook Version