The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้เทคนิคการสอนคิดเลขเร็วแบบอินเดีย (เวทคณิต) เรื่องการหารที่มีผลต่อความสามารถการคิดคำานวณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลภูเก็ต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อนุบาลภูเก็ต Abpk, 2022-11-03 20:24:23

การใช้เทคนิคการสอนคิดเลขเร็วแบบอินเดีย (เวทคณิต) เรื่องการหารที่มีผลต่อความสามารถการคิดคำานวณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลภูเก็ต

การใช้เทคนิคการสอนคิดเลขเร็วแบบอินเดีย (เวทคณิต) เรื่องการหารที่มีผลต่อความสามารถการคิดคำานวณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลภูเก็ต

วิจยั ในช้ันเรยี น

เร่ือง การใชเ้ ทคนคิ การสอนคดิ เลขเรว็ แบบอินเดีย (เวทคณิต)

เร่อื งการหารที่มผี ลตอ่ ความสามารถการคิดคานวณ
ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนอนบุ าลภูเกต็

โดย

นางสาวมณีรัตน์ อารรี าษฎร์
โรงเรียนอนุบาลภเู ก็ต

สานักงานเขตพนื้ ทป่ี ระถมศึกษาภเู ก็ต

ชื่อหัวข้อวิจัย การใชเ้ ทคนคิ การสอนคดิ เลขเรว็ แบบอนิ เดีย (เวทคณติ ) เรื่องการหารท่ีมีผลต่อ
ความสามารถการคิดคานวณ ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นอนบุ าลภูเก็ต

1. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิด

อย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถ่ีถ้วนรอบคอบ ช่วยให้
คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้
คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมี
ประโยชนต์ อ่ การดาเนินชวี ติ ชว่ ยพัฒนาคุณภาพชวี ติ ให้ดีข้นึ และสามารถอยู่รว่ มกับผู้อ่ืนไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข

จากสภาพความเป็นจริงในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ยังไม่ประสบความสาเร็จ
เท่าที่ควร โดยเฉพาะทักษะการคิดคานวณ ซ่ึงเป็นทักษะพื้นฐานท่ีสาคัญในการเรียนคณิตศาสตร์ให้ประสบ
ผลสาเรจ็ และนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน จากการสงั เกตการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน พบว่านักเรียนมี
ปัญหาในการคิดคานวณ โดยเฉพาะการหาร นักเรียนจะมีปัญหาในเร่ืองการท่องสูตรคูณ และการต้ังหาร
กล่าวคือ นักเรียนจะท่องสูตรคูณตั้งแต่แม่ 9 ถึง แม่ 12 ไม่คล่อง สับสนระหว่างตัวตั้งและตัวหาร และคิด
คานวณได้ช้า จงึ แสวงหาแนวทางใหม่ๆ นน้ั คือการคูณตามเวทคณติ

เวทคณิต มีความหมายว่า ความรู้แห่งการคานวณ เป็นการคิดเลขเร็วของอินเดียท่ีประกอบด้วย 16
สูตร ทเี่ กี่ยวกับการบวก ลบ คูณ และหาร ซึ่งแตล่ ะสูตรเปน็ สตู รเฉพาะทจ่ี ะช่วยทาใหค้ ดิ คานวณลดั ขน้ึ
( ศักดา บญุ โต, 2538 : คานา )
2. วตั ถุประสงค์

1. เพื่อศึกษาเทคนิคการสอนคิดคานวณตามแนวเวทคณิตว่าส่งผลต่อความถูกต้องแม่นยาและความ
รวดเร็วในการคิดคานวณของนกั เรียนหรอื ไม่

2. เพือ่ ประเมิณความพึงพอใจของนักเรียนต่อการคิดคานวณเร่ืองการหาร ตามแนวเวทคณติ

3. กลมุ่ เป้าหมา้ ย

นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ซ่ึงกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนอนบุ าล
ภูเกต็

4. นวัตกรรม/เครอ่ื งมอื
1. แผนการสอนคิดคานวณตามแนวเวทคณิต ใช้แผนการสอนของโครงการวิจัยเพ่ือพัฒนารูปแบบ

สาหรับเดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษด้านคณิตศาสตร์ จานวน 10 แผน แผนละ 20 นาที
2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดคานวณ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดคานวณ

เรื่องการบวก ผู้วิจัยได้สร้างข้ึนเอง มีลักษณะเป็นข้อสอบแบบปรนัย ให้นักเรียนเขียนคาตอบลงในช่องว่างที่
กาหนดให้ จานวน 10 ขอ้ โดยมขี น้ั ตอนในการสร้างดงั น้ี

2.1 ศึกษาคมู่ ือครกู ลุ่มทกั ษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เนื้อหาเกย่ี วกับการคณู

2.2 สร้างแบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ และแบบประเมิณความพึงพอใจการใช้
เทคนคิ การคดิ ดานวณตามแนวเวทคณติ

5. วิธิดาเนนิ การ

1.) เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย แผนการสอนสาหรับวิธีสอนคิดคานวณตามแนว
เวทคณิต และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคดิ คานวณ ใหม้ ีจานวนเพียงพอกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง

2.) ทาการทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวดั ความสามารถในการคิดคานวณท่ีครูผูส้ อนสรา้ งขึน้
จานวน 10 ข้อ ใชเ้ วลา 20 นาที

3.) ครูผู้สอนทาการสอนกลุ่มเป้าหมายด้วยตนเอง โดยใช้เวลาในการสอน 10 วัน วันละ 1 ครั้ง ตาม
แผนการสอนทงั้ หมด 10 แผน แผนละ 20 นาทโี ดยมีขน้ั ตอนการสอนดังน้ี

3.1 อธิบายขนั้ ตอนการเรียนให้นักเรยี นเข้าใจ
3.2 กระบวนการเรยี นมีดงั นี้

3.2.1 อธบิ ายและสาธติ ให้นักเรยี นดเู ป็นตัวอย่าง ถงึ ข้นั ตอนในการคิดคานวณ
3.2.2 ให้นักเรียนทาตาม อาจจะทาเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล โดยพยายามให้นักเรียนทุก
คนมีโอกาสไดท้ าตาม จนนกั เรียนสามารถทาได้
3.2.3 ให้นักเรยี นทาแบบฝกึ ท่ีครูผ้สู อนจดั เตรยี มโดยพยายามกระตุ้นให้นักเรียนทาใหเ้ สรจ็
และส่งงานทุกคน
3.2.4 ครูผู้สอนตรวจแบบฝกึ ของนกั เรยี น และอธิบายเพิ่มเติมแก่นกั เรยี นท่ที าไม่ถกู ต้อง
ให้นกั เรียนแกไ้ ขและนามาส่งใหม่ จนกวา่ จะถกู
4.) ดาเนนิ การสอนตามขอ้ 3.2.1 – 3.2.4 ทุกครั้งท่สี อน
5.) ทาการทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดคานวณท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน
จานวน 10 ข้อ ใช้เวลา 20 นาที
6.) นาคะแนนทีไ่ ดจ้ ากการทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นมาวิเคราะห์ด้วยวิธกี ารทางสถิติเพื่อทดสอบ
สมมตฐิ านต่อไป

6. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
ครผู ้สู อนได้วิเคราะหข์ ้อมลู โดยดาเนินการตามขั้นตอนตอ่ ไปนี้
1. หาค่าเฉลี่ยของคะแนนความถูกต้องแมน่ ยาในการคดิ คานวณ ของกลมุ่ เปา้ หมาย โดยใช้สูตรการหา

ค่าเฉล่ยี ของลว้ น (สายยศ และองั คณา สายยศ)
2. หาค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนความถูกต้องแม่นยาในการคิดคานวณ ของกลุ่มเป้าหมาย โดย

ดดั แปลงสูตรการหาคา่ เฉลย่ี ของลว้ น (สายยศ และอังคณา สายยศ)
3. หาค่าเฉล่ียของคะแนนความรวดเร็วในการคิดคานวณ ของกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้สูตรการหา

ค่าเฉลย่ี ของล้วน (สายยศ และอังคณา สายยศ)
4. หาค่าเฉล่ียของผลต่างของคะแนนความรวดเรว็ ในการคิดคานวณ ของกลุ่มเป้าหมาย โดยดัดแปลง

สูตรการหาคา่ เฉลีย่ ของล้วน (สายยศ และองั คณา สายยศ)

สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล
1.) คา่ เฉลย่ี (Arithmetic mean) โดยใช้สตู ร

คา่ เฉลีย่ = ∑

N

จากสตู ร ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
N แทน จานวนข้อมูล

(ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ, 2536 : 59)
2.) ค่าเฉล่ียของผลต่างของคะแนน โดยดดั แปลงสูตรจากการหาค่าเฉลีย่ ของล้วน (สายยศ
และองั คณา สายยศ)

คา่ เฉลย่ี = ∑

N

จากสูตร ∑D แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนน
N แทน จานวนขอ้ มลู

(ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ, 2536 : 59)

7. ผลการวจิ ัย พบว่า
1) เทคนคิ การสอนคิดคานวณตามแนวเวทคณติ ส่งผลต่อความสามารถในการคดิ คานวณของนักเรียน

ด้านความถูกตอ้ งแม่นยา
2) เทคนคิ การสอนคิดคานวณตามแนวเวทคณิตส่งผลต่อความสามารถในการคิดคานวณของนักเรียน

ด้านความรวดเร็ว
3) ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรขู้ องนกั เรียน ดา้ นการหาร
4) ผลการประเมินความพงึ พอใจในการใชเ้ ทคนคิ การสอน การคดิ คานวณตามแนวเวทคณิต


Click to View FlipBook Version