The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วงจรเครื่องขยายเสียงโมโนสเตริโอ ปรีแอมพลิไฟล์เออร์ อีควอไลเซอร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chutrakun.32, 2021-05-21 02:18:55

บทเรียนมอดูล วิชาเครื่องเสียง

วงจรเครื่องขยายเสียงโมโนสเตริโอ ปรีแอมพลิไฟล์เออร์ อีควอไลเซอร์

Keywords: เครื่องเสียง

บทเรียนมอดูล

วิชา เคร่ืองเสยี ง

รหสั วิชา 20105-2008

เรอ่ื ง อีควอไลเซอร์ ปรแี อมพลไิ ฟล์เอ้อ
วงจรเคร่อื งขยายเสียงโมโนสเตริโอ

นา้ ฟ้า ชูตระกูล
ต้าแหน่ง ครพู เิ ศษสอน
แผนกวิชาชา่ งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
วทิ ยาลัยการอาชีพแกลง

คา้ น้า

บทเรียนมอดูลท่ี 1 เร่ือง อีควอไลเซอร์,ปรีแอมปลิฟายเออร์วงจรเครื่องขยายเสียงโมโน
สเตริโอ. เพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนในแผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ รายวิชา เคร่ืองเสียง รหัส
วิชา 20105-2008 ระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 2 โดยพยายามให้นักเรียนเข้าใจง่าย
สามารถศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานก่อนท่ีจะศึกษาเนื้อหานั้นจริงๆ และยังได้เพิ่มเติม
เนื้อหาบางตอนเพื่อช่วยเสริมความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นอกจากนี้ยังได้เพ่ิมใบกิจกรรมเสริมให้
นกั เรยี นมปี ระสบการณม์ ากขน้ึ

บทเรียนมอดูลชุดน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาเก่ียวกับ หลักการทางานของอีควอ
ไลเซอร์ การต่อลาโพงเขา้ กบั เครอ่ื งขยายเสียงระบบโมโนและสเตริโอ ภายในมอดูลเล่มนี้ประกอบด้วย
คาแนะนาการใช้บทเรียนมอดูล จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เนื้อหา ใบกิจกรรม
แบบทดสอบหลงั เรยี น รวมท้ังเฉลยใบกิจกรรมและแบบทดสอบ

ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยื่งว่าบทเรียนมอดูลเล่มนี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับเรื่องหลักการทางานของอีควอไลเซอร์ การต่อลาโพงเข้ากับเครื่องขยายเสียงระบบโมโนและ
สเตริโอมากยิง่ ขึน้ และส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรียนเพ่ิมมากขน้ึ

น้าฟ้า ชตู ระกลู

สารบัญ หนา้

เรือ่ ง
คานา
สารบญั
คาแนะนาการใชบ้ ทเรียนมอดูล
สาระสาคัญ
สมรรถนะประจาหนว่ ย
จดุ ประสงค์
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ใบความรู้

หลักการทางานของอีควอไลเซอร์
การต่อลาโพงเขา้ กบั เคร่อื งขยายเสยี งระบบโมโนและสเตรโิ อ
ใบกิจกรรม
ใบงานการตอ่ ลาโพงเข้ากับเคร่อื งขยายเสียงระบบโมโนและสเตริโอ
ใบประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน
แบบทดสอบหลังเรยี น
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น

คา้ แนะนา้ การใช้งานบทเรยี นมอดูล

1. ครูแนะนานักเรียนเกยี่ วกบั องค์ประกอบของบทเรียนมอดลู ชุดที่ 1 เรอ่ื ง อีควอไลเซอร์,ปรี
แอมปลฟิ ายเออร์วงจรเคร่ืองขยายเสียงโมโน สเตริโอ
2. นกั เรียนตรวจสอบองค์ประกอบของบทเรยี นมอดูล ชุดที่ 1 เรอ่ื ง อีควอไลเซอร์,ปรแี อมปลิ
ฟายเออร์วงจรเครือ่ งขยายเสยี งโมโน สเตรโิ อ ว่าครบถ้วนหรอื ไม่
3. นักเรยี นปฏิบตั ิกจิ กรรมตามลาดับดังนี้

3.1 นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน
3.2 นกั เรียนคน้ คว้าจากใบความรู้
3.3 นักเรียนปฏิบัตกิ จิ กรรมตามใบกจิ กรรม
4. ในระหว่างการปฏิบัติกจิ กรรม หากมขี อ้ สงสัยสามารถซักถามเพอ่ื ใหส้ ามารถปฏิบัตไิ ด้
ถกู ตอ้ ง
5. เม่ือปฏบิ ตั ิเสรจ็ แลว้ ให้ครูผู้สอนประเมินผลการปฏบิ ัตงิ าน
6. นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน

สาระส้าคญั

อีควอไลเซอร์มีการทางานคล้ายโทนคอนโทรลน่ันเอง เพียงแต่ว่ามันสามารถปรับแต่งเสียงได้
ละเอียดกว่าโทลคอนโทรล การปรับแต่งเสียงอีควอไลเซอร์โดยท่ัวไปนั้นก็มีท้ังการเพ่ิม Boost ,+dB และ
ลด Cut ,–dB แต่ถ้าไม่มีการปรับแต่งเรียกว่า Flat ก็จะต้ังไว้ตรงกลาง 0dB เครื่องขยายเสียงใน
สมยั กอ่ นหรือรุ่นหลอด จะเปน็ ระบบโมโน กล่าวคอื จะมภี าคขยายเสยี ง เพียงข้างเดียวในหน่ึงเคร่ืองโดย
ไม่สามารถแยกสัญญาณเสียงข้างซ้าย-ขวาได้ การต่อลาโพงเข้ากับเคร่ืองขยายเสียงระบบโมโนนั้น
สามารถตอ่ ลาโพงใช้งานไดพ้ รอ้ มกันทัง้ ลาโพงทเี่ ป็นตูแ้ ละลาโพงฮอรน์

สมรรถนะประจา้ หน่วย

1. แสดงความรวู้ ิธีการปรบั แต่งอคี วอไลเซอรไ์ ด้
2. แสดงความรู้การนาอคี วอไลเซอร์ไปใช้งานได้
3. วเิ คราะหก์ ารทางานของปรแี อมปลิฟายเออร์ได้
4. แสดงความรกู้ ารทางานของระบบเสียงโมโนได้
5. แสดงความรูว้ ิธีการตอ่ ลาโพงกบั เคร่อื งขยายเสยี งเสียงโมโนได้
6. วเิ คราะห์ชนดิ สัญญาณทีป่ ้อนเขา้ เครอ่ื งขยายเสยี งเสียงโมโนได้
7. แสดงความรู้หลกั การระบบเสยี งสเตริโอ

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

4.1 ดา้ นความรู้
4.1.1 เพ่อื ใหม้ ีความรู้ความเข้าใจเกยี่ วกบั เครื่องขยายเสยี งสเตรโิ อกบั ลาโพง
4.1.2 เพือ่ ให้มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ อีควอไลเซอร์,ปรีแอมปลิฟายเออร์

4.2 ดา้ นทักษะ
4.2.1 อธิบายการทางานของอีควอไลเซอร์ได้
4.2.2 บอกการทางานของปรีแอมปลิฟายเออร์ได้
4.2.3 อธบิ ายสญั ญาณทผี่ ่านภาคปรีแอมป์ได้
4.2.4 ต่อลาโพงกับเคร่ืองขยายเสียงเสียงโมโนได้
4.2.5 ต่อเครื่องขยายเสียงสเตรโิ อกบั ลาโพงได้

4.3 ดา้ นคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
4.3.1 ตรงตอ่ เวลา
4.3.2 มีความตระหนักในหนา้ ท่ขี องนักเรียน
4.3.3 มคี วามรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
4.3.4 แตง่ กายถูกต้องตามระเบยี บของสถานศึกษา

แบบทดสอบก่อนเรยี น

คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนทาเคร่ืองหมาย X ขอ้ ทถี่ กู ท่สี ดุ ลงในกระดาษคาตอบ

ตอนที่ 1 เรอ่ื ง อคี วอไลเซอร์

1.อีควอไลเซอรท์ าหน้าทีอ่ ะไร

ก. เพมิ่ เสยี ง ข. เน้นเสียง

ค. ปรบั รายละเอยี ดเสียง ง. ปรับเสยี งแหลม

2.วงจรอคี วอไลเซอรม์ กี ารทางานคล้ายกับวงจรใด

ก. วงจรปรีแอมป์ ข. วงจรโทนคอนโทรล

ค. วงจรขยายกาลัง ง. วงจรปรบั เสียง

3.ขอ้ ใดหมายถงึ ระยะหา่ งของความถี่ขนาด 1 ออกเตฟ

ก. 20–100 เฮิรตซ์ ข. 100–1,000 เฮิรตซ์

ค. 200–400 เฮิรตซ์ ง. 200–4,000 เฮิรตซ์

4. อคี วอไลเซอร์ท่นี ามาใช้งานทว่ั ไปมีอยูด่ ้วยกันกีแ่ บบ

ก. 1 แบบ ข. 2 แบบ ค. 3 แบบ ง. 4 แบบ

5. อีควอไลเซอร์แบบใดที่เห็นใชง้ านท่ัวไป

ก. แบบปรบั เสยี ง ข. แบบปรับหลายชอ่ ง

ค. แบบกราฟฟกิ ง. แบบพาราเมตรกิ

6. อคี วอไลเซอรแ์ บบใดทเ่ี ห็นใชง้ านกับเครื่องเสียงรถยนต์

ก. แบบปรบั ละเอียด ข. แบบปรับสองข้าง

ค. แบบปรับขึน้ –ลง ง. แบบพาราเมตรกิ

7. การปรับ Flat มคี วามหมายเหมอื นในขอ้ ใด

ก. ปรับเพ่ิมเสียง ข. ปรับลดเสยี ง

ค. ปรับลดทอนเสียง ง. ไม่มกี ารปรบั แต่ง

8.อคี วอไลเซอรน์ ิยมนาไปใช้งานกับระบบเสียงในบ้านมีขนาดเทา่ ไร

ก. 10 ช่อง/แชนเนล ข. 15 ช่อง/แชนเนล

ค. 20 ช่อง/แชนเนล ง. 30 ชอ่ ง/แชนเนล

9. อคี วอไลเซอร์นิยมนาไปใช้งานในระบบเสียงกลางแจ้งมขี นาดเทา่ ไร

ก. 1 ออกเตฟ ข. 1/3 ออกเตฟ ค. 2 ออกเตฟ ง. 2/3 ออกเตฟ

10. วงจรแทรปในอคี วอไลเซอร์มีหลกั การทางานอย่างไร

ก. ขยายความถ่เี ดียว ข. ปรับได้หลายความถ่ี

ค. ตัดความถเี่ รโซแนนซ์ทิง้ ง. ตัดเสยี งรบกวนท้ิง

11. วงจรขยายความถใ่ี นอีควอไลเซอรน์ ิยมใชว้ งจรแบบใด

ก. วงจรทรานซิสเตอร์ ข. วงจรไอซี

ค. วงจรไจเรเตอร์ ง. วงจรปรบั เสียง

12.ปรีแอมปอ์ ยู่ส่วนใดของเครอ่ื งขยายเสียง

ก. ส่วนปรบั เสียง ข. สว่ นขยายกาลงั

ค. ส่วนอินพตุ ง. ส่วนเอาตพ์ ุต

13. อนิ พุตของปรแี อมปใ์ ดทเ่ี รียกว่าช่องสารอง

ก. Monitor ข. Auxiliary ค. Phone ง. Tuner

14. ปรีแอมป์ขยายสญั ญาณจากหวั เทปจะตอ้ งมคี ุณสมบัตอิ ยา่ งไร

ก. สัญญาณรบกวนตา่ ข. อัตราขยายสูงมาก

ค. ปรับเสยี งไดด้ ี ง. ขยายความถ่ีได้ดี

15. วงจรปรีแอมปข์ องเครื่องเล่นแผ่นเสยี งติดตง้ั ไว้ตาแหนง่ ใด

ก. ในเคร่ืองเล่นแผ่นเสียง ข. ในเครื่องปรแี อมป์

ค. ในเครอื่ งโทนคอนโทรล ง. ในเคร่ืองขยายกาลัง

16. สัญญาณชนิดใดทต่ี อ้ งผ่านภาคปรีแอมปลิฟายเออร์

ก. จนู เนอร์ ข. ไมโครโฟน

ค. เทปเด็ค ง. ซดี ี

17. สัญญาณชนดิ ใดทไ่ี ม่ตอ้ งผา่ นภาคปรีแอมปลฟิ ายเออร์

ก. ซีดี ข. กีตาร์ ค. หวั เทป ง. โฟโน

18. จูนเนอรช์ นดิ ท่กี ดคน้ หาสถานีแบบอัตโนมัตเิ รยี กว่าอะไร

ก. สแกนหาคลื่น ข. แบบค้นหา

ค. ซินธิไซเซอร์ ง. แบบอัตโนมตั ิ

19. จนู เนอร์มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด

ก. เครอ่ื งกาเนิดเสียงเพลง ข. เครอื่ งรบั เสียง

ค. เครอื่ งกรองเสียง ง. เครื่องรับวิทยุเอเอ็ม–เอฟเอ็ม

20. เครือ่ งเลน่ ซดี ีอ่านข้อมลู ในระบบใด

ก. ระบบสแกนหาขอ้ มูล ข. ระบบค้นหา

ค. ระบบดจิ ิตอล ง. ระบบแอนะล๊อก

ตอนท่ี 2 เร่อื ง เคร่อื งขยายเสียงระบะโมโน ระบบสเตอริโอ

21. ข้อใดบง่ บอกเคร่ืองขยายเสียงระบบโมโน

ก. แยกเสยี งได้ ข .มีหนึ่งสญั ญาณเสียง

ค. มภี าคขยายเสยี งขา้ งเดียว ง. มีภาคขยายสองข้าง

22. ขอ้ ใดเรยี กว่าเคร่อื งขยายเสียงระบบโมโน

ก. Power Mixer ข. Integrated Amplifier

ค. Power Amplifier ง. A/V Receiver

23. วงจรปรีไมโครโฟนระบบโมโนมขี ้อสงั เกตอย่างไร

ก. แยกเสยี งซ้าย–ขวา ข. มชี ่องเสยี บไมค์ตัวเดยี ว

ค. มสี ัญญาณเอาต์พุตเดยี ว ง. มีสญั ญาณเอาต์พุตหลายจุด

24. โวลล่มุ ปรับเสยี งในโทนคอนโทรลระบบโมโนมลี ักษณะเป็นอยา่ งไร

ก. มสี องช้ัน ข. มชี ้ันเดียว

ค. เป็นแบบหมุน ง. เปน็ แบบเล่อื น

25. ขอ้ ใดหมายถึงโวลลุ่มปรับความแรงของสญั ญาณเสียง

ก. Level ข. Bass

ค. Treble ง. Amplitude

26. ปุ่มปรบั Master ของเครอ่ื งเพาเวอร์มกิ เซอรท์ าหนา้ ทอ่ี ะไร

ก. ควบเสยี งแต่ละแชนเนล ข. ควบคุมสัญญาณเสยี งทั้งหมด

ค. ควบคุมแรงดัน ง. ควบคุมไฟวิง่

27. วงจรขยายกาลังเครอ่ื งเสยี งระบบโมโนมีข้อสังเกตอย่างไร

ก. แยกเสยี งซา้ ย–ขวา ข. มีชอ่ งเสียบลาโพงตวั เดียว

ค. มีภาคขยายซีกเดยี ว ง. มภี าคขยายสองข้าง

28. แหลง่ จ่ายไฟแบบควบคุมแรงดนั นาไปจา่ ยให้กับภาคใดของเคร่ืองเสียงระบบโมโน

ก. ภาคเพาเวอร์แอมป์ ข. ภาคปรแี อมป์

ค. ภาคไฟวง่ิ ง. ภาคป้องกนั ลาโพง

29. อปุ กรณ์ตวั ใดท่ที าหน้าที่ลดแรงดันไฟสลับในแหลง่ จ่ายไฟ

ก. รีซสิ เตอร์ ข. คาปาซเิ ตอร์

ค. ไดโอด ง. หมอ้ แปลง

30. จดุ ต่อลาโพงฮอรน์ กบั เครอื่ งขยายเสียงเสียงโมโนมีอุปกรณ์ใดคนั่ อยู่

ก. รซี สิ เตอร์ ข. คาปาซเิ ตอร์

ค. ไดโอด ง. ทรานซสิ เตอร์

31. เคร่ืองเสยี งระบบสเตอรโิ อมวี งจรขยายเสยี งทงั้ หมดกีช่ ุด

ก. 1 ชุด ข. 2 ชดุ ค. 3 ชดุ ง. 4 ชดุ

32. อินพตุ ของระบบเสยี งสเตอริโอจะตอ้ งมสี ัญลกั ษณใ์ ดเป็นตวั กาหนด

ก. ขัว้ บวก–ลบ ข. อินพตุ /เอาต์พตุ

ค. แชนเนล L, R ง. สวิตช์เลือกสญั ญาณ

33. สวิตช์เลอื กอนิ พุตของระบบเสียงสเตอริโอทาหน้าทอ่ี ะไร

ก. เลอื กอินพุตเพียงสัญญาณเดยี ว ข. เลือกอนิ พุตพรอ้ มกันหลายตวั

ค. เลอื กสัญญาณสองขา้ ง ง. เลอื กสัญญาณขา้ งเดยี ว

34. ข้อใดเปน็ การวางลาโพงระบบสเตอริโอท่ถี ูกตอ้ ง

ก. วางลาโพงรวมกนั ข. แบบหลายจดุ

ค. วางชิดผนัง ง. ลาโพงซ้าย–ขวาแยกจากกนั

35. ตาแหน่งการวางลาโพงระบบสเตอรโิ อแบบใดให้เสียงดที ีส่ ุด

ก. แบบแยกขา้ ง ข. แบบสลับหน้า–หลัง

ค. แบบชิดผนงั ง. แบบสามเหลยี่ มด้านเท่า

36. ขอ้ ใดเกิดจากการวางลาโพงระบบสเตอริโอแบบมมุ เอียง

ก. แยกข้างไดด้ ี ข. จดุ รบั ฟงั เปลยี่ นไป

ค. เสียงทมุ้ ดขี ้ึน ง. เสียงแหลมดีข้นึ

37. ขอ้ ใดเกดิ จากการวางลาโพงแบบหลายจุด

ก. แยกเสียงได้ดีข้ึน ข. รบั ฟังได้ชดั ข้นึ

ค. ไดเ้ สยี งรอบทศิ ทาง ง. ไดเ้ สยี งดงั ข้ึน

38. ระบบโฮมเธียเตอร์สเตอรโิ อถอดรหสั ออกมาทง้ั หมดกแ่ี ชนเนล

ก. 2.1 แชนเนล ข. 3.1 แชนเนล

ค. 4.1 แชนเนล ง. 5.1 แชนเนล

39. การเชอื่ มโยงสายสัญญาณระบบสเตอรโิ อจะตอ้ งคานงึ ถงึ อะไรบ้าง

ก. ขัว้ บวกลบ ข. แยกสาย L, R ให้ชดั เจน

ค. การต่อสาย ง. การม้วนสาย

40. การตอ่ ระบบเสียงที่ใช้เคร่อื งขยายเสียงเพยี งเครื่องเดยี วเรยี กว่าการตอ่ แบบใด

ก. แบบซิงเกลิ แอมป์ ข. แบบไบแอมป์

ค. แบบไตรแอมป์ ง. แบบไบไวร์

เฉลย

1. ค. ปรับรายละเอยี ดเสียง 22. ก. Power Mixer
2.ข. วงจรโทนคอนโทรล 23. ค. มีสญั ญาณเอาตพ์ ุตเดียว
3. ค. 200–400 เฮริ ตซ์
4. ข. 2 แบบ 24. ข. มชี น้ั เดยี ว
5. ค. แบบกราฟฟิก 25. ก. Level
6. ง. แบบพาราเมตรกิ 26. ข. ควบคุมสญั ญาณเสียงท้งั หมด
7. ง. ไมม่ กี ารปรบั แต่ง 27. ค. มภี าคขยายซกี เดียว
8. ก. 10 ชอ่ ง/แชนเนล 28. ข. ภาคปรีแอมป์
9. ข. 1/3 ออกเตฟ 29. ง. หมอ้ แปลง
10. ค. ตัดความถีเ่ รโซแนนซ์ทิ้ง 30. ข. คาปาซเิ ตอร์
11. ค. วงจรไจเรเตอร์ 31. ข. 2 ชดุ
12. ค. สว่ นอนิ พุต 32. ค. แชนเนล L, R
13.ข. Auxiliary 33. ก. เลือกอินพตุ เพยี งสัญญาณเดียว
14. ก. สญั ญาณรบกวนต่า
15. ข. ในเครื่องปรีแอมป์ 34. ง. ลาโพงซ้าย–ขวาแยกจากกัน
16. ข. ไมโครโฟน 35. ง. แบบสามเหลี่ยมดา้ นเท่า
17. ก. ซดี ี 36. ข. จุดรบั ฟังเปลีย่ นไป
18. ค. ซนิ ธไิ ซเซอร์ 37. ค. ไดเ้ สยี งรอบทศิ ทาง
19. ง. เครือ่ งรบั วทิ ยุเอเอ็ม–เอฟเอ็ม 38. ง. 5.1 แชนเนล
20. ค. ระบบดิจติ อล 39. ข. แยกสาย L, R ให้ชดั เจน
21. ค. มภี าคขยายเสียงขา้ งเดียว 40. ก. แบบซงิ เกลิ แอมป์

บทที่ 6

อคี วอไลเซอร์ (Equalizer) คอื อะไร หรอื อกี คานึงกค็ ือ EQ เชื่อวา่ หลายๆคนอาจจะเคยได้ยิน
คาๆ น้ีมาแล้ว แตอ่ าจจะยังไมท่ ราบว่ามนั คอื อะไร ทาหน้าท่ีอะไร เพราะอะไรถึงตอ้ งมีเรยี นรแู้ ละ
เข้าถงึ อุปกรณป์ รบั แต่งเสียง…อคี วอไลเซอร์ (Equalizer)อคี วอไลเซอร์ (Equalizer) หรือเรียกสนั้ ๆว่า
“อีควิ ” (Eq) มกั พบเหน็ ไดท้ ัง้ อปุ กรณ์ท่เี ป็นระบบอนาลอ็ ก และ ภายในดิจติ อลมิกเซอรแ์ ทบทุกรุ่น
ซงึ่ บางทา่ นอาจจะยังสงสยั ในการทางานของเจา้ อปุ กรณต์ ัวน้ี ว่ามวี ิธีการใชง้ านแบบไหน มปี ระโยชน์
ยังไง บทความน้เี ราจะมาอธบิ ายเพื่อให้ท่าน ไดร้ จู้ ักอุปกรณ์ชนดิ นีใ้ หม้ ากย่ิงข้ึน… อกี ทั้งยงั สามารถใช้
เพือ่ ปรับแต่งระดับสญั ญาณของเสยี ง ไมใ่ ห้เกดิ อาการไมค์หวีดหอน (Feedback) การปรับสภาพอะคู
สติกภายในห้อง หรอื ตามสถานทต่ี ่างๆ เพ่ือให้เสยี งเกิดความสมดลุ และลงตัวกบั สภาพแวดล้อม ใหไ้ ด้
มากท่สี ุด และเปน็ ตัวช่วยในการปรับเปล่ียนสสี นั ทางด้านเสียง และยงั เปน็ ตวั ช่วยในสร้างความมีสเนห่ ์
ด้านดนตรี ได้อย่างดีเยยี่ มอกี ดว้ ย… อคี วอไลเซอร์ (Equalizer) หรอื อีควิ (EQ) แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ
ดังน้ี…
1. กราฟฟคิ อคี วอไลเซอร์ (Graphic Equalizer)

อีควิ (EQ) ประเภทนถ้ี กู ออกแบบมาใหต้ ดั แบง่ ยา่ นความถีเ่ ฉพาะ ตามท่ผี อู้ อกแบบกาหนดมา
จากโรงงานโดยตรง ผ้ใู ชง้ านไมส่ ามารถปรับเลือ่ นค่ายา่ นความถ่ีไดแ้ ตอ่ ย่างไร ผใู้ ช้งานมหี นา้ ที่เพ่มิ หรือ
ลดเกน (Gain) ค่าขยายของย่านความถ่ีที่ตอ้ งการเทา่ นัน้ เอง

อคี ิว(EQ) ประเภทน้ีจึงเหมาะสาหรบั การใช้งานควบคุมการกระจายเสยี งของลาโพงเปน็ สว่ น
ใหญ่ เพ่อื ปรบั ปรงุ สภาพอะคสู ตกิ ของหอ้ ง ซึ่งนิยมนาเอาไปใช้งานในงานระบบเสยี ง PA เป็นส่วนมาก
หรือนาไปใช้ควบคมุ ลาโพงแบบ farfield ซง่ึ เปน็ ลาโพงขนาดใหญใ่ นสตดู ิโอ เพ่อื ให้ได้อะคูสตกิ เสียงที่
ถูกต้องภายในหอ้ ง เป็นตน้

อีคิว(EQ) ประเภทนี้ จะแบง่ เป็นความถ่ี ส่วนใหญ่มีประมาณ 31 ความถี่ (Band) ตัวอยา่ ง
วธิ กี ารปรับเชน่ ถ้าเราตอ้ งการความถ่ีที่ 500 Hz จะปรบั เพม่ิ หรือลดก็แลว้ แต่ เราก็ลด (cut) หรอื
เพ่มิ (boost) ทปี่ มุ่ 500 Hz. ไดเ้ ลยโดยท่คี วามถ่ขี า้ งเคยี งไมว่ า่ จะเกิน 500 Hz หรอื ตา่ กว่า 500 Hz
สญั ญาณความถี่ทีล่ ด (cut) หรือเพ่มิ (boost) จะไมเ่ ก่ยี วขอ้ ง

2. พาราเมตริกอคี วอไลเซอร์ (Parametric Equalizer)

คิว(EQ) ประเภทนถ้ี กู ออกแบบมาให้สามารถเล่ือนหายา่ นความถไี่ ด้อย่างอสิ ระ ผู้ใชง้ านเปน็ ผู้
กาหนดยา่ นความถดี่ ้วยตัวเอง อีคิว(EQ) ประเภทนจี้ ึงเหมาะสาหรับการใช้เพื่อปรบั แต่งเสยี งเฉพาะใน
แตล่ ะ channel บนมกิ เซอร์ และเป็นอคี วิ (EQ) ประจาเครื่องของมิกเซอรท์ กุ ๆย่ีหอ้ การนาไปใชง้ านอี
คิว(EQ) ประเภทน้ี เชน่ ไวใ้ ช้ปรับแต่งกบั เสยี งรอ้ งหรือเสียงเครื่องดนตรี เปน็ ตน้

อคี วิ (EQ) ประเภทน้ี วธิ ีการปรบั เหมือนกบั Graphic Equalizer เพยี งแตค่ วามถ่ขี ้างเคยี งจะ
ขยบั ข้ึนตาม ตัวอยา่ งเช่น ปรบั ความถ่ี 500 Hz.ขน้ึ ในด้านความถีส่ งู กว่า 500 Hz หรอื ตา่ กวา่ 500
Hz จะขยบั ข้ึนตามไปดว้ ยเช่นกนั อคี วอไลเซอร์ (Equalizer) มีสว่ นประกอบของค่า parameter
ตา่ งๆ ทมี่ ใี ห้ปรับในอีคิว (EQ) ท่วั ๆ ไป มดี งั ต่อไปน…้ี

Frequency คอื คา่ ความถท่ี ่จี ะปรับแตง่ เทคนิคการใช้งานจะเป้นการเลือกความถ่ใี ดความถี่
หนึ่ง ที่เราต้องการปรบั แต่งเสียง ก่อนลงมอื ทาการแตง่ เสียง

Gain คอื คา่ ความดังของเสียง เปรียบเสมือนการปรับความดัง-เบา การเพ่มิ หรือการลด การ
บทู หรือการคัท ระดับของชว่ งความถ่ที ่ีเรากาหนดค่า ของ Frequency และคา่ Q ของอคี วิ (EQ) ไว้
นั่นเอง

Q คอื ค่าทใ่ี ช้กาหนดความกวา้ งของชว่ งความถเี่ สียง เป็นการกาหนดความกว้าง ความแคบ
ของฐานความถ่จี ากกราฟในการอีควิ เช่น ใช้เพอ่ื การปรบั ในการเกล่ียย่านความถีใ่ ห้ไดค้ วามสมดลุ
ความต่อเน่ืองของย่านความถ่เี สยี ง หรอื การกาหนดค่า Q ใหแ้ คบลง เพ่ือลดเสียง หรือตัดเสยี งในย่าน
เสียงท่ไี ม่ต้องการท้ิง (ในแบบเฉพาะเจาะจงย่านความถี)่ ซง่ึ คา่ นี้กจ็ ะไปเก่ยี วข้องกับคา่ Bandwidth
ด้วย

พัฒนาการของอคี วอไลเซอรจ์ ากอดีตจนถงึ ปัจจุบัน
อีควอไลเซอร์ ทั้งสองประเภทนี้ถอื เป็นประเภทหลักในการควบคมุ เสยี ง ซึ่งในอดีตการปรบั
Equalizer ใช้ระบบ Analog โดยต้องอาศยั ผู้ชานาญในการปรับแตง่ อุปกรณ์ EQ ที่หนา้ งาน เช่น งาน
แบบ Live Sound ทตี่ ้องปรบั แต่งความถเี่ สยี งใหเ้ กิดความสมดุลกับสถานที่ หรือ งานประชมุ สัมมนา
ทีต่ ้องต้ังค่าความถ่ีเสียงให้มีความสมดุลกบั สภาพพิน้ ทภี่ ายในหอ้ งประชมุ
แต่ในปจั จบุ นั เทคโนโลยีในการปรับ Equalizer มพี ัฒนาการมากย่งิ ข้นึ จากระบบ Analog สู่
ระบบ Digital ทีย่ อ่ เครอื่ ง EQ ขนาดใหญใ่ หส้ ามารถควบคุมไดเ้ พยี งปลายน้ิว ด้วยอปุ กรณ์ Digital
Signal Processor (DSP) ซ่งึ อปุ กรณด์ งั กลา่ วสามารถใช้งานไดท้ ้ัง Parametric Equalizer และ
Graphic Equalizer รวมถงึ มีฟเี จอรอ์ น่ื ๆอกี เช่น ปรับแยกความถสี่ ัญญาณเสียง (Cross over) และ
ควบคมุ ระดบั สญั ญาณเสียง (Compressor/Expander) เปน็ ต้น
Digital Signal Processor (DSP) จุดเปล่ียนของอีควอไลเซอร์
ในอดตี การปรบั Equalizer ผู้ควบคุมตอ้ งคอยปรบั ค่าใหเ้ ปน็ ไปตามสถานการณ์ ซง่ึ สว่ นใหญ่
แลว้ ตอ้ งปรบั ตลอดการใช้งาน เพอ่ื ใหค้ ่าเสยี งสมดลุ อย่เู สมอ ไมส่ ามารถปรับหรือตั้งค่าไว้ลว่ งหนา้ ได้
แต่ Digital Signal Processor สามารถทาได้ ดว้ ยเทคโนโลยที ่เี ปรียบด่ังสมองของระบบเสยี ง ที่ชว่ ย
ใหก้ ารทางานสะดวกข้ึน ผ่านการประมวลผลของระบบ ทาให้ลดระยะเวลาในการตั้งค่าของเสยี งต่างๆ
ภายในระบบ
นอกจากจะรวมเครื่องปรบั แต่งสญั ญาณเสียงหลายชนดิ ไวใ้ นเคร่อื งเดยี วกนั แล้ว Digital
Signal Processor ยังชว่ ยประหยดั เน้อื ทใ่ี นการตดิ ตงั้ ลดอปุ กรณจ์ านวนมากในอดีตใหเ้ หลือแค่เพยี ง
DSP ในการควบคุมเสียง ทาใหส้ ามารถทางานไดใ้ นพ้ืนทจี่ ากัด
ถงึ แมว้ า่ Digital Signal Processor จะสามารถอานวยความสะดวกได้มากแค่ไหน แต่
ท้ายทส่ี ุดแลว้ ยังมีการใชง้ านบางประเภทท่ียังตอ้ งใช้ Equalizer แบบ Analog อยา่ งเชน่ การแสดง
ดนตรีสดขนาดใหญ่ ทง้ั แบบ Indoor และ Outdoor ที่ต้องปรับตามสถานการณแ์ ละสภาพพื้นท่ี
ภายในงาน

อคี วอไลเซอร์ ส้าคญั อย่างไรต่อระบบเสียง
Equalizer ถือเป็นหวั ใจสาคัญต่อระบบเสียง เน่อื งจากระบบเสียงเป็นศาสตร์ท่ีละเอยี ดอ่อน
และมอี งคป์ ระกอบมากมายท้ังย่านความถ่เี สียง ระดบั ความดังเบา ซ่งึ สิง่ เหลา่ น้ีลว้ นแลว้ แตส่ ง่ ผลตอ่
ประสทิ ธิภาพการทางานทั้งส้นิ หากขาดอปุ กรณท์ ่ีเขา้ มาควบคมุ ระบบเสียง อาจจะเกดิ ปญั หาตามมา
ไดด้ ังน้ี
ปัญหาที่อาจเกดิ หากขาด Equalizer
เกิดการตอบสนองของความถ่ี (Frequency Response) ทีไ่ ม่ไดถ้ กู ควบคุมจาก EQ ที่มาก
เกินไป จนทาให้เกดิ อาการหอน (Feedback) ของลาโพง
ขาดความสมดุลในการตอบสนองความถี่เสียงท่ีใช้ในแต่ละกิจกรรม ซ่ึงมผี ลโดยตรงต่อระดบั
ความดงั ของความถี่เสียงในแตล่ ะยา่ นความถ่ี
ทง้ั น้กี ารมี Equalizer จะชว่ ยปรับให้ระดับความดังเบาของความถีเ่ สียงในย่านต่างๆเหมาะสม
พอดกี บั งานได้ ดงั นนั้ อปุ กรณอ์ ยา่ ง Equalizer จงึ เขา้ มามบี ทบาทสาคญั ในการควบคุมเพอ่ื ให้เสียงไป
เปน็ ตามความต้องการ
สรปุ
อคี วอไลเซอร์ (Equalizer) เป็นหนึ่งในองคป์ ระกอบสาคญั ของระบบเสยี ง ทาหน้าท่คี วบคุม
คณุ ภาพของเสียงทาให้เสียงออกมาได้ตามต้องการ แตท่ ้ังนร้ี ะบบเสียงเป็นเพยี งแคส่ ่วนหนึ่งของการ
ดาเนนิ งานเท่านัน้ ยงั มอี ีกหลายปัจจยั ท่ที าให้งานออกมาสมบูรณ์ ทง้ั ระบบการนาเสนอขอ้ มูล การ
ออกแบบพน้ื ทแี่ ละเทคโนโลยีต่างๆ สิง่ เหล่านี้ต้องการการศกึ ษาความรู้และประสบการณใ์ นการ

ดาเนินงาน ซง่ึ ทาง AVL ไดร้ วบรวมความรู้ท่ีน่าสนใจใหเ้ รยี บรอ้ ยแล้ว สามารถตามอ่าน
และอปั เดทข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ AVL

บทท่ี 6

แอมปลฟิ ายเออร์ (Amplifier)
หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่าแอมป์ (Amp.) คือ อุปกรณ์ที่ส่วนใหญ่ทาการเปลี่ยนหรือเพ่ิม

กวา้ งของคลนื่ เสยี งซึ่งก็คือความดังของสญั ญาณให้มากขน้ึ
ความสัมพันธข์ องภาคสัญญาณขาเข้า (Input) ไปยังสัญญาณขาออก (Output) ของแอมป์

จึงมักอธิบายว่าเป็นหน้าที่ในการจัดการความถ่ีขาเข้า (Input frequency) ซึ่งคือหน้าท่ีในการเปล่ียน
ผ่าน (transfer function) ของแอมป์ และความกว้างหรืออัตราขยายของหน้าที่น้ีถูกเรียกว่า เกน
(gain) ซ่ึงโดยทั่วไปอาจหมายความถึง เครื่องขยายอีเล็กทรอนิก (Electronic amplifier) ที่สัญญาณ
ขาเข้า (Input signal) มักจะเป็นแรงดันหรือกระแส (Voltage or a current) ในการใช้งานด้านเสียง
แอมป์จะเป็นตัวขับลาโพง (loudspeakers) ท่ีใช้ในระบบขยายพลังเสียง(PA systems) เพื่อทาให้
เสียงพูดดังข้ึน หรือเล่นดนตรีท่ีอัดไว้ แอมป์อาจจัดกลุ่มตาม แหล่งกาเนิดสัญญาณ (Source) ที่ได้
ออกแบบใหข้ ยาย เช่นแอมป์กีตาร์ สาหรับกีตาร์ไฟฟ้า, ตามอุปกรณ์ท่ีใช้ขับ เช่นแอมป์หูฟัง, ตามย่าน
ความถี่ของสัญญาณ เช่น (Audio, IF, RF) และ VHF แอมป์เป็นต้น, หรือไม่ว่าจะตามการป้อนกลับ
สัญญาณ (inverting amplifiers) และ (Non-inverting amplifiers) หรือตามชนิดอุปกรณ์ที่ใช้ใน
ภาคขยาย เช่น แอมปห์ ลอด (Valve or Tube amplifiers) แอมปเ์ ฟ็ท (FET amplifiers) และอ่นื ๆ

คุณภาพของแอมป์ สามารถจัดคุณลักษณะ (Characterized) ได้ตามข้อกาหนด
(Specifications) ต่างๆ ซึงต้องอาศัยความรู้ทาง อีเล็กทรอนิก และ ทฤษฎีคล่ืนเสียง พอสมควร ใน
บทความนจี้ ะอธิบายค่าหลักๆท่ีจาเป็นต้องรดู้ งั ต่อไปนี้

เกน Gain
ค่าเกน ของแอมป์ คืออัตราส่วน (Ratio) ของกาลัง หรือความกว้างสัญญาณ ขาออก ต่อ

ขาเข้า ซง่ึ มักใช้ค่า เดซเิ บล (Decibels) เปน็ หน่วยวัด เม่อื ใช้ค่าเดซิเบลจะเปน็ การวัดแบบ ลอกการิทึม
(logarithmically) โดยเกย่ี วพันกับอตั รากาลัง Power ratio: G(dB)=10 log(Pout /(Pin))

เกน ของเครื่องขยายเสียง (Audio amplifiers) ส่วนใหญ่จึงถูกกาหนดด้วยแรงดันไฟฟ้า
(Voltage) ซึ่งค่าความต้านทานขาเข้า (Input impedance) ของแอมป์มักถูกกาหนดให้สูงกว่าความ
ต้านทานของแหล่งสัญญาณเข้า (Source impedance) และความต้านทานภาระ (load
impedance) จะต้องสูงกว่าความต้านทานขาออกของแอมป์ (Amplifier's output impedance)

ตวั อยา่ ง: เครอื่ งขยายเสียงท่ีให้ เกน 20 dB จะมี เกนแรงดนั voltage gain คือ 10
ช่วงความถี่ Bandwidth

ค่า แบนวิดช์ คือช่วงของความถ่ีสาหรับ แอมป์ซ่ึงให้ "ความพึงพอใจในสมรรถนะ
Satisfactory performance)" ซึง่ ความพึงพอใจอาจแตกตา่ งไปตามการประยุกตใ์ ช้งานต่างๆ

อยา่ งไรก็ตาม มาตรวัดโดยทั่วไปและยอมรับได้ คือ จุดครง่ึ กาลัง (Half power points) ซ่ึง
ก็คือความถี่ ขณะที่กาลังขยายลดลงจากค่าสูงสุดครึ่งหนึ่งบนการผลิต คู่กับ ส่วนโค้งของความถี่
(frequency curve)เพราะฉะน้ันจึงสามารถกาหนด เป็นค่าความแตกต่างระหว่าง ด้านบนและ
ด้านล่างของจุดครึ่งกาลัง หรืออาจรู้จักกันว่าคือช่วงความถี่ −3 dB Bandwidth หรือ ช่วงความถี่
อาจเรียกว่า การตอบสนองความถ่ี (Frequency responses) ในบางคร้ังอาจมีการอ้างถึง ความ
ทนทานในการตอบสนองอ่ืนๆเช่น (−1 dB, −6 dB) หรือ "บวกลบ (Plus or minus) 1dB" ซึ่งเป็น
การกะครา่ วๆจากการท่แี ตล่ ะคนสามารถตรวจพบไดต้ า่ งกัน หรือไดย้ ินไม่เท่ากนั นน่ั เอง

เครือ่ งขยายเสยี งแอมปลิฟายเออร(์ Amplifier)

เคร่ืองขยายเสียง หรือเครือ่ งขยาย สัญญาณเสียง โดยคาว่าเคร่ืองขยายสัญญาณเสียง แอมปลิ
ฟายเออร์ (Amplifier) หรืออาจเรียกว่า เพาเวอร์แอมปลิฟายเออร์ (Power Amplifier) นั้น เป็นวงจร
เคร่ือง หรืออุปกรณ์ทางระบบไฟฟ้า ที่ใช้ทาหน้าที่ ขยาย สัญญาณเสียง ขนาดเล็ก ให้มีขนาด
สัญญาณเสียงทีส่ ูงขนึ้ หรือความดังมากข้ึน โดยตามอุดมคติ จะต้องขยายเสียงแล้วให้เสียงเหมือนจริง
แต่มีความดังมากขึ้นน่ันเอง โดยเครื่องขยายเสียง,เครื่องขยายสัญญาณเสียง หรือ เพาเวอร์แอมปลิ
ฟายเออร์ (Power Amplifier) นั้นมีหลักการข้ันพื้นฐานมาจากการใช้ ทรานซิสเตอร์
(Transistor)TR.หรือสารก่ึงตัวนา ชนิดอื่นๆ หรือ หลอดสูญญากาศ (Vacum tube) มาเป็นตัวทา
หน้าที่ขยายสัญญาณเสียงเล็กๆให้ ดังมากขึ้น โดยในที่น้ีจะขออธิบายพ้ืนฐานการขยายโดยใช้
ทรานซิสเตอร์ (Transistor)TR. โดยการป้อนสัญญาณเข้าขั้วบี B ของ ทรานซิสเตอร์ (Transistor)
และจะได้สัญญาณออกทางขั้วซี C เป็นสัญญาณที่มีขนาดสูงขึ้น และนี่ก็คือแนวคิดในการประยุกต์
สาหรับการออกแบบสร้างเคร่ืองขยายเสียงหลากหลายรูปแบบ โดยเอาอุปกรณ์ อาร์ ซี R และอ่ืนๆ
หลายอยา่ ง และคุณลักษณะ คณุ สมบัติ ที่ต่างกันมาประยุคต์ สร้างเคร่อื งขยายเสียง ตอ่ ไป

ชนดิ ของเครอ่ื งขยายเสียงหรือเครื่องขยายสัญญาณเสยี ง
1.แบง่ แยกตามวสั ดอุ ุปกรณ์ท่ใี ช้ในการทาสร้างวงจรภาคขยายเสยี ง
1.1 แอมป์หลอดสูญญากาศ (Vacum Tube) เป็นเคร่ืองขยายเสียงยุคแรกๆที่ใช้หลอด
สูญญากาศ (Vacum Tube)ทาหน้าที่ขยายกาลังหลังของภาคขยายเสียง และยังคงมีใช้อยู่ในกลุ่มผู้
หลงไหลในคุณภาพของเสียง และเอกลักษณ์ ท่ีดี ชัดเจน และชอบรูปแบบหลอดสูญญากาศ(Vacum
Tube) แตข่ อ้ เสียคอื กนิ กาลงั ไฟา้ สงู มากเมื่อเทียบกับ เคร่ืองขยายเสียง แอมปลิฟายเออร์ (Amplifier)
ชนิดอื่นๆ

1.2 แอมป์ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นเคร่ืองขยายเสียง่ท่ีใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor)ทาหน้าที่
ขยายกาลังหลักของภาคขยายเสียง ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เน่ืองจากการออกแบบวงจรได้
หลากหลายรูปแบบ จนพัฒนาให้มีคุณภาพเสียงที่ดี อัตตราขยายเสียงสูงความผิดเพี้ยนต่า สามารถหาอุปกรณ์
ซอ่ มแซมได้ไม่ ยาก

1.3 แอมป์ มอสเฟส (MOSFET ,FET)เป็นเคร่ืองขยายเสียงท่่ีใช้มอสเฟส (MOSFET ,FET)ทา
หนา้ ท่ขี ยายกาลงั หลักของภาคขยายเสียง ในยุคหลังจาก แอมป์หลอดสูญญากาศ (Vacum Tube) ใน
การพัฒนาเครื่องขยายเสียงได้มีการนาสารก่ึงตัวนามาใช้ในการทา สร้างวงจรขยายเสียง โดยพระเอก
หลักท่ีเป็นท่ีรู้จัก กันคือ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) และมอสเฟส (MOSFET ,FET) แต่สาหรับชาว
อิเล็กทรอนิกส์ หรือผู้คลั่งไคล้ หลงไหล ในการ ออกแบบ สร้าง ประดิษฐ์ วงจรเครื่องขยายเสียง จะ
ทราบดีว่าในขณะน้ัน เครื่องขยายเสียงท่ีออกแบบด้วย มอสเฟส (MOSFET ,FET) ให้คุณภาพเสียงท่ี
อ่ิม หนักแน่น มีเนื้อ กว่าการใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor) และราคาก็ย่อมสูงกว่าตามไปด้วย ซึ่ง
ต่อมาตลาดของแอมป์ทรานซิสเตอร์ (Transistor)ก็กลับมาแย่งชิงตลาดกลับคืน ด้วยเทคโนโลยีการ
ออกแบบท่ีดขี นึ้ แต่เคร่ืองขยายเสียงมอสเฟส (MOSFET ,FET) กย็ งั คงอย่ใู นใจใครบางคนตอ่ ไป

1.4 แอมป์ท่ีใช้วงจรรวม (Integrated circuit) หรือเรียกย่อๆว่า ไอ ซี (IC.)เป็นเครื่องขยาย
เสียง่ที่ใช้ วงจรรวม (Integrated circuit)ทาหน้าท่ีขยายกาลังหลักของภาคขยายเสียง โดยอาศัย
หลักการ รวมสารก่ึงตัวนาของอุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) หรือมอสเฟส (MOSFET ,FET)
บวกอุปกรณ์ R, L ,C และอื่นๆ รวมกันให้เล็กลง อยู่ บน ตัวอุปกรณ์ ตัวเดียวที่มีหลายขาและเรียกว่า
(Integrated circuit) หรือเรียกยอ่ ๆว่า ไอ ซี (IC.) นนั่ เอง ขอ้ ดีคือ มีขนาดเล็ก ความผิดเพี้ยนน้อยเมื่อ
ใช้ในอุณหภูมิตาม Spec กาหนด ให้คุณภาพเสียงดี เหมาะกับเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีมีขนาดเล็ก ไม่เปลือง
พน้ื ที่ ราคาถกู ข้อเสียหากมีการออกแบอุปกรณ์ต่อพ่วง IC. ท่ีไม่ดี ทาให้ความร้อนขณะใช้งานสูง และ
ความผิดเพ้ียนสูงข้ึนได้ อีกท้ังกรณี IC. เสีย ต้องเปล่ียน IC ซ่ึงเป็นตัวหลัก ตัวเดียว ซึ่งค่า ซ่อม จะสูง
มาก ถึง 70 -80 % ราคาเครอื่ งท่ีซือ้ มา ไมค่ ุม้ ซอ่ ม แต่ถา้ ใชใ้ นอุปกรณ์อื่น ท่ีไม่ใช่เครื่องขยายเสียง มัน
ก็ไม่ไชอ่ ุปกรณ์หลกั เมอ่ื เทยี บกบั อุปกรณอ์ ่นื ๆ ดงั นน้ั ก็จะมองวา่ ไม่แพง

บทท่ี 6

เสียงสเตอรโิ อ
ระบบเสียงภายในบ้านหรือส่วนตัวสร้างเสยี ง stereophonic โดยการส่งสญั ญาณอิสระสอง
สญั ญาณผ่านสองช่องทางแยกเปน็ คูข่ องลาโพง ระบบสเตอริโอทีใ่ ช้ดที ่ีสุดในการจาลองความรู้สกึ ของ
การฟังวงดนตรีหรือวงออเคสตราทีม่ กี ารแสดงสด ในขณะทสี่ ญั ญาณอสิ ระเน้นเสียงเคร่อื งดนตรหี รือ
เสียงที่แตกต่างกนั ในชอ่ งทางดา้ นขวาและซา้ ยเสียงสเตอรโิ อจะถกู พิจารณาว่ามีความ "ลกึ " มากกว่า
สร้างเสียงของเคร่ืองดนตรีแตล่ ะชนิดทอ่ี ยูใ่ นพืน้ ที่ตา่ ง ๆ เพื่อประสบการณท์ ่ดี ีที่สดุ ผ้ฟู ังจะตอ้ งวาง
ตัวเองตรงกลางลาโพงท้งั สองซงึ่ สร้างความรู้สึกที่เรียกวา่ "ภาพเสยี ง" โดยผูฟ้ งั บางคน
เสยี งโมโน
เครอ่ื งขยายเสยี งใหเ้ สียงแบบโมโนโฟนกิ หรอื "โมโน" โดยการสง่ สัญญาณช่องสัญญาณเดียวไป
ยังลาโพงหนึ่งตัวหรือมากกวา่ - แม้ว่าจะใชล้ าโพงสองตัวสญั ญาณโมโนจะสรา้ งระดับเสยี งท่ีเหมือนกัน
ในลาโพงแต่ละตวั ดงั นั้นโมโนจงึ ไมม่ คี วามรูส้ กึ ถงึ ความลกึ หรอื ตาแหนง่ ทแ่ี ตกตา่ งจากลาโพงสเตอริโอ
แม้ผา่ นชุดหูฟังเสยี งโมโนโฟนิคจะสร้าง "กลมุ่ " เพลงเดยี วโดยไมม่ คี วามรูส้ กึ ของการถา่ ยภาพเสียง
ขอ้ ดขี องระบบเสยี งสเตอรโิ อ
ตั้งแต่สเตอรโิ อกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานสาหรับเพลงที่บนั ทกึ ในชว่ งปลายทศวรรษ 1960
ระบบเสียงภายในบ้านและหูฟังส่วนใหญใ่ ชร้ ะบบขยายเสียงสเตอริโอ สเตอริโอยงั เป็นมาตรฐาน
สาหรบั ระบบ PA สว่ นใหญ่ในคอนเสิร์ตฮอลล์เนอ่ื งจากความสามารถในการจาลองการแยกทาง
กายภาพของเคร่อื งมอื บนเวที ตามประวัติโดยย่อของ Wayne Wadham "สตูดโิ อบันทกึ Multitrack"
วิทยุ FM ออกอากาศในระบบสเตอรโิ อและเกือบทกุ เพลงทบ่ี นั ทกึ ไว้ตง้ั แต่ต้นยคุ 70 ไดร้ บั การบันทกึ
และผสมกับเสยี งสเตอริโอในใจ

ขอ้ ดขี อง Mono Sound
ในขณะทส่ี เตอรโิ อเปน็ ระบบเสียงทใี่ ชก้ นั มากท่ีสดุ แต่กม็ ีข้อดบี างประการทีแ่ ตกต่างกนั
สาหรบั เสยี งโมโนในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเชน่ นกั ดนตรเี ชน่ Beatles จะมุง่ เน้นไปท่เี พลงโมโนของ
เพลงมากกว่าเพลงสเตอริโอเนอื่ งจากสถานีวทิ ยุ AM ตอ้ งการเสียงของโมโนสาหรบั เพลงฮติ สเตอรโิ อ
ได้รับการพิจารณาว่าเปน็ เทคโนโลยีใหม่และโดยท่ัวไปแล้วนกั ดนตรีรอ็ คยคุ แรกจานวนมากจงึ ไม่สนใจ
เนอื่ งจากนกั แสดงต้งั ใจทจี่ ะฟังเพลงของพวกเขาในรูปแบบโมโนการบนั ทึกก่อนหนา้ นี้สามารถให้เสียง
ที่ทรงพลงั และมพี ลังในแบบโมโน นอกจากนีโ้ มโนยังเป็นรปู แบบทด่ี กี ว่าสาหรับการกล่าวสุนทรพจน์ใน
ทส่ี าธารณะซงึ่ ความชัดเจนของเสยี งทขี่ ยายเพียงครั้งเดียวคอื จุดสาคญั ของการผสมผสานเสยี ง
คา้ แนะน้าส้าหรับผู้บรโิ ภคและชา่ งเทคนิค
ทุกวนั น้ี บริษทั อุปกรณ์เครอ่ื งเสยี งไมค่ ่อยผลติ ระบบเสียงโมโนเพอ่ื ให้มั่นใจวา่ ต้นทนุ เฉลีย่ ของ
ระบบสเตอริโอนั้นตา่ กวา่ มาก ดังน้ันผู้บริโภคที่ซื้อระบบเสยี งภายในบา้ นควรซ้ือแอมพลิฟายเออร์สเตอ
ริโอและลาโพง อย่างไรก็ตามเมื่อคุณซอื้ เพลงท่ีเก่ากว่าเชน่ Beatles คณุ อาจต้องการหาเวอร์ชั่นโมโน
เมอื่ ใดกต็ ามท่ีเป็นไปได้ สาหรบั เสยี งสดชา่ งเทคนิคดา้ นเสียงควรใช้สเตอริโอสาหรบั การแสดงดนตรี
และโมโนสาหรบั การกล่าวสุนทรพจน์หรือการอภิปราย
Mono - Stereo Audio Channel
บทความนี้เหมาะสาหรับผู้เร่มิ ตน้ อยากทจี่ ะเขา้ ใจความหมายของช่องเสยี งแบบโมโนและสเต
อริโอ ซึงถ้าเขา้ ใจแล้วจะใหเ้ ราเขา้ ใจระบบเสียงมากยงิ่ ขึน้ และไม่สบั สน
Audio Channel (ช่องเสียง)
Channel คือช่องหรือชุดวงจร ของระบบเสียงท่ีใช้ในการสง่ สัญญาณเสียงจากต้นทางไปยงั
ปลายทาง เช่น

- แอมป์ 2 Channel ก็คอื มี 2 ชอ่ งแยกจากกัน จากการมองดว้ ยสายตาเราก็จะเรยี กตาม
ตาแหน่งการจดั วาง คือ Ch 1 = Left (ซา้ ย) - Ch 2 = Right (ขวา) เป็นตน้

- ไมคโ์ ครโฟน Shure รนุ่ SM58 สง่ สญั ญาณเสยี งออกมา 1 Channel
- ไมคโ์ ครโฟน RODE รนุ่ NT4 ส่งสญั ญาณเสียงออกมาเป็น 2 Channel (Stereo X/Y
condenser microphone)
- กีตา้ รไ์ ฟฟ้า Fender American Standard สง่ สัญญาณเสียงออกมา 1 Channel
จากตวั อยา่ ง น่าจะพอให้เหน็ ภาพนะครับ
MONO (โมโน)
คาศพั ท์ Mono (โมโน) มคี วามหมายวา่ หนึ่ง ในที่น้ีกห็ มายถึง สัญญาณเสยี ง 1 channel
(ช่อง) เช่น
- ไมค์โครโฟน Shure รนุ่ SM58 สง่ สญั ญาณเสียงออกมา 1 Channel กค็ อื เป็นเสียงแบบโม
โน
- กีต้าร์ไฟฟา้ Fender American Standard สง่ สัญญาณเสยี งออกมา 1 Channel กค็ อื เปน็
เสยี งแบบโมโน

ถ้าตอ่ ระบบเสยี งดังภาพก็จะได้ระบบเสยี งแบบโมโน คือระบบเสียงท่ีมีเพยี ง 1 channel (ชอ่ ง)
STEREO (สเตอรโิ อ)
Stereo คือระบบเสียงท่มี ี 2 channel (ช่อง) นั่นเอง แตล่ ะ channel และจะถกู เรยี กตาม
การจดั วาง ลองนกึ ถึงชุดโฮมเธยี เตอร์ ดงั นี้
- ลาโพงคู่หนา้ กจ็ ะมี 2 channel คือ 1) Left (ซา้ ย) 2) Right (ขวา)
- ลาโพงคู่หลงั หรือ surround ก็จะมี 2 channel คือ 1) Left (ซา้ ย) 2) Right (ขวา)
- ลาโพง Center จะมีเพียง 1 ตัว นน่ั คือ โมโน เพราะมีเพียง 1 channel

ถ้าตอ่ ระบบเสียงดังภาพก็จะไดร้ ะบบเสียงแบบสเตอรโิ อ (เพราะมี 2 channel) แต่ source (ตน้
กาเนิดเสยี ง) เปน็ Mono ซงึ่ Mixer จะนาเอาสญั ญาณเสยี งจาก source นไ้ี ปสง่ ออกท้ัง 2 channel
สามารถเรียกอกี อย่างหนึ่งวา่ Dual Mono ก็ไดค้ รบั เพราะเสียงทีอ่ อกลาโพงท้ัง L และ R น้นั คือ
สัญญาณเดียวกัน และเหมอื นกนั ทกุ ประการ

ถ้าตอ่ ระบบเสียงดังภาพก็จะไดร้ ะบบเสียงแบบสเตอริโอ (เพราะมี 2 channel) และ source เป็นสเต
อรโิ อด้วย ซ่ึง Mixer จะนาเอาสัญญาณเสียงจาก source น้ีไปสง่ ออกทงั้ 2 channel โดยแยกอสิ ระ
จากกนั (L,R)

อา่ นมาถงึ ตรงนี้นา่ จะพอเข้าใจแลว้ ใช่ไหมครับ วา่ Mono กับ Stereo นนั้ คอื จานวน channel ของ
เสยี งนั่นเอง

- Mono = 1 channel

- Stereo = 2 channel หรือ 2 Mono

- แต่ถา้ Source เปน็ Mono เอามาเข้าระบบเสียง Stereo แล้วปลอ่ ยออกไปทง้ั 2 channel และ
เสยี งออกมาเหมือนกันทกุ ประการ กส็ ามารถเรียกไดว้ า่ Dual Mono (โมโน 2 ช่อง หรอื มติ ิเสยี งแบบ
โมโน)

กจิ กรรม



























แบบทดสอบหลังเรยี น

คาช้ีแจง ให้นักเรียนทาเครื่องหมาย X ข้อที่ถูกทีส่ ดุ ลงในกระดาษคาตอบ

ตอนที่ 1 เรอ่ื ง อคี วอไลเซอร์

1.อีควอไลเซอร์ทาหน้าทอ่ี ะไร

ก. เพมิ่ เสยี ง ข. เน้นเสียง

ค. ปรบั รายละเอียดเสียง ง. ปรับเสียงแหลม

2.วงจรอคี วอไลเซอรม์ กี ารทางานคล้ายกบั วงจรใด

ก. วงจรปรีแอมป์ ข. วงจรโทนคอนโทรล

ค. วงจรขยายกาลัง ง. วงจรปรับเสียง

3.ข้อใดหมายถงึ ระยะห่างของความถี่ขนาด 1 ออกเตฟ

ก. 20–100 เฮิรตซ์ ข. 100–1,000 เฮิรตซ์

ค. 200–400 เฮริ ตซ์ ง. 200–4,000 เฮิรตซ์

4. อคี วอไลเซอรท์ ีน่ ามาใช้งานท่วั ไปมีอยู่ด้วยกันกแ่ี บบ

ก. 1 แบบ ข. 2 แบบ ค. 3 แบบ ง. 4 แบบ

5. อีควอไลเซอร์แบบใดท่เี ห็นใชง้ านท่ัวไป

ก. แบบปรบั เสียง ข. แบบปรับหลายชอ่ ง

ค. แบบกราฟฟิก ง. แบบพาราเมตริก

6. อคี วอไลเซอรแ์ บบใดท่ีเหน็ ใชง้ านกบั เครื่องเสียงรถยนต์

ก. แบบปรับละเอียด ข. แบบปรับสองขา้ ง

ค. แบบปรับข้นึ –ลง ง. แบบพาราเมตรกิ

7. การปรับ Flat มีความหมายเหมอื นในข้อใด

ก. ปรบั เพิ่มเสียง ข. ปรบั ลดเสยี ง

ค. ปรับลดทอนเสียง ง. ไมม่ กี ารปรบั แต่ง

8.อีควอไลเซอรน์ ยิ มนาไปใชง้ านกับระบบเสียงในบ้านมขี นาดเท่าไร

ก. 10 ช่อง/แชนเนล ข. 15 ชอ่ ง/แชนเนล

ค. 20 ชอ่ ง/แชนเนล ง. 30 ชอ่ ง/แชนเนล

9. อคี วอไลเซอร์นิยมนาไปใชง้ านในระบบเสียงกลางแจ้งมีขนาดเท่าไร

ก. 1 ออกเตฟ ข. 1/3 ออกเตฟ ค. 2 ออกเตฟ ง. 2/3 ออกเตฟ

10. วงจรแทรปในอีควอไลเซอรม์ หี ลักการทางานอยา่ งไร

ก. ขยายความถ่ีเดยี ว ข. ปรบั ได้หลายความถ่ี

ค. ตดั ความถ่ีเรโซแนนซท์ ง้ิ ง. ตัดเสียงรบกวนทิ้ง

11. วงจรขยายความถ่ใี นอีควอไลเซอร์นยิ มใช้วงจรแบบใด

ก. วงจรทรานซสิ เตอร์ ข. วงจรไอซี

ค. วงจรไจเรเตอร์ ง. วงจรปรับเสยี ง

12.ปรีแอมปอ์ ยู่สว่ นใดของเครอื่ งขยายเสียง

ก. สว่ นปรับเสียง ข. สว่ นขยายกาลงั

ค. ส่วนอนิ พุต ง. ส่วนเอาต์พตุ

13. อนิ พุตของปรีแอมป์ใดทเี่ รียกว่าชอ่ งสารอง

ก. Monitor ข. Auxiliary ค. Phone ง. Tuner

14. ปรแี อมปข์ ยายสัญญาณจากหัวเทปจะตอ้ งมีคณุ สมบตั อิ ย่างไร

ก. สัญญาณรบกวนต่า ข. อตั ราขยายสูงมาก

ค. ปรับเสียงได้ดี ง. ขยายความถ่ไี ดด้ ี

15. วงจรปรีแอมป์ของเครื่องเลน่ แผ่นเสียงติดต้ังไวต้ าแหนง่ ใด

ก. ในเครือ่ งเลน่ แผน่ เสียง ข. ในเครื่องปรแี อมป์

ค. ในเครอื่ งโทนคอนโทรล ง. ในเครอื่ งขยายกาลงั

16. สญั ญาณชนิดใดที่ต้องผา่ นภาคปรีแอมปลฟิ ายเออร์

ก. จูนเนอร์ ข. ไมโครโฟน

ค. เทปเดค็ ง. ซดี ี

17. สัญญาณชนิดใดท่ีไมต่ อ้ งผา่ นภาคปรแี อมปลฟิ ายเออร์

ก. ซีดี ข. กีตาร์ ค. หัวเทป ง. โฟโน

18. จูนเนอร์ชนิดทกี่ ดค้นหาสถานแี บบอตั โนมัติเรียกวา่ อะไร

ก. สแกนหาคล่ืน ข. แบบค้นหา

ค. ซนิ ธิไซเซอร์ ง. แบบอตั โนมตั ิ

19. จนู เนอร์มีความหมายตรงกับขอ้ ใด

ก. เครอื่ งกาเนดิ เสียงเพลง ข. เคร่ืองรับเสียง

ค. เครอื่ งกรองเสียง ง. เคร่อื งรับวิทยุเอเอม็ –เอฟเอ็ม

20. เคร่อื งเลน่ ซีดีอา่ นขอ้ มลู ในระบบใด

ก. ระบบสแกนหาขอ้ มลู ข. ระบบคน้ หา

ค. ระบบดจิ ิตอล ง. ระบบแอนะลอ๊ ก

ตอนท่ี 2 เรอ่ื ง เครอื่ งขยายเสียงระบะโมโน ระบบสเตอรโิ อ

21. ข้อใดบ่งบอกเคร่ืองขยายเสียงระบบโมโน

ก. แยกเสยี งได้ ข .มหี นงึ่ สญั ญาณเสยี ง

ค. มีภาคขยายเสยี งข้างเดียว ง. มีภาคขยายสองข้าง

22. ขอ้ ใดเรียกว่าเครื่องขยายเสียงระบบโมโน

ก. Power Mixer ข. Integrated Amplifier

ค. Power Amplifier ง. A/V Receiver

23. วงจรปรีไมโครโฟนระบบโมโนมขี ้อสงั เกตอย่างไร

ก. แยกเสียงซา้ ย–ขวา ข. มชี อ่ งเสียบไมค์ตัวเดียว

ค. มีสัญญาณเอาตพ์ ุตเดียว ง. มสี ัญญาณเอาต์พุตหลายจดุ

24. โวลลมุ่ ปรับเสยี งในโทนคอนโทรลระบบโมโนมีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร

ก. มสี องชน้ั ข. มีชน้ั เดียว

ค. เป็นแบบหมุน ง. เป็นแบบเลอ่ื น

25. ขอ้ ใดหมายถึงโวลลมุ่ ปรบั ความแรงของสญั ญาณเสยี ง

ก. Level ข. Bass

ค. Treble ง. Amplitude

26. ป่มุ ปรบั Master ของเคร่ืองเพาเวอร์มกิ เซอรท์ าหน้าทอี่ ะไร

ก. ควบเสยี งแต่ละแชนเนล ข. ควบคมุ สญั ญาณเสียงทั้งหมด

ค. ควบคมุ แรงดัน ง. ควบคุมไฟวงิ่

27. วงจรขยายกาลงั เครอ่ื งเสียงระบบโมโนมีข้อสงั เกตอย่างไร

ก. แยกเสียงซา้ ย–ขวา ข. มีชอ่ งเสยี บลาโพงตัวเดียว

ค. มีภาคขยายซีกเดียว ง. มีภาคขยายสองข้าง

28. แหล่งจ่ายไฟแบบควบคมุ แรงดันนาไปจา่ ยให้กบั ภาคใดของเครือ่ งเสียงระบบโมโน

ก. ภาคเพาเวอร์แอมป์ ข. ภาคปรแี อมป์

ค. ภาคไฟว่งิ ง. ภาคป้องกันลาโพง

29. อุปกรณ์ตวั ใดทที่ าหน้าทล่ี ดแรงดนั ไฟสลบั ในแหล่งจา่ ยไฟ

ก. รซี สิ เตอร์ ข. คาปาซิเตอร์

ค. ไดโอด ง. หม้อแปลง

30. จุดตอ่ ลาโพงฮอร์นกบั เครอ่ื งขยายเสยี งเสียงโมโนมอี ปุ กรณใ์ ดค่ันอยู่

ก. รีซสิ เตอร์ ข. คาปาซเิ ตอร์

ค. ไดโอด ง. ทรานซสิ เตอร์

31. เครอ่ื งเสียงระบบสเตอริโอมีวงจรขยายเสียงทัง้ หมดก่ชี ดุ

ก. 1 ชดุ ข. 2 ชดุ ค. 3 ชุด ง. 4 ชดุ

32. อนิ พตุ ของระบบเสียงสเตอรโิ อจะตอ้ งมสี ญั ลักษณ์ใดเปน็ ตัวกาหนด

ก. ขว้ั บวก–ลบ ข. อนิ พุต/เอาต์พตุ

ค. แชนเนล L, R ง. สวติ ช์เลือกสัญญาณ

33. สวติ ชเ์ ลือกอนิ พตุ ของระบบเสียงสเตอริโอทาหน้าทีอ่ ะไร

ก. เลือกอนิ พุตเพียงสญั ญาณเดยี ว ข. เลือกอนิ พตุ พรอ้ มกันหลายตวั

ค. เลอื กสญั ญาณสองข้าง ง. เลือกสญั ญาณขา้ งเดยี ว

34. ขอ้ ใดเป็นการวางลาโพงระบบสเตอริโอทถ่ี กู ตอ้ ง

ก. วางลาโพงรวมกัน ข. แบบหลายจดุ

ค. วางชิดผนัง ง. ลาโพงซ้าย–ขวาแยกจากกัน

35. ตาแหนง่ การวางลาโพงระบบสเตอรโิ อแบบใดให้เสยี งดที ่สี ดุ

ก. แบบแยกขา้ ง ข. แบบสลับหนา้ –หลัง

ค. แบบชิดผนงั ง. แบบสามเหลี่ยมด้านเท่า

36. ข้อใดเกดิ จากการวางลาโพงระบบสเตอรโิ อแบบมมุ เอียง

ก. แยกขา้ งไดด้ ี ข. จุดรบั ฟงั เปล่ียนไป

ค. เสียงทมุ้ ดขี ึน้ ง. เสียงแหลมดีขนึ้

37. ขอ้ ใดเกดิ จากการวางลาโพงแบบหลายจดุ

ก. แยกเสยี งได้ดขี ้นึ ข. รบั ฟังได้ชัดขึ้น

ค. ไดเ้ สียงรอบทศิ ทาง ง. ได้เสียงดังขึน้

38. ระบบโฮมเธยี เตอร์สเตอริโอถอดรหัสออกมาทงั้ หมดกแ่ี ชนเนล

ก. 2.1 แชนเนล ข. 3.1 แชนเนล

ค. 4.1 แชนเนล ง. 5.1 แชนเนล

39. การเช่ือมโยงสายสัญญาณระบบสเตอริโอจะต้องคานึงถึงอะไรบ้าง

ก. ข้ัวบวกลบ ข. แยกสาย L, R ใหช้ ดั เจน

ค. การตอ่ สาย ง. การม้วนสาย

40. การตอ่ ระบบเสียงท่ีใช้เครอ่ื งขยายเสียงเพียงเคร่ืองเดยี วเรยี กวา่ การต่อแบบใด

ก. แบบซิงเกิลแอมป์ ข. แบบไบแอมป์

ค. แบบไตรแอมป์ ง. แบบไบไวร์


Click to View FlipBook Version